More Related Content
Similar to 2562 final-project 612-33
Similar to 2562 final-project 612-33 (20)
More from Mai Lovelove (20)
2562 final-project 612-33
- 1. แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5
ปีการศึกษา 2562
ชื่อโครงงาน โรคขี้เกียจ
ชื่อผู้ทาโครงงาน
ชื่อ นางสาวอุรัสยา โอสถาพันธุ์ เลขที่ 33 ชั้น ม.6 ห้อง 12
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานร่วม นายนพดล ขอดคา
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 62
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
- 2. ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม นางสาวอุรัสยา โอสถาพันธุ์ เลขที่33
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
โรคขี้เกียจ
ชื่อโครงงาน(ภาษาอังกฤษ)
Lazy
ประเภทโครงงาน ทฤษฎี
ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาวอุรัสยา โอสถาพันธุ์
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ชื่อที่ปรึกษาร่วม นายนพดล ขอดคา
ระยะเวลาดาเนินงาน 1 สัปดาห์
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน)
โครงงานนี้มีที่มาจากสิ่งที่ทุกคนมีอยู่ในตัวก็คือ’ความขี้เกียจ’ ความขี้เกียจนั้นไม่ได้มาจากเราโดยตรงแต่มา
จากสิ่งเร้ารอบตัวด้วยเช่น วัน เวลา สถานที่ หรือแม้กระทั่งบรรยาการก็สามารถทาให้คนเราขี้เกียจกันได้ แล้วจะทา
อย่างไรให้เรานั้นไม่ขี้เกียจ วิธีจัดการกับความขี้เกียจมีหลายแนวทางซึ่งแต่ละแนวทางนั้นต้องขึ้นอยู่กับบุคลิก ลักษณะ
นิสัย ของบุคคลนั้นด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสาเหตุที่ทาให้ดิฉันทาโครงงานนี้ขึ้นมาเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ทีสูงสุด
แก่บุคคลที่หาทางกาจัดความขี้เกียจนี้ออกไป "Laziness is nothing more than the habit of resting before
you get tired." ความขี้เกียจไม่ใช่อะไรมากไปกว่านิสัยที่ชอบจะหยุดพักก่อนที่จะรู้สึกเหนื่อย จากคากล่าวข้างต้น
นักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์บางคนกลับคิดมุมกลับว่าอันที่จริงแล้ว ความขี้เกียจเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์
และมันเป็นสิ่งที่ดีด้วยซ้า ความขี้เกียจสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ว่า สมัยก่อนนั้นแหล่งพลังงานเป็นสิ่งหายากและ
สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ล้วนแต่ต้องสะสมพลังงานเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน และทากิจกรรมต่าง ๆ หรือออกแรงใช้พลังงานในสิ่ง
ที่จาเป็นเมื่อคราวจาเป็นจริง ๆ เท่านั้น ดังนั้น การอยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ ไม่ใช้พลังงาน ไม่ขยับตัวไปทาอะไร หรือที่เรียกว่าขี้
เกียจนั้นก็ออกจะสอดคล้องกับแนวคิดด้านการสะสมพลังงานนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ความขี้เกียจหรือการ
ผัดวันประกันพรุ่งจะกลายเป็นปัญหาในทันทีหากสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่มีความสาคัญ เช่น งาน นัดหมายสาคัญ หรือการ
ชาระหนี้ต่าง ๆ คนญี่ปุ่นมีวิธีกาจัดความขี้เกียจที่เรียกว่า Kaizen หรือกฎหนึ่งนาที โดยใช้แนวคิดที่ว่าคุณไม่ต้อง
เปลี่ยนตัวเองทันทีทันใด แต่การไปถึงเป้าหมายได้อย่างที่ตั้งไว้คือ การค่อย ๆ เปลี่ยน ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไปอย่าง
ชาญฉลาด แนวคิดคือ การฝึกฝนสิ่งที่ต้องการจะทาเพียงแค่ 1 นาที แต่ทาเป็นประจาทุกวัน ด้วยเวลาน้อยนิดเพียง 1
นาที คนส่วนใหญ่ก็คงจะไม่ขี้เกียจที่จะทามัน มันง่ายกว่างานที่ต้องทาเป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นสัปดาห์ ซึ่งอาจจะเป็น
- 3. งานที่ไม่คุ้นและอาจน่าเบื่อ การทาอะไรบางอย่างเพียงระยะเวลาสั้น ๆ นอกจากจะไม่ทาให้รู้สึกไม่อยากทาแล้ว มันยัง
น่าสนุกและเห็นผลชัดเจนกว่า แต่ถ้าความขี้เกียจคือการล้มเลิกกลางคันก่อนที่จะรู้สึกเหนื่อยหรือเบื่อกับบางสิ่ง
บางอย่าง แล้วสิ่งที่เราควรจะทา หรือตั้งเป้าไว้เหล่านั้นมันจาเป็นต้องทาจริงหรือ ด้วยเหตุนี้จึงทาให้เราต้องศึกษาและ
รู้จักกับความขี้เกียจของเรา
วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
1. เพื่อให้ทุกคนที่ได้อ่านบทความของดิฉันนั้นได้มีวิธีกาจักความขี้เกียจออกไป
2. สามารถรับมือกับควาขี้เกียจ และทางานได้อย่างขยันขันแข็ง
ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน)
1. เพื่อศึกษาลักษณะนิสัยของตัวเอง
2. เพื่อศึกษาวิธีการรักษารักษาให้ตัวเองหาขี้เกียจอย่างไร
หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน)
ความขี้เกียจนั้นมาจากนิสัยส่วนตัวที่ได้งานจากสภาพแวดล้อมรอบตัว เช่น พ่อแม่ปู่ย่าตายายเพื่อนครูอาจาร์ย
การศึกษา หรือแม้แต่อุปกรณ์สื่อสารต่างๆ เช่น โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ รถยนต์ รถเมล์ ร้านสะดวกซื้อ ดังนั้นวิธีแก้ไข
ปัญหาจึงเป็นการบีบบังคับด้วยปัจจัยต่างๆเช่น เวลา เงิน รางวัลต่างๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมาเช่น การทาการบ้านัก
จะทาตอนที่ใกล้ถึงเวลาส่งเพราะเป็นการเร่งและกดดันตัวเองให้รีบทาส่งก่อนที่จะส่งงานเกินเวลา
ปรับเปลี่ยนชีวิต พิชิตความขี้เกียจ
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตนเองอาจช่วยลดอาการขี้กียจได้ โดยลองทาตามวิธีการดังต่อไปนี้
-ปรับมื้ออาหาร การแบ่งรับประทานอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ ช่วยลดอาการเหนื่อยล้าและความขี้เกียจได้ เนื่องจากสมอง
ต้องการสารอาหารเพื่อเผาผลาญเป็นพลังงานอยู่ตลอดเวลา และควรเลือกรับประทานอาหารที่มีน้าตาลน้อยเพื่อให้
ร่างกายดูดซึมน้าตาลเข้าสู่กระแสเลือดได้ช้า เช่น ถั่ว ธัญพืช ผักที่มีเส้นใยสูง น้ามันมะกอก รวมทั้งอาหารจาพวก
โปรตีนและไขมัน เพราะจะช่วยทาให้รู้สึกอิ่มนาน และมีเรี่ยวแรงกว่าการรับประทานอาหารประเภทแป้งที่มีน้าตาลสูง
-นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพออาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพที่เรื้อรังได้ ทั้งยัง
ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ แรงผลักดันในการทากิจกรรมต่าง ๆ และระดับพลังงานในร่างกาย ซึ่งเป็นผลทาให้ขี้เกียจได้
ดังนั้น ควรให้ความสาคัญกับการนอนหลับเพื่อป้องกันอาการง่วง เฉื่อยชา และขี้เกียจระหว่างวัน โดยทั่วไป ผู้ใหญ่ควร
นอนหลับวันละ 7-9 ชั่วโมง
-ออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ การออกกาลังกาย 150 นาที/สัปดาห์ ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายมีพลังงานตลอดวัน ช่วย
ลดความเครียด และยังเพิ่มความแข็งแรงทนทานของกล้ามเนื้อ ทาให้ร่างกายทางานหรือทากิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ
-ดื่มน้า การดื่มน้าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการช่วยขจัดความขี้เกียจ เพราะหากเกิดภาวะขาดน้าจะทาให้การลาเลียง
ออกซิเจนไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายช้าลง เป็นสาเหตุทาให้รู้สึกอ่อนล้า ดังนั้น ควรดื่มน้าอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
นอกจากนี้ อาจใส่ผลไม้ลงไปในน้าดื่ม เช่น มะนาว เบอร์รี่ แตงกวา เป็นต้น เพื่อเพิ่มสีสันและทาให้รู้สึกสดชื่น
-ควบคุมความเครียด ความเครียดจากการทางานหรือปัญหาส่วนตัวอาจเป็นสาเหตุที่ทาให้รู้สึกเหนื่อยล้าและขี้เกียจได้
การพบปะสังสรรค์กับเพื่อน การเข้าร่วมกลุ่มแบ่งปันประสบการณ์กับผู้ที่เผชิญปัญหาคล้าย ๆ กัน หรือการปรึกษา
จิตแพทย์ อาจช่วยลดระดับความเครียดลงได้ นอกจากนี้ อาจทากิจกรรมช่วยผ่อนคลาย เช่น นั่งสมาธิ เล่นโยคะ หรือ
ไทชิ ซึ่งเป็นการออกกาลังกายที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- 4. -หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ นอกจากการสูบบุหรี่จะทาลายสุขภาพแล้ว สารนิโคตินในบุหรี่ยังทาให้รู้สึกง่วงซึมด้วย
เนื่องจากนิโคตินส่งผลให้จังหวะการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น กระตุ้นคลื่นสมองทาให้รู้สึกตื่นตัว
เกิดปัญหานอนไม่หลับ จึงรู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยล้าในวันรุ่งขึ้น
-จากัดปริมาณแอลกอฮอล์ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ในตอนกลางวัน เนื่องจากแอลกอฮอล์จะออกฤทธิ์กด
ประสาททาให้รู้สึกง่วงและขี้เกียจ หากดื่มแอลกอฮอล์ ควรจากัดปริมาณให้เหมาะสม เพื่อป้องกันความอ่อนล้าและ
อาการง่วงซึมที่นาไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้
เคล็ดลับรับมือความขี้เกียจ
นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองแล้ว เคล็ดลับต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ อาจช่วยแก้ปัญหาความขี้เกียจ และกระตุ้น
ความขยันให้กลับมาได้
-รับประทานขนม หากรู้สึกขี้เกียจ อ่อนล้า ไม่มีแรงในช่วงสายหรือช่วงบ่ายของวัน แสดงว่ามีระดับน้าตาลในเลือดต่า
ซึ่งการรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูง โดยเฉพาะขนมที่มีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนอาจช่วยทาให้
รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาได้ เนื่องจากขนมเหล่านี้จะช่วยเร่งกระบวนการเมตาบอลิซึมทาให้ร่างกายมีพลังงานในการ
ทากิจกรรมต่าง ๆ ก่อนถึงเวลารับประทานอาหารมื้อหลัก ควรเลือกรับประทานขนมที่ให้พลังงานประมาณ 100-200
แคลอรี่
-รับแสงแดด จากงานวิจัยพบว่าการได้รับแสงแดดในวันที่อากาศดีเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ อาจช่วยปรับสภาพอารมณ์ ทา
ให้ความจาดีขึ้น เปิดรับความจาใหม่ได้ดี และยังช่วยให้รู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น หากไม่สะดวกหรือไม่มีเวลาออกไป
ข้างนอกเพื่อรับแสงแดด อาจเปิดผ้าม่านหรือหน้าต่างเพื่อให้แสงแดดส่องเข้ามาในห้องแทน
หายใจเข้าลึก ๆ ลองสูดหายใจเข้าลึก ๆ เมื่อรู้สึกขี้เกียจ โดยหลับตาลงแล้วสูดหายใจเข้าทางจมูกช้า ๆ และหายใจ
ออกทางปาก ทาซ้าเรื่อย ๆ จนกว่าจังหวะการเต้นของหัวใจช้าลง การฝึกหายใจเช่นนี้จะช่วยลดความดันโลหิต ลด
จังหวะการเต้นของหัวใจ ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และยังช่วยขนส่งออกซิเจนไปสู่เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายด้วย
-ดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีน การดื่มชาหรือกาแฟช่วยให้ร่างกายเกิดความตื่นตัว รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ทาให้สมองทางาน
และคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทว่าต้องดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนอย่างระมัดระวัง เนื่องจากการบริโภค
คาเฟอีนปริมาณมากในตอนกลางวันอาจทาให้นอนไม่หลับในตอนกลางคืนได้
-เดินผ่อนคลาย ความเครียดอาจเป็นสาเหตุที่ทาให้รู้สึกเหนื่อยล้าและขี้เกียจ การเดินเล่นอาจช่วยลดความเครียดที่
เกิดขึ้นและช่วยทาให้รู้สึกผ่อนคลายได้ โดยอาจตื่นนอนก่อนเวลาปกติ 30 นาที เพื่อออกมาเดินเล่นก่อนรับประทาน
อาหารเช้า และอาจใช้เวลาช่วงพักเที่ยงเดินเล่นในสวนหรือสถานที่ที่ไม่มีคนพลุกพล่าน
-วางแผนการทางาน ภาระงานที่ท่วมท้นอาจทาให้รู้สึกขี้เกียจและเหนื่อยล้าได้ ดังนั้น ควรลาดับความสาคัญของสิ่งที่
ต้องทาเสมอ และอาจขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงานหรือคนรอบข้างหากมีงานที่ต้องทามากเกินไป
-ทางานอดิเรก การทาในสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ เช่น การทาอาหาร การฟังเพลง หรือการฝึกทักษะด้านต่าง ๆ เป็นการใช้
เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ทาให้รู้สึกกระตือรือร้นและมีแรงผลักดันในการทาสิ่งนั้น ๆ
-พบปะสังสรรค์กับเพื่อน การใช้เวลากับเพื่อนหรือผู้ที่มีความสนใจในสิ่งเดียวกัน และการพูดคุยกับผู้ที่มีแง่มุมแนวคิดดี
ๆ จะช่วยกระตุ้นและปลุกพลังให้ทาในสิ่งที่ต้องการได้ แต่การใช้เวลากับผู้ที่มีความคิดในแง่ลบ อารมณ์ไม่ดี หรือพูด
บ่นตลอดเวลา อาจทาให้รู้สึกเหนื่อยและสูญเสียพลังงานได้
-มองทิวทัศน์ การมองทิวทัศน์ภายนอก เช่น ผู้คน นก ต้นไม้ ก้อนเมฆ ช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้น เนื่องจากสมองจะปล่อย
สารเคมีที่ช่วยปรับสภาพอารมณ์และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน หากสภาพแวดล้อมใกล้ตัวไม่มีทิวทัศน์ธรรมชาติที่
สวยงามหรือน่าสนใจ อาจใช้เวลาสั้น ๆ มองภาพชายหาดสวย ๆ หรือภาพดวงอาทิตย์ตกดินจากจอคอมพิวเตอร์แทน
-หวีผม การหวีผมช่วยบรรเทาความเครียด ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยสารเคมีและสัญญาณคลื่นสมองที่ช่วยผ่อน
คลายกล้ามเนื้อต่าง ๆ ทาให้เลือดในสมองไหลเวียนได้อย่างปกติ นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นหนังศีรษะ ทาให้รู้สึกตื่นตัว
และมีพลังทากิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้นด้วย