SlideShare a Scribd company logo
1 of 6
Download to read offline
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5
ปีการศึกษา 2562
ชื่อโครงงาน โรคขี้เกียจ
ชื่อผู้ทาโครงงาน
ชื่อ นางสาวอุรัสยา โอสถาพันธุ์ เลขที่ 33 ชั้น ม.6 ห้อง 12
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานร่วม นายนพดล ขอดคา
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 62
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม นางสาวอุรัสยา โอสถาพันธุ์ เลขที่33
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
โรคขี้เกียจ
ชื่อโครงงาน(ภาษาอังกฤษ)
Lazy
ประเภทโครงงาน ทฤษฎี
ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาวอุรัสยา โอสถาพันธุ์
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ชื่อที่ปรึกษาร่วม นายนพดล ขอดคา
ระยะเวลาดาเนินงาน 1 สัปดาห์
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน)
โครงงานนี้มีที่มาจากสิ่งที่ทุกคนมีอยู่ในตัวก็คือ’ความขี้เกียจ’ ความขี้เกียจนั้นไม่ได้มาจากเราโดยตรงแต่มา
จากสิ่งเร้ารอบตัวด้วยเช่น วัน เวลา สถานที่ หรือแม้กระทั่งบรรยาการก็สามารถทาให้คนเราขี้เกียจกันได้ แล้วจะทา
อย่างไรให้เรานั้นไม่ขี้เกียจ วิธีจัดการกับความขี้เกียจมีหลายแนวทางซึ่งแต่ละแนวทางนั้นต้องขึ้นอยู่กับบุคลิก ลักษณะ
นิสัย ของบุคคลนั้นด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสาเหตุที่ทาให้ดิฉันทาโครงงานนี้ขึ้นมาเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ทีสูงสุด
แก่บุคคลที่หาทางกาจัดความขี้เกียจนี้ออกไป "Laziness is nothing more than the habit of resting before
you get tired." ความขี้เกียจไม่ใช่อะไรมากไปกว่านิสัยที่ชอบจะหยุดพักก่อนที่จะรู้สึกเหนื่อย จากคากล่าวข้างต้น
นักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์บางคนกลับคิดมุมกลับว่าอันที่จริงแล้ว ความขี้เกียจเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์
และมันเป็นสิ่งที่ดีด้วยซ้า ความขี้เกียจสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ว่า สมัยก่อนนั้นแหล่งพลังงานเป็นสิ่งหายากและ
สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ล้วนแต่ต้องสะสมพลังงานเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน และทากิจกรรมต่าง ๆ หรือออกแรงใช้พลังงานในสิ่ง
ที่จาเป็นเมื่อคราวจาเป็นจริง ๆ เท่านั้น ดังนั้น การอยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ ไม่ใช้พลังงาน ไม่ขยับตัวไปทาอะไร หรือที่เรียกว่าขี้
เกียจนั้นก็ออกจะสอดคล้องกับแนวคิดด้านการสะสมพลังงานนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ความขี้เกียจหรือการ
ผัดวันประกันพรุ่งจะกลายเป็นปัญหาในทันทีหากสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่มีความสาคัญ เช่น งาน นัดหมายสาคัญ หรือการ
ชาระหนี้ต่าง ๆ คนญี่ปุ่นมีวิธีกาจัดความขี้เกียจที่เรียกว่า Kaizen หรือกฎหนึ่งนาที โดยใช้แนวคิดที่ว่าคุณไม่ต้อง
เปลี่ยนตัวเองทันทีทันใด แต่การไปถึงเป้าหมายได้อย่างที่ตั้งไว้คือ การค่อย ๆ เปลี่ยน ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไปอย่าง
ชาญฉลาด แนวคิดคือ การฝึกฝนสิ่งที่ต้องการจะทาเพียงแค่ 1 นาที แต่ทาเป็นประจาทุกวัน ด้วยเวลาน้อยนิดเพียง 1
นาที คนส่วนใหญ่ก็คงจะไม่ขี้เกียจที่จะทามัน มันง่ายกว่างานที่ต้องทาเป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นสัปดาห์ ซึ่งอาจจะเป็น
งานที่ไม่คุ้นและอาจน่าเบื่อ การทาอะไรบางอย่างเพียงระยะเวลาสั้น ๆ นอกจากจะไม่ทาให้รู้สึกไม่อยากทาแล้ว มันยัง
น่าสนุกและเห็นผลชัดเจนกว่า แต่ถ้าความขี้เกียจคือการล้มเลิกกลางคันก่อนที่จะรู้สึกเหนื่อยหรือเบื่อกับบางสิ่ง
บางอย่าง แล้วสิ่งที่เราควรจะทา หรือตั้งเป้าไว้เหล่านั้นมันจาเป็นต้องทาจริงหรือ ด้วยเหตุนี้จึงทาให้เราต้องศึกษาและ
รู้จักกับความขี้เกียจของเรา
วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
1. เพื่อให้ทุกคนที่ได้อ่านบทความของดิฉันนั้นได้มีวิธีกาจักความขี้เกียจออกไป
2. สามารถรับมือกับควาขี้เกียจ และทางานได้อย่างขยันขันแข็ง
ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน)
1. เพื่อศึกษาลักษณะนิสัยของตัวเอง
2. เพื่อศึกษาวิธีการรักษารักษาให้ตัวเองหาขี้เกียจอย่างไร
หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน)
ความขี้เกียจนั้นมาจากนิสัยส่วนตัวที่ได้งานจากสภาพแวดล้อมรอบตัว เช่น พ่อแม่ปู่ย่าตายายเพื่อนครูอาจาร์ย
การศึกษา หรือแม้แต่อุปกรณ์สื่อสารต่างๆ เช่น โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ รถยนต์ รถเมล์ ร้านสะดวกซื้อ ดังนั้นวิธีแก้ไข
ปัญหาจึงเป็นการบีบบังคับด้วยปัจจัยต่างๆเช่น เวลา เงิน รางวัลต่างๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมาเช่น การทาการบ้านัก
จะทาตอนที่ใกล้ถึงเวลาส่งเพราะเป็นการเร่งและกดดันตัวเองให้รีบทาส่งก่อนที่จะส่งงานเกินเวลา
ปรับเปลี่ยนชีวิต พิชิตความขี้เกียจ
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตนเองอาจช่วยลดอาการขี้กียจได้ โดยลองทาตามวิธีการดังต่อไปนี้
-ปรับมื้ออาหาร การแบ่งรับประทานอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ ช่วยลดอาการเหนื่อยล้าและความขี้เกียจได้ เนื่องจากสมอง
ต้องการสารอาหารเพื่อเผาผลาญเป็นพลังงานอยู่ตลอดเวลา และควรเลือกรับประทานอาหารที่มีน้าตาลน้อยเพื่อให้
ร่างกายดูดซึมน้าตาลเข้าสู่กระแสเลือดได้ช้า เช่น ถั่ว ธัญพืช ผักที่มีเส้นใยสูง น้ามันมะกอก รวมทั้งอาหารจาพวก
โปรตีนและไขมัน เพราะจะช่วยทาให้รู้สึกอิ่มนาน และมีเรี่ยวแรงกว่าการรับประทานอาหารประเภทแป้งที่มีน้าตาลสูง
-นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพออาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพที่เรื้อรังได้ ทั้งยัง
ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ แรงผลักดันในการทากิจกรรมต่าง ๆ และระดับพลังงานในร่างกาย ซึ่งเป็นผลทาให้ขี้เกียจได้
ดังนั้น ควรให้ความสาคัญกับการนอนหลับเพื่อป้องกันอาการง่วง เฉื่อยชา และขี้เกียจระหว่างวัน โดยทั่วไป ผู้ใหญ่ควร
นอนหลับวันละ 7-9 ชั่วโมง
-ออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ การออกกาลังกาย 150 นาที/สัปดาห์ ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายมีพลังงานตลอดวัน ช่วย
ลดความเครียด และยังเพิ่มความแข็งแรงทนทานของกล้ามเนื้อ ทาให้ร่างกายทางานหรือทากิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ
-ดื่มน้า การดื่มน้าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการช่วยขจัดความขี้เกียจ เพราะหากเกิดภาวะขาดน้าจะทาให้การลาเลียง
ออกซิเจนไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายช้าลง เป็นสาเหตุทาให้รู้สึกอ่อนล้า ดังนั้น ควรดื่มน้าอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
นอกจากนี้ อาจใส่ผลไม้ลงไปในน้าดื่ม เช่น มะนาว เบอร์รี่ แตงกวา เป็นต้น เพื่อเพิ่มสีสันและทาให้รู้สึกสดชื่น
-ควบคุมความเครียด ความเครียดจากการทางานหรือปัญหาส่วนตัวอาจเป็นสาเหตุที่ทาให้รู้สึกเหนื่อยล้าและขี้เกียจได้
การพบปะสังสรรค์กับเพื่อน การเข้าร่วมกลุ่มแบ่งปันประสบการณ์กับผู้ที่เผชิญปัญหาคล้าย ๆ กัน หรือการปรึกษา
จิตแพทย์ อาจช่วยลดระดับความเครียดลงได้ นอกจากนี้ อาจทากิจกรรมช่วยผ่อนคลาย เช่น นั่งสมาธิ เล่นโยคะ หรือ
ไทชิ ซึ่งเป็นการออกกาลังกายที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ นอกจากการสูบบุหรี่จะทาลายสุขภาพแล้ว สารนิโคตินในบุหรี่ยังทาให้รู้สึกง่วงซึมด้วย
เนื่องจากนิโคตินส่งผลให้จังหวะการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น กระตุ้นคลื่นสมองทาให้รู้สึกตื่นตัว
เกิดปัญหานอนไม่หลับ จึงรู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยล้าในวันรุ่งขึ้น
-จากัดปริมาณแอลกอฮอล์ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ในตอนกลางวัน เนื่องจากแอลกอฮอล์จะออกฤทธิ์กด
ประสาททาให้รู้สึกง่วงและขี้เกียจ หากดื่มแอลกอฮอล์ ควรจากัดปริมาณให้เหมาะสม เพื่อป้องกันความอ่อนล้าและ
อาการง่วงซึมที่นาไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้
เคล็ดลับรับมือความขี้เกียจ
นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองแล้ว เคล็ดลับต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ อาจช่วยแก้ปัญหาความขี้เกียจ และกระตุ้น
ความขยันให้กลับมาได้
-รับประทานขนม หากรู้สึกขี้เกียจ อ่อนล้า ไม่มีแรงในช่วงสายหรือช่วงบ่ายของวัน แสดงว่ามีระดับน้าตาลในเลือดต่า
ซึ่งการรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูง โดยเฉพาะขนมที่มีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนอาจช่วยทาให้
รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาได้ เนื่องจากขนมเหล่านี้จะช่วยเร่งกระบวนการเมตาบอลิซึมทาให้ร่างกายมีพลังงานในการ
ทากิจกรรมต่าง ๆ ก่อนถึงเวลารับประทานอาหารมื้อหลัก ควรเลือกรับประทานขนมที่ให้พลังงานประมาณ 100-200
แคลอรี่
-รับแสงแดด จากงานวิจัยพบว่าการได้รับแสงแดดในวันที่อากาศดีเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ อาจช่วยปรับสภาพอารมณ์ ทา
ให้ความจาดีขึ้น เปิดรับความจาใหม่ได้ดี และยังช่วยให้รู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น หากไม่สะดวกหรือไม่มีเวลาออกไป
ข้างนอกเพื่อรับแสงแดด อาจเปิดผ้าม่านหรือหน้าต่างเพื่อให้แสงแดดส่องเข้ามาในห้องแทน
หายใจเข้าลึก ๆ ลองสูดหายใจเข้าลึก ๆ เมื่อรู้สึกขี้เกียจ โดยหลับตาลงแล้วสูดหายใจเข้าทางจมูกช้า ๆ และหายใจ
ออกทางปาก ทาซ้าเรื่อย ๆ จนกว่าจังหวะการเต้นของหัวใจช้าลง การฝึกหายใจเช่นนี้จะช่วยลดความดันโลหิต ลด
จังหวะการเต้นของหัวใจ ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และยังช่วยขนส่งออกซิเจนไปสู่เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายด้วย
-ดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีน การดื่มชาหรือกาแฟช่วยให้ร่างกายเกิดความตื่นตัว รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ทาให้สมองทางาน
และคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทว่าต้องดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนอย่างระมัดระวัง เนื่องจากการบริโภค
คาเฟอีนปริมาณมากในตอนกลางวันอาจทาให้นอนไม่หลับในตอนกลางคืนได้
-เดินผ่อนคลาย ความเครียดอาจเป็นสาเหตุที่ทาให้รู้สึกเหนื่อยล้าและขี้เกียจ การเดินเล่นอาจช่วยลดความเครียดที่
เกิดขึ้นและช่วยทาให้รู้สึกผ่อนคลายได้ โดยอาจตื่นนอนก่อนเวลาปกติ 30 นาที เพื่อออกมาเดินเล่นก่อนรับประทาน
อาหารเช้า และอาจใช้เวลาช่วงพักเที่ยงเดินเล่นในสวนหรือสถานที่ที่ไม่มีคนพลุกพล่าน
-วางแผนการทางาน ภาระงานที่ท่วมท้นอาจทาให้รู้สึกขี้เกียจและเหนื่อยล้าได้ ดังนั้น ควรลาดับความสาคัญของสิ่งที่
ต้องทาเสมอ และอาจขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงานหรือคนรอบข้างหากมีงานที่ต้องทามากเกินไป
-ทางานอดิเรก การทาในสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ เช่น การทาอาหาร การฟังเพลง หรือการฝึกทักษะด้านต่าง ๆ เป็นการใช้
เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ทาให้รู้สึกกระตือรือร้นและมีแรงผลักดันในการทาสิ่งนั้น ๆ
-พบปะสังสรรค์กับเพื่อน การใช้เวลากับเพื่อนหรือผู้ที่มีความสนใจในสิ่งเดียวกัน และการพูดคุยกับผู้ที่มีแง่มุมแนวคิดดี
ๆ จะช่วยกระตุ้นและปลุกพลังให้ทาในสิ่งที่ต้องการได้ แต่การใช้เวลากับผู้ที่มีความคิดในแง่ลบ อารมณ์ไม่ดี หรือพูด
บ่นตลอดเวลา อาจทาให้รู้สึกเหนื่อยและสูญเสียพลังงานได้
-มองทิวทัศน์ การมองทิวทัศน์ภายนอก เช่น ผู้คน นก ต้นไม้ ก้อนเมฆ ช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้น เนื่องจากสมองจะปล่อย
สารเคมีที่ช่วยปรับสภาพอารมณ์และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน หากสภาพแวดล้อมใกล้ตัวไม่มีทิวทัศน์ธรรมชาติที่
สวยงามหรือน่าสนใจ อาจใช้เวลาสั้น ๆ มองภาพชายหาดสวย ๆ หรือภาพดวงอาทิตย์ตกดินจากจอคอมพิวเตอร์แทน
-หวีผม การหวีผมช่วยบรรเทาความเครียด ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยสารเคมีและสัญญาณคลื่นสมองที่ช่วยผ่อน
คลายกล้ามเนื้อต่าง ๆ ทาให้เลือดในสมองไหลเวียนได้อย่างปกติ นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นหนังศีรษะ ทาให้รู้สึกตื่นตัว
และมีพลังทากิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้นด้วย
วิธีดาเนินงาน
แนวทางการดาเนินงาน
ปรึกษาเลือกหัวข้อ
นาเสนอหัวข้อกับครูผู้สอน
ศึกษารวบรวมข้อมูล
จัดทารายงาน
นาเสนอครู
ปรับปรุง
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
อินเตอร์เน็ต
เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
คอมพิวเตอร์
หนังสือที่เกี่ยวข้อง
งบประมาณ
100
ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน
ลาดับ
ที่
ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ
1 2 3 4 5 6 7 8 9
1
0
1
1
12
1
3
1
4
1
5
1
6
17
1 คิดหัวข้อโครงงาน
2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล
3 จัดทาโครงร่างงาน
4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน
5 ปรับปรุงทดสอบ
6 การทาเอกสารรายงาน
7 ประเมินผลงาน
8 นาเสนอโครงงาน
ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน)
เพื่อให้ทุกคนที่ได้อ่านบทความของดิฉันนั้นได้มีวิธีกาจักความขี้เกียจออกไป สามารถรับมือกับควาขี้เกียจ และทางาน
ได้อย่างขยันขันแข็ง
สถานที่ดาเนินการ
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
วิทยาศาสตร์
สังคมศึกษา
แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน)
https://www.pobpad.com/%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%81
%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%88-
%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%
84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8
%81
https://www.youtube.com/watch?v=bfqMf44Ajp0&list=PLZ0vRaBzdrQ2NRwB9JYi3Xdmj9LkEL
RPy&index=8
https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/68909/-scibio-sci-

More Related Content

What's hot

2562 final-project-yanisa-koranit-615-33-13
2562 final-project-yanisa-koranit-615-33-132562 final-project-yanisa-koranit-615-33-13
2562 final-project-yanisa-koranit-615-33-13th3_ze3d_g
 
แบบเสนอร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบเสนอร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอร่างโครงงานคอมพิวเตอร์pantida44027
 
แฟ้มสะสมผลงานนักเรียน
แฟ้มสะสมผลงานนักเรียนแฟ้มสะสมผลงานนักเรียน
แฟ้มสะสมผลงานนักเรียนfang0946675557
 
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ (งานคู่)
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ (งานคู่)แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ (งานคู่)
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ (งานคู่)Piyarat Kuljittipruet
 

What's hot (8)

Com final
Com finalCom final
Com final
 
2560 project
2560 project2560 project
2560 project
 
Mook
MookMook
Mook
 
2562 final-project-yanisa-koranit-615-33-13
2562 final-project-yanisa-koranit-615-33-132562 final-project-yanisa-koranit-615-33-13
2562 final-project-yanisa-koranit-615-33-13
 
แบบเสนอร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบเสนอร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
 
AT1
AT1AT1
AT1
 
แฟ้มสะสมผลงานนักเรียน
แฟ้มสะสมผลงานนักเรียนแฟ้มสะสมผลงานนักเรียน
แฟ้มสะสมผลงานนักเรียน
 
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ (งานคู่)
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ (งานคู่)แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ (งานคู่)
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ (งานคู่)
 

Similar to 2562 final-project 612-33

2562 final-project
2562 final-project 2562 final-project
2562 final-project tapanon
 
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์Benya Chaiwan
 
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์Benya Chaiwan
 
2560 project โครงงาน20
2560 project โครงงาน202560 project โครงงาน20
2560 project โครงงาน20arisara pianlai
 
การดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกาย
การดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกายการดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกาย
การดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกายPatitta Sitti
 
ใบงานที่ 5
ใบงานที่ 5ใบงานที่ 5
ใบงานที่ 5aye_supawan
 

Similar to 2562 final-project 612-33 (20)

Project
ProjectProject
Project
 
Punisa
PunisaPunisa
Punisa
 
Great
GreatGreat
Great
 
Daniellll
DaniellllDaniellll
Daniellll
 
Daniellll
DaniellllDaniellll
Daniellll
 
Comdaniel
ComdanielComdaniel
Comdaniel
 
2562 final-project
2562 final-project 2562 final-project
2562 final-project
 
Nutkamon1
Nutkamon1Nutkamon1
Nutkamon1
 
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
 
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
 
Oh good
Oh goodOh good
Oh good
 
Oh good
Oh goodOh good
Oh good
 
2560 project โครงงาน20
2560 project โครงงาน202560 project โครงงาน20
2560 project โครงงาน20
 
การดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกาย
การดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกายการดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกาย
การดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกาย
 
2557 โครงงาน คอม
2557 โครงงาน คอม 2557 โครงงาน คอม
2557 โครงงาน คอม
 
ใบงานที่ 5
ใบงานที่ 5ใบงานที่ 5
ใบงานที่ 5
 
2561 project 06
2561 project 062561 project 06
2561 project 06
 
Work1
Work1Work1
Work1
 
2562 final-project 14
2562 final-project 142562 final-project 14
2562 final-project 14
 
2558 project
2558 project2558 project
2558 project
 

More from Mai Lovelove

More from Mai Lovelove (20)

2562 final-project 23-40
2562 final-project 23-402562 final-project 23-40
2562 final-project 23-40
 
2562 final-project -1-23
2562 final-project -1-232562 final-project -1-23
2562 final-project -1-23
 
Pastel watercolor-painted-power point-template
Pastel watercolor-painted-power point-templatePastel watercolor-painted-power point-template
Pastel watercolor-painted-power point-template
 
Presentation 3-612-19-28
Presentation 3-612-19-28Presentation 3-612-19-28
Presentation 3-612-19-28
 
Finalproject 21 25
Finalproject 21 25Finalproject 21 25
Finalproject 21 25
 
computer
computercomputer
computer
 
Psychosis
PsychosisPsychosis
Psychosis
 
Computer3.1
Computer3.1Computer3.1
Computer3.1
 
Work 3
Work 3Work 3
Work 3
 
Work2
Work2Work2
Work2
 
Nightice612
Nightice612Nightice612
Nightice612
 
Work2 ice
Work2 iceWork2 ice
Work2 ice
 
Night2
Night2Night2
Night2
 
Nightohm612
Nightohm612Nightohm612
Nightohm612
 
Finalproject m.612 no-2125
Finalproject m.612 no-2125Finalproject m.612 no-2125
Finalproject m.612 no-2125
 
Night612
Night612Night612
Night612
 
2562 final-project-8
2562 final-project-82562 final-project-8
2562 final-project-8
 
2562 final-project 255555
2562 final-project 2555552562 final-project 255555
2562 final-project 255555
 
2562 final-project 25 (1)
2562 final-project 25 (1)2562 final-project 25 (1)
2562 final-project 25 (1)
 
2562 final-project 25
2562 final-project 252562 final-project 25
2562 final-project 25
 

2562 final-project 612-33

  • 1. แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ รหัสวิชา ง33201 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5 ปีการศึกษา 2562 ชื่อโครงงาน โรคขี้เกียจ ชื่อผู้ทาโครงงาน ชื่อ นางสาวอุรัสยา โอสถาพันธุ์ เลขที่ 33 ชั้น ม.6 ห้อง 12 ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์ ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานร่วม นายนพดล ขอดคา ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 62 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
  • 2. ใบงาน การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์ สมาชิกในกลุ่ม นางสาวอุรัสยา โอสถาพันธุ์ เลขที่33 คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้ ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย) โรคขี้เกียจ ชื่อโครงงาน(ภาษาอังกฤษ) Lazy ประเภทโครงงาน ทฤษฎี ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาวอุรัสยา โอสถาพันธุ์ ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์ ชื่อที่ปรึกษาร่วม นายนพดล ขอดคา ระยะเวลาดาเนินงาน 1 สัปดาห์ ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน) โครงงานนี้มีที่มาจากสิ่งที่ทุกคนมีอยู่ในตัวก็คือ’ความขี้เกียจ’ ความขี้เกียจนั้นไม่ได้มาจากเราโดยตรงแต่มา จากสิ่งเร้ารอบตัวด้วยเช่น วัน เวลา สถานที่ หรือแม้กระทั่งบรรยาการก็สามารถทาให้คนเราขี้เกียจกันได้ แล้วจะทา อย่างไรให้เรานั้นไม่ขี้เกียจ วิธีจัดการกับความขี้เกียจมีหลายแนวทางซึ่งแต่ละแนวทางนั้นต้องขึ้นอยู่กับบุคลิก ลักษณะ นิสัย ของบุคคลนั้นด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสาเหตุที่ทาให้ดิฉันทาโครงงานนี้ขึ้นมาเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ทีสูงสุด แก่บุคคลที่หาทางกาจัดความขี้เกียจนี้ออกไป "Laziness is nothing more than the habit of resting before you get tired." ความขี้เกียจไม่ใช่อะไรมากไปกว่านิสัยที่ชอบจะหยุดพักก่อนที่จะรู้สึกเหนื่อย จากคากล่าวข้างต้น นักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์บางคนกลับคิดมุมกลับว่าอันที่จริงแล้ว ความขี้เกียจเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ และมันเป็นสิ่งที่ดีด้วยซ้า ความขี้เกียจสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ว่า สมัยก่อนนั้นแหล่งพลังงานเป็นสิ่งหายากและ สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ล้วนแต่ต้องสะสมพลังงานเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน และทากิจกรรมต่าง ๆ หรือออกแรงใช้พลังงานในสิ่ง ที่จาเป็นเมื่อคราวจาเป็นจริง ๆ เท่านั้น ดังนั้น การอยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ ไม่ใช้พลังงาน ไม่ขยับตัวไปทาอะไร หรือที่เรียกว่าขี้ เกียจนั้นก็ออกจะสอดคล้องกับแนวคิดด้านการสะสมพลังงานนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ความขี้เกียจหรือการ ผัดวันประกันพรุ่งจะกลายเป็นปัญหาในทันทีหากสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่มีความสาคัญ เช่น งาน นัดหมายสาคัญ หรือการ ชาระหนี้ต่าง ๆ คนญี่ปุ่นมีวิธีกาจัดความขี้เกียจที่เรียกว่า Kaizen หรือกฎหนึ่งนาที โดยใช้แนวคิดที่ว่าคุณไม่ต้อง เปลี่ยนตัวเองทันทีทันใด แต่การไปถึงเป้าหมายได้อย่างที่ตั้งไว้คือ การค่อย ๆ เปลี่ยน ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไปอย่าง ชาญฉลาด แนวคิดคือ การฝึกฝนสิ่งที่ต้องการจะทาเพียงแค่ 1 นาที แต่ทาเป็นประจาทุกวัน ด้วยเวลาน้อยนิดเพียง 1 นาที คนส่วนใหญ่ก็คงจะไม่ขี้เกียจที่จะทามัน มันง่ายกว่างานที่ต้องทาเป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นสัปดาห์ ซึ่งอาจจะเป็น
  • 3. งานที่ไม่คุ้นและอาจน่าเบื่อ การทาอะไรบางอย่างเพียงระยะเวลาสั้น ๆ นอกจากจะไม่ทาให้รู้สึกไม่อยากทาแล้ว มันยัง น่าสนุกและเห็นผลชัดเจนกว่า แต่ถ้าความขี้เกียจคือการล้มเลิกกลางคันก่อนที่จะรู้สึกเหนื่อยหรือเบื่อกับบางสิ่ง บางอย่าง แล้วสิ่งที่เราควรจะทา หรือตั้งเป้าไว้เหล่านั้นมันจาเป็นต้องทาจริงหรือ ด้วยเหตุนี้จึงทาให้เราต้องศึกษาและ รู้จักกับความขี้เกียจของเรา วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ) 1. เพื่อให้ทุกคนที่ได้อ่านบทความของดิฉันนั้นได้มีวิธีกาจักความขี้เกียจออกไป 2. สามารถรับมือกับควาขี้เกียจ และทางานได้อย่างขยันขันแข็ง ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน) 1. เพื่อศึกษาลักษณะนิสัยของตัวเอง 2. เพื่อศึกษาวิธีการรักษารักษาให้ตัวเองหาขี้เกียจอย่างไร หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน) ความขี้เกียจนั้นมาจากนิสัยส่วนตัวที่ได้งานจากสภาพแวดล้อมรอบตัว เช่น พ่อแม่ปู่ย่าตายายเพื่อนครูอาจาร์ย การศึกษา หรือแม้แต่อุปกรณ์สื่อสารต่างๆ เช่น โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ รถยนต์ รถเมล์ ร้านสะดวกซื้อ ดังนั้นวิธีแก้ไข ปัญหาจึงเป็นการบีบบังคับด้วยปัจจัยต่างๆเช่น เวลา เงิน รางวัลต่างๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมาเช่น การทาการบ้านัก จะทาตอนที่ใกล้ถึงเวลาส่งเพราะเป็นการเร่งและกดดันตัวเองให้รีบทาส่งก่อนที่จะส่งงานเกินเวลา ปรับเปลี่ยนชีวิต พิชิตความขี้เกียจ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตนเองอาจช่วยลดอาการขี้กียจได้ โดยลองทาตามวิธีการดังต่อไปนี้ -ปรับมื้ออาหาร การแบ่งรับประทานอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ ช่วยลดอาการเหนื่อยล้าและความขี้เกียจได้ เนื่องจากสมอง ต้องการสารอาหารเพื่อเผาผลาญเป็นพลังงานอยู่ตลอดเวลา และควรเลือกรับประทานอาหารที่มีน้าตาลน้อยเพื่อให้ ร่างกายดูดซึมน้าตาลเข้าสู่กระแสเลือดได้ช้า เช่น ถั่ว ธัญพืช ผักที่มีเส้นใยสูง น้ามันมะกอก รวมทั้งอาหารจาพวก โปรตีนและไขมัน เพราะจะช่วยทาให้รู้สึกอิ่มนาน และมีเรี่ยวแรงกว่าการรับประทานอาหารประเภทแป้งที่มีน้าตาลสูง -นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพออาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพที่เรื้อรังได้ ทั้งยัง ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ แรงผลักดันในการทากิจกรรมต่าง ๆ และระดับพลังงานในร่างกาย ซึ่งเป็นผลทาให้ขี้เกียจได้ ดังนั้น ควรให้ความสาคัญกับการนอนหลับเพื่อป้องกันอาการง่วง เฉื่อยชา และขี้เกียจระหว่างวัน โดยทั่วไป ผู้ใหญ่ควร นอนหลับวันละ 7-9 ชั่วโมง -ออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ การออกกาลังกาย 150 นาที/สัปดาห์ ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายมีพลังงานตลอดวัน ช่วย ลดความเครียด และยังเพิ่มความแข็งแรงทนทานของกล้ามเนื้อ ทาให้ร่างกายทางานหรือทากิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ -ดื่มน้า การดื่มน้าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการช่วยขจัดความขี้เกียจ เพราะหากเกิดภาวะขาดน้าจะทาให้การลาเลียง ออกซิเจนไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายช้าลง เป็นสาเหตุทาให้รู้สึกอ่อนล้า ดังนั้น ควรดื่มน้าอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว นอกจากนี้ อาจใส่ผลไม้ลงไปในน้าดื่ม เช่น มะนาว เบอร์รี่ แตงกวา เป็นต้น เพื่อเพิ่มสีสันและทาให้รู้สึกสดชื่น -ควบคุมความเครียด ความเครียดจากการทางานหรือปัญหาส่วนตัวอาจเป็นสาเหตุที่ทาให้รู้สึกเหนื่อยล้าและขี้เกียจได้ การพบปะสังสรรค์กับเพื่อน การเข้าร่วมกลุ่มแบ่งปันประสบการณ์กับผู้ที่เผชิญปัญหาคล้าย ๆ กัน หรือการปรึกษา จิตแพทย์ อาจช่วยลดระดับความเครียดลงได้ นอกจากนี้ อาจทากิจกรรมช่วยผ่อนคลาย เช่น นั่งสมาธิ เล่นโยคะ หรือ ไทชิ ซึ่งเป็นการออกกาลังกายที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • 4. -หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ นอกจากการสูบบุหรี่จะทาลายสุขภาพแล้ว สารนิโคตินในบุหรี่ยังทาให้รู้สึกง่วงซึมด้วย เนื่องจากนิโคตินส่งผลให้จังหวะการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น กระตุ้นคลื่นสมองทาให้รู้สึกตื่นตัว เกิดปัญหานอนไม่หลับ จึงรู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยล้าในวันรุ่งขึ้น -จากัดปริมาณแอลกอฮอล์ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ในตอนกลางวัน เนื่องจากแอลกอฮอล์จะออกฤทธิ์กด ประสาททาให้รู้สึกง่วงและขี้เกียจ หากดื่มแอลกอฮอล์ ควรจากัดปริมาณให้เหมาะสม เพื่อป้องกันความอ่อนล้าและ อาการง่วงซึมที่นาไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้ เคล็ดลับรับมือความขี้เกียจ นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองแล้ว เคล็ดลับต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ อาจช่วยแก้ปัญหาความขี้เกียจ และกระตุ้น ความขยันให้กลับมาได้ -รับประทานขนม หากรู้สึกขี้เกียจ อ่อนล้า ไม่มีแรงในช่วงสายหรือช่วงบ่ายของวัน แสดงว่ามีระดับน้าตาลในเลือดต่า ซึ่งการรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูง โดยเฉพาะขนมที่มีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนอาจช่วยทาให้ รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาได้ เนื่องจากขนมเหล่านี้จะช่วยเร่งกระบวนการเมตาบอลิซึมทาให้ร่างกายมีพลังงานในการ ทากิจกรรมต่าง ๆ ก่อนถึงเวลารับประทานอาหารมื้อหลัก ควรเลือกรับประทานขนมที่ให้พลังงานประมาณ 100-200 แคลอรี่ -รับแสงแดด จากงานวิจัยพบว่าการได้รับแสงแดดในวันที่อากาศดีเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ อาจช่วยปรับสภาพอารมณ์ ทา ให้ความจาดีขึ้น เปิดรับความจาใหม่ได้ดี และยังช่วยให้รู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น หากไม่สะดวกหรือไม่มีเวลาออกไป ข้างนอกเพื่อรับแสงแดด อาจเปิดผ้าม่านหรือหน้าต่างเพื่อให้แสงแดดส่องเข้ามาในห้องแทน หายใจเข้าลึก ๆ ลองสูดหายใจเข้าลึก ๆ เมื่อรู้สึกขี้เกียจ โดยหลับตาลงแล้วสูดหายใจเข้าทางจมูกช้า ๆ และหายใจ ออกทางปาก ทาซ้าเรื่อย ๆ จนกว่าจังหวะการเต้นของหัวใจช้าลง การฝึกหายใจเช่นนี้จะช่วยลดความดันโลหิต ลด จังหวะการเต้นของหัวใจ ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และยังช่วยขนส่งออกซิเจนไปสู่เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายด้วย -ดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีน การดื่มชาหรือกาแฟช่วยให้ร่างกายเกิดความตื่นตัว รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ทาให้สมองทางาน และคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทว่าต้องดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนอย่างระมัดระวัง เนื่องจากการบริโภค คาเฟอีนปริมาณมากในตอนกลางวันอาจทาให้นอนไม่หลับในตอนกลางคืนได้ -เดินผ่อนคลาย ความเครียดอาจเป็นสาเหตุที่ทาให้รู้สึกเหนื่อยล้าและขี้เกียจ การเดินเล่นอาจช่วยลดความเครียดที่ เกิดขึ้นและช่วยทาให้รู้สึกผ่อนคลายได้ โดยอาจตื่นนอนก่อนเวลาปกติ 30 นาที เพื่อออกมาเดินเล่นก่อนรับประทาน อาหารเช้า และอาจใช้เวลาช่วงพักเที่ยงเดินเล่นในสวนหรือสถานที่ที่ไม่มีคนพลุกพล่าน -วางแผนการทางาน ภาระงานที่ท่วมท้นอาจทาให้รู้สึกขี้เกียจและเหนื่อยล้าได้ ดังนั้น ควรลาดับความสาคัญของสิ่งที่ ต้องทาเสมอ และอาจขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงานหรือคนรอบข้างหากมีงานที่ต้องทามากเกินไป -ทางานอดิเรก การทาในสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ เช่น การทาอาหาร การฟังเพลง หรือการฝึกทักษะด้านต่าง ๆ เป็นการใช้ เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ทาให้รู้สึกกระตือรือร้นและมีแรงผลักดันในการทาสิ่งนั้น ๆ -พบปะสังสรรค์กับเพื่อน การใช้เวลากับเพื่อนหรือผู้ที่มีความสนใจในสิ่งเดียวกัน และการพูดคุยกับผู้ที่มีแง่มุมแนวคิดดี ๆ จะช่วยกระตุ้นและปลุกพลังให้ทาในสิ่งที่ต้องการได้ แต่การใช้เวลากับผู้ที่มีความคิดในแง่ลบ อารมณ์ไม่ดี หรือพูด บ่นตลอดเวลา อาจทาให้รู้สึกเหนื่อยและสูญเสียพลังงานได้ -มองทิวทัศน์ การมองทิวทัศน์ภายนอก เช่น ผู้คน นก ต้นไม้ ก้อนเมฆ ช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้น เนื่องจากสมองจะปล่อย สารเคมีที่ช่วยปรับสภาพอารมณ์และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน หากสภาพแวดล้อมใกล้ตัวไม่มีทิวทัศน์ธรรมชาติที่ สวยงามหรือน่าสนใจ อาจใช้เวลาสั้น ๆ มองภาพชายหาดสวย ๆ หรือภาพดวงอาทิตย์ตกดินจากจอคอมพิวเตอร์แทน -หวีผม การหวีผมช่วยบรรเทาความเครียด ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยสารเคมีและสัญญาณคลื่นสมองที่ช่วยผ่อน คลายกล้ามเนื้อต่าง ๆ ทาให้เลือดในสมองไหลเวียนได้อย่างปกติ นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นหนังศีรษะ ทาให้รู้สึกตื่นตัว และมีพลังทากิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้นด้วย
  • 5. วิธีดาเนินงาน แนวทางการดาเนินงาน ปรึกษาเลือกหัวข้อ นาเสนอหัวข้อกับครูผู้สอน ศึกษารวบรวมข้อมูล จัดทารายงาน นาเสนอครู ปรับปรุง เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ อินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง คอมพิวเตอร์ หนังสือที่เกี่ยวข้อง งบประมาณ 100 ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน ลาดับ ที่ ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 1 0 1 1 12 1 3 1 4 1 5 1 6 17 1 คิดหัวข้อโครงงาน 2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล 3 จัดทาโครงร่างงาน 4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน 5 ปรับปรุงทดสอบ 6 การทาเอกสารรายงาน 7 ประเมินผลงาน 8 นาเสนอโครงงาน ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน) เพื่อให้ทุกคนที่ได้อ่านบทความของดิฉันนั้นได้มีวิธีกาจักความขี้เกียจออกไป สามารถรับมือกับควาขี้เกียจ และทางาน ได้อย่างขยันขันแข็ง
  • 6. สถานที่ดาเนินการ โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน) https://www.pobpad.com/%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%81 %E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%88- %E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9% 84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8 %81 https://www.youtube.com/watch?v=bfqMf44Ajp0&list=PLZ0vRaBzdrQ2NRwB9JYi3Xdmj9LkEL RPy&index=8 https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/68909/-scibio-sci-