More Related Content Similar to หน่วยของสิ่งมีชีวิต Similar to หน่วยของสิ่งมีชีวิต (20) More from โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม More from โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม (20) หน่วยของสิ่งมีชีวิต3. GENERAL BODY ORGANIZATION IN ANIMALSGENERAL BODY ORGANIZATION IN ANIMALS
-สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ (multicellular organism) มีการจัดเรียงตัวของหน่วยต่าง ๆ
เป็นลําดับขั้นดังนี้เปนลาดบขนดงน
-เซลล์เป็นหน่วยย่อยที่เล็ก
ที่สด
เซลล์
ทสุด
-ในแต่ละลําดับขั้นจะมีการ
ํ ่ ั ่ ป็
เนื้อเยื่อ
ทํางานร่วมกันอย่างเป็นระบบ อวัยวะ
ระบบอวัยวะ
สิ่งมีชีวิตหนึ่งหน่วย
3
4. Robert HookeRobert HookeRobert HookeRobert Hooke
• เป็นคนแรกที่เห็นเซลล์จาก
การใช้กล้องจุลทรรศน์
ชนิดเลนส์ประกอบ ที่ชนดเลนสประกอบ ท
ประดิษฐ์ขึ้นเอง
• ศึกษาไม้คอร์กภาพที่เห็น
ป็ ้ ี่ ี่เป็นห้องสีเหลียมกลวงๆ
คล้ายรังผึ้ง ได้ตั้งชื่อสิ่งที่
มองเห็นว่า เซลลูเล
(cellulae) เป็นเซลล์ที่
4
(cellulae) เปนเซลลท
ตายแล้ว
5. Anton van LeewenhoekAnton van LeewenhoekAnton van LeewenhoekAnton van Leewenhoek
• มองเป็นเซลล์ที่ยังมีชีวิต
เป็นคนแรก โดยเรียกสิ่ง
ที่เห็นว่าทเหนวา
animalicules ซึ่ง
์ ็หมายถึง สัตว์ตัวเล็กๆ
5
6. Matthias Jakop SchleidenMatthias Jakop Schleiden และและ TheodorTheodorMatthias Jakop SchleidenMatthias Jakop Schleiden และและ TheodorTheodor
SchwannSchwann
• เสนอทฤษฏีเซลล์(cell theory) ว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
้ ้ประกอบขึ้นด้วยเซลล์ และเซลล์คือหน่วยพื้นฐานของ
สิ่งมีชีวิตทกชนิดสงมชวตทุกชนด
6Matthias Jakop Schleiden Theodor Schwann
10. Different Types of Light Microscope: A ComparisonDifferent Types of Light Microscope: A Comparison
Brightfield
Phase contrast
(unstained
specimen)
Phase-contrast
Brightfield
( t i d
Differential-
interference-(stained
specimen)
interference-
contrast
(Nomarski)(Nomarski)
ConfocalFluorescene Confocal
10Human Cheek Epithelial Cells
13. The size range ofThe size range ofgg
cellscells
ชนิดของเซลล์ เส้นผ่าศนย์กลางเสนผาศูนยกลาง
Myoplasmas 0.1 - 1.0 ไมครอน
แบคทีเรีย
ส่วนใหญ่ของ
1.0 - 10.0 ไมครอน
10 0 100 0สวนใหญของ
eukaryotic cell
10.0 - 100.0
ไมครอน
13
14. Prokaryotic and Eukaryotic cellProkaryotic and Eukaryotic cell
สิ่งมีชีวิตประกอบด้วยเซลล์ เซลล์แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
1. prokaryotic cell
2. eukaryotic cell
ีโ ้ ่ ั ั้ ี้มีโครงสร้างแตกต่างกัน ดังนี
14
15. Prokaryotic cellProkaryotic cell
(pro=before; karyon=kernel)(pro=before; karyon=kernel)
พบเฉพาะใน Kingdom Monera
ไม่มีนิวเคลียสแท้จริง(มีโครโมโซมเพียงเส้นเดียว เป็น
วงแหวน) ไม่มีเยื่อห้มนิวเคลียสวงแหวน), ไมมเยอหุมนวเคลยส
สารพันธกรรมอย่ในบริเวณที่เรียกว่า nucleoidสารพนธุกรรมอยูในบรเวณทเรยกวา nucleoid
ไม่มี organelles ที่มีเยื่อห้ม มีเฉพาะ ribosomeไมม organelles ทมเยอหุม มเฉพาะ ribosome
ชนิด 70s
15
ได้แก่ bacteria,blue green algae
17. Eukaryotic cellEukaryotic cellyy
(eu=true; karyon=kernel)
พบใน Kingdoms Protista, Fungi, Plante และ
AnimaliaAnimalia
มีนิวเคลียสที่แท้จริง, หุ้มด้วยเยื่อหุ้มนิวเคลียส, ุ ุ
สารพันธุกรรมอยู่ในนิวเคลียส
ภายใน cytoplasm ประกอบด้วย cytosol และมี
organelles ี่ ี ื่ ้organelles ทมเยอหุม
Cytoplasm =Cytoplasm = บริเวณภายในเซลล์ทั้งหมด ยกเว้นส่วนของนิวเคลียสบริเวณภายในเซลล์ทั้งหมด ยกเว้นส่วนของนิวเคลียส
17
y py p
Cytosol =Cytosol = สารกิ่งของเหลงภายในสารกิ่งของเหลงภายใน cytoplasmcytoplasm
20. ขนาดของเซลล์มีข้อจํากัดโดยขนาดของเซลลมขอจากดโดย
เซลล์ที่มีขนาดเล็กจะต้องมีขนาดที่สามารถบรรจ DNA ไรโบเซลลทมขนาดเลกจะตองมขนาดทสามารถบรรจุ DNA ไรโบ
โซม เอนไซม์ และองค์ประกอบภายในเซลล์ที่สําคัญเพียงพอที่จะ
ิซึ ื่ ํ ่ ซ ์ไ ้ควบคุมเมตาบอรซมเพอการดารงอยูของเซลลได
เซลล์ที่มีขนาดใหญ่จะต้องมีพื้นผิวเซลล์เพียงพอสําหรับการเซลลทมขนาดใหญจะตองมพนผวเซลลเพยงพอสาหรบการ
แลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจน สารอาหาร และของเสียภายในเซลล์
แม้ว่าเซลล์ขนาดใหญ่มีพื้นที่ผิวมากกว่าเซลล์ขนาดเล็กก็จริง แต่แมวาเซลลขนาดใหญมพนทผวมากกวาเซลลขนาดเลกกจรง แต
เซลล์ขนาดใหญ่ก็มีอัตราส่วนของพื้นที่ผิวต่อปริมาตรน้อยกว่าเซลล์
็ ่ ์ ้ ้ ่ขนาดเล็กที่มีรูปร่างเซลล์เหมือนกัน ดังนั้นอัตราส่วนของพื้นที่ผิว
เซลล์ต่อปริมาตรจะเป็นตัวกําหนดขนาดของเซลล์
20
25. เยื่อห้มเซลล์เยื่อห้มเซลล์ (Cell membrane)(Cell membrane)เยอหุมเซลลเยอหุมเซลล (Cell membrane)(Cell membrane)
• Plasma membrane
• Cytoplasmic membrane
ทําหน้าที่เป็นเยื่อเลือกผ่านทาหนาทเปนเยอเลอกผาน
- Semipermeable membranep
- Differentially membrane
S l i l bl b- Selectively permeable membrane
25
28. แบ่งไซโตพลาสซึมเป็นส่วนย่อยๆ (compartment)ๆ ( p )
ภายในส่วนย่อยๆแต่ละส่วนมีของเหลวหรือโปรตีนที่
เฉพาะเจาะจงต่อปฏิกิริยาชีวเคมีที่แตกต่างกัน
ี ํ ั ่ ิ ิ ึ ์ ี่ ื่ ีมีบทบาทสําคัญต่อการเกิดเมตาบอริซึมของเซลล์ เพราะทีเยือมี
เอนไซม์หลายชนิดเป็นส่วนประกอบอยู่
ภายในส่วนย่อยมีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันซึ่งมีความ
่ ิ ึเฉพาะเจาะจงต่อกระบวนการเมตาบอริซึม
กระบวนการเมตาบอริซึมแต่ละอย่างสามารถดําเนินไปได้กระบวนการเมตาบอรซมแตละอยางสามารถดาเนนไปได
พร้อมๆกันภายในเซลล์เดียวกัน โดยไม่เกิดการรบกวนซึ่งกันและ
ั
28
กัน
32. Nuclear envelope มีลักษณะดังนี้Nuclear envelope มลกษณะดงน
เป็นเยื่อ 2 ชั้น มีช่องว่างตรงกลางกว้างประมาณ 20-40 nm
มีรู (nuclear pores) แทรกอยู่ทั่วไป เป็นทางให้สารต่างๆ
โดยเฉพาะ rRNA, mRNA และ nucleoprotein ผ่านเข้า
ออกได้
ผิวด้านในของเยื่อหุ้มนิวเคลียสมีชั้นบางๆของโปรตีนยึดติดอยู่
้ ้ความสําคัญของชั้นนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด อาจช่วยรักษารูปทรงของ
นิวเคลียส
ภายในนิวเคลียสบรรจุสารพันธุกรรมที่อยู่ในรูปของโมเลกุล
่ ็ 32
DNA ที่จับกับโมเลกุลของโปรตีน เป็นโครโมโซม
37. Rib ี 2 ิ ืRibosome มี 2 ชนิดคือ
1 free ribosomes ทําหน้าที่สร้างโปรตีนที่ใช้ใน1. free ribosomes ทาหนาทสรางโปรตนทใชใน
cytosol เช่น เอ็นไซม์ที่เกี่ยวข้องกับเมตาบอริซึมใน
t lcytoplasm
2 bound ribosomes เป็น ribosome ที่เกาะอย่2. bound ribosomes เปน ribosome ทเกาะอยู
ด้านผิวนอกของ ER ทําหน้าที่สร้างโปรตีนที่จะถูกส่งต่อไปรวมกับ
organelles ื่ โป ี ี่ ่ ไปใ ้ ์ ใorganelles อืนๆ และโปรตีนทีจะถูกสงออกไปใชนอกเซลล ใน
เซลล์ที่สร้างโปรตีน เช่น เซลล์ตับอ่อนหรือต่อมอื่นที่สร้างนํ้าย่อย
จะมี bound ribosomes เป็นจํานวนมาก
37
38. The Endomembrane systemThe Endomembrane system
ประกอบด้วย
1. Nuclear envelop
2. Endoplasmic reticulum
3. Golgi apparatus
4. Lysosomes
5 V l5. Vacuoles
6 Plasma membrane
38
6. Plasma membrane
39. Endoplasmic reticulum (ER)
(Endoplasmic = อยู่ในไซโตพลาสซึม,
reticulum = ร่างแห)
เป็น organelles ที่มีเยื่อหุ้ม มี
ลักษณะเป็นท่อแบนหรือกลม กระจายอยู่ใน
cytosol ช่องภายในท่อเรียกว่า cisternal
space ซึ่งท่อนี้มีการเชื่อมติดต่อกับช่องว่าง
ที่อย่ระหว่างเยื่อห้มนิวเคลียสชั้นนอกและทอยูระหวางเยอหุมนวเคลยสชนนอกและ
ชั้นในด้วย
39
40. ER มี 2 ชนิด คือER ม 2 ชนด คอ
1. Rough endoplasmic reticulum (RER)g p ( )
มีไรโบโซมเกาะติดอยู่ที่เยื่อหุ้มด้านนอกทําให้มองเห็นขรุขระ ทํา
้ ี่ ้ โ ี ี่ ไ ์ ( dหน้าทีสร้างโปรตีนทีส่งออกไปนอกเซลล์ (secondary
protein) โดยไรโบโซมที่เกาะอยู่นี้สร้างโปรตีน แล้วผ่านเยื่อของ
ER เข้าไปใน cisternal space แล้วหลุดออกไปจาก ER
เป็น transport vesicle ส่งออกไปใช้ภายนอกเซลล์โดยตรงเปน transport vesicle สงออกไปใชภายนอกเซลลโดยตรง
หรือนําไปเชื่อมกับเยื่อของ Golgi complex เพื่อเพิ่ม
คาร์โบไฮเดรตแก่โปรตีนที่สร้างขึ้นกลายเป็น glycoproteinคารโบไฮเดรตแกโปรตนทสรางขนกลายเปน glycoprotein
ก่อนส่งออกไปใช้ภายนอกเซลล์
40
42. 2 S th d l i ti l (SER)2. Smooth endoplasmic reticulum (SER)
•ไม่มีไรโบโซมมาเกาะที่เยื่อห้มด้านนอก จึงมองเห็นเป็นผิวไมมไรโบโซมมาเกาะทเยอหุมดานนอก จงมองเหนเปนผว
เรียบๆ ท่อของ SER เชื่อมติดต่อกับ RER ได้
•SER ไม่เกี่ยวกับการสร้างโปรตีน ส่วนใหญ่มีความสําคัญ
เกี่ยวกับการสร้างฮอร์โมนชนิดสเตอรอยด์ และไขมันเกยวกบการสรางฮอรโมนชนดสเตอรอยด และไขมน
•ลดความเป็นพิษของสารพิษ
•ในเซลล์กล้ามเนื้อ SER ทําหน้าที่ควบคุมการเก็บและปล่อย
่ ่ ้แคลเซี่ยมเพื่อควบคุมการทํางานของเซลล์กล้ามเนื้อ เป็นต้น
42
45. Golgi complexGolgi complexGolgi complexGolgi complex
มีลักษณะเป็นถงแบนหลายถงเรียงซ้อนกัน เรียกว่าุ ุ
Golgi cisternar บริเวณตรงกลางเป็นท่อแคบและปลายสอง
ข้างโป่งออก และมีกล่มของถงกลม (vesicles) อย่รอบๆขางโปงออก และมกลุมของถุงกลม (vesicles) อยูรอบๆ
Golgi complex มีโครงสร้างที่เป็น 2 หน้า คือ cis face
t f ี่ ํ ้ ี่ ั ่ i f ป็ ่และ trans face ทีทําหน้าทีรับและส่ง cis face เป็นส่วนของ
ถุงแบนที่นูนอยู่ใกล้กับ ER transport vesicles ที่ถูกสร้าง
มาจาก RER เคลื่อนที่เข้ามารวมกับ Golgi complex
ทางด้าน cis face ส่วน trans face เป็นด้านที่เว้าของถุงุ
แบน เป็นด้านที่สร้าง vesicles และหลุดออกไป
45
46. หน้าที่ของ Golgi complex คือg p
เสริมสร้างคาร์โบไฮเดรดให้กับโปรตีนที่สร้างมาจาก RER ให้
เป็น glycoprotein เพื่อส่งออกไปภายนอกเซลล์
็ ิ่ ี่ ์ ้ ึ้ โ ็ ไ ้ ใเก็บสะสมและกระจายสิงทีเซลล์สร้างขึน โดยเก็บไว้ภายใน
secondary granules เพื่อส่งออกนอกเซลล์ โดยกระบวนการ
exocytosis
้ i l ึ่ h d l tiสร้าง primary lysosomes ซึงบรรจุ hydrolytic
enzymes นํ้าย่อยเหล่านี้มักเป็นพวก glycoprotein โดยมี
การเติมคาร์โบไฮเดรตที่ Golgi complex
ี่ ั ้ ั ้ ์ ( b fl )
46
เกียวกับการสร้างผนังหุ้มเซลล์ (membrane flow)
49. (b) A Lysosome in action( ) y
Peroxisome
f
Mitochondrion
ffragment fragment
LysosomeLysosome
49
50. LysosomesLysosomes
เป็นออร์แกเนลล์ที่มีเยื่อหุ้มรูปกลมขนาดเล็ก ภายในบรรจุุ ู ุ
hydrolytic enzyme หรือ lysosomal enzyme
ช ิ ี่ ํ ้ ี่ ่ โ ใ ่ ไ ้ ่หลายชนดททําหนาทยอยโมเลกุลขนาดใหญ ไดแก
polysaccharides, fats และ nucleic acids
เอ็นไซม์ต่างๆเหล่านี้ ทํางานดีที่สุดที่ pH 5
lysosomal membrane ทําหน้าที่รักษาสภาพแวดล้อม
ภายในให้เหมาะแก่การทํางานของเอ็นไซม์ โดยการปั้ม H+ภายในใหเหมาะแกการทางานของเอนไซม โดยการปม H
จาก cytossol เข้าไปภายใน
50
51. ถ้า lysosome ฉีกขาดจะไม่สามารถทํางานได้ดี หรือถา lysosome ฉกขาดจะไมสามารถทางานไดด หรอ
เอ็นไซม์อาจออกมาทําอันตรายให้แก่เซลล์ได้
จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า การแบ่งไซโตพลาสซึมเป็น
่ ่ ้ b ี ํ ั ่ส่วนย่อยๆด้วย membrane มีความสําคัญต่อการ
ทํางานของเซลล์มาก
Hydrolytic enzyme และ lysosomal
membrane สร้างมาจาก RER และส่งต่อไปยัง
Golgi complex แล้วแยกออกไปทางด้าน transGolgi complex แลวแยกออกไปทางดาน trans
face ของ Golgi complex เป็น lysosome
51
52. The formation and functions of lysosomesThe formation and functions of lysosomes
52
53. หน้าที่ของ lysosomeหนาทของ lysosome
เป็นแหล่งย่อยภายในเซลล์ (intracellular digestion)เปนแหลงยอยภายในเซลล (intracellular digestion)
ตย. เช่น
• อมีบากินอาหารโดยวิธี phagocytosis เกิดเป็น
food vacuole ซึ่งจะรวมกับ lysosome เอ็นไซม์ในfood vacuole ซงจะรวมกบ lysosome เอนไซมใน
cytosome จะทําหน้าที่ย่อยอาหารนั้น
• เซลล์ของคน เช่น macrophage ก็สามารถทําลายสิ่ง
แปลกปลอมที่เข้ามาในเซลล์ด้วยวิธี phagocytosisแปลกปลอมทเขามาในเซลลดวยวธ phagocytosis
และถูกย่อยโดย lysosome ได้เช่นกัน
53
54. เกี่ยวข้องกับการย่อย organelles ในไซโตพลาสซึมเพื่อนํา
สารต่างๆกลับมาใช้สร้าง organelles ใหม่อีกสารตางๆกลบมาใชสราง organelles ใหมอก
(autophagy)
Lysosome สร้างเอ็นไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการเกิด
metamorphosis ของการพัฒนาของตัวอ่อนในพวกสัตว์metamorphosis ของการพฒนาของตวออนในพวกสตว
สะเทินนํ้าสะเทินบก
มีบทบาทสําคัญต่อเมตาบอริซึมต่างๆในร่างกายเป็นอย่างมาก
ถ้าหากมีความผิดปกติในการทํางานของเอ็นไซม์ในไลโซโซม จะถาหากมความผดปกตในการทางานของเอนไซมในไลโซโซม จ
ทําให้เกิดโรคต่างๆได้
54
59. The plant cell vacuoleThe plant cell vacuoleThe plant cell vacuoleThe plant cell vacuole
59
61. Membranous organelles อื่นๆ
1 Energy transcucers ได้แก่1. Energy transcucers ไดแก
MitochondriaMitochondria
Chl l tChloroplast
2 P i ( i b di )2. Peroxisomes (microbodies)
61
63. MitochondriaMitochondria
พบใน eukaryotic cell เกือบทุกชนิด ในเซลล์บางชนิดอย่างมีเพียง
หนึ่งอันที่มีขนาดใหญ่ หรือในเซลล์บางชนิดอาจมี mitochondria เป็น
จํานวนร้อยหรือพันทั้งนี้ขึ้นกับกิจกรรมของเซลล์นั้นๆ
Mitochondria มีเยื่อหุ้ม 2 ชั้น มีลักษณะเป็นสองวงซ้อนกัน แต่ละชั้น
ของ phospholipid bilayer จะมีลักษณะเฉพาะตัวที่เกิดจากโมเลกลของ phospholipid bilayer จะมลกษณะเฉพาะตวทเกดจากโมเลกุล
ของโปรตีนที่ฝังตัวบนเยื่อแต่ละชั้น
เยื่อหุ้มชั้นนอกเรียบ ส่วนเยื่อชั้นในจะมีการโป่งยื่นเข้าข้างในเรียกว่า
cristae เยื่อหุ้มทั้งสองชั้นแบ่ง mitochondria เป็นช่องภายใน 2 ส่วน
้ ้ได้แก่ ช่องที่อยู่ระหว่างเยื่อชั้นนอกและเยื่อชั้นใน (intermembrane
space) และช่องที่ถูกล้อมรอบอยู่ภายในเยื่อชั้นใน (mitochodrial
63
matrix)
66. ChloroplastChloroplast
Chloroplast เป็น plastids ชนิดหนึ่งของเซลล์พืชChloroplast เปน plastids ชนดหนงของเซลลพช
ที่มีรงควัตถุสีเขียว ที่เรียกว่า chlorophyll ซึ่งประกอบด้วย
็ ไ ์ โ ี่ ใ ้ ิ ั ์เอ็นไซม์และโมเลกุลของสารทีทําให้เกิดกระบวนการสังเคราะห์
ด้วยแสง
Chloroplast มีเยื่อหุ้ม 2 ชั้น หุ้มล้อมรอบของเหลวที่
ใ h l k id ่ ้เรียกว่า stroma ภายในมีถุงแบน thylakoids ซึงซ้อนกัน
เป็นตั้งเรียกว่า granum
66
68. Peroxisomes (microbodies)Peroxisomes (microbodies)Peroxisomes (microbodies)Peroxisomes (microbodies)
เป็น organelles ที่พบในเซลล์ยูคาริโอตเกือบทุกชนิด มีลักษณะเป็น
ถุงที่มีเยื่อหุ้มชั้นเดียว ภายในมี granular core ซึ่งเป็นที่รวมของ
เอ็นไซม์ย้อมติดสีเข้ม
เอ็นไซม์ชนิดต่างๆทําหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสร้างหรือทําลาย
hydrogen peroxide (H O ) เพื่อป้ องกันไม่ให้เกิดสารพิษขึ้นhydrogen peroxide (H2O2) เพอปองกนไมใหเกดสารพษขน
ภายในเซลล์
RH2 + O2
Oxidase R + H2O2
2H O catalase 2H O + O2H2O2
catalase 2H2O + O2
ในเซลล์ตับพบมี peroxisomes ขนาดใหญ่ จึงเข้าใจว่าอาจมีหน้า
68
เกี่ยวข้องกับการทําลายพิษของสารต่างๆหลายชนิด เช่น alcohol
69. The cytoskeletonThe cytoskeleton
เป็นโครงสร้างภายในเซลล์ ประกอบด้วยเส้นใย
โป ี ี่ป ั ป็ ่ ั ่ ใโปรตีนทีประสานกนเปนรางแห แทรกตวอยูภายใน
cytoplasm ทําหน้าที่เป็นโครงร่างภายในเพื่อรักษาy p
รูปทรงหรือเปลี่ยนรูปทรง และทําให้เกิดการเคลื่อนไหว
ภายใน cytoplasm และการเคลื่อนที่ของเซลล์บางภายใน cytoplasm และการเคลอนทของเซลลบาง
ชนิด
71. Motor molecules and the cytoskeleton
Cytoskeleton ทํางานร่วมกับ motor proteins ทํา
ใ ้ ิ ื่ ี่ ใ ์ ่ ื่ ี่ให้เกิดการเคลือนทีภายในเซลล์ เช่น การเคลือนทีของ
flagellum หรือ cilia รวมทั้งการหดตัวของเซลล์กล้ามเนื้อ
72. M t l l ํ i l ื llMotor molecules นํา vesicles หรือ organelles
ไปยังตําแหน่งเป้ าหมาย โดยผ่านไปตาม cytosleleton
73. Cytoskeleton ประกอบด้วยเส้นใยโปรตีน 3 ชนิดได้แก่
Microfilaments I t di t
Cytoskeleton ประกอบดวยเสนใยโปรตน 3 ชนดไดแก
Microtubules
Microfilaments
(Actin Filaments)
Intermediate
Filaments
75. Structure of Microtubules
โครงสร้าง : เป็นท่อตรงและกลวงประกอบด้วย
tubulin protein
้ ่ ์ 25ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง : 25 nm
์ป t b li β t b liองค์ประกอบ : α-tubulin และ β-tubulin
79. Centrosome and centrioles
ในเซลล์หลายชนิดมีการสร้าง microtubules จากบริเวณ
่centrosome ที่อยู่ใกล้ๆกับนิวเคลียส
ใ ิ t ์ ั ์ ี t i l ่ในบริเวณ centrosome ของเซลล์สตว์มี centrioles อยู่
1 คู่ แต่ละ centriole ประกอบด้วย microtubules
จํานวน 3 ท่อ จํานวน 9 ชุด เรียงตัวเป็นวงกลม
ใ ี่ ์ ่ ั ี ิ่ centrioles ป็ 2ในขณะทีเซลลแบงตวจะมีการเพิม centrioles เปน 2 ชุด
แม้ว่า centrioles จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างแมวา centrioles จะมสวนเกยวของกบการสราง
microtubules แต่ก็ไม่เป็นสิ่งจําเป็นสําหรับพวกยูคาริโอตทุก
ช ิ ใ ืชไ ่ ี centriolesชนด ในพชไมม centrioles
83. โครงสร้างของ flagellum หรือ cilia ที่ศึกษาภายใต้กล้อง EM
(a) ภาพตัดตามยาว
(b) ภาพตัดตามขวาง แสดงให้เห็นโครงสร้างภายใน ประกอบด้วยแกนของ
microtubules อยู่ภายในเยื่อหุ้มเซลล์ที่ยื่นยาวตามขึ้นไป เรียงกันเป็น
pattern "9+2" คือ แกนกลางประกอบด้วย microtubules 2 ท่อ
(doublets) จํานวน 9 ชุดเรียงตัวรอบเป็นวงกลม และตรงกลางมี
microtubules อีก 2 ท่อ แต่ละท่อคู่ของรอบนอกมีแขน 1 คู่ (dynein)
ยื่นยาวออกไปสัมผัสกับท่อคู่ที่อยู่ใกล้เคียง และมี radial spoke ยื่นเข้าไป
ติดต่อกับท่อคู่ตรงกลาง
( c) แสดง basal body ซึ่งอย่ที่ฐานของ flagellum หรือ cilia มี( c) แสดง basal body ซงอยูทฐานของ flagellum หรอ cilia ม
โครงสร้างเหมือนกับ centriole ประกอบด้วย microtubules 3 ท่อเรียง
กันเป็นวงกลมกนเปนวงกลม
84. How dynein” walking” moves cilia and
flagella
่ d i ใ ้การเคลือนตัวของ dynein ทําให้
เกิดการเคลื่อนไหวของ
fl ll ื iliflagellum หรือ cilia การ
เคลื่อนตัวของ dynein arm ที่
ั i b lเกาะกับท่อคู่ของ microtubules
หนึ่ง ไปเกาะที่อีกท่อคู่หนึ่ง โดยการ
ป ่ ั ั ไป ี้ ี ํเกาะและปล่อยสลับกันไปนีมีผลทํา
ให้ flagellum หรือ cilia เบน
โ ้ ื่ ี่ไปไ ้ ํโค้งเคลือนทีไปได้ การทํางานของ
dynein ใช้พลังงานจาก ATP
86. F nction of MicrofilamentsFunction of Microfilaments
รักษารปทรงของเซลล์และการเคลื่อนไหวภายในเซลล์รกษารูปทรงของเซลลและการเคลอนไหวภายในเซลล
การหดตัวของเซลล์กล้ามเนื้อการหดตวของเซลลกลามเนอ
ทําให้เกิดการคอดตัวเป็นร่อง ขณะที่มีการแบ่งเซลล์สัตว์ทาใหเกดการคอดตวเปนรอง ขณะทมการแบงเซลลสตว
87. A structure role of microfilaments
Microvilli
Microvilli ที่เซลล์
ลําไส้คงรปอย่ได้Microvilli ลาไสคงรูปอยูได
เนื่องจากมี
microfilaments
Mi fil t
microfilaments
เป็นแกน ชึ่งเชื่อมต่อกับ
intermediate
Microfilaments
(Actin filaments)
filaments
Intermediate
filamentsfilaments
91. Structure of Intermediate Filaments
โครงสร้าง : ประกอบด้วยมัดของหน่วยย่อย
โปรตีนที่พันกันเป็นเกลียว
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง : 6-12 nm
องค์ประกอบ : โปรตีนหลายชนิด แล้วแต่ชนิด
ของเซลล์ ตย เช่น keratinของเซลล ตย. เชน keratin
92. Function of Intermediate Filaments
ทําให้ organelles อยู่ประจําที่g ู
รักษาโครงสร้างของเซลล์ Microvilli
Microfilaments
(Actin filaments)
Intermediate
filaments
93. Plant cell wallsPlant cell walls
cell wall เป็นผนังเซลล์ของพืชที่อยู่ภายนอกของเยื่อหุ้ม
์ ีโ ็ ั ้ ll l ั ั ใเซลล์ มีโครงร่างเป็นผนังหนาประกอบด้วย cellulose ฝังตัวอยู่ใน
โปรตีนและ polysaccharides
97. องค์ประกอบและโครงสร้างของ ECM จะแตกต่างกันใน
่ ้เซลล์แต่ละชนิด เซลล์ในตัวอย่างที่แสดงนี้ ECM ประกอบด้วย
สารพวก glycoprotein 3 ชนิด ได้แก่g y p
1. collagen fiber ที่ฝังตัวอยู่ในร่างแหของ
่proteoglycans ซึ่งประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต 95 %
2 fibronectin ป็ glycoprotein ี่ ่ ั2. fibronectin เปน glycoprotein ทเกาะอยูกบ
receptor protein ที่อยู่ที่เยื่อหุ้มเซลล์ (integrin)
3. integrin จะเชื่อมโยงระหว่าง ECM กับ
microfilament ใ cytoplasm ซึ่ ี สํ ัmicrofilament ใน cytoplasm ซงมบทบาทสาคญ
เกี่ยวข้องกับการนําสัญญาณการถูกกระตุ้นระหว่างสิ่งแวดล้อม
์ไภายนอกกับภายในเซลล์ได้
100. Cellular junction ในเซลล์สัตว์Cellular junction ในเซลลสตว
(a) tight junction พบอยู่ใต้ผิวเซลล์ด้านที่เป็นอิสระ เยื่อหุ้ม( ) g j ู ุ
เซลล์ของเซลล์ที่อยู่ติดกัน มีการเชื่อมติดกัน แต่ไม่เชื่อมกันตลอด มี
ส่วนที่ไม่เชื่อมกัน เกิดช่องเป็นระยะๆสวนทไมเชอมกน เกดชองเปนระยะๆ
(b) desmosome พบในเซลล์เนื้อเยื่อทุกชนิด เยื่อหุ้มเซลล์ของ( ) ุ ุ
เซลล์ที่อยู่ติดกันไม่เชื่อมติดกัน และบริเวณนี้มี filament มาเกาะ
อย่ด้านในของเซลล์ทั้งสองอยูดานในของเซลลทงสอง
(c) gap junction ช่องว่างระหว่างเซลล์แคบกว่าที่อื่น หรือ( ) g p j
เกือบไม่มีเลย โดยมีความกว้างประมาณ 20 Ao บริเวณนี้เป็นที่ให้
โมเลกลของสารต่างๆที่มีขนาดเล็กผ่านไปมาได้โมเลกุลของสารตางๆทมขนาดเลกผานไปมาได
102. ตัวอย่างเช่น เซลล์ macrophage ยื่น pseudopodiap g p p
ออกไปจับแบคทีเรีย โดยการยืดและหดของ actin filament
่Food vacuoles ถูกย่อยโดย lysosome ซึ่ง lysosome
สร้างมาจาก ER และ Golgi
เอ็นไซม์ของ lysosomes และโปรตีนของ cytoskeleton
้ ้ ่ ibถูกสร้างขึนที ribosomes
โปรตีนถกแปรรหัสมาจาก mRNA ที่ถอดรหัสมาจาก DNAโปรตนถูกแปรรหสมาจาก mRNA ทถอดรหสมาจาก DNA
ในนิวเคลียส
กระบวนการทั้งหมดเหล่านี้ต้องการพลังงานในรูปของ ATP
ซึ่งส่วนใหญ่สร้างมาจาก mitochondriaซงสวนใหญสรางมาจาก mitochondria
105. Diffusion and Passive transport
(diff i ) ึ ื่ ี่การแพร่ (diffusion) หมายถึง การเคลือนที
ของโมเลกุลของสารจากบริเวณที่มีความเข้มข้นของสารุ
มากกว่าไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นของสารน้อยกว่า
่ ่ใ (d iจนกว่าจะอยู่ในสภาพสมดุล (dynamic
equilibrium) เมื่ออยู่ในสภาพสมดุลแล้ว โมเลกุลq ) ู ุ ุ
ของสารยังคงเคลื่อนอยู่แต่เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วเท่ากัน
ทั้งสองบริเวณทงสองบรเวณ
106. ่ ์การแพร่ของโมเลกุลของสารผ่านเยื่อหุ้มเซลล์
เรียกว่า passive transport เซลล์ไม่ต้องใช้พลังงานที่เรยกวา passive transport เซลลไมตองใชพลงงานท
จะทําให้เกิดการแพร่ขึ้น และเยื่อหุ้มเซลล์มีสมบัติ
l ti bl ั ั้ ั ่selective permeable ดังนันอัตราการแพร่ของสาร
ชนิดต่างๆจะไม่เท่ากันๆ
นํ้าจะสามารถแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้อย่างอิสระซึ่งุ
มีความสําคัญมากสําหรับการดํารงอยู่ของเซลล์
107. การแพร่ของโมเลกุลของสารผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ุ ุ
( ) โ ื่ ี่ ิ ี่ ี ้ ้ ่ ไป ั(a) โมเลกุลของสารเคลือนทีจากบริเวณทีมีความเข้มข้นมากกว่าไปยัง
บริเวณที่มีความเข้มข้นน้อยกว่า จนกระทั่งอยู่ในสภาพสมดุล (dynamic
ilib i ) ื่ ่ใ ้ โ ัequilibrium) เมืออยู่ในสภาพสมดุลแล้วโมเลกุลของสารยังคง
เคลื่อนที่อยู่แต่อัตราการเคลื่อนที่ของสารจากทั้งสองด้านของเยื่อหุ้มเซลล์
่ ัเท่ากัน
108. (b) ในกรณีนี้ แสดงสารละลายของสี 2 ชนิด ที่อยู่คนละด้าน
่ ่ ่ของเยื่อหุ้มเซลล์ โมเลกุลของสารสีเขียวจะเคลื่อนที่ไปยัง
ด้านซ้าย ทั้งๆที่ตอนเริ่มต้นความเข้มข้นของสารในด้านซ้ายสูงู
กว่า
111. The water balance of living cells
ิ ื่ ี่ โ ํ้ ่ ์ ั ์ ึ่ ไ ่ ี ัลูกศรแสดงทิศทางการเคลือนทีของโมเลกุลของนําผ่านเซลล์สัตว์ซึงไม่มีผนัง
เซลล์ และเซลล์พืชซึ่งมีผนังเซลล์
112. The contractile vacuole of Paramesium : an
evolutionary adaptation for osmoregulation
Filli lFilling vacuole
Contracting vacuoleContracting vacuole
113. Facilitated diffusion
T t t i ่ ใ ํ โ ่ ื่ ้Transport proteins ช่วยในการนําโมเลกุลของสารผ่านเยือหุ้ม
เซลล์จากบริเวณที่มีความเข้มข้นของสารสูงไปยังบริเวณที่มีความ
้ ้ ่ ้ f i i iff iเข้มข้นตํากว่า เรียกกระบวนการนี้ว่า facilitated diffusion โดย
เซลล์ไม่ต้องใช้พลังงาน
114. Acti e transportActive transport
บางครั้งเซลล์ต้องการลําเลียงสารจากที่มีความบางครงเซลลตองการลาเลยงสารจากทมความ
เข้มข้นตํ่าไปยังที่มีความเข้มข้นสูงกว่า กระบวนการนี้
เรียกว่า active transport ซึ่งต้องการพลังงานคือ
ATPATP
ตัวอย่างเช่น เซลล์ขับ NA+ ออกนอกเซลล์และนําตวอยางเชน เซลลขบ NA ออกนอกเซลลและนา
K+ เข้าไปในเซลล์ ซึ่งเรียกว่า Sodium-potassium
pump
116. S di t iSodium-potassium pump
กระบวนการเริ่มต้นจาก Na+ จับกับโปรตีนซึ่งเป็นกระบวนการเรมตนจาก Na จบกบโปรตนซงเปน
transport protein แล้ว ATP ให้พลังงานแก่
โปรตีนทําให้โปรตีนเปลี่ยนรูปร่างและปล่อย Na+ ผ่าน
เยื่อห้มเซลล์ออกไป ขณะเดียวกัน K+ เข้าจับกับโปรตีนเยอหุมเซลลออกไป ขณะเดยวกน K เขาจบกบโปรตน
ทําให้โปรตีนเปลี่ยนแปลงรูปร่างอีกครั้งหนึ่ง ทําให้ K+ ถูก
้ ไ ใ ์ ้ โปล่อยเข้าไปในเซลล์ แล้วโปรตีนกลับมีรูปร่างเหมือนเดิม
อีกพร้อมที่จะเริ่มต้นกระบวนการใหม่ต่อไป
118. Exocytosis and endocytosis
transport large moleculestransport large molecules
สารที่มีโมเลกลขนาดใหญ่ เช่น โปรตีน และสารทมโมเลกุลขนาดใหญ เชน โปรตน และ
คาร์โบไฮเครต ผ่านออกนอกเซลล์ด้วยกระบวนการ
exocytosis และเข้าไปในเซลล์ด้วยกระบวนการ
endocytosisendocytosis
119. Endocytosis มี 3 แบบ ได้แก่
1. Phagocytosis
2. Pinocytosis
3. Receptor-mediated endocytosis
124. 3. CONTROLLING THE INTERNAL ENVIRONEMENT
-สิ่งมีชีวิตที่อาศัยในสภาวะแวดล้อมที่แปรผันอย่างมาก จะสามารถมีชีวิตอยูู่
รอดได้ ก็ต่อเมื่อมีการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมนั้น ๆ
-การปรับตัวเพื่อรักษาสภาวะธํารงดุลภายในร่างกาย หรือ homeostasis (Gr.ุ
same standing)
-สัตว์สามารถรักษาสภาวะภายในร่างกายไว้ได้ แม้ว่าสภาพแวดล้อมภายนอกสตวสามารถรกษาสภาวะภายในรางกายไวได แมวาสภาพแวดลอมภายนอก
จะมีการเปลี่ยนแปลงไปมากจนอาจเป็นอันตรายต่อเซลล์ได้ เช่น การรักษา
สภาวะแวดล้อมภายในร่างกายเปลี่ยนแปลงไปในช่วงแคบ ๆ ถึงแม้ว่าสภาวะสภาวะแวดลอมภายในรางกายเปลยนแปลงไปในชวงแคบ ๆ ถงแมวาสภาวะ
แวดล้อมภายนอกจะแปรผันอย่างมาก เช่นการรักษาอุณหภูมิภายในร่างกาย
คนให้มีค่าอย่ที่ประมาณ 37 oCคนใหมคาอยูทประมาณ 37 C
124
125. รูปร่างและหน้าที่ที่เหมาะสมต่อสภาวะแวดล้อม
(Form and function suit the environment)
-สัตว์สามารถรักษาสภาวะแวดล้อมภายในร่างกายให้คงที่ไว้ได้ แม้ว่าสภาวะ-สตวสามารถรกษาสภาวะแวดลอมภายในรางกายใหคงทไวได แมวาสภาวะ
แวดล้อมภายนอกจะแปรผันมาก เนื่องจากสัตว์มีการปรับตัวเพื่อให้ได้รูปร่างที่
สัมพันธ์กับการทํางาน (หน้าที่) ที่เหมาะสมต่อสภาวะแวดล้อมที่สัตว์อาศัยอย่สมพนธกบการทางาน (หนาท) ทเหมาะสมตอสภาวะแวดลอมทสตวอาศยอยู
-การเกิดวิวัฒนาการ (evolution) และการคัดเลือกตามธรรมชาติ (natural selection)
ํ ใ ้ ั ์ ี่ ี ป ่ ี่ ใ ้ ั้ ่จะทําให้สัตว์ทีมีรูปร่างเหมาะสมทีสุดในสภาวะแวดล้อมนัน ๆ สามารถอยู่รอด
สืบพันธุ์และถ่ายทอดยีนดังกล่าว ไปสู่รุ่นลูกหลานได้
่:รูปร่าง (form) – หน้าที่ (function)
:กายวิภาคศาสตร์ (anatomy) – สรีรวิทยา (physiology)
125
128. รูปร่างและหน้าที่ที่เหมาะสมต่อสภาวะแวดล้อม
(Form and function suit the environment)
ปลาวาฬสีนํ้าเงินมีการพัฒนาอวัยวะภายในช่องปาก(sieve or baleen plate) ให้-ปลาวาฬสนาเงนมการพฒนาอวยวะภายในชองปาก(sieve or baleen plate) ให
เหมาะต่อการดักจับ เคย(krill) ซึ่งเป็นสัตว์ขนาดเล็กที่มีเป็นจํานวนมากในทะเล
เป็นอาหาร มีรจมก(nostril) อย่ด้านบน จึงทําให้หายใจได้ในขณะดํานํ้าเปนอาหาร มรูจมูก(nostril) อยูดานบน จงทาใหหายใจไดในขณะดานา
128
130. ผิวหนังและthermoregulation
-ไขมัน (adipose) และขนทํา( p )
หน้าที่เป็นฉนวนป้ องกันการ
สูญเสียความร้อนออกนอกูญ
ร่างกาย
-การหด-ขยายตัวของเส้นเลือด
ที่ผิวหนัง
-การตั้งชัน(erection)และการอัด( )
ตัวกันแน่น(compaction)ของขน
-การเกิด evaporation โดยการp
หลั่งเหงื่อ จากต่อมเหงื่อ
130
131. Water Balance and Waste Disposal: Osmoregulation
-osmosis การเคลื่อนของนํ้าผ่าน
้semipermeable membrane โดยขึ้นกับ
ความเข้มข้นของ osmolyte (ion, small organic
่ ่ ้ ้molecules, protein) ที่อยู่ระหว่างเยื่อกั้นทั้ง
สองด้าน
-นกทะเลหลายชนิดมีอวัยวะในการกําจัด
เกลือที่หัว เรียก nasal gland NaClตํ่า
-Countercurrent ของทิศทางการไหลของ
เลือดและการเคลื่อนของ NaCl ในท่อ salt-
NaClสง
excreting gland
-ในปลาฉลามมีอวัยวะพิเศษสําหรับกําจัด
เกลือ เรียก rectal gland
NaClสูง
131
เกลอ เรยก rectal gland
132. การกําจัดของเสียพวกไนโตรเจน (Excretion of nitrogen-containing waste) ที่ได้
โป ี ิ ิ ิ ีใ ป ่ ั ี้จากการสลายโปรตีนและกรดนิวคลิอิกมีในรูปแบบต่าง ๆ ดังนี
1. แอมโมเนีย (Ammonia )
ป็ ี่ ํ้ ไ ้ ี ่ ป็ ิ ่ ั ์ ้ ีป ิ ้-เป็นสารทีละลายนําได้ดี แต่เป็นพิษต่อสัตว์ แม้จะมีปริมาณน้อย
-การขับของเสียพวกไนโตรเจนในรูปแบบนี้จึงมักพบในสัตว์นํ้า เพราะแอมโนเนีย
่ ่ ื่ ์ ่ ํ้ ไ ้ ีสามารถแพร่ผ่านเยือเซลล์สู่นําได้ดี
-ในปลานํ้าจืด มักมีการขับแอมโมเนียในรูปของ NH4
+ผ่านทางเหงือก โดย
ป ี่ ั ํ ้ ่ ์แลกเปลียนกับการนํา Na+ เข้าสู่เซลล์
2. ยูเรีย (Urea) NH2-CO-NH2
ใ ั ์ ี้ ้ ั ์ ิ ํ้ ิ ั ็ ั ป ่-พบในสัตว์เลียงลูกด้วยนม, สัตว์สะเทินนําสะเทินบกตัวเต็มวัย, ปลาทะเล, เต่า
-ยูเรียสร้างที่ตับโดยการรวมกันของแอมโมเนียและคาร์บอนไดออกไซด์ จึงทําให้
ั ์ ิ้ ป ื ั ใ ั ์สัตว์สินเปลืองพลังงานในการสังเคราะห์
-มีความเป็นพิษน้อยกว่าแอมโมเนีย 100,000 เท่า สัตว์จึงเก็บไว้ในร่างกายที่ความ
้ ้ ไ ้
132
เข้มข้นสูงได้
133. 3. กรดยูริก (Uric acid)ู ( )
-พบในหอยทากบก, แมลง,
นก, สัตว์เลื้อยคลานหลาย
ชนิด
-กรดยูริกไม่ค่อยละลายนํ้าู
จึงมีการขับออกจาก
ร่างกายในรูป semisolidู
จึงประหยัดการขับนํ้าออก
-แต่การสังเคราะห์กรดยูริกู
จะสิ้นเปลืองพลังงาน
(ATP) มาก
133
135. ั ี่ใ ้ใ ํ ั ี ่ ั ์ ิ ่ ี ั ี้อวัยวะทีใช้ในการกําจัดของเสียออกจากร่างกายสัตว์ชนิดต่าง ๆ มีดังนี
1. Protonephridia พบในหนอนตัวแบน, rotifers, annelids บางพวก, ตัวอ่อน mollusk,
lancelet (invertebrate chordate)
2. Metanephridia พบใน annelids ส่วนมาก รวมทั้งไส้เดือนดิน
ใ3. Malpighian tubules พบในแมลง
4. Kidney พบในสัตว์มีกระดูกสันหลัง
135
136. Protonephridia: Flame-bulb systems
-Protonephridia หน้าที่หลักคือ osmoregulation
ป็ ่ ี่ ี ใ ป็ ่ ป-เป็นท่อทีมีการแตกแขนงภายใน เป็นท่อปลาย
ปิดที่ปิดด้วยเซลล์ๆเดียว ซึ่งภายในมีลักษณะ
ี่ ี ่ ใflame bulb ทีมี cilia อยู่ภายใน
-การพัดโบกของ cilia จะช่วยให้นํ้าและ
่สารละลายจาก interstitial fluid ผ่าน
interdigitating membrane เข้าสู่ภายในท่อ
่ ั ืสารละลายส่วนมากจะถูกดูดกลับคืน (reabsorb)
-มีการขับของเสียออกจากร่างกายทาง
nephridiopores
136
137. Metanephridia
ไ-ในแต่ละ segment ของไส้เดือนมี metanephridia
1 คู่ ไปเปิดที่ segment ถัดไปทางด้านหน้า
็ ่-ปลายเปิดมีลักษณะเป็นกรวยที่มี cilia ล้อมเรียก
nephrostome ที่ทําหน้าที่รวบรวมของเหลวจาก
้ ็ ไ ้ ่coelom นําเข้าสู่ collecting tubule และเก็บไว้ที
bladder ก่อนขับออกจากร่างกายทาง
nephridiopore
-ก่อนขับปัสสาวะ ส่วนใหญ่จะมีการดูดกลับของเกลือ และสารที่มักขับออกคือ
nitrogenous waste
-เนื่องจากไส้เดือนมักอาศัยในดินที่มีความชื้นสูงจึงมีการแพร่ของนํ้าเข้าสู่ร่างกายมาก
137
(osmosis) ดังนั้นปัสสาวะที่ขับออกจึงเจือจาง (มีนํ้ามาก)
138. Malpighian tubules
-Malpighian tubule ทําหน้าที่กําจัด
nitrogenous waste และ osmoregulationnitrogenous waste และ osmoregulation
-เป็นท่อปลายปิดที่ยื่นออกมาจาก midgut
-ทําหน้าที่ขนส่งนํ้า เกลือแร่ nitrogenousทาหนาทขนสงนา, เกลอแร, nitrogenous
waste จาก hemolymph เข้าสู่ภายในท่อ
-เกลือแร่และนํ้าส่วนใหญ่จะถกดดกลับที่เกลอแรและนาสวนใหญจะถูกดูดกลบท
rectum ขณะที่ nitrogenous waste (ในรูป
ของกรดยริก) จะถกขับออกไปพร้อมกับของกรดยูรก) จะถูกขบออกไปพรอมกบ
อุจจาระ
138
140. ในการผลิตและกําจัดปัสสสาวะออกนอกร่างกายมีในการผลตและกาจดปสสสาวะออกนอกรางกายม
ขั้นตอนดังนี้
1 Filtration (การกรอง) เป็นการนําของเหลว เช่น1.Filtration (การกรอง) เปนการนาของเหลว เชน
จากเลือด, coelomic fluid, hemolymph ผ่านเข้าสู่
ท่อ(ท่อไต) โดยแรงดันเลือด (hydrostaticทอ(ทอไต) โดยแรงดนเลอด (hydrostatic
pressure) โดยสารโมเลกุลใหญ่เช่นเม็ดเลือดและ
โปรตีนจะไม่ถกกรองออกมา สารที่ได้เรียก Filtrateโปรตนจะไมถูกกรองออกมา สารทไดเรยก Filtrate
2.Reabsorption (การดูดกลับ) สารที่มีประโยชน์
เช่น กลโคส เกลือ กรดอะมิโน จะถกดดเชน กลูโคส, เกลอ, กรดอะมโน จะถูกดูด
กลับคืนสู่ระบบไหลเวียนเลือดโดย active transport
3 Secretion (การหลั่งสาร) สารพิษและอิออน3.Secretion (การหลงสาร) สารพษและอออน
ส่วนเกินจะถูกขับออก โดย active transport
4 Excretion (การขับออก)
140
4.Excretion (การขบออก)
141. Nephron and Collecting Duct
่ ไ ่การเคลือน filtrate ผ่านท่อไตหลังจากทีมีการกรองผ่าน glomerulus
1.การเคลื่อนผ่าน proximal tubule
secretion & reabsorption-secretion & reabsorption
-หลั่ง H+, NH3 (เพื่อปรับไม่ให้ filtrate เป็นกรดมากไป)
-ดูดกลับ HCO3
-(90%), NaCl, นํ้า, K+ และู 3
สารอาหาร (กลูโคส, กรดอะมิโน)
2.Descending limb of the loop of Henle
permeable ต่อนํ้า impermeable ต่อเกลือ-permeable ตอนา, impermeable ตอเกลอ
และสารโมเลกุลเล็ก
3.Ascending limb of the loop of Henle
้-permeable ต่อเกลือ impermeable ต่อนํ้า
-มี 2 ส่วน คือ thin segment(PT) & thick
segment(AT)segment(AT)
4.Distal tubule
-secretion (K+)& reabsorption (NaCl & HCO3
-)
141
5.Collecting duct
-ดูดกลับ NaCl, ยูเรีย, นํ้า
Active transport (AT)
Passive transport (PT)
142. 4. IMMUNE SYSTEM
ร่างกายเรามีกลไกป้ องกันการรุกลํ้าทําลายจากสิ่งแปลกปลอม 2 แบบ คือ
1 Nonspecific defense mechanisms กลไกการทําลายสิ่งแปลกปลอมแบบไม่จําเพาะ1. Nonspecific defense mechanisms กลไกการทาลายสงแปลกปลอมแบบไมจาเพาะ
1.1 First line of defense เป็นกลไกการป้ องกันที่อยู่ภายนอกร่างกาย เช่น ผิวหนัง
และmucous membrane ที่ทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ท่อปัสสาวะและสืบพันธ์และmucous membrane ททางเดนอาหาร ทางเดนหายใจ ทอปสสาวะและสบพนธุ
1.2 Second line of defense เป็นกลไกการป้ องกันที่อยู่ภายในร่างกาย เมื่อสิ่ง
แปลกปลอมสามารถแทรกเข้าส่ภายในร่างกายได้ เช่น การเกิด phagocytosis โดยแปลกปลอมสามารถแทรกเขาสูภายในรางกายได เชน การเกด phagocytosis โดย
เม็ดเลือดขาว, การผลิต antimicrobial protein, inflammatory response
2 Specific defense mechanisms or third line of defense กลไกการทําลายสิ่ง2. Specific defense mechanisms or third line of defense กลไกการทาลายสง
แปลกปลอมแบบจําเพาะ ได้แก่ การทํางานของ lymphocytes และการผลิตantibody
2 1 Humoral (antibody-mediated) immune response2.1 Humoral (antibody-mediated) immune response
2.2 Cell-mediated immune response
142
143. The First Line of Defense
-เป็นการป้ องกันการรุกลํ้าจากสิ่งแปลกปลอมโดยผิวหนังและ mucous membrane
และยังมีการหลั่งสารออกมาช่วยทําหน้าที่อีกด้วย เช่น การหลั่งสารจากต่อมเหงื่อ
และต่อมไขมัน ซึ่งปกติมีค่า pH 3-5 ที่มีความเป็นกรดสูงพอในการทําลาย
microorganismg
-การชําระล้างออกโดยนํ้าลาย, นํ้าตา และ mucous (มี lysozyme เป็นส่วนประกอบ)
-Lysozyme สามารถย่อยผนังเซลล์ของแบคทีเรียได้หลายชนิดy y
-Gastric mucous ในกระเพาะมีความเป็นกรดสูง สามารถทําลายแบคทีเรียได้ดี
143
144. The Second Line of Defense
-เซลล์ที่สามารถทําหน้าที่ phagocytosis ได้มีหลายชนิด ดังนี้
1. Phagocytosis by white blood cell
เซลลทสามารถทาหนาท phagocytosis ไดมหลายชนด ดงน
1. Neutrophils (60-70% ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด) มีช่วงชีวิตประมาณ 2-3 วัน มักจะ
สลายไปเมื่อทําลายสิ่งแปลกปลอมสลายไปเมอทาลายสงแปลกปลอม
2. Monocyte (5% ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด) หลังจาก monocyte หลั่งสู่กระแสเลือด
ได้ 2-3 ชั่วโมง จะเคลื่อนเข้าส่เนื้อเยื่อ และพัฒนาเป็นเซลล์ macrphage (“big-eater”)ได 2 3 ชวโมง จะเคลอนเขาสูเนอเยอ และพฒนาเปนเซลล macrphage ( big eater )
มีช่วงชีวิตค่อนข้างยาว
3. Eosinophil (1.5% ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด) ทําหน้าที่ทําลายพยาธิขนาดใหญ่3. Eosinophil (1.5% ของเมดเลอดขาวทงหมด) ทาหนาททาลายพยาธขนาดใหญ
4. Natural killer (NK) cell ทําหน้าที่ทําลาย virus-infected body cell โดยไปจับที่เยื่อ
เซลล์และทําให้เซลล์แตกเซลลและทาใหเซลลแตก
144
146. The Second Line of Defense
2. Antimicrobial protein
มีโปรตีนหลายชนิดทําหน้าที่ป้ องกัน/ทําลายสิ่งแปลกปลอมที่บกรกร่างกาย ซึ่ง-มโปรตนหลายชนดทาหนาทปองกน/ทาลายสงแปลกปลอมทบุกรุกรางกาย ซง
ทําลายสิ่งแปลกปลอมโดยตรงหรือยับยั้งการสืบพันธุ์ ได้แก่ lysozyme, complement
t i t fsystem, interferons
-complement system ทําหน้าที่ย่อย microbes และเป็น chemokines ต่อ phagocytic
llcells
-interferone เป็นสารที่หลั่งจาก virus-infected cell ภายหลังจากที่เซลล์ (virus-
i f t d ll) แตกออก จากนั้นจะแพร่ไปยังเซลล์ข้างเคียง เพื่อยับยั้งการ i f tinfected cell) แตกออก จากนนจะแพรไปยงเซลลขางเคยง เพอยบยงการ infect
ของ virus ไปยังเซลล์ข้างเคียง จึงสามารถยับยั้งเจริญของ virus ได้ (เนื่องจากไม่มี
host)host)
146
147. The Second Line of Defense
3. The Inflammatory Response
-บริเวณที่เป็นแผลมีการขยายตัวของเส้นเลือด มีเลือดมาเลี้ยงมาก เกิดการบวมแดง
้ ้-มีการหลั่ง histamine จากเนื้อเยื่อ (นอกจากนี้ยังหลั่งได้จาก basophil &mast cell)
ทําให้permeability ของ capillary เพิ่ม
1.เซลล์บาดแผลหลั่ง
chemical signal เช่น
2.capillary ขยายตัวและ
เพิ่ม permeability
ของเหลวแล bl d
3.chemokines กระตุ้น
ให้ phagocytic cell
เคลื่อนไปยังเนื้อเยื่อที่
4.phagocytic cell กิน
pathogens & เศษเซลล์
หลังจากนั้นบาดแผล
147
histamine, PG ของเหลวและblood
clotting element เคลื่อน
ออกจากเส้นเลือด
เคลอนไปยงเนอเยอท
ถูกทําลาย
หลงจากนนบาดแผล
ปิด
148. The Third Line of Defense
-Lymphocytes เป็นตัวการสําคัญในการทําลายสิ่งแปลกปลอมแบบจําเพาะ
-Lymphocytes มี 2 ชนิดคือ B lymphocyte (B cell; bursa of Fabricius or bone marrow)&T
lymphocyte (T cell; thymus) ซึ่ง T หรือ B cell แต่ละเซลล์จะจําเพาะกับ Ag แต่ละตัว
โดยมีขั้น ตอนการคัดเลือกเพื่อเพิ่มจํานวน lymphocyte ที่เฉพาะต่อ Ag เรียก Clonal
selection 1.Ag จับกับ Ag receptor บน B cell หนึ่งๆ
2.B cell ที่มี receptor ที่จําเพาะต่อ
้ ่Agนั้นจะเพิ่มจํานวนได้เป็น clone
4.บางเซลล์พัฒนาไปเป็น
3.บางเซลล์พัฒนาไปเป็น
short-lived plasma cell
long-lived memory cell ที่
จะทําให้เกิดการ
่ ็
148
p
และหลั่ง Abตอบสนองอย่างรวดเร็ว
เมื่อร่างกายได้รับ Ag เดิม
149. Immunological Memory
ใ ิ่ ํ L h t ี่ ั ื ั ชิ ั A ป็ ั้-ในการเพมจานวนของ Lymphocytes ทถูกคดเลอก หลงจากเผชญกบ Ag เปนครง
แรก ใช้เวลานานประมาณ 10-17 วัน เรียกการตอบสนองในระยะแรกนี้ว่า primary
immune response ได้เซลล์ 2 ชนิดคือshort-lived effector cell (plasma cell(จาก Bimmune response ไดเซลล 2 ชนดคอshort lived effector cell (plasma cell(จาก B
cell)&effector T cell(จาก T cell)) และ long-lived memory cells
-ถ้าร่างกายมีการเผชิญกับ Ag เดิมอีก เป็นครั้งที่ 2 จะเกิดการตอบสนองเรียก
่ ้secondary immune response ซึ่งจะใช้เวลาในการตอบสนองสั้นลง เพียง 2-7 วัน
149
150. Active and Passive Immunity
Active immunity: การที่เราได้รับเชื้อ เข้า
ไป แล้วร่างกายสร้าง Ab มาทําลายไป แลวรางกายสราง Ab มาทาลาย
ขณะเดียวกันก็เก็บ memory cell ไว้ โดย
เชื้อที่ได้รับเข้าไปอาจเป็นเชื้อโรคในเชอทไดรบเขาไปอาจเปนเชอโรคใน
ธรรมชาติ (infection) หรือโดยการฉีดเชื้อ
ที่อ่อนกําลังแต่ยังมี epitope เข้าร่างกายทออนกาลงแตยงม epitope เขารางกาย
(vaccination)
Passive immunity: ร่างกายได้รับ Ab ของPassive immunity: รางกายไดรบ Ab ของ
เชื้อนั้นโดยตรง ซึ่ง Ab ที่ได้จะคงอยู่ใน
ร่างกายเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เช่น Ab ต่อรางกายเปนระยะเวลาสน ๆ เชน Ab ตอ
พิษงู, พิษสุนัขบ้า
150
151. ระบบภูมิคุ้มกันและการเกิดโรค
1. Blood group and blood transfusion
ABO blood group จําแนกตาม Ag ที่อย่บนผิวเม็ดเลือดแดง ซึ่งคนที่มีเลือดหม่ A-ABO blood group จาแนกตาม Ag ทอยูบนผวเมดเลอดแดง ซงคนทมเลอดหมู A
จะมี Ab หมู่ b เป็นต้น
แต่เนื่องจาก blood group antigen เป็น polysachharide จึงทําให้เกิดการตอบสนอง-แตเนองจาก blood group antigen เปน polysachharide จงทาใหเกดการตอบสนอง
ของระบบภูมิคุ้มกันแบบ T-independent response เช่นเมื่อแม่เลือดหมู่ O ตั้งครรภ์
ลกเลือดหม่ A (Ab b)เมื่อคลอดลก เลือดจากลกที่ไหลเข้าส่แม่สามารถกระต้นการลูกเลอดหมู A (Ab-b)เมอคลอดลูก เลอดจากลูกทไหลเขาสูแมสามารถกระตุนการ
สร้าง Ab-b ได้ แต่ลักษณะนี้จะไม่เป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์ลูกคนต่อมา (เลือด
หม่ B) เพราะ Ab ที่สร้างเป็น IgM ที่ไม่สามารถแพร่ผ่านรกได้หมู B) เพราะ Ab ทสรางเปน IgM ทไมสามารถแพรผานรกได
-แต่ในกรณีของหมู่เลือด Rh (แม่ Rh- ลูกRh+) จะเป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์ลูกคน
ต่อมาเพราะ Ab ที่สร้างเป็น IgG ที่สามารถแพร่ผ่านรกได้ตอมาเพราะ Ab ทสรางเปน IgG ทสามารถแพรผานรกได
แม่ A (Ab-b)O
แม่ ลก
151
A (Ab b)O O (Ab-b)
ลูก
B