This document provides an introduction to organic chemistry. It outlines key objectives which include being able to name organic compounds, describe homologous series, and explain reactions of alkanes and alkenes. It defines organic chemistry as the study of carbon compounds excluding carbonates, oxides, and allotropes of carbon. It then covers topics such as bonding properties of carbon, structural isomers, combustion reactions of alkanes producing carbon dioxide and water, and halogenation and cracking reactions of alkanes. Alkenes are also introduced, including their general formula and common addition reactions.
This document provides an introduction to organic chemistry. It outlines key objectives which include being able to name organic compounds, describe homologous series, and explain reactions of alkanes and alkenes. It defines organic chemistry as the study of carbon compounds excluding carbonates, oxides, and allotropes of carbon. It then covers topics such as bonding properties of carbon, structural isomers, combustion reactions of alkanes producing carbon dioxide and water, and halogenation and cracking reactions of alkanes. Alkenes are also introduced, including their general formula and common addition reactions.
1. The document provides the structural formulas for numerous organic compounds including alkanes, alkenes, alkynes, haloalkanes, and cycloalkanes.
2. Problems are presented asking the reader to write structural formulas, line formulas, IUPAC names, and calculate molar masses for various organic substances.
3. Standard conditions of temperature and pressure are referenced along with common reagents like chlorine and bromine.
The document provides information about organic chemistry compounds including their structures, functional groups, and naming conventions. It discusses the basic components of organic molecules like carbon and hydrogen and how carbon can form single, double, and triple bonds. It also summarizes different types of organic compounds such as alkanes, alkenes, alkynes, aromatics, and compounds containing common functional groups. Examples are given to illustrate concepts like structural isomers, chiral carbons, and cis/trans isomers.
The document contains detailed information about the human skeletal and muscular systems. It describes the main bones that make up the axial and appendicular skeleton, and provides specifics on the skull, sternum, clavicle, scapula, and pelvis bones. It also outlines the three main types of muscle in the body - striated, smooth, and cardiac muscle - and delves into the microscopic structure of muscle fibers, including the sliding filament model of contraction. Key concepts covered include muscle origin and insertion points, and the relationship between bones, muscles, tendons, and ligaments.
The document contains detailed information about the human skeletal and muscular systems. It describes the main bones that make up the axial skeleton and appendicular skeleton. It also discusses the three main types of muscles - striated, smooth, and cardiac muscle. The document delves into the microscopic structure of skeletal muscle, including the arrangement of actin and myosin filaments in the sarcomere and how they slide past each other during muscle contraction. It explains the sliding filament theory and role of calcium in the contraction and relaxation of muscle fibers. Key terms covered include origin, insertion, tendon, and lever systems.
The document discusses the skeletal and muscular systems of the human body. It describes that the skeletal system consists of bones and cartilage, which provide structure, protect organs, allow movement, and produce blood cells. It is divided into the axial skeleton and appendicular skeleton. It then explains the three types of muscle in the body - skeletal or striated muscle, smooth muscle, and cardiac muscle. The document concludes by describing muscle contraction and the sliding filament theory of muscle function.
8. สารประกอบทีÉมีธาตุออกซิเจนและ/หรือไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบ
ประเภท หมู่ฟังก์ชัน การเรียกชืÉอ คุณสมบัติ/ประโยชน์
1.) สารประกอบทีÉมีธาตุออกซิเจนเป็นองค์ประกอบ
แอลกอฮอล์
(alcohols)
ไฮดรอกซี
(hydroxy)
(-OH)
ลงท้ายด้วย
: - านอล
1. จุดเดือดสูงกว่าแอลเคนทีÉมีจํานวนคาร์บอนเท่ากัน
(เกิดพันธะไฮโดรเจนเหมือนนํÊา)
2. เป็นกรดเล็กน้อย (ทําปฏิกิริยากับ Na ได้)
2 ROH + 2Na o 2RO-
Na+
+ H2(g)
อีเทอร์ (ether) ออกซี
(oxy)
(-O-)
เรียกหมู่แอลคิลตาม
ด้วย "อีเทอร์" ตัวอย่างเช่น ไดเอทิล อีเทอร์ ใช้เป็นตัวทําละลาย
กรดอินทรีย์
(carboxylic
acid)
คาร์บอกซิล
(carboxyl)
C OH
O
ลงท้ายด้วย
: - าโนอิก
1. จุดเดือดสูงกว่าแอลกอฮอล์ทีÉมีจํานวนคาร์บอน
เท่ากัน (เกิดพันธะไฮโดรเจนมากกว่า)
2. เป็นกรด (ทําปฏิกิริยากับ Na และ Na2HCO3 ได้)
R C OH
O
2 2 Na 2 R C O
-
Na
+
O
H2 (g)
R C OH
O
R C O
-
Na
+
O
CO2 (g)NaHCO3 H2O
3. ปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน (esterification)
R C OH
O
R C OR'
O
H2OR'OH
H
+
เอสเทอร์
(ester)
ออกซีคาร์บอกซิล
(oxycarboxyl)
C O
O
* ส่วนทีÉมาจาก
แอลกอฮอล์เรียกเป็น
“แอลคิล”
* ส่วนทีÉมาจากกรด
เปลีÉยนคําลงท้ าย
จาก “อิก” เป็น “เ-ต”
1. ปฏิกิริยาไฮโดรลิซิส
R C
O
OHH+
R C OR'
O
R'OH
แอลดีไฮด์
(aldehyde)
คาร์บอกซาลดีไฮด์
(carboxaldehyde)
C H
O
ลงท้ายด้วย : -
านาล
ตัวอย่างเช่น ฟอร์มาลดีไฮด์ (เมทานาล) ถ้ามีความ
เข้มข้นเป็น 40 % จะเรียกฟอร์มาลิน ใช้ฉีดหรือดองศพ
2
9. คีโตน
(ketone)
คาร์บอนิล
(carbonyl)
C
O
ลงท้ายด้วย
: - าโนน
ตัวอย่างเช่น แอซีโตน (โพรพาโนน) ใช้เป็นตัวทําละลาย
2.) สารประกอบทีÉมีธาตุไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบ
เอมีน
(amine)
อะมิโน (amino)
(--NH2)
นําหน้าด้วยคําว่า
"อะมิโน"
1. จุดเดือดสูงกว่าแอลเคนทีÉมีจํานวนคาร์บอนเท่ากัน
(เกิดพันธะไฮโดรเจน)
2. มีฤทธิÍเป็นเบส (เปลีÉยนลิสมัตแดงเป็นนํÊาเงิน)
R-NH2 + HCl o R-NH3
+
Cl-
3. การเกิดเอไมด์
R C
O
OH R'NH2 R C
O
NHR' H2O
3.) สารประกอบทีÉมีธาตุออกซิเจนและไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบ
เอไมด์
(amide)
เอไมด์ (amide)
C N
O
ลงท้ายด้วย
: -านาไมด์
1. จุดเดือดสูงกว่าแอลเคนทีÉมีจํานวนคาร์บอน
เท่ากัน (เกิดพันธะไฮโดรเจน)
2. ยูเรีย ( H2N C
O
NH2 ) ใช้ทําปุ๋ ย
*** แนวโน้มจุดเดือด:
กรดอินทรีย์ > แอลกอฮอล์ > เอสเทอร์ t แอลดีไฮด์, ตีโตน > อีเทอร์ > ไฮโดรคาร์บอน
สารประกอบ CH3COOH CH3CH2OH CH3CHO HCOOCH3 CH3OCH3 CH3CH3
จุดเดือด (qq C) 118 78.5 21 31.5 -24.9 - 88.6
การทดสอบทีÉพบบ่อยๆ (ทดสอบความเป็นกรด)
สารทดสอบ Na(s) NaOH (aq) NaHCO3 (aq)
แอลกอฮอล์ 9 8 8
กรดอินทรีย์ 9 9 9
เอสเทอร์ 8 8 8
3
18. (C3H6O)
CnH2n + O
C C
C O
Alcohol
Ether
Aldehyde
Ketone
1 double bond
H2C
H
C
C
H2
OH
H2C
C
CH3
OH
C
H
H
C
CH3
HO
H2C
H
C
O
CH3
H3C
H2
C
C
O
H
H3C
C
CH3
O
25. จากกราฟเปรียบเทียบการละลายนํÊาและจุดเดือดของสารอินทรีย์ a, b และ c น่าจะเป็นสารใดตามลําดับ
a b c
1) CH3CH2CH2CH2OH, CH3CH2CH2CHO, CH3CH2CH2COOH
2) CH3CH2CH2COOH, CH3CH2CH2CH2OH, CH3CH2CH2CHO
3) CH3(CH2)3OH, CH3(CH2)4OH, CH3(CH2)5OH
4) CH3(CH2)5OH, CH3(CH2)4OH, CH3(CH2)4OH
ตอบ ข้อ 3 หลักการพิจารณา จุดเดือดเพิÉมช้าแสดงว่าเป็นสารประเภทเดียวกัน การละลายนํÊาลดลงแสดงว่ามีส่วน
HC เพิÉมขึÊน
26. (A-net’52) ในการทดสอบเพืÉอจําแนกสารประกอบอินทรีย์ทีÉมีหมู่ฟังก์ชันทีÉแตกต่างกัน ข้อใดถูก
1. แอลกอฮอล์และอีเทอร์ทดสอบด้วยสารละลาย NaHCO3
2. แอลเคนและแอลคีนทดสอบด้วยสารละลาย KMnO4
3. กรดอินทรีย์และกรดไขมันทดสอบด้วยโลหะ Na
4. มีคําตอบถูกมากกว่า 1 ข้อ
ตอบ ข้อ 2
จุดเดือด
อุณหภูมิ (o
C)
การละลายนํÊา
การละลาย
(g/řŘŘ cm3
)
12
19. 27. สาร A มีสูตรโมเลกุล C7H12 สาร A ฟอกสีโบรมีนได้อย่างรวดเร็วให้สาร B ทีÉมีสูตร C7H12Br2 สาร A ทําปฏิกิริยา
กับสารละลายโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนตให้สาร C ทีÉมีสูตร C7H14O2 สาร C ปฏิกิริยากับโลหะโซเดียมให้
แก๊สไฮโดรเจน แต่ไม่ทําปฏิกิริยากับสารละลายโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต สาร A ควรเป็นสารในข้อใด
ก. สารประกอบแอลคีนโซ่เปิดทีÉมีพันธะคู่ 2 พันธะ
ข. สารประกอบแอลคีนทีÉมีโครงสร้างเป็นวงและมีพันธะคู่ 1 พันธะ
ค. สารประกอบแอลไคน์
ง. สารประกอบอะโรมาติก
ข้อใดถูกต้อง
1) ก. และ ข. 2) ข. เท่านัÊน 3) ค. 4) ง.
ตอบ ข้อ 2 วิธีคิด โจทย์บอกว่าสาร A มีสูตรโมเลกุล C7H12 (CnH(2n+2) อาจเป็นแอลไคน์หรือไซโคลแอลคีน) สาร A
ฟอกสีโบรมีนได้อย่างรวดเร็วให้สาร B ทีÉมีสูตร C7H12Br2 หากพิจารณาสาร B จะเห็นว่ามี Br เข้าไป 2 อะตอม แสดง
ว่ามีพันธะคู่ ดังนัÊนสาร A จึงเป็นไซโคลแอลคีน
28. สาร A มีสูตรโมเลกุลเป็น CŠHřŜ ทําปฏิกิริยากับนํÊาโดยมีกรด HŚSOŜ เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา เกิดสารผลิตภัณฑ์ B
มีสูตรโมเลกุลเป็น CŠHřŞO เพียงชนิดเดียว เมืÉอนําสาร B ไปทําปฏิกิริยาออกซิเดชันต่อจะได้สาร C มีสูตร
โมเลกุลเป็น CŠHřŜO สูตรโครงสร้างทีÉเป็นไปได้ของสาร A คือ
1) 2) 3) 4)
ตอบ ข้อ 3 วิธีคิด ควรเขียนสมการการเกิดปฏิกิริยาก่อน
C8H14 + H2O C8H16O
H2SO4
A B
จากสมการเป็นปฏิกิริยาการเติมนํÊา (hydration) ซึÉงการเติมโมเลกุลนํÊา H2O จะเป็นการเติมหมู่ –H กับ –
OH เข้าไปทีÉตําแหน่งพันธะไม่อิÉมตัว ซึÉงการเติมหมู่ –H กับ –OH หมู่ใดจะเข้าไปทีÉ C ตัวใดของพันธะไม่อิÉมตัว (ในทีÉนีÊ
คือ C=C) ก็ได้ ผลิตภัณฑ์ทีÉได้คือแอลกอฮอล์จะมี 2 ชนิด เช่น
+ H2O
H2SO4 +
H
H
H
OH
H
HH
OH
H
H
13
20. จากทีÉโจทย์กําหนดให้ว่าเมืÉอเติมนํÊาแล้ว “ได้ผลิตภัณฑ์เพียงชนิดเดียว” แสดงว่าแอลคีนสารตัÊงต้นมี
“ระนาบสมมาตร” ผ่านพันธะคู่ ซึÉงเมืÉอเติมหมู่ –H กับ –OH หมู่ใดจะเข้าไปทีÉ C ตัวใดก็ไม่แตกต่างกัน (ได้ผลิตภัณฑ์
ชนิดเดียวกัน) ดังนัÊนคําตอบทีÉเป็นไปได้คือข้อ 2 กับข้อ 3
+ H2O
H2SO4 H
HO
+ H2O
H2SO4 H
H
H
HO
H
H
โจทย์กําหนดต่อว่า “เมืÉอนําสาร B ไปทําปฏิกิริยาออกซิเดชันต่อจะได้สาร C มีสูตรโมเลกุลเป็น CŠHřŜO” การ
เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันเป็นการดึง –H ออกจากหมู่ –OH และ C ทีÉหมู่ –OH ต่ออยู่ ในกรณีข้อ 2 สาร B คือ
H
HO
ส่วนข้อ 3 คือ
H
H
H
HO
จะเห็นได้ว่าสาร B ของข้อ 2 ไม่มี –H ต่ออยู่ทีÉ C ทีÉหมู่ –OH ต่ออยู่ ดังนัÊนจึงเกิดปฏิกิริยา
ออกซิเดชันไม่ได้
29. สาร X และ Y มีสูตรโมเลกุล C5H8O2 เหมือนกัน ทําการทดสอบได้ผลดังตาราง
สาร
รีเอเจนต์
โลหะ Na NaHCO3(aq) Br2/CCl4 สารละลายเบเนดิกต์
X ไม่เกิด ไม่เกิด ฟอกสีอย่างรวดเร็ว ไม่เกิด
Y ไม่เกิด ไม่เกิด ไม่เกิด เกิดตะกอนสีแดงอิฐ
ข้อใดควรเป็นสูตรโครงสร้างของสาร X และสาร Y ตามลําดับ
OH
O
O CHO
O OMe
O
O
O
OMe O
O
O OMe O CHO
1)
2)
3)
4)
14
21. ตอบ ข้อ 2 วิธีคิด สารละลายเบเนดิกต์ให้เกิดตะกอนสีแดงอิฐกับแอลดีไฮด์ Br2 ถูกฟอกสีด้วยคาร์บอนทีÉไม่อิÉมตัว
โลหะ Na ให้ฟองแก๊สกับ R-OH และ R-COOH ส่วน NaHCO3(aq) ให้ฟองแก๊สเฉพาะ R-COOH
30. พิจารณาสมบัติของสาร A, B, C และ D ดังต่อไปนีÊ
สาร
จุดเดือด
(q C)
การละลาย
ในนํÊา
การเผาไหม้
การทําปฏิกิริยา
กับ Na
การเปลีÉยนสี
กระดาษลิตมัส
การทําปฏิกิริยากับ
สารละลาย Br2 ในทีÉ
สว่าง
A 77 ละลายได้ดี ติดไฟ มีเขม่า ไม่เกิดปฏิกิริยา ไม่เปลีÉยนสี ไม่เปลีÉยนสี
B 78 ละลายได้ดี ติดไฟ ไม่มีเขม่า เกิดปฏิกิริยา ไม่เปลีÉยนสี ไม่เปลีÉยนสี
C 83 ไม่ละลาย ติดไฟ มีเขม่า ไม่เกิดปฏิกิริยา ไม่เปลีÉยนสี เปลีÉยนเป็นไม่มีสี
D 118 ละลายได้ดี ไม่ติดไฟ เกิดปฏิกิริยา เปลีÉยนสีจาก
นํÊาเงินเป็นแดง
ไม่เปลีÉยนสี
สาร A, B, C และ D อาจเป็นสารใดตามลําดับ
1. เอทานอล เอทิลแอซีเตต ไซโคลเฮกซีน กรดแอซีติก
2. เอทานอล เอทิลแอซีเตต กรดแอซีติก ไซโคลเฮกซีน
3. เอทิลแอซีเตต เอทานอล กรดแอซีติก ไซโคลเฮกซีน
4. เอทิลแอซีเตต เอทานอล ไซโคลเฮกซีน กรดแอซีติก
ตอบ ข้อ Ŝ วิธีคิด ดูการเปลีÉยนสีลิตมัสง่ายทีÉสุด สาร D เปลีÉยนสีลิตมัสจากนํÊาเงินเป็นแดงแสดงว่าเป็นกรด (ข้อ 1
และ 4 อาจถูก) เมืÉอพิจารณาสาร A ซึÉงไม่เกิดปฏิกิริยากับ Na แสดงว่าไม่ใช่แอลกอฮอล์
31. (PAT ’52) นําตัวยาพาราเซตามอล ซึÉงมีสูตรโมเลกุลเป็น C8H9O2N มาทําปฏิกิริยาต่างๆ เพืÉอวิเคราะห์หา
โครงสร้าง ได้ผลการทดลองดังต่อไปนีÊ
ก. สารละลายของพาราเซตามอลไม่มีฤทธิÍเป็นเบส
ข. นําพาราเซตามอลไปต้มกับสารละลายกรด HCl ได้ผลิตภัณฑ์ 2 ชนิด คือ สาร A และ สาร B
ค. สาร A มีกลิÉนเหมือนนํÊาส้มสายชู และเมืÉอทําปฏิกิริยากับ NaHCO3 จะได้ฟองแก๊สเกิดขึÊน
ง. สาร B เป็นสารประกอบทีÉมีวงเบนซีน และสามารถละลายนํÊาได้ดี
จ. เมืÉอนําสาร B จํานวน 1 โมลมาทําปฏิกิริยากับกรด HCOOH จํานวน 2 โมล ได้ผลิตภัณฑ์ทีÉเป็นสาร C
ซึÉงมีสูตรโมเลกุลเป็น C8H7O3N
15
22. พาราเซตามอลควรมีโครสร้างดังข้อใด
OH
H2N
O
NH2
HO
O
OHHN
O
NH2O
O
1. 2.
4.3.
ตอบ ข้อ 3 เนืÉองจาก
ผลการทดสอบ การแปลผล หมายเหตุ
ก. สารละลายของพาราเซตามอลไม่มีฤทธิÍเป็น
เบส
แสดงว่าไม่มีหมู่ –NH2 ข้อ 2. และ ข้อ 4. ผิด
ข. นําพาราเซตามอลไปต้มกับสารละลายกรด
HCl ได้ผลิตภัณฑ์ 2 ชนิด คือ สาร A และ สาร
B
เกิดไฮโดรลิซิส
พาราเซตามอลt A + B
แสดงว่าพาราเซตามอลเป็นเอส
เทอร์หรือเอไมด์ (ข้อ 2. ผิด)
ค. สาร A มีกลิÉนเหมือนนํÊาส้มสายชู และเมืÉอทํา
ปฏิกิริยากับ NaHCO3 จะได้ฟองแก๊สเกิดขึÊน
สาร A เป็นกรดแอซิติก เมืÉอไฮโดรลิซิสแล้วได้กรดแอซิติก
(ข้อ 3 ถูก)
ง. สาร B เป็นสารประกอบทีÉมีวงเบนซีน และ
สามารถละลายนํÊาได้ดี OHHN
O
HCl (aq)
OHH2N
O
OH
+
A B
จ. เมืÉอนําสาร B จํานวน 1 โมลมาทําปฏิกิริยากับ
กรด HCOOH จํานวน 2 โมล ได้ผลิตภัณฑ์ทีÉ
เป็นสาร C ซึÉงมีสูตรโมเลกุลเป็น C8H7O3N
OHH2N H
O
OH
+
B
2 OHN
H
O
H
O
C8H7O3NC
32. (PAT ’52) จากข้อมูลในข้อ 37 สารใดไม่ทําปฏิกิริยากับโลหะ Na
1. พาราเซตามอล 2. สาร A 3. สาร B 4. สาร C
ตอบ ข้อ 4 เนืÉองจากโลหะ Na สามารถทําปฏิกิริยาได้ทัÊงกับหมู่ –COOH และ –OH
16
30. 13. (GAT-52) ถ้านํากรดอะมิโนสองชนิด คือ ไกลซีนและอะลานีน ชนิดละ ř โมล มาต้มรวมกันโดยมีกรดเป็นตัวเร่ง
ปฏิกิริยา จะได้ผลิตภัณฑ์เฉพาะทีÉเป็นสารประกอบไดเพปไทด์ทัÊงสิÊนกีÉชนิด
H2N
OH
O
H2N
OH
O
ไกลซีน (Gly) อะลานีน (Ala)
ř) 1 ชนิด Ś) Ś ชนิด ś) 3 ชนิด Ŝ) 4 ชนิด
ตอบ ข้อ 2 สารประกอบไดเพปไทด์ทีÉได้ = n! = 2 u 1 = 2
H2N
N
H
O
OH
O
H2N
N
H
O
OH
O
14. สตัลลิมัยซินเป็นสารแอนติไบโอติกและต้านไวรัส ได้จากเชืÊอสเตร็บโตมัยซิน มีโครงสร้างดังรูป
N
CH3
O
N
H
N
CH3
O
N
H
C
NH
NH2
HCONH
CH3
H
N
O
N
ข้อใดเป็นผลิตภัณฑ์ทีÉได้จากปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของสตัลลิมัยซิน
1.
CH3
N CONH2
HCONH2 CH3CH2 C
NH
NH2
H2NCH2CH2 C
NH
NH2HCOOH
CH3
N COOH
H2N
2. 3
3
33.
CH3
N
HCONH
HCONHCH2CH2 C
NH
NH2
HOOCCH2CH2 C
NH
NH2
CH3
N
HCONH
NH2
4. 3
24
31. ตอบ ข้อ 2
ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของเพปไทด์จะตัดทีÉพันธะเพปไทด์ ด้าน C=O จะได้รับ OH จากนํÊา ส่วนด้าน N จะ
ได้รับ H จากนํÊา
15. (O-Net ’ŝř) โปรตีนทีÉมีสูตรโครงสร้างต่อไปนีÊ
N C
H
HH
C
O
N
H
C
H
H
C
O
N
H
C
H
CH3
C
O
เฉพาะส่วนทีÉแสดงนีÊมีพันธะเพปไทด์กีÉพันธะ เกิดจากกรดอะมิโนกีÉโมเลกุลและมีจํานวนกรดอะมิโนกีÉชนิด
จํานวนพันธะเพปไทด์ จํานวนโมเลกุล จํานวนกรดอะมิโน
1) 2 2 3
2) 2 3 2
3) 3 3 2
4) 3 4 3
ตอบ ข้อ 2
N C
H
HH
C
O
N
H
C
H
H
C
O
N
H
C
H
CH3
C
O
1 2 3
16. (GAT-52) Thyrotropin-releasing hormone มีโครงสร้างเป็นเพปไทด์สายสัÊนๆ ดังภาพ
O
H
N
NHN
N
NH
H2N
O
O
O
25
32. หากฮอร์โมนนีÊจํานวน ř โมล เกิดปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสอย่างสมบูรณ์ด้วยสารละลายกรด จะได้ผลิตภัณฑ์ทีÉมี
โครงสร้างเป็นกรดอะมิโนทีÉแตกต่างกันทัÊงสิÊนกีÉชนิด
ř) 1 ชนิด Ś) Ś ชนิด ś) 3 ชนิด Ŝ) 4 ชนิด
ตอบ ข้อ 3 เพราะเมืÉอทําปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสอย่างสมบูรณ์ “พันธะเพปไทด์” จะถูกตัดดังภาพ
O
H
N
NHN
N
NH
H2N
O
O
O
O
NH2
N
NH
OH
HO
NH2
O
HO O
N
H
HO
O
17. (PAT ’52) ปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสในสารละลายกรดด้วยการต้มของสารใด ไม่ได้ผลิตภัณฑ์เป็นแอลฟาอะมิโน-
แอซิด
H
N
O
NH2
O
H
N
H2N
O
HN
O
NH2
NH
O
H2N
1. 2.
4.3.
ตอบ ข้อ 3 เพราะเมืÉอไฮโดรลิซิสจะได้เบต้าอะมิโนแอซิดดังแสดง
26
33. H
N
O
NH2
O
H
N
H2N
O
HN
O
NH2
NH
O
H2N
1.
2.
4.
3.
hydrolyse
H2N
O
OH
HO
O
NH3
hydrolyse
NH3
H
N
HO
O
hydrolyse
OH
O
NH2
NH2
OH
O
H2N
hydrolyse
NH2
E
D
D
D
D
18. (PAT#2 ’52) ทราพอกซิน บี (trapoxin B) เป็นสารอินทรีย์ทีÉสกัดได้จากสาหร่ายชนิดหนึÉง พบว่ามีฤทธิÍในการ
ต้านเซลล์มะเร็ง มีโครงสร้างดังนีÊ
ข้อใดไม่ถูกเกีÉยวกับทราพอกซิน บี
1. เป็นสารประกอบประเภทเททระเพปไทด์
2. ประกอบด้วยกรดอะมิโน 4 โมเลกุล
3. ประกอบจากพันธะเพปไทด์ 4 พันธะ
4. เมืÉอทําปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสโดยสมบูรณ์จะได้
โมเลกุลขนาดเล็กออกมา 4 ชนิด
ตอบข้อ 4 เพราะทราพอกซิน บี เป็นเททระเพปไทด์แบบวงเกิดจากกรดอะมิโน 4 โมเลกุล (ไม่จําเป็นต้องเป็นคนละ
ชนิด) มาต่อกันด้วยพันธะเพปไทด์ 4 พันธะ (ในวงรีสีนํÊาเงิน) เมืÉอทําปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสโดยสมบูรณ์จะได้โมเลกุล
ขนาดเล็กออกมาเพียง 3 ชนิด (เพราะมี 2 โมเลกุลทีÉเป็นชนิดเดียวกัน)
HNN
NH HN
O
O
O
O
O
O
27
34. HNN
NH N
O
O
O
HO
O
O
H
H2N
O
O
O
HO
NH2
O
HO
NH
O
OH
19. (PAT ’52) แอสปาร์แตม (aspartame) เป็นเมทิลเอสเทอร์ของสารประกอบเพปไทด์สายสัÊน ใช้เป็นสารให้ความ
หวานแทนนํÊาตาล มีโครงสร้างประกอบจากกรดอะมิโนสองชนิดดังนีÊ
HO
HO
NH2
O
O
HO
NH2
O
กรดแอสปาติก (Asp) ฟีนิลอะลานีน (Phe)
ถ้าโครงสร้างของแอสปาร์แตมเป็นดังภาพ
H3CO
H
N COOH
O
O
NH2
ข้อใดแสดงสูตรอย่างย่อของแอสปาร์แตมถูกต้อง
1. CH3O·Phe-Asp 2. CH3O·Asp-Phe 3. Phe-Asp·OCH3 4. Asp-Phe·OCH3
ตอบ ข้อ 4 เพราะ หลักการเขียนสูตรอย่างย่อของเพปไทด์ต้องให้ปลายด้าน N (หมู่ –NH2 ทีÉอยู่ตําแหน่ง D กับหมู่ –
COOH) อยู่ด้านซ้าย และปลายด้าน C (หมู่ –COOH) อยู่ด้านขวา ดังนัÊนต้องกลับโมเลกุลของแอสปาร์แตมดังนีÊ
28
35. OCH3
H
NHOOC
O
O
NH2
Asp
Phe จึงมีสูตรอย่างย่อเป็น Asp-Phe·OCH3
20. (O-Net ’53) กําหนดโครงสร้างของกรดอะมิโน A, B และ C โดย A และ B เป็นกรดอะมิโนจําเป็น
ข้อความใดถูกต้อง
1) เพปไทด์ทีÉประกอบด้วยกรดอะมิโนทัÊง 3 ชนิด ข้างต้นโดยไม่มีกรดทีÉซํÊากันมีทัÊงหมด 3 ชนิด
2) เพปไทด์ทีÉเกิดจากกรด A และกรด B ทําปฏิกิริยากับ CuSO4 ในสภาวะเบสให้สารสีม่วง
3) เพปไทด์ทีÉเกิดจากกรด A กรด B และกรด C เป็นไตรเพปไทด์ทีÉมีจํานวนพันธะเพปไทด์ 3 พันธะ
4) ในร่างกายมนุษย์จะไม่พบโปรตีนทีÉมีกรดอะมิโน A และ B เป็นองค์ประกอบ
ตอบ ข้อ 2 เพราะเพปไทด์เมืÉอทดสอบกับ CuSO4 ในสภาวะเบสให้สารสีม่วง (A=กรดลิวซีน B=กรดวาลีน C=เซอรีน)
21. องค์ประกอบใดของ นิวคลิโอไทด์ของ DNA ต่างจาก RNA
1) หมู่ฟอสเฟต 2) นํÊาตาลไรโบส 3) N-เบส 4) ถูกข้อ 2 และ 3
ตอบ ข้อ 4 เพราะ DNA มี deoxyribose เป็นองค์ประกอบ ส่วน RNA เป็น ribose สําหรับ N-เบส RNA จะใช้ยูราซิล
(Uracil (U)) แทนไทมีน (Thymine (T)) ใน DNA
22. (O-Net ’53) กําหนดสาย X ของกรดดีออกซีไรโบนิวคลีอิกชนิดหนึÉงมีลําดับของเบสดังนีÊ
(A = อะดีนีน, C = ไซโตซีน, G = กวานีน, T = ไทมีน)
สาย Y ทีÉเป็นคู่ของสาย X จะมีลําดับเบสเป็นไปตามข้อใด
ปลายด้าน N
ปลายด้าน C
ตอบ ข้อ 3 เพราะ A จับกับ T และ C จับกับ G
29
36. 23. โดยสารประกอบไคตินเป็นพอลิเมอร์ทีÉมีโครงสร้างดังรูป
เมืÉอนําเปลือกกุ้งมาแยกไคตินออกแล้วทํา
ปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสด้วยกรดแล้วจะได้ผลิตภัณฑ์
ทีÉเป็นพอลิ-
เมอร์ชนิดใหม่ทีÉชืÉอว่าไคโตซาน มอนอเมอร์ของ
ไคโตซานมีสูตรโมเลกุลตามข้อใด
1. C6H10O5 2. C6H12O6 3. C6H13NO5 4. C8H15NO6
ตอบ ข้อ 3 เพราะเมืÉอไฮโดรลิซิสไคตินด้วยกรดจะเกิดการสลายพันธะอีเทอร์ (-O-) ได้เป็น –OH 2 หมู่และเอไมด์
(-HN-CO-) ได้เป็นหมู่ –NH2 กับ –COOH ดังแสดง
O
O
O
O
O
O
HO HO HO
HO HOHO NH NH NH
O O O
O
O
O
O
O
O
HO HO HO
HO HOHO NH2 NH2 NH2
H+
heat
(hydrolysis)
HO
O
OH
HO
HO NH2
HO
O
OH
HO
HO NH2
- H2O
Chemical Formula: C6H12NO5
+
OH
O+
(monomer)
Chitin
Chitosan
O
O
O
O
O
O
HO HO HO
HO HO HONH NH NH
OOO
24. (O-Net ’51) ในการทดสอบอาหารเช้าชุดหนึÉงได้ผลดังนีÊ
สาร วิธีการทดสอบ ผลทีÉสังเกตได้
ก เติมสารละลายไอโอดีน สารละลายสีนํÊาเงิน
ข เติมสารละลายเบเนดิกต์ สารละลายสีฟ้ า ไม่มีตะกอน
ค เติมสารละลาย NaOH และ CuSO4 สารละลายสีม่วง
ง แตะบนกระดาษ โปร่งแสง
อาหารทีÉนํามาทดสอบ น่าเป็นชุดใดดังต่อไปนีÊ
1) มันทอด + นํÊาอัดลม 2) สลัดผลไม้ + นมเปรีÊยว
3) มันฝรัÉงบด + นํÊาผลไม้ 4) ขนมปังทาเนย + นมถัÉวเหลือง
ตอบ ข้อ Ŝ เพราะ สาร ก. เป็นแป้ ง ข. ไม่ใช่นํÊาตาลโมเลกุลเดีÉยว ค. เป็นโปรตีน/เพปไทด์ ง. นํÊามัน
30
39. 2. สารใดคือยางมะตอย(หรือบิทูเมน)และสารใดจุดเดือดตํÉาสุด
1. D และ A
2. E และ A
3. E และ D
4. C และ E
ตอบข้อ 2 เพราะยางมะตอยเป็นส่วนทีÉเหลือจากการกลัÉน คือ สาร E
สําหรับสาร A ทีÉออกมาบนสุดเป็นแก๊สซึÉงมีจุดเดือดตํÉาสุด
3. สูตรโครงสร้าง เลขออกเทนและจุดเดือดของผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมปิโตรเลียมในตารางข้างล่างนีÊข้อใดบ้าง
ทีÉถูกต้องตามชืÉอข้างหน้า
ชืÉอสาร สูตรโครงสร้าง เลขออกเทน จุดเดือด (qC)
1. ไอโซออกเทน
H2C
CH3
CH2 CH2 C
CH3
CH3
CH3
100 99
2. ไอโซออกเทน
H3C CH CH2 C
CH3
CH3
CH3CH3
100 99
3. เบนซิน ไฮโดรคาร์บอน - มีคาร์บอน 6 - 10 อะตอม 100 70 - 150
4. เบนซิน 100 80
5. เฮปเทน H3C CH2 CH2 CH2 CH2 CH2 CH3
0 98
6. เฮปเทน H3C CH CH2 CH2 CH2 CH3
CH3
0 98
1. 1, 3, 5 2. 2, 3, 5 3. 1, 4, 5 4. 2, 3, 6
ตอบข้อ 2
นํÊามันดิบ
ให้ความร้อน
น◌ําม◌ันด◌ิบ◌้
ให◌้ความร◌้อน
A
B
C
D
E
นํÊามันดิบ
ให้ความร้อน
33
40. 4. (GAT’ 53) เมืÉอนํายางชนิดหนึÉงทีÉมีสมบัติยืดหยุ่นมาเผาไฟ พบว่าเกิดแก๊สทีÉละลายนํÊาแล้วได้สารละลายทีÉมีฤทธิÍ
เป็นกรด ชนิดของยางและแก๊สทีÉเกิดขึÊนเป็นข้อใด
ชนิดของยาง ควันทีÉเกิดจากการเผา
1) ซิลิโคน SiOŚ
2) ยางวัลคาไนซ์ SOŚ
3) พอลิไวนิลแอซีเตท HCl
4) ไนลอน ŞŞ NHś
ตอบข้อ 2 เพราะยางวัลคาไนซ์เป็นยางดิบทีÉนําเอาไปอบกับกํามะถัน (S8) เมืÉอนําไปเผาจะได้แก๊ส SOŚซึÉงเมืÉอรวมกับ
ออกซิเจนจะได้แก๊ส SO3 และเมืÉอละลายนํÊาจะได้สารละลาย H2SO4 ทีÉมีฤทธิÍเป็ นกรด ส่วนพอลิไวนิล
แอซีเตท ไม่มี Cl เป็น องค์ประกอบ
5. (PAT#1-’53) พอลิเมอร์แบบกิÉงสามารถเตรียมได้จากปฏิกิริยาระหว่างเอทิลีนและสารใด
ř) acetylene Ś) butadiene ś) ethylene glycol Ŝ) hexane
ตอบข้อ 4 เพราะเอทิลีนเป็นไฮโดรคาร์บอนชนิดไม่อิÉมตัวจะปฏิกิริยาพอลิเมอร์แบบเติม ถ้ามอนอเมอร์ทีÉมา
เกิดปฏิกิริยาด้วยมีพันธะไม่อิÉมตัว (C=C) อยู่ทีÉหัว-ท้ายของโมเลกุลจะเกิดพอลิเมอร์แบบโซ่ตรง
HC CH H2C CH CH CH2 H2C CH
OH
H2C CH CH2 CH2 CH2 CH3
Acetylene Butadiene Ethylene glycol Hexene
H2C CH2
Ethylene
= จุดเชืÉอมต่อของโมเลกุล
6. ข้อความเกีÉยวกับพอลิเมอร์ซึÉงมีโครงสร้างดังนีÊ
C
O
C O CH2CH2 O
O
n
ก) เป็นโคพอลิเมอร์แบบเส้น
ข) จัดอยู่ในกลุ่มพอลีเอสเทอร์
ค) สามารถสังเคราะห์ได้จากการควบแน่นของเอทิลีนกับกรดเทเรพทาลิก ( COOHHOOC
)
CH2 CH
O
C
O
n
CH3
34
41. ข้อใดถูก
ř) ก. และ ข. เท่านัÊน Ś) ข. และ ค. เท่านัÊน ś) ก. และ ค. เท่านัÊน Ŝ) ก., ข. และ ค.
ตอบ ข้อ 1 เพราะข้อ ค. ผิด เนืÉองจากพอลิเอสเทอร์นีÊสังเคราะห์มาจาก HO
O
OH
O
กับ HOCH2CH2OH
7. (PAT#1-’53) พอลิเมอร์แลคไทด์เป็นพอลิเมอร์ทีÉย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ มีโครงสร้างดังรูป
HO
O
O
OH
O
O
O
n
สามารถเตรียมได้จากปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชันของสารใด
1)
O
O
O
O
2) O
Cl
Cl
3) O
OH
Cl
4) ถูกทัÊงข้อ 2) และ 3)
ตอบ ข้อ 1 เพราะพอลิแลคไทด์ (polylactide) ผลิตจากไดแลคไทด์ (dilactide) ไม่ได้ผลิตจากกรดแลคติก (lactic
acid) โดยตรง เพราะจะทําให้พอลิเมอร์ไม่ได้ขนาด (โมเลกุลมีขนาดเล็กกว่าทีÉต้องการ)
HO
OH
O
O
O O
O
HO
O
O
O
O
O
OH
n
Ring openning
Polymerization
DilactideLactic acid
Oligomerization
Depolymerization
Polylactide
8. (PAT-52) จากสมการ
O
O
A
H3O+/'
B + C
กําหนดให้ B มีนํÊาหนักโมเลกุลมากกว่า C ข้อใดไม่ถูกต้อง
1) 1.กระบวนการพอลิเมอไรเซชันทีÉเกิดขึÊนเป็นปฏิกิริยาการเติม
2) 2. สาร A เป็นพอลิเมอร์แบบเส้นตรง
3) สาร B และสาร C ไม่เป็นพอลิเมอร์
4) สาร C มีฤทธิÍเป็นกรด
ตอบ ข้อ 3 เนืÉองสาร B ยังคงเป็นพอลิเมอร์ ดังสมการ
พอลิเมอไรเซชัน
35
42. O
O
A
H3O+/'
O O
n
OH
n
B C
+
HO
O
9. (O-Net’ 51) เปรียบเทียบสาร A และ B ซึÉงมีสูตรโครงสร้างดังต่อไปนีÊ
ข้อสรุปใดถูก
1) จุดหลอมเหลวของ A น้อยกว่า B
2) A ละลายนํÊาได้ส่วน B ไม่ละลายนํÊา
3) A และ B เป็นสารไฮโดรคาร์บอนทีÉไม่อิÉมตัว
4) B เกิดจากมอนอเมอร์ทีÉมากกว่า A ออยู่ ŝšŜ โมเลกุล
ตอบข้อ 4 เพราะ A และ B เป็นพอลิเมอร์ประเภทเดียวกัน แต่ B มีขนาดโมเลกุลทีÉใหญ่กว่า A
36
44. 4. 1s
, s
, p
, s,
, p
1. Ar , S-
. P+
, Co+
. Sc , Cl-
. Br , Ca+
5.
ř. 1s+
, s
, p
, s ,
p
.1s+
, s
, p
, s ,
p
,d1
, s
. 1s+
, s
, p
, s ,
p
. 1s+
, s
, p
, s ,
p
6.
1. BBr3 , PH3 , NF3 . 3
3PO , 2
3SO , 3ClO
SO3, HgCl2 , CO2 . H2S , Br2S . O3
7. A,B,C D
A
B
C
D
D
DA DA
A BA
B D
D
IE1 = 9. kJ / mol , IE = , k /mol
ř. D , B , A ,C . A , B , C , D .D , A , C , B . B , A , D , C
8. X , Y Z
. Z 20
. X Z M Y2-
X
. X Y n Z ( n + 1 )
1. Y X
. X Y
. Y 1s
,s
, p
,s
,p
,s
,d
. X
38
45. . Z = = , , ,
Z II 4
. X Z m = Y m + =
. X Y n =
Z ( n + ř) n + 1 =
X ,Y ,Z
II VI
3 X (2 , , ) Y ( 2 , , )
(1s
,s
,p
,s
,p4
)
4 Z (2 , , , )
ř IE ,EN
2 I
3 I , II
š.
. .
. .
. ZnS . SiO
ř. , 2. , 3. , 4. ,
39
46. โจทย์พันธะเคมี
ř. ธาตุในข้อใดทีÉเป็นไอโซโทปกับธาตุทีÉมีสัญลักษณ์เป็น 11
5 A
ř. 12
5 B Ś. 12
6 B ś. 11
5 B Ŝ. 11
6 B
วิธีทํา ธาตุเป็นไอโซโทปต้องมีเลขอะตอมเท่ากันแต่เลขมวลต่างกันหรือมีจํานวนนิวตรอนไม่เท่ากัน
ดังนัÊน A
Z X 11
5 A = 12
5 B
Ś. ธาตุ ś ชนิดมีสัญลักษณ์นิวเคลียร์ คือ 8
4 A 27
13 B 35
17 C
ข้อใดเป็นสูตรเคมีของสารประกอบฟลูออไรด์ของธาตุทัÊงสามชนิดตามลําดับ
ř. AF BF3 CF2 2. AF B2F3 CF3
3. AF2 B2F3 CF3 4. AF2 BF3 CF
วิธีทํา 4A เรียง e- = 2 . 2 เป็นธาตุหมู่ II ไอออน = A2+
13B เรียง e- = 2 . 8 . 3 เป็นธาตุหมู่ III ไอออน = B3+
17C เรียง e- = 2 . 8 . 7 เป็นธาตุหมู่ VII ไอออน = C+1
, C-
สารประกอบฟลูออไรด์ แสดงว่าไอออนคือ F-
ดังนัÊนสารประกอบของธาตุ A , B , C = AF2 , BF3 , C
3. พิจารณาข้อความต่อไปนีÊ
ก. เกลือแกงและโซดาไฟ เป็นสารประกอบของโลหะหมู่ IA
ข. สารประกอบไอออนิกทีÉมีสถานะเป็นของแข็งสามารถนําไฟฟ้ าได้
ค. โลหะแทรนฐิชันมีสมบัติทางกายภาพเหมือนโลหะหมู่ IA และ ŚA
ข้อใดกล่าวถูกต้อง
ř. ก และ ข Ś. ข และ ค
ś. ก และ ค Ŝ. ก , ข , ค
วิธีทํา พิจารณาจากโจทย์กําหนด ข้อ ข ผิด เพราะสารประกอบไออนิกเช่น NaCl (s) นําไฟฟ้ าไม่ได้
Ŝ. ข้อใดมีสภาพขัÊวเหมือนกันทัÊงหมด ( GAT + PAT มี.ค.ŝś)
ř. CHCl3 H2O CS2 2. CCl4 CO2 BF3
3. PCl5 SO2 BeCl2 4. NH3 HCl CO2
วิธีทํา หลัก ตามหาสารประกอบของหมู่ II, III , IV ทีÉมีตัวล้อมอะตอมกลางเหมือนกันแสดงว่าเป็นโมเลกุล
ไม่มีขัÊว
Cl
F
C Cl , O = C = O , B
Cl Cl F F
40
47. .
ř. CCl NH XeF . BF NH PCl
. BrF PCl IF . HO SO O
ř. EN
2.
IV V VI VII
6.
. Xe XeF
+
XeOF XeO
-
HXeO
-
+6
. XeF Xe
. Xe XeF XeF
+
( Xe = )
ř. 2.
3. 4. ,
Xe VIII
F-
= 6
1. ( Chemical bond )
4
octet
EN IE
ř. ( )
2. cation ( = )
C N
O F
O
H H
S
O
O O
O
O
41
48. 3. ( )
4.
EN IE
ř. ( )
2. anion ( )
3. ( )
+ ion + ion
řř Nao
+ 1Clo
Na+
+ Cl-
Na-Cl
,,1 ,, , ,,
(+11,-11) (+1,-1) (+11,-1) (+1,-1)
+
ř.
šF + 9F F – F F
, , ,7 ,7
.
1H + 1Cl H+
- Cl-
HCl
1 ,,7 -----,,
EN
H-Be-H , O = C = S , H – Be – Cl , O = C = O EN
+ ( )
- H N NH
- H O HO , R/
OH , RCOOH CHOH , HCOOH , CHCOOH
- H F HF
Ionic bond 5
1. Sublimation Energy; Esu
. Dissociation Energy; D(X-X)
. Ionisation Energy; IE
F2ee
e
e
ee
e
e
F2e
e
e
e
ee
e
e
e
e
ee
e
e
e
e
eH Cl 8
42
49. . Electron affinity; EA
. ( )Lattice Energy; E latt
Na (s) + ½ Cl ((g) Na+
Cl—
(s)
( ) + Esub ( 2 ) +D(X-X) () - Elatt
Na (g) Cl (g) Cl—
(g) + Na+
(g)
(4) -EA
() +IE
Covalent bond
valence bond
ř. ground state
. Excited state
. hybridized state
P
P P
1
C
Be B C
s p p p ps s p p
sp- hybrid sp-hybrid
2
sp-hybrid
3
C
s
C
p,pp
pp
C
p
sp,p2
sp3
C C
C
43
50. C
__
_
_
N_ _
_
00
O_ _
00
00
_
F
00
00
00
C H
(aliphatic hydrocarbon) alkane alkene alkyne C2H6 C2H4 C2H2
Ś
I II III IV V VI VII VIII
3Li Be B C N O F 10Ne
EN 1.0 1.5 2.0 2.5 .0 .5 4 .0 -
Ox No +1 +2 + +4 +5 +6 +7
S Cl
Ox No -4 - -2 -1
C4-
N-
O2-
F-
CH4 NH OH2 FH or HF
2
3CO 3NO 2
4SO 3ClO
= 3 3 Ŝ Ŝ
( ) = ½ ( + )
( O )
ř. C / CO
2-
3 , Ś. (O) , 3. O Ś , Ŝ. C Ŝ
, C N Ş
H
H
H
C
H
H
H
C_ _
_
_
_
_
_
C = CH
H H
H
_
_
_
_ H C = C H
__ _, ,
C
OO
O
C
OO
O
C C
O
O
O
44
51. , , , P , S , Cl 8
2
1.
ř.
2. ř.
2.
1.
.
3.
.
2. ( Rate)
= /
ř.
aA + b B c C + d D
Mg (s) + 2 HCl( aq) MgCl(a + H(g)
NaSO(aq) + 2HCl (aq) NaCl(aq) + SO(g) + HO(l) + S(s)
( H )
rate
ř. :
2. :
3. :
4. :
45
53. 3. 2Fe(NO)3 + KI 2 Fe(NO) 2 + I
Fe+
+ I-
Fe+
+ I
2(NH)2 Fe (SO )2 + I NHI + Fe(SO) + (NH)2SO
+
Fe+
+ I I-
+ Fe+
Fe+
+ I-
Fe+
+ I2
. Mg(s) + CuSO(aq) MgSO(aq) + Cu(s)
. [Co( HO)6]+
+ Cl-
[CoCl]-
+ HO
6. Fe+
+ SCN-
[Fe+
SCN-
]+
(aq)
aA + bB cC + dD
ř.
2. P V Boyle
I / C H2 6 14 +
I /KI2
KI
C H6 14+ =
=
pink
pink
pink
redish brown
redish brown
redish brown
47
54. . T H
H = m x s x t , m x s t H
ř. N(g) + H(g) 2NH(g) + H
K 1 / t
. NO(g) + H NO(g)
K t
K
ř. N(g) + H(g) 2NH(g) K = K1
3
22
2
3
1
]][[
][
HN
NH
K
2. 2NH (g) N (g) + H (g) K = K = 1 / K1
2
3
3
22
2
][
]][[
NH
HN
K =
1
1
K
. ř/2 N(g) + /H(g) NH(g) K = K = 1 / K1
2
3
2
2
1
2
3
3
][][
][
HN
NH
K =
2
1
1
1
K
time
concentration
HI
H
I
2
2
H + I HI22 2
48
55. A B
[ A ] Rate B
.
.
.1
.
.1
.
.
.1
[ A ] Rate B
R [ ] [ ] R
A B R [A ]n
ř A B R , [A ] 2 “ n ”
R [ A ]n
1 [ 1 ]n
………( ř)
[ ]n
……….( 2)
/1 [ ]n
n = 1
2 A C R [A ] 2 “ n ”
R [ A ]n
1 [ 1 ]n
………(ř)
4 [ ]n
……….(2)
/ 1 [ ]n
n =
3 A D R 2.25 [A ] ř.5 “ n ”
R [ A ]n
…………( ř)
1 [ 1 ]n
………….()
2/ř . /1 [ 1. ]n
/1
log . = n. log 1.
. = n. ( .11) , n =
49
56. (2)
(3) (4)
A
B
B
B
B
A
A
A
1. A B B A
A B
1.
A + B P (Product)
[A] = [B]
B A 2 ; B A
. ( ) ( )
[ ] [ ]
[ ] [ ]
60
20
ř00
40
80
E
40
20
ř00
80
60E
50
57. ř. ( ) ( )
2. ( ) ( )
3. ( ) ( )
4.
ř-3 4
. A + B E + F (R)
ř. R = k[A] . R = k[A][B]
. R = k[B] . Rc = Rd
R [ ]
Rate Law R = K[A]m
[B]n
B R A R
4. NO NO(g) NO(g)
(S) (atm)
NO NO
.
.
.
.
.
.
B
.
.
A
.
C
A
BR
51
58. A , B , C
A B C
1
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
NO(g) NO(g)
R =
0.050 0.033
20
=
0.000
20
A
; A = .1 x = .
.
ř
ř. I ( X) ( Y)
. Y = X
3.
. [ H+
] HI
ř , , 4
Rate Law : R = [ A ]m
[B]n
[C]p
[A] = [ I ] , [ B ] = [ CH-CO- CH] , [ C ] = [ H+
]
ř. X = ( 0.ř )m
( 0.ř )n
( 0.ř )p
……………. (1)
[I]
O
[ CH-C-CH]
[H+
]
ř 0.ř 0.ř 0.ř X
2 0.ř 0.2 0.ř X
3 0.2 0.2 0.ř X
4 0.2 0.ř 0.2 X
5 0.2 0.2 0.2 Y
52
59. R
[ I ]2
R
CH -C-CH
3 3
O
[ ]
X = ( 0.ř )m
( 0.2 )n
( 0.ř )p
……………..()
X = ( 0.2 )m
( 0.2 )n
( 0.ř )p
…………….. ()
X = ( 0.2 )m
( 0.ř )n
( 0.2 )p
…………….. ()
Y = ( 0.2 )m
( 0.2 )n
( 0.2 )p
…………….. ()
/1 = n
n = 1
/ 1 1 = m
m =
/ 1 = ( ř /2 )ř
(2) p = 1
ř X = k (0.ř) (0.ř) k = 1 X
5 Y = 1 X(0.2) (0.2 ) Y = X
R = 1 X [ CH- CO – CH] . [ H+
]
[ H+
] [ I]
I
( )
[H+
]
( )
( ) ( )
ř , ,
Rate Law : R = k [I]m
[CH-CO-CH]n
[ H+
]p
= 1 = m
, m =
[ I]
.
Mg(s) + HSO(aq) MgSO(aq) + H(g)
H 5 cm
53
60. H(cm
) ( s )
ř 4
2 6
3 š
4 ř4
5 20
( cm
)
H
ř.
2.
3.
4.
0.ř6
0.25
0.50
0.025
0.ř8
0.ř8
0.25
0.27
ř. 20 s = ?
. - s = ?
ř. 20 s =
5
20
= .
2 ( 3 – 5 ) = s =
2
11
= .1
.
ř.
.
3.
4.
54
61. 1.0
. A (aq) + B(aq) + C(aq) 3D(aq) + 2E (aq)
C = . x 1-
mol /L . Sec
ř. B = . x 1 -
mol / L .Sec
2. D = . x 1 -
mol / L .Sec
3. A = . x 1 -
mol / L .Sec
4. E = . x 1 -
mol / L .Sec
R
Rate Law : R = - 1 / RA = - R B = - ½ RC = + 1 / RD = + ½ R E
9.
2.0 D ř. A + B C + D
C . A + B C + D
. C + D A + B
B . D + C B + A
. A
B 2.0 0.5 B = .-. = 1.
A ř.0 0 A = 1.-. = 1.
ř.0 A + 1. B C + D
1.
ř. ř ř HCl 0.ř mol / dm
. 2 0.5 HCl . mol /dm
. ř HCl 0.ř mol / dm
. ř HCl 0.2 mol / dm
55