More Related Content
More from ศุภวัฒน์ ปภัสสรากาญจน์
More from ศุภวัฒน์ ปภัสสรากาญจน์ (20)
กบคอนโด
- 2. ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านเหล่ามะละกอ
สมัยสงครามเก้าทัพในปี พ.ศ.2328 ซึ่งมีพม่าได้จัดกองทัพ
ใหญ่เข้ามาถึง 9 ทัพ ยกทัพผ่านมาบริเวณเชิงเขา แล้วให้ทหารถางป่า เพื่อ
พักค้างแล้วจึงยกทัพผ่านไป ต่อมาได้มีชาวบ้านมาอาศัย อยู่กลุ่มใหญ่ ที่ย้าย
ถิ่นฐานมาจากพื้นที่อื่น มาจับจองเป็นที่อยู่อาศัย ปลูกสร้างบ้านเรือน
ประกอบอาชีพ ล่าสัตว์หาของป่า ต่อมาได้เปลี่ยนมาเป็นอาชีพทานา ทาไร
ปลูกผักและเลี้ยงสัตว์ และทางานรับจ้างนอกพื้นที่ บ้านเหล่ามะละกอแยก
มาจาก หมู่ที่ 11 ตาบล ทุ่งหลวง เมื่อ ปีพ.ศ.2542 ชาวบ้านส่วนใหญ่จะ
อาศัยกันอย่างญาติพี่น้อง มีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน รักความสงบ
ถ้อยทีถ้อยอาศัย นับถือเชื่อฟังผู้สูงอายุในชุมชน นับเป็นครอบครัว ชนทบ
อย่างแท้จริง
- 3. บ้านเหล่ามะละกอ
ที่ตั้ง : บ้านเหล่ามะละกอ หมู่ที่ 15 ตาบลทุ่งหลวง อาเภอปากท่อ จังหวัด
ราชบุรีมีจานวนครัวเรือนจานวน 159 ครอบครัว ประชากรชาย 392 หญิง 378
คน รวม 770 คน
การเดินทางสัญจร : ไปมาระหว่างอาเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี กับหมู่บ้าน
เหล่ามะละกอ ใช้เส้นทาง 2 เส้นทาง คือ
1. ถนนเส้นปากท่อ - ทุ่งหลวง ระยะทาง 15 กิโลเมตร
2. ถนนเพชรเกษม - ห้วยชินสีห์ สาย 3337 ระยะทาง 16 กิโลเมตร
- 4. • หมู่บ้านเหล่ามะละกอได้รับการคัดเลือกจากกรมพัฒนาชุมชนกระทรวงมหาดไทย
เป็นหมู่บ้านอยู่ดีมีสุข ( Smart Village) ปี 2549 ของจังหวัด
ราชบุรี ประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพทางการเกษตร ปลูกผัก ผลไม้จาหน่ายที่ตลาด
ศรีเมือง ซึ่งเป็นตลาดกลางค้าส่งที่ใหญ่ ตั้งอยู่ในตัวจังหวัดราชบุรี และเลี้ยงวัว
ปัจจุบันเกษตรกรได้มีการพัฒนาอาชีพทางการเกษตรจากการใช้ปุ๋ ยเคมี ยาฆ่า
แมลง หันมาทาการเกษตรแบบพึ่งพาตนเอง โดยได้รวมตัวกันตั้งเป้นกลุ่มเกษตร
อินทรีย์บ้านเหล่ามะละกอขึ้น มีสมาชิกจานวน 62 ครัวเรือน
• กลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านเหล่ามะละกอ สามารถเป็นแหล่งที่ผลิตปุ๋ ยหมักชีวภาพ
ให้กับสมาชิกเพื่อนาไปใช้โดยผลิตปีละ 6 ครั้ง ๆ ละ 60-70 ตัน ผลิตปุ๋ ย
อินทรีย์น้า ฮอร์โมน สารสมุนไพรไล่แมลงให้กับสมาชิกเปลี่ยนไปใช้ในราคา
ถูก ทาให้สมาชิกสามารถลดต้นทุนในการทาการเกษตรได้ประมาณ 30-
50 %
- 5. • ปัจจุบันกลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านเหล่ามะละกอ ได้รับการคัดเลือกจากสานักงาน
เกษตรและสหกรณ์จังหวัดราชบุรี ให้เป็นศูนย์เรียนรู้เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้าน มี
เป้าหมายในปีงบประมาณ 2551 จัดฝึกอบรมเกษตรกร ตามโครงการ
พัฒนาการเกษตรตามแนวทฤษฏีใหม่ โดยยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จานวน
10 รุ่นๆละ 50 คน จานวน 500 คน และทางธนาคารเพื่อการเกษตรและ
สหกรณ์ได้ตั้งเป็นศูนย์เรียนรู้
• มีโครงการอบรมเกษตรกรตามแนวทฤษฏีใหม่ โดยยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ของศูนย์เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้าน มีการใช้ความรู้ การศึกษาดูงาน การสาธิต การ
ปฏิบัติจริง ที่ศูนย์มีหลักสูตร 1 ไร่ถวายในหลวง เป็นการทาการเกษตรตามแนว
ทฤษฏีใหม่ โดยจัดทาเกษตรแบบผสมผสานในพื้นที่ 1 ไร่ เพื่อให้เกษตรกรลด
รายจ่ายในครัวเรือน โดยการปลูก พืชผัก ผลไม้และแหล่งอาหารโปรตีน ไว้
บริโภคเอง
- 7. แนวทางแก้ไขปัญหาของหมู่บ้าน
ด้านเศรษฐกิจ
1. ส่งเสริมการใช้ปุ๋ ยหมัก, สารสมุนไพรไล่แมลง, ฮอร์โมนและน้าส้มควัน
ไม้
2. ส่งเสริมการผลิตพืชผักปลอดสารพิษจาหน่าย (จัดโซนผลิต)
3. จัดทั้งกลุ่มส่งออกผักปลอดสารพิษ
4. ส่งเสริมการจัดทาบัญชีครัวเรือน
5. พัฒนากลุ่มต่างๆให้เข้มแข็ง
6. ส่งเสริมและสนับสนุนอาชีพเสริม เช่น การเลี้ยงโค, หมูหลุม, กบคอนโด
7. พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ (โฮมสเตย์)
- 8. ด้านสังคม
1. ผู้สูงอายุและผู้พิการควรได้รับเบี้ยยังชีพอย่างทั่วถึง
2. ส่งเสริมการศึกษาให้กับผู้ด้อยโอกาส และการกีฬาในชุมชน
3. จัดอบรมการพัฒนาอาชีพเสริม กลุ่มสตรีอาสา
4. จัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการเกษตรในชุมชน
5. ส่งเสริมด้านสาธารณะสุขมูลฐาน และรณรงค์ป้องกันโรคติดต่อ
ด้านโครงสร้างพื้นฐาน
1. ราดยางถนนสายเหล่ามะละกอ – เนินทอง ตลาดสาย
2. ราดยางถนนสายเขาภูทอง – หนองปากดง
3. จัดหาแหล่งน้าสาหรับผลิตน้าประปา
4. จัดหาอุปกรณ์ด้านเทคโนโลยีเพื่อจัดเก็บข้อมูลพื้นฐาน
5. ลอกลาห้วยสาธารณะตลอดสายพร้อมทาฝายกั้นน้า
6. ขุดสระน้าสาธารณะ 5 ไร่ และลอกสระน้าที่ตื้นเขิน
7. สร้างฝายกั้นน้าขนาดกลาง 3 ที่
- 12. การเพาะพันธุ์กบ
โดยธรรมชาติ กบจะเริ่มจับคู่ ผสมพันธุ์และวางไข่ในฤดูฝน ถ้าเกษตรกรมี
พ่อแม่พันธุ์อยู่แล้วก็จะนาพ่อแม่พันธุ์ที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไป และเป็นกบที่จับคู่กันแล้ว
นาไปเลี้ยงในบ่อเพาะแต่อย่าจับผิดคู่กันเพราะกบที่ จับคู่กันแล้วถูกแยกออกเป็นคน
ละตัวและนาไปเลี้ยงในบ่อเพาะถ้าไม่ใช่คู่ของมันแล้วมันจะไม่ผสมพันธุ์กัน
การดูลักษณะเพศของกบ
ถ้าเป็นกบตัวผู้จะเห็นกล่องเสียงอยู่ใต้ภางทั้งสองข้าง ขากรรไกรเป็น
ลักษณะวงกลมสีคล้าเมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ กบตัวผู้จะส่งเสียงร้อง ส่วนของกล่องเสียงนี้
จะพองโปนแต่ลักษณะนี้จะไม่มีในกบตัวเมียซึ่งตัวเมียนั้น เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ที่ส่วน
ท้องจะขยายใหญ่ และกบตัวเมียที่ยังมีไข่อยู่ในท้องจะมีความสากข้างลาตัวทั้งสองด้าน
เมื่อใช้นิ้วสัมผัสจะรู้สึกได้และเมื่อไข่ออกจากท้องไปแล้ว ปุ่มสากเหล่านี้ก็จะ
หายไป อนี่ง กบตัวเมียก็จะส่งเสียงร้องเช่นกัน แต่เป็นเสียงที่เบามาก และกบตัวเมียที่
รู้ตัวว่ามีไข่แก่อยู่ในท้องจะเป็นผู้เดินทางมาหาตัวผู้เดินทางมาหาตัวผู้ตามเสียงร้อง
- 13. การอนุบาลลูกกบวัยอ่อน
เมื่อไข่กบฟักออกเป็นตัวอ่อนแล้ว ช่วง 2 วันแรกไม่ต้องให้อาหาร เพราะ
ลูกอ๊อดยังใช้ไข่แดงที่ติดมาเลี้ยงตัวเอง หลังจากนั้นจึงเริ่มให้อาหารเม็ดสาหรับลูกกบ
วันละ1 ครั้ง ครั้งละประมาณ 1 กามือ หรืออาจให้ไข่แดงบดเป็นอาหารแทนก็ได้ ซึ่ง
เฉลี่ยแล้วใช้วันละ 2-3 ฟองต่อลูกอ๊อด 1 ครอกเมื่อลูกอ๊อดมีอายุ 20-30 วัน จึง
เป็นลูกกบเต็มวัย ในช่วงนี้ต้องนาไม้ไผ่มาทาเป็นแพหรือแผ่นโฟมลอยน้าเพื่อให้ลูกกบ
เต็มวัยขึ้นไปอาศัยอยู่ เพราะลูกอ๊อดจะโตเต็มวัยไม่พร้อมกัน อาจมีการรังแกกันจนเกิด
แผลทาให้ลูกกบตายได้ ดังนั้น จึงต้องลงมือคัดลูกกบขนาดตัวยาว 2 เซนติเมตร ไป
เลี้ยงในบ่อที่เตรียมไว้บ่อละ 1,000 ตัว
- 16. ข้อดีข้อเสีย
ข้อดี
1. เลี้ยงในบริเวณบ้าน หรือมีพื้นที่จากัดได้ดี และดีกว่าการเลี้ยงแบบใส่ขวดพลาสติก
2. ลงทุนต่า กว่าเลี้ยงในบ่อปูน
3. ให้อาหารกบได้ง่ายและทั่วถึง ไม่เปลืองอาหาร
4. ควบคุมโรคได้ง่าย ถ่ายน้าสะดวก และใช้น้าน้อยกว่า
5. เหมาะกับผู้เริ่มทดลองเลี้ยงเพื่อศึกษา ไม่หวังผลกาไร
ข้อเสีย
1. ยากต่อการสังเกตและดูแล หากเลี้ยงในปริมาณมากๆ
2. ไม่เหมาะกับการเลี้ยงจริงจังเชิงพาณิชย์ ที่ต้องมีปริมาณผลผลิตต่อเดือนสูง
- 17. สมาชิกกลุ่ม
นาย โศภณ บรรจุน รหัส 55115100056
นาย ณัฐวัตน์ ชมชืน รหัส 55115100078
นาย พีรพนธ์ รัตนคม รหัส 55115100079
นาย สุรศักดิ์ บุญพิทักษ์ รหัส 55115100114