More Related Content
Similar to กล้องจุลทรรศน์ (Microscope) (20)
กล้องจุลทรรศน์ (Microscope)
- 2. 1. นาย พลวัตร รื่นอายุ
กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง (light microscope)
- 3. กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง (light microscope)
กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงแบบเชิงประกอบ (compound light
microscope) เป็นกล้องจุลทรรศน์ ชนิดที่ใช้เลนส์หลายอันและ
มีกำาลังขยายต่างๆ กันจะเห็นภาพวัตถุได้โดยมีการสะท้อนแสงจาก
วัตถุเข้าสู่เลนส์
ประกอบด้วย เลนส์ 2 ชุด คือ เลนส์ใกล้วัตถุ (objective lens)
และเลนส์ใกล้ตา (ocular lens หรือ eyepiece) กำาลังขยาย
ของภาพคือ ผลคูณของกำาลังขยายของเลนส์ใกล้วัตถุกับกำาลัง
ขยายของเลนส์ใกล้ตา ความสามารถในการแจกแจงรายละเอียด
ของภาพของกล้องจุลทรรศน์ขึ้นอยู่กับ คุณสมบัติของเลนส์ และ
แสงต้นกำาเนิดการหากำาลังขยาย
กำาลังขยายของกล้อง = กำาลังขยายของเลนส์ใกล้ตา x
กำาลังขยายของเลนส์ใกล้วัตถุ
ส่วนประกอบของกล้องจุลทรรศน์
- 5. 2. จานหมุน (EVOLVING NOSEPIECE) เป็นส่วนของกล้องที่ใช้
สำาหรับหมุน เพื่อเปลี่ยนกำาลังขยายของ
เลนส์ใกล้วัตถุ
3. เลนส์ใกล้วัตถุ ( OBJECTIVE LENS ) 10 X จะติดอยู่เป็นชุด
กับจานหมุน ซึ่งเป็นส่วนของกล้องที่ประกอบด้วย
เลนส์ ซึ่งรับแสงที่ส่องผ่านมาจากวัตถุที่นำามาศึกษา
( Specimen ) เมื่อลำาแสงผ่านเลนส์ใกล้วัตถุ เลนส์ใกล้วัตถุจะ
ขยายภาพของวัตถุนั้น ได้ 10 เท่า จากวัตถุจริง และทำาให้ภาพที่
ได้เป็นภาพจริงหัวกลับ
4. เลนส์ใกล้วัตถุ ( OBJECTIVE LENS ) 40 X จะติดอยู่เป็นชุด
กับจานหมุน ซึ่งเป็นส่วนของกล้องที่ประกอบด้วย
เลนส์ ซึ่งรับแสงที่ส่องผ่านมาจากวัตถุที่นำามาศึกษา
( Specimen ) เมื่อลำาแสงผ่านเลนส์ใกล้วัตถุ เลนส์ใกล้วัตถุจะ
ขยายภาพของวัตถุนั้น ได้ 40 เท่า จากวัตถุจริง และทำาให้ภาพที่
ได้เป็นภาพจริงหัวกลับ
5. เลนส์ใกล้วัตถุ ( OBJECTIVE LENS ) 100 X จะติดอยู่เป็นชุด
กับจานหมุน ซึ่งเป็นส่วนของกล้องที่ประกอบด้วยเลนส์ ซึ่งรับแสง
ที่ส่องผ่านมาจากวัตถุที่นำามาศึกษา ( Specimen ) เมื่อลำาแสง
ผ่านเลนส์ใกล้วัตถุ เลนส์ใกล้วัตถุจะขยายภาพของวัตถุนั้น ได้
100 เท่า จากวัตถุจริง และทำาให้ภาพที่ได้เป็นภาพจริงหัวกลับ
6. ที่หนีบสไลด์ (Stage clip) ใช้หนีบสไลด์ให้ติดอยู่กับแท่นวาง
วัตถุ ในกล้องรุ่นใหม่จะมี Mechanical stage แทน
เพื่อควบคุม การเลื่อนสไลด์ให้สะดวกยิ่งขึ้น
7. คอนเดนเซอร์( CONDENSER ) จะอยู่ด้านใต้ของแท่นวาง
วัตถุ เป็นเลนส์รวมแสง เพื่อรวมแสงผ่านไป
ยังวัตถุที่อยู่บนสไลด์ สามารถเลื่อนขึ้นลงได้โดยมีปุ่มปรับ ลำากล้อง
(BODY TUBE ) เป็นส่วนที่อยู่ต่อจากมือจับ
8. หลอดไฟ เป็นแหล่งกำาเนิดแสง
9. เลนส์ใกล้ตา ( EYEPIECE LENS หรือ OCULAR LENS )
เลนส์นี้จะสวมอยู่กับลำากล้อง มีตัวเลขแสดงกำาลัง
ขยาย อยู่ด้านบน เช่น 5X, 10X หรือ 15X เป็นต้น กล้องที่ใช้ใน
- 6. ปฏิบัติการจุลชีววิทยาทั่วไปนั้น มีกำาลังขยาย
ของเลนส์ตา ที่ 10X รุ่นที่มีเลนส์ใกล้ตาเลนส์เดียว เรียก
Monocular Microscope ชนิดที่มีเลนส์
ใกล้ตาสองเลนส์ เรียก Binocular Microscope แท่นวางวัตถุ
(STAGE ) เป็นแท่นสำาหรับวางสไลด์ตัวอย่าง
ที่ต้องการศึกษา มีลักษณะเป็น แท่นสี่เหลี่ยม หรือวงกลมตรงกลาง
มีรูให้แสงจากหลอดไฟส่องผ่านวัตถุแท่นนี้
สามารถเลื่อนขึ้นลงได้ด้านในของ แท่นวางวัตถุ จะมีคริป สำาหรับ
ยึดสไลด์ ์์และมีอุปกรณ์ช่วยในการเลื่อนสไลด์ เรียก
ว่า Mechanical Stage นอกจากนี้ยังมีสเกลบอกตำาแหน่งของ
สไลด์ บนแทนวางวัตถุ ทำาให้สามารถ
บอกตำาแหน่งของภาพบนสไลด์ได้
10. แขนกล้อง (arm) เป็นส่วนที่ทำาหน้าที่ยึดระหว่างลำากล้องและ
ฐานกล้องเป็นตำาแหน่งที่ใช้จับกล้อง
ในขณะเคลื่อนย้ายกล้องจุลทรรศน์
11. แท่นวางสไลด์ (stage) เป็นแท่นที่ใช้วางสไลด์ (slide)
ตัวอย่างที่ต้องการศึกษาที่ตรงกลางแท่นวางสไลด์
12. ปุ่มปรับภาพหยาบ ( COARSE ADJUSMENT KNOB ) ใช้
เลื่อนตำาแหน่งของแท่นวางวัตถุขึ้นลง
เมื่ออยู่ในระยะโฟกัส ก็จะมองเห็นภาพได้ ปุ่มนี้มีขนาดใหญ่จะอยู่
ที่ด้านข้างของตัวกล้อง
13.ปุ่มปรับภาพละเอียด ( FINE ADJUSMENT KNOB ) เป็นปุ่ม
ขนาดเล็กอยู่ถัดจากปุ่มปรับภาพหยาบ
ออกมาทางด้านนอกที่ตำาแหน่งเดียวกัน หรือกล้องบางชนิดอาจจะ
อยู่ใกล้ ๆ กัน เมื่อปรับด้วยปุ่มปรับภาพหยาบ
จน มองเห็นภาพแล้วจึงหมุนปุ่มปรับภาพละเอียดจะทำาให้ได้ภาพ
คมชัดยิ่งขึ้น
14.ฐาน (base) เป็นส่วนล่างสุดของกล้องจุลทรรศน์ ทำาหน้าที่รับ
นำ้าหนักตัวกล้องทั้งหมด
- 7. 2. นางสาว จิราพร ลำ่าฮวด
วิธีการใช้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงแบบเชิงประกอบ
วิธีการใช้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงแบบเชิงประกอบ
- 9. 3. สวิตซ์เปิดปิดหลอดไฟที่ฐานกล้องอยู่ในตำาแหน่ง “ ปิด”
4. สวิตซ์ เพิ่มความเข้มของแสงอยู่ตำาแหน่งตำ่าสุด ในกรณีที่เป็น
กล้องจุลทรรศน์แบบใช้กระจกเงา กระจกต้องปรับอยู่ในแนวตั้ง
ฉากเพื่อลดการเกาะของฝุ่นในอากาศ
5.แท่น วางสไลด์ถูกเลื่อนอยู่ในตำาแหน่งตำ่าสุด ในกรณีที่แท่น
วางสไลด์มีตัวเลื่อนสไลด์ต้องปรับตำาแหน่งให้ แกนของตัวเลื่อน
สไลด์ยื่นออกมาจากแท่นวางสไลด์ให้น้อยที่สุด
- 11. 9. คลี่สำยไฟออก นำำไปเสียบกับแหล่งจ่ำยไฟ กดสวิตซ์ปิดเปิด
หลอดไฟที่ฐำนกล้อง ไปยังตำำแหน่ง “ เปิด ” ใช้มือหมุนแป้นหมุน
เลนส์ในกำรเปลี่ยนกำำลังขยำยของเลนส์ใกล้วัตถุให้วัตถุที่ มีกำำลัง
ขยำยตำ่ำ สุดอยู่ในแนวแสง ที่ส่องขึ้นมำจำกฐำน เมื่อเลนส์ใกล้
วัตถุเลื่อนไปยังตำำแหน่งที่ถูกต้องจะมีเสียง “ คลิ๊ก ”
10. เลื่อนสวิตซ์เพิ่มควำมเข้มของแสงให้อยู่ในตำำแหน่งกึ่งกลำง
กรณีที่เป็นกล้องจุลทรรศน์ที่มีกระจกเงำ ให้ปรับกระจกเงำหันออก
มำรับแสงเพื่อให้แสงผ่ำนขึ้นไปยังรูที่อยู่บนแท่นวำง สไลด์เข้ำสู่
เลนส์ใกล้วัตถุ ตรวจสอบดูว่ำ แสงผ่ำนเข้ำกล้องหรือไม่ โดยมอง
- 14. 14. หมุนปุ่มปรับภำพละเอียดจนภำพวัตถุชัด ทดลองเลื่อนสไลด์
ไปทำงซ้ำย- ขวำ แล้วสังเกตกำรณ์เคลื่อนที่ของภำพในกล้อง
15. หำกต้องเพิ่มกำำลังขยำยให้สูงขึ้น ใช้มือหมุนแป้นหมุนเลนส์
ให้มีกำำลังขยำยสูงขึ้น ในลำำดับถัดไป ให้อยู่ในแนวแสง (หำก
เลนส์ใกล้วัตถุเข้ำสู่ตำำแหน่งที่ถูกต้องจะต้องมีเสียง "คลิ๊ก" ทุกครั้ง
ปรับภำพให้ชัดเจนโดยให้ใช้ ปุ่มปรับภำพละเอียดจนภำพวัตถุ
ชัดเจน
ให้สังเกตกำรเปลี่ยนแปลงของภำพที่เห็นเพื่อทำำกำร
เปลี่ยนกำำลังขยำยของเลนส์ใกล้วัตถุจำก
4' เป็น 10' และเป็น 40'
16. หำกต้องกำรใช้เลนส์ใกล้วัตถุกำำลังขยำย 100' ต้องใช้
นำ้ำมัน (Immersion Oil) เป็นตัวกลำง
ระหว่ำงกระจก ปิดสไลด์และเลนส์ใกล้วัตถุ ต้องหยดนำ้ำมันบน
สไลด์ก่อนจึงจะหมุนให้เลนส์ใกล้วัตถุดังกล่ำวอยู่ในแนวแสง
- 15. 3. นำย สถำพร พึ่งพัฒนำ
กำรใช้เลนส์วัตถุที่ใช้กับนำ้ำมันและกำรหยดนำ้ำมันบน
สไลด์
- 18. เป็นกล้องที่ประกอบด้วยเลนส์ที่ทำำให้เกิดภำพแบบ 3 มิติ ใช้ศึกษำ
วัตถุที่มีขนำดใหญ่แต่ตำเปล่ำไม่สำมำรถแยกรำยละเอียดได้จึง
ต้องใช้ กล้องชนิดนี้ช่วยขยำย กล้องชนิดนี้มีข้อแตกต่ำงจำก
กล้องทั่วๆไป คือ
1. ภำพที่เห็นเป็นภำพเสมือนมีควำมชัดลึกและเป็นภำพสำมมิติ
2. เลนส์ใกล้วัตถุมีกำำลังขยำยตำ่ำ คือ น้อยกว่ำ 1 เท่ำ
3. ใช้ศึกษำได้ทั้งวัตถุโปร่งแสงและวัตถุทึบแสง
4. ระยะห่ำงจำกเลนส์ใกล้วัตถุกับวัตถุที่ศึกษำอยู่ในช่วง 63-225
มิลลิเมตร
วิธีใช้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงแบบสเตอริโอ
1. ตั้งระยะห่ำงของเลนส์ใกล้ตำให้พอเหมำะกับนัยน์ตำของผู้ใช้
กล้องทั้งสองข้ำง จะทำำให้จอภำพที่เห็นอยู่ในวงเดียวกัน
2. ปรับ โฟกัสเลนส์ใกล้ตำทีละข้ำงจนชัดเจน ถ้ำหำกต้องกำร
ศึกษำจุดใดจุดหนึ่งของตัวอย่ำงให้ปรับโฟกัสของเลนส์ใกล้วัตถุ ที่
มีกำำลังขยำยสูงก่อน เพรำะจะทำำให้เห็นภำพวัตถุได้ชัดเจนทั้ง
กำำลังขยำยสูงและกำำลังขยำยตำ่ำ
- 20. กล้อง จุลทรรศน์อิเล็กตรอน (อังกฤษ: Electron microscope)
ประดิษฐ์ขึ้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2475 ในประเทศเยอรมนี โดย
นักวิทยาศาสตร์ 2 คน คือ แมกซ์ นอลล์ และ เอิร์นท์ รุสกา เป็น
กล้องจุลทรรศน์ที่ใช้ลำาอิเล็กตรอนแทนแสงธรรมดา กล้องแบบนี้มี
หลักการทำางานคล้ายกับกล้องจุลทรรศน์ชนิดใช้แสง แต่แตกต่าง
กันที่ส่วนประกอบภายใน กล่าวคือ กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนจะ
ใช้ลำาอิเล็กตรอนซึ่งมีขนาดเล็กมากวิ่งผ่านวัตถุ และโฟกัสภาพลง
บนจอเรืองแสง เลนส์ต่าง ๆ ในกล้องจะใช้ขดลวดพันรอบ ๆ แท่ง
เหล็กอ่อน เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านจะเกิดสนามแม่เหล็กขึ้น ซึ่ง
สนามแม่เหล็กจะผลักกับประจุของอิเล็กตรอน ทำาให้อิเล็กตรอน
เบี่ยงเบนไปสู่เป้าหมายได้
ระบบเลนส์ของกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน
ใช้ เลนส์แม่เหล็กไฟฟ้าแทนเลนส์แก้วในกล้องจุลทรรศน์ธรรมดา
เลนส์แม่เหล็กไฟฟ้านั้นประกอบด้วยขดลวดพันรอบแท่งเหล็ก เมื่อ
ผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปจะทำาให้เกิดสนามแม่เหล็กขึ้น ซึ่งทำาให้
ลำาแสงอิเล็กตรอนเข้มข้นขึ้นเพื่อไปตกอยู่ที่วัตถุที่ต้องการศึกษา
เลนส์ของกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนนั้นประกอบด้วย เลนส์รวม
แสง และโปรเจกเตอร์ เลนส์ โดย โปรเจกเตอร์เลนส์นั้นมีหน้าที่
ฉายภาพ จากตัวอย่างที่ต้องการศึกษาลงบนจอภาพ ซึ่งจอภาพจะ
ฉาบด้วยสารเรืองแสง เมื่อลำาแสงอิเล็กตรอนตกบนจอภาพจะ
ทำาให้เกิดการเรืองแสงที่สามารถมองเห็นได้ ด้วยตาเปล่า ดังนั้นผู้
ศึกษาจึงสามารถมองเห็นภาพบนจอและสามารถบันทึกภาพนั้น
ด้วยกล่อง ถ่ายรูปซึ่งประกอบอยู่ในกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนได้
- 21. แหล่งกำาเนิดลำาแสงอิเล็กตรอน
แหล่งกำาเนิดลำาแสงอิเล็กตรอน คือ ปืนยิงอิเล็กตรอน ซึ่งมีลักษณะ
เป็นขดลวดตัววีทำาจากทังสเตน อิเล็กตรอนจะถูกปล่อยออกมาหลัง
จากผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปในขดลวด เนื่องจากอิเล็กตรอนมี
ขนาดเล็กมาก จึงต้องมีการดูดอากาศออกจากตัวกล้องให้เป็น
สุญญากาศ เพื่อป้องกันการรบกวนของลำาแสงอิเล็กตรอน และเพื่อ
ป้องกันการเกิดการหักเห เนื่องมาจากการชนกันของมวลอากาศ
กับลำาแสงอิเล็กตรอน
ชนิดของกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน
ในปัจจุบันกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนมี 2 ชนิด
1. กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนชนิดส่องผ่าน (Transmission
Electron microscope) หรือเรียกแบบย่อว่า TEM ซึ่ง
คิดค้นโดย เอิร์นส์ท รุสกา ในปี พ.ศ. 2475 ใช้ศึกษา
โครงสร้างภายในของเซลล์ โดยลำาแสงอิเล็กตรอนจะส่อง
ผ่านเซลล์หรือตัวอย่างที่ต้องการศึกษาซึ่งผู้ศึกษาต้องเตรียม
ตัวอย่างให้ได้ขนาดบางเป็นพิเศษ
2. กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนชนิดส่องกราด (Scanning
Electron microscope) หรือเรียกแบบย่อว่า SEM ซึ่ง
คิดค้นโดยเอ็ม วอน เอนเดนนี่ สร้างสำาเร็จในปี พ.ศ. 2481
ใช้ศึกษาโครงสร้างของผิวเซลล์หรือผิววัตถุ โดยลำาแสง
อิเล็กตรอนจะส่องกราดไปบนผิวของวัตถุ ทำาให้ได้ภาพที่มี
ลักษณะเป็น 3 มิติ
- 26. 6. นางสาว สุภาพร นิมิตรัตน์
กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนชนิดส่องผ่าน
(Transmission Electron microscope)
- 28. หรือเรียกแบบย่อว่า TEM ซึ่งคิดค้นโดย เอิร์นส์ท รุสกา ใน
ปีพ.ศ. 2475 ใช้ศึกษาโครงสร้างภายในของเซลล์ โดยลำาแสง
อิเล็กตรอนจะส่องผ่านเซลล์หรือตัวอย่างที่ต้องการศึกษาซึ่งผู้
ศึกษา ต้องเตรียมตัวอย่างให้ได้ขนาดบางเป็นพิเศษ
กล้องจุลทรรศน์ชนิดนี้มีราคาแพงมาก และการใช้งานจะซับซ้อน
มากกว่ากล้อง จุลทรรศน์ที่กล่าวมาข้างต้น โดยใช้อิเล็กตรอนเป็น
แหล่งกำาเนิดแสงและให้ผ่าน ตัวอย่างที่มีขนาดบางมากๆ ใช้แผ่น
แม่เหล็กแทนเลนส์แก้ว สามารถขยายภาพได้ 200,000 ? ถึง
500,000 ? เป็นภาพ 2 มิติ (two dimensional image)
สามารถดูรายละเอียดภายในได้เช่นเดียวกับกล้องจุลทรรศน์ใช้
แสงแบบเชิงประกอบ
ที่มา:http://www.phy.cuhk.edu.hk/centrallaboratory/
TecnaiF20/TecnaiF20.html
- 29. 7. นาย รฐนนท์ สังข์ทอง
กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนชนิดส่องกราด
(Scanning Electron microscope)
- 30. กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนชนิดส่องกราด
(Scanning Electron microscope)
หรือ เรียกแบบย่อว่า SEM ซึ่งคิดค้นโดยเอ็ม วอน เอนเดนนี่ สร้าง
สำาเร็จในปีพ.ศ. 2481 ใช้ศึกษาโครงสร้างของผิวเซลล์หรือผิว
วัตถุ โดยลำาแสงอิเล็กตรอนจะส่องกราดไปบนผิวของวัตถุ
กล้องจุลทรรศน์ชนิดนี้ลำาแสงอิเล็กตรอนจะตกกระทบเฉพาะผิว
ด้านนอกของวัตถุ ภาพที่เห็นจะเห็นได้เฉพาะผิวนอก ทำาให้
ไดเภาพที่มีลักษณะเป็น 3 มิติ กล้องชนิดนี้แม้วาจะมีความ
สามารถในการเห็นภาพตำ่ากว่า กล้องจุลทรรศน์ อิเล็กตรอนแบบ
ส่องผ่านและสามารถเห็นเฉพาะผิวนอกของวัตถุก็ตามแต่ภาพที่
เห็น จะได้รายละเอียดมากกว่าและชัดเจน ซึ่งเป็นประโยชน์อย่าง
ยิ่งสำาหรับนักชีววิทยาที่จะศึกษาโครงสร้างของสิ่งมี ชีวิตได้ดียิ่ง
ขึ้น
- 33. การบำารุงรักษากล้อง
1. ควร ดูแลรักษากล้องให้สะอาดอยู่เสมอ และเมื่อไม่ได้ใช้กล้อง
ควรใช้ถุงคลุมกล้องไว้เสมอ เพื่อป้องกันฝุ่นละอองและสิ่งสกปรก
เข้าไปสัมผัสกับเลนส์ของกล้อง
2. ใน การทำาความสะอาดหรือการประกอบกล้อง ควรทำาด้วย
ความระมัดระวัง อย่าให้ชิ้นส่วนถูกกระแทกหรือหลุดตกหล่น กรณี
ที่กล้องหรือส่วนประกอบใดๆของกล้องตกหรือกระแทก จะมีผลให้
เมื่อประกอบกล้องแล้วภาพที่เห็นไม่คมชัด เป็นเพราะระบบภายใน
(ปริซึม) อาจเกิดการคลาดเคลื่อนได้ ซึ่งกรณีนี้ ควรส่งให้กับ
บริษัทซ่อม เพราะการตั้งศูนย์ของปริซึมและระบบเลนส์ภายในนั้น
ต้องใช้เครื่องมือที่ซับ ซ้อนและความชำานาญของช่าง
3. ห้ามใช้มือหรือส่วนใดๆของร่างกาย สัมผัสถูกส่วนที่เป็นเลนส์
และหลีกเลี่ยงการนำาเลนส์ออกจากตัวกล้อง
4. ใน กรณีที่ถอดเลนส์ออกจากตัวกล้อง ควรใช้ฝาครอบด้วยทุก
ครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นละอองเข้าไปข้างใน ซึ่งอาจทำาให้เกิด
ความไม่ชัดของการมองภาพ
5 สำาหรับเลนส์ใกล้วัตถุ 100x ที่ใช้กับ Oil immersion หลัง
จากใช้แล้ว ควรทำาความสะอาดทุกครั้ง โดยการเช็ดด้วยกระดาษ
เช็ดเลนส์ cotton bud หรือผ้าขาวบางที่สะอาด และนุ่ม ชุบด้วย
นำ้ายาไซลีน หรือส่วนผสมของแอลกอฮอล์และอีเทอร์ ใน
อัตราส่วน 40:60 ตามลำาดับ
6 ควร หมุนปรับปุ่มปรับความฝืดเบาให้พอดี ไม่หลวมเกินไป ซึ่ง
จะทำาให้แท่นวางสไลด์เลื่อนหมุดลงมาได้ง่าย หรือฝืดจนเกินไป
ทำาให้การทำางานช้าลง
7 ปุ่มปรับ ภาพหยาบนั้น ควรหมุนในลักษณะทวนเข็มนาฬิกา
อย่างช้าๆ จนกว่าจะได้ภาพ ห้ามปรับปุ่มปรับภาพทั้งซ้ายและขวา
ของตัวกล้องในลักษณะสวนทางกัน เพราะนอกจากจะไม่ได้ภาพ
ตามต้องการแล้ว ยังจะทำาให้เกิดการขัดข้องของฟันเฟือง
8 ใน กรณีต้องการใช้แสงมากๆควรใช้การปรับไดอะแฟรม แทน
การปรับเร่งไฟไปตำาแหน่งที่กำาลังแสงสว่างสุด (กรณีหลอดไฟ) จะ
ทำาให้หลอดไฟมีอายุยาวขึ้น
9 ก่อนปิดสวิตช์ไฟทุกครั้งควรหรี่ไฟก่อนเพื่อยืดอายุการใช้งาน
และเมื่อเลิกใช้ก็ควรปิดสวิตช์ทุกครั้ง
10 การเสียบปลั๊กไฟของตัวกล้องไม่ควรใช้รวมกันกับเครื่องใช้
ไฟฟ้าอื่น เพราะจะทำาให้หลอดไฟขาดง่าย
- 34. 11 หลัง จากเช็ดส่วนใดๆของกล้องก็ตาม ถ้าไม่แน่ใจว่าแห้งหรือ
ปราศจากความชื้นแล้ว ควรเป่าลมให้แห้ง โดยใช้พัดลม หรือ ลูก
ยางเป่าลม (ห้ามเป่าด้วยปากเพราะจะมีความชื้น)
12 เมื่อแน่ใจว่าแห้งและสะอาดแล้ว จึงคลุมด้วยถุงพลาสติก
13 เก็บกล้องไว้ในที่ที่ค่อนข้างแห้งและไม่มีความชื้น
การทำาความสะอาดเลนส์
1. เป่า หรือปัดเศษผงหรือวัสดุอื่นๆที่อาจจะก่อให้เกิดรอยขูดขีด
บนพื้นผิวเลนส์ โดยใช้ลูกยางบีบ หรือปัดด้วยแปรงขนอ่อนๆ แต่
ถ้ายังไม่สามารถเอาออกได้ให้ใช้ผ้าขาวบางที่สะอาดและนุ่มชุบ
ด้วยนำ้าเช็ด เบาๆ
2. เตรียมนำ้ายาเช็ดเลนส์ (อีเทอร์:แอลกอฮอล์ = 60:40)
3. ทำาความสะอาดทั้งเลนส์ใกล้ตา และเลนส์ใกล้วัตถุ ใช้ cotton
bud หรือ กระดาษเช็ดเลนส์พันรอบปลายคีบ แล้วชุบด้วยนำ้ายา
เช็ดเลนส์เพียงเล็กน้อย แล้วจึงเริ่มเช็ดเลนส์จากจุดศูนย์กลางของ
เลนส์แล้วหมุนทำารัศมีกว้างขึ้น เรื่อยๆไปสู่ขอบเลนส์อย่างช้าๆ
4. ในการใช้นำ้ายาเช็ดเลนส์ต้องระวังด้วยว่านำ้ายานั้นสามารถ
ละลายสีของกล้องและละลายกาวของเลนส์ได้
5. ใน การผสมนำ้ายาเช็ดเลนส์อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามอุณหภูมิ
และความชื้น หากอีเทอร์มากเกินไปอาจทำาให้มีรอยการเช็ดอยู่บน
เลนส์ได้ แต่ถ้าแอลกอฮอล์มากเกินไปจะมีรอยเป็นคราบอยู่บน
เลนส์เช่นกัน