SlideShare a Scribd company logo
1 of 52
Download to read offline
อนุกรมวิธาน
เป็นการจัดจาแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็นหมวดหมู่ตามสายวิวัฒนาการ
อนุกรมวิธานเป็นวิชาที่ว่าด้วยกฎเกณฑ์เกี่ยวกับ
1. การจัดจาแนกสิ่งมีชีวิต (classification) ออกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ
2. การกาหนดชื่อสากลของหมวดหมู่และชนิดของสิ่งมีชีวิต (nomenclature)
3. การตรวจสอบชื่อวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิต (identification)
ชีววิทยาเข้ม 3
การจาแนกอาณาจักรสิ่งมีชีวิตออกเป็น 5 อาณาจักร
ดังนี้
1. อาณาจักรมอเนอรา (Kingdom Monera)
2. อาณาจักรเห็ดรา (Kingdom Fungi)
3. อาณาจักรโพรทิสตา(Kingdom Protista)
4. อาณาจักรพืช (Kingdom Plantae)
5. อาณาจักรสัตว์ (Kingdom Animalia)
ชีววิทยาเข้ม 3
ชีววิทยาเข้ม 3
สิ่งมีชีวิตในโลกนี้ มีมากมายหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิด
จะมีความแตกต่างกัน จึงจาเป็นที่จะต้องมีการ
จัดแบ่งหมวดหมู่เพื่อความสะดวกในการศึกษา และ
การนามาใช้ประโยชน์ วิชาที่ว่าด้วยการจัดแบ่ง
หมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิต เรียกว่า อนุกรมวิธาน
(Taxonomy) นักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยกย่องให้
เป็นบิดาแห่งวิชาอนุกรมวิธาน คือ คาโรลัส ลินเนียส
(Carolus Linnaeus) ชาวสวีเดน ชีววิทยาเข้ม 3
การจัดลาดับหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิต (Taxonomic
category) หมวดหมู่ที่ใหญ่ที่สุด คือ อาณาจักร
(Kingdom) สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในอาณาจักรเดียวกันจะมี
ลักษณะสาคัญบางอย่างเท่านั้นที่เหมือนกัน ซึ่งในแต่ละ
อาณาจักร จะแบ่งย่อยออกเป็นหลายหมวด และ
แบ่งย่อยลงไปเรื่อยๆ จนถึงหน่วยที่เล็กที่สุด คือ ชนิด
(Species) โดยสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในชนิดเดียวกันจะมีลักษณะ
คล้ายคลึงกันในด้านต่างๆ มากที่สุด
ชีววิทยาเข้ม 3
การจัดลาดับหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิต เรียงลาดับ
จากหมวดหมู่ใหญ่ไปจนถึงหมวดหมู่ย่อย ดังนี้
อาณาจักร (Kingdom)
หมวด (Division) หรือไฟลัม (Phylum)
ชั้น (Class)
อันดับ (Order)
วงศ์ (Family)
สกุล (Genus)
ชนิด (Species) ชีววิทยาเข้ม 3
ในลาดับชั้นสปีชีส์ อาจจะแบ่งย่อยลงไปได้อีก โดยมีลาดับชั้นย่อย
ที่มีคาว่า sub เติมข้างหน้า เช่น subkingdom, subdivision,
suborder เป็นต้น ระดับต่ากว่า Species ลงมา อาจจะแบ่งย่อย
ออกไปอีกเป็น Subspecies, Variety นอกจากนี้ยังมี clone,
line, forma (f.), cultivar (cv.), individual เป็นต้น ส่วน
รูปแบบในการเขียนชื่อวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย ชื่อสกุล ชื่อชนิด
Variety และ/หรือcultivar (cv.)
ชีววิทยาเข้ม 3
เกณฑ์ในการพิจารณาและจัดสิ่งชีวิตเข้าไว้ในอาณาจักรสัตว์
1. เซลล์แบบยูคาริโอต (eukaryotic cell) คือเซลล์ที่มีเยื่อหุ้ม
นิวเคลียส
2. ร่างกายประกอบด้วยเซลล์ชนิดที่ไม่มีผนังเซลล์ เรียกว่าเซลล์สัตว์
ทาให้เซลล์มีลักษณะอ่อนนุ่มและแตกต่างไปจากเซลล์พืช เซลล์เหล่านี้จะมา
รวมกันเป็นเนื้อเยื่อเพื่อทาหน้าที่เฉพาะอย่าง ซึ่งพบว่าเซลล์ในเนื้อเยื่อมักมี
ขนาดและรูปร่างเหมือนกัน มีการประสานการทางานระหว่างกัน สัตว์ชั้นสูงมี
เนื้อเยื่อหลายชนิดสามารถจาแนกตามหน้าที่และตาแหน่งที่อยู่ของร่างกาย
เป็น 5 ประเภท คือ เนื้อเยื่อบุผิว(epithelial tissue) เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
(connective tissue) เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ(muscular tissue) เนื้อเยื่อ
ลาเลียง (vascular tissue) และเนื้อเยื่อประสาท (nervous tissue)
3. สร้างอาหารเองไม่ได้ เพราะไม่มีคลอโรฟิลล์ ดังนั้นการ
ดารงชีวิตจึงต้องกินสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหารซึ่งอาจเป็นพืช
หรือสัตว์ด้วยกัน การดารงชีวิตจึงมักเป็นแบบผู้ล่าเหยื่อหรือ
ปรสิตเสมอ
4. โดยทั่วไปเคลื่อนที่ได้ด้วยตนเองตลอดชีวิต มีบางชนิด
พบว่าเมื่อเป็นตัวเต็มวัยแล้วเกาะอยู่กับที่
5. โดยส่วนใหญ่สามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้อย่าง
รวดเร็วเนื่องจากมีระบบประสาท มีอวัยวะรับความรู้สึกและ
ตอบสนอง เช่น การกินอาหาร การขับถ่าย การสืบพันธุ์
เป็นต้น ชีววิทยาเข้ม 3
เกณฑ์ที่ใช้ในการจาแนกหมวดหมู่ของอาณาจักรสัตว์
1.ระดับการทางานร่วมกันของเซลล์ (level of cell organization) โดยดูการทางาน
ร่วมกันของเซลล์และการจัดเป็นเนื้อเยื่อนั้น ซึ่งแบ่งสัตว์ออกเป็นพวกใหญ่ ๆ คือ
1.1 เนื้อเยื่อที่ไม่แท้จริง( no true tissue) เรียกสัตว์กลุ่มนี้ว่า พาราซัว (parazoa)
เนื่องจากเซลล์ในสัตว์กลุ่มนี้ไม่มีการประสานงานกันระหว่างเซลล์ ได้แก่ พวกฟองน้า
1.2 เนื้อเยื่อที่แท้จริง (true tissue) เรียกสัตว์กลุ่มนี้ว่า ยูเมตาซัว (eumetazoa)
ซึ่งเนื้อเยื่อจะถูกสร้างขึ้นเป็นชั้น เรียกว่า ชั้นของเนื้อเยื่อ (germ layer)
มี 2 ประเภทคือ
1.2.1 เนื้อเยื่อ 2 ชั้น (diploblastica) ประกอบด้วยเนื้อเยื่อชั้นนอก (ectoderm) และ
เนื้อเยื่อชั้นใน (endoderm) ได้แก่ พวกไฮดรา แมงกะพรุน โอบีเลีย
1.2.2. เนื้อเยื่อ 3 ชั้น (triploblastica) ประกอบด้วยเนื้อเยื่อชั้นนอก ชั้นกลาง
(mesoderm) และชั้นใน ได้แก่พวกหนอนตัวแบนขึ้นไป จนถึงสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง
2. สมมาตร (symmetry) คือลักษณะการแบ่งร่างกายออกเป็นซีก ๆ ตามความยาว
ของซีกเท่า ๆ กัน มีอยู่ 3 ลักษณะ ได้แก่
2.1 ไม่มีสมมาตร (asymmetry) มีรูปร่างไม่แน่นอน ไม่สามารถแบ่งซีกซ้าย
และซีกขวาได้ เท่า ๆ กัน ได้แก่ พวกฟองน้า
2.2 สมมาตรแบบรัศมี (radial symmetry) ร่างกายของสัตว์จะมีรูปร่าง
คล้ายทรงกระบอก หรือล้อรถ ถ้าตัดผ่านจุดศูนย์กลางแล้วจะตัดอย่างไรก็ได้ 2
ส่วนที่เท่ากันเสมอ หรือเรียกว่า มีสมมาตรที่ผ่าซีกได้เท่า ๆ กันหลาย ๆ ครั้งใน
แนวรัศมี ได้แก่ สัตว์พวกไฮดรา แมงกะพรุน ดาวทะเล เม่นทะเล
2.3 สมมาตรแบบครึ่งซีก (bilateral symmetry) หรือมีสามาตรที่ผ่าซีกได้
เท่า ๆ กัน เพียง 1 ครั้ง สมมาตรแบบนี้สามารถผ่าหรือตัดแบ่งครึ่งร่างกาย
ตามความยาวของลาตัวแล้วทาให้ 2 ข้างเท่ากัน ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ได้แก่
พวกหนอนตัวกลม แมลง สัตว์มีกระดูกสันหลัง
ชีววิทยาเข้ม 3
3. ลักษณะช่องว่างในลาตัวหรือช่องตัว (body cavity or coelom) คือช่องว่าง
ภายในลาตัวที่อยู่ระหว่างผนังลาตัวกับอวัยวะภายในตัว ภายใน coelom
มักจะมีของเหลวอยู่เต็ม ของเหลวเหล่านี้ทาหน้าที่เสมือนหนึ่งระบบ
ไหลเวียนโลหิตง่าย ๆ ในสัตว์บางพวกช่วยลาเลียงสารอาหาร ออกซิเจน
และของเสีย เป็นต้น อีกทั้งยังช่วยลดแรงกระแทกจากภายนอกที่อาจเป็น
อันตรายต่ออวัยวะภายใน และยังเป็นบริเวณที่ทาให้อวัยวะภายในเคลื่อนที่
ได้อิสระจากผนังลาตัว ยอมให้อวัยวะขยายใหญ่ได้ ซึ่งสามารถนามาใช้เป็น
เกณฑ์ในการจาแนกสัตว์ได้ แบ่งเป็น 3 พวกคือ
ชีววิทยาเข้ม 3
3.1 ไม่มีช่องว่างในลาตัวหรือไม่มีช่องตัว (no body cavity or acoelom)
เป็นพวกที่มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้นอยู่ชิดกัน โดยไม่มีช่องว่างในแต่ละชั้น ได้แก่
พวกหนอนตัวแบน
3.2 มีช่องตัวเทียม (pseudocoelom) เป็นช่องตัวที่เจริญอยู่ระหว่าง
mesoderm ของผนังลาตัว และ endoderm ซึ่งเป็นทางเดินอาหาร ตัว
นี้ไม่มีเยื่อบุช่องท้องกั้นเป็นขอบเขต ได้แก่ พวกหนอนตัวกลม โรติเฟอร์
(rotifer)
ชีววิทยาเข้ม 3
3.3 มีช่องตัวที่แท้จริง (eucoelom or coelom) เป็นช่องตัวที่เจริญแทรก
อยู่ระหว่าง mesoderm 2 ชั้น คือ mesoderm ชั้นนอกเป็นส่วนหนึ่ง
ของผนังลาตัว
(body wall) กับ mesoderm ชั้นในซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของผนังลาไส้
(intestinal wall) และ mesoderm ทั้งสองส่วนจะบุด้วยเยื่อบุช่อง
ท้อง (peritoneum) ได้แก่ ไส้เดือนดิน หอย แมลง ปลา สัตว์มี
กระดูกสันหลัง เป็นต้น
ชีววิทยาเข้ม 3
4. การเกิดช่องปาก ซึ่งสามารถแบ่งสัตว์ตามการเกิดช่องปากได้ 2 กลุ่ม
4.1 โปรโตสโตเมีย (protostomia) เป็นสัตว์พวกที่ช่องปากเกิดก่อนช่องทวารใน
ขณะที่เป็นตัวอ่อน ซึ่งช่องปากเกิดจากบลาสโตพอร์ หรือบริเวณใกล้ ๆ บลาสโตพอร์
(blastopore) ได้แก่ พวกหนอนตัวแบน หนอนตัวกลม หนอนมีปล้อง หอย สัตว์ขา
ปล้อง
4.2 ดิวเทอโรสโตเมีย (deuterostomia) เป็นสัตว์พวกที่ช่องปากเกิดภายหลังช่อง
ทวาร เกิดจากช่องใหม่ที่จะเจริญพัฒนาไปเป็นทางเดินอาหาร
ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ บลาสโตพอร์ ได้แก่ พวกดาวทะเล และสัตว์มีกระดูกสันหลัง
ชีววิทยาเข้ม 3
5. ทางเดินอาหาร (digestive tract) โดยทั่วไปแบ่งได้เป็น 2
ลักษณะ คือ
5.1 ทางเดินอาหารแบบไม่สมบูรณ์ (incomplete digestive
tract) เป็นทางเดินอาหารของสัตว์ที่มีปากแต่ไม่มีทวารหนัก
หรือมีช่องทางเดินอาหารเข้าออกทางเดียวกัน หรือทางเดินอาหารแบบ
ปากถุง (one-hole-sac) ได้แก่พวกไฮดรา แมงกะพรุน
หนอนตัวแบน
ชีววิทยาเข้ม 3
5.2 ทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์ (complete digestive tract) เป็นทางเดิน
อาหารของสัตว์ที่มีทั้งปากและทวารหนัก หรือมีช่องทางเข้าออกของอาหารคนละ
ทางกัน หรือทางเดินอาหารแบบท่อกลวง (two-hole-tube) ได้แก่ พวกหนอน
ตัวกลม จนถึงสัตว์มีกระดูกสันหลัง
ชีววิทยาเข้ม 3
6. การแบ่งเป็นปล้อง (segmentation) การแบ่งเป็นปล้องเป็นการเกิดรอยคอด
ขึ้นกับลาตัวแบ่งออกเป็น
6.1 การแบ่งเป็นปล้องเฉพาะภายนอก (superficial segmentation) เป็นการ
เกิดปล้องขึ้นเฉพาะที่ส่วนผิวลาตัวเท่านั้นไม่ได้เกิดตลอดตัว
เช่น พยาธิตัวตืด
6.2 การแบ่งเป็นปล้องที่แท้จริง (metameric segmentation) เป็นการเกิด
ปล้องขึ้นตลอดลาตัวทั้งภายนอกและภายใน โดยข้อปล้องเกิดขึ้น
ในเนื้อเยื่อชั้นกลาง ทาให้เนื้อเยื่อชั้นอื่น ๆ เกิดเป็นปล้องไปด้วย ได้แก่ ไส้เดือน กุ้ง ปู
แมลง ตลอดไปจนสัตว์มีกระดูกสันหลังทุกชนิด
ชีววิทยาเข้ม 3
ลักษณะที่สาคัญ
1. มีสมมาตรแบบรัศมี (radial symmetry) หรือไม่มีสมมาตร (asymmetry)
2. ผนังตัวของฟองน้าประกอบด้วยเซลล์ที่มาเรียงตัวเป็นชั้นของเซลล์ 2 ชั้น คือชั้น
เซลล์ผิว ด้านนอกหรือเอพิเดอมิส (epidermis) ประกอบด้วยเซลล์เพียงชนิดเดียวคือ
พินาโคไซท์ (pinacocyte) จึงอาจเรียกเซลล์ผิวนี้ว่า พินาโคเดิร์ม (pinacoderm) ส่วน
ด้านเซลล์บุช่องกลางตัว คือ โคเอโนไซท์ (choanocyte or collar cell ) จึงเรียกว่า
โคเอโนเดิร์ม (choanoderm) โคเอโนไซท์เป็นเซลล์ที่มีรูปร่างคล้ายปลอกคอ มีแส้
(flagellum) 1 เส้นทาหน้าที่ให้น้าไหลเวียนและย่อยอาหาร ระหว่างชั้นของเซลล์ 2 ชั้นนี้จะมี
สารคล้ายวุ้น (gelatinous matrix) แทรกอยู่ ซึ่งจะมีเซลล์ที่เคลื่อนที่แบบอะมีบา
(amoeboid cell) หรือ อะมีโบไซท์ (amoebocyte) เรียกชั้นนี้ว่า มีโซฮิล (mesohyl)
หรือมีเซนไคม์ (mesenchyme)
3. ฟองน้ามีระบบโครงร่างค้าจุนให้คงรูปอยู่ได้
4. ไม่มีระบบหมุนเวียน ระบบหายใจ ระบบขับถ่าย และระบบประสาท
ซึ่งจะอาศัยการไหลเวียนน้าเป็นตัวการสาคัญในกระบวนการเหล่านี้ ฟองน้ากิน
อาหารโดยกรองอาหารที่อยู่ในน้าผ่านเข้ารูพรุนรอบตัว หายใจโดยการดูดซึม
ออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้าผ่านผนังลาตัว
5. มีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ โดยการสร้างสเปิร์มและไข่ผสมกัน
และจะได้ตัวอ่อนที่มี ซิเลียว่ายน้าได้ การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศโดยการแตก
หน่อ (budding)
6. ตัวเต็มวัยจะเกาะอยู่กับที่ (sessile animal)
สัตว์ในไฟลัมนี้ได้แก่ สัตว์จาพวกฟองน้า (Sponge) มี
ลักษณะสาคัญคือ ร่างกายสามารถแบ่งได้แบบ Radial
symmetry หรือ Asymmetry ก็ได้ มีลาตัวพรุน (Incurrent
pore) ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์หลายชนิด โดยแบ่งกันทาหน้าที่
อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ ไม่มีการประสานงานกันระหว่างเซลล์
ลาตัวมีช่องเล็ก ๆ รอบตัวเรียก (Ostia) เพื่อให้น้าหรืออาหารไหล
เข้าไปในลาตัวได้ และตอนบนมีช่องเปิดให้น้าออก (Ostia) ผนัง
ลาตัวประกอบด้วยเซลล์รวมกันเป็นสองชั้น
เซลล์ข้างในมีแฟลกเจลลัม (Flagellum) ทาหน้าที่พัดน้า
และมีเซลล์พิเศษที่ทาหน้าที่ดูดอาหารเข้าไปและย่อยอาหารคือ
Choanocyte (Collar cell) ตรงกลางมีของเหลวคล้ายวุ้นเรียก
Amebocyte ฟองน้าเป็นสัตว์ที่ไม่เคลื่อนที่ (Sessile Animal)จะ
เกาะติดกับโขดหินหรือของแข็งใต้น้า บางชนิดมีโครงร่างแข็งเรียก
spicule บางชนิดอ่อนนุ่มเรียก spongin
ฟองน้า อยู่ในไฟลัมพอริเฟอรา (Porifera มีราก
ศัพท์มาจากภาษาละติน – porus หมายถึง รู และ ferre
หมายถึง พยุงหรือค้าเอาไว้) เป็นสัตว์หลายเซลล์ที่มี
วิวัฒนาการต่าสุด มีรูปร่างคล้ายแจกันที่มีรูพรุนเล็ก ๆ ทั่ว
ตัวซึ่งเป็นช่องทางให้น้าผ่านเข้าไปในลาตัว มีเซลล์เรียงกัน
เป็นสองชั้นแต่ยังไม่มีเส้นประสาทและกล้ามเนื้อที่แท้จริง
ไม่มีอวัยวะและทางเดินอาหาร ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในน้าทะเล
มีบางชนิดเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในน้าจืด
-เป็นสัตว์ที่มีรูเล็ก ๆ ทั่วตัว มีช่องทางให้น้าผ่านเข้าเรียกว่าออสเทีย
(Ostia) ส่วนรูใหญ่ที่อยู่ด้านบนเรียกว่าออสคูลัม (Osculum)
-ผนังลาตัวประกอบด้วยเนื้อเยื่อสองชั้นคือเนื้อเยื่อชั้นนอกเป็นเซลล์
รูปร่างแบนเรียงกันคล้ายแผ่นกระเบื้อง ประกอบด้วยเซลล์เป็นปลอก มีแส้
เซลล์ช่วยโบกพัดให้น้าเคลื่อนผ่านลาตัว และทาหน้าที่กินสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่ปน
มากับน้า เรียกเซลล์เหล่านี้ว่าเซลล์ปลอกคอ (Choanocyte)
-ระหว่างเนื้อเยื่อสองชั้น จะมีชั้นกลางที่มีลักษณะคล้ายวุ้นเรียกว่าชั้น
มีเซนไคม์ (Mesenchyme) ในชั้นนี้จะเซลล์ที่สามารถเคลื่อนที่และ
เปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นเซลล์อื่นได้ เรียกว่าอะมีโบไซต์ (Amoebocyte)
เช่นเปลี่ยนไปเป็นสเกลอโรบลาสต์ (Scleroblast) เพื่อทาหน้าที่ขนส่งอาหาร
และลาเลียงของเสีย
โครงสร้างที่อยู่ในชั้นเซนไคม์ เรียกว่า "ขวาก" (spicule) เป็นตัวคง
รูปร่างของฟองน้า สามารถแบ่งสารประกอบที่ใช้ในการคงรูปร่างได้เป็น 3
ชนิดคือ
-ขวากหินปูน (Calacreous spicule) มีหินปูนเป็นองค์ประกอบ
พบในฟองน้าหินปูน
-ขวากแก้ว (Siliceous spicule) มีซิลิกา (silica) เป็น
องค์ประกอบ
-สปอนจิน (Spongin) ไม่อยู่ในจาพวกของ "ขวาก" แต่เป็นเส้นใยที่
มีองค์ประกอบเป็นสารสเกลอโรโปรตีน (Scleroprotein)
1. แบบไม่อาศัยเพศ คือ แตกหน่อ (Budding) หรือสร้าง
Gemmule โดยใช้ Amebocyte 2-3 เซลล์มาสร้างเปลือกหุ้มใน
สภาวะแห้งแล้ง เมื่อถึงสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เปลือกก็จะหลุด
ออกและเจมมูล (Gemmule) จะสามารถเจริญเติบโตต่อไปได้และ
สร้างเซลล์สืบพันธุ์ (Archeocyte) ต่อไป
2. แบบอาศัยเพศ โดยอาศัยเซลล์ Archeocyte สร้างอสุจิกับไข่มาผสมกัน
เกิดไซโกต กลายเป็นฟองน้้าต่อไป
1. Class Calcarea ได้แก่ฟองน้้าที่มีแกนแข็ง เป็นพวกหินปูน (CaCO3)
2. Class Hexactinellida ได้แก่ฟองน้้าที่มีแกนแข็งเป็นพวกแก้วหรือทราย
(Silica)
3. Class Demospongiae ได้แด่ฟองน้้าถูตัวที่มีแกนอ่อนนุ่ม ประกอบด้วย
สารประเภท Scleroprotien
ลักษณะที่สาคัญ
1. มีสมมาตรแบบรัศมี (Radial symmetry)
2. มีเนื้อเยื่อ 2 ชั้น คือ เนื้อเยื่อชั้นนอกทาหน้าที่เป็นผิวลาตัวเรียกว่า เอพิเดอร์มิส
(Epidermis) และเนื้อเยื่อชั้นในทาหน้าที่เป็นเยื่อบุทางเดิน
อาหารเรียกว่า แกสโทรเดอร์มิส (Gastrodermis)
3. ทางเดินอาหารเป็นแบบถุงไม่สมบูรณ์มีปากแต่ไม่มีทวารหนักช่อง ทางเดินอาหารนี้
อยู่กลางลาตัวทาหน้าที่เป็นทั้งทางเดินอาหารและ ระบบหมุนเวียน เรียกว่าแกสโทร
วาสคูลาร์ คาวิตี (Gastrovascular carvity)
4. มีเข็มพิษหรือเนมาโทซีสต์(Nematocyst)ใช้ในการป้องกันและฆ่าเหยื่อเนมาโทซีสต์
มักจะอยู่กันหนาแน่นที่บริเวณหนวด(Tentacle) ซึ่งอยู่รอบปากมากกว่าบริเวณอื่นๆทา
ให้การหาอาหารและการต่อสู้กับศัตรูมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
5. ไม่มีระบบหายใจ ระบบหมุนเวียนโลหิต ระบบขับถ่ายโดยเฉพาะ แต่โดยทั่วไปอาศัย
การแพร่ของก๊าซและของเสียต่างๆระหว่างน้าที่ อยู่รอบๆตัว
กับผิวลาตัวโดยตรง หรือมีเซลล์ชนิดพิเศษเช่นเซลล์ ที่ทาหน้าที่ในการย่อยอาหาร
(nutritive cell) ช่วยทาหน้าที่ ย่อยและดูดซึมสามอาหาร
เพื่อส่งไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายต่อไป
6. ระบบประสาทเป็นแบบข่ายใยประสาท(Nerve net)แผ่กระจายทั่วตัว และหนาแน่น
บริเวณหนวดดังนั้นการนากระแสประสาทจึงเป็นไปใน
ลักษณะทุกทิศทุกทางทาให้กระแสประสาทเคลื่อนที่ไปได้ช้าและมีทิศ ทางไม่แน่นอนซึ่ง
แตกต่างจากสัตว์ชั้นสูงอื่นๆ
ชีววิทยาเข้ม 3
7. สัตว์กลุ่มนี้มีรูปร่างเป็น 2 แบบ คือ รูปร่างแบบต้นไม้เรียกว่า โพลิป (Polyp) เช่น
ไฮดรา ปะการังดอกไม้ทะเลและรูร่างคล้ายร่มหรือกระ ดิ่งคว่า เรียกว่า เมดูซา
(Medusa) ได้แก่แมงกระพรุน
8. การสืบพันธุ์ มีทั้งแบบอาศัยเพศและแบบไม่อาศัยเพศแบบอาศัยเพศ โดยการสร้าง
เซลล์สืบพันธุ์มาผสมกันส่วนการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศโดยการแตกหน่อหรือการ
แบ่งตัว ซีเลนเทอเรตหลายชนิด เช่น แมงกะพรุน โอบีเลียมีการสืบพันธุ์แบบสลับ
(Alternative of generation) โดยมีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศด้วยการแบ่งตัวหรือ
แตกหน่อกับการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศด้วยการสร้างเซลล์สืบพันธุ์มา ผสมกัน
ชีววิทยาเข้ม 3
ลักษณะที่สาคัญ
1. มีสมมาตรเป็นแบบครึ่งซีก (bilateral symmetry)
2. มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้นครบถ้วน (triloblastics) ไม่มีช่องตัว(acoelomate)
3. ร่างกายแบนทางด้านหลังและด้านท้อง (dorsoventrally) ไม่มีข้อปล้อง แต่บางชนิดเช่นพยาธิตัวตืด มีข้อปล้องแต่เป็นปล้องที่เกิดขึ้น
เฉพาะที่ผิวลาตัวเท่านั้น
4. พวกที่มีการดารงชีวิตอย่างอิสระจะมีเมือกลื่น ๆ หุ้มตัวเพื่อใช้ในการเคลื่อนที่ ส่วนพวกที่ดารงชีวิตแบบปรสิต (parasitic type)
จะมีคิวทิเคิล (cuticle) หุ้มตัวซึ่งสร้างจากเซลล์ที่ผิวของลาตัว ทาหน้าที่ป้องกันอันตรายซึ่งเกิดจากน้าย่อยของผู้ถูกอาศัย (host)
5. มีท่อทางเดินอาหารที่เป็นปลายตัน หรือเป็นแบบที่ไม่สมบูรณ์ มีปากแต่ไม่มีทวารหนัก
6. สัตว์ในไฟลัมนี้เริ่มมีการรวมตัวของอวัยวะแสดงลักษณะหัว (cephalization) คือมีปมประสาทสมอง อวัยวะรับความรู้สึก
และช่องปากมารวมกันอยู่ทางด้านหน้าของลาตัว
7. ระบบขับถ่าย มีอวัยวะที่เรียกว่า โพรโตเนฟริเดีย (protonephridia) มีลักษณะเป็นท่อที่ปลายด้านในปิดและมีท่อไปเปิดออกด้านนอก
8.ไม่มีอวัยวะที่ใช้ในการหายใจโดยเฉพาะ ในพวกปรสิตจะหายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic respiration) เช่นพยาธิใบไม้
9. ระบบประสาทประกอบด้วยปมประสาทด้านหน้า (anterior ganglia) หรือปมประสาท รูปวงแหวน (nerve ring) ทาหน้าเป็นสมอง
เชื่อมระหว่างเส้นประสาทใหญ่ตามยาว (longitudinal nerve cord) ซึ่งทอดไปตามยาวของร่างกายจานวน 2 เส้น
และมีเส้นประสาทตามขวาง (transverse nerve) เชื่อมระหว่างเส้นประสาทใหญ่ทั้งสองด้วย มีอวัยวะรับสัมผัสแบบง่าย ๆ บางชนิดมีตา
(eye spot)
10. ระบบสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศโดยมีสองเพศอยู่ในตัวเดียวกัน จัดเป็นกะเทย (hermaphrodite) มีการปฏิสนธิภายในตัวเอง
(self fertilization) และปฏิสนธิแบบข้ามตัว (cross fertilization) และมีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ โดยการงอกใหม่ (regeneration)
ศึกษาวงชีวิตพยาธิใบไม้และพยาธิตัวตืดชนิดต่างๆ
http://mylesson.swu.ac.th/mb322/flat.htm
ลักษณะที่สาคัญ
1. มีสมมาตรแบบผ่าซีก (Bilateral symmetry)
2. มีช่องว่างในลาตัวแบบเทียม (Pseudocoelomate animal) โดยมีช่องว่างอยู่ระหว่างเนื้อเยื่อชั้น
กลางและเนื้อเยื่อชั้นใน
3. ลาตัวกลม ยาว แหลมหัวแหลมท้าย ไม่มีข้อปล้อง ผิวลาตัวเรียบ มีสารคิวทิเคิลหนาหุ้มตัว
4. ไม่มีระบบหมุนเวียนเลือด แต่ใช้ของเหลวในช่องว่างเทียมช่วยในการลาเลียงสาร
5. ไม่มีอวัยวะหายใจโดยเฉพาะ พวกที่ดารงชีพวิตแบบปรสิตหายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจน แต่พวกที่
อยู่อย่างอิสระใช้ผิวหนังเป็นส่วนแลกเปลี่ยนก็าซกับสิ่งแวดล้อม
6. ระบบขับถ่ายประกอบด้วยเส้นข้างลาตัว (Lateral line) ซึ่งภายในบรรจุท่อขับถ่าย (Excretory
canal) ไว้
7. ทางเดินอาหารสมบูรณ์ประกอบด้วยปากและทวารหนัก
8. ระบบประสาท ประกอบด้วยปมประสาทรูปวงแหวน (Nerve ring) อยู่รอบคอหอยและมีแขนง
ประสาทแยกออกทางด้านท้องและทางด้านหลัง
9. มีระบบกล้ามเนื้อยาวตลอดลาตัว (Longitudinal muscle)
10. เป็นสัตว์แยกเพศตัวเมียมักมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้เนื่องจากตัวเมียต้องทาหน้าที่ในการออกไข่
ลักษณะที่สาคัญ
1. ร่างกายแบ่งเป็นปล้องอย่างแท้จริง มีสมมาตรแบบครึ่งซีก (bilateral symmetry)
2. เนื้อเยื่อแบ่งออกเป็น 3 ชั้น ผนังร่างกายประกอบด้วยเอพิเดอร์มิสซึ่งมีชั้นคิวติเคิลบางๆปกคลุมอยู่ ถัดเข้าไปเป็นชั้นกล้ามเนื้อวงกลม
(circular muscle ) และกล้ามเนื้อชั้นในเป็นชั้นกล้ามเนื้อตามยาว (longitudinal muscle)
3. มีรยางค์เป็นแท่งเล็ก ๆ เรียกว่า เดือย (setae) เป็นสารไคติน (citin) เช่นไส้เดือนดิน มีเดือยช่วยในการเคลื่อนที่และการขุดรู
ส่วนไส้เดือนทะเลมีเดือยและแผ่นขาหรือพาราโพเดีย (parapodia) ยื่นออกมาทางด้านข้างของลาตัวใช้ในการเคลื่อนที่
แต่ปลิงไม่มีรยางค์ใด ๆ
4. มีช่องตัวที่แท้จริง ช่องตัวถูกแบ่งออกเป็นห้อง ๆ โดยมีเยื่อกั้น (septum) กั้นช่องตัวไว้ ภายในช่องตัวมีของเหลว (coelomic fluid)
บรรจุอยู่ทาให้ร่างกายไม่แฟบ
5. ทางเดินอาหารสมบูรณ์เป็นท่อยาวตลอดร่างกาย
6. ระบบหมุนเวียนโลหิตเป็นแบบปิด (closed circulatory system) น้าเลือดมีสีแดงเพราะมีฮีโมโกลบินละลายอยู่
7. หายใจผ่านทางผิวหนังหรือเหงือก
8. ระบบขับถ่ายจะเป็นอวัยวะขับถ่ายที่เรียกว่า เนฟริเดีย (nephridia) อยู่ทุกปล้อง ๆ ละ 1 คู่ เนฟริเดียจะช่วยขับของเสียออกจากช่องตัว
และกระแสโลหิตออกนอกร่างกายทางรูขับถ่าย (nephridiopores)
9. ระบบประสาทประกอบด้วยปมประสาทสมอง (cerebral ganglia) ติดต่อกับเส้นประสาทใหญ่ด้านท้อง (ventral nerve cord)
ซึ่งทอดตามยาวของร่างกาย เส้นประสาทใหญ่ทางด้านหลังจะมีปมประสาทประจาปล้อง (segment ganglia) ปล้องละ 1 ปม
10. หนอนปล้องบางชนิดเป็นกะเทย (hermaphrodite) แต่มีการปฏิสนธิข้ามตัว เช่น ไส้เดือนดิน ปลิงน้าจืด พวกนี้มีการเจริญเติบโต
โดยไม่ต้องผ่านระยะตัวอ่อน หนอนปล้องบางชนิดมีเพศแยกกัน(dioecious) และการเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยต้องผ่านระยะตัวอ่อน
ที่เรียกว่าโทรโคฟอร์ (trochophore) เช่น แม่เพรียง เพรียงดอกไม้ ด้วยเหตุที่หนอนปล้องมีระยะตัวอ่อนโทรโคฟอร์ เช่นเดียวกับ
พวกมอลลัสก์ที่อยู่ในทะเล ทาให้นักชีววิทยาเชื่อว่าสัตว์ทั้ง 2 กลุ่มจะต้องมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
ลักษณะที่สาคัญ
1.มีสมมาตรแบบผ่าซีก
2. มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้น และมีช่องตัวแบบแท้งจริง
3. ลาตัวมีลักษณะเป็นปล้อง และแบ่งออกเป็นส่วนๆโดยทั่วไปแล้วมี 3 ส่วน คือ ส่วนหัว(Head) ส่วน
อก( Thorax) และส่วนท้อง(Abdomen) เช่นพวกแมลง แต่บางชนิดส่วนหัวและส่วนอกจะรวมกันเป็น
ส่วนเดียวแยกออกจากกันไม่ได้เรียกว่า เซฟาโลทอแรกซ์ (Cephalothorax) เช่น กุ้ง ปู นอกจากนี้ใน
พวกกิ้งกือและ ตะขาบส่วนของอกและท้องจะมีลักษณะเหมือนกัน
4. มีรยางค์ยื่นออกจากลาตัวเป็นคู่ๆ เช่น ขาเดิน ขาว่ายน้า อวัยวะส่วนปาก หนวด ปีก และรยางค์
เหล่านี้มักมีลักษณะต่อกันเป็นข้อๆด้วย
5. มีโครงร่างภายนอก (Exoskeleton) เป็นสารจาพวกไคทิน(Chitin) แข็งหุ้มรอบตัว ดังนั้นในขณะที่มี
การเจริญเติบโต สัตว์ในไฟลัมนี้หลายชนิดจึงต้องมีการลอกคราบ (Molting)
6. ทางเดินอาหารเป็นแบบสมบูรณ์ มีปากและทวารหนัก สาหรับส่วนปากมีอวัยวะที่ช่วยในการกิน
อาหารและมีการดัดแปลงไปเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพของอาหาร เช่นมีปากแบบกัดกิน ดูดกิน เจาะ
ดูด เป็นต้น
7. ระบบหมุนเวียนโลหิตเป็นระบบเปิด (Open circutory sysytem) โดยเลือดเมื่อออกจากหัวใจเทียม (Pseudoheart) แล้วจะ
ไหลไปตามเส้นเลือด ต่อจากนั้นจะไหลเข้าสู่ช่องว่างในลาตัว (Hemocoel) แล้วไหลกลับเข้าสู่หัวใจอีก จะเห็นได้ว่าเลือดไม่ได้อยู่ภายในหัวใจ
และเส้นเลือดตลอดเวลา แต่มีบางระยะที่เลือดไหลออกมาอยู่นอกเส้นเลือด จึงเรียกระบบการหมุนเวียนแบบนี้ว่า ระบบเปิด นอกจากนี้ สัตว์
กลุ่มนี้อามีเลือดเป็นสีฟ้าอ่อนหรือไม่มีสีเนื่องจากสาร เฮโมไซยานิน (Hemocyanin) เป็นองค์ประกอบหรือมีสีแดงเนื่องจากเฮโมโกลบิน
(Hemoglobin) เป็นองค์ประกอบ
8. มีระบบขับถ่ายเป็นลักษณะเฉพาะของกลุ่ม เช่น แมลงมี มัลพีเกียน ทูบูล (Malpighain tuble) ซึ่งเป็นท่ออยู่ที่ทางเดิน
อาหาร
เป็นอวัยวะขับถ่าย กุ้งมีกรีนแกลนด์ หรือต่อมเขียว (Green gland) ที่โคนหนวดทาหน้าที่ขับถ่าย
9. ระบบหายใจประกอบด้วยอวัยวะหาบใจหลายชนิดในพวกที่อยู่ในน้าเช่น พวกกุ้งปู หายใจด้วยเหงือก (Gill) พวกแมลง
หายใจได้ด้วยระบบท่อลม (Tracheal system) ที่แทรกอยู่ทั้งตัว แมงมุมหายใจด้วยบุคลัง (Book lung) ที่บริเวณส่วนท้อง ซึ่งมีลักษณะเป็น
แผ่นบางๆซ้อนกันอยู่หลายชั้นเป็นต้น
10. ระบบประสาทมีปมประสาทที่หัว 1 คู่ และมีเส้นประสาททางด้านท้อง (Ventral nerver cord) ทอดไปตามความยาว
ของลาตัว 1 คู่ และมีอวัยวะสัมผัสเจริญดี เช่น ตาเดี่ยว ตาประกอบ หนวด ขาสัมผัสเป็นต้น
11. ระบบสืบพันธุ์เป็นสัตว์แยกเพศ มักมีการปฏิสนธิภายในตัว และออกลูกเป็นไข่ที่มีไข่แดงมาก ในขณะที่มีการ
เจริญเติบโตมักมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปด้วย
ลักษณะที่สาคัญ
1. ขนาด ซึ่งมีขนาดตั้งแต่เล็กมาก จนถึงขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังด้วยกัน เช่นหมึกบางตัวยาว
ถึง 16 เมตร ความยาวรอบตัว 6 เมตร และหนักหลายพันกิโลกรัม ซึ่งขนาดทั่ว ไปยาวประมาณ 1 – 3 นิ้ว
2. ร่างกายอ่อนนิ่ม ไม่มีปล้อง ประกอบ ด้วยส่วนต่าง ๆ
2.1 ส่วนหัว บางชนิดมีส่วนหัวชัดเจนแต่บางชนิดไม่เจริญ บนหัวอาจมีหนวด (tentacles) บางชนิดมีตาเจริญดีมาก
เทียบเท่ากับตาของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้านม เช่น หมึก แต่บางชนิดไม่มีตาเลย
2.2 ส่วนเท้า (foot) เป็นส่วนของกล้ามเนื้อที่อยู่ทางด้านท้อง (ventral) ใช้เคลื่อนที่หรือไชดิน
2.3 ก้อนอวัยวะภายใน (visceral mass) ซึ่งประกอบด้วยระบบอวัยวะต่าง ๆ
2.4 เยื่อแมนเทิล (mantle) เป็นเยื่อบาง ๆ ที่ปกคลุมตัวและติดต่อพื้นด้านในของกาบ (shell) เยื่อแมนเทิลทาหน้าที่สร้าง
เปลือกหุ้มตัวและรับความรู้สึก ส่วนช่องที่อยู่ระหว่างเยื่อแมนเทิลกับก้อนอวัยวะภายใน เรียกว่าช่องแมนเทิล (mantle cavity)
ภายในช่องแมนเทิลมีเงือก (gill)
3. ระบบทางเดินอาหารเป็นแบบสมบูรณ์คือ มีปาก และทวารหนัก ทางเดินอาหารมักมีลักษณะเป็นท่อขดเป็นเกลียว
หรือรูปตัวยู ประกอบด้วย ปาก คอหอย หลอดอาหาร กระเพาะ ลาไส้ และทวารหนัก มีต่อมสร้างน้าย่อยและตับ
นอกจากนั้น มีอวัยวะที่ใช้ในการบดอาหารในบริเวณคอหอยมีลักษณะคล้ายตะไบ เรียกว่า แรดูลา (radula) ซึ่งไม่มีในสัตว์
กลุ่มอื่นๆ
4. มีช่องตัวที่แท้จริง (coelom) มีลักษณะลดลงมากเหลืออยู่ในลักษณะเป็นช่องรอบหัวใจ (pericardial cavity) ช่องไต
และอวัยวะสืบพันธุ์
5. ระบบหมุนเวียนโลหิตเป็นระบบเปิด (open circulation system) ที่เจริญมีหัวใจ 3 ห้อง คือออริเคิล 2 ห้อง
เวนติเคิล 1 ห้อง อยู่ภายในเยื่อหุ้มหัวใจ (pericardium) มีเส้นเลือดนาไปตามส่วนต่าง ๆของร่างกาย นอกจากนั้น
เลือดยังซึมแพร่เข้าไปในแอ่งรับเลือด (blood sinus หรือ hemocoel) เซลล์เม็ดเลือดของมอลลัสก์
เป็นเซลล์ประเภทอมีโบไซด์ ลอยอยู่ในน้าเลือด (plasma) รงควัตถุในการแลกเปลี่ยนแก๊สเป็น ฮีโมไซยานิน
(hemocyanin) ซึ่งเมื่อรวมตัวกับออกซิเจนจะเป็นสีฟ้าอ่อน มีบางชนิดเท่านั้นที่เป็นฮีโมโกลบิน (hemoglobin)
เช่นหอยแครง
6. หายใจโดยใช้เหงือก (gills) หรือปอด (lung) ผิวหนังและเยื่อแมนเทิล
7. การขับถ่าย มี ไตหรือเนฟริเดียม (nephridium) 1 หรือ 2 คู่ หรืออาจมีเพียงอันเดียว ไตมีลักษณะเป็นท่อยาว
ปลายข้างหนึ่งเปิดเข้าในช่องรอบหัวใจ ปลายอีกข้างหนึ่งเปิดออกสู่ภายนอกในบริเวณช่องแมนเทิล
8. ระบบประสาท ประกอบด้วยปมประสาท (ganglia) 3 คู่ และมีเส้นประสาทใหญ่ (nerve cord) 2 คู่ เส้นประสาทคู่
ที่หนึ่งออกจากสมองหรือปมประสาทสมอง (cerebral ganglia)ไปยังปมประสาทที่เท้า (pedal ganglia)
ส่วนเส้นประสาทคู่ที่ 2 ออกจากปมประสาทสมองไปยังปมประสาทอวัยวะภายใน (visceral ganglia)
สาหรับปมประสาทสมองนั้นมีลักษณะเป็นวงแหวน (nerve ring) ล้อมรอบหลอดอาหารส่วนนี้ทาหน้าที่เป็นสมอง
9. เพศ ส่วนใหญ่มีเพศแยกกันเป็นตัวผู้และตัวเมีย (dioecious) แต่บางชนิดเป็นกะเทย (hermaphrodite)
และสามารถเปลี่ยนเพศได้ (protandry) การปฏิสนธินั้น เป็นทั้งแบบภายในตัวหรือภายนอกตัว พวกที่อยู่ในทะเลจะมี
ระยะตัวอ่อนที่เรียกว่า โทรโคฟอร์ (trochophore larva) ด้วย
ลักษณะที่สาคัญ
1. รูปร่างในวงชีวิตของสัตว์กลุ่มนี้ มีรูปร่าง 2 แบบ คือ มีสมมาตรครึ่งซีก ซึ่งพบในระยะที่เป็นตัวอ่อน
เมื่อตัวอ่อนเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยแล้ว รูปร่างจึงค่อยเปลี่ยนไปเป็นแบบสมมาตรรัศมี ไม่มีส่วนหัวและไม่มีปล้อง
2. ร่างกายประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น ชั้นนอกเป็นเอพิเดอร์มิสชั้นเดียวบาง ๆ ปกคลุมโครงร่างภายใน (endoskeleton)
ซึ่งเป็นแผ่นหินปูนที่เจริญมาจากชั้นมีโซเดอร์ม (mesoderm) เช่นเดียวกับระบบโครงกระดูกของสัตว์มีกระดูกสันหลัง
แผ่นหินปูนบางแผ่นมีหนาม (calcareous spine) ติดอยู่ด้วย
3. ลาตัวแบ่งออกเป็น 5 ส่วนในแนวรัศมีเท่า ๆกัน มีลักษณะเป็น 5 แฉก (pentamerous) แต่ละแฉกเรียกว่า แขน
หรืออัมบูลากา (arm หรือ ambulaca) ด้านล่างมีเท้าท่อ (tube feet) ซึ่งช่วยในการเคลื่อนที่หรือจับอาหาร
4. มีระบบท่อน้า (water vascular system) ภายในร่างกายซึ่งเจริญมาจากช่องตัวในระยะตัวอ่อน ภายในท่อบรรจุด้วย
น้าเค็มจากภายนอก ลักษณะภายนอกของระบบนี้ที่พอเห็นได้คือ เท้าท่อ (tube feet) เมื่อทางานร่วมกันทาให้สามารถ
เคลื่อนไหวจับอาหาร หายใจและรับความรู้สึกได้ ระบบนี้ถือว่าเป็นระบบไฮดรอลิก (hydraulic system)
ซึ่งไม่มีในสัตว์ไฟลัมอื่น
5. มีช่องตัวกว้าง และมีเยื่อบุช่องตัว (peritoneum) บุอยู่ภายใน ภายในช่องตัวมีของเหลวและมีเซลล์อะมีโบไซต์ (amoebocyte)
ลอยเคลื่อนที่อยู่
6. การหายใจ อวัยวะที่ใช้ในการหายใจ คือ เหงือกที่ผิวหนัง (skin
6. การหายใจ อวัยวะที่ใช้ในการหายใจ คือ เหงือกที่ผิวหนัง (skin gill or dermal branchia) นอกจากนั้นยังหายใจ
ด้วยท่อขา บางพวกหายใจด้วยอวัยวะหายใจที่เรียกว่า respiratory tree ซึ่งมีลักษณะเป็นท่อแตกแขนงติดต่อกับ
ทวารหนัก หายใจโดยนาน้าเข้าและออกจากท่อนี้ผ่านทางทวารหนัก เช่น การหายใจของปลิงทะเล
7. ระบบหมุนเวียนโลหิต มีลักษณะลดลงไปอย่างมาก บางชนิดไม่มีเลย ส่วนการขับถ่ายไม่มีอวัยวะขับถ่าย
ที่ทาหน้าที่โดยตรง
8. ทางเดินอาหารเป็นแบบสมบูรณ์ ยกเว้นสมาชิกใน Class Ophiuroidea ทางเดินอาหารจะไม่มีทวารหนัก
เช่น ดาวเปราะ
9. ระบบประสาทไม่มีส่วนสมองที่แท้จริง แต่พบว่ามีระบบประสาทวงแหวน (nerve ring) ล้อมรอบหลอดอาหารไว้
และมีเส้นประสาทรัศมี (radial nerve) แยกออกจากประสาทวงแหวนไปเลี้ยงที่แขน อวัยวะรับความรู้สึก
เจริญน้อยมาก
10. มีเพศแยกกัน (dioecious) มีอวัยวะสืบพันธุ์และท่อสืบพันธุ์แบบง่าย ๆ อยู่บริเวณโคนแขนแต่ละแขน
มีการผสมนอกตัวซึ่งเกิดการปฏิสนธิในน้าทะเล
ลักษณะที่สาคัญ
1. การมีโนโตคอร์ด (notochord) พวกคอร์เดตทุกชนิดจะต้องมีโนโตคอร์ดอย่างน้อยช่วงหนึ่งของชีวิต พวกคอร์เดตชั้นต่า
เช่น แอมฟิออกซัสจะมีโนโตคอร์ด ตลอดชีวิต พวกคอร์เดตชั้นสูงเช่นสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังจะมีโนโตคอร์ด
ในระยะตัวอ่อนเท่านั้น พอเจริญเติบโตจะเกิดกระดูกสันหลังขึ้นมาแทนที่โนโตคอร์ด ลักษณะของโนโตคอร์ดจัดเป็น
เนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่เจริญมาจากเนื้อเยื่อชั้นมีโซเดิร์ม ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ที่ค่อนข้างอ่อนคล้ายวุ้น แต่มีเปลือกหุ้ม (sheath)
หุ้มอีกชั้นทาให้มีลักษณะเป็นแท่งแข็งแรง แต่ยืดหยุ่นได้ดี และไม่แบ่งเป็นปล้อง แท่งโนโตคอร์ดเป็นโครงสร้างค้าจุนที่อยู่
ทางด้านหลังใต้ระบบประสาทส่วนกลางแต่อยู่เหนือทางเดินอาหาร notochord = a rod-shaped supporting axis, or backbone
2. การมีช่องเหงือก (pharyngeal gill slits) คอร์เดตทุกชนิดโดยเฉพาะพวกที่อยู่ในน้าจะมีช่องเหงือกตลอดชีวิต ส่วนพวกที่อาศัย
อยู่บนบกจะพบช่องเหงือกในระยะตัวอ่อนเท่านั้น เมื่อเจริญเติบโตขึ้น ช่องเหงือกจะปิดซึ่งอาจจะพบร่องรอยเพียงเล็กน้อย
(ในคนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเป็นท่อยูสเตเชียนเชื่อมระหว่างหูส่วนกลางกับหลอดลมบริเวณคอ) การเกิดช่องเหงือกจะ
เกิดขึ้นในบริเวณคอหอยของตัวอ่อน โดยบริเวณคอหอยจะโป่งออกไปนอกผิวตัวทางด้านข้างและมีรอยแตกเป็นช่องเหงือก
ซึ่งเป็นอวัยวะหายใจ พวกแอมฟิออกซัส ปลาปากกลม ปลาฉลาม ตลอดจนปลากระดูกแข็งจะดูดน้าเข้าทางปากและผ่านออก
ทางช่องเหงือก ทาให้เกิดการหายใจขึ้น พวกสัตว์มีกระดูกสันหลังที่อยู่บนบกและหายใจด้วยปอดจะมีช่องเหงือกในระยะ
ตัวอ่อน และ (อาจจะ) ทาหน้าที่หายใจในระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น
3. การมีระบบประสาทด้านหลัง (Dorsal Hollow Nerve Cord) คอร์เดตทุกชนิดจะต้องมีโครงสร้างนี้
ตลอดชีวิตมีลักษณะเป็นท่อยาวตลอดลาตัวทางด้านหลัง เส้นประสาททางด้านหัวอาจเปลี่ยนแปลงไปเป็นสมอง
ส่วนทางด้านท้ายเจริญเป็นไขสันหลัง (spinal cord) การเกิดระบบประสาทนี้เกิดขึ้นในระยะตัวอ่อน
โดยการม้วนตัวเข้าหากันของเนื้อเยื่อชั้นเอคโตเดิร์มทางด้านหลังกลายเป็นท่อฝังอยู่ใต้ผิวหนัง
Taxonomy(อนุกรมวิทฐาน)

More Related Content

What's hot

การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต
การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิตการรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต
การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิตIssara Mo
 
ฮอร์โมนพืช ( Plant hormones )
ฮอร์โมนพืช ( Plant hormones )ฮอร์โมนพืช ( Plant hormones )
ฮอร์โมนพืช ( Plant hormones )พัน พัน
 
ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน
ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน
ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน Thitaree Samphao
 
ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่าย ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่าย Thitaree Samphao
 
ใบงานที่ 14สารพันธุกรรม
ใบงานที่ 14สารพันธุกรรมใบงานที่ 14สารพันธุกรรม
ใบงานที่ 14สารพันธุกรรมAomiko Wipaporn
 
การคายน้ำและการแลกเปลี่ยนแก๊ส
การคายน้ำและการแลกเปลี่ยนแก๊สการคายน้ำและการแลกเปลี่ยนแก๊ส
การคายน้ำและการแลกเปลี่ยนแก๊สThanyamon Chat.
 
เนื้อเยื่อพืช
เนื้อเยื่อพืชเนื้อเยื่อพืช
เนื้อเยื่อพืชThanyamon Chat.
 
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชsukanya petin
 
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง วิวัฒนาการ
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง วิวัฒนาการหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง วิวัฒนาการ
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง วิวัฒนาการWichai Likitponrak
 
ใบงานการย่อยอาหาร Version นักเรียนค่ะ
ใบงานการย่อยอาหาร Version นักเรียนค่ะใบงานการย่อยอาหาร Version นักเรียนค่ะ
ใบงานการย่อยอาหาร Version นักเรียนค่ะกมลรัตน์ ฉิมพาลี
 
Mindmap การลำเลียงสารผ่านเข้าออกเซลล์
Mindmap การลำเลียงสารผ่านเข้าออกเซลล์Mindmap การลำเลียงสารผ่านเข้าออกเซลล์
Mindmap การลำเลียงสารผ่านเข้าออกเซลล์กมลรัตน์ ฉิมพาลี
 
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์สำเร็จ นางสีคุณ
 
ใบกิจกรรมที่ 5การรักษาดุลยภาพของน้ำและสารต่างๆ ของร่างกาย
ใบกิจกรรมที่ 5การรักษาดุลยภาพของน้ำและสารต่างๆ ของร่างกายใบกิจกรรมที่ 5การรักษาดุลยภาพของน้ำและสารต่างๆ ของร่างกาย
ใบกิจกรรมที่ 5การรักษาดุลยภาพของน้ำและสารต่างๆ ของร่างกายAomiko Wipaporn
 

What's hot (20)

Kingdom monera
Kingdom moneraKingdom monera
Kingdom monera
 
การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต
การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิตการรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต
การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต
 
ฮอร์โมนพืช ( Plant hormones )
ฮอร์โมนพืช ( Plant hormones )ฮอร์โมนพืช ( Plant hormones )
ฮอร์โมนพืช ( Plant hormones )
 
ม.6 นิเวศ
ม.6 นิเวศม.6 นิเวศ
ม.6 นิเวศ
 
ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)
ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)
ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)
 
ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน
ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน
ระบบน้ำเหลืองและระบบภูมิคุ้มกัน
 
ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่าย ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่าย
 
โครมาโทกราฟี
โครมาโทกราฟีโครมาโทกราฟี
โครมาโทกราฟี
 
ใบงานที่ 14สารพันธุกรรม
ใบงานที่ 14สารพันธุกรรมใบงานที่ 14สารพันธุกรรม
ใบงานที่ 14สารพันธุกรรม
 
การคายน้ำและการแลกเปลี่ยนแก๊ส
การคายน้ำและการแลกเปลี่ยนแก๊สการคายน้ำและการแลกเปลี่ยนแก๊ส
การคายน้ำและการแลกเปลี่ยนแก๊ส
 
เนื้อเยื่อพืช
เนื้อเยื่อพืชเนื้อเยื่อพืช
เนื้อเยื่อพืช
 
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
 
Kingdom Animalia
Kingdom AnimaliaKingdom Animalia
Kingdom Animalia
 
Kingdom protista
Kingdom protistaKingdom protista
Kingdom protista
 
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง วิวัฒนาการ
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง วิวัฒนาการหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง วิวัฒนาการ
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง วิวัฒนาการ
 
Biohmes55
Biohmes55Biohmes55
Biohmes55
 
ใบงานการย่อยอาหาร Version นักเรียนค่ะ
ใบงานการย่อยอาหาร Version นักเรียนค่ะใบงานการย่อยอาหาร Version นักเรียนค่ะ
ใบงานการย่อยอาหาร Version นักเรียนค่ะ
 
Mindmap การลำเลียงสารผ่านเข้าออกเซลล์
Mindmap การลำเลียงสารผ่านเข้าออกเซลล์Mindmap การลำเลียงสารผ่านเข้าออกเซลล์
Mindmap การลำเลียงสารผ่านเข้าออกเซลล์
 
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์
 
ใบกิจกรรมที่ 5การรักษาดุลยภาพของน้ำและสารต่างๆ ของร่างกาย
ใบกิจกรรมที่ 5การรักษาดุลยภาพของน้ำและสารต่างๆ ของร่างกายใบกิจกรรมที่ 5การรักษาดุลยภาพของน้ำและสารต่างๆ ของร่างกาย
ใบกิจกรรมที่ 5การรักษาดุลยภาพของน้ำและสารต่างๆ ของร่างกาย
 

Similar to Taxonomy(อนุกรมวิทฐาน)

อาณาจักรสัตว์
อาณาจักรสัตว์อาณาจักรสัตว์
อาณาจักรสัตว์tarcharee1980
 
Unlock ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
Unlock ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตUnlock ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
Unlock ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตmahachaisomdet
 
9.เนื้อเยื่อพืช
9.เนื้อเยื่อพืช9.เนื้อเยื่อพืช
9.เนื้อเยื่อพืชWichai Likitponrak
 
อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์
อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์
อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์feeonameray
 
Kingdom for knowledge บทที่ 2
Kingdom for knowledge บทที่ 2 Kingdom for knowledge บทที่ 2
Kingdom for knowledge บทที่ 2 Choom' B't
 
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตOui Nuchanart
 
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตOui Nuchanart
 
ใบความรู้ที่ 4 เรื่อง ความหลากหลายทางพันธุกรรม
ใบความรู้ที่ 4 เรื่อง ความหลากหลายทางพันธุกรรมใบความรู้ที่ 4 เรื่อง ความหลากหลายทางพันธุกรรม
ใบความรู้ที่ 4 เรื่อง ความหลากหลายทางพันธุกรรมSumalee Khvamsuk
 
ติวสอบเตรียมความหลากหลายชีวภาพ
ติวสอบเตรียมความหลากหลายชีวภาพติวสอบเตรียมความหลากหลายชีวภาพ
ติวสอบเตรียมความหลากหลายชีวภาพWichai Likitponrak
 
อาณาจักรสัตว์Science
อาณาจักรสัตว์Scienceอาณาจักรสัตว์Science
อาณาจักรสัตว์Scienceteeraya
 
บทที่1โครงสร้างและหน้าที่พืชดอก
บทที่1โครงสร้างและหน้าที่พืชดอกบทที่1โครงสร้างและหน้าที่พืชดอก
บทที่1โครงสร้างและหน้าที่พืชดอกWichai Likitponrak
 

Similar to Taxonomy(อนุกรมวิทฐาน) (20)

อาณาจักรสัตว์
อาณาจักรสัตว์อาณาจักรสัตว์
อาณาจักรสัตว์
 
Unlock ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
Unlock ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตUnlock ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
Unlock ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
 
9.เนื้อเยื่อพืช
9.เนื้อเยื่อพืช9.เนื้อเยื่อพืช
9.เนื้อเยื่อพืช
 
อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์
อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์
อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์
 
Kingdom for knowledge บทที่ 2
Kingdom for knowledge บทที่ 2 Kingdom for knowledge บทที่ 2
Kingdom for knowledge บทที่ 2
 
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
 
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
 
ใบความรู้ที่ 4 เรื่อง ความหลากหลายทางพันธุกรรม
ใบความรู้ที่ 4 เรื่อง ความหลากหลายทางพันธุกรรมใบความรู้ที่ 4 เรื่อง ความหลากหลายทางพันธุกรรม
ใบความรู้ที่ 4 เรื่อง ความหลากหลายทางพันธุกรรม
 
Taxonomy 2
Taxonomy 2Taxonomy 2
Taxonomy 2
 
Taxonomy
TaxonomyTaxonomy
Taxonomy
 
Kingdom animal
Kingdom animalKingdom animal
Kingdom animal
 
Original insect2
Original insect2Original insect2
Original insect2
 
ติวสอบเตรียมความหลากหลายชีวภาพ
ติวสอบเตรียมความหลากหลายชีวภาพติวสอบเตรียมความหลากหลายชีวภาพ
ติวสอบเตรียมความหลากหลายชีวภาพ
 
อาณาจักรสัตว์Science
อาณาจักรสัตว์Scienceอาณาจักรสัตว์Science
อาณาจักรสัตว์Science
 
2 hormone p_lan
2 hormone p_lan2 hormone p_lan
2 hormone p_lan
 
Biodiversity
BiodiversityBiodiversity
Biodiversity
 
อาณาจักรสิ่งมีชีวิต
อาณาจักรสิ่งมีชีวิต อาณาจักรสิ่งมีชีวิต
อาณาจักรสิ่งมีชีวิต
 
Kingdom
KingdomKingdom
Kingdom
 
บทที่1โครงสร้างและหน้าที่พืชดอก
บทที่1โครงสร้างและหน้าที่พืชดอกบทที่1โครงสร้างและหน้าที่พืชดอก
บทที่1โครงสร้างและหน้าที่พืชดอก
 
ิ b
ิ bิ b
ิ b
 

More from firstnarak

โครงงานเปิดโลกปิโตรเลียม
โครงงานเปิดโลกปิโตรเลียมโครงงานเปิดโลกปิโตรเลียม
โครงงานเปิดโลกปิโตรเลียมfirstnarak
 
โครงงานคอม(ยาสามัญประจำบ้าน)
โครงงานคอม(ยาสามัญประจำบ้าน)โครงงานคอม(ยาสามัญประจำบ้าน)
โครงงานคอม(ยาสามัญประจำบ้าน)firstnarak
 
ใบงาน 8
ใบงาน 8ใบงาน 8
ใบงาน 8firstnarak
 
ใบงาน 6
ใบงาน 6ใบงาน 6
ใบงาน 6firstnarak
 
ใบงาน 4
ใบงาน 4ใบงาน 4
ใบงาน 4firstnarak
 
ใบงาน 2
ใบงาน 2ใบงาน 2
ใบงาน 2firstnarak
 
ความถนัดเเพทย์ ondemand
ความถนัดเเพทย์ ondemandความถนัดเเพทย์ ondemand
ความถนัดเเพทย์ ondemandfirstnarak
 
สังคม
สังคมสังคม
สังคมfirstnarak
 

More from firstnarak (11)

โครงงานเปิดโลกปิโตรเลียม
โครงงานเปิดโลกปิโตรเลียมโครงงานเปิดโลกปิโตรเลียม
โครงงานเปิดโลกปิโตรเลียม
 
โครงงานคอม(ยาสามัญประจำบ้าน)
โครงงานคอม(ยาสามัญประจำบ้าน)โครงงานคอม(ยาสามัญประจำบ้าน)
โครงงานคอม(ยาสามัญประจำบ้าน)
 
ใบงาน 8
ใบงาน 8ใบงาน 8
ใบงาน 8
 
7
77
7
 
ใบงาน 6
ใบงาน 6ใบงาน 6
ใบงาน 6
 
5
55
5
 
ใบงาน 4
ใบงาน 4ใบงาน 4
ใบงาน 4
 
3
33
3
 
ใบงาน 2
ใบงาน 2ใบงาน 2
ใบงาน 2
 
ความถนัดเเพทย์ ondemand
ความถนัดเเพทย์ ondemandความถนัดเเพทย์ ondemand
ความถนัดเเพทย์ ondemand
 
สังคม
สังคมสังคม
สังคม
 

Taxonomy(อนุกรมวิทฐาน)

  • 1. อนุกรมวิธาน เป็นการจัดจาแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็นหมวดหมู่ตามสายวิวัฒนาการ อนุกรมวิธานเป็นวิชาที่ว่าด้วยกฎเกณฑ์เกี่ยวกับ 1. การจัดจาแนกสิ่งมีชีวิต (classification) ออกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ 2. การกาหนดชื่อสากลของหมวดหมู่และชนิดของสิ่งมีชีวิต (nomenclature) 3. การตรวจสอบชื่อวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิต (identification) ชีววิทยาเข้ม 3
  • 2. การจาแนกอาณาจักรสิ่งมีชีวิตออกเป็น 5 อาณาจักร ดังนี้ 1. อาณาจักรมอเนอรา (Kingdom Monera) 2. อาณาจักรเห็ดรา (Kingdom Fungi) 3. อาณาจักรโพรทิสตา(Kingdom Protista) 4. อาณาจักรพืช (Kingdom Plantae) 5. อาณาจักรสัตว์ (Kingdom Animalia) ชีววิทยาเข้ม 3
  • 4. สิ่งมีชีวิตในโลกนี้ มีมากมายหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิด จะมีความแตกต่างกัน จึงจาเป็นที่จะต้องมีการ จัดแบ่งหมวดหมู่เพื่อความสะดวกในการศึกษา และ การนามาใช้ประโยชน์ วิชาที่ว่าด้วยการจัดแบ่ง หมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิต เรียกว่า อนุกรมวิธาน (Taxonomy) นักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยกย่องให้ เป็นบิดาแห่งวิชาอนุกรมวิธาน คือ คาโรลัส ลินเนียส (Carolus Linnaeus) ชาวสวีเดน ชีววิทยาเข้ม 3
  • 5. การจัดลาดับหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิต (Taxonomic category) หมวดหมู่ที่ใหญ่ที่สุด คือ อาณาจักร (Kingdom) สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในอาณาจักรเดียวกันจะมี ลักษณะสาคัญบางอย่างเท่านั้นที่เหมือนกัน ซึ่งในแต่ละ อาณาจักร จะแบ่งย่อยออกเป็นหลายหมวด และ แบ่งย่อยลงไปเรื่อยๆ จนถึงหน่วยที่เล็กที่สุด คือ ชนิด (Species) โดยสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในชนิดเดียวกันจะมีลักษณะ คล้ายคลึงกันในด้านต่างๆ มากที่สุด ชีววิทยาเข้ม 3
  • 6. การจัดลาดับหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิต เรียงลาดับ จากหมวดหมู่ใหญ่ไปจนถึงหมวดหมู่ย่อย ดังนี้ อาณาจักร (Kingdom) หมวด (Division) หรือไฟลัม (Phylum) ชั้น (Class) อันดับ (Order) วงศ์ (Family) สกุล (Genus) ชนิด (Species) ชีววิทยาเข้ม 3
  • 7. ในลาดับชั้นสปีชีส์ อาจจะแบ่งย่อยลงไปได้อีก โดยมีลาดับชั้นย่อย ที่มีคาว่า sub เติมข้างหน้า เช่น subkingdom, subdivision, suborder เป็นต้น ระดับต่ากว่า Species ลงมา อาจจะแบ่งย่อย ออกไปอีกเป็น Subspecies, Variety นอกจากนี้ยังมี clone, line, forma (f.), cultivar (cv.), individual เป็นต้น ส่วน รูปแบบในการเขียนชื่อวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย ชื่อสกุล ชื่อชนิด Variety และ/หรือcultivar (cv.) ชีววิทยาเข้ม 3
  • 8. เกณฑ์ในการพิจารณาและจัดสิ่งชีวิตเข้าไว้ในอาณาจักรสัตว์ 1. เซลล์แบบยูคาริโอต (eukaryotic cell) คือเซลล์ที่มีเยื่อหุ้ม นิวเคลียส 2. ร่างกายประกอบด้วยเซลล์ชนิดที่ไม่มีผนังเซลล์ เรียกว่าเซลล์สัตว์ ทาให้เซลล์มีลักษณะอ่อนนุ่มและแตกต่างไปจากเซลล์พืช เซลล์เหล่านี้จะมา รวมกันเป็นเนื้อเยื่อเพื่อทาหน้าที่เฉพาะอย่าง ซึ่งพบว่าเซลล์ในเนื้อเยื่อมักมี ขนาดและรูปร่างเหมือนกัน มีการประสานการทางานระหว่างกัน สัตว์ชั้นสูงมี เนื้อเยื่อหลายชนิดสามารถจาแนกตามหน้าที่และตาแหน่งที่อยู่ของร่างกาย เป็น 5 ประเภท คือ เนื้อเยื่อบุผิว(epithelial tissue) เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissue) เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ(muscular tissue) เนื้อเยื่อ ลาเลียง (vascular tissue) และเนื้อเยื่อประสาท (nervous tissue)
  • 9. 3. สร้างอาหารเองไม่ได้ เพราะไม่มีคลอโรฟิลล์ ดังนั้นการ ดารงชีวิตจึงต้องกินสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหารซึ่งอาจเป็นพืช หรือสัตว์ด้วยกัน การดารงชีวิตจึงมักเป็นแบบผู้ล่าเหยื่อหรือ ปรสิตเสมอ 4. โดยทั่วไปเคลื่อนที่ได้ด้วยตนเองตลอดชีวิต มีบางชนิด พบว่าเมื่อเป็นตัวเต็มวัยแล้วเกาะอยู่กับที่ 5. โดยส่วนใหญ่สามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้อย่าง รวดเร็วเนื่องจากมีระบบประสาท มีอวัยวะรับความรู้สึกและ ตอบสนอง เช่น การกินอาหาร การขับถ่าย การสืบพันธุ์ เป็นต้น ชีววิทยาเข้ม 3
  • 10. เกณฑ์ที่ใช้ในการจาแนกหมวดหมู่ของอาณาจักรสัตว์ 1.ระดับการทางานร่วมกันของเซลล์ (level of cell organization) โดยดูการทางาน ร่วมกันของเซลล์และการจัดเป็นเนื้อเยื่อนั้น ซึ่งแบ่งสัตว์ออกเป็นพวกใหญ่ ๆ คือ 1.1 เนื้อเยื่อที่ไม่แท้จริง( no true tissue) เรียกสัตว์กลุ่มนี้ว่า พาราซัว (parazoa) เนื่องจากเซลล์ในสัตว์กลุ่มนี้ไม่มีการประสานงานกันระหว่างเซลล์ ได้แก่ พวกฟองน้า 1.2 เนื้อเยื่อที่แท้จริง (true tissue) เรียกสัตว์กลุ่มนี้ว่า ยูเมตาซัว (eumetazoa) ซึ่งเนื้อเยื่อจะถูกสร้างขึ้นเป็นชั้น เรียกว่า ชั้นของเนื้อเยื่อ (germ layer) มี 2 ประเภทคือ 1.2.1 เนื้อเยื่อ 2 ชั้น (diploblastica) ประกอบด้วยเนื้อเยื่อชั้นนอก (ectoderm) และ เนื้อเยื่อชั้นใน (endoderm) ได้แก่ พวกไฮดรา แมงกะพรุน โอบีเลีย 1.2.2. เนื้อเยื่อ 3 ชั้น (triploblastica) ประกอบด้วยเนื้อเยื่อชั้นนอก ชั้นกลาง (mesoderm) และชั้นใน ได้แก่พวกหนอนตัวแบนขึ้นไป จนถึงสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง
  • 11. 2. สมมาตร (symmetry) คือลักษณะการแบ่งร่างกายออกเป็นซีก ๆ ตามความยาว ของซีกเท่า ๆ กัน มีอยู่ 3 ลักษณะ ได้แก่ 2.1 ไม่มีสมมาตร (asymmetry) มีรูปร่างไม่แน่นอน ไม่สามารถแบ่งซีกซ้าย และซีกขวาได้ เท่า ๆ กัน ได้แก่ พวกฟองน้า 2.2 สมมาตรแบบรัศมี (radial symmetry) ร่างกายของสัตว์จะมีรูปร่าง คล้ายทรงกระบอก หรือล้อรถ ถ้าตัดผ่านจุดศูนย์กลางแล้วจะตัดอย่างไรก็ได้ 2 ส่วนที่เท่ากันเสมอ หรือเรียกว่า มีสมมาตรที่ผ่าซีกได้เท่า ๆ กันหลาย ๆ ครั้งใน แนวรัศมี ได้แก่ สัตว์พวกไฮดรา แมงกะพรุน ดาวทะเล เม่นทะเล 2.3 สมมาตรแบบครึ่งซีก (bilateral symmetry) หรือมีสามาตรที่ผ่าซีกได้ เท่า ๆ กัน เพียง 1 ครั้ง สมมาตรแบบนี้สามารถผ่าหรือตัดแบ่งครึ่งร่างกาย ตามความยาวของลาตัวแล้วทาให้ 2 ข้างเท่ากัน ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ได้แก่ พวกหนอนตัวกลม แมลง สัตว์มีกระดูกสันหลัง ชีววิทยาเข้ม 3
  • 12. 3. ลักษณะช่องว่างในลาตัวหรือช่องตัว (body cavity or coelom) คือช่องว่าง ภายในลาตัวที่อยู่ระหว่างผนังลาตัวกับอวัยวะภายในตัว ภายใน coelom มักจะมีของเหลวอยู่เต็ม ของเหลวเหล่านี้ทาหน้าที่เสมือนหนึ่งระบบ ไหลเวียนโลหิตง่าย ๆ ในสัตว์บางพวกช่วยลาเลียงสารอาหาร ออกซิเจน และของเสีย เป็นต้น อีกทั้งยังช่วยลดแรงกระแทกจากภายนอกที่อาจเป็น อันตรายต่ออวัยวะภายใน และยังเป็นบริเวณที่ทาให้อวัยวะภายในเคลื่อนที่ ได้อิสระจากผนังลาตัว ยอมให้อวัยวะขยายใหญ่ได้ ซึ่งสามารถนามาใช้เป็น เกณฑ์ในการจาแนกสัตว์ได้ แบ่งเป็น 3 พวกคือ ชีววิทยาเข้ม 3
  • 13. 3.1 ไม่มีช่องว่างในลาตัวหรือไม่มีช่องตัว (no body cavity or acoelom) เป็นพวกที่มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้นอยู่ชิดกัน โดยไม่มีช่องว่างในแต่ละชั้น ได้แก่ พวกหนอนตัวแบน 3.2 มีช่องตัวเทียม (pseudocoelom) เป็นช่องตัวที่เจริญอยู่ระหว่าง mesoderm ของผนังลาตัว และ endoderm ซึ่งเป็นทางเดินอาหาร ตัว นี้ไม่มีเยื่อบุช่องท้องกั้นเป็นขอบเขต ได้แก่ พวกหนอนตัวกลม โรติเฟอร์ (rotifer) ชีววิทยาเข้ม 3
  • 14. 3.3 มีช่องตัวที่แท้จริง (eucoelom or coelom) เป็นช่องตัวที่เจริญแทรก อยู่ระหว่าง mesoderm 2 ชั้น คือ mesoderm ชั้นนอกเป็นส่วนหนึ่ง ของผนังลาตัว (body wall) กับ mesoderm ชั้นในซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของผนังลาไส้ (intestinal wall) และ mesoderm ทั้งสองส่วนจะบุด้วยเยื่อบุช่อง ท้อง (peritoneum) ได้แก่ ไส้เดือนดิน หอย แมลง ปลา สัตว์มี กระดูกสันหลัง เป็นต้น ชีววิทยาเข้ม 3
  • 15. 4. การเกิดช่องปาก ซึ่งสามารถแบ่งสัตว์ตามการเกิดช่องปากได้ 2 กลุ่ม 4.1 โปรโตสโตเมีย (protostomia) เป็นสัตว์พวกที่ช่องปากเกิดก่อนช่องทวารใน ขณะที่เป็นตัวอ่อน ซึ่งช่องปากเกิดจากบลาสโตพอร์ หรือบริเวณใกล้ ๆ บลาสโตพอร์ (blastopore) ได้แก่ พวกหนอนตัวแบน หนอนตัวกลม หนอนมีปล้อง หอย สัตว์ขา ปล้อง 4.2 ดิวเทอโรสโตเมีย (deuterostomia) เป็นสัตว์พวกที่ช่องปากเกิดภายหลังช่อง ทวาร เกิดจากช่องใหม่ที่จะเจริญพัฒนาไปเป็นทางเดินอาหาร ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ บลาสโตพอร์ ได้แก่ พวกดาวทะเล และสัตว์มีกระดูกสันหลัง ชีววิทยาเข้ม 3
  • 16. 5. ทางเดินอาหาร (digestive tract) โดยทั่วไปแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ 5.1 ทางเดินอาหารแบบไม่สมบูรณ์ (incomplete digestive tract) เป็นทางเดินอาหารของสัตว์ที่มีปากแต่ไม่มีทวารหนัก หรือมีช่องทางเดินอาหารเข้าออกทางเดียวกัน หรือทางเดินอาหารแบบ ปากถุง (one-hole-sac) ได้แก่พวกไฮดรา แมงกะพรุน หนอนตัวแบน ชีววิทยาเข้ม 3
  • 17. 5.2 ทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์ (complete digestive tract) เป็นทางเดิน อาหารของสัตว์ที่มีทั้งปากและทวารหนัก หรือมีช่องทางเข้าออกของอาหารคนละ ทางกัน หรือทางเดินอาหารแบบท่อกลวง (two-hole-tube) ได้แก่ พวกหนอน ตัวกลม จนถึงสัตว์มีกระดูกสันหลัง ชีววิทยาเข้ม 3
  • 18. 6. การแบ่งเป็นปล้อง (segmentation) การแบ่งเป็นปล้องเป็นการเกิดรอยคอด ขึ้นกับลาตัวแบ่งออกเป็น 6.1 การแบ่งเป็นปล้องเฉพาะภายนอก (superficial segmentation) เป็นการ เกิดปล้องขึ้นเฉพาะที่ส่วนผิวลาตัวเท่านั้นไม่ได้เกิดตลอดตัว เช่น พยาธิตัวตืด 6.2 การแบ่งเป็นปล้องที่แท้จริง (metameric segmentation) เป็นการเกิด ปล้องขึ้นตลอดลาตัวทั้งภายนอกและภายใน โดยข้อปล้องเกิดขึ้น ในเนื้อเยื่อชั้นกลาง ทาให้เนื้อเยื่อชั้นอื่น ๆ เกิดเป็นปล้องไปด้วย ได้แก่ ไส้เดือน กุ้ง ปู แมลง ตลอดไปจนสัตว์มีกระดูกสันหลังทุกชนิด ชีววิทยาเข้ม 3
  • 19. ลักษณะที่สาคัญ 1. มีสมมาตรแบบรัศมี (radial symmetry) หรือไม่มีสมมาตร (asymmetry) 2. ผนังตัวของฟองน้าประกอบด้วยเซลล์ที่มาเรียงตัวเป็นชั้นของเซลล์ 2 ชั้น คือชั้น เซลล์ผิว ด้านนอกหรือเอพิเดอมิส (epidermis) ประกอบด้วยเซลล์เพียงชนิดเดียวคือ พินาโคไซท์ (pinacocyte) จึงอาจเรียกเซลล์ผิวนี้ว่า พินาโคเดิร์ม (pinacoderm) ส่วน ด้านเซลล์บุช่องกลางตัว คือ โคเอโนไซท์ (choanocyte or collar cell ) จึงเรียกว่า โคเอโนเดิร์ม (choanoderm) โคเอโนไซท์เป็นเซลล์ที่มีรูปร่างคล้ายปลอกคอ มีแส้ (flagellum) 1 เส้นทาหน้าที่ให้น้าไหลเวียนและย่อยอาหาร ระหว่างชั้นของเซลล์ 2 ชั้นนี้จะมี สารคล้ายวุ้น (gelatinous matrix) แทรกอยู่ ซึ่งจะมีเซลล์ที่เคลื่อนที่แบบอะมีบา (amoeboid cell) หรือ อะมีโบไซท์ (amoebocyte) เรียกชั้นนี้ว่า มีโซฮิล (mesohyl) หรือมีเซนไคม์ (mesenchyme)
  • 20. 3. ฟองน้ามีระบบโครงร่างค้าจุนให้คงรูปอยู่ได้ 4. ไม่มีระบบหมุนเวียน ระบบหายใจ ระบบขับถ่าย และระบบประสาท ซึ่งจะอาศัยการไหลเวียนน้าเป็นตัวการสาคัญในกระบวนการเหล่านี้ ฟองน้ากิน อาหารโดยกรองอาหารที่อยู่ในน้าผ่านเข้ารูพรุนรอบตัว หายใจโดยการดูดซึม ออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้าผ่านผนังลาตัว 5. มีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ โดยการสร้างสเปิร์มและไข่ผสมกัน และจะได้ตัวอ่อนที่มี ซิเลียว่ายน้าได้ การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศโดยการแตก หน่อ (budding) 6. ตัวเต็มวัยจะเกาะอยู่กับที่ (sessile animal)
  • 21. สัตว์ในไฟลัมนี้ได้แก่ สัตว์จาพวกฟองน้า (Sponge) มี ลักษณะสาคัญคือ ร่างกายสามารถแบ่งได้แบบ Radial symmetry หรือ Asymmetry ก็ได้ มีลาตัวพรุน (Incurrent pore) ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์หลายชนิด โดยแบ่งกันทาหน้าที่ อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ ไม่มีการประสานงานกันระหว่างเซลล์ ลาตัวมีช่องเล็ก ๆ รอบตัวเรียก (Ostia) เพื่อให้น้าหรืออาหารไหล เข้าไปในลาตัวได้ และตอนบนมีช่องเปิดให้น้าออก (Ostia) ผนัง ลาตัวประกอบด้วยเซลล์รวมกันเป็นสองชั้น
  • 22. เซลล์ข้างในมีแฟลกเจลลัม (Flagellum) ทาหน้าที่พัดน้า และมีเซลล์พิเศษที่ทาหน้าที่ดูดอาหารเข้าไปและย่อยอาหารคือ Choanocyte (Collar cell) ตรงกลางมีของเหลวคล้ายวุ้นเรียก Amebocyte ฟองน้าเป็นสัตว์ที่ไม่เคลื่อนที่ (Sessile Animal)จะ เกาะติดกับโขดหินหรือของแข็งใต้น้า บางชนิดมีโครงร่างแข็งเรียก spicule บางชนิดอ่อนนุ่มเรียก spongin
  • 23. ฟองน้า อยู่ในไฟลัมพอริเฟอรา (Porifera มีราก ศัพท์มาจากภาษาละติน – porus หมายถึง รู และ ferre หมายถึง พยุงหรือค้าเอาไว้) เป็นสัตว์หลายเซลล์ที่มี วิวัฒนาการต่าสุด มีรูปร่างคล้ายแจกันที่มีรูพรุนเล็ก ๆ ทั่ว ตัวซึ่งเป็นช่องทางให้น้าผ่านเข้าไปในลาตัว มีเซลล์เรียงกัน เป็นสองชั้นแต่ยังไม่มีเส้นประสาทและกล้ามเนื้อที่แท้จริง ไม่มีอวัยวะและทางเดินอาหาร ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในน้าทะเล มีบางชนิดเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในน้าจืด
  • 24.
  • 25. -เป็นสัตว์ที่มีรูเล็ก ๆ ทั่วตัว มีช่องทางให้น้าผ่านเข้าเรียกว่าออสเทีย (Ostia) ส่วนรูใหญ่ที่อยู่ด้านบนเรียกว่าออสคูลัม (Osculum) -ผนังลาตัวประกอบด้วยเนื้อเยื่อสองชั้นคือเนื้อเยื่อชั้นนอกเป็นเซลล์ รูปร่างแบนเรียงกันคล้ายแผ่นกระเบื้อง ประกอบด้วยเซลล์เป็นปลอก มีแส้ เซลล์ช่วยโบกพัดให้น้าเคลื่อนผ่านลาตัว และทาหน้าที่กินสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่ปน มากับน้า เรียกเซลล์เหล่านี้ว่าเซลล์ปลอกคอ (Choanocyte) -ระหว่างเนื้อเยื่อสองชั้น จะมีชั้นกลางที่มีลักษณะคล้ายวุ้นเรียกว่าชั้น มีเซนไคม์ (Mesenchyme) ในชั้นนี้จะเซลล์ที่สามารถเคลื่อนที่และ เปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นเซลล์อื่นได้ เรียกว่าอะมีโบไซต์ (Amoebocyte) เช่นเปลี่ยนไปเป็นสเกลอโรบลาสต์ (Scleroblast) เพื่อทาหน้าที่ขนส่งอาหาร และลาเลียงของเสีย
  • 26. โครงสร้างที่อยู่ในชั้นเซนไคม์ เรียกว่า "ขวาก" (spicule) เป็นตัวคง รูปร่างของฟองน้า สามารถแบ่งสารประกอบที่ใช้ในการคงรูปร่างได้เป็น 3 ชนิดคือ -ขวากหินปูน (Calacreous spicule) มีหินปูนเป็นองค์ประกอบ พบในฟองน้าหินปูน -ขวากแก้ว (Siliceous spicule) มีซิลิกา (silica) เป็น องค์ประกอบ -สปอนจิน (Spongin) ไม่อยู่ในจาพวกของ "ขวาก" แต่เป็นเส้นใยที่ มีองค์ประกอบเป็นสารสเกลอโรโปรตีน (Scleroprotein)
  • 27. 1. แบบไม่อาศัยเพศ คือ แตกหน่อ (Budding) หรือสร้าง Gemmule โดยใช้ Amebocyte 2-3 เซลล์มาสร้างเปลือกหุ้มใน สภาวะแห้งแล้ง เมื่อถึงสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เปลือกก็จะหลุด ออกและเจมมูล (Gemmule) จะสามารถเจริญเติบโตต่อไปได้และ สร้างเซลล์สืบพันธุ์ (Archeocyte) ต่อไป
  • 28. 2. แบบอาศัยเพศ โดยอาศัยเซลล์ Archeocyte สร้างอสุจิกับไข่มาผสมกัน เกิดไซโกต กลายเป็นฟองน้้าต่อไป 1. Class Calcarea ได้แก่ฟองน้้าที่มีแกนแข็ง เป็นพวกหินปูน (CaCO3) 2. Class Hexactinellida ได้แก่ฟองน้้าที่มีแกนแข็งเป็นพวกแก้วหรือทราย (Silica) 3. Class Demospongiae ได้แด่ฟองน้้าถูตัวที่มีแกนอ่อนนุ่ม ประกอบด้วย สารประเภท Scleroprotien
  • 29.
  • 30.
  • 31. ลักษณะที่สาคัญ 1. มีสมมาตรแบบรัศมี (Radial symmetry) 2. มีเนื้อเยื่อ 2 ชั้น คือ เนื้อเยื่อชั้นนอกทาหน้าที่เป็นผิวลาตัวเรียกว่า เอพิเดอร์มิส (Epidermis) และเนื้อเยื่อชั้นในทาหน้าที่เป็นเยื่อบุทางเดิน อาหารเรียกว่า แกสโทรเดอร์มิส (Gastrodermis) 3. ทางเดินอาหารเป็นแบบถุงไม่สมบูรณ์มีปากแต่ไม่มีทวารหนักช่อง ทางเดินอาหารนี้ อยู่กลางลาตัวทาหน้าที่เป็นทั้งทางเดินอาหารและ ระบบหมุนเวียน เรียกว่าแกสโทร วาสคูลาร์ คาวิตี (Gastrovascular carvity) 4. มีเข็มพิษหรือเนมาโทซีสต์(Nematocyst)ใช้ในการป้องกันและฆ่าเหยื่อเนมาโทซีสต์ มักจะอยู่กันหนาแน่นที่บริเวณหนวด(Tentacle) ซึ่งอยู่รอบปากมากกว่าบริเวณอื่นๆทา ให้การหาอาหารและการต่อสู้กับศัตรูมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
  • 32. 5. ไม่มีระบบหายใจ ระบบหมุนเวียนโลหิต ระบบขับถ่ายโดยเฉพาะ แต่โดยทั่วไปอาศัย การแพร่ของก๊าซและของเสียต่างๆระหว่างน้าที่ อยู่รอบๆตัว กับผิวลาตัวโดยตรง หรือมีเซลล์ชนิดพิเศษเช่นเซลล์ ที่ทาหน้าที่ในการย่อยอาหาร (nutritive cell) ช่วยทาหน้าที่ ย่อยและดูดซึมสามอาหาร เพื่อส่งไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายต่อไป 6. ระบบประสาทเป็นแบบข่ายใยประสาท(Nerve net)แผ่กระจายทั่วตัว และหนาแน่น บริเวณหนวดดังนั้นการนากระแสประสาทจึงเป็นไปใน ลักษณะทุกทิศทุกทางทาให้กระแสประสาทเคลื่อนที่ไปได้ช้าและมีทิศ ทางไม่แน่นอนซึ่ง แตกต่างจากสัตว์ชั้นสูงอื่นๆ ชีววิทยาเข้ม 3
  • 33. 7. สัตว์กลุ่มนี้มีรูปร่างเป็น 2 แบบ คือ รูปร่างแบบต้นไม้เรียกว่า โพลิป (Polyp) เช่น ไฮดรา ปะการังดอกไม้ทะเลและรูร่างคล้ายร่มหรือกระ ดิ่งคว่า เรียกว่า เมดูซา (Medusa) ได้แก่แมงกระพรุน 8. การสืบพันธุ์ มีทั้งแบบอาศัยเพศและแบบไม่อาศัยเพศแบบอาศัยเพศ โดยการสร้าง เซลล์สืบพันธุ์มาผสมกันส่วนการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศโดยการแตกหน่อหรือการ แบ่งตัว ซีเลนเทอเรตหลายชนิด เช่น แมงกะพรุน โอบีเลียมีการสืบพันธุ์แบบสลับ (Alternative of generation) โดยมีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศด้วยการแบ่งตัวหรือ แตกหน่อกับการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศด้วยการสร้างเซลล์สืบพันธุ์มา ผสมกัน ชีววิทยาเข้ม 3
  • 34.
  • 35.
  • 36. ลักษณะที่สาคัญ 1. มีสมมาตรเป็นแบบครึ่งซีก (bilateral symmetry) 2. มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้นครบถ้วน (triloblastics) ไม่มีช่องตัว(acoelomate) 3. ร่างกายแบนทางด้านหลังและด้านท้อง (dorsoventrally) ไม่มีข้อปล้อง แต่บางชนิดเช่นพยาธิตัวตืด มีข้อปล้องแต่เป็นปล้องที่เกิดขึ้น เฉพาะที่ผิวลาตัวเท่านั้น 4. พวกที่มีการดารงชีวิตอย่างอิสระจะมีเมือกลื่น ๆ หุ้มตัวเพื่อใช้ในการเคลื่อนที่ ส่วนพวกที่ดารงชีวิตแบบปรสิต (parasitic type) จะมีคิวทิเคิล (cuticle) หุ้มตัวซึ่งสร้างจากเซลล์ที่ผิวของลาตัว ทาหน้าที่ป้องกันอันตรายซึ่งเกิดจากน้าย่อยของผู้ถูกอาศัย (host) 5. มีท่อทางเดินอาหารที่เป็นปลายตัน หรือเป็นแบบที่ไม่สมบูรณ์ มีปากแต่ไม่มีทวารหนัก 6. สัตว์ในไฟลัมนี้เริ่มมีการรวมตัวของอวัยวะแสดงลักษณะหัว (cephalization) คือมีปมประสาทสมอง อวัยวะรับความรู้สึก และช่องปากมารวมกันอยู่ทางด้านหน้าของลาตัว 7. ระบบขับถ่าย มีอวัยวะที่เรียกว่า โพรโตเนฟริเดีย (protonephridia) มีลักษณะเป็นท่อที่ปลายด้านในปิดและมีท่อไปเปิดออกด้านนอก 8.ไม่มีอวัยวะที่ใช้ในการหายใจโดยเฉพาะ ในพวกปรสิตจะหายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic respiration) เช่นพยาธิใบไม้ 9. ระบบประสาทประกอบด้วยปมประสาทด้านหน้า (anterior ganglia) หรือปมประสาท รูปวงแหวน (nerve ring) ทาหน้าเป็นสมอง เชื่อมระหว่างเส้นประสาทใหญ่ตามยาว (longitudinal nerve cord) ซึ่งทอดไปตามยาวของร่างกายจานวน 2 เส้น และมีเส้นประสาทตามขวาง (transverse nerve) เชื่อมระหว่างเส้นประสาทใหญ่ทั้งสองด้วย มีอวัยวะรับสัมผัสแบบง่าย ๆ บางชนิดมีตา (eye spot) 10. ระบบสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศโดยมีสองเพศอยู่ในตัวเดียวกัน จัดเป็นกะเทย (hermaphrodite) มีการปฏิสนธิภายในตัวเอง (self fertilization) และปฏิสนธิแบบข้ามตัว (cross fertilization) และมีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ โดยการงอกใหม่ (regeneration)
  • 38. ลักษณะที่สาคัญ 1. มีสมมาตรแบบผ่าซีก (Bilateral symmetry) 2. มีช่องว่างในลาตัวแบบเทียม (Pseudocoelomate animal) โดยมีช่องว่างอยู่ระหว่างเนื้อเยื่อชั้น กลางและเนื้อเยื่อชั้นใน 3. ลาตัวกลม ยาว แหลมหัวแหลมท้าย ไม่มีข้อปล้อง ผิวลาตัวเรียบ มีสารคิวทิเคิลหนาหุ้มตัว 4. ไม่มีระบบหมุนเวียนเลือด แต่ใช้ของเหลวในช่องว่างเทียมช่วยในการลาเลียงสาร 5. ไม่มีอวัยวะหายใจโดยเฉพาะ พวกที่ดารงชีพวิตแบบปรสิตหายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจน แต่พวกที่ อยู่อย่างอิสระใช้ผิวหนังเป็นส่วนแลกเปลี่ยนก็าซกับสิ่งแวดล้อม 6. ระบบขับถ่ายประกอบด้วยเส้นข้างลาตัว (Lateral line) ซึ่งภายในบรรจุท่อขับถ่าย (Excretory canal) ไว้ 7. ทางเดินอาหารสมบูรณ์ประกอบด้วยปากและทวารหนัก 8. ระบบประสาท ประกอบด้วยปมประสาทรูปวงแหวน (Nerve ring) อยู่รอบคอหอยและมีแขนง ประสาทแยกออกทางด้านท้องและทางด้านหลัง 9. มีระบบกล้ามเนื้อยาวตลอดลาตัว (Longitudinal muscle) 10. เป็นสัตว์แยกเพศตัวเมียมักมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้เนื่องจากตัวเมียต้องทาหน้าที่ในการออกไข่
  • 39.
  • 40. ลักษณะที่สาคัญ 1. ร่างกายแบ่งเป็นปล้องอย่างแท้จริง มีสมมาตรแบบครึ่งซีก (bilateral symmetry) 2. เนื้อเยื่อแบ่งออกเป็น 3 ชั้น ผนังร่างกายประกอบด้วยเอพิเดอร์มิสซึ่งมีชั้นคิวติเคิลบางๆปกคลุมอยู่ ถัดเข้าไปเป็นชั้นกล้ามเนื้อวงกลม (circular muscle ) และกล้ามเนื้อชั้นในเป็นชั้นกล้ามเนื้อตามยาว (longitudinal muscle) 3. มีรยางค์เป็นแท่งเล็ก ๆ เรียกว่า เดือย (setae) เป็นสารไคติน (citin) เช่นไส้เดือนดิน มีเดือยช่วยในการเคลื่อนที่และการขุดรู ส่วนไส้เดือนทะเลมีเดือยและแผ่นขาหรือพาราโพเดีย (parapodia) ยื่นออกมาทางด้านข้างของลาตัวใช้ในการเคลื่อนที่ แต่ปลิงไม่มีรยางค์ใด ๆ 4. มีช่องตัวที่แท้จริง ช่องตัวถูกแบ่งออกเป็นห้อง ๆ โดยมีเยื่อกั้น (septum) กั้นช่องตัวไว้ ภายในช่องตัวมีของเหลว (coelomic fluid) บรรจุอยู่ทาให้ร่างกายไม่แฟบ 5. ทางเดินอาหารสมบูรณ์เป็นท่อยาวตลอดร่างกาย 6. ระบบหมุนเวียนโลหิตเป็นแบบปิด (closed circulatory system) น้าเลือดมีสีแดงเพราะมีฮีโมโกลบินละลายอยู่ 7. หายใจผ่านทางผิวหนังหรือเหงือก 8. ระบบขับถ่ายจะเป็นอวัยวะขับถ่ายที่เรียกว่า เนฟริเดีย (nephridia) อยู่ทุกปล้อง ๆ ละ 1 คู่ เนฟริเดียจะช่วยขับของเสียออกจากช่องตัว และกระแสโลหิตออกนอกร่างกายทางรูขับถ่าย (nephridiopores) 9. ระบบประสาทประกอบด้วยปมประสาทสมอง (cerebral ganglia) ติดต่อกับเส้นประสาทใหญ่ด้านท้อง (ventral nerve cord) ซึ่งทอดตามยาวของร่างกาย เส้นประสาทใหญ่ทางด้านหลังจะมีปมประสาทประจาปล้อง (segment ganglia) ปล้องละ 1 ปม 10. หนอนปล้องบางชนิดเป็นกะเทย (hermaphrodite) แต่มีการปฏิสนธิข้ามตัว เช่น ไส้เดือนดิน ปลิงน้าจืด พวกนี้มีการเจริญเติบโต โดยไม่ต้องผ่านระยะตัวอ่อน หนอนปล้องบางชนิดมีเพศแยกกัน(dioecious) และการเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยต้องผ่านระยะตัวอ่อน ที่เรียกว่าโทรโคฟอร์ (trochophore) เช่น แม่เพรียง เพรียงดอกไม้ ด้วยเหตุที่หนอนปล้องมีระยะตัวอ่อนโทรโคฟอร์ เช่นเดียวกับ พวกมอลลัสก์ที่อยู่ในทะเล ทาให้นักชีววิทยาเชื่อว่าสัตว์ทั้ง 2 กลุ่มจะต้องมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
  • 41.
  • 42. ลักษณะที่สาคัญ 1.มีสมมาตรแบบผ่าซีก 2. มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้น และมีช่องตัวแบบแท้งจริง 3. ลาตัวมีลักษณะเป็นปล้อง และแบ่งออกเป็นส่วนๆโดยทั่วไปแล้วมี 3 ส่วน คือ ส่วนหัว(Head) ส่วน อก( Thorax) และส่วนท้อง(Abdomen) เช่นพวกแมลง แต่บางชนิดส่วนหัวและส่วนอกจะรวมกันเป็น ส่วนเดียวแยกออกจากกันไม่ได้เรียกว่า เซฟาโลทอแรกซ์ (Cephalothorax) เช่น กุ้ง ปู นอกจากนี้ใน พวกกิ้งกือและ ตะขาบส่วนของอกและท้องจะมีลักษณะเหมือนกัน 4. มีรยางค์ยื่นออกจากลาตัวเป็นคู่ๆ เช่น ขาเดิน ขาว่ายน้า อวัยวะส่วนปาก หนวด ปีก และรยางค์ เหล่านี้มักมีลักษณะต่อกันเป็นข้อๆด้วย 5. มีโครงร่างภายนอก (Exoskeleton) เป็นสารจาพวกไคทิน(Chitin) แข็งหุ้มรอบตัว ดังนั้นในขณะที่มี การเจริญเติบโต สัตว์ในไฟลัมนี้หลายชนิดจึงต้องมีการลอกคราบ (Molting) 6. ทางเดินอาหารเป็นแบบสมบูรณ์ มีปากและทวารหนัก สาหรับส่วนปากมีอวัยวะที่ช่วยในการกิน อาหารและมีการดัดแปลงไปเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพของอาหาร เช่นมีปากแบบกัดกิน ดูดกิน เจาะ ดูด เป็นต้น
  • 43. 7. ระบบหมุนเวียนโลหิตเป็นระบบเปิด (Open circutory sysytem) โดยเลือดเมื่อออกจากหัวใจเทียม (Pseudoheart) แล้วจะ ไหลไปตามเส้นเลือด ต่อจากนั้นจะไหลเข้าสู่ช่องว่างในลาตัว (Hemocoel) แล้วไหลกลับเข้าสู่หัวใจอีก จะเห็นได้ว่าเลือดไม่ได้อยู่ภายในหัวใจ และเส้นเลือดตลอดเวลา แต่มีบางระยะที่เลือดไหลออกมาอยู่นอกเส้นเลือด จึงเรียกระบบการหมุนเวียนแบบนี้ว่า ระบบเปิด นอกจากนี้ สัตว์ กลุ่มนี้อามีเลือดเป็นสีฟ้าอ่อนหรือไม่มีสีเนื่องจากสาร เฮโมไซยานิน (Hemocyanin) เป็นองค์ประกอบหรือมีสีแดงเนื่องจากเฮโมโกลบิน (Hemoglobin) เป็นองค์ประกอบ 8. มีระบบขับถ่ายเป็นลักษณะเฉพาะของกลุ่ม เช่น แมลงมี มัลพีเกียน ทูบูล (Malpighain tuble) ซึ่งเป็นท่ออยู่ที่ทางเดิน อาหาร เป็นอวัยวะขับถ่าย กุ้งมีกรีนแกลนด์ หรือต่อมเขียว (Green gland) ที่โคนหนวดทาหน้าที่ขับถ่าย 9. ระบบหายใจประกอบด้วยอวัยวะหาบใจหลายชนิดในพวกที่อยู่ในน้าเช่น พวกกุ้งปู หายใจด้วยเหงือก (Gill) พวกแมลง หายใจได้ด้วยระบบท่อลม (Tracheal system) ที่แทรกอยู่ทั้งตัว แมงมุมหายใจด้วยบุคลัง (Book lung) ที่บริเวณส่วนท้อง ซึ่งมีลักษณะเป็น แผ่นบางๆซ้อนกันอยู่หลายชั้นเป็นต้น 10. ระบบประสาทมีปมประสาทที่หัว 1 คู่ และมีเส้นประสาททางด้านท้อง (Ventral nerver cord) ทอดไปตามความยาว ของลาตัว 1 คู่ และมีอวัยวะสัมผัสเจริญดี เช่น ตาเดี่ยว ตาประกอบ หนวด ขาสัมผัสเป็นต้น 11. ระบบสืบพันธุ์เป็นสัตว์แยกเพศ มักมีการปฏิสนธิภายในตัว และออกลูกเป็นไข่ที่มีไข่แดงมาก ในขณะที่มีการ เจริญเติบโตมักมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปด้วย
  • 44.
  • 45. ลักษณะที่สาคัญ 1. ขนาด ซึ่งมีขนาดตั้งแต่เล็กมาก จนถึงขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังด้วยกัน เช่นหมึกบางตัวยาว ถึง 16 เมตร ความยาวรอบตัว 6 เมตร และหนักหลายพันกิโลกรัม ซึ่งขนาดทั่ว ไปยาวประมาณ 1 – 3 นิ้ว 2. ร่างกายอ่อนนิ่ม ไม่มีปล้อง ประกอบ ด้วยส่วนต่าง ๆ 2.1 ส่วนหัว บางชนิดมีส่วนหัวชัดเจนแต่บางชนิดไม่เจริญ บนหัวอาจมีหนวด (tentacles) บางชนิดมีตาเจริญดีมาก เทียบเท่ากับตาของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้านม เช่น หมึก แต่บางชนิดไม่มีตาเลย 2.2 ส่วนเท้า (foot) เป็นส่วนของกล้ามเนื้อที่อยู่ทางด้านท้อง (ventral) ใช้เคลื่อนที่หรือไชดิน 2.3 ก้อนอวัยวะภายใน (visceral mass) ซึ่งประกอบด้วยระบบอวัยวะต่าง ๆ 2.4 เยื่อแมนเทิล (mantle) เป็นเยื่อบาง ๆ ที่ปกคลุมตัวและติดต่อพื้นด้านในของกาบ (shell) เยื่อแมนเทิลทาหน้าที่สร้าง เปลือกหุ้มตัวและรับความรู้สึก ส่วนช่องที่อยู่ระหว่างเยื่อแมนเทิลกับก้อนอวัยวะภายใน เรียกว่าช่องแมนเทิล (mantle cavity) ภายในช่องแมนเทิลมีเงือก (gill) 3. ระบบทางเดินอาหารเป็นแบบสมบูรณ์คือ มีปาก และทวารหนัก ทางเดินอาหารมักมีลักษณะเป็นท่อขดเป็นเกลียว หรือรูปตัวยู ประกอบด้วย ปาก คอหอย หลอดอาหาร กระเพาะ ลาไส้ และทวารหนัก มีต่อมสร้างน้าย่อยและตับ นอกจากนั้น มีอวัยวะที่ใช้ในการบดอาหารในบริเวณคอหอยมีลักษณะคล้ายตะไบ เรียกว่า แรดูลา (radula) ซึ่งไม่มีในสัตว์ กลุ่มอื่นๆ 4. มีช่องตัวที่แท้จริง (coelom) มีลักษณะลดลงมากเหลืออยู่ในลักษณะเป็นช่องรอบหัวใจ (pericardial cavity) ช่องไต และอวัยวะสืบพันธุ์
  • 46. 5. ระบบหมุนเวียนโลหิตเป็นระบบเปิด (open circulation system) ที่เจริญมีหัวใจ 3 ห้อง คือออริเคิล 2 ห้อง เวนติเคิล 1 ห้อง อยู่ภายในเยื่อหุ้มหัวใจ (pericardium) มีเส้นเลือดนาไปตามส่วนต่าง ๆของร่างกาย นอกจากนั้น เลือดยังซึมแพร่เข้าไปในแอ่งรับเลือด (blood sinus หรือ hemocoel) เซลล์เม็ดเลือดของมอลลัสก์ เป็นเซลล์ประเภทอมีโบไซด์ ลอยอยู่ในน้าเลือด (plasma) รงควัตถุในการแลกเปลี่ยนแก๊สเป็น ฮีโมไซยานิน (hemocyanin) ซึ่งเมื่อรวมตัวกับออกซิเจนจะเป็นสีฟ้าอ่อน มีบางชนิดเท่านั้นที่เป็นฮีโมโกลบิน (hemoglobin) เช่นหอยแครง 6. หายใจโดยใช้เหงือก (gills) หรือปอด (lung) ผิวหนังและเยื่อแมนเทิล 7. การขับถ่าย มี ไตหรือเนฟริเดียม (nephridium) 1 หรือ 2 คู่ หรืออาจมีเพียงอันเดียว ไตมีลักษณะเป็นท่อยาว ปลายข้างหนึ่งเปิดเข้าในช่องรอบหัวใจ ปลายอีกข้างหนึ่งเปิดออกสู่ภายนอกในบริเวณช่องแมนเทิล 8. ระบบประสาท ประกอบด้วยปมประสาท (ganglia) 3 คู่ และมีเส้นประสาทใหญ่ (nerve cord) 2 คู่ เส้นประสาทคู่ ที่หนึ่งออกจากสมองหรือปมประสาทสมอง (cerebral ganglia)ไปยังปมประสาทที่เท้า (pedal ganglia) ส่วนเส้นประสาทคู่ที่ 2 ออกจากปมประสาทสมองไปยังปมประสาทอวัยวะภายใน (visceral ganglia) สาหรับปมประสาทสมองนั้นมีลักษณะเป็นวงแหวน (nerve ring) ล้อมรอบหลอดอาหารส่วนนี้ทาหน้าที่เป็นสมอง 9. เพศ ส่วนใหญ่มีเพศแยกกันเป็นตัวผู้และตัวเมีย (dioecious) แต่บางชนิดเป็นกะเทย (hermaphrodite) และสามารถเปลี่ยนเพศได้ (protandry) การปฏิสนธินั้น เป็นทั้งแบบภายในตัวหรือภายนอกตัว พวกที่อยู่ในทะเลจะมี ระยะตัวอ่อนที่เรียกว่า โทรโคฟอร์ (trochophore larva) ด้วย
  • 47.
  • 48. ลักษณะที่สาคัญ 1. รูปร่างในวงชีวิตของสัตว์กลุ่มนี้ มีรูปร่าง 2 แบบ คือ มีสมมาตรครึ่งซีก ซึ่งพบในระยะที่เป็นตัวอ่อน เมื่อตัวอ่อนเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยแล้ว รูปร่างจึงค่อยเปลี่ยนไปเป็นแบบสมมาตรรัศมี ไม่มีส่วนหัวและไม่มีปล้อง 2. ร่างกายประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น ชั้นนอกเป็นเอพิเดอร์มิสชั้นเดียวบาง ๆ ปกคลุมโครงร่างภายใน (endoskeleton) ซึ่งเป็นแผ่นหินปูนที่เจริญมาจากชั้นมีโซเดอร์ม (mesoderm) เช่นเดียวกับระบบโครงกระดูกของสัตว์มีกระดูกสันหลัง แผ่นหินปูนบางแผ่นมีหนาม (calcareous spine) ติดอยู่ด้วย 3. ลาตัวแบ่งออกเป็น 5 ส่วนในแนวรัศมีเท่า ๆกัน มีลักษณะเป็น 5 แฉก (pentamerous) แต่ละแฉกเรียกว่า แขน หรืออัมบูลากา (arm หรือ ambulaca) ด้านล่างมีเท้าท่อ (tube feet) ซึ่งช่วยในการเคลื่อนที่หรือจับอาหาร 4. มีระบบท่อน้า (water vascular system) ภายในร่างกายซึ่งเจริญมาจากช่องตัวในระยะตัวอ่อน ภายในท่อบรรจุด้วย น้าเค็มจากภายนอก ลักษณะภายนอกของระบบนี้ที่พอเห็นได้คือ เท้าท่อ (tube feet) เมื่อทางานร่วมกันทาให้สามารถ เคลื่อนไหวจับอาหาร หายใจและรับความรู้สึกได้ ระบบนี้ถือว่าเป็นระบบไฮดรอลิก (hydraulic system) ซึ่งไม่มีในสัตว์ไฟลัมอื่น 5. มีช่องตัวกว้าง และมีเยื่อบุช่องตัว (peritoneum) บุอยู่ภายใน ภายในช่องตัวมีของเหลวและมีเซลล์อะมีโบไซต์ (amoebocyte) ลอยเคลื่อนที่อยู่ 6. การหายใจ อวัยวะที่ใช้ในการหายใจ คือ เหงือกที่ผิวหนัง (skin
  • 49. 6. การหายใจ อวัยวะที่ใช้ในการหายใจ คือ เหงือกที่ผิวหนัง (skin gill or dermal branchia) นอกจากนั้นยังหายใจ ด้วยท่อขา บางพวกหายใจด้วยอวัยวะหายใจที่เรียกว่า respiratory tree ซึ่งมีลักษณะเป็นท่อแตกแขนงติดต่อกับ ทวารหนัก หายใจโดยนาน้าเข้าและออกจากท่อนี้ผ่านทางทวารหนัก เช่น การหายใจของปลิงทะเล 7. ระบบหมุนเวียนโลหิต มีลักษณะลดลงไปอย่างมาก บางชนิดไม่มีเลย ส่วนการขับถ่ายไม่มีอวัยวะขับถ่าย ที่ทาหน้าที่โดยตรง 8. ทางเดินอาหารเป็นแบบสมบูรณ์ ยกเว้นสมาชิกใน Class Ophiuroidea ทางเดินอาหารจะไม่มีทวารหนัก เช่น ดาวเปราะ 9. ระบบประสาทไม่มีส่วนสมองที่แท้จริง แต่พบว่ามีระบบประสาทวงแหวน (nerve ring) ล้อมรอบหลอดอาหารไว้ และมีเส้นประสาทรัศมี (radial nerve) แยกออกจากประสาทวงแหวนไปเลี้ยงที่แขน อวัยวะรับความรู้สึก เจริญน้อยมาก 10. มีเพศแยกกัน (dioecious) มีอวัยวะสืบพันธุ์และท่อสืบพันธุ์แบบง่าย ๆ อยู่บริเวณโคนแขนแต่ละแขน มีการผสมนอกตัวซึ่งเกิดการปฏิสนธิในน้าทะเล
  • 50. ลักษณะที่สาคัญ 1. การมีโนโตคอร์ด (notochord) พวกคอร์เดตทุกชนิดจะต้องมีโนโตคอร์ดอย่างน้อยช่วงหนึ่งของชีวิต พวกคอร์เดตชั้นต่า เช่น แอมฟิออกซัสจะมีโนโตคอร์ด ตลอดชีวิต พวกคอร์เดตชั้นสูงเช่นสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังจะมีโนโตคอร์ด ในระยะตัวอ่อนเท่านั้น พอเจริญเติบโตจะเกิดกระดูกสันหลังขึ้นมาแทนที่โนโตคอร์ด ลักษณะของโนโตคอร์ดจัดเป็น เนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่เจริญมาจากเนื้อเยื่อชั้นมีโซเดิร์ม ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ที่ค่อนข้างอ่อนคล้ายวุ้น แต่มีเปลือกหุ้ม (sheath) หุ้มอีกชั้นทาให้มีลักษณะเป็นแท่งแข็งแรง แต่ยืดหยุ่นได้ดี และไม่แบ่งเป็นปล้อง แท่งโนโตคอร์ดเป็นโครงสร้างค้าจุนที่อยู่ ทางด้านหลังใต้ระบบประสาทส่วนกลางแต่อยู่เหนือทางเดินอาหาร notochord = a rod-shaped supporting axis, or backbone 2. การมีช่องเหงือก (pharyngeal gill slits) คอร์เดตทุกชนิดโดยเฉพาะพวกที่อยู่ในน้าจะมีช่องเหงือกตลอดชีวิต ส่วนพวกที่อาศัย อยู่บนบกจะพบช่องเหงือกในระยะตัวอ่อนเท่านั้น เมื่อเจริญเติบโตขึ้น ช่องเหงือกจะปิดซึ่งอาจจะพบร่องรอยเพียงเล็กน้อย (ในคนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเป็นท่อยูสเตเชียนเชื่อมระหว่างหูส่วนกลางกับหลอดลมบริเวณคอ) การเกิดช่องเหงือกจะ เกิดขึ้นในบริเวณคอหอยของตัวอ่อน โดยบริเวณคอหอยจะโป่งออกไปนอกผิวตัวทางด้านข้างและมีรอยแตกเป็นช่องเหงือก ซึ่งเป็นอวัยวะหายใจ พวกแอมฟิออกซัส ปลาปากกลม ปลาฉลาม ตลอดจนปลากระดูกแข็งจะดูดน้าเข้าทางปากและผ่านออก ทางช่องเหงือก ทาให้เกิดการหายใจขึ้น พวกสัตว์มีกระดูกสันหลังที่อยู่บนบกและหายใจด้วยปอดจะมีช่องเหงือกในระยะ ตัวอ่อน และ (อาจจะ) ทาหน้าที่หายใจในระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น
  • 51. 3. การมีระบบประสาทด้านหลัง (Dorsal Hollow Nerve Cord) คอร์เดตทุกชนิดจะต้องมีโครงสร้างนี้ ตลอดชีวิตมีลักษณะเป็นท่อยาวตลอดลาตัวทางด้านหลัง เส้นประสาททางด้านหัวอาจเปลี่ยนแปลงไปเป็นสมอง ส่วนทางด้านท้ายเจริญเป็นไขสันหลัง (spinal cord) การเกิดระบบประสาทนี้เกิดขึ้นในระยะตัวอ่อน โดยการม้วนตัวเข้าหากันของเนื้อเยื่อชั้นเอคโตเดิร์มทางด้านหลังกลายเป็นท่อฝังอยู่ใต้ผิวหนัง