More Related Content
Similar to ย่อยอาหาร (20)
More from Wichai Likitponrak
More from Wichai Likitponrak (20)
ย่อยอาหาร
- 2. การย่อยอาหาร (DIGESTION)
2
สิ่งมีชีวิตทุกชนิด มีความต้องการหาอาหารเพื่อให้ตนเองสามารถดารงชีพอยู่บนโลกได้ ดังนั้น เรา
สามารถจะจาแนกสิ่งมีชีวิตตามการจัดหาอาหารออกเป็น 2 พวกใหญ่ ๆ คือ
1. Autotroph คือสิ่งมีชีวิตที่สามารถสร้างอาหารเองได้จากสารอนินทรีย์ ได้แก่ Photosynthesis เช่น
พวกพืชสีเขียวต่าง ๆ ได้พลังงานในการสังเคราะห์ด้วยแสงโดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ และ
Chemosynthesis เช่น ในแบคทีเรียบางชนิด อาศัยพลังงานจากปฏิกิริยาเคมี
2. Heterotroph คือสิ่งมีชีวิตที่สร้างอาหารเองไม่ได้ ได้แก่ พวกสัตว์ได้อาหารจากสิ่งที่สร้างมาแล้ว
แบ่งตามชนิดของอาหารที่กินเข้าไป
Herbivore สัตว์กินพืช เช่น กระต่าย กอริลลา วัว หอยทาก เป็นต้น
Carnivore สัตว์ที่กินเนื้อ เช่น เสือ แมว ฉลาม
Omnivore สัตว์ที่กินทั้งพืชและสัตว์ เช่น แมลงสาบ อีกา และคน
- 3. ประเภทของการย่อยอาหาร
1. Intracellular digestion คือ การที่เซลล์นาอาหารเข้าไปภายในจนทาให้เกิดถุงอาหาร (Food
vacuole) แล้วใช้นาย่อยย่อยอาหารในเซลล์นั้น
2. Extracellular digestion คือ การที่เซลล์ขับน้าย่อยออกมาย่อยอาหารนอกเซลล์จนกลายเป็นโมเลกุล
เล็ก ๆ แล้วดูดซึมไปใช้ประโยชน์ต่อไป
3
- 4. ประเภทของทางเดินอาหาร
1. Complete digestive tract ประกอบด้วยช่องเปิด 2 ช่อง ทำหน้ำที่เป็นปำกและทวำรหนัก
ตำมลำดับ
2. Incomplete digestive tract ประกอบด้วยช่องเปิดเพียง 1 ช่อง คือ อำหำรเข้ำทำงปำกและกำก
อำหำรออกทำงเดียวกัน
4
- 5. หน้าที่ของทางเดินอาหาร แบ่งออกเป็น 4 ประการ คือ
1. การกิน เป็นการนาอาหารเข้าร่างกาย
2. การย่อยอาหาร เป็นการทาให้ได้สารอาหารเพื่อนาไปใช้ได้
3. การดูดซึม เป็นการนาสารอาหารโมเลกุลเล็กเหล่านั้น เข้าสู่เซลล์ เพื่อเข้าสู่ระบบไหลเวียนต่อไป
4 .การขับออก โดยจะขับสารที่ย่อยไม่ได้ ออกเป็นกากอาหาร
5
- 6. หน้าที่จะสาเร็จได้ต้องมี 3 กระบวนการนี้
1. การเคลื่อนไหว เป็นการคลุกเคล้าอาหารและผลักอาหารให้เคลื่อนไปตามทางเดินอาหาร
2. การหลั่ง เป็นการหลั่งน้าย่อยจากต่อมมีท่อตามทางเดินอาหาร
3. การขนส่ง เป็นกลไกการดูดซึมสารอาหาร รวมถึงการขนส่งไปยังเส้นเลือดหรือท่อน้าเหลือง
6
1.การย่อยเชิงกล เป็นการย่อยอาหารโดยการบดหรือเคี้ยวเพื่อให้อาหารมีขนาดเล็กลง เช่นใน
vertebrate ใช้ฟันบดเคี้ยว ในไส้เดือนดินใช้กึ๋น (Gizzard) บด เป็นต้น
2. การย่อยเชิงเคมี เป็นการย่อยอาหาร โดยใช้น้าย่อย หรือ Enzyme เข้าช่วยเพื่อให้อาหารมีโมเลกุล
เล็กที่สุด แล้วจึงทาการดูดซึมเข้าสู่เซลล์ได้
ขั้นตอนของการย่อยอาหาร
- 11. 11
Intracellular and extracellular digestion
- พบในหนอนตัวแบน(พลานาเรีย) และ cnidarians(เช่น แมงกะพรุน, ไฮดรา)
- มี gastrovascular cavity ที่เป็นช่องสาหรับน้า,
อาหาร และอากาศเข้าสู่ร่างกาย
- ทางเข้าและออกของอาหารเป็นทางเดียวกัน
(incomplete digestive tract)
- หลังจากอาหารเข้าสู่ gastrovascular cavity
จะมีการปล่อยเอนไซม์จากเซลล์ออกมาย่อย
เรียกการย่อยนี้ว่า extracellular digestion
- อาหารที่ย่อยแล้วยังมีขนาดใหญ่อยู่ จะถูก
นาเข้าสู่เซลล์โดยวิธี phagocytosis
และย่อยต่อไป
- 15. การย่อยอาหารของสัตว์ที่มีทางเดินอาหารสมบูรณ์
หนอนตัวกลม (Nematode) เป็นสัตว์พวกแรกที่มีทางเดินอาหารสมบูรณ์ ประกอบด้วย ปาก
(Mouth) คอหอย(Pharynx) ซึ่งมีลักษณะเป็นท่อยาวที่มีกล้ามเนื้อบุผนังหนามาก ช่องภายใน
ค่อนข้างแคบ การบีบตัว การคลายตัวของกล้ามเนื้อบุผนังฟาริงซ์ จะทาให้เกิดแรงดูด ทาให้
อาหาร เคลื่อนเข้าสู่ลาไส้ (Intestine) ซึ่งเป็นท่อยาวมีลิ้นปิดเปิดระหว่างลาไส้กับคอหอย การ
ย่อยอาหารและดูดซับอาหารเกิดขึ้นภายในลาไส้ การย่อยอาหารเป็นการย่อยแบบภายนอกเซลล์
จากนั้นขับกากออกทางทวารหนัก (Anus) สาหรับหนอนตัวกลมที่เป็นปรสิต มักจะกินเนื้อเยื่อ
ต่าง ๆ หรือกินอาหารที่ย่อยแล้วของผู้ถูกอาศัย
15
- 16. 16
Extracellular digestion in complex animals
พบในสัตว์ส่วนใหญ่ ตั้งแต่หนอนตัวกลมจนถึงสัตว์มีกระดูกสันหลัง
- มีทางเปิดของปาก(mouth)และทวาร
หนัก(anus) แยกกันเรียก complete
digestive tract หรือ alimentary
canal-crop และกระเพาะอาหารทา
หน้าที่เก็บอาหาร (บางครั้งอาจมีการ
ย่อย)
- gizzard ทาหน้าที่บดอาหาร
ภาพที่แสดงลักษณะทางเดินอาหารของหนอนมีปล้อง
- 17. แมลง (INSECT)
ทางเดินอาหารคล้ายกับพวกแอนเนลิด แต่อวัยวะต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปบ้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพใน
การกินอาหาร หรือเพื่อให้เหมาะกับชนิดของอาหาร เช่น ปากของแมลง มีหลายชนิด มักใช้น้าลาย
ในการดูดอาหาร โดยยุงใช้น้าลายพ่นใส่เลือดเพื่อไม่ให้เลือดแข็งตัว ยุงจึงดูดไปใช้ได้ ผีเสื้อดู
น้าหวานโดยใช้งวงซึ่งม้วนเป็นวงดูดเข้าไป ส่วนแมลงวันปล่อยน้าลายออกมาละลาอาหารแล้วจึง
ดูดอาหารเข้าปาก จึงเห็นได้ว่าการทาให้อาหารเปลี่ยนสภาพมีขนาดเล็กลงนั้นเริ่มต้นที่ปาก
17
- 18. หากนาตั๊กแตนมาผ่าดูทางเดินอาหาร จะพบว่าประกอบด้วยปาก (Mouth) คอหอย(Pharynx)
หลอดอาหาร (Esophagus) ถุงพักอาหาร (Crop) ต่อมน้าลาย(Salivary gland) โป
รเวนตริคูลัส หรือกึ๋น (Proventiculus หรือ Gizzard) แกสตริกซีกา (Gastric ceca)
ทางเดินอาหารส่วนกลาง (Mid gut) หลอดมัลพิเกียน (Malpighian tubule) โคลอน
(Colon) เป็นส่วนหนึ่งของลาไส้ใหญ่ ส่งกากอาหารไปยังไส้ตรง (Rectum) แล้วจึงเปิดออกที่ทวาร
หนัก (Anus)
18
- 20. ปลา (FISH)
เป็นสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง กินอาหารหลากหลายชนิด ได้แก่ แพลงก์ตอน พืช สัตว์ ซึ่งมีความแตกต่าง
ของอวัยวะย่อยอาหารตั้งแต่ลักษณะของปาก ฟัน และทางเดินอาหาร
ปลาที่กินแพลงก์ตอนเป็นอาหาร ตัวอย่างเช่นปลาทู ปลาอกแล ปลาแป้น : ฟันขนาดเล็กมาก หรือไม่
มีฟันเลย นอกจากนั้นขากรรไกรก็ไม่แข็งแรง ส่วนปลาปากแตร ปากคล้ายหลอดดูด
ปลาตะเพียนปลาในมีฟันบดบริเวณคอหอยสาหรับบดพืชน้าหรือสาหร่ายที่กินเข้าไปให้ละเอียด
ปลาที่มีปากแข็งแรง เช่น ปลานกแก้ว ปลาสลิดหิน มีฟันขุด (จงอยปากนก) : สาหร่ายในหินปะการัง
สาหรับปลาล่าเหยื่อ เช่น ปลาอินทรีย์ ปลาปากคม ส่วนมากมีขากรรไกรทั้งล่างและบนแข็งแรงดี มีฟัน
แหลมคม มองเห็นได้ชัดเจน ปลาพวกนี้จับเหยื่อทีละตัว พวกปลากระเบน มีฟันแผงแข็งแรง จน
สามารถใช้ขบเปลือกหอยให้แตกเพื่อกินเนื้อหอย
ปากมีลิ้นขนาดเล็กที่ไม่ใช้งาน ทาหน้าที่รับสัมผัสอาหาร เมื่ออาหารเข้าปากแล้วก็จะเคลื่อนผ่านคอ
หอยหลอดอาหาร กระเพาะอาหารลาไส้ Pyloric ceca พบเฉพาะปลากินเนื้อ และออกมาทางทวาร
หนัก โดยการย่อยอาหาร จะอาศัยต่อมสร้างน้าย่อย ที่ประกอบด้วย ตับ ซึ่งมีถุงน้าดีเก็บน้าดี และตับ
อ่อนสร้างน้าย่อย
20
- 22. นก (BIRD)
นกกินอาหารที่มีพลังงานสูงและมีการย่อยอาหารอย่างรวดเร็ว นกไม่มีฟันและต่อมน้าลายเจริญไม่ดี
แต่สามารถสร้างเมือกสาหรับคลุกเคล้าอาหารและหล่อลื่น ลิ้นมีต่อมรับรสน้อยแต่ก็รับรสได้บ้าง คอ
หอยสั้น หลอดอาหารค่อนข้างยาวมีผนังกล้ามเนื้อตอนปลายมีกระเพาะพักอาหาร (Crop) มีหน้าที่
เก็บอาหาร และนาไปย่อยในกระเพาะอาหาร (Stomach หรือ Proventriculus)
สร้างน้าย่อย ถัดไปเป็นกระเพาะบดหรือกึ๋น (Gizzard) มีกล้ามเนื้อหนาผนังด้านในเป็นสันใช้บด
อาหาร นอกจากนี้นกยังมีการกลืนก้อนกรวดขนาดเล็กเข้าไปช่วยในการบดอาหาร ถัดไปเป็นลาไส้
เล็ก ลาไส้ใหญ่ และโคลเอกา
22
- 23. 23
การย่อยอาหารในกระเพาะอาหารของสัตว์เคี้ยวเอื้อง
1) เริ่มแรกวัวจะเคี้ยวและกลืนหญ้า
ในรูปของbolus เข้าสู่rumen
2) bolusบางส่วนอาจเคลื่อนเข้าสู่
reticulum ทั้ง rumen และ
reticulum มี symbiotic
prokaryotes และ protists ทา
หน้าที่ย่อยเซลลูโลสและหลั่ง
กรดอะมิโนออกมา
3) อาหาร(cud)บางส่วนจาก(2)จะ
ถูกนากลับออกมาเคี้ยวใหม่
4) วัวจะกลืนcudจาก(3)กลับเข้าสู่กระเพาะ
ส่วน omasum ที่มีการดูดน้ากลับ
5) cudที่มีปริมาณจุลินทรีย์มากๆ จะเคลื่อนสู่กระเพาะส่วน abomasum กระเพาะส่วนนี้มีการ
หลั่งเอนไซม์ออกมาย่อยอาหาร ดังนั้นอาจถือได้ว่าส่วนนี้เป็นกระเพาะอาหารที่แท้จริง
และ 3 ส่วนแรกถือเป็นส่วนขยายของหลอดอาหาร
- 26. 26
ช่องปาก (oral cavity)
- ในช่องปากมีต่อมน้าลาย 3 คู่
- น้าลายประกอบด้วยสารไกลโคโปรตีนที่มีลักษณะลื่น
เรียก mucin มีบทบาทในการทาให้อาหารลื่น กลืนง่าย
ป้องกันเยื่อบุช่องปากและฟันไม่ให้ผุ
- ในน้าลายมีน้าย่อย amylase สาหรับ
ย่อยแป้งและไกลโคเจน--- ลิ้นในช่องปาก
ทาหน้าที่คลุกเคล้าอาหารให้เป็นก้อน
เรียก bolus
- 27. 27
• มี 3 คุ่ อยู่ข้างกกหู ใต้ลิ้น และใต้ขากรรไกร
• ผลิตน้าลายวันละประมาณ 1-1.5 ลิตร
• น้าลายมีน้าเป็นองค์ประกอบร้อยละ 99.5 มี pH 6.2-7.4
• มีส่วนประกอบที่เป็นเมือก ทาหน้าที่หล่อลื่นอาหาร
• มีเอนไซม์อะไมเลสย่อยแป้ง
ต่อมน้าลาย
ฟัน
• ฟันแต่ละซี่มี 2 ส่วน คือ ตัวฟัน
(crown) และรากฟัน (root)
• ส่วนนอกสุดของตัวฟัน คือ สาร
เคลือบฟัน ( enamel)
• ถัดมาเป็นชิ้นเนื้อฟัน ( dentine) และ
โพรงฟัน ( pulp cavity )
- 30. 30
กระเพาะอาหาร (stomach) ต่อมแกสตริก (gastric gland) ประกอบด้วยเซลล์ 3 ชนิด
1.mucous cell หลั่งเมือกป้องกันไม่ให้
เซลล์กระเพาะถูกย่อย
2.parietal cell หลั่งกรดเกลือ (HCl)
3.chief cell หลั่ง pepsinogen
กรดเกลือเปลี่ยน pepsinogen
เป็น pepsin
acid chyme ส่วนผสมของอาหารที่กลืนลง
ไปกับน้าย่อย
- 35. 35
การย่อยไขมันในลาไส้เล็กของคน
• ตับทาหน้าที่สร้างน้าดี (bile) เก็บไว้ที่ถุงน้าดี
( gall bladder )
• น้าดีมีส่วนประกอบที่สาคัญคือ เกลือน้าดี
(bile salt) ช่วยให้ไขมันแตกตัวเป็นหยดไขมัน
เล็กๆ และแทรกรวมกับน้าได้ในรูป อิมัลชัน
(emulsion)
• ตับอ่อนและเซลล์ที่ผนังลาไส้เล็กจะสร้าง
เอนไซม์ลิเพส ซึ่งจะย่อยไขมันที่อยู่ในรูป
อิมัลชันให้เป็นกรดไขมันและกลีเซอรอล
• เกลือน้าดีถูกดูดซึมที่ลาไส้ใหญ่ เพื่อให้ตับนา
กลับมาใช้ใหม่
- 40. 40
การดูดซึมอาหาร • เป็นกระบวนการนาสารอาหารเข้าสู่เซลล์
กระเพาะอาหาร • ดูดซึมสารที่ละลายในลิพิดได้ดี เช่น แอลกอฮอล์ และยาบางชนิด
ลาไส้เล็ก • ดูดซึมสารอาหาร น้า วิตามิน และแร่ธาตุๆ
• ผนังด้านในของลาไส้เล็กบุด้วยเซลล์บุผิวชั้นเดียว
เรียกว่า วิลลัส (vilus) ทาหน้าที่ดูดซึมสารอาหาร
• ดูดซึมน้ำ วิตำมิน และแร่ธำตุ
• มีแบคทีเรียพวก Escherichia coliช่วยสังเครำะห์วิตำมิน K B12 กรดโฟ
ลิก , ไบโอทิน
ลาไส้ใหญ่
ลาไส้ใหญ่(large intestine) ลาไส้ตรง(rectum) และทวารหนัก(anus)
- ลาไส้ใหญ่ทาหน้าที่ดูดน้าและเกลือแร่
- กากอาหารในลาไส้ใหญ่เคลื่อนแบบ peristalsisและอยู่ในลาไส้ใหญ่นาน 12-24 ชม.
- ลาไส้ตรงเป็นที่เก็บกากอาหาร ซึ่งอุดมด้วยจุลลินทรีย์และเซลลูโลส
- ระหว่างลาไส้ตรงและทวารหนักมีหูรูด (sphincter) 2 อัน (อันแรกอยู่ใต้อานาจจิตใจ ส่วนอีกอันอยู่นอก
อานาจจิตใจ)
- 41. 41
• ยาวประมาณ 1.50 เมตร
• ประกอบด้วยส่วนโคลอน
ไส้ตรง (rectum)
และทวารหนัก (anus)
ลาไส้ใหญ่ (large intestine)