More Related Content Similar to บทที่ 11 การสืบพันธ์และการเจริญเติบโต Similar to บทที่ 11 การสืบพันธ์และการเจริญเติบโต (20) More from ฟลุ๊ค ลำพูน (20) บทที่ 11 การสืบพันธ์และการเจริญเติบโต3. Reproduction & Development
การสืบพันธุ์ (reproduction) หมายถึง ความสามารถในการ
ผลิตหน่ วยสิ่งมีชีวิตที่เหมือนตนเอง (like begets like)
การเจริญ (development) หมายถึง การเติบโต (growth)
และการเปลี่ยนแปลงที่เรี ยกว่ าดิฟเฟอเรนทิเอชั่น (differentiation)
เรื่องของการสืบพันธุ์และการเจริญเกี่ยวข้ องสัมพันธ์ กับ
วงจรชีวิต (life cycle) ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
Reproduction แบ่ งออกเป็ น
1. Cellular reproduction
2. Organismic reprodution
3
6. การแบ่ งเซลล์ เป็ นกระบวนการสืบพันธุ์ เจริญเติบโต และซ่ อมแซม
คุณสมบัติของสิงมีชีวิตคือการสืบพันธุ์ การสืบพันธุ์มีทงแบบอาศัยเพศ (sexual
่
ั้
reproduction) และแบบไม่อาศัยเพศ (asexual reproduction) การสืบพันธุ์แบบ
อาศัยเพศเกี่ยวข้ องกับการรวมตัวกันของเซลล์สืบพันธุ์ (gamete) ที่มาจากพ่อและแม่
ทําให้ ได้ เซลล์ที่เรี ยกว่าโซโกต (zygote) ซึงจะเจริญต่อไปเป็ นลูกรุ่นใหม่ที่มี
่
องค์ประกอบพันธุกรรมแตกต่างไปจากพ่อและแม่ การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศเป็ น
การเพิ่มจํานวนของสิงมีชีวิตเพียงอย่างเดียว โดยตัวที่เกิดใหม่มีองค์ประกอบทาง
่
พันธุกรรมเหมือนกับตัวเริ่มต้ นทุกประการ
การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศเกี่ยวข้ องกับการแบ่งเซลล์แบบปกติ ที่เรี ยกว่า
ไมโทซิส (mitosis) (mitosis มาจากคําว่า mitos = สายใย หรื อ เส้ นโครโมโซม) ซึงเป็ น
่
กระบวนการเพิ่มจํานวนเซลล์ โดยที่เซลล์ใหม่ยงคงมีโครโมโซมเหมือนเดิม และ
ั
จํานวนเท่ากับเซลล์เริ่มต้ น
การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส เป็ นกระบวนการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศใน
สิงมีชีวิตเซลล์เดียว เช่น อมีบา สําหรับในสิงมีชีวิตหลายเซลล์พบการแบ่งเซลล์แบบนี ้
่
่
ในการเจริ ญเติบโต การสร้ าง และการซ่อมแซมเนื ้อเยื่อ
6
7. The functions of cell division
(a)
(c)
(b)
(a) Amoeba : reproduction
(b) Multicellular organisms: growth and
development
(c) Mature multicellular organisms:
renewal and repair of tissues
7
8. การแบ่ งเซลล์ ในสิ่งมีชีวิตพวกโปรคาริโอต
พวกโปรคาริโอตมีสภาพเป็ นเซลล์เดี่ยว ไม่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส มี DNA เพียง 1
โมเลกุลรวมอยูกบและโปรตีนมีลกษณะเป็ นวง เรี ยกว่า genophore มีวิธีการสืบพันธุ์
่ ั
ั
แบบไม่อาศัยเพศ เป็ นแบบ binary fission ซึงมีกระบวนการดังนี ้ เวลาที่จะมีการแบ่ง
่
เซลล์ genophore จะเคลื่อนตัวเข้ ามาติดกับเยื่อหุ้มเซลล์ เพื่อใช้ เยื่อหุ้มเซลล์เป็ นที่ยด
ึ
แล้ วเริ่มคลายตัวของ DNA และจําลอง DNA ได้ เป็ น genophore 2 วง ซึงจะเคลื่อนย้ าย
่
ออกจากกันตามผิวของเยื่อหุ้มเซลล์ ต่อจากนันเซลล์จะแบ่งตัวที่กงกลางได้ เป็ น 2 เซลล์
้
ึ่
แต่ละเซลล์ประกอบด้ วย genophore 1 วง
8
9. เซลล์ ของยูคาริโอต (eukaryotic cell)
ภายใน eukaryotic cell มีนิวเคลียสที่ห้ ุมด้ วยเยื่อหุ้ม
นิวเคลียส นิวเคลียสเป็ นศูนย์ ควบคุมกิจกรรมต่ างๆ ภายใน
นิวเคลียสมี nuceolus และเส้ นใยขนาดเล็กที่ย้อมติดสี
จําเพาะมากมายขดม้ วนซ้ อนกันเหมือนร่ างแห เรี ยกว่ า โคร
มาติน (chromatin) เส้ นใยโครมาตินประกอบด้ วย DNA ที่พน
ั
รอบโมเลกุลโปรตีน histone อย่ างมีแบบแผน และขดม้ วนตัว
หลายชัน ในช่ วง metaphase จะขดม้ วนตัวแน่ นที่สุดเป็ นแท่ ง
้
โครโมโซม
9
11. แผนภาพแสดงโครงสร้ างของโครมาตินที่ประกอบด้ วย DNA
และ histone ที่ขดม้ วนตัวกันแน่ นจนเห็นเป็ นรูปร่ างของ
โครโมโซมชัดเจนในระยะ metaphase
a) DNA รวมกับ histone 4 ประเภท เป็ นโครงสร้ างที่เรียกว่ า
nucleosome แต่ ละหน่ วยจะต่ อเข้ าด้ วยกันด้ วย histone อีกประเภท
หนึ่งที่เรี ยกว่ า H1
b) nucleosome รวมตัวกันเป็ นสายยาว เรี ยกว่ า chromatin fiber
c) โครมาตินจะม้ วนตัวอยู่ภายในนิวเคลียสในสภาวะปกติ แต่ ในเซลล์
ที่มีการแบ่ งตัวสายโครมาตินจะม้ วนตัวเองทบกันเป็ นชันๆอย่ างมี
้
ระบบจนมีความหนามากขึน
้
d) โครโมโซมที่มีความแน่ นมากที่สุดในช่ วง metaphase
11
13. Cellular reproduction (การสืบพันธุ์ของเซลล์ )
การแบ่งเซลล์ประกอบด้ วย การแบ่งนิวเคลียส (nuclear division หรื อ
karyokinesis) สลับกับการแบ่งไซโตพลาสซึม (cytoplasmic division หรื อ
cytokinesis) ในกระบวนการแบ่งนิวเคลียส มี 2 แบบ คือ ไมโทซิส (mitosis) และ
ไมโอซิส (meiosis)
13
14. หมายเหตุ คําว่ า mitosis และ meiosis หมายถึงกระบวนการแบ่ ง
นิวเคลียสเท่ านัน แต่ คนมักเรี ยกผิดเป็ นการแบ่ งเซลล์ จงเป็ นที่
้
ึ
เข้ าใจว่ า หมายถึง การแบ่ งเซลล์ แบบไมโทซิส (mitotic cell division)
และการแบ่ งเซลล์ แบบไมโอซิส (meiotic cell division)
14
15. The cell cycle
หมายถึงวงจรชีวตเซลล์ ทเี่ ริ่มจากเซลล์ เดิม 1 เซลล์
ิ
ผ่ านกระบวนการแบ่ งเซลล์ จนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ได้ เซลล์ ใหม่
2 เซลล์
ประกอบด้ วย 2 ช่ วง คือ
1. Interphase
2. M phase
15
20. Cytokinesis ในเซลล์ สัตว์
รูป scanning electron
microscope แสดงรอยคอดที่เยื่อ
หุ้มเซลล์บริเวณตรงกลางของเซลล์
ที่กําลังแบ่งตัว โดยภายในเซลล์ตรง
บริเวณที่เกิดรอยคอด
microfilament มารวมกันเกิดเป็ นวง
(contracting ring) เกิดแรงหดตัว
ของ actin กับ myosin ทําให้ เยื่อหุ้ม
เซลล์เกิดเป็ นรอยคอด รอยคอดจะ
รัดเข้ ามากขึ ้นจนไซโตพลาสซึมถูก
แบ่งแยกออกจากกันและกลายเป็ น
เซลล์ใหม่ 2 เซลล์
20
21. cytokinesis ในเซลล์ พืช
รูป transmission electron
microscope ของระยะ telophase
ของเซลล์พืช จะเห็นว่า vesicles
จาก Golgi apparatus มารวมกัน
ตรงจุดกลางเซลล์ และขยายยาว
ออกเป็ นโครงสร้ างที่เรี ยกว่า cell
plate ซึงจะเจริญเป็ นผนังเซลล์ของ
่
แต่ละเซลล์ตอไป
่
21
27. ลักษณะสําคัญของ Meiosis และ Mitosis
Mitosis
Meiosis
1 จํานวนโครโมโซมหลังการแบ่งยังเท่า โครโมโซมลดลงครึ่ งหนึ่งในไมโอซี ส
เดิม
เนื่องจากการแยกกันของฮอโมโลกัส
โครโมโซม ส่ วนไมโอซี สII จะเป็ นการแบ่ง
แบบไมโทซี สธรรมดา
2 การแบ่งเซลล์มีเพียงขั้นตอนเดียวโดยมี การแบ่งเซลล์มี 2 ขั้นตอน มีแบ่งนิวเคลียส
การจําลองตัวเองของโครโมโซมแล้ว และแบ่งไซโทพลาสซึ มอย่างละ 2 ครั้ง ได้
แยกไปยังขั้วทั้งสองแล้วแบ่งไซ
เซลล์ใหม่ 4 เซลล์
โทพลาสซึ มได้เป็ น 2 เซลล์
ั
ั
3 โครโมโซมไม่มีการเข้าคู่กนไม่มีการ โครโมโซมมีการเข้าคู่กน และมีการ
แลกเปลี่ยนชิ้นส่ วนโครโมโซม
แลกเปลี่ยนชิ้นส่ วนโครโมโซม
27
28. Mitosis
4 องค์ประกอบทางพันธุกรรมและ
โครโมโซมของเซลล์ใหม่ท้ งสองเซลล์
ั
จะเหมือนกัน
5 จํานวนโครโมโซมในเซลล์ท้ งสองที่
ั
ได้จะเท่ากับเซลล์เดิม
Meiosis
องค์ประกอบทางพันธุกรรมและ
โครโมโซมของเซลล์ใหม่มีความแตกต่าง
กันเพราะเกิด crossing over
จํานวนโครโมโซมของเซลล์ใหม่จะมีเพียง
ครึ่ งหนึ่งของเซลล์เดิม
6 เซลล์ใหม่ที่ได้แบ่งเซลล์แบบไมโทซี ส เซลล์ใหม่ที่ได้ไม่สามารถแบ่งเซลล์แบบไม
ได้อีก
โอซี สได้อีก แต่แบ่งแบบไมโทซี สได้
28
30. Regulation of the cell cycle (การควบคุมวงชีวตเซลล์ )
ิ
เช่ น
เซลล์ แต่ ละชนิดจะมีแบบแผนของวงจรชีวิตเซลล์ แตกต่ างกัน
-เซลล์ ท่ ผิวหนังแบ่ งตัวตลอดเวลา
ี
-เซลลืท่ ตบจะไม่ แบ่ งตัว แบ่ งเฉพาะเมื่อมีบาดแผล
ี ั
-เซลล์ ประสาทและเซลล์ กล้ ามเนือไม่ แบ่ งตัวเลย
้
30
35. Diploid = สภาวะที่ cell มี chromosome 2 ชุด (2n)
Haploid = สภาวะที่ cell มี chromosome 1 ชุด (n)
Gamete = เซลล์ สืบพันธุ์ท่ มีจานวน chromosome เป็ น haploid
ี ํ
•Sperm, ova
•Human gametes ประกอบด้ วย 22 autosomes + 1 sex chromosome
(Xหรื อ Y)
Fertilization = การรวมกันของ gametes เกิดเป็ น zygote
Zygote = cell diploid Mitosis
organism
35
36. การสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวต ( Organismic reproduction)
ิ
ความสําคัญของการสืบพันธุ์คือ เป็ นสิ่งจําเป็ นต่ อการต่ อเนื่อง
ของสิ่งมีชีวต และเป็ นกลไกช่ วยให้ เกิดวิวัฒนาการ ในระดับ organism
ิ
การสืบพันธุ์แบ่ งออกเป็ น 2 แบบ คือ การสืบพันธุ์แบบไม่ อาศัยเพศ
และ การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ
36
37. 1. การสืบพันธุ์แบบไม่ อาศัยเพศ (asexual reproduction)
เป็ นการผลิตหน่วยสิงมีชีวิตใหม่จากหน่วยสิงมีชีวิตเดิม โดยอาศัยการ
่
่
แบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิส มีหลายแบบ
Binary Fission (การแบ่งออกเป็ น 2 ส่วน) เซลล์เดิมแยกออกเป็ น 2 ส่วนเท่าๆกัน
ได้ สงมีชีวิตใหม่ 2 ตัว
ิ่
ได้ แก่ สาหร่ายเซลล์เดียว อะมีบา พารามีเซียม ยูกลีนา แบคทีเรี ย
Fission of a sea anemone
Fission of amoeba
Fission of bacteria
37
40. Fragmentation เกิดขึ ้นโดยที่สวนของร่างกายหลุดออกเป็ นส่วนๆ แต่ละส่วน
่
สามารถเจริญเป็ นสิงมีชีวิตตัวใหม่ได้
่
-ต้ องเกิดพร้ อมกับ regeneration
-พบใน ไฮดรา,ดอกไม้ ทะเล,พลานาเรี ย,ดาวทะเล
-regeneration ทําให้ สงมีชีวิตสามารถสร้ างส่วนที่ขาดหายไปทดแทนขึ ้นมาใหม่ได้
ิ่
(arm ของดาวทะเล)
40
41. การสร้ างกลุ่มเซลล์ พเศษ ในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังบาง
ิ
ชนิด เช่นฟองนํ ้ามีการสร้ างเจมมูล (gemmules) เจริ ญอยู่
ภายในร่างกาย ภายในเจมมูลมีกลุมเป็ นจํานวนมาก ซึงเมื่อ
่
่
ตัวเดิมตายไป เจมมูลจะหลุดออกมาเป็ นอิสระ และเซลล์ที่อยู่
ภายในจะเจริ ญเป็ นสิ่งมีชีวิตตัวใหม่
41
42. Sporulation (การสร้ างสปอร์ ) เซลล์มีการแบ่งหลายๆครังจน
้
ได้ เป็ นเซลล์จํานวนมาก แต่ละเซลล์เรี ยกสปอร์ ซึงแพร่ไปในที่
่
ต่างๆได้ โดยง่าย เช่น เชื ้อรา ,เห็ด,เฟริ์ น มอส
42
46. Life cycle of Rhizopus stolonifer
sporangium
Asexual phase
Sexual phase
zygospore
46
47. ข้ อดีของ asexual reproduction
1. เป็ นประโยชน์ สาหรับสัตว์ พวกที่เกาะอยู่กับที่ ซึ่ง
ํ
ไม่ สามารถผสมพันธุ์กับตัวอื่น
2. สามารถเพิ่มจํานวนได้ รวดเร็ว
3. ประโยชน์ ท่ สาคัญคือ ลักษณะที่เหมาะสมกับ
ี ํ
สิ่งแวดล้ อมยังคงอยู่ต่อไปในรุ่ นต่ อๆไป
47
48. 2. การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ (sexual reproduction)
เป็ นการผลิตหน่ วยของสิ่งมีชีวตโดยการรวมตัวของ
ิ
เซลล์ สืบพันธุ์หรื อหน่ วยของพันธุกรรม ซึ่งอาจมาจาก
สิ่งมีชีวตแต่ ละตัวหรื อสิ่งมีชีวตตัวเดียวกันก็ได้
ิ
ิ
การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศแบ่ งออกได้ เป็ นดังนี ้
48
49. 2.1 conjugation ตัวอย่ างเช่ น โปรโตซัวจะมีการ conjugation ระหว่ าง
โปรโตซัว 2 ตัว นิวเคลียสของโปรโตซัวทังสองจะมีการแบ่ งตัวแบบไมโอซิส
้
ต่ อจากนันมีการแลกเปลี่ยนนิวเคลียส หลังจากที่นิวเคลียสรวมตัวกันแล้ ว
้
โปรโตซัวทังสองตัว จะแยกจากกันและต่ างก็ไปแบ่ งตัวต่ อไป
้
49
51. 2.2 สําหรับในสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เกิดจากการรวมตัวกันของเซลล์
สืบพันธุ์ท่ มีขนาดและรู ปร่ างต่ างกัน เซลล์ สืบพันธุ์เพศเมียหรือไข่
ี
มีขนาดใหญ่ และไม่ เคลื่อนที่ เซลล์ สืบพันธุ์เพศผู้มีขนาดเล็ก
ได้ แก่ ไฮดรา,ไส้ เดือน,คน เป็ นต้ น
ข้ อดีของ sexual reproduction
เป็ นการเพิ่มความแตกต่ างแปรผันทางพันธุกรรม (genetic
variation) ซึ่งมีประโยชน์ ในสิ่งแวดล้ อมที่เปลี่ยนแปลง
51
52. ความแตกต่ างระหว่ าง reproductive cycle และ pattern ของสัตว์
ชนิดต่ างๆ
สัตว์ มี reproductive cycle ขึนอยู่กับฤดูกาล
้
-สัตว์ จะสืบพันธุ์เมื่อมีอาหารเหลือจากการดํารงชีวิตที่
จําเป็ นอื่นๆ และเมื่อสิ่งแวดล้ อมเหมาะกับการเจริญของสมาชิก
ใหม่ และถูกควบคุมโดยฮอร์ โมนและสิ่งแวดล้ อม
สิ่งมีชีวิตต่ างๆสามารถดํารงชีวิตในแบบต่ างๆกัน บาง
ชนิดสามารถสืบพันธุ์ได้ ทงแบบไม่ อาศัยเพศ และแบบอาศัยเพศ
ั้
หรื อสลับกัน โดยจะสืบพันธุ์แบบไม่ อาศัยเพศเมื่อสิ่งแวดล้ อม
เหมาะสม และแบบอาศัยเพศเมื่อสิ่งแวดล้ อมเปลี่ยนแปลง
52
53. การสืบพันธุ์ของสัตว์ บางชนิด อาจเกิดขึนโดยวิธีท่ เรี ยกว่ า
้
ี
parthenogenesis คือเซลล์ สืบพันธุ์เพศเมียเจริญเป็ นสิ่งมีชีวิตที่
สมบูรณ์ โดยไม่ ต้องมีการปฏิสนธิ พบในสิ่งมีชีวิตหลายชนิด เช่ น
ผึง มด ต่ อ แตน เพลีย rotifers และ crustaceans บางชนิด ตัวเต็ม
้
้
ไวที่เจริญมาจาก parthenogenesis จะเป็ น haploid และเซลล์ จะไม่
มีการแบ่ งแบบไมโอซิสในการสร้ างไข่
สําหรับผึงนัน ไข่ ท่ มีการปฏิสนธิจะเจริญเป็ นนางพญา
้ ้
ี
และผึงงานที่เป็ นตัวเมียทังหมด ส่ วนไข่ ท่ ไม่ มีการปฏิสนธิจะเจริญ
้
้
ี
เป็ นผึงตัวผู้
้
ปลาบางชนิด สัตว์ สะเทินนําสะเทินบก และ
้
สัตว์ เลือยคลาน มีการสืบพันธุ์แบบ parthenogenesis เช่ นกัน โดย
้
การเพิ่มจํานวนโครโมโซมหลังการเกิดไมโอซิส เป็ น diploid zygote
53
54. Hermaphroditism เกิดขึนในสิ่งมีชีวตหลายชนิดที่ไม่ สามารถหาคู่ผสมพันธุ์
้
ิ
ได้ ตัวอย่ างเช่ น พวกที่อยู่กับที่ พวกอยู่ในรู หรื อพวกปรสิต
- สิ่งมีชีวตมีทง 2 เพศในตัวเดียวกัน
ิ ั้
-บางชนิดผสมภายในตัวเอง บางชนิดผสมข้ ามตัว แต่ เป็ นการเพิ่ม
ประสิทธิภาพเป็ น 2 เท่ าในการเพิ่มจํานวนลูกหลาน
สิ่งมีชีวตบางชนิดอาจสลับกันทัง 2 เพศ หรื อบางชนิดเป็ น
ิ
้
protogynous (female first) หรือ protandrous (male first) หรือบางชนิด
เกี่ยวข้ องกับอายุและขนาดตัว
ตัวอย่ างเช่ น พวกที่เป็ น protogynous ได้ แก่ ปลา blue head wrasse
ตัวที่แก่ ท่ ีสุด และตัวใหญ่ ท่ สุดในฝูงปลาจะเป็ นตัวผู้ เพื่อทําหน้ าที่ปองกัน
ี
้
อันตรายให้ ฝูงปลา
พวกหอย oysters เป็ น protandrous ตัวใหญ่ จะกลายเป็ นตัวเมียซึ่ง
สร้ างไข่ ได้ เป็ นจํานวนมาก
54
55. ปลา blue head wrasse ตัวที่แก่ ท่ ีสุด และตัวใหญ่ ท่ ีสุดในฝูงปลาจะเป็ นตัวผู้
เพื่อทําหน้ าที่ปองกันอันตรายให้ ฝูงปลา
้
55
56. Mechanisms of sexual reproduction
Mechanisms of fertilization เป็ นกระบวนการของการรวมกันของสเปิ ร์ ม
และไข่ แบ่ งออกเป็ น external fertilization และ internal fetilization
External fertilization
-เกิดขึนในสิ่งแวดล้ อมที่มีความชิน ซึ่งความชืนช่ วยการเจริญของ
้
้
้
เอมบริโอให้ เป็ นไปได้ โดยไม่ แห้ งหรื อร้ อนเกินไปซึ่งทําให้ ตายได้
56
57. -สัตว์ ไม่ มีกระดูกสันหลังหลายชนิดปล่ อยสเปิ ร์ มและไข่ ลงใน
นํา และเกิดการปฏิสนธิในนําโดยที่ตวพ่ อและแม่ ไม่ ได้ พบกันเลย
้
้
ั
-สิ่ งแวดล้ อมและออร์ โมนช่ วยกระตุ้นให้ มีการสร้ างเซลล์
สืบพันธุ์ในเวลาใกล้ ๆกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิสนธิ
-ในพวกสัตว์ มีกระดูกสันหลัง ได้ แก่ ปลาและสัตว์ สะเทินนํา
้
สะเทินบก จะแสดงพฤติกรรมการเกียวพาราสีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
้
การปฏิสนธิและการเลือกคู่
-ในการปองกันเอมบริโอ เพื่อให้ เจริญต่ อไปได้ มีหลาย
้
ขันตอน ดังนี ้ เอมบริโอต้ องอยู่ในสิ่งแวดล้ อมที่มีนําหรือความชืน
้
้
้
เพื่อปองกันการแห้ งหรือความร้ อนจัด พวกไข่ ปลาและไข่ สัตว์ ครึ่ง
้
บกครึ่งนําจะคลุมด้ วย gelatinous coat เพื่อให้ เกิดการแลกเปลี่ยนนํา
้
้
และก๊ าซได้ และนอกจากนีจะมีไซโกตเป็ นจํานวนมาก แต่ จานวน
้
ํ
รอดชีวิตไม่ มากนัก
57
58. Internal fertilization
เป็ นการปฏิสนธิภายในร่ างกายของตัวเมีย
- ต้ องมีระบบสืบพันธุ์ท่ ีเจริญดี และพฤติกรรมการเกียวพาราสี
้
-ตัวผู้ต้องมีอวัยวะช่ วยในการปล่ อยสเปิ ร์ ม มีถุงเก็บสเปิ ร์ ม
-มีขันตอนปองกันการเจริญของเอมบริโอมากมาย
้
้
-ไข่ มีเปลือกหุ้ม (amniotic egg)
-การเจริญของเอมบริโอเกิดภายในตัวเมีย
-มีการปองกันจากพ่ อแม่ (parental care)
้
(parental care ส่ วนมากเกิดในพวกที่เป็ น internal fertilization
แต่ external fertilization บางชนิดก็มีเหมือนกัน เช่ น nesting fishes แสดงพฤติ
ปองกันไข่ จากผู้ล่า)
้
-โดยมากสร้ างไซโกตจํานวนน้ อย และสามารถเจริญต่ อไปได้
มากโดยมีการปองกันและการเลียงดูต่างๆ
้
้
58
59. Internal fertilization
• Oviparous (สัตว์ที่ออกลูกเป็ นไข่) ได้แก่สตว์เลื้อยคลาน นก มีการ
ั
ปฏิสนธิภายในตัวแต่ตวอ่อนเจริ ญนอกตัวแม่จึงต้องมีการวางไข่
ั
• Viviparous (สัตว์ออกลูกเป็ นตัว) ตัวอ่อนเจริ ญภายในตัวแม่และ
ได้รับอาหารจากแม่ ได้แก่สตว์เลี้ยงลูกด้วยนํ้านม
ั
่
• Ovoviviparous (สัตว์ออกลูกเป็ นไข่แต่ฟักอยูในตัว) มีการปฏิสนธิ
่
ภายในตัวและออกลูกเป็ นไข่แต่ไข่ฟักอยูในตัวแม่
59
61. การสร้ างเซลล์ สืบพันธุ์ในพืช
วงจรชีวิตของพืชเป็ นแบบสลับระหว่ าง sporophyte ซึ่งเป็ น diploid generation กับ
gametophyte ซึ่งเป็ น haploid generation Sporophyte จะสร้ างสปอร์ โดยกระบวนการ
ไมโอซิส สปอร์ จะเจริญเป็ นต้ นใหม่ โดยไม่ มีการผสมกับเซลล์ อ่ ืน ส่ วน Gametophyte
จะสร้ างเซลล์ สืบพันธุ์ (gamete) โดยกระบวนการไมโทซิส แล้ ว gamete ทังสอง
้
(sperm และ egg) มารวมกันได้ ไซโกต ซึ่งเจริญต่ อไปกลายเป็ น sporophyte ต้ นใหม่ 61
62. โครงสร้ างของดอก
เกสรตัวผู้เรี ยกว่ า
stamen ประกอบด้ วยอับ
เรณู (anther) และก้ านชู
อับเรณู (filament) เกสร
ตัวเมีย (carpel หรื อ
pistil) ประกอบด้ วยยอด
เกสรตัวเมีย (stigma) คอ
เกสรตัวเมีย (style) และ
รั งไข่ (ovary) ภายในรั ง
ไข่ มี ovule
62
66. สัตว์ มีระบบสืบพันธุ์แบบต่ างๆ
สัตว์ พวกไม่ มีกระดูกสันหลัง มีความแตกต่ างกันในแต่ ละ
ชนิด จากแบบง่ ายๆจนถึงแบบซับซ้ อน
สัตว์ ท่ มีกระดูกสันหลัง มีลักษณะคล้ ายกัน แต่ มีข้อ
ี
แตกต่ างที่สาคัญได้ แก่
ํ
- ในสัตว์ เลียงลูกด้ วยนมส่ วนมาก มีทางเปิ ดของ digestive,
้
excretory และ reproductive tracts แยกกัน แต่ ในพวกอื่นๆที่ไม่ ใช่
สัตว์ เลียงลูกด้ วนนม หลายชนิดมีทางเปิ ดร่ วม เรี ยกว่ า cloaca
้
-สัตว์ มีกระดูกสันหลังที่ไม่ ใช่ สัตว์ เลียงลูกด้ วยนม ไม่ มี
้
penis ที่เจริญดี และใช้ วิธีการอื่นในการส่ ง สเปิ ร์ ม
66
69. ระบบสื บพันธุ์ของคน
อวัยวะสื บพันธุ์เพศชาย(male genital organ) แบ่งเป็ น 2 ส่ วนใหญ่ๆ คือ
1. อวัยวะสื บพันธุ์เพศชายภายนอก
(external male genital organ)
1.1 ลึงค์ (penis) เป็ นส่ วนใช้ในการร่ วมเพศ
เป็ นทางผ่านของนํ้าอสุ จิและนํ้าปัสสาวะ
พบว่ามีเนื้อเยือที่แข็งได้(erectile tissue)
่
ประกอบด้วย คอร์พสสปองจิโอซัม(corpus
ั
่
spongiosum) 1 อัน อยูรอบท่อปัสสาวะ
่
และอีก 2 อันอยูทางด้านบน บริ เวณปลาย
สุ ดเรี ยกว่าหัวลึงค์(gland penis) และมี
ผิวหนังหุมอยูเ่ รี ยกว่า พรี พิว(prepuce)
้
69
70. 1.2 ถุงอัณฑะ(scrotum หรือ
scrotal sec) เป็ นผิวหนังที่ยนออก
ื่
่
จากช่องท้องเนื่องจากอัณฑะอยูใน
ช่องท้องเลื่อนลงมา โดยทําหน้าที่
ควบคุมอุณหภูมิโดยให้ต่ากว่า 3-5
ํ
องศาเซลเซี ยสของร่ างกาย ซึ่ ง
เหมาะสมต่อการสร้างอสุ จิ
70
71. 2. อวัยวะสื บพันธุ์เพศชายภายใน(internal male genital organ)
2.1 อัณฑะ(testis) มีอยู่ 2 เลื่อนจากช่องท้องลงมาถ้าไม่เลื่อนจะทําให้เป็ นหมัน แต่
ถ้าเลื่อนลงมาเพียงข้างเดียวเรี ยกว่า ทองแดง (crytochism)
71
72. 2.1.1 หลอดสร้างอสุ จิ(seminiferous
tubule) เป็ นท่อภายในอัณฑะมีเซลล์
2 ชนิดคือ เซอร์ทอไลเซลล์
(sertoli cell) มีขนาดโตมีรูปร่ างไม่
แน่นอนเป็ นตัวให้อาหารแก่
เซลล์อีกชนิดหนึ่งได้แก่ สปอร์
มาโตโกเนีย(spormatogonia) ซึ่ งจะ
แบ่งตัวสร้างอสุ จิ
ต่อไปการ
สร้างอสุ จิถกควบคุมโดยฮอร์โมน
ู
FSH กับ textosterone ในอัณฑะ
2.1.2 เนื้อเยืออินเตอร์สติเชียล
่
่
(interstitial cell) อยูระหว่างหลอด
สร้างอสุ จิ ประกอบด้วยเส้นเลือด
เส้นประสาทและพวกเซลล์ต่างๆ
อินเตอร์สติเชียลเซลล์ออฟ
เลย
ติก(interstitial cell of leydig) เป็ น
เซลล์ที่เจริ ญมากกว่าเซลล์อื่นถูก
ควบคุมโดย ฮอร์โมน LH
72
74. 2.2.2 เอพิดิไดมีส(epididymis) เป็ นท่อยาวขดไปมาทําหน้าที่ในการเก็บอสุ จิและสร้าง
อาหารเลี้ยงอสุ จิ สามารถพักได้นาน 6 สัปดาห์
2.2.3 ท่อนําอสุ จิ(vas deferens) มีความยาวประมาณ 18 นิ้ว เป็ นทางผ่านของอสุ จิและ
เปิ ดเข้าสู่ ท่อรวม เซมินลเวซิ เคิล(seminal vesicle) ใน
ั
การทําหมันชายจะตัดส่ วนนี้ เองเรี ยกว่า วาเซกโทมี(vasectomy)
ั
2.2.4 ท่ออีเจคูลาทอรี (ejecculatory duct) เป็ นท่อที่เกิดจากการรวมกันของท่อนําอสุ จิกบ
เซมินลเวซิ เคิล ผสมกันระหว่างอสุ จิและนํ้าเลี้ยงอสุ จิและบีบตัว
ั
ปล่อยออกสู่ภายนอก
74
75. 2.3 ต่อมต่างๆ(accessory male genital glands)
2.3.1 เซมินลเวซิ เคิล(seminal vesicle) เป็ นท่อ 2 ท่อ ขอไปมาทําหน้าที่
ั
ในการสร้างอาหารสําหรับอสุ จิได้แก่ นํ้าตาลฟรักโตส วิตามินซี โปรตีน
โกลบูลิน รวมกันเรี ยกว่า เซมินลฟูลอิด(seminal fluid) ถูกควบคุมโดย
ั
ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนจากอัณฑะ
2.3.2 ต่อมลูกหมาก(prostate gland) สร้างสารสี ขาวมีกลิ่นเฉพาะตัวมี
่ ้
กรดซิ ตริ กรวมอยูดวย เรี ยกว่า prostatic fluid ช่วยทําให้ท่อปัสสาวะซึ่ งเป็ น
กรดทําให้ลดความเป็ นกรดลง
75
78. 1.2 แคมใหญ่(labia majora) เป็ นส่ วนที่เจริ ญมาเช่นเดียวกับถุง
อัณฑะของเพศชาย เป็ นส่ วนของผิวหนังที่มีช้ นไขมันอยู่
ั
่ ้
1.3 แคมล็ก(labia minora) เป็ นส่ วนอยูดานในของแคมใหญ่ มีต่อม
ไขมันจํานวนมากเพื่อช่วยในการหล่อลื่นและกันการเสี ยดสี ระหว่างการ
ร่ วมเพศ
อวัยวะสื บพันธุ์เพศหญิงภายใน
(internal female genetial organ)
2.1 รังไข่(ovary) ทําหน้าที่ในการสร้าง
ไข่ และฮอร์โมนเพศ ในคนเราจะ
มีประมาณ 4 แสนเซลล์แต่จะตก
ไข่เพียง 400 เซลล์
78
79. ํ
2.2 มดลูก(uterus) ทําหน้าที่เป็ นที่ฝังตัวของไข่ที่ได้รับการผสมและเป็ นแหล่งให้กาเนิด
ประจําเดือน และประกอบด้วย ปากมดลูก(cervix) ตัวมดลูก(body) ส่ วนบนมดลูก
(fundus) โดยผนังมดลูกแบ่งออกเป็ น 3 ชั้น โดยชั้นในมีชื่อว่า endometrium
79
80. 2.3 ช่องคลอด(vagina) ที่ปากช่องคลอดมีเยือบางๆย่นๆบิดอยู่ เรี ยกว่า เยือ
่
่
พรหมจารี ย(์ hymen) มีความเป็ นกรดเล็กน้อยและโปรโตซัวที่พบใน
ช่องคลอดได้แก่ Trichomonas vaginalis ซึ่งทําให้ผนังช่องคลอดอักเสบ
เกิดการตกขาวได้
2.4 ท่อนําไข่(oviduct
หรื อ fallopian tube)
เป็ นท่อที่มี
ั
การปฏินธิกนโดย
เกิดที่ส่วนที่บริ เวณ
แอมพูลาจะมีการ
ั
ปฏิสนธิกนของอสุ จิ
และไข่
80
82. การสร้ างเซลล์ สืบพันธุ์ (gametogenesis)
เมื่อมีการสืบพันธุ์เซลล์ ท่ จะทําหน้ าที่สืบพันธุ์จะมีการ
ี
แบ่ งตัวแบบไมโอซิส เพื่อลดจํานวนโครโมโซมลงเหลือเพียง
ครึ่งหนึ่ง และมีกระบวนการที่เรี ยกว่ า gametogenesis เพื่อช่ วยให้
ได้ เซลล์ สืบพันธุ์ท่ สมบูรณ์ พร้ อมจะทําหน้ าที่ เช่ นในพืชมีดอกจะมี
ี
กระบวนการไมโทซิสเกิดขึนมาอีก 2-3 ครั ง เพื่อให้ ได้ เซลล์
้
้
สืบพันธุ์ ในสัตว์ จะมีการเจริญเปลี่ยนแปลงรูปร่ างของเซลล์
เพื่อให้ ได้ เซลล์ สืบพันธุ์ท่ พร้ อมที่จะผสม
ี
(gametogenesis หมายถึง กระบวนการตังแต่ เซลล์ มี
้
ไมโอซิสและผ่ านขันตอนต่ างๆจนได้ เป็ นเซลล์ สืบพันธุ์)
้
82
83. Spermatogenesis
•เป็ นกระบวนการทีเ่ กิดต่ อเนื่องในผู้ชาย ผลทําให้ ได้ สเปิ ร์ ม 250-400
ล้ านตัวในการฉีดแต่ ละครั้ง
• เกิดขึนใน seminiferous tubules ของ testes
้
• เริ่มจาก primodial germ cells เปลียนมาเป็ น spermatogonia ใน
่
embryonic testes (2n)
• spermatogonia อยู่ทผนังด้ านข้ างของ semniniferous tubules แบ่ งตัว
ี่
เพือเพิมจํานวนตลอดเวลาด้ วย mitosis
่ ่
• เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ spermatogonia จะแบ่ งตัวแบบ meiosis และ
เปลียนแปลงรูปร่ างจนได้ สเปิ ร์ ม 4 ตัว
่
83
84. Spermatogenesis
แสดงท่อ seminiferous
tubules ที่ผลิตสเปิ ร์มภายใน
อัณฑะ สเปิ ร์มจะเจริ ญเป็ น
ขันๆโดยเริ่ มจาก
้
spermatogonium (2n)
เจริ ญเป็ น primary
spermatocyte เซลล์นี ้ 1
เซลล์แบ่งแบบ meiosis I
กลายเป็ น secondary
spermatocyte 2 เซลล์ ใน
การแบ่งตัว meiosis II จะได้
spermatid 4 เซลล์
spermatid จะเปลี่ยนรูปร่ าง
ไปเป็ นสเปิ ร์ม ในขณะที่ได้
สารอาหารจาก sertoli cell
84
87. โครงสร้ างของสเปิ ร์ ม
ส่วนหัวของสเปิ ร์ มมี haploid nucleus และ acrosome ซึงมีเอนไซม์ช่วยใน
่
การเจาะเข้ าไปในเซลล์ไข่ ส่วนหางมีไมโตคอนเดรี ยจํานวนมาก (หรื อบางชนิด
อาจมีไมโตคอนเดรี ยขนาดใหญ่เพียงอันเดียว) ทําหน้ าสร้ าง ATP ช่วยในการ
เคลื่อนไหวของ flagella
87
89. Hormonal control of the testes
ต่ อมใต้ สมองส่ วนหน้ า (anterior pituitary) ผลิตฮอร์ โมน 2 ชนิด
ได้ แก่ 1. Luteinizing hormone (LH) ซึ่งจะไปกระตุ้น leydig cells ให้ ผลิต
androgen ซึ่งเป็ นฮอร์ โมนควบคุม primary sex characteristics ได้ แก่ การ
เจริญของอวัยวะสืบพันธุ์ และ secondary sex characteristics ได้ แก่ การ
มีเสียงแหบห้ าว การมีหนวดเป็ นต้ น
และ 2. Follicle stimulating hormone (FSH) ซึ่งมีผลต่ อกระบวนการ
spermatogenesis ใน seminiferous tubules การผลิต LH และ FSH ถูก
ควบคุมโดยฮอร์ โมน Gonadotropin-releasing hormone (GnRH) ซึ่งสร้ าง
จากต่ อม hypothalamus ถ้ ามี androgen มากก็จะมีกลไกย้ อนกลับ
(feedback mechanism) ไปควมคุมการผลิต LH, FSH และ GnRH อีกที
หนึ่ง นอกจากนี ้ GnRH ถูกควบคุมโดยกลไกย้ อนกลับของ LH และ FSH
ด้ วยซึ่งไม่ ได้ แสดง ณ ที่นี ้
89
90. Oogenesis
การสร้ างไข่ เกิดขึนในรั งไข่ เริ่มต้ นจากกลุ่ม
้
primordial germ cell ในเอมบริโอเริ่มแบ่ งแบบไม
โตซิสเพื่อเพิ่มจํานวน ได้ เป็ น oogonium (2n) (ใน
รูปนี ้ 2n=4) แต่ ละ oogonium เจริญไปเป็ น
primary oocyte (2n) โดยแบ่ งแบบไมโอซิสและ
หยุดกระบวนการอยู่ท่ ระยะ prophase I เมื่อถึง
ี
วัยเจริญพันธุ์ primary oocyte จะแบ่ งตัวต่ อไป
จนสินสุดกระบวนการ meiosis I แต่ การแบ่ งไซ
้
โตพลาสซึมได้ เซลล์ ท่ มีขนาดไม่ เท่ ากัน คือได้
ี
secondary oocyteที่ มีขนาดใหญ่ และ first polar
body ที่มีขนาดเล็กกว่ ามาก ต่ อมาในกรณีท่ มี
ี
การผสมพันธุ์และสเปิ ร์ มเจาะเข้ าไปใน
secondary oocyte จะกระตุ้นให้ เกิด meiosis II
เมื่อ meiosis เสร็จสิน secondary polar body
้
แยกออกจากไข่ (ovum) สเปิ ร์ มและไข่ ท่ เจริญ
ี
เต็มที่แล้ วจะเกิดการปฏิสนธิขึน
้
90
91. ไข่ เจริญอยู่ภายในถุง
follicle ซึ่งเป็ นช่ องว่ าง
ภายใต้ ผิวของรั งไข่ (1-3)
หลังจากเซลล์ ไข่ หลุดจาก
ถุงนี ้ (4) เซลล์ ของถุงก็จะ
เจริญไปเป็ น corpus
luteum ซึ่งแปลว่ า ก้ อนสี
เหลือง (5) ถ้ าไข่ ไม่ ได้ รับ
การผสม corpus luteum ก็
จะฝ่ อภายใน 2-3 สัปดาห์
(6) ถ้ าไข่ ได้ รับการผสม
พันธุ์ corpus luteum ก็จะ
ยังคงอยู่และผลิตโปรเจส
เตอโรนซึ่งจะช่ วยในการ
เตรี ยมมดลูกรอรั บเอมบริ
โอ
91
94. ข้ อแตกต่ าง spermatogenesis และ Oogenesis
Spermatogenesis
1. ผลทีได้ 4 mature
่
spermatozoa
2. เกิดตลอดเวลาในช่ วงอายุ
ของสิ่งมีชีวิต
3. Spermatogenesis เกิด
ต่ อไปเรื่อยๆ
Oogenesis
1. ผลที่ได้ single ovum
ส่ วน polar body สลายไป
2. Potentail ova (primary
oocyte) อยู่ใน ovary แล้ วตังแต่
้
เกิด
3. Oognesis มีช่วงพัก
94
95. The reproductive cycle of the human female
แสดงวงจรของประจําเดือนซึ่งสัมพันธ์ กับการตกไข่ ฮอร์ โมน
FSH ผลิตจากต่ อมใต้ สมองส่ วนหน้ า (anterior pituitary) ในปริมาณที่
สูงขึนจะไปกระตุ้นการเจริญของ follicle และการผลิตฮอร์ โมน estrogen
้
จาก follicle Estrogen มีหน้ าที่กระตุ้นการเจริญของเยื่อบุภายในของผนัง
มดลูกให้ หนาขึน estrogenที่ มีปริมาณสูงจะไปยับยังการผลิต FSH
้
้
ขณะเดียวกัน LH ที่กาลังผลิตจากต่ อมใต้ สมองส่ วนหน้ าในปริมาณ
ํ
สูงขึนๆเช่ นกัน ก็จะร่ วมกระตุ้นให้ เกิดการตกไข่ หลังจากนัน follicle ก็
้
้
จะกลายเป็ น corpus luteum ซึ่งจะเริ่มผลิตฮอร์ โมน progesterone
ฮอร์ โมนนีจะกลับไปยับยังการผลิต LH ในระยะนีหากไม่ มีการผสมพันธุ์
้
้
้
ระดับฮอร์ โมนต่ างๆก็จะลดลง ผลคือการสลายตัวของผนังเยื่อบุมดลูก มี
การหลุดตัวของเยื่อบุและตกเลือด หลังจากนันก็เริ่มวงจรใหม่ แต่ ใน
้
ระยะเวลาเดียวกัน หากมีการผสมพันธุ์ corpus luteum จะไม่ สลายตัว
และผลิตฮอร์ โมนต่ อ เยื่อบุมดลูกก็จะไม่ สลายตัว และมีการฝั งตัวของ
95
เอมบริโอ
96. The reproductive cycle of the human female
รอบประจําเดือน(menstrual cycle)
1.ระยะก่ อนตกไข่ (follicle stage) FSH กระตุ้น
ให้ ฟอลลิเคิลขยายตัวเป็ นแกรเฟี ยนฟอล
ลิเคิลและมีการสร้ าอีสโทนเจนเพื่อ
กระตุ้นให้ ผนังด้ านในมดลูกหนาขึน
้
2.ระยะตกไข่ (ovulation stage) LH เพิ่มขึนอย่ าง
้
มากมีผลต่ อแกรเฟี ยนฟอลลิเคิลทําให้
แตกออกไข่ จงหลุดออกมา และเคลื่อนที่
ึ
เข้ าสู่ปีกมดลูก
3.ระยะหลังตกไข่ (corpusluteum stage) ส่ วน
ฟอลลิเคิลที่แตกออกจะเปลี่ยนเป็ น
คอลพัสลูเทียม และส่ วนนีสร้ างฮอร์ โมน
้
โพรเจสเทอโรนและฮีสโทรเจนกระตุ้นให้
ผนังมดลูกหนามากขึนพร้ อมสําหรั บการ
้
ฝั งตัวของไข่
96
97. The human life cycle
ในการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศทังพ่อและ
้
แม่ ต่างต้ องมีกระบวนการสร้ างเซลล์สืบพันธุ์
เซลล์สืบพันธุ์แต่ละเซลล์มีจํานวนโครโมโซม
เพียงครึ่งหนึงของเซลล์ร่างกาย
่
ปรากฏการณ์ดงกล่าวเกิดในกระบวนการ
ั
แบ่งเซลล์แบบพิเศษ ที่เรี ยกว่า meiosis
เซลล์ที่มีสมบัติสามารถแบ่งเซลล์แบบ
meiosis นี ้ได้ คือ gonad ในเพศหญิงจะพบ
เซลล์ชนิดนี ้ในรังไข่ (ovary) ซึงจะสร้ างเซลล์
่
สืบพันธุ์เรี ยกว่า ไข่ (ovum) ส่วนในเพศชาย
จะพบเซลล์ชนิดนี ้ในอัณฑะ (testis) ซึงสร้ าง
่
เซลล์สืบพันธุ์เรี ยกว่าสเปิ ร์ม (sperm) เมื่อ
เกิดการปฏิสนธิระหว่างสเปิ ร์ มและไข่ ทําให้
เกิดไซโกตซึงเจริ ญเป็ นสิ่งมีชีวิตหน่วยใหม่
่
ต่อไป ในคนจํานวนโครโมโซมในเซลล์
สืบพันธุ์ซงเป็ น haploid cell = 23 (n=23)
ึ่
และจํานวนโครโมโซมในไซโกต และเซลล์
ร่างกายซึงเป็ น diploid cell = 46 (2n=46).
่
97
102. (1) ไข่ระยะ secondary oocyte ซึงพร้ อมที่จะผสมพันธุ์หลุดออกจากรังไข่ (ovulation) เข้ า
่
ไปอยูในท่อนําไข่ (oviduct) การปฏิสนธิเกิดขึ ้นภายในท่อนําไข่ได้ เป็ นไซโกต (zygote)
(3) cleavage เริ่มเกิดขึ ้นขณะที่เอมบริโอเคลื่อนตัวมาสูมดลูก
่
(4) ขณะที่มาถึงมดลูกเอมบริโอจะมีการเคลื่อนที่ของกลุมเซลล์แยกเป็ น 2 กลุม ได้ แก่ 1.
่
่
trophoblast เป็ นกลุมเซลล์ที่เรี ยงตัวกันชันเดียวอยูรอบนอก ซึงต่อไปจะเจริญรวมกับ
่
้
่
่
เนื ้อเยื่อของผนังมดลูกกลายเป็ นรก (placenta) 2. กลุมเซลล์ที่อยูภายใน เรี ยกว่า inner
่
่
cell mass เป็ นส่วนที่จะเจริญต่อไปเป็ นเอมบริโอ เรี ยกเอมบริโอระยะนี ้ว่า blastocyst
(5) blastocyst จะฝั งตัวในผนังมดลูก ซึงเอมบริโอเจริญมาได้ ประมาณ 7 วันหลังการ
่
ปฏิสนธิ
102
103. Fertilization in Mammals
1. Capacitation (enhanced sperm function)
เป็ นจาก secretion ของท่ อระบบสืบพันธุ์ของตัวเมีย
- เปลี่ยนโมเลกุลบางชนิดที่หวของ sperm ทําให้ sperm
ั
เคลื่อนที่เร็วขึน
้
2. sperm จะต้ องผ่ าน Zona pellucida (extracellular matrix of
the egg) เพื่อเกิดกระบวนการต่ อไปได้
103
105. กระบวนการปฏิสนธิของสัตว์ เลียงลูกด้ วยนม
้
(1) สเปิ ร์ มผ่ านเข้ าไปในชันของ follicle cells และรวมกับ
้
receptor melecules ที่อยู่ท่ ชัน zona pellucida (ในที่ นีไม่ ได้ แสดง
ี ้
้
receptor molecule) (2) acrosomal reaction เกิดขึนโดยสเปิ ร์ มปล่ อย
้
เอนไซม์ ย่อยชัน zona pellucida (3) ทําให้ สเปิ ร์ มสามารถเข้ าไปถึง
้
plasma membrane ของไข่ ได้ และ membrane proteins ของสเปิ ร์
มรวมกับ receptor ที่ plasma membrane ของไข่ (4) plasma
membrane ของสเปิ ร์ มและไข่ เชื่อมติดกัน ดังนันนิวเคลียสของสเปิ ร์ ม
้
เข้ าไปในไซโตพลาสซึมของไข่ (5) เกิด cortical reaction โดยเอนไซม์
ที่ปล่ อยออกมาจาก cortical granules ทําให้ ชัน zona pellucida มี
้
ลักษณะแข็ง ทําหน้ าที่ปองกันไม่ ให้ สเปิ ร์ มตัวอื่นเข้ าไปในไข่ อีก (การ
้
ที่สเปิ ร์ มเข้ าไปในไข่ หลายตัว เรี ยกว่ า polyspermy)
105
106. 1stand 2nd polar
bodies
male pronucleus
(n)
a.
Sperm Enter Egg
female pronucleus
(n)
c.
female pronucleus
replicating its DNA
b.
Beginning of
first division
d.
male pronucleus
replicating its DNA
Fusion of nuclei
from egg and sperm
106
108. การปฏิสนธิของเม่ นทะเล : acrosomal and cortical reactions
เป็ นกระบวนการที่สเปิ ร์ มเพียงตัวเดียวเข้ าไปในไข่ (1) สเปิ ร์ มเข้ าไป
แตะกับ jelly coat ของไข่ (2) acrosomal reaction เริ่มเกิดขึนเมื่อสเปิ ร์ ม ปล่ อย
้
hydrolytic enzyme จากส่ วนของ acrosome เอนไซม์ จะย่ อย jelly coat
ขณะเดียวกัน actin filament ในหัวของสเปิ ร์ มจะยื่นยาวออกเป็ น acrosomal
process (3) ส่ วน acrosomal process แทรกเข้ าไปใน jelly coat และรวมกับ
protein receptors ที่อยู่บน vitelline layer ของไข่ เอนไซม์ ย่อย vitelline layer ให้
เป็ นรู ทําให้ acrosomal process แตะกับ plasma membrane ของไข่ (4) plasma
membrane ของสเปิ ร์ มและไข่ เชื่อมติดกัน (5) นิวเคลียสของสเปิ ร์ มเข้ าไปในไซ
โตพลาสซึมและรวมกับนิวเคลียสของไข่ การรวมกันของนิวเคลียสทังสองนีทา
้
้ ํ
ให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงประจุไฟฟาที่บริเวณ plasma membrane ของไข่ เกิด
้
cortical reaction ตามมา ปองกันไม่ ให้ สเปิ ร์ มตัวอื่นเข้ าไปในไข่ อีก (6) การเกิด
้
cortical reaction Cortical granules ในไข่ รวมกับ plasma membrane ปล่ อย
เอนไซม์ และสารอื่นๆ ทําให้ ชัน vitelline membrane และ plasma membrane
้
แยกจากกันและมีลักษณะแข็ง เรี ยกว่ า fertilization membrane ปองกันไม่ ให้
้
108
สเปิ ร์ มตัวอื่นเข้ ามาได้ อีก
109. Activation of the egg
การที่ Ca2+ เพิ่มขึนในไซโตพลาสซึมไม่ เพียงแต่ กระตุ้น
้
cortical reaction แล้ ว ยังทําให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงของ
metabolism ต่ างๆภายในไข่ ปกติไข่ ท่ ยังไม่ ได้ ปฏิสนธิจะมี
ี
อัตรา metabolism ตํ่า แต่ ภายใน 2-3 นาทีหลังการปฏิสนธิ
อัตราของ cellular metabolism และ protein synthesis จะสูงขึน
้
ในไข่ ของเม่ นทะเลรวมทังสัตว์ อีกหลายชนิด การเพิ่มของ Ca2+
้
มีผลทําให้ H+ ลดลง ดังนันไซโตพลาสซึมจะเปลี่ยนเป็ นด่ าง
้
เล็กน้ อย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของ pH นี ้ มีผลทางอ้ อมทําให้ เกิด
การเปลี่ยนแปลงของ metabolism ต่ อไป
109
110. ในการ activate ไข่ นัน อาจทดลองทําให้ เกิดขึนได้ ในไข่ ท่ ี
้
้
ไม่ ได้ ปฏิสนธิ โดยการฉีด Ca2+ เข้ าไป หรื อการทํา temperature
shock การกระตุ้นแบบนีจะทําให้ metabolism ต่ างๆในไข่ เกิดการ
้
เปลี่ยนแปลงได้ และทําให้ ไข่ เจริญต่ อไปแบบ parthenogenesis ได้
ถึงแม้ ว่ามีการทดลองต่ อไปอีกโดยการนํานิวเคลียสของไข่ ท่ ี
กระตุ้นแบบนีออก ไข่ ยังคงสร้ างโปรตีนชนิดต่ างๆได้ แสดงให้ เห็น
้
ว่ า mRNA ซึ่งเป็ นต้ นแบบในการสังเคราะห์ โปรตีนเหล่ านีได้ ถูก
้
สร้ างขึนแล้ วในไซโตพลาสซึม
้
ขันตอนต่ อมาจาก activation คือนิวเคลียสของสเปิ ร์ มจะ
้
รวมกับนิวเคลียสของไข่ เกิดเป็ นไซโกต เกิด DNA replication และ
มีการแบ่ งเซลล์ ครังแรกเกิดขึน
้
้
110
111. A wave of Ca 2+ release during the cortical reaction
รูปแสดงเทคนิคการใช้ สี fluorescent dye ซึ่งเป็ นสีเมื่อรวมกับ Ca 2+ จะเกิดเรื องแสงได้ เพื่อ
ตรวจ cortical reaction จากบริเวณที่สเปิ ร์ มแตะกับไข่ (0 sec)ระหว่ างการปฏิสนธิของไข่ ปลา
ศึกษาภายใต้ กล้ องจุลทรรศน์ จะเห็นได้ ว่าวงของ Ca2+ ได้ ขยายกว้ างขึนในเวลาต่ อมา แสดงว่ า
้
ในระหว่ างนัน Ca2+ ถูกปล่ อยออกมาจาก endoplamic reticulum เข้ าไปในไซโตพลาสซึม Ca2+ ที่
้
มีอยู่ในไซโตพลาสซึมมาก ทําให้ cortical granules รวมกับ plasma membrane สร้ างเป็ น
fertilization membrane นอกจากนียังช่ วยกระตุ้นการเปลี่ยนแปลง metabolism ภายในไข่ ท่ ี
้
111
ปฏิสนธิด้วย
113. รู ปลักษณะของไข่
รูปร่ างและขนาดของไข่ สัตว์ ประเภทต่ างๆแตกต่ างกันไป รอบๆไข่ อาจมีเยือ
่
ป้ องกันอยู่ เช่ น vitelline membrane หรือไข่ บางชนิดมีวุ้นหุ้ม เช่ น ไข่ ของสั ตว์
สะเทินนําสะเทินบกหรือมีไข่ ขาวและเปลือกหุ้ม เช่ นไข่ พวกสั ตว์ ปีก ภายในไซโตพลา
้
สซึมของไข่ มกจะมีอาหารหรือไข่ แดงสะสมอยู่ ไข่ แบ่ งออกได้ เป็ นชนิดต่ างๆ ดังนี้
ั
1. แบ่ งตามปริมาณของไข่ แดง(amount of egg) มี 4 แบบ คือ
1.1 Alecithal egg ได้ แก่ไข่ ทไม่ มอาหารสะสมอยู่เลย เช่ น ไข่ ของพวกสั ตว์ เลียง
ี่ ี
้
ลูกด้ วยนํานม
้
1.2 Microlecithal egg ได้ แก่ไข่ ทมไข่ แดงอยู่บ้างเล็กน้ อย เช่ น ไข่ พวกดาวทะเล
ี่ ี
หรือ หอยเม่ น
1.3 Mesolecithal egg ได้ แก่ไข่ ทมอาหารอยู่ในไซโตพลาสซึมบ้ างพอสมควร
ี่ ี
เช่ น ไข่ กบ คางคก
1.4 Polylecithal egg ได้ แก่ไข่ ทมไข่ แดงเป็ นจํานวนมาก ได้ แก่สัตว์ เลือยคลาน
ี่ ี
้
และสั ตว์ ปีก
113
114. 2. แบ่ งโดยการกระจายของอาหารในไซโตพลาสซึม
(distribution of yolk)
2.1 Isolecithal egg ในไซโตพลาสซึมมีไข่ แดงกระจายอยู่ทวไป
ั่
อย่ างสมํ่าเสมอ เช่ น ไข่ ปลาดาวและหอยเม่ น
2.2 Telolecithal egg การกระจายของไข่ แดงอยู่ค่อนไปทางส่ วนใด
ส่ วนหนึ่งของไซโตพลาสซึม แยกออกเป็ นพวกต่ างๆ ดังนี้
2.2.1 Moderately telolecithal egg ไข่ แดงอยู่ค่อนไปทาง
ด้ านล่าง เช่ น ไข่ กบ ไข่ คางคก
2.2.2 Heavily telolecithal egg ไข่ แดงอยู่รวมกันเป็ นก้อน
แยกจากไซโตพลาสซึม เช่ น ไข่ สัตว์ เลือยคลาน และสั ตว์ ปีก
้
2.2.3 Centrolecithal egg ไข่ แดงรวมกันเป็ นก้อนอยู่ตรง
กลาง
มีไซโตพลาสซึมอยู่ล้อมรอบ เช่ นไข่ แมลง
114
117. เซลล์ไข่ ของสั ตว์ ประเภทต่ างๆพร้ อมทีจะเกิด fertilization ในระยะ
่
ต่ างๆกัน เช่ น
1. ตั้งแต่ ยงไม่ เกิด meiosis เช่ น หนอน
ั
2. ระยะ meiosis I เช่ น Ascaris (หนอนพยาธิไส้ เดือนตัวกลม)
3. ระยะ meiosis II เช่ น สั ตว์ เลียงลูกด้ วยนม คน
้
4. เมื่อเกิด meiosis สมบูรณ์ เช่ น สั ตว์ พวก echinoderms
117
118. Development of multicellular organisms
• Fertilization
• Embryonic development
• Larval development (metamorphosis)
• Maturation of individual (gametogenesis)
• Aging
• Death
118
119. Embryonic development เกี่ยงข้ องกับ
1. Cell division
ไข่ ท่ ผสมแล้ วเป็ นเซลล์ เดี่ยว นิวเคลียสเป็ น diploid แบ่ งแบบ mitosis
ี
และต่ อมาไซโตพลาสซึมแบ่ งทําให้ ได้ เซลล์ เป็ นจํานวนมาก
2. Differentiation
ในระหว่ างการเจริญจะเกิดมีเซลล์ หลายชนิดขึนในเอมบริโอ เซลล์
้
เหล่ านีเ้ ป็ นผลของการเปลี่ยนแปลงหลายอย่ างจากเซลล์ เดิม บางเซลล์
กลายเป็ นเซลล์ กล้ ามเนือ เซลล์ ผิวหนัง เป็ นต้ น เซลล์ เหล่ านีจะมีการเรี ยงตัว
้
้
และจับกลุ่มกันตามส่ วนต่ างๆของร่ างกายในลักษณะที่สามารถทําหน้ าที่
พิเศษได้ อย่ างมีประสิทธิภาพ
3. Morphogenesis
เป็ นกระบวนการแบ่ งเซลล์ เคลือนที่ และเปลียนแปลงรูปร่ างเพือทําให้
่
่
่
สิ่งมีชีวตแต่ ละชนิดมีรูปร่ างลักษณะเป็ นแบบเฉพาะตัว
ิ
119
122. Embryonic development
เป็ นการศึกษาช่ วงระยะการเจริญของเอมบริโอ ซึ่งจะเริ่มต้ น
หลังจากไข่ เกิดการปฏิสนธิแล้ ว เอมบริโอระยะแรกคือไซโกต ระยะ
เอมบริโอจะสินสุดเมื่อเกิดอวัยวะต่ างๆครบ
้
ในสัตว์ ชนิดต่ างๆจะมีช่วงเวลาของการเกิดเอมบริโอ
แตกต่ างกัน เช่ นในคน ประมาณ 8-10 สัปดาห์ ไก่ ประมาณ 4 วัน
และกบประมาณ 2 วัน เป็ นต้ น
จากไซโกตซึ่งเป็ นเซลล์ เดี่ยวไปสู่สภาพที่ซับซ้ อนขึน โดย
้
เกิดขึนเป็ นลําดับขันตอนต่ างๆดังนี ้
้
้
1. Cleavage
2. Blastula
3. Gastrulation
122
4. Organogenesis
123. Cleavage
เป็ นกระบวนการที่ไซโกตมีการแบ่ งเซลล์ แบบ mitotic
division อย่ างรวดเร็วทําให้ ได้ เอมบริโอที่มีหลายเซลล์ หรือเรียกว่ า
blastula
• ระยะ cleavage เซลล์ จะผ่ าน S และ M phase ของ cell cycle โดย
ไม่ เกิด G1 และ G2
• gene transcription เกิดขึนน้ อยมาก และเอมบริโอไม่ เพิ่มขนาดขึน
้
้
• cytoplasm ของ zygote จะแบ่ งจนได้ เซลล์ เล็กๆจํานวนมาก เรียก
blastomeres
• องค์ ประกอบในเซลล์ (mRNA, proteins, yolk) กระจายไม่
สมํ่าเสมอ (polarity)
• yolk เป็ น key factor ในการกําหนด polarity และมีผลต่ อ cleavage
123
126. Zygote ประกอบด้ วย 2 ส่ วน ได้ แก่
1. vegetal pole
2. animal pole
•ไข่ กบ 2 ส่ วนนีมีสีแตกต่ างกัน
้
•cytoplasm ของไข่ กบจัดเรี ยงตัวใหม่ ขณะเกิด fertilizationทําให้
เกิดบริเวณสีเทา ที่เรียกว่ า gray crescent ซึ่งเกิดบริเวณตรงกลาง
ของไข่ ด้านตรงข้ ามกับที่ sperm เจาะเข้ าไป
•Cleavage ที่ animal pole เกิดขึนเร็วกว่ าที่ vegetal pole
้
•ผลของ cleavage ได้ เอมบริโอมีลักษณะเป็ นก้ อนกลมตัน เรี ยกว่ า
morula
•ต่ อมาเกิดช่ องว่ างที่มีของเหลวบรรจุอยู่ (blastocoel)ภายใน
morula เรี ยกเอมบริโอระยะนีว่า blastula
้
126
128. ปริมาณ yolk ที่อยู่ในไข่ มีผลต่ อ cleavage
•ไข่ ท่ มี yolk น้ อยหรือปานกลาง การแบ่ งเซลล์ เกิดขึนตลอดทังไข่
ี
้
้
เรียก holoblastic cleavage
•ไข่ ท่ มีปริมาณ yolk มาก (นก, สัตว์ เลือยคลาน) cleavage ไม่ เกิด
ี
้
ตลอดทังไข่ แบ่ งเฉพาะส่ วนที่ไม่ มี yolk ด้ าน animal pole เรี ยก
้
meroblastic cleavage
Cleavage ของ
ไข่ sea urchin, mammal เป็ นแบบ equal holoblastic cleavage
ไข่ กบ
“
unequal holoblastic cleavage
ไข่ ไก่
“
meroblastic cleavage
128
130. เซลล์จํานวนมากทีได้ จาก cleavage จะมีการเรียงตัวกันเตรียมทีจะเจริญ
่
่
ต่ อไป การเปลียนแปลงนีเ้ รียกว่ า Blastulation กลุ่มเซลล์ blastomeres จะมาเรียง
่
ตัวเป็ นชั้นเดียว เอมบริโอระยะนีเ้ รียกว่ า blastula
ภาพตัดตามขวางลักษณะเอมบริโอขั้น blastula ของหอยเม่ น
130
131. การแบ่ งตัวของไข่ สัตว์ พวกสะเทินนําสะเทินบก
้
ลักษณะไข่ กบแบ่ งออกเป็ นด้ าน
animal pole ด้ านที่ตดสีเข้ ม ซึ่งเป็ นส่ วน
ิ
ที่จะเจริญเป็ นด้ านหน้ าของเอมบริโอ
ส่ วนอีกด้ านหนึ่งสีอ่อนกว่ า เรี ยกว่ า
ด้ าน vegetal pole ถ้ าเป็ นไข่ ท่ได้ รับการ
ี
ผสมแล้ ว จะเห็นมีแถบสีเทาเรี ยก gray
crescent ซึ่งเกิดขึนเนื่องจากเม็ดสี
้
เคลื่อนที่ไปขณะที่สเปิ ร์ มเจาะเข้ าไปใน
ไข่ และเกิดขึนด้ านตรงข้ ามกับด้ านที่
้
สเปิ ร์ มเจาะเข้ าไป gray crescent นีจะ
้
เป็ นส่ วนหลังของเอมบริโอ แกนส่ วน
ต่ างๆของเอมบริโอได้ ถกกําหนดมา
ู
แล้ า ตังแต่ ตอนที่ไซโกตเริ่มแบ่ ง แนว
้
แรกของการแบ่ งจะผ่ านแนวกลางของ
gray crescent
131
132. คลีเวจของเอมบริโอกบ
(a), (b) และ (c) แสดง blastula จากภายนอก คลีเวจเป็ นแบบที่มีการแบ่ งตลอดไข่
แต่ แบ่ งไม่ เท่ ากัน ดังนัน blastomere ที่ได้ จงมีขนาดแตกต่ างกัน
้
ึ
(d) แสดงภาพตัดตามขวางของ blastula ช่ อง blastocoel ที่เกิดขึนอยู่ค่อนไป
้
ทางด้ าน animal pole blastoderm ประกอบด้ วยกลุ่มเซลล์ ท่ ีเรี ยงตัวมากกว่ า132 ชัน
1 ้
133. คลีเวจของเอมบริโอสั ตว์ ปีกและสั ตว์ เลือยคลาน
้
สําหรั บไข่ พวกนกและสัตว์ เลือยคลานเป็ นไข่ ท่ ีมีไข่ แดงมาก คลีเวจ
้
เป็ นแบบ meroblastic คือเซลล์ ไม่ แบ่ งตัวตลอดไข่ แนวการแบ่ งจะเกิด
เฉพาะบริเวณด้ านบนของไข่ ซ่ งมีไซโตพลาสซึมและนิวเคลียสอยู่เท่ านัน คือ
ึ
้
บริเวณ germinal disc
133
134. Blastula ของเอมบริโอ สั ตว์ ปีกและสั ตว์ เลือยคลาน
้
ลักษณะของ blastula เห็นเป็ นแผ่ น
เรี ยกว่ า bastodisc ซึ่งจะเรี ยงตัวแยกเป็ น 2 ชัน
้
ชันนอกเรี ยก epiblast และชันในเรี ยก hypoblast
้
้
ช่ องว่ างตรงกลางเรี ยก blastocoel
134
137. คลีเวจของเอมบริโอคนหรือสั ตว์ พวกไพรเมต
คนหรือสั ตว์ พวกไพรเมตมีไข่ เป็ นชนิด alecithal การปฏิสนธิเกิดขึน
้
ภายในท่ อนําไข่ แล้วจึงเคลือนทีมาทีผนังมดลูก cleavage เป็ นแบบ
่ ่ ่
holoblastic ระหว่ างทีเ่ อมบริโอเคลือนทีมาสู่ ผนังมดลูกจะมีการเคลือนทีของ
่ ่
่ ่
กลุ่มเซลล์ แยกออกเป็ น 2 กลุ่ม ได้ แก่ trophoblast เป็ นกลุ่มเซลล์ทเี่ รียงตัวชั้น
เดียวอยู่รอบนอก ซึ่งในการเจริญต่ อไปจะเจริญร่ วมกับเนือเยือของผนังมดลูก
้ ่
กลายเป็ นรก กลุ่มเซลล์ทอยู่ภายในคือ inner cell mass เป็ นส่ วนทีเ่ จริญต่ อไป
ี่
เป็ นเอมบริโอ เนื่องจากเอมบริโอมีลกษณะเป็ นถุง ดังนั้นจึงเรียกเอมบริโอ
ั
ระยะนีว่า blastocyst
้
137
140. เนือ 3 ชัน เรียก embryonic germ layers
้
้
1. ectoderm เนือชันนอกของ gastrula
้ ้
2. mesoderm เนือชั้นกลาง
้
3. Endoderm เนือชันในซึ่งเป็ นท่ อยาว
้ ้
140
141. Gastrulation ของเม่ นทะเล
(1) เมื่อคลีเวจสินสุดลงจะได้ เอมบริโอระยะ blastula Gastrulation เริ่มจากการ
้
ที่ blastula มีการเคลื่อนที่ของกลุ่มเซลล์ ทางด้ าน vegetal pole เริ่มแบน
เรี ยกว่ า vegetal plate เซลล์ mesenchyme (ซึ่ งต่ อไปจะเจริญเป็ น mesoderm)
หลุดออกจาก vegetal pole และเคลื่อนที่เข้ าไปใน blastocoel
(2) ต่ อมา vegetal plate จะเคลื่อนที่บ๋ ุมตัวเข้ าข้ างใน และเซลล์ mesenchyme
เคลื่อนที่แผ่ เข้ าไปข้ างใน เรี ยกว่ า filopodia
(3), (4) endoderm cell ที่บ๋ ุมตัวเข้ าข้ างใน ทําให้ เกิดช่ องว่ าง เรี ยกว่ า
archenteron ซึ่งต่ อไปจะเจริญเป็ นท่ ออาหาร) ช่ องที่ตดต่ อภายนอกเรี ยกว่ า
ิ
blastopore ต่ อมาช่ อง archenteron จะติดต่ ออีกด้ านหนึ่ง endoderm เชื่อม
ติดต่ อกัน ectoderm
(5) เมื่อสินสุด gastrulation gastrula มีทางเดินอาหารที่บุด้วย endoderm มี
้
ช่ องปาก (mouth) และทวารหนัก (anus)
141
143. Gastrulation ของกบ
กลุ่มเซลล์ ทางด้ านบนมีการแบ่ งตัว
อย่ างรวดเร็ว และเคลื่อนที่แผ่ ลงคลุม
เซลล์ ทางด้ านล่ าง พร้ อมกันนันตรง
้
บริเวณที่จะเกิดเกิดเป็ น blastopore จะมี
การบุ๋มตัวของกลุ่มเซลล์ เหล่ านี ้ กลุ่ม
เซลล์ ท่ ีเคลื่อนที่จะลงมาจากด้ านบน
และม้ วนตัวผ่ านตรง blastopore เข้ าสู่
ภายใน ทําให้ ได้ เป็ นเอมบริโอที่มีเนือ 3
้
ชัน ช่ องว่ างภายในที่เกิดขึนใหม่ คือ
้
้
archenteron
143
144. Gastrulation ของไก่
ระยะ gastrulation กลุ่มเซลล์ epiblast ด้ านขวาและซ้ ายจะเคลื่อนที่เข้ าสู่แนวกลาง
เรี ยกว่ า primitive streak และกลุ่มเซลล์ จะม้ วนตัวเข้ าไปข้ างใน โดยกลุ่มเซลล์ ทาง
ด้ านหน้ าสุดของ primitive streak ที่เรี ยกว่ า Hensen’s node ม้ วนตัวเข้ าไปก่ อนเกิด
เป็ นแท่ ง notochord บางกลุ่มเจริญเป็ นชัน mesoderm บางกลุ่มเคลื่อนที่ลงไป
้
ด้ านล่ างเกิดเป็ น endoderm และกลุ่มเซลล์ ท่ ีอยู่ด้านนอกเกิดเป็ น ectoderm144
146. Organogenesis
การเกิดอวัยวะต่ างๆจากเนือ 3 ชัน
้
้
•neutral tube และ notochord เป็ นอวัยวะแรกที่เกิดขึนในกบ และ
้
สัตว์ พวก chordate อื่นๆ
•dorsal mesoderm เหนือ archenteron รวมกันเกิดเป็ น notochord
•ectoderm เหนือ notochord หนาตัวขึนเกิดเป็ น neutral plate แล้ ว
้
บุ๋มลงไปเป็ น neutral tube ซึ่งต่ อไปจะเจริญเป็ น brain, spinal cord
•อวัยวะอื่นๆเกิดขึนตามมา
้
146
148. การเจริญของระบบประสาท
ของเอมบริโอกบ
neural plate ต่อมามีการบุมตัวลง
๋
ตรงกลาง ทําให้ เกิดเป็ นร่องยาวขึ ้น
เรี ยกว่า neural groove สันทังสองข้ าง
้
เรี ยกว่า neural fold ซึงจะเคลื่อนที่เข้ า
่
หากันและในที่สดจะเชื่อมกันทําให้ เกิด
ุ
เป็ นท่อประสาทที่เรี ยกว่า neural tube
ขึ ้น นอกจากนี ้ ectoderm ที่อยูด้านบน
่
จุดที่เชื่อมกัน เรี ยกว่า neural crest ซึง
่
ต่อไปจะเจริญเป็ นโครงสร้ างต่างๆ เช่น
กระดูก กล้ ามเนื ้อ ผิวหนัง และ ปม
ประสาทต่างๆ เป็ นต้ น
148