SlideShare a Scribd company logo
1
คังคมาลชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๕. คังคมาลชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๔๒๑)
ว่าด้วยพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าคังคมาละ
(พระเจ้าอุทัยตรัสถามชายคนหนึ่งว่า)
[๓๖] แผ่นดินร้อนเหมือนถ่านเพลิง ระอุด้วยทรายที่ร้อนราวกับเถ้าถ่าน
ถึงอย่างนั้น เจ้าก็ยังพากเพียรร้องเพลงอยู่ แดดไม่แผดเผาเจ้าหรือ
[๓๗] เบื้องบนดวงอาทิตย์ก็ร้อน เบื้องล่างทรายก็ร้อน ถึงอย่างนั้น
เจ้าก็ยังพากเพียรร้องเพลงอยู่ แดดไม่แผดเผาเจ้าหรือ
(ชายคนนั้นกราบทูลว่า)
[๓๘] แดดหาแผดเผาข้าพระองค์ไม่
แต่แดดคือกามทั้งหลายย่อมแผดเผาข้าพระองค์ ขอเดชะพระมหาราชเจ้า
เพราะว่าความต้องการมีหลายอย่าง
ความต้องการเหล่านั้นย่อมแผดเผาข้าพระองค์ หาใช่แดดไม่
(พระเจ้าอัฑฒมาสกทรงเปล่งอุทานว่า)
[๓๙] นี่กาม เราได้เห็นรากเหง้าของเจ้าแล้ว เจ้าเกิดได้เพราะความดาริ
เราจะไม่ดาริถึงเจ้าอีก เจ้าจะไม่มีอย่างนี้อีกต่อไป
(พระเจ้าอัฑฒมาสกทรงแสดงธรรมแก่พสกนิกรว่า)
[๔๐] กามแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่เพียงพอ แม้มากก็ไม่อิ่ม โอหนอ
กามทั้งหลายคนพาลเพ้อราพันถึง กุลบุตรนักปฏิบัติพึงเว้นได้ขาด
(พระเจ้าอุทัยทรงเปล่งอุทานว่า)
[๔๑] การที่เราเป็นพระอุทัยราชาได้บรรลุถึงความเป็นใหญ่
นี้เป็นผลแห่งกรรมอันเล็กน้อยของเรา
การที่มาณพละกามราคะบวชนั้นชื่อว่าได้ลาภดีแล้ว
(พระราชชนนีของพระเจ้าพรหมทัตตรัสว่า)
[๔๒] สัตว์ทั้งหลายละกรรมชั่วได้ด้วยตบะ
แต่จะละภาวะแห่งช่างกัลบกและช่างหม้อด้วยตบะได้หรือ คังคมาละ
วันนี้เจ้าใช้ตบะข่มขี่ ร้องเรียกพระเจ้าพรหมทัตโดยพระนาม จะสมควรแลหรือ
(พระเจ้าพรหมทัตทรงห้ามพระราชชนนีว่า)
[๔๓] ขอเดชะเสด็จแม่ จงทอดพระเนตรผลในปัจจุบันเถิด
นี้เป็นผลแห่งขันติและโสรัจจะ
พวกหม่อมฉันพร้อมทั้งพระราชวงศ์และเสนาอามาตย์
ไหว้ท่านผู้ที่ชนทั้งปวงไหว้แล้ว
(พระเจ้าพรหมทัตทรงชี้แจงแก่พสกนิกรว่า)
2
[๔๔] ท่านทั้งหลายอย่าได้ว่าอะไรๆ ท่านคังคมาลมุนี
ผู้ศึกษาอยู่ในข้อปฏิบัติของมุนี
เพราะพระคุณเจ้ารูปนี้ได้ข้ามมหาสมุทรคือสังสารวัฏ
ซึ่งผู้ที่ข้ามได้แล้วปราศจากความเศร้าโศกเที่ยวไป
คังคมาลชาดกที่ ๕ จบ
-----------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
คังคมาลชาดก
ว่าด้วย กามทั้งหลายเกิดจากความดาริ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ
พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภอุโบสถกรรม จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้.
ความย่อมีว่า วันหนึ่ง พระศาสดาตรัสเรียกพวกรักษาอุโบสถมาแล้ว
ตรัสว่า
ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย ท่านทั้งหลายทาอุโบสถกรรมให้สาเร็จดีแล้ว
ผู้ที่รักษาอุโบสถควรให้ทาน รักษาศีล ไม่โกรธ เจริญเมตตา อยู่รักษาอุโบสถ
ก็บัณฑิตครั้งก่อนได้ยศใหญ่ เพราะอาศัยอุโบสถกรรมที่รักษาครึ่งวัน ดังนี้
พวกอุบาสกเหล่านั้นกราบทูลอาราธนา
จึงทรงนาเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี
ในพระนครนั้น มีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อว่า สุจิบริวาร มีสมบัติ ๘๐ โกฏิ
เป็นผู้ยินดีในบุญกุศล มีให้ทานเป็นต้น. บุตรภรรยาก็ดี บริวารชนของเขาก็ดี
โดยที่สุดแม้เด็กเลี้ยงโคในเรือนนั้นก็ดี ทั้งหมดพากันอยู่รักษาอุโบสถ เดือนละ ๖
วัน.
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลคนจนตระกูลหนึ่ง
รับจ้างเขาเลี้ยงชีพ เป็นอยู่ด้วยความลาบาก. พระโพธิสัตว์คิดว่า
เราจักทางานรับจ้าง จึงได้ไปยังเรือนของสุจิบริวารเศรษฐี ไหว้แล้วยืนอยู่ ณ
ที่สมควรแห่งหนึ่ง เมื่อท่านเศรษฐีถามว่า ท่านมาทาไม จึงกล่าวว่า
มาเพื่อรับจ้างทางานในเรือนของท่าน.
ท่านเศรษฐีได้เคยพูดบอกแก่ลูกจ้างคนอื่นๆ ไว้ในวันที่มาถึงว่า
ผู้ที่ทางานในเรือนนี้รักษาศีลทุกคน เมื่อท่านอาจรักษาศีลได้ ก็จงทางานเถิด.
แต่สาหรับพระโพธิสัตว์ ท่านเศรษฐีไม่ได้บอกให้รักษาศีล.
กล่าวรับพระโพธิสัตว์ว่า ดีแล้วพ่อ ท่านจงอยู่รับจ้างทางานเถิด.
นับแต่นั้นมา พระโพธิสัตว์เป็ นคนว่าง่าย ทุ่มเทชีวิต
มิได้คิดเห็นแก่ความเหนื่อยยากของตน ทางานทุกอย่างให้ท่านเศรษฐี.
พระโพธิสัตว์ไปทางานแต่เช้าตรู่ ในตอนเย็นจึงกลับมา.
3
อยู่มาวันหนึ่ง เขาป่าวประกาศมหรสพในพระนคร.
มหาเศรษฐีเรียกนางทาสีมาสั่งว่า วันนี้เป็ นวันอุโบสถ
เจ้าจงหุงข้าวให้พวกกรรมกรในเรือนแต่เช้าทีเดียว
ถึงเวลาเขาจักได้กินแล้วรักษาอุโบสถ. พระโพธิสัตว์ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ไปทางาน
ไม่มีใครบอกแก่พระโพธิสัตว์ว่า วันนี้ท่านพึงรักษาอุโบสถ
พวกกรรมกรที่เหลือบริโภคอาหารแต่เช้า แล้วรักษาอุโบสถ.
แม้ท่านเศรษฐีพร้อมด้วยลูกเมียบริวารชน ได้อธิษฐานอุโบสถ.
พวกที่รักษาอุโบสถแม้ทั้งหมด ไปที่อยู่ของตนๆ นั่งนึกถึงศีล.
พระโพธิสัตว์ทางานตลอดวัน กลับมาในเวลาที่พระอาทิตย์ตกแล้ว.
ลาดับนั้น พวกจัดอาหารได้ให้น้าล้างมือแก่พระโพธิสัตว์
แล้วคดข้าวใส่ถาดส่งให้.
พระโพธิสัตว์ถามว่า วันอื่นๆ ในเวลาเช่นนี้ได้มีเรื่องอื้ออึง
แต่วันนี้เขาไปไหนกันหมด เมื่อได้ฟังว่า ทุกคนสมาทานอุโบสถไปที่อยู่ของตนๆ
จึงคิดว่า เราเป็ นคนทุศีลคนเดียว จักอยู่ไม่ได้ในกลุ่มของคนผู้มีศีลเหล่านี้
เมื่อเราอธิษฐานองค์อุโบสถเดี๋ยวนี้ จักเป็ นอุโบสถกรรมหรือไม่หนอ คิดดังนี้แล้ว
จึงไปถามท่านเศรษฐี.
ลาดับนั้น ท่านเศรษฐีกล่าวกะพระโพธิสัตว์ว่า แน่ะพ่อ
จะเป็นอุโบสถกรรมไปทั้งหมดไม่ได้ เพราะไม่ได้อธิษฐานแต่เช้า
แต่ก็เป็ นเพียงกึ่งอุโบสถกรรมเท่านั้น. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เพียงเท่านี้ก็ช่างเถอะ
ได้สมาทานศีลในสานักของท่านเศรษฐี อธิษฐานอุโบสถแล้วเข้าที่อยู่ของตน
นอนนึกถึงศีลอยู่.
ครั้นราตรีล่วงเข้าปัจฉิมยาม ลมสัตถกวาตก็เกิดขึ้นแก่พระโพธิสัตว์
เพราะอดอาหารมาตลอดวัน. แม้ท่านเศรษฐีจะประกอบเภสัชต่างๆ
นามาให้บริโภค. พระโพธิสัตว์ก็กล่าวว่า
ข้าพเจ้าสมาทานอุโบสถแล้วโดยยอมสละชีวิตด้วยคิดว่า จักไม่ทาลายอุโบสถ.
เวทนากล้าแข็งได้เกิดขึ้น. เวลารุ่งอรุณ พระโพธิสัตว์ไม่อาจดารงสติไว้ได้
คนทั้งหลายคิดว่า พระโพธิสัตว์จักตายในบัดนี้ จึงได้นาไปให้นอนอยู่ ณ
ที่โรงเก็บอาหาร.
ขณะนั้น
พระเจ้าพาราณสีทรงรถพระที่นั่งทาประทักษิณพระนครด้วยบริวารใหญ่
เสด็จถึงที่นั้น. พระโพธิสัตว์ได้เห็นสิริราชสมบัติของพระเจ้าพาราณสี
เกิดความโลภอยากได้ราชสมบัติ. เมื่อดับจิตแล้ว
ได้ไปปฏิสนธิในครรภ์อัครมเหสีของพระเจ้าพาราณสี
ด้วยอานิสงส์แห่งอุโบสถกรรมกึ่งหนึ่ง. พระอัครมเหสีได้ครรภบริหารแล้ว
พอถ้วนทศมาสก็ประสูติพระราชโอรส.
4
พระประยูรญาติทั้งหลายพากันถวายพระนามว่า อุทัยกุมาร.
อุทัยกุมารนั้น ครั้นเจริญวัยแล้ว สาเร็จการศึกษาศิลปะทุกอย่าง
ระลึกถึงบุพพกรรมของตนได้ด้วยญาณเครื่องระลึกชาติ จึงเปล่งอุทานเนืองๆ ว่า
นี้เป็นผลแห่งกรรมเล็กน้อยของเรา ดังนี้.
ครั้นพระราชบิดาสวรรคตแล้ว ได้ครองราชสมบัติ
ทอดพระเนตรดูสิริราชสมบัติอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ แล้วเปล่งอุทานเช่นนั้นอีก.
อยู่มาวันหนึ่ง ชาวเมืองเตรียมการเล่นมหรสพในพระนคร
มหาชนพากันสนใจดูการเล่น. ครั้งนั้น บุรุษรับจ้างคนหนึ่ง
อยู่ใกล้ประตูทิศอุดรเมืองพาราณสี
เก็บทรัพย์กึ่งมาสกที่ได้มาด้วยการรับจ้างตักน้าไว้ที่ซอกอิฐกาแพงเมือง
ได้อยู่ร่วมกับหญิงกาพร้าคนหนึ่งซึ่งเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างตักน้าเหมือนกัน
ในพระนครนั้น.
หญิงนั้นกล่าวกะเขาว่า นาย ในพระนครเขามีมหรสพกัน
ถ้าท่านพอมีทรัพย์อยู่บ้าง แม้เราทั้งสองก็จะไปเที่ยวเล่นกัน. เขาตอบว่า จ๊ะ
เราพอมีทรัพย์.
มีเท่าไรนาย? มีอยู่กึ่งมาสก
ทรัพย์นั้นอยู่ไหน? ฉันเก็บไว้ในซอกอิฐใกล้ประตูทิศอุดร
ที่เก็บทรัพย์ไกลจากที่เราอยู่นี้ ๑๒ โยชน์ ก็ทรัพย์ในมือของเจ้า มีบ้างหรือ?
มีจ๊ะ มีเท่าไร? มีอยู่กึ่งมาสกเหมือนกัน
ทรัพย์ของเธอกึ่งมาสก ของฉันกึ่งมาสก รวมเป็ นหนึ่งมาสก
เราจักเอาทรัพย์นั้น ส่วนหนึ่งซื้อดอกไม้ ส่วนหนึ่งซื้อของหอม ส่วนหนึ่งซื้อสุรา
แล้วไปเที่ยวเล่นกัน ท่านจงไปนาทรัพย์กึ่งมาสกที่เก็บไว้มาเถิด.
บุรุษรับจ้างร่าเริงยินดีว่า ภรรยาเชื่อถือถ้อยคาของเรา จึงกล่าวว่า
น้องรักเจ้าอย่าวิตกไปเลย ฉันจักนาทรัพย์นั้นมา ดังนี้แล้วหลีกไป.
บุรุษรับจ้างมีกาลังเท่าช้างสาร เดินล่วงมรรคาไปได้ ๖ โยชน์
ครั้นเวลาเที่ยง เดินเหยียบทรายร้อนราวกะว่าถ่านไฟ
เขาร่าเริงยินดีเพราะอยากได้ทรัพย์ นุ่งห่มท่อนผ้ากาสาวะ ประดับใบตาลที่หู
เดินขับร้องเพลงเฉื่อยเรื่อยไปผู้เดียว เดินผ่านไปทางพระลานหลวง.
พระเจ้าอุทัยราชเปิดสีหบัญชรประทับยืนอยู่
ทอดพระเนตรเห็นบุรุษรับจ้างเดินมาอย่างนั้น ทรงพระดาริว่า
อะไรหนอที่ทาให้บุรุษนี้ไม่ย่อท้อต่อลมและแดดเห็นปานนั้น
มีความร่าเริงยินดีเดินร้องเพลงไป เราจักถามเขาดู ดังนี้
แล้วทรงส่งบุรุษไปคนหนึ่งให้เรียกมา.
เมื่อบุรุษนั้นไปบอกว่า พระราชาตรัสเรียกท่าน เขาตอบว่า
พระราชาเป็ นอะไรกับเรา เราไม่รู้จักพระราชา ดังนี้.
5
จึงถูกนาตัวไปโดยการใช้กาลัง ยืนอยู่ ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง.
ลาดับนั้น พระราชา เมื่อจะตรัสถามเขา ได้ตรัสคาถาสองคาถา
ความว่า :-
แผ่นดินร้อนเหมือนถ่านไฟ
ดารดาษไปด้วยทรายอันร้อนเหมือนเถ้ารึง เมื่อเป็นเช่นนี้
เจ้ายังทาเป็นทองไม่รู้ร้อน ขับเพลงอยู่ได้ แดดไม่เผาเจ้าดอกหรือ
เบื้องบนก็ร้อน เบื้องล่างก็ร้อน เมื่อเป็นเช่นนี้
เจ้ายังทาเป็ นทองไม่รู้ร้อน ขับเพลงอยู่ได้ แดดไม่เผาเจ้าดอกหรือ?
บุรุษรับจ้างนั้นได้ฟังดารัสของพระราชาแล้ว ได้กราบทูลเป็นคาถาที่
๓ ความว่า :-
ข้าแต่พระราชา แดดหาเผาข้าพระองค์ไม่
แต่ว่าวัตถุกามและกิเลสกาม ย่อมเผาข้าพระองค์ เพราะว่าความประสงค์หลายๆ
อย่างมีอยู่ ความประสงค์เหล่านั้น ย่อมเผาข้าพระองค์
แดดหาได้เผาข้าพระองค์ไม่.
ความว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ความประสงค์หลายอย่าง
กล่าวคือกิจการต่างๆ ที่จะต้องทา
เพราะอาศัยวัตถุกามและกิเลสกามของข้าพระองค์มีอยู่
วัตถุกามและกิเลสกามเหล่านั้นเผาข้าพระองค์ ส่วนแดดไม่ชื่อว่าเผาข้าพระองค์.
ลาดับนั้น พระราชาตรัสถามบุรุษรับจ้างว่า
ความประสงค์ของเจ้าเป็นอย่างไร?
เขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ
ข้าพระองค์อยู่ร่วมกับหญิงกาพร้าใกล้ประตูทิศทักษิณ นางนั้นถามข้าพระองค์ว่า
นายเราจักไปดูการเล่นมหรสพ ท่านมีทรัพย์อยู่ในมือบ้างไหม?
ข้าพระองค์ได้กล่าวกะนางว่า
ทรัพย์เราฝังเก็บไว้ที่ซอกกาแพงใกล้ประตูด้านทิศอุดร นางกล่าวว่า
ท่านจงไปนาทรัพย์นั้นมา เราทั้งสองจักไปดูการเล่นมหรสพ แล้วส่งข้าพระองค์มา
ถ้อยคาของนางนั้นจับใจข้าพระองค์ เมื่อข้าพระองค์ระลึกถึงถ้อยคาของนางนั้น
ความร้อนคือกามย่อมเผาเอาความประสงค์ของข้าพระองค์เป็ นอย่างนี้
พระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสว่า ถ้าเมื่อเจ้าไม่ย่อท้อต่อลมและแดดเห็นปานนี้
อะไรเป็ นเหตุให้เจ้ายินดีเดินร้องเพลง. บุรุษนั้นกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์นาทรัพย์ที่ฝังไว้นั้นมาได้แล้ว
จักอภิรมย์กับนางนั้น ด้วยเหตุดังกราบทูลมานี้ ข้าพระองค์จึงยินดีขับเพลงขับ.
พระราชาตรัสถามว่า แน่ะบุรุษผู้เจริญ
ก็ทรัพย์ที่ฝังเก็บไว้ที่ประตูด้านทิศอุดร มีประมาณแสนหนึ่งได้ไหม? เขากราบทูล
6
ไม่มีถึงดอก พระพุทธเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามโดยลาดับว่า ถ้าเช่นนั้น มีห้าหมื่น
สี่หมื่น สามหมื่น สองหมื่น หนึ่งหมื่น ห้าพัน ห้าร้อย สี่ร้อย สามร้อย สองร้อย
หนึ่งร้อย ห้า สี่ สาม สอง หนึ่งกหาปณะ ครึ่งกหาปณะ หนึ่งบาท สี่มาสก สาม สอง
หนึ่งมาสก.
บุรุษรับจ้างปฏิเสธทุกขั้นตอน
เมื่อพระราชาตรัสว่า ครึ่งมาสก เขากราบทูลว่า ใช่แล้ว พระเจ้าข้า
ทรัพย์ของข้าพระองค์มีเพียงเท่านี้ ข้าพระองค์เดินมาด้วยนึกในใจว่า
นาทรัพย์มาได้แล้ว จักอภิรมย์กับนางดังนี้ ด้วยปิติโสมนัสนั้น
ลมและแดดนั้นจึงไม่ชื่อว่าแผดเผาข้าพระองค์.
ลาดับนั้น พระราชาตรัสกะบุรุษนั้นว่า แน่ะบุรุษผู้เจริญ
แดดร้อนถึงเพียงนี้ เจ้าอย่าไปที่นั้นเลย เราจะให้ทรัพย์ครึ่งมาสกแก่เจ้า.
เขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ
ข้าพระองค์จักตั้งอยู่ในพระดารัสของพระองค์ รับเอาทรัพย์ครึ่งมาสกนั้น
และจักไม่ทาทรัพย์ที่ฝังไว้ให้เสียไป ข้าพระองค์จักไปถือเอาทรัพย์นั้น
ไม่ยอมให้เสียเป้ าหมายของการเดินทาง.
พระราชาตรัสว่า แน่ะบุรุษผู้เจริญ เจ้าจงกลับเถิด
เราจักให้ทรัพย์แก่เจ้าหนึ่งมาสก สองมาสก พระองค์ตรัสพระราชทานเพิ่มขึ้น
โดยทานองนี้จนถึงโกฏิ ร้อยโกฏิ และทรัพย์กาหนดนับไม่ได้
แล้วตรัสให้เขากลับเสีย เขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ
ข้าพระองค์ขอรับทรัพย์ที่พระราชทาน แม้ทรัพย์ที่ฝังไว้ ก็จักไปเอา.
ต่อจากนั้น
พระราชาได้ตรัสเล้าโลมด้วยฐานันดรมีตาแหน่งเศรษฐีเป็นต้นจนถึงจะให้ดารง
ตาแหน่งอุปราช ด้วยพระดารัสว่า เราจักให้ท่านครองราชสมบัติครึ่งหนึ่ง
จงกลับเสียเถิด ดังนี้ เขาจึงยินยอมรับพระดารัส.
พระราชาทรงบังคับอามาตย์ทั้งหลายว่า
พวกเจ้าจงไปแต่งหนวดให้สหายของเรา แล้วให้อาบน้าแต่งตัว แล้วนามาหาเรา.
พวกอามาตย์ได้กระทาตามรับสั่งนั้น. พระราชาแบ่งราชสมบัติออกเป็นสองส่วน
พระราชทานให้บุรุษรับจ้างนั้น ครอบครองราชสมบัติครึ่งหนึ่ง.
บางอาจารย์กล่าวว่า ก็บุรุษรับจ้างนั้น ครองราชสมบัตินั้นแล้ว
ยังไปข้างทิศอุดร ด้วยความรักทรัพย์ครึ่งมาสก. เหตุนั้นเขาจึงได้นามว่า
อัฑฒมาสกราช.
พระเจ้าอุทัยราชกับพระเจ้าอัฑฒมาสกราช ทรงสามัคคี สนิทสนมกัน
ครองราชสมบัติ
วันหนึ่ง เสด็จไปพระราชอุทยาน
พระเจ้าอุทัยราชทรงกีฬาในพระราชอุทยานนั้น จนเหนื่อยแล้ว
7
เอาพระเศียรพาดลงบนพระเพลาของพระเจ้าอัฑฒมาสกราช บรรทมหลับไป.
เมื่อบรรทมหลับสนิทแล้ว
พวกราชบริพารก็พากันไปเล่นกีฬาในที่นั้นๆ พระเจ้าอัฑฒมาสกราชทรงดาริว่า
ประโยชน์อะไรที่เราจะเสวยราชสมบัติกึ่งหนึ่งอยู่เป็ นนิตย์
เราจักปลงพระชนม์พระเจ้าอุทัยราชเสียแล้ว เสวยราชสมบัติแต่ผู้เดียวดีกว่า
ดังนี้แล้ว จึงชักพระแสงดาบออกจากฝัก คิดจะปลงพระชนม์พระเจ้าอุทัยราชเสีย
แล้วมาหวนคิดขึ้นว่า พระราชาองค์นี้ได้ทาเราผู้เป็ นคนจน
คนกาพร้าให้มียศศักดิ์เสมอด้วยพระองค์ และตั้งเราไว้ในอิสรภาพใหญ่ยิ่ง
การที่เราเกิดปรารถนาจะฆ่าผู้ที่ให้ยศแก่เราถึงเพียงนี้
เป็นเรื่องที่เราไม่สมควรทาเลย คิดดังนี้แล้ว จึงยั้งสติได้ สอดพระแสงดาบเข้าฝัก
แต่หวนคิดแล้วคิดเล่าถึงสองครั้งสามครั้ง จิตคิดฆ่านั้น
ยังไม่สงบลงได้.
ทีนั้นจึงตั้งพระทัยสะกดจิต คิดว่า จิตดวงนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ
ก็จะพึงประกอบเราไว้ในกรรมลามก
จึงแข็งพระทัยขว้างพระแสงดาบไปบนพื้นดิน ปลุกพระเจ้าอุทัยราชให้ตื่นบรรทม
แล้วหมอบลงแทบพระบาท กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์
ขอพระองค์จงงดโทษแก่ข้าพระองค์เถิด.
พระเจ้าอุทัยราชตรัสว่า ดูก่อนสหาย
โทษในระหว่างท่านกับเราไม่มีมิใช่หรือ?
มีพระองค์ หม่อมฉันได้ทาอย่างนี้ๆ.
ถ้าเช่นนั้น เรายกโทษให้ท่าน ก็เมื่อท่านอยากได้ครองราชสมบัติ
ก็จงครองราชสมบัติเถิด ส่วนเราจักเป็ นอุปราชทานุบารุงท่าน.
พระเจ้าอัฑฒมาสกราชกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์
ข้าพระองค์ไม่ต้องการราชสมบัติ เพราะตัณหานี้จักให้ข้าพระองค์ไปเกิดในอบาย
พระองค์จงครอบครองราชสมบัติของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเถิด
ข้าพระองค์จักขอลาบวช มูลรากแห่งกามคุณ ข้าพระองค์เห็นแล้ว
ความจริงกามคุณนี้เจริญแก่ผู้ดาริอยู่ บัดนี้แต่นี้ไป ข้าพระองค์จักไม่ดาริถึงอีกเลย
ดังนี้
เมื่อจะเปล่งอุทาน จึงตรัสคาถาที่ ๔ ความว่า :-
ดูก่อนกาม เราได้เห็นมูลรากของเจ้าแล้ว เจ้าเกิดจากความดาริ
เราจักไม่ดาริถึงเจ้าอีกละ เจ้าจักไม่เกิดด้วยอาการอย่างนี้.
ก็แหละครั้นตรัสดังนี้แล้ว
เมื่อจะแสดงธรรมแก่มหาชนผู้ประกอบในกามต่อไป จึงตรัสคาถาที่ ๕
ความว่า :-
กามแม้น้อยก็ไม่พอแก่มหาชน มหาชนย่อมไม่อิ่มด้วยกามแม้มาก
8
น่าสลดใจที่พวกคนพาลพากันบ่นว่า รูป เสียงเหล่านี้ จงมีแก่เรา
กุลบุตรผู้ประกอบความเพียร พึงเว้นให้ขาดเถิด.
ท่านกล่าวอธิบายไว้ดังนี้
ข้าแต่มหาราชเจ้า วัตถุกามและกิเลสกามแม้น้อย
ก็ไม่พอเพียงสาหรับมหาชนนี้
มหาชนย่อมไม่อิ่มด้วยวัตถุกามและกิเลสกามแม้มาก
น่าสลดใจที่พวกคนพาลพากันบ่นว่า รูป เสียงเหล่านี้จงมีแก่เรา
กุลบุตรผู้หมั่นประกอบความเพียร เจริญโพธิปักขิยธรรม ยังวิปัสสนาให้เจริญแล้ว
พึงรู้แจ้งแทงตลอดได้ คือรู้แจ้งได้ด้วยการกาหนดรู้ การละและการตรัสรู้
แล้วละได้.
พระเจ้าอัฑฒมาสกราช ครั้นแสดงธรรมแก่มหาชนอย่างนี้แล้ว
ให้พระเจ้าอุทัยราชทรงปกครองราชสมบัติ
ละมหาชนผู้มีหน้าชุ่มด้วยน้าตาร้องไห้อยู่ เข้าหิมวันตประเทศ
บวชแล้วยังฌานและอภิญญาให้เกิด.
เมื่อพระเจ้าอัฑฒมาสกราชบวชแล้ว
พระเจ้าอุทัยราชเมื่อจะเปล่งอุทานให้ครบกระบวนถ้วนความ
จึงตรัสคาถาที่ ๖ ความว่า :-
การที่เราได้เป็นพระเจ้าอุทัยราชถึงความเป็นใหญ่ นี้เป็นผลแห่งกรรม
มีประมาณน้อยของเรา มาณพใดละกามราคะออกบวชแล้ว
มาณพนั้นชื่อว่าได้ลาภดีแล้ว.
ก็เนื้อความของคาถานี้ไม่มีใครรู้.
อยู่มาวันหนึ่ง
พระอัครมเหสีทูลถามเนื้อความของพระคาถากะพระราชา
ก็พระราชามีนายช่างกัลบกคนหนึ่งชื่อ คังคมาล. นายคังคมาลนั้น
เมื่อจะแต่งพระมัสสุพระราชาได้ทาบริกรรมด้วยมีดโกนก่อน
แล้วจึงถอนพระโลมาด้วยแหนบภายหลัง. เวลาที่บริกรรมด้วยมีดโกน
พระราชาทรงมีความสุข เวลาที่ถอนพระโลมา พระราชาทรงมีความทุกข์.
นายช่างกัลบกนั้นประสงค์จะให้พระราชาพระราชทานพรก่อน
และหวังว่าจะปลงพระศกบนพระเศียรต่อภายหลัง.
อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาได้ตรัสบอกความเรื่องนั้นแก่พระราชเทวีว่า
น้องรัก นายมงคลกัลบกของเราเป็นคนโง่ เมื่อพระราชเทวีทูลถามว่า
ข้าแต่พระองค์ นายมงคลกัลบกทาอย่างไรจึงจะควร ตรัสว่า
ควรจะถอนเส้นโลมาก่อน แล้วจึงทาบริกรรมด้วยมีดโกนต่อภายหลัง.
พระราชเทวีให้เรียกนายช่างกัลบกมาตรัสว่า คราวนี้
เมื่อถึงวันที่จะแต่งพระมัสสุถวายพระราชา ท่านพึงถอนเส้นพระโลมาก่อน
9
แล้วทาบริกรรมด้วยมีดโกนต่อภายหลัง เมื่อพระราชาทรงประทานพรให้
ท่านพึงกราบทูลว่า ไม่ต้องการอย่างอื่น
ขอพระองค์จงบอกเนื้อความแห่งอุทานคาถาของพระองค์
เราจักให้ทรัพย์เป็นอันมากแก่ท่าน. นายช่างกัลบกรับพระเสาวนีว่า ดีแล้ว.
ครั้นถึงวันที่จะแต่งพระมัสสุได้หยิบแหนบก่อน
เมื่อพระราชาตรัสถามว่า แน่ะคังคมาล ทาไมเจ้าจึงไม่กระทาเหมือนครั้งก่อนๆ
เขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ
ธรรมดาช่างกัลบกย่อมทาแม้สิ่งที่ไม่เคยทา ทูลแล้วก็ถอนพระโลมาก่อน
แล้วทาบริกรรมด้วยมีดโกนในภายหลัง.
พระราชาตรัสว่า เจ้าจงรับพร. ช่างกัลบกกราบทูลว่า
ข้าพระองค์ไม่ต้องการอย่างอื่น ขอพระองค์จงตรัสบอกเนื้อความของอุทานคาถา.
พระราชาทรงละอายพระทัยที่จะตรัสบอกเรื่องที่พระองค์เป็นคนยากจ
น จึงตรัสว่า เจ้าจะต้องการพรข้อนี้ทาไม จงรับพรอย่างอื่นเถิด.
ช่างกัลบกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ
ขอพระองค์จงทรงประทานพรข้อนี้แก่ข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้า.
พระราชาทรงกลัวมุสาวาทกรรม จึงทรงรับคา
แล้วรับสั่งให้จัดแจงตกแต่งสิ่งทั้งปวง
ตามนัยที่กล่าวแล้วใน กุมมาสปิณฑชาดก
ประทับนั่งบนรัตนบัลลังก์ ตรัสเล่าปุริมกิริยาทั้งปวงว่า ดูก่อนคังคมาละ
ในภพก่อน เราเกิดเป็ นคนจนที่เมืองนี้ มีศรัทธารักษาศีลครึ่งวัน
จุติจากอัตตภาพนั้น ได้มาเกิดในตระกูลกษัตริย์ชื่อว่า อุทัยราช ด้วยเหตุนี้
เราจึงกล่าวครึ่งคาถาข้างต้น ครั้นสหายของเราละกามราคะไปบวชแล้ว
เราเป็นคนประมาท หลงครองราชสมบัติอยู่นี่เอง ด้วยเหตุนี้
เราจึงกล่าวครึ่งคาถาข้างท้าย.
พระราชาตรัสบอกเนื้อความแห่งอุทาน ด้วยประการฉะนี้.
ช่างกัลบกฟังเรื่องราวนั้นแล้วคิดว่า ได้ยินว่า
พระราชาได้ราชสมบัตินี้ด้วยการรักษาอุโบสถกึ่งวัน
ขึ้นชื่อว่ากุศลอันบุคคลควรทา ถ้ากระไรเราพึงบวชสร้างที่พึ่งของตนเถิด
คิดแล้วก็ละวงศ์ญาติและโภคสมบัติ
ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตบรรพชา แล้วไปหิมวันตประเทศ
บวชเป็ นฤๅษี ยกไตรลักษณ์ขึ้นเจริญวิปัสสนา ก็สาเร็จปัจเจกโพธิญาณ
ครองบาตรจีวรที่เกิดขึ้นด้วยฤทธิ์ จาพรรษาที่ภูเขาคันธมาทน์ห้าพรรษา คิดว่า
จักเยี่ยมพระเจ้าพาราณสี จึงเหาะมานั่งอยู่บนมงคลศิลาในมงคลราชอุทยาน.
คนเฝ้ าพระราชอุทยานจาได้ จึงไปกราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ
นายช่างกัลบกคังคาลมาล เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
10
เหาะมานั่งอยู่ในมงคลราชอุทยาน. พระราชาทรงสดับแล้ว
รีบเสด็จออกมาด้วยหวังว่า จักไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้า
พระราชชนนีก็เสด็จออกไปพร้อมกับพระราชา.
พระราชาเสด็จเข้าสู่พระราชอุทยาน ไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว
ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พร้อมด้วยบริษัท.
พระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อจะทาปฏิสันถารกับพระราชา
ได้เรียกพระราชาตามนามสกุลว่า
ดูก่อนพรหมทัต พระองค์เป็นผู้ไม่ประมาท ครองราชสมบัติโดยธรรม
บาเพ็ญบุญมีให้ทานเป็นต้นอยู่หรือ ดังนี้แล้วทาปฏิสันถาร.
พระราชชนนีได้สดับดังนั้น ทรงพระพิโรธว่า
คังคมาลนี้มีชาติเป็ นคนเลว ลามก เป็นลูกช่างกัลบก ไม่รู้จักประมาณตน
เรียกโอรสของเราซึ่งเป็ นพระเจ้าแผ่นดินเป็ นกษัตริย์โดยชาติ โดยชื่อว่า
พรหมทัต ดังนี้
จึงตรัสคาถาที่ ๗ ความว่า :-
สัตว์ทั้งหลายย่อมละกรรมชั่วด้วยตบะ
แต่สัตว์เหล่านั้นจะละความเป็นคนผู้ใช้หม้อตักน้าให้เขาอาบได้หรือ
แน่ะคังคมาละ การที่ท่านข่มขี่ด้วยตบะ
แล้วร้องเรียกโอรสของเราโดยชื่อว่าพรหมทัตในวันนี้นั้น ไม่เป็นการสมควรเลย.
คาถานั้นมีอธิบายดังนี้
พระราชชนนีตรัสว่า สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ย่อมละบาปกรรมได้ด้วยตบะ
คือตบะคุณที่ตนสร้างสมไว้
แต่ตบะเหล่านั้นจะละความเป็นผู้ใช้หม้อตักน้าให้เขาอาบได้ด้วยหรือ
แน่ะคังคมาละ การที่ท่านใช้ตบะของตนข่มขี่
เรียกโอรสของเราโดยชื่อว่าพรหมทัตในวันนี้นั้น เป็ นการไม่สมควรเลย.
พระราชาตรัสห้ามพระชนนีแล้ว
เมื่อจะประกาศคุณของพระปัจเจกพุทธเจ้า
จึงตรัสคาถาที่ ๘ ความว่า :-
ข้าแต่เสด็จแม่ เราทั้งหลายพร้อมทั้งพระราชาและอามาตย์
พากันไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเป็ นผู้อันชนทั้งปวงไหว้แล้ว
เชิญเสด็จแม่ทอดพระเนตรดูผลแห่งขันติและโสรัจจะในปัจจุบันเถิด.
เมื่อพระราชาตรัสห้ามพระราชชนนีแล้ว
มหาชนที่เหลือพากันลุกขึ้นกล่าวว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ
การที่คนต่าช้าเห็นปานนี้เรียกพระองค์โดยชื่อ ไม่สมควรแก่พระองค์เลย.
พระราชาทรงห้ามมหาชนแล้ว
เพื่อจะแสดงคุณของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น
11
จึงตรัสคาถาสุดท้ายความว่า :-
ท่านทั้งหลายอย่าได้กล่าวอะไรๆ กะท่านคังคมาละผู้เป็นพระปัจเจกมุนี
ศึกษาอยู่ในคลองมุนี ความจริงพระปัจเจกพุทธเจ้าคังคามาละนี้ ข้ามห้วงน้า
ที่พระปัจเจกมุนีทั้งหลายข้ามแล้ว หมดความเศร้าโศกเที่ยวไป.
พระราชาครั้นตรัสดังนี้แล้ว ได้ถวายนมัสการพระปัจเจกพุทธเจ้า
ตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ขอพระคุณเจ้าได้โปรดอดโทษแก่พระราชชนนีด้วยเถิด.
พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสว่า ถวายพระพรมหาบพิตร อาตมาอดโทษให้.
แม้พวกราชบริษัทก็พากันขอขมาโทษพระปัจเจกพุทธเจ้า
พระราชาขอปฏิญญาพระปัจเจกพุทธเจ้า เพื่อให้อยู่กับพระองค์ต่อไป.
พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้ถวายปฏิญญา
เมื่อบริษัทพร้อมด้วยพระราชากาลังแลดูอยู่นั่นเอง ได้ลอยขึ้นไปในอากาศ
ถวายโอวาทแต่พระราชา แล้วเหาะไปยังภูเขาคันธมาทน์.
พระบรมศาสดา ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า
ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าการอยู่รักษาอุโบสถ
เป็นกิจที่บุคคลควรอยู่รักษาด้วยประการฉะนี้
แล้วทรงประชุมชาดกว่า
พระปัจเจกพุทธเจ้าครั้งนั้น ได้ปรินิพพานแล้ว
พระเจ้าอัฑฒมาสกราช ได้มาเป็น พระอานนท์
พระราชชนนี ได้มาเป็ น พระมหามายา
พระอัครมเหสี ได้มาเป็น มารดาพระราหุล
ส่วนพระเจ้าอุทัยราช ได้มาเป็ น เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาคังคมาลชาดกที่ ๕
-----------------------------------------------------

More Related Content

More from maruay songtanin

ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
maruay songtanin
 
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 

More from maruay songtanin (20)

ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
 
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 

421 คังคมาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

  • 1. 1 คังคมาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ ๕. คังคมาลชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๔๒๑) ว่าด้วยพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าคังคมาละ (พระเจ้าอุทัยตรัสถามชายคนหนึ่งว่า) [๓๖] แผ่นดินร้อนเหมือนถ่านเพลิง ระอุด้วยทรายที่ร้อนราวกับเถ้าถ่าน ถึงอย่างนั้น เจ้าก็ยังพากเพียรร้องเพลงอยู่ แดดไม่แผดเผาเจ้าหรือ [๓๗] เบื้องบนดวงอาทิตย์ก็ร้อน เบื้องล่างทรายก็ร้อน ถึงอย่างนั้น เจ้าก็ยังพากเพียรร้องเพลงอยู่ แดดไม่แผดเผาเจ้าหรือ (ชายคนนั้นกราบทูลว่า) [๓๘] แดดหาแผดเผาข้าพระองค์ไม่ แต่แดดคือกามทั้งหลายย่อมแผดเผาข้าพระองค์ ขอเดชะพระมหาราชเจ้า เพราะว่าความต้องการมีหลายอย่าง ความต้องการเหล่านั้นย่อมแผดเผาข้าพระองค์ หาใช่แดดไม่ (พระเจ้าอัฑฒมาสกทรงเปล่งอุทานว่า) [๓๙] นี่กาม เราได้เห็นรากเหง้าของเจ้าแล้ว เจ้าเกิดได้เพราะความดาริ เราจะไม่ดาริถึงเจ้าอีก เจ้าจะไม่มีอย่างนี้อีกต่อไป (พระเจ้าอัฑฒมาสกทรงแสดงธรรมแก่พสกนิกรว่า) [๔๐] กามแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่เพียงพอ แม้มากก็ไม่อิ่ม โอหนอ กามทั้งหลายคนพาลเพ้อราพันถึง กุลบุตรนักปฏิบัติพึงเว้นได้ขาด (พระเจ้าอุทัยทรงเปล่งอุทานว่า) [๔๑] การที่เราเป็นพระอุทัยราชาได้บรรลุถึงความเป็นใหญ่ นี้เป็นผลแห่งกรรมอันเล็กน้อยของเรา การที่มาณพละกามราคะบวชนั้นชื่อว่าได้ลาภดีแล้ว (พระราชชนนีของพระเจ้าพรหมทัตตรัสว่า) [๔๒] สัตว์ทั้งหลายละกรรมชั่วได้ด้วยตบะ แต่จะละภาวะแห่งช่างกัลบกและช่างหม้อด้วยตบะได้หรือ คังคมาละ วันนี้เจ้าใช้ตบะข่มขี่ ร้องเรียกพระเจ้าพรหมทัตโดยพระนาม จะสมควรแลหรือ (พระเจ้าพรหมทัตทรงห้ามพระราชชนนีว่า) [๔๓] ขอเดชะเสด็จแม่ จงทอดพระเนตรผลในปัจจุบันเถิด นี้เป็นผลแห่งขันติและโสรัจจะ พวกหม่อมฉันพร้อมทั้งพระราชวงศ์และเสนาอามาตย์ ไหว้ท่านผู้ที่ชนทั้งปวงไหว้แล้ว (พระเจ้าพรหมทัตทรงชี้แจงแก่พสกนิกรว่า)
  • 2. 2 [๔๔] ท่านทั้งหลายอย่าได้ว่าอะไรๆ ท่านคังคมาลมุนี ผู้ศึกษาอยู่ในข้อปฏิบัติของมุนี เพราะพระคุณเจ้ารูปนี้ได้ข้ามมหาสมุทรคือสังสารวัฏ ซึ่งผู้ที่ข้ามได้แล้วปราศจากความเศร้าโศกเที่ยวไป คังคมาลชาดกที่ ๕ จบ ----------------------------- คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา คังคมาลชาดก ว่าด้วย กามทั้งหลายเกิดจากความดาริ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภอุโบสถกรรม จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้. ความย่อมีว่า วันหนึ่ง พระศาสดาตรัสเรียกพวกรักษาอุโบสถมาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย ท่านทั้งหลายทาอุโบสถกรรมให้สาเร็จดีแล้ว ผู้ที่รักษาอุโบสถควรให้ทาน รักษาศีล ไม่โกรธ เจริญเมตตา อยู่รักษาอุโบสถ ก็บัณฑิตครั้งก่อนได้ยศใหญ่ เพราะอาศัยอุโบสถกรรมที่รักษาครึ่งวัน ดังนี้ พวกอุบาสกเหล่านั้นกราบทูลอาราธนา จึงทรงนาเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :- ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี ในพระนครนั้น มีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อว่า สุจิบริวาร มีสมบัติ ๘๐ โกฏิ เป็นผู้ยินดีในบุญกุศล มีให้ทานเป็นต้น. บุตรภรรยาก็ดี บริวารชนของเขาก็ดี โดยที่สุดแม้เด็กเลี้ยงโคในเรือนนั้นก็ดี ทั้งหมดพากันอยู่รักษาอุโบสถ เดือนละ ๖ วัน. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลคนจนตระกูลหนึ่ง รับจ้างเขาเลี้ยงชีพ เป็นอยู่ด้วยความลาบาก. พระโพธิสัตว์คิดว่า เราจักทางานรับจ้าง จึงได้ไปยังเรือนของสุจิบริวารเศรษฐี ไหว้แล้วยืนอยู่ ณ ที่สมควรแห่งหนึ่ง เมื่อท่านเศรษฐีถามว่า ท่านมาทาไม จึงกล่าวว่า มาเพื่อรับจ้างทางานในเรือนของท่าน. ท่านเศรษฐีได้เคยพูดบอกแก่ลูกจ้างคนอื่นๆ ไว้ในวันที่มาถึงว่า ผู้ที่ทางานในเรือนนี้รักษาศีลทุกคน เมื่อท่านอาจรักษาศีลได้ ก็จงทางานเถิด. แต่สาหรับพระโพธิสัตว์ ท่านเศรษฐีไม่ได้บอกให้รักษาศีล. กล่าวรับพระโพธิสัตว์ว่า ดีแล้วพ่อ ท่านจงอยู่รับจ้างทางานเถิด. นับแต่นั้นมา พระโพธิสัตว์เป็ นคนว่าง่าย ทุ่มเทชีวิต มิได้คิดเห็นแก่ความเหนื่อยยากของตน ทางานทุกอย่างให้ท่านเศรษฐี. พระโพธิสัตว์ไปทางานแต่เช้าตรู่ ในตอนเย็นจึงกลับมา.
  • 3. 3 อยู่มาวันหนึ่ง เขาป่าวประกาศมหรสพในพระนคร. มหาเศรษฐีเรียกนางทาสีมาสั่งว่า วันนี้เป็ นวันอุโบสถ เจ้าจงหุงข้าวให้พวกกรรมกรในเรือนแต่เช้าทีเดียว ถึงเวลาเขาจักได้กินแล้วรักษาอุโบสถ. พระโพธิสัตว์ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ไปทางาน ไม่มีใครบอกแก่พระโพธิสัตว์ว่า วันนี้ท่านพึงรักษาอุโบสถ พวกกรรมกรที่เหลือบริโภคอาหารแต่เช้า แล้วรักษาอุโบสถ. แม้ท่านเศรษฐีพร้อมด้วยลูกเมียบริวารชน ได้อธิษฐานอุโบสถ. พวกที่รักษาอุโบสถแม้ทั้งหมด ไปที่อยู่ของตนๆ นั่งนึกถึงศีล. พระโพธิสัตว์ทางานตลอดวัน กลับมาในเวลาที่พระอาทิตย์ตกแล้ว. ลาดับนั้น พวกจัดอาหารได้ให้น้าล้างมือแก่พระโพธิสัตว์ แล้วคดข้าวใส่ถาดส่งให้. พระโพธิสัตว์ถามว่า วันอื่นๆ ในเวลาเช่นนี้ได้มีเรื่องอื้ออึง แต่วันนี้เขาไปไหนกันหมด เมื่อได้ฟังว่า ทุกคนสมาทานอุโบสถไปที่อยู่ของตนๆ จึงคิดว่า เราเป็ นคนทุศีลคนเดียว จักอยู่ไม่ได้ในกลุ่มของคนผู้มีศีลเหล่านี้ เมื่อเราอธิษฐานองค์อุโบสถเดี๋ยวนี้ จักเป็ นอุโบสถกรรมหรือไม่หนอ คิดดังนี้แล้ว จึงไปถามท่านเศรษฐี. ลาดับนั้น ท่านเศรษฐีกล่าวกะพระโพธิสัตว์ว่า แน่ะพ่อ จะเป็นอุโบสถกรรมไปทั้งหมดไม่ได้ เพราะไม่ได้อธิษฐานแต่เช้า แต่ก็เป็ นเพียงกึ่งอุโบสถกรรมเท่านั้น. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เพียงเท่านี้ก็ช่างเถอะ ได้สมาทานศีลในสานักของท่านเศรษฐี อธิษฐานอุโบสถแล้วเข้าที่อยู่ของตน นอนนึกถึงศีลอยู่. ครั้นราตรีล่วงเข้าปัจฉิมยาม ลมสัตถกวาตก็เกิดขึ้นแก่พระโพธิสัตว์ เพราะอดอาหารมาตลอดวัน. แม้ท่านเศรษฐีจะประกอบเภสัชต่างๆ นามาให้บริโภค. พระโพธิสัตว์ก็กล่าวว่า ข้าพเจ้าสมาทานอุโบสถแล้วโดยยอมสละชีวิตด้วยคิดว่า จักไม่ทาลายอุโบสถ. เวทนากล้าแข็งได้เกิดขึ้น. เวลารุ่งอรุณ พระโพธิสัตว์ไม่อาจดารงสติไว้ได้ คนทั้งหลายคิดว่า พระโพธิสัตว์จักตายในบัดนี้ จึงได้นาไปให้นอนอยู่ ณ ที่โรงเก็บอาหาร. ขณะนั้น พระเจ้าพาราณสีทรงรถพระที่นั่งทาประทักษิณพระนครด้วยบริวารใหญ่ เสด็จถึงที่นั้น. พระโพธิสัตว์ได้เห็นสิริราชสมบัติของพระเจ้าพาราณสี เกิดความโลภอยากได้ราชสมบัติ. เมื่อดับจิตแล้ว ได้ไปปฏิสนธิในครรภ์อัครมเหสีของพระเจ้าพาราณสี ด้วยอานิสงส์แห่งอุโบสถกรรมกึ่งหนึ่ง. พระอัครมเหสีได้ครรภบริหารแล้ว พอถ้วนทศมาสก็ประสูติพระราชโอรส.
  • 4. 4 พระประยูรญาติทั้งหลายพากันถวายพระนามว่า อุทัยกุมาร. อุทัยกุมารนั้น ครั้นเจริญวัยแล้ว สาเร็จการศึกษาศิลปะทุกอย่าง ระลึกถึงบุพพกรรมของตนได้ด้วยญาณเครื่องระลึกชาติ จึงเปล่งอุทานเนืองๆ ว่า นี้เป็นผลแห่งกรรมเล็กน้อยของเรา ดังนี้. ครั้นพระราชบิดาสวรรคตแล้ว ได้ครองราชสมบัติ ทอดพระเนตรดูสิริราชสมบัติอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ แล้วเปล่งอุทานเช่นนั้นอีก. อยู่มาวันหนึ่ง ชาวเมืองเตรียมการเล่นมหรสพในพระนคร มหาชนพากันสนใจดูการเล่น. ครั้งนั้น บุรุษรับจ้างคนหนึ่ง อยู่ใกล้ประตูทิศอุดรเมืองพาราณสี เก็บทรัพย์กึ่งมาสกที่ได้มาด้วยการรับจ้างตักน้าไว้ที่ซอกอิฐกาแพงเมือง ได้อยู่ร่วมกับหญิงกาพร้าคนหนึ่งซึ่งเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างตักน้าเหมือนกัน ในพระนครนั้น. หญิงนั้นกล่าวกะเขาว่า นาย ในพระนครเขามีมหรสพกัน ถ้าท่านพอมีทรัพย์อยู่บ้าง แม้เราทั้งสองก็จะไปเที่ยวเล่นกัน. เขาตอบว่า จ๊ะ เราพอมีทรัพย์. มีเท่าไรนาย? มีอยู่กึ่งมาสก ทรัพย์นั้นอยู่ไหน? ฉันเก็บไว้ในซอกอิฐใกล้ประตูทิศอุดร ที่เก็บทรัพย์ไกลจากที่เราอยู่นี้ ๑๒ โยชน์ ก็ทรัพย์ในมือของเจ้า มีบ้างหรือ? มีจ๊ะ มีเท่าไร? มีอยู่กึ่งมาสกเหมือนกัน ทรัพย์ของเธอกึ่งมาสก ของฉันกึ่งมาสก รวมเป็ นหนึ่งมาสก เราจักเอาทรัพย์นั้น ส่วนหนึ่งซื้อดอกไม้ ส่วนหนึ่งซื้อของหอม ส่วนหนึ่งซื้อสุรา แล้วไปเที่ยวเล่นกัน ท่านจงไปนาทรัพย์กึ่งมาสกที่เก็บไว้มาเถิด. บุรุษรับจ้างร่าเริงยินดีว่า ภรรยาเชื่อถือถ้อยคาของเรา จึงกล่าวว่า น้องรักเจ้าอย่าวิตกไปเลย ฉันจักนาทรัพย์นั้นมา ดังนี้แล้วหลีกไป. บุรุษรับจ้างมีกาลังเท่าช้างสาร เดินล่วงมรรคาไปได้ ๖ โยชน์ ครั้นเวลาเที่ยง เดินเหยียบทรายร้อนราวกะว่าถ่านไฟ เขาร่าเริงยินดีเพราะอยากได้ทรัพย์ นุ่งห่มท่อนผ้ากาสาวะ ประดับใบตาลที่หู เดินขับร้องเพลงเฉื่อยเรื่อยไปผู้เดียว เดินผ่านไปทางพระลานหลวง. พระเจ้าอุทัยราชเปิดสีหบัญชรประทับยืนอยู่ ทอดพระเนตรเห็นบุรุษรับจ้างเดินมาอย่างนั้น ทรงพระดาริว่า อะไรหนอที่ทาให้บุรุษนี้ไม่ย่อท้อต่อลมและแดดเห็นปานนั้น มีความร่าเริงยินดีเดินร้องเพลงไป เราจักถามเขาดู ดังนี้ แล้วทรงส่งบุรุษไปคนหนึ่งให้เรียกมา. เมื่อบุรุษนั้นไปบอกว่า พระราชาตรัสเรียกท่าน เขาตอบว่า พระราชาเป็ นอะไรกับเรา เราไม่รู้จักพระราชา ดังนี้.
  • 5. 5 จึงถูกนาตัวไปโดยการใช้กาลัง ยืนอยู่ ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง. ลาดับนั้น พระราชา เมื่อจะตรัสถามเขา ได้ตรัสคาถาสองคาถา ความว่า :- แผ่นดินร้อนเหมือนถ่านไฟ ดารดาษไปด้วยทรายอันร้อนเหมือนเถ้ารึง เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังทาเป็นทองไม่รู้ร้อน ขับเพลงอยู่ได้ แดดไม่เผาเจ้าดอกหรือ เบื้องบนก็ร้อน เบื้องล่างก็ร้อน เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังทาเป็ นทองไม่รู้ร้อน ขับเพลงอยู่ได้ แดดไม่เผาเจ้าดอกหรือ? บุรุษรับจ้างนั้นได้ฟังดารัสของพระราชาแล้ว ได้กราบทูลเป็นคาถาที่ ๓ ความว่า :- ข้าแต่พระราชา แดดหาเผาข้าพระองค์ไม่ แต่ว่าวัตถุกามและกิเลสกาม ย่อมเผาข้าพระองค์ เพราะว่าความประสงค์หลายๆ อย่างมีอยู่ ความประสงค์เหล่านั้น ย่อมเผาข้าพระองค์ แดดหาได้เผาข้าพระองค์ไม่. ความว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ความประสงค์หลายอย่าง กล่าวคือกิจการต่างๆ ที่จะต้องทา เพราะอาศัยวัตถุกามและกิเลสกามของข้าพระองค์มีอยู่ วัตถุกามและกิเลสกามเหล่านั้นเผาข้าพระองค์ ส่วนแดดไม่ชื่อว่าเผาข้าพระองค์. ลาดับนั้น พระราชาตรัสถามบุรุษรับจ้างว่า ความประสงค์ของเจ้าเป็นอย่างไร? เขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์อยู่ร่วมกับหญิงกาพร้าใกล้ประตูทิศทักษิณ นางนั้นถามข้าพระองค์ว่า นายเราจักไปดูการเล่นมหรสพ ท่านมีทรัพย์อยู่ในมือบ้างไหม? ข้าพระองค์ได้กล่าวกะนางว่า ทรัพย์เราฝังเก็บไว้ที่ซอกกาแพงใกล้ประตูด้านทิศอุดร นางกล่าวว่า ท่านจงไปนาทรัพย์นั้นมา เราทั้งสองจักไปดูการเล่นมหรสพ แล้วส่งข้าพระองค์มา ถ้อยคาของนางนั้นจับใจข้าพระองค์ เมื่อข้าพระองค์ระลึกถึงถ้อยคาของนางนั้น ความร้อนคือกามย่อมเผาเอาความประสงค์ของข้าพระองค์เป็ นอย่างนี้ พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า ถ้าเมื่อเจ้าไม่ย่อท้อต่อลมและแดดเห็นปานนี้ อะไรเป็ นเหตุให้เจ้ายินดีเดินร้องเพลง. บุรุษนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์นาทรัพย์ที่ฝังไว้นั้นมาได้แล้ว จักอภิรมย์กับนางนั้น ด้วยเหตุดังกราบทูลมานี้ ข้าพระองค์จึงยินดีขับเพลงขับ. พระราชาตรัสถามว่า แน่ะบุรุษผู้เจริญ ก็ทรัพย์ที่ฝังเก็บไว้ที่ประตูด้านทิศอุดร มีประมาณแสนหนึ่งได้ไหม? เขากราบทูล
  • 6. 6 ไม่มีถึงดอก พระพุทธเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามโดยลาดับว่า ถ้าเช่นนั้น มีห้าหมื่น สี่หมื่น สามหมื่น สองหมื่น หนึ่งหมื่น ห้าพัน ห้าร้อย สี่ร้อย สามร้อย สองร้อย หนึ่งร้อย ห้า สี่ สาม สอง หนึ่งกหาปณะ ครึ่งกหาปณะ หนึ่งบาท สี่มาสก สาม สอง หนึ่งมาสก. บุรุษรับจ้างปฏิเสธทุกขั้นตอน เมื่อพระราชาตรัสว่า ครึ่งมาสก เขากราบทูลว่า ใช่แล้ว พระเจ้าข้า ทรัพย์ของข้าพระองค์มีเพียงเท่านี้ ข้าพระองค์เดินมาด้วยนึกในใจว่า นาทรัพย์มาได้แล้ว จักอภิรมย์กับนางดังนี้ ด้วยปิติโสมนัสนั้น ลมและแดดนั้นจึงไม่ชื่อว่าแผดเผาข้าพระองค์. ลาดับนั้น พระราชาตรัสกะบุรุษนั้นว่า แน่ะบุรุษผู้เจริญ แดดร้อนถึงเพียงนี้ เจ้าอย่าไปที่นั้นเลย เราจะให้ทรัพย์ครึ่งมาสกแก่เจ้า. เขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์จักตั้งอยู่ในพระดารัสของพระองค์ รับเอาทรัพย์ครึ่งมาสกนั้น และจักไม่ทาทรัพย์ที่ฝังไว้ให้เสียไป ข้าพระองค์จักไปถือเอาทรัพย์นั้น ไม่ยอมให้เสียเป้ าหมายของการเดินทาง. พระราชาตรัสว่า แน่ะบุรุษผู้เจริญ เจ้าจงกลับเถิด เราจักให้ทรัพย์แก่เจ้าหนึ่งมาสก สองมาสก พระองค์ตรัสพระราชทานเพิ่มขึ้น โดยทานองนี้จนถึงโกฏิ ร้อยโกฏิ และทรัพย์กาหนดนับไม่ได้ แล้วตรัสให้เขากลับเสีย เขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์ขอรับทรัพย์ที่พระราชทาน แม้ทรัพย์ที่ฝังไว้ ก็จักไปเอา. ต่อจากนั้น พระราชาได้ตรัสเล้าโลมด้วยฐานันดรมีตาแหน่งเศรษฐีเป็นต้นจนถึงจะให้ดารง ตาแหน่งอุปราช ด้วยพระดารัสว่า เราจักให้ท่านครองราชสมบัติครึ่งหนึ่ง จงกลับเสียเถิด ดังนี้ เขาจึงยินยอมรับพระดารัส. พระราชาทรงบังคับอามาตย์ทั้งหลายว่า พวกเจ้าจงไปแต่งหนวดให้สหายของเรา แล้วให้อาบน้าแต่งตัว แล้วนามาหาเรา. พวกอามาตย์ได้กระทาตามรับสั่งนั้น. พระราชาแบ่งราชสมบัติออกเป็นสองส่วน พระราชทานให้บุรุษรับจ้างนั้น ครอบครองราชสมบัติครึ่งหนึ่ง. บางอาจารย์กล่าวว่า ก็บุรุษรับจ้างนั้น ครองราชสมบัตินั้นแล้ว ยังไปข้างทิศอุดร ด้วยความรักทรัพย์ครึ่งมาสก. เหตุนั้นเขาจึงได้นามว่า อัฑฒมาสกราช. พระเจ้าอุทัยราชกับพระเจ้าอัฑฒมาสกราช ทรงสามัคคี สนิทสนมกัน ครองราชสมบัติ วันหนึ่ง เสด็จไปพระราชอุทยาน พระเจ้าอุทัยราชทรงกีฬาในพระราชอุทยานนั้น จนเหนื่อยแล้ว
  • 7. 7 เอาพระเศียรพาดลงบนพระเพลาของพระเจ้าอัฑฒมาสกราช บรรทมหลับไป. เมื่อบรรทมหลับสนิทแล้ว พวกราชบริพารก็พากันไปเล่นกีฬาในที่นั้นๆ พระเจ้าอัฑฒมาสกราชทรงดาริว่า ประโยชน์อะไรที่เราจะเสวยราชสมบัติกึ่งหนึ่งอยู่เป็ นนิตย์ เราจักปลงพระชนม์พระเจ้าอุทัยราชเสียแล้ว เสวยราชสมบัติแต่ผู้เดียวดีกว่า ดังนี้แล้ว จึงชักพระแสงดาบออกจากฝัก คิดจะปลงพระชนม์พระเจ้าอุทัยราชเสีย แล้วมาหวนคิดขึ้นว่า พระราชาองค์นี้ได้ทาเราผู้เป็ นคนจน คนกาพร้าให้มียศศักดิ์เสมอด้วยพระองค์ และตั้งเราไว้ในอิสรภาพใหญ่ยิ่ง การที่เราเกิดปรารถนาจะฆ่าผู้ที่ให้ยศแก่เราถึงเพียงนี้ เป็นเรื่องที่เราไม่สมควรทาเลย คิดดังนี้แล้ว จึงยั้งสติได้ สอดพระแสงดาบเข้าฝัก แต่หวนคิดแล้วคิดเล่าถึงสองครั้งสามครั้ง จิตคิดฆ่านั้น ยังไม่สงบลงได้. ทีนั้นจึงตั้งพระทัยสะกดจิต คิดว่า จิตดวงนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ ก็จะพึงประกอบเราไว้ในกรรมลามก จึงแข็งพระทัยขว้างพระแสงดาบไปบนพื้นดิน ปลุกพระเจ้าอุทัยราชให้ตื่นบรรทม แล้วหมอบลงแทบพระบาท กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ขอพระองค์จงงดโทษแก่ข้าพระองค์เถิด. พระเจ้าอุทัยราชตรัสว่า ดูก่อนสหาย โทษในระหว่างท่านกับเราไม่มีมิใช่หรือ? มีพระองค์ หม่อมฉันได้ทาอย่างนี้ๆ. ถ้าเช่นนั้น เรายกโทษให้ท่าน ก็เมื่อท่านอยากได้ครองราชสมบัติ ก็จงครองราชสมบัติเถิด ส่วนเราจักเป็ นอุปราชทานุบารุงท่าน. พระเจ้าอัฑฒมาสกราชกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ข้าพระองค์ไม่ต้องการราชสมบัติ เพราะตัณหานี้จักให้ข้าพระองค์ไปเกิดในอบาย พระองค์จงครอบครองราชสมบัติของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเถิด ข้าพระองค์จักขอลาบวช มูลรากแห่งกามคุณ ข้าพระองค์เห็นแล้ว ความจริงกามคุณนี้เจริญแก่ผู้ดาริอยู่ บัดนี้แต่นี้ไป ข้าพระองค์จักไม่ดาริถึงอีกเลย ดังนี้ เมื่อจะเปล่งอุทาน จึงตรัสคาถาที่ ๔ ความว่า :- ดูก่อนกาม เราได้เห็นมูลรากของเจ้าแล้ว เจ้าเกิดจากความดาริ เราจักไม่ดาริถึงเจ้าอีกละ เจ้าจักไม่เกิดด้วยอาการอย่างนี้. ก็แหละครั้นตรัสดังนี้แล้ว เมื่อจะแสดงธรรมแก่มหาชนผู้ประกอบในกามต่อไป จึงตรัสคาถาที่ ๕ ความว่า :- กามแม้น้อยก็ไม่พอแก่มหาชน มหาชนย่อมไม่อิ่มด้วยกามแม้มาก
  • 8. 8 น่าสลดใจที่พวกคนพาลพากันบ่นว่า รูป เสียงเหล่านี้ จงมีแก่เรา กุลบุตรผู้ประกอบความเพียร พึงเว้นให้ขาดเถิด. ท่านกล่าวอธิบายไว้ดังนี้ ข้าแต่มหาราชเจ้า วัตถุกามและกิเลสกามแม้น้อย ก็ไม่พอเพียงสาหรับมหาชนนี้ มหาชนย่อมไม่อิ่มด้วยวัตถุกามและกิเลสกามแม้มาก น่าสลดใจที่พวกคนพาลพากันบ่นว่า รูป เสียงเหล่านี้จงมีแก่เรา กุลบุตรผู้หมั่นประกอบความเพียร เจริญโพธิปักขิยธรรม ยังวิปัสสนาให้เจริญแล้ว พึงรู้แจ้งแทงตลอดได้ คือรู้แจ้งได้ด้วยการกาหนดรู้ การละและการตรัสรู้ แล้วละได้. พระเจ้าอัฑฒมาสกราช ครั้นแสดงธรรมแก่มหาชนอย่างนี้แล้ว ให้พระเจ้าอุทัยราชทรงปกครองราชสมบัติ ละมหาชนผู้มีหน้าชุ่มด้วยน้าตาร้องไห้อยู่ เข้าหิมวันตประเทศ บวชแล้วยังฌานและอภิญญาให้เกิด. เมื่อพระเจ้าอัฑฒมาสกราชบวชแล้ว พระเจ้าอุทัยราชเมื่อจะเปล่งอุทานให้ครบกระบวนถ้วนความ จึงตรัสคาถาที่ ๖ ความว่า :- การที่เราได้เป็นพระเจ้าอุทัยราชถึงความเป็นใหญ่ นี้เป็นผลแห่งกรรม มีประมาณน้อยของเรา มาณพใดละกามราคะออกบวชแล้ว มาณพนั้นชื่อว่าได้ลาภดีแล้ว. ก็เนื้อความของคาถานี้ไม่มีใครรู้. อยู่มาวันหนึ่ง พระอัครมเหสีทูลถามเนื้อความของพระคาถากะพระราชา ก็พระราชามีนายช่างกัลบกคนหนึ่งชื่อ คังคมาล. นายคังคมาลนั้น เมื่อจะแต่งพระมัสสุพระราชาได้ทาบริกรรมด้วยมีดโกนก่อน แล้วจึงถอนพระโลมาด้วยแหนบภายหลัง. เวลาที่บริกรรมด้วยมีดโกน พระราชาทรงมีความสุข เวลาที่ถอนพระโลมา พระราชาทรงมีความทุกข์. นายช่างกัลบกนั้นประสงค์จะให้พระราชาพระราชทานพรก่อน และหวังว่าจะปลงพระศกบนพระเศียรต่อภายหลัง. อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาได้ตรัสบอกความเรื่องนั้นแก่พระราชเทวีว่า น้องรัก นายมงคลกัลบกของเราเป็นคนโง่ เมื่อพระราชเทวีทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ นายมงคลกัลบกทาอย่างไรจึงจะควร ตรัสว่า ควรจะถอนเส้นโลมาก่อน แล้วจึงทาบริกรรมด้วยมีดโกนต่อภายหลัง. พระราชเทวีให้เรียกนายช่างกัลบกมาตรัสว่า คราวนี้ เมื่อถึงวันที่จะแต่งพระมัสสุถวายพระราชา ท่านพึงถอนเส้นพระโลมาก่อน
  • 9. 9 แล้วทาบริกรรมด้วยมีดโกนต่อภายหลัง เมื่อพระราชาทรงประทานพรให้ ท่านพึงกราบทูลว่า ไม่ต้องการอย่างอื่น ขอพระองค์จงบอกเนื้อความแห่งอุทานคาถาของพระองค์ เราจักให้ทรัพย์เป็นอันมากแก่ท่าน. นายช่างกัลบกรับพระเสาวนีว่า ดีแล้ว. ครั้นถึงวันที่จะแต่งพระมัสสุได้หยิบแหนบก่อน เมื่อพระราชาตรัสถามว่า แน่ะคังคมาล ทาไมเจ้าจึงไม่กระทาเหมือนครั้งก่อนๆ เขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ธรรมดาช่างกัลบกย่อมทาแม้สิ่งที่ไม่เคยทา ทูลแล้วก็ถอนพระโลมาก่อน แล้วทาบริกรรมด้วยมีดโกนในภายหลัง. พระราชาตรัสว่า เจ้าจงรับพร. ช่างกัลบกกราบทูลว่า ข้าพระองค์ไม่ต้องการอย่างอื่น ขอพระองค์จงตรัสบอกเนื้อความของอุทานคาถา. พระราชาทรงละอายพระทัยที่จะตรัสบอกเรื่องที่พระองค์เป็นคนยากจ น จึงตรัสว่า เจ้าจะต้องการพรข้อนี้ทาไม จงรับพรอย่างอื่นเถิด. ช่างกัลบกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ขอพระองค์จงทรงประทานพรข้อนี้แก่ข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้า. พระราชาทรงกลัวมุสาวาทกรรม จึงทรงรับคา แล้วรับสั่งให้จัดแจงตกแต่งสิ่งทั้งปวง ตามนัยที่กล่าวแล้วใน กุมมาสปิณฑชาดก ประทับนั่งบนรัตนบัลลังก์ ตรัสเล่าปุริมกิริยาทั้งปวงว่า ดูก่อนคังคมาละ ในภพก่อน เราเกิดเป็ นคนจนที่เมืองนี้ มีศรัทธารักษาศีลครึ่งวัน จุติจากอัตตภาพนั้น ได้มาเกิดในตระกูลกษัตริย์ชื่อว่า อุทัยราช ด้วยเหตุนี้ เราจึงกล่าวครึ่งคาถาข้างต้น ครั้นสหายของเราละกามราคะไปบวชแล้ว เราเป็นคนประมาท หลงครองราชสมบัติอยู่นี่เอง ด้วยเหตุนี้ เราจึงกล่าวครึ่งคาถาข้างท้าย. พระราชาตรัสบอกเนื้อความแห่งอุทาน ด้วยประการฉะนี้. ช่างกัลบกฟังเรื่องราวนั้นแล้วคิดว่า ได้ยินว่า พระราชาได้ราชสมบัตินี้ด้วยการรักษาอุโบสถกึ่งวัน ขึ้นชื่อว่ากุศลอันบุคคลควรทา ถ้ากระไรเราพึงบวชสร้างที่พึ่งของตนเถิด คิดแล้วก็ละวงศ์ญาติและโภคสมบัติ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตบรรพชา แล้วไปหิมวันตประเทศ บวชเป็ นฤๅษี ยกไตรลักษณ์ขึ้นเจริญวิปัสสนา ก็สาเร็จปัจเจกโพธิญาณ ครองบาตรจีวรที่เกิดขึ้นด้วยฤทธิ์ จาพรรษาที่ภูเขาคันธมาทน์ห้าพรรษา คิดว่า จักเยี่ยมพระเจ้าพาราณสี จึงเหาะมานั่งอยู่บนมงคลศิลาในมงคลราชอุทยาน. คนเฝ้ าพระราชอุทยานจาได้ จึงไปกราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ นายช่างกัลบกคังคาลมาล เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
  • 10. 10 เหาะมานั่งอยู่ในมงคลราชอุทยาน. พระราชาทรงสดับแล้ว รีบเสด็จออกมาด้วยหวังว่า จักไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้า พระราชชนนีก็เสด็จออกไปพร้อมกับพระราชา. พระราชาเสด็จเข้าสู่พระราชอุทยาน ไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พร้อมด้วยบริษัท. พระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อจะทาปฏิสันถารกับพระราชา ได้เรียกพระราชาตามนามสกุลว่า ดูก่อนพรหมทัต พระองค์เป็นผู้ไม่ประมาท ครองราชสมบัติโดยธรรม บาเพ็ญบุญมีให้ทานเป็นต้นอยู่หรือ ดังนี้แล้วทาปฏิสันถาร. พระราชชนนีได้สดับดังนั้น ทรงพระพิโรธว่า คังคมาลนี้มีชาติเป็ นคนเลว ลามก เป็นลูกช่างกัลบก ไม่รู้จักประมาณตน เรียกโอรสของเราซึ่งเป็ นพระเจ้าแผ่นดินเป็ นกษัตริย์โดยชาติ โดยชื่อว่า พรหมทัต ดังนี้ จึงตรัสคาถาที่ ๗ ความว่า :- สัตว์ทั้งหลายย่อมละกรรมชั่วด้วยตบะ แต่สัตว์เหล่านั้นจะละความเป็นคนผู้ใช้หม้อตักน้าให้เขาอาบได้หรือ แน่ะคังคมาละ การที่ท่านข่มขี่ด้วยตบะ แล้วร้องเรียกโอรสของเราโดยชื่อว่าพรหมทัตในวันนี้นั้น ไม่เป็นการสมควรเลย. คาถานั้นมีอธิบายดังนี้ พระราชชนนีตรัสว่า สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ย่อมละบาปกรรมได้ด้วยตบะ คือตบะคุณที่ตนสร้างสมไว้ แต่ตบะเหล่านั้นจะละความเป็นผู้ใช้หม้อตักน้าให้เขาอาบได้ด้วยหรือ แน่ะคังคมาละ การที่ท่านใช้ตบะของตนข่มขี่ เรียกโอรสของเราโดยชื่อว่าพรหมทัตในวันนี้นั้น เป็ นการไม่สมควรเลย. พระราชาตรัสห้ามพระชนนีแล้ว เมื่อจะประกาศคุณของพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงตรัสคาถาที่ ๘ ความว่า :- ข้าแต่เสด็จแม่ เราทั้งหลายพร้อมทั้งพระราชาและอามาตย์ พากันไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเป็ นผู้อันชนทั้งปวงไหว้แล้ว เชิญเสด็จแม่ทอดพระเนตรดูผลแห่งขันติและโสรัจจะในปัจจุบันเถิด. เมื่อพระราชาตรัสห้ามพระราชชนนีแล้ว มหาชนที่เหลือพากันลุกขึ้นกล่าวว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ การที่คนต่าช้าเห็นปานนี้เรียกพระองค์โดยชื่อ ไม่สมควรแก่พระองค์เลย. พระราชาทรงห้ามมหาชนแล้ว เพื่อจะแสดงคุณของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น
  • 11. 11 จึงตรัสคาถาสุดท้ายความว่า :- ท่านทั้งหลายอย่าได้กล่าวอะไรๆ กะท่านคังคมาละผู้เป็นพระปัจเจกมุนี ศึกษาอยู่ในคลองมุนี ความจริงพระปัจเจกพุทธเจ้าคังคามาละนี้ ข้ามห้วงน้า ที่พระปัจเจกมุนีทั้งหลายข้ามแล้ว หมดความเศร้าโศกเที่ยวไป. พระราชาครั้นตรัสดังนี้แล้ว ได้ถวายนมัสการพระปัจเจกพุทธเจ้า ตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอพระคุณเจ้าได้โปรดอดโทษแก่พระราชชนนีด้วยเถิด. พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสว่า ถวายพระพรมหาบพิตร อาตมาอดโทษให้. แม้พวกราชบริษัทก็พากันขอขมาโทษพระปัจเจกพุทธเจ้า พระราชาขอปฏิญญาพระปัจเจกพุทธเจ้า เพื่อให้อยู่กับพระองค์ต่อไป. พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้ถวายปฏิญญา เมื่อบริษัทพร้อมด้วยพระราชากาลังแลดูอยู่นั่นเอง ได้ลอยขึ้นไปในอากาศ ถวายโอวาทแต่พระราชา แล้วเหาะไปยังภูเขาคันธมาทน์. พระบรมศาสดา ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าการอยู่รักษาอุโบสถ เป็นกิจที่บุคคลควรอยู่รักษาด้วยประการฉะนี้ แล้วทรงประชุมชาดกว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าครั้งนั้น ได้ปรินิพพานแล้ว พระเจ้าอัฑฒมาสกราช ได้มาเป็น พระอานนท์ พระราชชนนี ได้มาเป็ น พระมหามายา พระอัครมเหสี ได้มาเป็น มารดาพระราหุล ส่วนพระเจ้าอุทัยราช ได้มาเป็ น เราตถาคต ฉะนี้แล. จบ อรรถกถาคังคมาลชาดกที่ ๕ -----------------------------------------------------