More Related Content
Similar to บทที่ 5 วินาศภัย
Similar to บทที่ 5 วินาศภัย (13)
More from chakaew4524 (8)
บทที่ 5 วินาศภัย
- 6. การประกันวินาศภัย ( Non-life
Insurance )
แบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลักดังนี้
1.การประกันอัคคีภัย (Fire Insurance)
คือการประกันภัยเพื่อคุ้มครองความ
เสียหายของทรัพย์สินที่เกิดจากไฟมาเผา
ผลาญ ซึ่งเมื่อเกิดภัยขึ้นแล้ว บริษัท
ประกันภัยชดใช้ค่าเสียหายให้ ซึ่งภัยที่
คุ้มครอง ได้แก่
- ไฟไหม้
- ฟ้าผ่า
- การระเบิดของแก๊สที่ใช้ครัวเรือน
- ความสูญเสียหรือเสียหายจากสาเหตุ
- 13. 3.แบบที่ให้ความคุ้มครองรวม เรียกกันทั่วไปว่า
“ ”ประกันประเภทหนึ่ง คือคุ้มครองทั้งความ
รับผิดต่อบุคคลและความเสียหายต่อตัว
รถยนต์
หลักการพิจารณาประกันภัยรถยนต์
ในการพิจารณาการรับประกันภัยรถยนต์นั้น
บริษัทประกันภัยจะถือหลักต่อไปนี้คือ
1. อายุของผู้เอาประกันภัย หรือผู้ขับขี่
ประจำาต้องมีอายุ ไม่ตำ่ากว่า 25 ปี
2. ผู้เอาประกันหรือผู้ขับขี่ประจำามีใบ
อนุญาตขับขี่ไม่ตำ่ากว่า 1 ปี
3. รถสปอร์ตไม่รับประกันภัย
4. รถกระบะที่ใช้บรรทุกวัตถุไวไฟและเชื้อ
- 14. 5. บริษัทจะพิจารณารับประกันภัยรถที่
มีอายุการใช้งานไม่เกิน 6 ปี สำาหรับรถญี่ปุ่น
และ 5 ปี สำาหรับรถอื่นๆ สำาหรับความ
คุ้มครองความเสี่ยงภัยทุกชนิด รวมถึงการชน
หรือพ่วงด้วย
6. บริษัทจะพิจารณารับประกันภัยรถที่
มีอายุการใช้งานเกิน 6 ปี สำาหรับความ
คุ้มครองความเสี่ยงภัยทุกชนิด แต่ยกเว้นการ
ชน หรือการพ่วงต่อ
รถ
- 17. ในการชดใช้ความเสียหายยังคงใช้หลัก
การประกันภัย เกี่ยวกับ
1. Subrogation (การสวมสิทธิ) ใน
กรณีที่ผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายถูกและคู่
กรณีต้องจ่ายค่าชดใช้ความเสียหาย ใน
กรณีนี้บริษัทจะจ่ายเงินให้ผู้เอาประกันภัย
ก่อน และบริษัทสวมสิทธิของผู้เอาประกัน
เรียกร้องความเสียหายกับคู่กรณี
2. Contribution (การเฉลี่ย) ถ้ารถ
คันดังกล่าวประกันไว้หลายบริษัท และเมื่อ
เกิดความเสียหายขึ้นบริษัทผู้รับประกันจะ
ร่วมกันเฉลี่ยชดใช้ค่าเสียหายให้
3. Indemnity (การชดใช้ตามความ
- 23. ผู้มีส่วนได้เสียที่อาจเอาประกันภัยได้ ได้แก่
1. เจ้าของ (Owner) ผู้เป็นเจ้าของ
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นสินค้า
หรือเรือที่ใช้ในการขนส่ง ย่อมจะเอา
ประกันภัยได้เท่ากับราคาของทรัพย์สินนั้น
สำาหรับผู้เป็นเจ้าของหรือยังอาจเอาประกัน
ภัยได้ถึงค่าระวางที่ตนได้รับด้วย ส่วนผู้เป็น
เจ้าของสินค้าก็อาจเอาประกันภัยกำาไรที่จะ
ได้รับจากการขายสินค้านั้นด้วย (โดยปกติ
บวกกำาไรอีก 10% ของราคาที่ขาย)
2. ผู้ครอบครอง (Procession) คือ ผู้ที่
ได้รับมอบหมายให้ควบคุมดูแลทรัพย์ ซึ่ง
ได้แก่ ผู้เช่าเรือ ผู้รับมอบหมายให้ทำาการ
- 24. 3. ผู้รับจำานองและผู้รับจำานำา
(Morgagee) ผู้รับจำานองเรือ เจ้าหนี้ของผู้
เป็นเจ้าของเรือหรือสินค้าที่อยู่ในระหว่าง
การขนส่ง ย่อมมีส่วนได้เสียที่อาจเอาประกัน
ภัยได้เท่ากับจำานวนหนี้
4. ผู้ขนส่ง (Carrier) ผู้ขนส่งมีความรับ
ชอบในความสูญเสียหรือเสียหายที่เกิดขึ้น
แก่ทรัพย์สินหรือสินค้าที่ผู้ขนส่งทำาการขนส่ง
จึงมีส่วนได้เสียที่อาจเอาประกันได้เท่ากับ
ราคาทรัพย์สินนั้นและอาจเอาประกันค่า
ระวาง ค่าขนส่ง และนายหน้าที่พึงได้รับใน
การขนส่งได้ด้วย
5. ผู้รักษาผลประโยชน์ของเจ้าหนี้
- 25. 6. ตัวแทน (Agent) ตัวแทนย่อมเข้าทำา
สัญญาประกันภัยในนามของตัวการผู้มีส่วน
ได้เสียในทรัพย์สินนั้นได้ แต่ต้องระบุว่า
ทำาการแทนตัวการตามอำานาจที่ได้รับมอบไว้
7. ผู้รับตราส่ง (Consignee) ในกรณีที่ผู้
ซื้อสินค้าหรือผู้รับตราส่งต้องรับผิดชอบเอง
ในความเสียหาย หรือสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นแก่
ทรัพย์สินที่ถูกส่งมาให้ จึงมีส่วนได้เสียเท่ากับ
จำานวนเงินที่ได้จ่ายไปล่วงหน้าแก่ผู้ซื้อหรือ
เท่าราคาสิทธิ แล้วแต่กรณี
- 27. 2. การประกันสินค้า เป็นการประกันสินค้าหรือ
ทรัพย์สินอันได้แก่ สินค้าที่ได้ทำาการขนส่งทางทะเล
หรือทางนำ้าจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง ซึ่งมีการ
คุ้มครองดังนี้
- T.L.O. (Total Loss Onty) รับผิดชอบสินค้าที่
ได้รับความเสียหายโดยสิ้นเชิง อันเนื่องมาจาก
เรือเกยหาด จมทั้งลำา ไฟไหม้
- F.P.A. (Free of Particular Average)
คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากเรือที่ใช้ขน
สินค้าประสบอุบัติเหตุจากไฟไหม้ ระเบิด ชนกัน
- W.A. (With Average) ความเสียหายเกิดจาก
ภัยธรรมชาติ เช่น พายุ คลื่นลม ฯลฯ
- A.R. (All Risk) คุ้มครองความเสียหายจาก
สินค้าทุกประเภทที่มีสาเหตุจากภายนอกและเป็น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดหมายระหว่าง
- 34. การประกันภัยเบ็ดเตล็ดมีประโยชน์ เช่น
เดียวกับการประกันภัย
ประเภทอื่น ๆ คือ
1. ช่วยสร้างความมั่นคงให้แก่สังคม
2. ช่วยส่งเสริมระบบเครดิต
3 .สนับสนุนให้เกิดการลงทุน
4. ทำาให้การแข่งขันทางด้านการ
ตลาดการประกันภัยมี ความ
เสมอภาคยิ่งขึ้น
5. ช่วยให้มีการะดมทุน
6. ช่วยส่งเสริมการป้องกันภัย
7. ทำาให้ผู้เอาประกันภัยมีความมั่นคง
มั่นใจในการดำาเนินธุรกิจ พ้นจากความ