Recommended
PDF
ทฤษฎีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์
PDF
เทคนิคการบริหารทรัพยากรมนุษย์ทางการศึกษา(Eductaional Administraion )
PDF
ทฤษฏีภาวะผู้นำและภาวะผู้นำทางวิชาการ
PDF
DOCX
บทที่ 3 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับภาวะผู้นำ
DOCX
คำกล่าวต้อนรับคณะกรรมการประเมิน
PDF
PDF
การบริหารแหล่งการเรียนรู้และสภาพแวดล้อม
PDF
บัญชีคำพื้นฐาน ระดับมัธยมศึกษา
PPT
PPTX
PPT
บทที่ 2 พัฒนาการของแนวคิดและทฤษฎีการจัดการ
PDF
โครงสร้างและเนื้อหาสาระพระไตรปิฎก
PDF
Chapter 5 กระบวนการพัฒนาองค์การ
PDF
PDF
PDF
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน
PDF
Chapter7 เทคนิคพัฒนาองค์การระดับกลุ่มและองค์การ
PDF
บทที่ 7 การวางแผนกระบวนการผลิต
PPTX
DOC
หนังสือรับรอง(เด็กศูนย์ฯ)
PDF
บทที่ 11 นวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัย 55
PDF
การวิเคราะห์ SWOT & TOWS Matrix
PDF
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง วิวัฒนาการ
PDF
PDF
PDF
PDF
ทฤษฎีของไวก็อตสกี้(Vygotskys Theory)
PPT
แนวความคิดและทฤษฎีการบริหาร
PPT
More Related Content
PDF
ทฤษฎีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์
PDF
เทคนิคการบริหารทรัพยากรมนุษย์ทางการศึกษา(Eductaional Administraion )
PDF
ทฤษฏีภาวะผู้นำและภาวะผู้นำทางวิชาการ
PDF
DOCX
บทที่ 3 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับภาวะผู้นำ
DOCX
คำกล่าวต้อนรับคณะกรรมการประเมิน
PDF
PDF
การบริหารแหล่งการเรียนรู้และสภาพแวดล้อม
What's hot
PDF
บัญชีคำพื้นฐาน ระดับมัธยมศึกษา
PPT
PPTX
PPT
บทที่ 2 พัฒนาการของแนวคิดและทฤษฎีการจัดการ
PDF
โครงสร้างและเนื้อหาสาระพระไตรปิฎก
PDF
Chapter 5 กระบวนการพัฒนาองค์การ
PDF
PDF
PDF
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน
PDF
Chapter7 เทคนิคพัฒนาองค์การระดับกลุ่มและองค์การ
PDF
บทที่ 7 การวางแผนกระบวนการผลิต
PPTX
DOC
หนังสือรับรอง(เด็กศูนย์ฯ)
PDF
บทที่ 11 นวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัย 55
PDF
การวิเคราะห์ SWOT & TOWS Matrix
PDF
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง วิวัฒนาการ
PDF
PDF
PDF
PDF
ทฤษฎีของไวก็อตสกี้(Vygotskys Theory)
Similar to System management
PPT
แนวความคิดและทฤษฎีการบริหาร
PPT
PDF
PDF
สื่อการสอนวิชาทฤษฎีและหลักการบริหารการศึกษา
PDF
Organization and Management (OM) overview (ch.1)
PDF
Chapter 3 พฤติกรรมศาสตร์กับการพัฒนาองค์การ
DOC
PDF
PPT
บทที่ 1 แนวคิดหลักการของการบริหารราชการ
PDF
PPT
PDF
Plan c แนวข้อมสอบการบริหารรัฐกิจ
DOC
PDF
PPT
PDF
Development of management theory
PDF
Plan c แนวข้อมสอบการบริหารรัฐกิจ
PPT
PPT
DOC
More from Teetut Tresirichod
PDF
บทที่ 9 การนำแผนกลยุทธ์ไปปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จ (Implementing strategic plans...
PDF
บทที่ 8 กลยุทธ์ระดับหน้าที่ (Functional strategy)
PDF
บทที่ 7 กลยุทธ์ระดับธุรกิจ (Business Strategy)
PDF
Chapter 2 Strategic human resource management
PDF
การค้นหาหัวข้องานวิจัย ทางด้านการจัดการ.pdf
PDF
บทที่ 6 กลยุทธ์ระดับองค์การ (Organizational Strategy)
PDF
ESG เพื่อความยั่งยืนทางธุรกิจ จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ V3.pdf
PDF
บทที่ 1 ภาวะผู้นำและการสื่อสารเชิงกลยุทธ์โดยภาพรวม.pdf
PDF
ภาวะผู้นำและการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ (Strategic Leadership and Communication)
PDF
Process Model 5 for Moderated and Moderation Graph.pdf
PDF
Partial Least Square Path Modeling with SmartPLS.pdf
PDF
การใช้โปรแกรม QDA Miner.pdf
PDF
Covariance-based Structural Equation Modeling (CB-SEM) Model Using SmartPLS4
PDF
Chapter 1 Strategy and human resource management
PDF
SPSS software application.pdf
PDF
Partial Least Square Path Modeling with SmartPLS
PDF
PDF
PSPP software application
PDF
Chapter 3 SHRM in a changing and shrinking world
PDF
Using JAMOVI in structural equation analysis
System management 1. 2. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการนานวัตกรรมใหม่ๆ สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศไทย
ตามแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี มาใช้ในการจัดการองค์การที่ทันสมัย และมีความสอดคล้อง
กับยุคเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน รวมทั้งการจัดการเชิงกระบวนการ การจัดการเชิง
ปริมาณ การจัดการเชิงพฤติกรรม พฤติกรรมกลุ่ม การจัดการเชิงระบบ ทฤษฎี
แรงจูงใจภาวะผู้นา ธรรมาภิบาล จริยธรรมทางธุรกิจ
The study of concepts and theories relating to modern management to
agree with Thailand’s 20-Year National Strategy and economic and social;
innovation and organizational changes; organizational behavior;
motivation theory; leadership; good governance; business ethics.
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 2
3. ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 3
การจัดการภาครัฐแนวใหม่
ความหมายของระบบ
ลักษณะของระบบ
องค์ประกอบของระบบ
การคิดเชิงระบบ Systems Thinking
วิธีการเชิงระบบ (Systems approach)
การวิเคราะห์ระบบ
4. 5. การจัดการภาครัฐแนวใหม่ : The New Public Management : NPM
Change
Management
Globalization
Economic Crisis
High Financial burden
Bureaucratic of Governance
Big Organization
Competitiveness
Monopoly
New Technology
…
6. 7. 8. 9. 10. การจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management : NPM)
ความหมาย
นาหลักการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบราชการและการ
แสวงหาประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศ
การปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการภาครัฐ
นาเอาแนวทางหรือวิธีการบริหารงานของภาคเอกชนมาปรับใช้
กับการบริหารงานภาครัฐ เช่น
1. การบริหารงานแบบมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์
2. การบริหารงานแบบมืออาชีพ
11. การจัดการภาครัฐแนวใหม่
( New Public Management ) : NPM
เป็นแนวคิดพื้นฐานของการบริหารจัดการภาครัฐ
อันจะนาไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบต่าง ๆ ของ
ภาครัฐและยุทธศาสตร์ด้านต่าง ๆ ที่เป็นรูปธรรม
12. 13. ใช้แรงจูงใจทางการตลาด (market-style incentive) ในการจัดการภาครัฐ เช่น การ
แปรรูปรัฐวิสาหกิจ (privatization) และการให้เอกชนเข้ามารับงานในรูปแบบของ
สัญญา (contract out) เพื่อทดแทนระบบดั้งเดิมที่รัฐเป็นผู้ดาเนินการเองทั้งหมดซึ่งมี
ต้นทุนสูงกว่าและมีประสิทธิภาพต่ากว่า
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 13
14. 15. หลักการนี้ มีเป้าหมายที่จะทาให้องค์การต้องอยู่ภายใต้การควบคุม โดยเชื่อว่า การ
บริหารที่มีลาดับขั้น จะทาให้ระบบการสั่งการและการควบคุมมีความรัดกุม ทาให้การ
ดาเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพการบริหารที่เน้นกฎเกณฑ์และขั้น
ตามลาดับขั้นเริ่มมีปัญหา เพราะการทางานในปัจจุบันต้องการความรวดเร็ว คนต้องการ
เสรีภาพมากขึ้นประชาชนต้องการบริการที่สะดวกรวดเร็ว แต่ในองค์การขนาดใหญ่ที่ใช้
ระบบราชการ มีคนจานวนมาก แต่มากกว่าครึ่งจะอยู่ในตาแหน่งระดับผู้บริหาร
หัวหน้างาน กว่าจะตัดสินใจงานสาคัญๆต้องรอให้ผู้บริหาร 7-8 คนเซ็นอนุมัติตาม
ขั้นตอน และยังมีกฎเกณฑ์มากมาก ส่วนพนักงาน (ข้าราชการ) ระดับล่างจานวนมาก
ทั้งหมดมีหน้าทีทางานเอกสาร โดยการตรวจบันทึกของคนอื่นแล้วเขียนบันทึกส่งให้
เจ้านาย คาบันทึกหรือรายงานเต็มไปด้วยศัพท์อันหรูหรา นอกจากนี้ยังมีฝ่ายวางแผน
ฝ่ายวิชาการ เป็นผู้จัดทาแผนยุทธศาสตร์หนาปึกใหญ่ให้เจ้านาย
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 15
16. เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องมีความสานึกแห่งความรับผิดชอบต่อ การกระทาของตนความรับผิดชอบ
หมายถึง การ รับผิดและรับชอบต่อการกระทาใด ๆ ที่ (responsibility) ตนได้กระทาลงไปและ
ความพร้อมที่ จะให้มีการตรวจสอบโดยผู้บังคับบัญชาอยู่ตลอดเวลาด้วย
อานาจ (authority) หมายถึงความสามารถในการสั่งการ บังคับบัญชา หรือกระทาการใด ๆ
เพื่อให้มีการดาเนินการ หรือปฏิบัติการต่าง ๆ ตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา
- อานาจหน้าที่เป็นสิ่งที่ได้มาอย่างเป็นทางการตามตาแหน่ง
- อานาจหน้าที่และความรับผิดชอบจะต้องมีความสมดุลกันเสมอ
- การได้มาซึ่งอานาจในทัศนะของ Max Weber คือ การได้อานาจมาตามกฎหมาย
(legal authority)
- ภาระหน้าที่ (duty) หมายถึงภารกิจหน้าที่การงานที่ถูกกาหนด หรือได้รับมอบหมาย
ให้กระทา
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 16
17. 18. - การปฏิบัติงานใด ๆ จะต้องมุ่งสู่เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ขององค์การเสมอ
(ประสิทธิผล)
- ประสิทธิผล หรือผลสาเร็จจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยปัจจัยอย่างน้อย 3 อย่างคือ
1. เจ้าหน้าที่ต้องมีหลักการและวิธีการในการตัดสินใจเลือกหนทางปฏิบัติได้อย่าง ถูกต้อง โดย
ถือหลัก ประสิทธิภาพ หรือ หลักประหยัด
หลักประสิทธิภาพ (efficiency) - ในระหว่างทางเลือกหลาย ๆ ทางที่จะต้องใช้จ่ายเงินเท่ากัน
ควรเลือกทางเลือกที่ก่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด
หลักประหยัด (economy) - ถ้ามีทางเลือกที่ก่อให้เกิดประสิทธิผลได้เท่า ๆ กัน หลาย
ทางเลือก ควรเลือกทางเลือกที่เสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด
2. ความมีประสิทธิผลในการบริหารงานจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีการแบ่งงานกันทาตามความชานาญ
เฉพาะด้าน
3. การบริหารจะได้รับประสิทธิผลสูงสุดต่อเมื่อมีการกาหนดวิธีการปฏิบัติงานที่ ถูกต้อง
เหมาะสมกับลักษณะงาน สถานที่ ช่วงเวลา สภาพแวดล้อม ในทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และ
เป้าหมายหรือผลสาเร็จที่ต้องการ
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 18
19. ลักษณะทางโครงสร้างขององค์การแบบระบบราชการ ต้องมีการแบ่งงาน และจัดแผนกงาน
หรือจัดส่วนงาน (departmentation) ขึ้นมา เพราะภารกิจการงานขององค์การขนาดใหญ่มี
จานวนมากจึงต้องมีการแบ่งงานที่ต้อง ทาออกเป็นส่วนๆ แล้วหน่วยงานมารองรับการจัดส่วน
งานอาจยึดหลักการจัดองค์การได้หลายรูปแบบ คือ
1. การแบ่งส่วนงานตามพื้นที่ เป็นการแบ่งงานโดยการกาหนดพื้นที่ที่ต้องรับผิดชอบไว้
อย่างชัดเจน และมีการกาหนดภาระกิจ บทบาท อานาจหน้าที่ ที่องค์การต้องบริหารจัดการไว้ด้วย
เช่น การแบ่งพื้นที่การบริหารราชการออกเป็น จังหวัด อาเภอ อ.บ.จ. อ.บ.ต. เทศบาล
2. การแบ่งงานตามหน้าที่ หรือภารกิจที่องค์การจะต้องปฏิบัติจัดทา เช่นการจัดแบ่ง
งานของกระทรวงต่างๆ เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง
3. การแบ่งงานตามลูกค้า หรือผู้รับบริการ เช่น การแบ่งโรงพยาบาล ออกเป็น
โรงพยาบาลเด็ก โรงพยาบาลหญิง โรงพยาบาลสงฆ์
4. การแบ่งงานตามขั้นตอนหรือกระบวนการทางาน โดยคานึงว่างานที่จะทาสามารถ
แบ่งออกเป็นกี่ขั้นตอน อะไรบ้าง แล้วกาหนดหน่วยงานมารองรับ
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 19
20. 21. - ผู้ปฏิบัติงานในองค์การราชการ ถือเป็นอาชีพอย่างหนึ่ง และต้องปฏิบัติงานเต็มเวลา
- ความเป็นวิชาชีพ “รับราชการ” นั้น ผู้ปฏิบัติงานจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับ กฎ ระเบียบ
ข้อบังคับ ตลอดจนตัวบทกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานในภาระหน้าที่ของตนด้วย
ความสาเร็จของระบบราชการในอดีตเกือบ 100 ปี ที่ผ่านมา เพราะ
- มีวิธีการจัดองค์การที่มีระบบการทางานที่ชัดเจน ตั้งอยู่บนหลักการของความสมเหตุสมผล
- มีการใช้อานาจตามสายการบังคับบัญชา มีการแบ่งงานตามหลักความชานาญเฉพาะด้าน ทา
ให้ระบบราชการสามารถทางานที่มีขนาดใหญ่ และสลับซับซ้อนได้อย่างดี
- ระบบราชการพัฒนาและใช้มาในช่วงที่สังคมยังเดินไปอย่างช้า ๆ และเพิ่งปรับเปลี่ยนมาจาก
สังคมศักดินา ประชาชนยังไม่ตื่นตัวในเรื่องสิทธิเสรีภาพ
- ผู้มีอานาจในระดับสูงยังเป็นผู้มีข้อมูลที่มากพอต่อการตัดสินใจได้ดีกว่าคนในระดับล่าง หรือ
ประชาชนทั่วไป
- คนส่วนใหญ่ยังมีความจาเป็นและต้องการบริการสาธารณะจากรัฐเหมือน ๆ กัน เช่นบริการ
ทางด้านการรักษาพยาบาล การศึกษา สาธารณูปโภคต่าง ๆ องค์การภาครัฐที่บริหารแบบระบบราชการจึง
สามารถดาเนินงานได้อย่างไม่มีปัญหามากนัก
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 21
22. ข้อดีของระบบราชการ
1.วิธีการจัดรูปแบบองค์การที่มีกฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับ และขั้นตอนการ
ทางานที่ชัดเจน สามารถป้องกันการใช้อานาจตามอาเภอใจได้ เพราะการทางานต้อง
เป็นไปตามขั้นตอน กฎเกณฑ์ และมีหลักฐานเสมอ
2. การทางานตามระบบราชการ เปรียบเสมือนการผลิตสิ่งของด้วยเครื่องจักร
สามารถผลิตสิ่งของออกมาตามมาตรฐานที่กาหนดไว้
3.การสั่งการตามสายการบังคับบัญชา และการแบ่งงานกันทาตามความชานาญ
เฉพาะด้าน ช่วยทาให้ระบบราชการสามารถทางานขนาดใหญ่ ที่มีความสลับซับซ้อนได้
อย่างมีประสิทธิภาพ
4.การที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนต้องทางานตามขั้นตอน กฎระเบียบและ มีหลักฐาน
อย่างสมเหตุสมผล ช่วยลดความขัดแย้งระหว่างบุคคล และหน่วยงาน ต่าง ๆ ได้
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 22
23. 1.การทางานตามระเบียบ ข้อบังคับ ทาให้คนต้องทาตามขั้นตอน กฎเกณฑ์ต่าง ๆ อย่าง
เคร่งครัด ทาให้การทางานเต็มไปด้วยเอกสาร เกิดความล่าช้า เฉื่อยชา ซึ่งอาจนามาซึ่งการขาด
ประสิทธิภาพ
2. การบริหารตามลาดับขั้น ทาให้เกิดการทางาน แบบรวมศูนย์ รวมอานาจไว้ที่ผู้บริหาร
ระดับสูง อาจก่อให้เกิดปัญหาการใช้อานาจโดยมิชอบ และเกิดความไม่คล่องตัวในการทางานของ
ผู้ปฏิบัติงาน
3.ระบบราชการ มองคนเป็นแค่วัตถุ สิ่งของ คนที่ทางานในองค์กร จึงไม่มีบทบาทอะไร
เลย เพราะต้องทาตามคาสั่งของผู้บังคับบัญชา ทาให้คนกลายเป็นหุ่นยนต์ (yes man or
organization man) เพราะไม่สามารถตัดสินใจทาอะไรได้เอง
4.ระบบราชการ เป็นรูปแบบการจัดองค์กรที่แข็งเหมือนกรงเหล็ก(iron cage) ขาดความ
ยืดหยุ่นและต่อต้านการเปลี่ยนแปลงเพราะการทางานที่เน้นรูปแบบที่เป็นทางการเป็นลายลักษณ์
อักษร
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 23
24. ยกเครื่องระบบราชการ (Reinventing Government)
การบริหารแบบผู้ประกอบการ
1. ต้องมีการส่งเสริมการแข่งขันระหว่างผู้ให้บริการ
2. ต้องมีการให้อานาจแก่พลเมือง
3. ต้องมีการเน้นเป้าหมาย และภารกิจ
4. ต้องไม่มุ่งเน้นกฎเกณฑ์และระเบียบต่างๆ มากจนเกินไป
5. ต้องมีการให้คาจากัดความผู้รับบริการ(ประชาชน) ใหม่ว่าเป็น “ลูกค้า” / ต้องเสนอ
ทางเลือกต่างๆ ให้
6. ต้องมีการป้องกันปัญหาก่อนที่จะเกิดขึ้น(รู้จักวิเคราะห์ความเสี่ยง)
7. ต้องมีการหาทางได้มาซึ่งรายได้ก่อน ไม่ใช่เอาแต่การใช้จ่าย
8. ต้องมีการกระจายอานาจหน้าที่ขณะเดียวกันมีการเน้นการมีส่วนร่วมในการบริหาร
จัดการมากขึ้น
9. ต้องมีการให้ความสนใจเรื่องของ “กลไกตลาด” มากกว่า “กลไกของระบบราชการ”
10. ต้องมีการกระตุ้นให้ทุกภาคไม่ว่าภาครัฐ ภาคเอกชน รวมทั้งพวกอาสาสมัคร
ร่วมกันแก้ไขปัญหาชุมชน
Osborne & Gaebler, 1992 ,รัฐบาลสหรัฐฯ ยุคคลินตัน
25. การพัฒนาระบบราชการอังกฤษ
- ยุค Margaret Thatcher ปี 1979 : Thatcherism
- ลดขนาดราชการและเพิ่มประสิทธิภาพ
- ลดภาระผู้เสียภาษีและดึงเอกชนมาจัดบริการ
- สาเหตุจากเงินเฟ้อและค่าใช้จ่ายของภาครัฐ สูงถึง
49% ของ GDP
26. ลัทธิแทตเชอร์ (อังกฤษ: Thatcherism) อธิบายนโยบายการเมืองที่ยึดค่านิยม
(conviction politics) นโยบายเศรษฐกิจ สังคมและลีลาการเมืองของนักการเมือง
พรรคอนุรักษนิยมบริติช มาร์กาเรต แทตเชอร์ ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคดังกล่าวระหว่างปี
2518 ถึง 2533 นอกจากนี้ยังใช้อธิบายความเชื่อของรัฐบาลบริติชที่แทตเชอร์เป็น
นายกรัฐมนตรีตั้งแต่ปี 2522 ถึง 2533 และถัดมาในรัฐบาลจอห์น เมเจอร์, โทนี แบลร์
และเดวิด แคเมอรอน ผู้อธิบายหรือผู้สนับสนุนลัทธิแทตเชอร์เรียกว่า แทตเชอร์ไรต์
(Thatcherite)
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 26
27. Thatcherism
1. เน้นประสิทธิภาพ (Efficiency)
- Fulton Recommendation – คณะ กก.ปฏิรูป
- ยกเลิก Public Service Department
- ลดจานวนข้าราชการ 1981-1990
- โครงการ Financial Management Initiative : FMI
- ตั้ง Efficiency Unit – ส่งเสริม ประสิทธิภาพ
ภาครัฐ
28. 29. Thatcherism
3.การสร้าง Public Accountability
- สาหรับหน่วยราชการที่ไม่มีการแข่งขัน
- เน้น Accountability ทางการเงิน – ความคุ้มค่า
- มี Citizen’s Charter (กฎบัตรพลเมือง) เป็น
สัญญาประชาคม ที่จะทางานด้วยมาตรฐานและ
คุณภาพให้แก่ประชาชน
30. 31. Tony Blair
1. การแข่งขันระหว่างผู้ให้บริการ ซึ่งเน้นที่การใช้เงินที่ได้รับ
การจัดสรรจากส่วนกลาง
- เช่น National Health Service : NHS
- Public service provider / purchaser
2.การปรับปรุงคุณภาพการบริการโดยการจัด Rating เพื่อให้
การเกิดการแข่งขันในการให้บริการระหว่างหน่วยงานของรัฐ/
เอกชน / ภาคอื่นๆ
32. 33. 34. แนวคิด การจัดการภาครัฐแนวใหม่
(New Public Management : NPM)
การให้บริการที่มีคุณภาพแก่ประชาชน
(ประชาชนเป็นศูนย์กลาง)
ประชาชนเป็นปัจจัยสาคัญ เป็นหัวใจของการจัดการภาครัฐแนวใหม่
- การมุ่งให้บริการแก่ประชาชนไม่ใช่การกากับ ข้าราชการจึงไม่เพียงแต่ตอบสนองต่อความ
ต้องการของประชาชนแต่ต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับประชาชนด้วย
- การสารวจความสนใจและความต้องการของสาธารณชน เพื่อสร้างความสนใจร่วมและ
รับผิดชอบร่วมกัน
- การให้คุณค่าแก่ประชาชนในฐานะของการเป็นพลเมืองมากกว่าการเป็นผู้ประกอบการ
โดยข้าราชการจะยอมรับที่จะเป็นผู้ช่วยเหลือสังคมมากกว่าการเป็นผู้จัดการธุรกิจที่คิดและทา
เสมือนเงินหลวงเป็นเงินของตนเอง
35. แนวคิด การจัดการภาครัฐแนวใหม่
(New Public Management : NPM)
มุ่งผลประโยชน์สาธารณะ
( Seek the Public Interest )
ต้องสร้าง แนวคิดร่วมกันในเรื่องผลประโยชน์สาธารณะ เป้าหมาย คือ การสร้าง
ผลประโยชน์ร่วมกัน (shared interest)
ผลประโยชน์สาธารณะ (public interest) เป็นผลสัมฤทธิ์ ของ การแชร์ค่านิยม (shared
values) มากกว่าที่จะเป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนบุคคล (individual self-interests)
36. 37. 38. 39. 40. แนวคิด การจัดการภาครัฐแนวใหม่
(New Public Management : NPM)
การเปิ ดกว้างต่อแนวคิดในเรื่องของการ
แข่งขัน ทั้งการแข่งขันระหว่างหน่วยงานของ
รัฐด้วยกัน และระหว่างหน่วยงานของรัฐกับ
หน่วยงานของภาคเอกชน ในขณะเดียวกัน
ภาครัฐก็หันมาทบทวนตัวเองว่าสิ่งใดควรทา
เองและสิ่งใดควรปล่อยให้เอกชนทา
41. 42. 43. แนวคิด การจัดการภาครัฐแนวใหม่
(New Public Management : NPM)
เน้นการจัดการตามแบบภาคเอกชน
(Stress on private sector styles of management practice)
มุ่งแสวงหา ที่ใช้ แนวทางของภาค เอกชนและธุรกิจ
(private sector and business approaches) ในการ
บริหารภาครัฐ กล่าวง่ายๆว่า เป็น “การบริหารรัฐบาล
เฉกเช่นเดียวกันธุรกิจ”
(run government like a business)
44. แนวคิด การจัดการภาครัฐแนวใหม่
(New Public Management : NPM)
เน้นการใช้ระบบกึ่งตลาด และการ
จ้างเหมาบริการภายนอกให้
หน่วยงานในภาคเอกชนดาเนินการ
ภาครัฐจะต้องลดบทบาทลงโดยการจ้าง
ภาคเอกชนดาเนินการแทน (Out Sourcing)
45. 46. 47. 48. 49. 50. แนวคิด การจัดการภาครัฐแนวใหม่
(New Public Management : NPM)
การเปลี่ยนระบบราชการที่เน้นระเบียบ
และขั้นตอนไปสู่การบริหารแบบใหม่
เน้นผลสาเร็จและความรับผิดชอบ
รวมทั้งใช้เทคนิคและวิธีการของเอกชน
มาปรับปรุงการทางาน
51. 52. แนวคิด การจัดการภาครัฐแนวใหม่
(New Public Management : NPM)
มีมาตรฐานและการวัดผลงานที่ชัดเจน
(Explicit standards and measures of performance)
ภาครัฐจึงต้องมีจุดมุ่งหมายและเป้าหมายของ
ผลงาน และการตรวจสอบจะมีได้ก็ต้องมี
จุดมุ่งหมายที่ชัดเจน
53. 54. 55. แนวคิด การจัดการภาครัฐแนวใหม่
(New Public Management : NPM)
เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีวินัยและประหยัด
(Stress on greater discipline and parsimony in resource use)
ต้องการตรวจสอบความต้องการใช้ทรัพยากรของภาครัฐ และ
“ทางานมากขึ้นโดยใช้ทรัพยากรน้อยลง” (do more with less)
56. 57. 58. แนวคิด การจัดการภาครัฐแนวใหม่
(New Public Management : NPM)
การสร้างระบบสนับสนุนทั้งในด้าน
บุคลากร (เช่น การฝึกอบรม ระบบ
ค่าตอบแทนและระบบคุณธรรม)
เทคโนโลยี เพื่อช่วยให้หน่วยงานสามารถ
ทางานได้อย่างบรรลุวัตถุประสงค์
59. แนวคิด การจัดการภาครัฐแนวใหม่
(New Public Management : NPM)
เปลี่ยนไปส่งเสริมการแข่งขัน
ในการบริการ
มุ่งการแข่งขันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและการพัฒนา
(Competitive to Efficiency and Development)
Christopher Hood (1991)
60. 61. 62. 63. 64. 65. 66. แนวคิด การจัดการภาครัฐแนวใหม่
(New Public Management : NPM)
Service Citizens, Not Customers
- ผู้ให้บริการสาธารณะ(public servants) ต้องดาเนินการไม่เพียงตอบสนองต่อความ
ต้องการของ “ลูกค้า” (customers) เท่านั้น แต่ยังต้อง มุ่งไปที่การสร้างความสัมพันธ์ ของ
ความไว้วางใจ และ ความร่วมมือ (collaboration) ระหว่างและในหมู่พลเมือง (citizens)
- การคานึงว่าประชาชนเป็นผู้มีคุณค่าไม่ใช่แค่ผลผลิต หน่วยงานราชการต่างๆจะ
ประสบความสาเร็จในระยะยาวหากดาเนินการด้วยการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน
และสร้างการเป็นผู้นาร่วมกันกับประชาชนบนพื้นฐานของการเคารพประชาชน
- ประชาชนมีฐานะของการเป็นพลเมือง
- การเป็นหุ้นส่วนในการดาเนินกิจกรรม
- การเป็นพลเมืองและหุ้นส่วน การปรึกษาหารือ การเปิ ดเผยข้อมูล การมีส่วนร่วม
การทางานอย่างโปร่งใส การทางานที่มีหลักการ การยึดหลักนิติธรรม
67. แนวคิด การจัดการภาครัฐแนวใหม่
(New Public Management : NPM)
การบริหารงานแบบมืออาชีพ
- การสวมจิตวิญญาณผู้ประกอบการ (Entrepreneur) โดยนากลไกตลาด เน้น
ลูกค้า ทางานเชิงรุก ชอบเสี่ยง แสวงหาโอกาส เจรจาต่อรอง ฯลฯ
- สรรหาผู้บริหารที่มีสมรรถนะสูงจากบุคคลนอกระบบ (Performance Appraisal)
68. แนวคิด การจัดการภาครัฐแนวใหม่
(New Public Management : NPM)
เน้นนักบริหารที่มุ่งปฏิบัติและ
เป็นผู้ประกอบการ
(ตรงกันข้ามกับจุดเน้นของนักบริหารภาครัฐที่
เน้นการทางานแบบระบบราชการดั้งเดิม)
Christopher Hood (1991)
69. แนวคิด การจัดการภาครัฐแนวใหม่
(New Public Management : NPM)
การจัดการโดยนักวิชาชีพที่ชานาญการ
(Hands-on professional management)
ผู้จัดการมืออาชีพได้จัดการด้วยตัวเอง ด้วยความชานาญ
โปร่งใส และมีความสามารถในการใช้ดุลพินิจ เหตุผลก็เพราะ
เมื่อผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายแล้ว ก็จะเกิดความ
รับผิดชอบต่อการตรวจสอบจากภายนอก
70. แนวคิด การจัดการภาครัฐแนวใหม่
(New Public Management : NPM)
แยกหน่วยงานภาครัฐออกเป็นหน่วยย่อยๆ
(Shift to disaggregation of units in the public sector)
แยกตามลักษณะสินค้าและบริการที่ผลิต ให้เงิน
สนับสนุนแยกกัน และติดต่อกันอย่างเป็นอิสระ
71. 72. 73. 74. 75. ระบบ (System) มีความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ.2525 ได้ให้ความหมายเอาไว้ว่า ระบบ คือ ระเบียบเกี่ยวกับการรวมสิ่งต่าง ๆ ซึ่งมี
ลักษณะซับซ้อนให้เข้าลาดับประสานเป็นอันเดียวกันตามหลักเหตุผลทางวิชาการ หรือ
หมายถึงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติซึ่งมีความสัมพันธ์ ประสานเข้ากัน โดยกาหนดรวมเป็น
อันหนึ่งอันเดียวกัน
ระบบ (System) คือ กระบวนการต่าง ๆ ที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกันและมี
ความสัมพันธ์กันระหว่างกระบวนการเหล่านั้น และเชื่อมต่อกันเพื่อทางานใดงานหนึ่งให้
บรรลุถึงเป้าหมายที่วางไว้
ระบบ (System) คือ กลุ่มขององค์ประกอบต่าง ๆ ที่ทางานร่วมกัน เพื่อ
จุดประสงค์อันเดียวกันและเพื่อให้เข้าใจในความหมายของคาว่าระบบที่จะต้องทาการ
วิเคราะห์ จึงต้องเข้าใจลักษณะของระบบก่อน
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 75
76. การรวมของสิ่งย่อย ๆ ที่เกี่ยวข้องกัน ตั้งแต่หนึ่งส่วนขึ้นไปเป็นหน่วยเดียวกัน เพื่อวัตถุประสงค์
หรือความมุ่งหมายอย่างเดียวกัน เช่น ระบบราชการแผ่นดิน ประกอบด้วย กระทรวง ทบวง
กรมและกองต่าง ๆ เป็นต้น หรือระบบสุริยจักรวาล (Solar System)
ระบบการทางานขององค์การต่าง ๆ ที่ประกอบด้วยระบบย่อย ๆ หลายระบบรวมกันและ
ทางานร่วมกัน ซึ่งจะต้องมีการปฏิบัติงานอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อประโยชน์หรือวัตถุประสงค์
ร่วมกันหรืออย่างเดียวกัน เช่น ระบบโรงเรียน ระบบโรงพยาบาล ระบบธนาคาร ระบบบริษัท
ระบบห้างร้าน เป็นต้น
การทางานของหน่วยงานย่อยต่าง ๆ ของระบบ จะต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องประสานกัน
โดยมีวัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมายร่วมกันหรืออย่างเดียวกัน เช่น ในองค์กรหนึ่งอาจแบ่ง
ออกเป็นหลายฝ่าย หรือหลายแผนก โดยแต่ละฝ่ายหรือแต่ละแผนกจะมีหน้าที่ในการทางาน
ร่วมประสานเพื่อนวัตถุประสงค์เดียวกัน
ระบบอาจถูกจาแนกแยกเป็นประเภทใดประเภทหนึ่ง หรือหลายประเภท ทั้งนี้สุดแต่ใครเป็นผู้
จาแนก และผู้ที่ทาการจาแนกจะเห็นว่าควรแบ่งหรือควรจะจัดเป็นประเภทใด เช่น เป็นระบบ
เปิดหรือระบบปิด ระบบเครื่องจักร หรือระบบกึ่งเครื่องจักร เป็นต้น
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 76
77. 78. ➢ 1 Man หมายถึง บุคลากร คือ ผู้ที่จะต้องเกี่ยวข้องกับระบบงาน หรือหมายถึง คนทุก
คนที่เกี่ยวข้องกับระบบนั้นเอง อาจจะประกอบไปด้วยผู้บริหารระดับต่าง ๆ ซึ่งจะมีทั้ง
ผู้บริหาร ระดับสูง ระดับกลาง และระดับปฏิบัติงาน และอาจประกอบด้วยนักวิชาการ
ในระดับต่าง ๆ แต่จะนับรวมลูกค้าหรือผู้บริโภค ซึ่งเป็นผู้ที่มีความสาคัญไม่น้อยของ
ระบบด้วยหรือไม่ก็ย่อมสุดแล้วแต่นักวิชาการทางด้านบริหารระบบจะตัดสินใจ
➢ 2 Money หมายถึง เงินหรือทรัพย์สินที่มีค่าเป็นเงินของระบบ ซึ่งนับเป็นหัวใจที่สาคัญ
อย่างหนึ่งของระบบ เช่น เงินทุน เงินสด เงินหมุนเวียน เงินคาใช้จ่าย หรือ เงินรายรับ
รายจ่ายต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นต้น ถ้าการเงินของระบบไม่ดีพอแล้ว ระบบนั้นย่อมจะ
ประสบกับความยุ่งยากหรืออาจถึงแก่การหายนะได้ เพราะฉะนั้น ระบบธุรกิจทุกชนิด
จะต้องมีความระมัดระวังในเรื่องของการเงินเป็นพิเศษ
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 78
79. ➢ 3 Material หมายถึง ตัวสินค้าหรือวัสดุที่ใช้ในการผลิตสินค้า ซึ่งเป็นอีกองค์ประกอบ
หนึ่งที่มีความสาคัญของระบบไม่น้อย ปัญหาในเรื่อง Material หรือสินค้าและวัสดุนี้มี 2
ประการใหญ่ๆ
1 ประการแรก เป็นการขาดแคลนวัสดุ เช่น การขาดวัตถุดิบสาหับใช้ในการผลิต
สินค้าของโรงงานอุตสาหกรรม เมื่อขาดวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต ก็จะทาให้ไม่มีสินค้าสาหรับ
ขาย ผลก็คือการขาดทุน
2 ประการที่สอง คือ การมีวัตถุดิบมากเกินความต้องการ เช่น มีสินค้าที่จาหน่าย
หรือขายไม่ออกมากเกินไป ทาให้เงินทุนไปจมอยู่กับวัตถุดิบทาให้เกิดการขาดทุน
เช่นเดียวกันนั้นเอง
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 79
80. ➢ 4 Machine หมายถึง เครื่องจักร อุปกรณ์ และเครื่องมือเครื่องใช้ในโรงงานหรือใน
สานักงาน ซึ่งนับว่าเป็นองค์ประกอบที่สร้างปัญหาให้กับระบบอย่างสาคัญประการหนึ่ง
เหมือนกัน ปัญหาที่ทาให้ได้กาไรหรือขาดทุนมากที่สุดของธุรกิจมักเกิดจากเครื่องจักร
และอุปกรณ์การทางานเป็นส่วนใหญ่ เช่น เครื่องมีกาลังผลิตไม่พอ เครื่องเก่า หรือเป็น
เครื่องที่ล้าสมัย ทาให้ต้องเสียค่าซ่อมบารุงสูง มีกาลังผลิตน้อยประสิทธิภาพ ในการ
ทางานต่า แต่ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบารุงหรือค่าทางานที่ล่าช้า ทางานไม่ทันกาหนดเวลา
ที่กาหนดไว้ ทาให้เกิดความเสียหายและขาดรายได้หรือขาดทุน เป็นต้น
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 80
81. ➢ 5 Management หมายถึง การบริหารระบบ ซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทาให้ระบบเกิด
ปัญหา เพราะการบริหารที่ไม่ดีหรือการบริหารที่ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ของสภาวะ
แวดล้อมหรือไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงต่อสังคม เศรษฐกิจและการเมือง ที่เรียกกันว่า
ไม่เป็นไปตามโลกานุวัตร หรือการได้ผู้บริหารที่ไม่มีประสิทธิภาพมาบริหารงาน ซึ่ง
ส่วนมากมักเกิดขึ้นในระบบราชการ สาหรับระบบทางธุรกิจของเอกชนจะถือว่า การ
บริหารงานเป็นเรื่องที่สาคัญที่สุด เพราะถ้าการบริหารไม่ดีแล้วธุรกิจนั้นก็ไม่สามารถที่
จะอยู่ได้ กิจการต้องล้มเลิกไปในที่สุด
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 81
82. ➢ 6 Morale หมายถึง ขวัญและกาลังใจของบุคคลในระบบ หรือหมายถึง ค่านิยมของคน
ที่มีต่อระบบหรือต่อองค์กรมากกว่า ซึ่งเป็นค่านิยมของคนในระบบที่มีขวัญและกาลังใจ
ในการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นค่านิยมของผู้บริโภคหรือบุคคลภายนอก
ที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนให้ระบบอยู่รอด และกระตุ้นจูงใจด้วยวิธีต่าง ๆ ก็มีจุดมุ่งหมาย
ในสิ่งนี้ระบบที่ขาดค่านิยมหรือขาดความเชื่อมั่นของบุคคล ระบบนั้นก็มักจะอยู่ต่อไป
ไม่ได้ จะต้องประสบกับความล้มเหลวในที่สุด
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 82
83. 84. Input หมายถึง ข้อมูลหรือระบบข้อมูลที่ใช้ป้อนเข้าสู่ระบบ เพื่อ
ประโยชน์ในการนาไปใช้ ในที่นี้ยกตัวอย่างเป็น ระบบสารสนเทศ
เพื่อใช้ในการบริหารหรือเพื่อการตัดสินใจ ดังนั้น ข้อมูลซึ่งเป็นตัว
ป้อนเข้าระบบ จะมีอยู่ในหลายลักษณะด้วยกัน เช่น
ใบเสร็จรับเงิน ใบสั่งซื้อสินค้า เป็นต้น
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 84
85. Processing หมายถึง ขั้นตอนการปฏิบัติงาน ซึ่งอาจจะแบ่งได้เป็น
1 การปฏิบัติงานตามขั้นตอนต่าง ๆ ตามที่กาหนดไว้
2 การควบคุมการปฏิบัติงาน
3 การตรวจสอบผลการปฏิบัติงาน
4 การรวบรวมข้อมูล
5 การตรวจสอบข้อมูล
6 การ Update ข้อมูล
7 การประมวลผลข้อมูลเพื่อให้ได้ Output
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 85
86. Output หมายถึง ผลการปฏิบัติงานต่าง ๆ ซึ่งอาจแบ่งได้เป็น
1 ข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติงาน
2 ข้อมูลที่ได้จากการประมวลผลข้อมูล
3 ใบรายงานต่าง ๆ จากการปฏิบัติงาน
4 ใบบันทึกการปฏิบัติงาน
5 การทาทะเบียนและบัญชีต่าง ๆ เป็นต้น
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 86
87. Feedback หมายถึง ข้อมูลย้อนกลับ หรือผลสะท้อนที่
ได้รับจากการปฏิบัติงาน เช่น ความนิยมในผลงานที่ได้
ปฏิบัติ ความเจริญหรือความเสื่อมของธุรกิจ เป็นต้น
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 87
88. ในระบบของสังคมมักจะประกอบด้วยองค์การที่มีกิจกรรมที่เป็นรูปแบบต่าง ๆ ซึ่ง
มีความสัมพันธ์และพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในผลผลิตหรือปัจจัยนาออก และเป็นกิจกรรม
ที่เกิดขึ้นซ้า ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยนาเข้าที่เป็นพลังงาน (energic input) มีการ
เปลี่ยนแปลงพลังงานในระบบ และได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นสินค้า หรือปัจจัยนาออกที่
เป็นพลังงาน (energic output) โดยใช้การแลกเปลี่ยนที่เป็นเงินในการซื้อขายปัจจัยนาเข้า
ที่เป็นวัตถุดิบต่าง ๆ หรือ ปัจจัยนาออกที่เป็นสินค้าต่าง ๆ เพื่อมาใช้หมุนเวียนต่อในระบบ
อย่างต่อเนื่องและซ้า ๆ (Katz & Kahn, 2004, หน้า 207)
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 88
อ้างอิง : Katz, Daniel & Kahn Robert. “Organization and System Concept ”, in Shafritz, Jay M &Hyde,Albert C. (2004). Classics of
PublicAdministration.Wadswort: Cengage Learning, pp.446-455.
89. 1) มีพลังงานที่นาเข้ามา (importation of energy) ระบบเปิดจะต้องนาเข้า
รูปแบบของพลังงานจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่น ร่างกายต้องการอ็อกซิเจนจากอากาศ
ต้องการอาหารจากโลกภายนอก ลักษณะนิสัยก็ขึ้นอยู่กับสิ่งเร้าในโลกภายนอกเช่นกัน ไม่มี
สังคมใดที่มีโครงสร้างที่อยู่ได้ด้วยตัวเองลาพังได้
2) มีกระบวนการเปลี่ยนแปลง (though-put) ระบบเปิดต้องมีการเปลี่ยน
พลังงานที่มีอยู่ เช่น ร่างกายเปลี่ยนแป้งและน้าตาลเป็นความร้อนและพลังงาน ลักษณะ
นิสัยเปลี่ยนรูปแบบของสารเคมีและอนุภาคไฟฟ้าของสิ่งเร้าเป็นการรับรู้และข้อมูลในระบบ
ความคิด หรือการแปลงวัตถุดิบเป็นสินค้าและบริการต่างๆ รวมถึงคนที่ได้รับการฝึกอบรม
3) ปัจจัยนาออก (output) ระบบเปิดต้องส่งผลผลิตไปสู่สิ่งแวดล้อม เช่น ร่างกาย
จะปล่อยคาร์บอนไดอ็อกไซด์จากปอดให้กับต้นไม้ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อม เช่น ผลผลิตที่เป็น
สินค้าและบริการต่าง ๆ
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 89
90. 4) มีการหมุนเวียนอย่างต่อเนื่องของเหตุการณ์ (systems as cycles of events)
รูปแบบของกิจกรรมในการแลกเปลี่ยนพลังงานจะมีลักษณะการหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง กิจกรรม
นั้นก็จะเกิดขึ้นซ้าแล้วซ้าอีก เช่น ในอุตสาหกรรมมีการแลกเปลี่ยนจากปัจจัยนาเข้าที่เป็นวัตถุดิบ
และแรงงานเป็นปัจจัยนาออกที่เป็นสินค้าที่ขายได้ในท้องตลาด ได้เงินกลับมาเพื่อที่จะซื้อวัตถุดิบ
ใหม่และจ่ายค่าแรงในการผลิตต่อไป โดยเป็นกิจกรรมที่หมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็ตรงกับ
แนวคิดเหตุการณ์ที่เกิดอย่างซ้า ๆ ต่อเนื่อง (chain of events) ของ Allport
5) หยุดภาวะเสื่อมสลาย (negative entropy) ระบบเปิดจะต้องมีดักจับกระบวนการ
เสื่อมสลาย (entropic process) ให้ได้เพื่อความอยู่รอด ซึ่งกระบวนการเสื่อมสลายนี้เป็นกฎ
ธรรมชาติที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นจะต้องมีอันเสื่อมดับสูญ หรือตายไป โดยที่ระบบเปิดจะต้องนา
พลังงานเข้ามามากกว่าที่จะใช้และเก็บพลังงานนี้ไว้ และสามารถที่จะหยุดความเสื่อมสลายนี้ได้
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 90
91. 6) ปัจจัยนาเข้าที่เป็นข้อมูล ข้อมูลป้อนกลับที่เป็นลบ และกระบวนการแปลงความหมาย
(information input, negative feed-back and coding process) ข้อมูลมีความสาคัญที่ใช้สัญญาณให้ทา
หน้าที่ต่าง ๆ ส่วนข้อมูลป้อนกลับที่เป็นลบจะทาให้ระบบแก้ไขตัวเองจากสิ่งที่ผิดปกติ เช่น เครื่องปรับอุณหภูมิ
(thermostat) ใช้ในการควบคุณอุณหภูมิของห้อง และมีกระบวนการตรวจสอบว่าข้อมูลข่าวสารอันใดมี
ประโยชน์หรือไม่ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะรับข้อมูลเข้าไปในระบบทั้งหมด จึงจาเป็นที่จะต้องเลือก
7) การรักษาตนเองให้อยู่ในภาวะสมดุล (steady state and dynamic homeostasis) พลังงานจะ
ถูกนามาใช้ในการรักษาความเสถียรในการแลกเปลี่ยนพลังงานของระบบ เช่น การรักษาระดับอุณหภูมิของ
ร่างกาย ไม่ว่าสิ่งแวดล้อมภายนอกจะมีความ ชื้น หนาว หรือร้อน ระบบของร่างกายก็จะทาหน้าที่ปรับสมดุลให้
ร่างกายมีอุณหภูมิเท่าเดิมตลอดเวลา นอกจากนั้น เรายังสามารถคาดการณ์สิ่งที่รบกวนหรือปัญหาในอนาคตได้
เช่น เราจะกินก่อนที่จะรู้สึกหิวจัด สภาวะนี้เรียกว่า การรักษาสมดุลที่เป็นพลวัต (dynamic homeostasis) คือ
การคงรักษารูปแบบลักษณะของระบบไว้ โดยนาเข้าพลังงานมากกว่าที่จะส่งออกไปหมด เพื่อเก็บสารองไว้ใช้
ยามฉุกเฉิน เช่น ร่างกายจะเก็บไขมันไว้เป็นพลังงานสารอง เป็นต้น
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 91
92. 8) ความแตกต่างของหน้าที่ (differentiation) ระบบเปิดจะ
มุ่งไปสู่รูปแบบของหน้าที่แตกต่างกันโดยแบ่งตามความชานาญ เช่น
อวัยวะที่ใช้รับรู้จะประกอบด้วยระบบประสาทต่าง ๆที่มีความ
ซับซ้อนโดยพัฒนามาจากเนื้อเยื่อเซลล์ประสาท
9) การไปถึงจุดหมายเดียวกัน (equifinality) ระบบสามารถ
ที่จะไปถึงจุดหมายเดียวกันได้ โดยมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันรวม ทั้งมี
วิธีการที่แตกต่างกันที่จะไปถึงเป้าหมายเดียวกัน
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 92
93. 94. ให้นักศึกษา อธิบาย Input Processing Output และ
Feedback ของระบบมา 1 ระบบ ในที่ทางานของนักศึกษา
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 94
95. 96. 1.ระบบธรรมชาติ (Natural System) และระบบที่คนสร้างขึ้น (Manmade System)
1.1 ระบบธรรมชาติ (Natural System) หมายถึง ระบบที่เป็นไปตามธรรมชาติ
หรือปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ หรือโดยการอาศัยธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ เช่น ระบบ
ไฟฟ้าน้าตก ระบบการค้าขายของเอกชนที่เป็นไปโดยธรรมชาติ ต่างคนต่างทา ซึ่งไม่มีการ
จัดระบบหรือระเบียบอย่างใดอย่างหนึ่งไว้
1.2 ระบบที่คนสร้างขึ้น (Manmade System) หมายถึง ระบบที่มีการสร้างขึ้น
ซึ่งอาจเป็นการสร้างจากระบบธรรมชาติเดิมหรืออาจจะไม่ได้อาศัยธรรมชาติเดิมก็ได้ เช่น
ระบบบริหารราชการแผ่นดินที่เป็นไปตามกฎหมาย ระบบธนาคาร ระบบบริษัท ระบบ
เครื่องจักร เป็นต้น
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 96
97. 2. ระบบปิด (Close System) และระบบเปิด (Open System)
2.1 ระบบปิด (Close System) หมายถึง ระบบที่มีการควบคุมการทางาน และการ
แก้ไขด้วยตัวของระบบเองอย่างอัตโนมัติ โดยระบบไม่เปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกเข้าไปปฏิบัติได้
ด้วยตนเอง หรือไม่เปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกได้เข้าร่วมการดาเนินการ เมื่อบุคคลภายนอก
ต้องการขอใช้บริการจะต้องส่งงานให้บุคคล ในระบบงานเป็นผู้ปฏิบัติให้ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกัน
ความเสียหายอันจะเกิดขึ้น ของระบบหรือเพื่อป้องกันความลับของการปฏิบัติงานก็ได้
2.2 ระบบเปิด (Open System) หมายถึง ระบบที่ไม่มีการควบคุมการทางานด้วยตัว
ระบบเอง จะต้องควบคุมดูแลโดยมนุษย์ ระบบที่เปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกเข้าไปปฏิบัติงานได้
เช่น ยอมให้บุคคลภายนอกเข้าไปทางานกับ เครื่องคอมพิวเตอร์ได้ด้วยตัวเองเป็นต้น ระบบเปิด
ส่วนมากเป็นระบบการใช้เครื่องจักร เช่น ระบบเครื่อง ATM หรือระบบการใช้ห้องสมุดเป็นต้น
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 97
98. 3.ระบบคน (Man System) ระบบเครื่องจักร (Machine System) และระบบคน –
เครื่องจักร (Man-Machine System)
3.1 ระบบคน (Man System หรือ Manual System) หมายถึง ระบบที่การปฏิบัติงาน
ส่วนใหญ่จะใช้แรงงานคน หรือระบบที่ใช้แรงงานคนในการทางานโดยตรงอาจจะมีเครื่องจักรช่วย
ในการทางานบ้างก็ได้ แต่จะต้องเป็นเครื่องจักร ที่มีอยู่ภายใต้การควบคุมของคนโดยตรง เช่น
ระบบการประมวลผลด้วยมือ ระบบการลงบัญชีหรือทะเบียนโดยใช้คนเป็นผู้ทาได้แก่ การรับส่ง
หนังสือ การพิมพ์หนังสือ การลงทะเบียน ระบบการควบคุมการจราจรโดยใช้เจ้าหน้าที่ไปทาการ
โบกรถที่ถนน การทางานอุตสาหกรรมในครัวเรือนโดยใช้คนทา การตัดเย็บเสื้อผ้าด้วยมือ เป็นต้น
3.2 ระบบเครื่องจักร (Machine System) หมายถึง ระบบการทางานที่ใช้เครื่องจักร
โดยตรง คือ เครื่องจักรจะเป็นผู้ทางานให้ ซึ่งอาจจะจะใช้คนบ้างเพื่อควบคุมให้เครื่องจักรทางาน
ไปได้เท่านั้น เช่น การฝากถอนเงินโดยเครื่อง ATM การทอผ้าด้วยเครื่องทอผ้า การพิมพ์หนังสือ
ของโรงพิมพ์ การบรรจุขวดของน้าอัดลม ยา หรือ อาหารกระป๋อง การบรรจุหีบห่อที่ทาโดยตรง
ด้วยเครื่องจักร เป็นต้น
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 98
99. 4.ระบบหลัก (Main System) และระบบรอง (Minor System)
4.1 ระบบหลัก (Main System) หมายถึง ระบบที่วางไว้เป็นหลัก หรือแนวทาง
สาหรับการกาหนด หรือสาหรับการจัดทาระบบรองเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์
บางอย่างหรือเพื่อให้เหมาะสมกับหน่วยปฏิบัติงานย่อย ระบบหลักส่วนมากจะเป็นระบบที่
วางไว้อย่างกว้างๆ เพื่อให้เข้ากันได้กับทุกสถานการณ์หรือทุกหน่วยงาน
4.2 ระบบรอง (Minor System) หมายถึง ระบบที่ช่วยเสริมระบบหลักให้สมบูรณ์
หรือมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การทางานที่มีแผนระบบสั้นและแผนระยะยาว
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 99
100. 5. ระบบใหญ่ (System) และระบบย่อย (Sub System)
5.1 ระบบใหญ่ (System) หมายถึง ระบบรวม หรือระบบที่รวมระบบย่อย ๆ
ตั้งแต่หนึ่งระบบขึ้นไป เพื่อปฏิบัติงานอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยมีวัตถุประสงค์หรือ เป้าหมาย
เดียวกันหรือร่วมกัน เช่นระบบบริหารราชการแผ่นดินที่ประกอบด้วยกระทรวงและทบวง
หรือระบบองค์ประกอบธุรกิจที่ประกอบด้วยฝ่ายหรือแผนกงานต่าง ๆ
5.2 ระบบย่อย (Sub System) หมายถึง ระบบย่อยของระบบใหญ่ เพื่อ
ปฏิบัติงานอย่างใดอย่างหนึ่งของระบบใหญ่ หรือเป็นส่วนหนึ่งของระบบใหญ่ ซึ่งถ้าขาด
ระบบย่อยส่วนใดส่วนหนึ่งแล้ว ระบบใหญ่จะดาเนินการต่อไปไม่ได้ และระบบย่อย เหล่านี้
อาจจะแบ่งออกเป็นระบบย่อย ๆ ต่อไปได้อีกเป็นลาดับๆ ไป
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 100
101. 6.ระบบธุรกิจ (Business System) และระบบสารสนเทศ (Information System)
6.1 ระบบธุรกิจ (Business System) หมายถึงระบบที่ทางานเพื่อจุดประสงค์ด้านธุรกิจ
โรงงานอุตสาหกรรม เป็นระบบธุรกิจเพื่อจุดประสงค์ด้านการผลิต ระบบขนส่ง ระบบโรงแรม
ระบบการพิมพ์ ระบบธนาคาร และอื่น ๆ อีกมากมาย ล้วนแล้วแต่เป็นระบบธุรกิจทั้งนั้นแต่ละ
ระบบมีจุดประสงค์แตกต่างกันออกไป ระบบธุรกิจอาจจะแบ่งเป็นย่อย ๆ ลงไปได้อีก
6.2 ระบบสารสนเทศ (Information System) หมายถึง ระบบที่ช่วยในการจัดการ
ข้อมูลที่ต้องการใช้ในการจัดการข้อมูลที่ต้องการใช้ในระบบธุรกิจ ช่วยเก็บตัวเลขและข่าวสารเพื่อ
ช่วยในการดาเนินธุรกิจและการตัดสินใจ เช่น ระบบการเก็บข้อมูลลูกค้า อันได้แก่ ชื่อ ที่อยู่ สินค้า
ที่ซื้อขาย การจ่ายเงิน ของลูกค้าเป็นอย่างไร มีการติดหนี้หรือหนี้สูญหรือไม่อย่างไร ซึ่งระบบ
สารสนเทศนี้อาจจะใช้หรือไม่ใช้คอมพิวเตอร์ก็ได้ การแผนข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพเป็นกุญแจ
สาคัญที่นาไปสู่ความสาเร็จในด้านธุรกิจอย่างมาก
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 101
102. 7.ระบบงานประมวลผลข้อมูล (Data – Processing System) หมายถึง ระบบข้อมูล
ของคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจเพื่อใช้
ประมวลผลข้อมูลจานวนมาก ๆ เป็นประจา เช่น การประมวลผลเงินเดือน สินค้าคง
คลัง เป็นต้น ระบบงานประมวลผลข้อมูลจะเป็นระบบที่ช่วยลดเวลาในการปฏิบัติงานลง
โดยอาศัยความสามารถของคอมพิวเตอร์มาทดแทนการประมวลผลข้อมูลด้วยคน
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 102
103. 8.ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (Management Information System) หมายถึง
ระบบที่นาข้อมูลมาทางานวิเคราะห์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างข้อมูลให้กับนักบริหาร
เพื่อประกอบการตัดสินใจ หรือเรียกระบบนี้ว่า MIS ระบบนี้เป็นระบบงาน
ข้อมูลคอมพิวเตอร์ (Information System) แบบหนึ่ง ซึ่งต้องการปัจจัย 3 ประการ คือ
8.1 คน (People)
8.2 ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
8.3 ซอฟต์แวร์ (Software)
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 103
104. 9.ระบบช่วยการตัดสินใจ (Decision Support System) หมายถึง ระบบการทางานที่
จะมีลักษณะโครงสร้างการทางานคล้ายกับระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (MIS) จะ
แตกต่างกันตรงที่ ระบบนี้ไม่ได้มีการนาข้อมูลมาใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจเท่านั้น แต่
ระบบนี้จะนาข้อมูลมาทาการวิเคราะห์พร้อมกับพิจารณาถึงทางเลือกที่เป็นไปได้ทั้งหมด
ของธุรกิจ และรายงานผลให้นักบริหารทราบว่าทางเลือกไหนที่ระบบเห็นว่าดีที่สุด และ
ทางเลือกไหนที่แย่ที่สุดลดหลั่นกันไปตามลาดับ ถึงแม้ว่าระบบนี้จะทาการเสนอ
ทางเลือกต่าง ๆ ให้กับผู้ใช้ แต่สุดท้ายแล้วการตัดสินใจเลือกขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ
ผู้บริหาร ระบบนี้เรียกอีกอย่างว่า DSS
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 104
105. 1. เสมียนพนักงานและผู้ให้บริการ (Clerical and Service Staff) หมายถึง พนักงานที่
มีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมหรือจัดทาข้อมูลในลักษณะที่ใช้ประจาวัน (Day – to –
Day Information) ในธุรกิจหรือในหน่วยงานที่สังกัดอยู่ เช่น การพิจารณาข้อมูลการให้
สินเชื่อสาหรับลูกค้าแต่ละราย การบันทึกและตัดสต๊อก หรือการพิมพ์จดหมายโต้ตอบ
จะเห็นได้ว่าพนักงานกลุ่มนี้มักจะเป็นพนักงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับข้อมูลที่เป็นข้อมูล
พื้นฐานที่จะนาไปสู่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายบริหารต่อไป
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 105
106. 2. หัวหน้าหน่วยหรือซุปเปอร์ไวเซอร์ (Supervisory Staff) หมายถึง ผู้ที่ทาหน้าที่
ควบคุมกิจกรรมที่เกิดขึ้นประจาวันของธุรกิจ หรืออาจกล่าวอีกอย่างหนึ่ง คือ บุคคล
กลุ่มนี้จะทาหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติงานในกลุ่มของพนักงานเสมียนและผู้ให้บริหาร
(กลุ่มที่ 1) อีกทีหนึ่ง เช่น หัวหน้ารับใบสั่งซื้ออาจจะต้องการายงานสรุปประจาวัน
เกี่ยวกับการรับใบสั่งซื้อทั้งหมดเพื่อจะดูสภาวการณ์รวมของการขายประจาวัน หรือ
หัวหน้าหน่วยผลิตต้องการรายงานสรุปว่ายอดผลิตประจาวันของแต่ละผลิตภัณฑ์มี
จานวนเท่าไร เป็นต้น
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 106
107. 3. ผู้จัดการหรือผู้บริหารระดับกลาง (Middle Management and Professional)
หมายถึง บุคคลที่ทางานเกี่ยวกับแผนงานธุรกิจ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นแผนงานระยะสั้น
ทาหน้าที่คอยควบคุมและจัดการให้การปฏิบัติงานของหน่วยงานที่มีเป็นไปตามแผนงาน
ระยะสั้นที่ได้วางไว้ โดยไม่ต้องมุ่งความสนใจเกี่ยวกับการปฏิบัติงานหรือกิจกรรมที่
เกิดขึ้นประจาวันแต่มุ่งสนใจที่งานหรือกิจกรรมที่เกิดเป็นระยะเวลาต่อเนื่องกันนานกว่า
นั้น เช่น ระยะเวลา 1 เดือน หรือ 3 เดือน (ไตรมาส) และยังทาหน้าที่เป็นผู้รวบรวมและ
กลั่นกรองข้อมูลต่าง ๆ เพื่อนาเสนอต่อผู้บริหารระดับสูงต่อไป ซึ่งจะทาให้ผู้บริหาร
ระดับสูง มีเวลาคิดงานทางด้านนโยบาย (Policy) และแผนงานระยะยาว (Long Term
Plan) ได้มากขึ้นอีกด้วย เช่น นายช่างวิศวกรผู้คุมงาน หัวหน้าแผนกบัญชี ผู้จัดการฝ่าย
บุคคล หรือ หัวหน้าฝ่ายต่าง ๆ เป็นต้น
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 107
108. 4. ผู้อานวยการหรือผู้บริหารระดับสูง (Executive Management) หมายถึง บุคคลที่
รับผิดชอบต่อการวางแผนงานระยะยาวและการกาหนดนโยบาย เพื่อให้ธุรกิจนั้นดาเนิน
ไปได้อย่างมีเป้าหมาย เป็นบุคคลที่มองธุรกิจไปข้างหน้าเสมอ โดยปกติมักจะเป็น
แผนงานระยะยาวกว่าแผนของผู้บริหารระดับกลางเป็นแผน ตั้งแต่ 1 ปีหรือมากกว่านั้น
โดยจะนาข้อมูลในอดีตมาใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาถึงแนวโน้มต่าง ๆ เพื่อกาหนด
แผนงานระยะยาวและนโยบายของธุรกิจต่อไป หน้าที่อีกประการคือ เป็นผู้ที่คอย
ควบคุมและจัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ ที่จาเป็นในการดาเนินกิจการของธุรกิจ เช่น เงินทุน
แรงงาน เครื่องจักร ที่ดิน หรืออาคารต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งจะต้องคานึงถึงภาพรวมของ
ธุรกิจทั้งหมด ไม่เพียงจุดใดจุดหนึ่งในธุรกิจเท่านั้น ฉะนั้นผู้บริหารระดับสูงจึงต้องการ
ข้อมูลซึ่งผ่านการกลั่นกรองมาแล้วเป็นอย่างดี เพื่อสามารถนาไปใช้ในการตัดสินใจและ
วางแผนหรือนโยบาลต่อไปได้
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 108
109. วิธีการเชิงระบบ (Systems Approach) หมายถึง การจัด
องค์ประกอบของระบบในกรอบความคิดของตัวป้อน
กระบวนการ กลไกควบคุม ผลผลิต และข้อมูลป้อนกลับและ
นาเสนอผังของระบบในรูปแบบของระบบทที่สมบูรณ์ หรือ
วิธีการนาเอาความรู้เรื่องระบบเข้ามาเป็นกรอบช่วยในการค้นหา
ปัญหา กาหนดวิธีการแก้ปัญหาและใช้แนวทางความคิดเชิงระบบ
ในการตัดสินใจแก้ปัญหา
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 109
110. 111. 112. การคิดเชิงระบบหมายถึงอะไร Systems Thinking การคิดเชิงระบบ หมายถึงการ
คิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มองภาพรวมที่เป็นระบบ และมีส่วนประกอบย่อย ๆ โดยอาศัย
การคิดในรูปแบบโดยตรง และโดยทางอ้อม
การคิดระบบโดยอ้อม คือ การคิดเชิงระบบโดยอาศัยพื้นฐานแห่งการคิด เช่น การ
วิเคราะห์ การอุปมาอุปมัย การคิดสังเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ การประเมินค่า
ฯลฯ
การคิดระบบโดยทางตรง คือ การคิดที่มุ่งกระทาโดยตรงมีเป้าหมายกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ไม่จาแนกรูปแบบการคิดตามพื้นฐานของมนุษย์ แต่แยกรูปแบบการคิดโดยมุ่งที่
เป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ โดยจาแนกออกเป็น 3 แบบ
1. การคิดเพื่อรู้เข้าใจหน่วยระบบ
2. การคิดเพื่อวิเคราะห์และประเมินหน่วยของระบบ
3. การคิดเพื่อออกแบบ และก่อตั้งหน่วยระบบ
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 112
113. 114. 1. หน่วยระบบตามธรรมชาติ (Natural System) ซึ่งเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เช่น ฝนตก
แดดออก แบ่งเป็น 2 ชนิด
1.1 หน่วยระบบทางกายภาพ (Physical Systems) รวมถึงสสารที่เป็น
พลังงาน
1.2 หน่วยปฏิกิริยา (Intersectional System) เป็นการกระทาต่อกันระหว่าง
ปัจจัยนาเข้าของแต่ละหน่วยระบบ ปรากฏอยู่ในหน่วยความสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่จัดขึ้นเป็น
หน่วยระบบความคิด เช่น น้า ออกซิเจน ซึ่งแต่ละหน่วยเป็นระบบกายภาพ แต่เมื่อนามา
สร้างปฏิกิริยา สัมพันธ์กัน กลายเป็นระบบที่เกิดขึ้นจากการทาปฏิกิริยาซึ่งกันและกัน
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 114
115. 2. หน่วยระบบที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made System) ซึ่งก็มี 3 ชนิด คือ
2.1 หน่วยระบบกายภาพเช่นเดียวกับระบบธรรมชาติ เพียงแต่มนุษย์สร้างขึ้น
2.2 หน่วยปฏิกิริยา (Intersectional System) เช่นเดียวกับระบบธรรมชาติ
เพียงแต่มนุษย์ก่อปฏิกิริยาขึ้น
2.3 หน่วยระบบความคิดที่เรียกว่า มโนมติ (Concept) มีทั้งหน่วยระบบกายภาพ
และหน่วยปฏิกิริยาที่นามาคิดสร้างสรรค์กลายเป็นผลงานที่สร้างขึ้นเป็นวัฎจักร ระบบ
กระบวนการของมนุษย์ ที่คิดสร้างขึ้นโดยอาศัยแนวความคิดเดิมที่มีมาแต่กาเนิด หรือ
เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติมาผนวกเข้าด้วยกัน โดยอาศัยแนวความคิดสร้างระบบที่ต่อเนื่อง
ขึ้น เช่น สูตรคานวณต่าง ๆ
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 115
116. การคิดเชิงระบบเกี่ยวกับองค์การ คือ องค์การที่มีประสิทธิภาพ ต้องนาระบบการคิดเชิง
ระบบมาจัดการระบบต่าง ๆ ในองค์การให้สอดคล้องสัมพันธ์กัน องค์การประกอบด้วย
ส่วนประกอบต่าง ๆ ที่เชื่อมสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก ทั้งหมดรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
การคิดเชิงระบบจะไม่มองเฉพาะฝ่ายผลิต ฝ่ายการตลาด ฝ่ายพัฒนาองค์การ ฝ่ายขาย
ฝ่ายวิศวกรรม หรือฝ่ายบัญชี ถ้าเรายังเราคิดเชิงระบบไม่เป็นเราจะมองว่า ฝ่ายผลิตคือ
องค์การ ฝ่ายบุคคล ฝ่ายขาย คือองค์การ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นเราก็จะมองเฉพาะการ
แก้ปัญหาที่จุดนั้นหรือมองเฉพาะส่วนที่คิดว่าเป็นปัญหา แล้วแก้เฉพาะส่วนนั้น และคิด
ว่าตนแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ และมองว่านั่นคือการแก้ปัญหาองค์การ
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 116
117. 118. 119. 1. ยอมรับตนเองและเปลี่ยนใจตนเองให้ได้ว่าตนคือส่วนประกอบที่สาคัญที่เชื่อมโยงกับสิ่งต่าง ๆ
2. ฝึกการมองภาพรวมแทนสิ่งเล็ก ๆ แล้วค่อยมองย้อยกลับ
3. เข้าใจธรรมชาติของระบบ และทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนเป็นระบบสัมพันธ์กัน
4. มองเห็นกระบวนการเปลี่ยนแปลง และปัจจัยต่าง ๆ ที่เอื้อต่อระบบ
5. มองเห็นวัฏจักรของเหตุปัจจัย (Circles of Causality) และการส่งผลย้อนกลับ
6. เปิดอิสระในเรื่องการคิด ไม่ตีกรอบ ครอบงาความคิดคนอื่น
7. ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกคนเกิดแรงร่วมในการสร้างความสัมพันธ์
8. ฝึกการแก้ปัญหาที่สาเหตุแท้แก้ที่อาการเกิดปัญหา
9. ยึดหลักการเรียนรู้ในองค์การเป็นส่วนประกอบคือ การเป็นนายตนเอง ลบความเชื่อฝังใจแต่
อดีต สร้างความใฝ่ฝันถึงอนาคตร่วมกัน (Shared Vision) และฝึกการเรียนรู้ของทีม
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 119
120. องค์การที่พัฒนาความใฝ่ฝันถึงอนาคตร่วมกันแต่เพียงอย่างเดียว แต่ขาดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
ในแรงต้านทานต่าง ๆ ที่จะต้องควบคุมให้ได้เพื่อให้มันเคลื่อนจากจุดหนึ่งไปสู่จุดหนึ่ง คือต้อง
อาศัยความเข้าใจอันลึกซึ้งถึง โครงสร้างระบบ ที่เป็นแรงที่มีอิทธิพล ยิ่งความใฝ่ฝันอันสูงส่งนั้น
ไม่อาจปฏิบัติได้จริง การคิดเชิงระบบต้องมีความใฝ่ฝัน ความเชื่อฝังใจ ความเป็นนายตนเอง
และการเรียนรู้ของทีม การสร้างให้เกิดความใฝ่ฝันร่วมจึงเป็นการส่งเสริมให้คนมีความ
รับผิดชอบระยะยาว วินัยความเชื่อฝังใจจึงมุ่งที่ให้เปิดเผยตนเอง รับรู้ถึงความบกพร่องต่าง ๆ
อันเกิดจากการมองเฉพาะส่วนของตนเอง การเรียนรู้ของทีม คือ การพัฒนาทักษะของกลุ่มคน
ในการค้นหาปัญหาร่วมกัน วินัยการเป็นนายตนเองจะส่งเสริมให้บุคคลพัฒนาตนเอง สร้าง
กาลังใจให้แก่ตนเองในอันที่จะเรียนรู้ว่าการกระทาของเราเองมีผลกระทบต่อโลกอย่างไร ถ้าไม่
เป็นนายตนเอง และพัฒนาตนเอง คนก็จะมีจิตใจที่คอยคิดแต่แก้เท่านั้น แต่ไม่เคยคิดที่จะสร้าง
และพัฒนาตนเองให้อยู่อย่างมีความสุข การคิดเชิงระบบเป็นวินัยสาหรับการมองให้เห็น
โครงสร้าง ที่อยู่เบื้องหลังสถานการณ์ยุ่งยากทั้งหลาย และเพื่อให้มองเห็นพลังคานงัดที่สูง และ
อะไรคือคานงัดที่ต่า และเราจะสร้างความสมดุล (Balance) ให้เกิดขึ้นอย่างไร ในสถานการณ์
ที่มีความสลับซับซ้อนทั้งหลาย จะมีความสลับซับซ้อนทางด้านโครงสร้าง อยู่เบื้องหลังเสมอ
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 120
121. 122. 123. การคิดเป็นพฤติกรรมทางสมอง ที่สมองกระทากับวัตถุความคิด (Object of thinking)
ซึ่งเรียกว่า มโนมติ (Concept) มโนมติของคนเราอาจมีหลายมติ ซึ่งเกิดขึ้นจาก
ประสบการณ์ และการคิดขึ้นเองจากโลกแห่งความเป็นจริง หรือจินตนาการจากโลก
มายาก็ได้
การคิดที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตมนุษย์มีหลายรูปแบบ โดยเฉพาะการคิดเชิงระบบ เป็น
วิธีการคิดเชิงบูรณาการ เป็นการขยายขอบเขตการคิดของเราที่มีต่อเรื่องนั้น ๆ ออกไป
โดยไม่ด่วนสรุปหรือตัดสินใจ แต่พิจารณาเรื่องนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทุกมุมมอง เปิด
โอกาสให้ความคิดของคนเราได้มีการเชื่อมโยง เพื่อหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ได้มุมมอง
ใหม่ ๆ เห็นแนวทางแก้ปัญหาที่ดีกว่าสร้างสรรค์ รวมทั้งให้เห็นความสัมพันธ์แบบ
เชื่อมโยงระหว่างเรื่องนั้นกับปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 123
124. 1. การมององค์รวม (Holistic view) เป็นการมองให้ครบทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น
พิจารณาว่าเรื่องนั้นเกี่ยวกับใครบ้าง เกี่ยวข้องอย่างไร อะไรเป็นสาเหตุ ผลกระทบเกี่ยวเนื่องที่จะ
เกิดขึ้นมีอะไรบ้าง
2. มองสหวิทยาการ คือ การมองหลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน เป็นการคิดเชิงบูรณาการ
พยายามคิดออกนอกกรอบ พยายามเชื่อมโยงกับแกนหลักของเรื่องที่ต้องการหาคาตอบ เพื่อการมอง
เรื่องดังกล่าวชัดเจนขึ้น
3. มองอย่างอุปมาอุปนัย เป็นการมองขยายกรอบความคิด เป็นการเปิดโอกาสให้สมองได้
ใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ในการเรียนรู้ และทาความเข้าใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยใช้เหตุผลแบบ
อุปนัย (inductive thinking) หรือใช้กรอบความรู้ที่ได้พิสูจน์แล้วมาตอบ ซึ่งเป็นส่วนสาคัญของการคิด
เชิงบูรณาการ
4. มองประสานขั้วตรงกันข้าม เป็นการมองแนวคิดหนึ่งปฏิเสธแนวคิดหนึ่ง หรือเชื่อว่า
แนวคิดหนึ่งเป็นจริง แนวคิดที่เหลือเป็นเท็จ โดยเปิดใจข้ามสะพานเชื่อมขั้นคิดตรงกันข้าม หรือสร้าง
ดุลยภาพ ทาให้เกิดความพอดี
5. มองทุกฝ่ายชนะ WIN-WIN ครอบคลุมความพอใจทุกฝ่าย ซึ่งเป็นการขยายกรอบ
ความคิดจากวิธีแก้ปัญหาทั่วไป ปกติการแก้ปัญหาคือ การกาหนดทางเลือก
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 124
125. 126. 127. 128. วิธีการเชิงระบบคือ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเน้นที่การแก้ปัญหา โดยวิธีการเชิง
ระบบนี้มีกิจกรรมสาคัญ 7 สาคัญ ซึ่งสัมพันธ์กับการแก้ปัญหาทั่วไป โดยเปรียบเทียบให้
เห็น ขั้นตอนทั้งสองส่วนคือ
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 128
วิ ีการเชิงระบบ การ ก้ป หาทัว ป
1. ทาความเข้าใจปัญหา
2. พัฒนาทางเลือก
3. ปฏิบัติการแก้ปัญหา
1. ระบุปัญหา/โอกาสในเชิงบริบทของระบบ
2. รวบรวมข้อมูลเพื่ออธิบายปัญหาและโอกาส
3. ระบุทางแก้/ทางเลือกในการแก้ปัญหา
4. ประเมินในแต่ละเลือก
5. เลือกทางแก้ที่ดีที่สุด
6. ปฏิบัติการตามทางแก้ที่เลือกไว้
7. ประเมินความสาเร็จของการปฏิบัติตามทางเลือก
129. 130. วิธีการหรือเทคนิคเชิงระบบเป็นการทางานจากสภาพที่เป็นอยู่ไปสู่สภาพที่ต้องการของ
งานนั้นทั้งระบบ โดยขั้นตอนที่สาคัญ ๆ ในเทคนิคเชิงระบบ ได้แก่
1) กาหนดปัญหาที่ต้องการแก้ไขและความต้องการในการพัฒนาของระบบให้ชัดเจน
2) การกาหนดวัตถุประสงค์ย่อยที่สัมพันธ์กับปัญหาและความต้องการในการพัฒนาและ
สัมพันธ์กับวัตถุประสงค์รวมของระบบใหญ่ทั้งระบบ เพื่อสร้างกรอบหรือขอบเขตในการทางาน
(สิ่งที่ต้องการ )
3) ศึกษาถึงสิ่งแวดล้อมหรือข้อจากัดในการทางานของระบบและทรัพยากรที่หามาได้
4) สร้างทางเลือกในการแก้ปัญหาหรือวิธีการในการพัฒนา
5) ตัดสินใจเลือกทางที่เหมาะสม ด้วยวิธีการที่มีเหตุผลเป็นระบบ เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่
เหมาะสมคานึงถึงความเป็นไปได้ในการปฏิบัติ
6) ทดลองปฏิบัติทางเลือกที่ได้ตัดสินใจเลือกไว้
7) ประเมินผลการทดลองหรือผลการทดสอบ
8) เก็บรวบรวมข้อมูลป้อนกลับอย่างเป็นระบบเพื่อปรับปรุงระบบบันให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
9) ดาเนินการเป็นส่วนของระบบปกติ
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 130
131. การประยุกต์ใช้วิธีการเชิงระบบในภาพรวมนั้น สรุปขั้นตอนสาคัญ ๆ ไว้ 5 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้
1. จะต้องทราบปัญหาที่จะต้องแก้ไขให้แจ้งชัด ว่าเป็นปัญหาของระบบนั้นที่แท้จริง
2. คิดหาวิธีการหรือแนวทางเลือก ในการแก้ไขอันเป็นผลมาจากการวิเคราะห์ระบบ
และทาความเข้าใจถึงพฤติกรรมของระบบตลอดจนข้อจากัดต่าง ๆ ที่มีต่อการทางานของ
ระบบ
3. เลือกวิธีการใดวิธีหนึ่งที่พิจารณาว่าเหมาะสมที่สุด ดีที่สุด และนาออกปฏิบัติ
4. ประเมินผลการปฏิบัติ เพื่อทราบผล และเพื่อให้ข้อมูลป้อนกลับ
5. รับข้อมูลป้อนกลับและปรับระบบต่อไป
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 131
132. วิธีการเชิงระบบนั้น หากพิจารณาในด้านประโยชน์ที่นามาใช้งานด้านต่าง ๆ แล้วจะ
พบว่าเหมาะกับปัญหาที่มีความซับซ้อนและลึกซึ้ง เพราะจะทาให้มองงานนั้นทั้ง
ภาพรวมและส่วนปลีกย่อยอย่างทั่วถึงสัมพันธ์กัน เราสามารถนาแนวคิดของวิธีการเชิง
ระบบไปประยุกต์กับการบริหารจัดการในองค์การประเภทต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี โดยยึด
สาระสาคัญและขั้นตอนการดาเนินงานของวิธีการเชิงระบบเป็นสาคัญ
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 132
133. การประยุกต์ใช้วิธีการเชิงระบบเพื่อออกแบบการเรียนการสอน ซึ่งสามารถดาเนินการ
ดาเนินการเป็น 5 ขั้นตอน คือ
ขั้นที่ 1 กาหนดปัญหา โดยดาเนินการวิเคราะห์ข้อมูลในด้านงานหรือกิจกรรม
เนื้อหาวิชาและผู้เรียน กาหนดเป็นปัญหาโดยแสดงในรูปจุดประสงค์การเรียนการสอน
ขั้นที่ 2 วิเคราะห์ปัญหา เพื่อกาหนดทางเลือกในรูปวิธีการหรือสื่อเพื่อการ
แก้ปัญหาการเรียนการสอนที่กาหนดไว้
ขั้นที่ 3 เลือกและออกแบบทางเลือกเพื่อแก้ปัญหา เพื่อกาหนดเป็นแผนการเรียน
การสอนซึ่งเป็นระบบของวิธีการหรือสื่อ
ขั้นที่ 4 นาแผนการเรียนไปใช้และทดสอบ เพื่อหาผลที่ได้จากการปฏิบัติ
ขั้นที่ 5 ทาการประเมินผลเพื่อปรับปรุง เพื่อปรับปรุงระบบก่อนนาไปใช้จริง
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 133
134. 135. 1. มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ( interact with environment ) ระบบทุก ๆ
ระบบจะมีปฏิสัมพันธ์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งกับโลกรอบ ๆตัว ของระบบโลกรอบ ๆ ตัวนี้
เรียกว่า "สิ่งแวดล้อม" การที่ระบบมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมนี้เอง ทาให้ระบบดังกล่าว
กลายเป็น ระบบเปิด ( Open system ) กล่าวคือ ระบบจะรับปัจจัยนาเข้า (inputs ) จาก
สิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจจะเป็นพลังงาน อาหาร ข้อมูล ฯลฯ ระบบจะจัดกระทาเปลี่ยนแปลง
ปัจจัยนาเข้านี้ให้เป็นผลผลิต ( output ) แล้วส่งกลับไปให้สิ่งแวดล้อมอีกที่หนึ่ง
2. มีจุดหมายหรือเป้าประสงค์ ( purpose) ระบบจะต้องมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน
แน่นอนสาหรับตัวของมันเอง ระบบที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น ระบบการดาเนินชีวิตของ
มนุษย์นั้นก็มีจุดมุ่งหมายสาหรับตัวของระบบเองอย่างชัดเจนว่า "เพื่อรักษาสภาพการมีชีวิต
ไว้ให้ได้ให้ดีที่สุด"
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 135
136. 3. มีการรักษาสภาพตนเอง (self-regulation) การที่ระบบสามารถรักษาสภาพ
ของตัวเองให้อยู่ในลักษณะที่คงที่อยู่เสมอ การรักษาสภาพตนเองทาได้โดยการแลกเปลี่ยน
อินพุตและเอาต์พุตกันระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ ของระบบหรือระบบย่อย ตัวอย่าง ที่
เห็นได้ชัดเจนคือ ระบบย่อยอาหารของร่างกายมนุษย์ซึ่งประกอบด้วย องค์ประกอบย่อย ๆ
หรือระบบย่อยต่าง ๆ เช่น ปาก น้าย่อย น้าดี หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ฯลฯ
4. มีการแก้ไขตนเอง ( self-correction ) ลักษณะที่ดีของระบบ คือ มีการแก้ไข
และปรับตัวเองในการที่ระบบมีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมบางครั้งปฏิสัมพันธ์นั้น ก็จะ
ทาให้ระบบการรักษาสภาพตัวเอง ต้องย่าแย่ไป ระบบก็ต้องมีการแก้ไขและปรับตัวเองเสีย
ใหม่ ตัวอย่างเช่น การปฏิสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับอากาศหนาว (สภาพแวดล้อม)
อาจจะทาให้เกิดอาการหวัดขึ้นได้ ในสถานการณ์นี้ ถ้าระบบร่างกายไม่สามารถที่จะรักษา
สภาพตัวเองได้อย่างดี ร่างกายก็จะต้องสามารถที่จะปรับตัวเองเพื่อที่จะต่อสู้กับอาการหวัด
นั้นโดยการผลิตภูมิคุ้มกันออกมาต้านหวัด
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 136
137. จากยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ให้นักศึกษาแบ่งเป็น 6 กลุ่ม ประยุกต์ใช้ขั้นตอนของการ
วิเคราะห์ระบบและเทคนิคเชิงระบบ เพื่อออกแบบเพื่อตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
โดยสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากอินเตอร์เน็ต พร้อมนาเสนอ
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 137
138. 139. 140. 141. 142. 143.