More Related Content
Similar to แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
Similar to แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน (20)
More from Tongsamut vorasan
More from Tongsamut vorasan (20)
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
- 1. 1
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของ
ศาสนาเชน
***************************
ศาสนาเชนเป็นศาสนาประเภทอเทวนิยมเหมือน
พระพุทธศาสนา คือไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าสร้างโลกและ
กำาหนดชะตากรรมของสัตว์ ศาสนาเชนถึงแม้จะเป็นอ
เทวนิยมเหมือนพระพุทธศาสนาที่ถือว่าทุกอย่างเป็น
ไปตามกรรมของตน แต่ ก็ แ ตกต่ า งจากพระพุ ท ธ
ศ า ส น า ต ร ง ที่ ศ า ส น า เ ช น เ น้ น ที่ อ ดี ต ก ร ร ม แ ล ะ
กายกรรม แต่พระพุทธศาสนาเน้นที่ปัจจุบันกรรม
และมโนกรรม
นอกจากนี้ก็แตกต่างตรงที่ศาสนาเชนเชื่อเรื่ อง
อาตมั น แบบยื น โรงคงที่ เ ป็ น อมตะอย่ า งศาสนา
พราหมณ์ แต่ ศ าสนาพุ ท ธถื อ ว่ า อาตมั น ไม่ ยื น โรง
คงทนเป็นอมตะ แต่เป็นแบบสันตติ คือรับช่วงสืบต่อ
กันไป ส่วนวิธีปฏิบัติเพื่อดำาเนินไปสู่โมกษะ ศาสนา
เชนเน้ น เรื่ อ งอั ต ตกิ ล มถานุ โ ยคซึ่ ง เป็ น ทางสุ ด โต่ ง
แต่ พ ระพุ ท ธศาสนาเป็ น ทางสายกลาง หรื อ
มัชฌิมาปฏิปทา
เ ช น มาจากคำา ว่ า ชิ น ะ โดยวิ ก ารอิ เ ป็ น เอ
แปลว่า ชนะ แต่ ช นะในที่ นี้ ไ ม่ ไ ด้ ห มายถึ ง การ
ชนะภายนอก คือเอาชนะคนอื่นหรือข้าศึก หากแต่
หมายถึ งเอาชนะภายในคื อกิ เลสของตน พวกเชน
ถื อ ว่ า กิ เ ล สเป็ น ศั ต รู ที่ ร้ า ยกาจที่ สุ ด ข องตนแล ะ
มนุษยชาติ กิเลสนี่แหละที่จะทำาลายตนเอง ทำาลาย
ผู้อื่น ทำา ลายสังคม ตลอดถึงทำา ลายโลก ความชั่ว
ร้ า ยทั้ ง หลายและความพิ น าศทั้ ง หลายที่ เ กิ ด ขึ้ น ใน
โลกล้ ว นแต่ ม าจากรากเหง้ า คื อ กิ เ ลสทั้ ง สิ้ น ดั ง นั้ น
แต่ละคนจึงควรเห็นกิเลสเป็นศัตรู พยายามกำาจัดให้
- 2. 2
หมดไปจากจิตใจ ใครก็สามารถกำาจัดกิเลสได้อย่าง
เด็ดขาดสิ้นเชิง ขึ้นชื่อว่าพระชินะ ผู้ ที่ ส า ม า ร ถ
เอาชนะกิเลสได้กลายเป็นบุคคลผู้ประสบความสำาเร็จ
สู ง สุ ด ของชี วิ ต พวกเชนถื อ ว่ า พระศาสดาทั้ ง ๒๔
องค์ ข องศาสนาเชน ล้ ว นแต่ เ ป็ น พระชิ น ะทั้ ง สิ้ น
และยังมีอีกชื่อ หนึ่ งว่ า ตีร ถัง ก ร หรือ ติต ถัง ก ร
แปลว่า ผู้กระทำา ซึ่งท่า คือสร้างท่าพาคนข้ามฟาก
ไปสู่นิพพานอีกด้วย
ปรั ช ญาเชนมี อ ยู่ ม าก หากแบ่ ง ออกเป็ น หั ว ข้ อ
ใหญ่ ๆ ๓ อย่าง คือ ญาณวิทยา ภววิทยา
และคุณวิทยา
ศาสนาแห่ง อเทวนิย ม
ศาสนาเชนเป็นศาสนาอเทวนิยมเหมือนศาสนา
พุทธ ทุ ก อย่ า งเกิ ด มาจากเหตุ ปั จ จั ย เป็ น ไปตาม
เหตุปัจจัย ไม่ใช่เกิดมาจากพระเจ้า พวกเชนได้ให้
เหตุผลถึงการไม่มีพระเจ้ าว่ า การเชื่อพระเจ้ ามี แต่
ความขัดแย้งกันในตัว กล่าวคือพระเจ้าไม่เคยมีใคร
เห็ น แล้ ว จะเชื่ อ ได้ อ ย่ า งไรว่ า มี พ ระเจ้ า ถ้ า จะว่ า
พระเจ้ า รู้ ไ ด้ ด้ ว ยการอนุ ม าน อย่ า งสิ่ ง ต่ า ง ๆ เช่ น
โต๊ะ เก้าอี้ บ้านเรือน เป็นต้น เกิดขึ้นมาได้ก็เพราะ
มีคนสร้าง โลกก็เช่นกัน จะต้องมีผู้สร้างขึ้นมานั้นก็
คือพระเจ้า แต่ข้ออ้างนี้ยังไม่ส มเหตุสมผล จะเชื่อ
มั่นได้อย่างไรว่าข้ออ้างนี้ถูก ในเมื่อไม่มีใครเคยเห็น
พระเจ้ า แล้วจะมั่ นใจได้อ ย่า งไรว่ า พระเจ้า สร้ า ง
โลก ผิดกับโต๊ะ เก้าอี้ บ้านเรือน เป็นต้น ซึ่งใคร
ก็ เ ห็ น ว่ า ช่ า งสร้ า งขึ้ น มา อนึ่ ง พระเจ้ า มี อ งค์ ห รื อ
หลายองค์ ถ้ามีองค์เดียวกัน แล้วทำาไมศาสนิกของ
ศาสนาต่ า ง ๆ จะต้ อ งมาทะเลาะกั น ในเรื่ อ งพระเจ้ า
หรือศาสนสถานของบางศาสนาทำาไมจึงห้ามคนต่าง
- 3. 3
ศาสนาเข้ า ในเมื่ อ คนต่ า งศาสนาก็ นั บ ถื อ พระเจ้ า
องค์เดียวกัน ถ้าพระเจ้ามีหลายองค์ ดังที่นับถือกัน
ตามศาสนาต่าง ๆ ก็เป็นธรรมดาว่าแต่ละองค์ก็ต่าง
จิตต่างใจกัน และทุกศาสนาต่างก็ว่า พระเจ้าของ
ตนสร้างโลกนี้ขึ้นมา ก็ในเมื่อโลกมนุษย์มีโลกเดียว
และถูกสร้างขึ้นมาโดยพระเจ้าองค์เดียว ก็แสดงว่ามี
พระเจ้าจริงและพระเจ้าเก๊กันบ้าง หรือว่าทุกองค์ร่วม
มือกันสร้าง ก็ค งจะประสบความขัด แย้งกันไม่น้อย
ในเมื่อต่างองค์ต่างจิตต่างใจกัน พ ร ะ เ จ้ า ส ร้ า ง
มนุ ษ ย์ แ ต่ ล ะคนให้ เ ป็ น ไปตามความดี ห รื อ ชั่ ว ของ
แต่ ล ะคนใช่ ไ หม ถ้ า ใช่ ก็ แ สดงว่ า พระเจ้ า ไม่ ไ ด้ ยิ่ ง
ใหญ่จริง ยังต้องอาศัยบุญหรือบาปของแต่ละคนเป็น
เครื่ องมื อ ในการสร้ า ง เมื่อ เป็ น อย่ า งนั้ น จะใช้ ก ฎ
แห่งกรรมแทนพระเจ้าก็ได้ กฎแห่งกรรมนี่แหละที่
สร้างความเป็นไปของมนุษ ย์ หรือถ้าพระเจ้าไม่ได้
สร้างมนุษย์แต่ละคนไปตามความดีและความชั่วของ
เขา ก็แล้วทำา ไม่พระองค์สร้างบางคนให้มีความสุข
และบางคนให้มีความทุกข์ หรือมีความกรุณาต่อบาง
คน แต่โหดร้ายต่ออีกบางคน ไม่ยุติธรรมในเมื่อเชื่อ
กันว่า พระเจ้าทรงมีเมตตามากที่สุดเหล่านี้เป็นต้น
พวกเชนถึงแม้จ ะไม่เชื่ อพระเจ้ า แต่พ วกเขาก็
เชื่ อ เรื่ อ งเทวดาที่ ไ ปจากคนเมื่ อ ตายไปแล้ ว คนที่
ทำา บุญกุศลไว้จะไปเป็นเทวดา ก็ทำา นองเดียวกับใน
พระพุทธศาสนา พวกเชนเคารพบูชาพระชินะ หรือ
ตีรถังกร ซึ่งเป็นศาสดาทั้งหลายของศาสนาเชนแล้ว
ยังเคารพบูชาพระสิทธะ อาจารยะ อุปธยายะ (อุปั
ชฌาย์) และสาธุอีกด้ว ย ซึ่งพระทั้ง ๕ ประเภทนี้
เรี ย กว่ า ปั ญ จ ป ร เ ม ษ ฎิ ว่ า เป็ น บุ ค คลตั ว อย่ า งที่
- 4. 4
พั ฒ นาจิ ต ใจไปจนถึ ง ให้ สู ง ขึ้ น ไปตามลำา ดั บ จนถึ ง
โมกษะ
คำา สอนและนิก ายของปรัช ญาเชน
หลักคำา สอนของปรัชญาเชนหรือไชนะในระยะ
เริ่มแรก ไม่สอนให้ทำาการทรมานกายเหมือนในสมัย
พระมหาวีระ แต่สอนให้มีการรักษาศีลเพียง ๔ ข้อ
คือ
1. ไม่เบียดเบียนคิดร้ายต่อผู้อื่น
2. ละเว้นการลักขโมย
3. ยึดมั่นอยู่ในสัจจะ
4. ละเว้ น การผู ก พั น ทั้ ง ปวง (ไม่ ส ะสมทรั พ ย์
สมบัติทางโลก)
ในกาลต่อมา สาวกของศาสนาเชนแบ่งลัทธิออกมา
เป็น ๒ นิกายใหญ่ ๆ คือ นิกายเสวตามพร และ
นิ ก ายทิ คั ม พร อั น เป็ น ที่ รู้ จั ก กั น โดยทั่ ว ๆ ไปใน
ปัจจุบัน การยอมรับและนับถือในศาสดาของเชนนั้น
ทั้งสองนิกายจะมี อยู่เหมือน ๆ กัน หากจะแตกต่าง
ในเรื่องของหลักและกฎปฏิบัติที่มีความเคร่งครัดต่าง
กัน
นิกายทิคัมพรจะเป็ น ผู้ ที่ มี ค วามเคร่ ง ครั ด ในกฎ
ระเบียบและจะทรมานตนเองเพื่อต้องการที่จะปราบ
ปรามความเพลิดเพลินในกามารมณ์ และถือว่าพวก
สาธุ ห รื อ พระทั้ ง หลายนั้ น ควรจะเลิ ก ในความเป็ น
เจ้าของทรัพย์สมบัติ ควรจะละความเป็นเจ้าของใน
สิ่งใดสิ่งหนึ่งเสียโดยสิ้นเชิง แม้แต่ผ้านุ่งและผ้าห่มก็
ไม่ควรจะมี และนิกายนี้ยังถือว่า สตรีนั้นไม่สามารถ
ที่จะบรรลุถึงโมกษะได้
- 5. 5
นิกายเสวตามพร การประพฤติ ป ฏิ บั ติ ใ ห้
สามารถร่วมอยู่ในสังคมได้เป็นสิ่งสำาคัญ โดยการนุ่ง
ผ้าขาวสะอาด การที่จะให้สละแม้แต่ผ้าคลุมกายนั้น
จะทำา ให้ไม่สามารถอยู่ได้ในสังคมของมนุษ ย์ และ
ยังถือว่าสตรีก็สามารถบรรลุถึงโมกษะได้เช่นเดียวกับ
บุรุษทั่วไป เพื่อไม่เป็นการตัดสิทธิและเสรีภาพของ
สตรี
แนวคิด เรือ งกรรม
่
เนื่ อ งจากกิ ริ ย วาทะของเชนมี นั ย กว้ า งขวาง
ครอบคลุ มทั้ งในด้ านอภิ ป รั ช ญา จริย ศาสตร์ และ
ญาณวิ ท ยา เช่ น เดี ย วกั บ เรื่ อ งกรรมของพระพุ ท ธ
ศาสนา ในการกล่ า วถึ ง หลั ก ปรั ช ญาของหองมหา
วีระ ต่อไปนี้ จะให้ความสนใจอยู่ใน ๓ ประเด็นนี้
๑) กิริยวาทะในแง่อภิปรัชญา
มหาวีระยอมรับความมีอยู่ของชีว ะเช่นเดียวกับ
มักขลิโคสาละ เชนแบ่งมูลของสรรพสิ่งออกเป็น ๒
คือ ชีวะและอชีวะ และในแต่ละอย่างยังมีการแบ่ง
ย่อยออกไปอีก ถ้าหากยอมรับข้อเท็จจริงว่า มักขลิ
โคสาละ กับมหาวีระ เคยมีชีวิตอยู่ร่วมกันและมักขลิ
โคสาละเป็นผู้นำาทางความคิดของมหาวีระ ความคิด
เรื่องการแบ่งประเภทต่าง ๆ ของสรรพสิ่งของมักขลิ
โคสาละก็น่าจะมีอิทธิพลต่อมหาวีระอยู่ไม่น้อย มหา
วี ร ะไม่ ไ ด้ ม องสรรพสิ่ ง มี มู ล จากองค์ ป ระกอบอะไร
แต่มองไปว่าชีวะมีอยู่เป็นจำานวนมากเช่นเดียวกับสิ่ง
มีชีวิตทั้งหลาย ที่ไหนมีชีวิตที่นั่นก็มีชีวะ ชีวะมีอยู่
ทุ ก หนแห่ ง ไม่ เ พี ย งแต่ ใ นสั ต ว์ เ ท่ า นั้ น มี อ ยู่ แ ม้ ใ น
พืชและผงธุลี
- 6. 6
นักวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบันก็ให้การรับ รองใน
เรื่ อ งนี้ ว่ า ทุ ก อย่ า งมี ชี วิ ต เช่ น ตั ว เบิ ม และอมี บ า
ชีวิตมีอยู่ในธุลีและสิ่งที่ไร้ชีวิต ทุกชีวะมิได้มีความ
รู้สึกเหมือนกัน หมด ชีว ะบางพวก เช่น พวกที่อยู่
ในพื ช หรื อ อยู่ ใ นผงธุ ลี มี ค วามรู้ สึ ก โดยอาศั ย ผั ส สะ
หรือประสาทสัมผัสอย่างเดียว สัตว์ชั้นตำ่าบางจำาพวก
มีความรู้สึกสองทางคือ ทางผัสสะและทางรส เช่น
หนอน บางจำา พวกมี ค วามรู้ สึ ก ได้ ๔ ทางคื อ ทาง
ผัสสะ ทางรส ทางกลิ่นและทางตา เช่น ผึ้ง สั ต ว์
ชั้ น สู ง มี ค วามรู้ สึ ก ๕ ทาง คื อ ทางผั ส สะ ทางรส
ทางกลิ่น ทางตาและทางหู เช่น มนุษย์ มนุษย์มี
ความรู้ สึ ก ได้ ๕ ทาง จึ ง ทำา ให้ ม นุ ษ ย์ มี ค วามรู้ ไ ด้
มากกว่าสัตว์และ แม้ ว่ า ความรู้ สึ ก เหล่ า นี้ จ ะมี ก าร
พัฒนาขึ้นด้วยประการใด ๆ ก็ต าม ชีว ะที่อาศั ย อยู่
ในร่างกาย ย่อมมีภาวะจำา กัดทั้งในด้านความรู้และ
พลังงานต้องตกอยู่ในความทุกข์ จนกว่าจะหลุดพ้น
และทุ ก ๆ ชี ว ะสามารถบรรลุ ค วามเป็ น สั พ พั ญ ญู
คุ ณ สมบั ติ ทั้ ง สามนี้ เ ป็ น คุ ณ สมบั ติ ที่ แ ท้ จ ริ ง ของ
ชีวะ แต่ ก รรมได้ เ ข้ า มาบั่ น ทอนและกำา จั ด คุ ณ สมบั ติ
ที่ แ ท้ จ ริ ง ของชี ว ะออกไป ดุ จ อาทิ ต ย์ ถู ก เมฆบดบั ง
กรรมหรือพลังงานของตัณหาในชีวะได้ดึงดูดเอาชิ้น
ของวัตถุเข้ามาใส่ตัวเอง วัตถุแทรกซึมอยู่ในชีวะ
ดุ จ ดั ง ชิ้ น ของผงธุ ลี แ ทรกซึ ม อยู่ ใ นแสงไฟหรื อ ดวง
อาทิตย์ กรรมใดนำา ชี ว ะไปผู ก พั น กั บ วั ต ถุ การ
กำา จั ด กรรมออกไปให้ สิ้ น เชิ ง นั้ น ชีว ะจะต้ อ งกำา จั ด
บ่วงที่ผูกพันตนเองให้หมดสิ้นไปโดยสิ้นเชิง ต่อจาก
นั้นชีวะจะลุถึงความสมบูรณ์อันเป็นธรรมชาติแท้จริง
ของตนเอง
- 7. 7
อภิปรัชญาเชนนี้ได้ทำา ให้เกิดอหิงสธรรมที่สอน
ให้ระมัด ระวังไม่ป ระทุษ ร้ายชีวิต แม้จะไม่อ าจเห็น
ได้ ด้ ว ยตาเปล่ า ซึ่ ง แตกต่ า งจากอหิ ง สธรรมของ
ศาสนาต่าง ๆ ในโลก
ชี ว ะ ใ น ท ร ร ศ น ะ ข อ ง ม ห า วี ร ะ ก็ คื อ จิ ต ใ น
ทรรศนะของพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้ามิได้ทรง
ถือว่า จิตเป็นนิรันดร์ มีธรรมชาติดั้งเดิมบริสุทธิ์ แม้
จะมีคำา ว่า ปภัสสรใช้กับจิตก็หมายถึงภวังคจิต ซึ่ง
ยังมีกิเลสตัณหาประกอบอยู่ แต่ไม่มีประเภทอุปกิเลส
จรเข้ามาสู่จิต จึงเรียกว่าปภัส สร จิตมิได้เป็นนิรัน
ดร์ เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยและจะดับไปเพราะเหตุ
ปัจจัยดับ ข้ออธิบายเรื่องของพระพุทธเจ้ามีหลักปฏิ
จจสมุปบาทหลักฐาน
เรื่ อ งกรรมในทรรศนะของพระพุ ท ธเจ้ า เป็ น
ปฏิกิริยาของจิตกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งแสดงออกได้เป้น
๓ ทาง คื อ กายกรรม วจี ก รรมและมโนกรรม
มโนกรรมเป็นตัวที่สำาคัญที่สุดของจริยธรรมทั้งหลาย
กรรมของพระพุ ท ธเจ้ า มี ลั ก ษณะคล้ า ยพลั ง งาน
การกระทำากรรมทุกครั้ง จิตเป็นผู้เก็บสั่งสมพลังงาน
นั้ น ไว้ ดี บ้ า ง ชั่ ว บ้ า ง และจะส่ ง ผลที่ เ รี ย กว่ า วิ บ าก
ทำา ให้ไปเกิดในสุคติบ้าง ทุคติบ้าง ตามสมควรแก่
กรรมของตน มิได้มีลักษณะเป็นดั่งยางเหนียวดึงดูด
ชิ้นของวัตถุเข้ามาอยู่ในจิตอย่างที่มหาวีระกล่าวไว้
แต่ประการใด
เกี่ยวกับเรื่องตัณหา พ ร ะ พุ ท ธ เ จ้ า มิ ไ ด้ ท ร ง
ถือว่าเป็นตัวกรรม แต่ถือว่าเป็นเหตุให้ทำากรรมเป็น
องค์ ป ระกอบของชี วิ ต ปุ ถุ ช น ตามหลั ก ปฏิ จ จสมุ
ปบาท อั น ได้ แ ก่ ว งจรแห่ ง ชี วิ ต ของปุ ถุ ช น ๓ คื อ
กิ เ ลส กรรม วิ บ าก กิ เ ลสเป็ น เหตุ ใ ห้ ทำา กรรม
- 8. 8
กรรมส่ ง ผลเป็ น วิ บ าก วิ บ ากก็ ส ร้ า งสมกิ เ ลสต่ อ ไป
นี่ คื อ ความทุ ก ข์ ความหลุ ด พ้ น จากทุ ก ข์ ก็ คื อ
กำา จัด กิเ ลสไม่ ให้ เกิ ด อี กต่ อไป นี่คือความหลุด พ้ น
ไม่ต้องมาเกิดอีก มิใช่เป็นการทำาให้ชีวะบริสุทธิ์ดังที่
มหาวีระได้กล่าวไว้
ความเชื่อ เรือ งวิญ ญาณและการเวีย นว่า ยตาย
่
เกิด (วิญ ญาณนิย ม)
ทุกสรรพสิ่งในพื้นพิภพล้วนแต่มีวิญญาณ ดวง
วิญ ญาณทุ ก ๆ ดวงสามารถบรรลุ ถึ ง โมกษะสู่ ค วาม
เป็นสัพพัญญู และหลุดพ้นได้หากสามารถสลัดได้ซึ่ง
พั น ธนาการที่ เ หนี่ ย วรั้ ง ดวงวิ ญ ญาณให้ ชี วิ ต พบกั บ
การเกิ ด การเจริ ญ เติ บ โต การแก่ ช รา จนจบ
กระบวนการภพนั้นคือตาย และเริ่มต้นสู่การเวียนมา
เกิดใหม่ หรือเรียกว่า การเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีที่
สิ้นสุดอยู่ภายใต้อำานาจแห่งกฎของจักรวาล หรือกฎ
แห่งกรรม หากยึดติดอยู่กับสิ่งที่เป็นรูปธรรมซึ่งเป็น
ศัตรูกับจิตอ้นถือเป็นนามธรรม
กรรมและกิเลสเป็นตัวเหนี่ยวรั้งให้วิญ ญาณถูก
คุมขังและจำา กัด ไร้ค วามสุข และอิส รภาพ มีค วาม
มัวหมองและอวิชชา ดุจแสงอาทิตย์ที่มีผงธุลีบดบัง
ไม่สามารถส่องแสงสว่างได้อย่างเต็มที่ ความรู้เป็น
ปั จ จั ย อั น สำา คั ญ ของวิ ญ ญาณทุ ก ๆ ดวง ดั ง นั้ น
ความรู้กับวิญญาณจึงไม่สามารถแยกออกจากกันได้
คื อ ความรู้ เ ป็ น ปั จ จั ย หรื อ ธาตุ แ ท้ ข องวิ ญ ญาณ
ไม่ ใ ช่ เ ป็ น เพี ย งคุ ณ สมบั ติ ที่ บั ง เกิ ด ขึ้ น โดยบั ง เอิ ญ
และไม่ ใ ช่ ผ ลพลอยได้ หากเกิ ด ขึ้ น มาโดยอาศั ย
ปัจจัยหลาย ๆ อย่างผสมกัน ถือว่าความรู้เป็นดุจดัง
แสงอาทิตย์ ซึ่งสามารถทำาให้ตนเองสว่าง และผู้อื่น
- 9. 9
ยั ง พลอยได้ รั บ แสงสว่ า งนั้ น ด้ ว ย นอกจากจะมี
อุปสรรคบางอย่างกั้นแสงนั้นไว้ไ ม่ให้ส่องเข้าไปถึง
วัตถุได้เท่านั้น เช่นเดียวกับวิญญาณ ถ้าหากไม่มี
สิ่งใดมาปิดบังหรือมีอุปสรรคใด ๆ แล้ว วิญญาณก็
จะกลายมาเป็ น สั พ พั ญ ญู รู้ ทุ ก สิ่ ง ทุ ก อย่ า ง เพราะ
สั พ พั ญ ญู เป็ น ธรรมชาติ แ ฝงอั น หนึ่ ง ที่ แ ฝงอยู่ ใ น
วิญญาณทุก ๆ ดวง เช่นเดียวกับความร้อนที่แฝงอยู่
ในนำ้า ฉะนั้น สิ่งหนึ่งที่มีอยู่ในวิญญาณทุก ๆ ดวง
นั้น คือ ความรู้แจ้งแทงตลอด
ฐานะแห่ง ความเชื่อ ในเชน (อเทวนิย ม)
เชน ได้ ป ฏิ เ สธพระเจ้ า ผู้ ส ร้ า ง ไม่ มี ค วามเชื่ อ
พระเจ้ า ผู้ ส ร้ า งแต่ อ ย่ า งใด ทุ ก คนสามารถบรรลุ สู่
ไกลวัล หรือโมกษะได้ จะต้องใช้ค วามอดทนและ
วิริยะด้วยตัวของตัวเอง มีความเพียรอันสูงส่งในการ
ปฏิบั ติ ศี ล โดยเคร่ ง ครั ด จนรู้ แ จ้ ง ด้ ว ยตนเอง หรื อ
ตรัสรู้
ปรั ช ญาเชน มี ห ลั ก การยึ ด ถื อ ความประพฤติ
แบบอหิงสา คือการงดเว้นจากการเบีย ดเบีย นชีวิต
สั ต ว์ ทั้ ง ม ว ล ด้ ว ย ค ว า ม คิ ด คื อ อ เ น กั น ต ะ
(anekanta) และด้ ว ยการพู ด คื อ อปริ ค รหะ
(aparigraha) ส่ ว นทั้ ง สามนี้ เ ป็ น หลั ก การที่
สำาคัญเหมือนส่วนยอดสุดของลัทธิเชน
ปรัชญาเชน ส า ม า ร ถ แ บ่ ง ย่ อ ย อ อ ก เ ป็ น ๗
กลุ่ม คือ ชีวะ อชีวะ อสารวะ พัทธะ
สัมวระ นิรชรา โมกษะ แต่ในบางครั้งได้รวมเอา
บาปและปั ญ ญาเพิ่ ม เข้ า ไปด้ ว ยอี ก ๒ อย่ า ง การ
แบ่งกลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้ ผู้ที่ปรารถนาความหลุดพ้น
ควรจะรู้ตามทรรศนะของเชน โดยเหตุที่เนื้อสารซึ่ง
- 10. 10
มีจำานวนมากมาย มีการเกิดขึ้น ดำารงอยู่ และสลาย
ไปในเอกภพทั้งปวงขึ้นอยู่กับชีวะกับอชีวะ
ชี ว ะในลั ท ธิ เ ชน เป็ น วิ ญ ญาณที่ มี ค วามรู้ ซึ่ ง
ตรงกับปุรุษะ ในปรัชญาสางขยะและอาตมันของไว
เศษิกะ เวทานตะ ลั ก ษ ณ ะ สำา คั ญ ข อ ง ชี ว ะ คื อ มี
จำานวนไม่จำากัด เพราะว่าถึงชีวะมีจำานวนจำากัดแล้ว
เมื่อชีวะบรรลุโมกษะแล้ว โลกของเราก็จะว่างเปล่า
หรือมิฉะนั้นชีวะที่หลุดพ้นไปแล้วจะต้องกลับมาสู่โลก
มนุษย์อีกซึ่งเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นชีวะจึงมีจำานวนนับ
ไม่ถ้วน
ชี ว ะจึ ง มี ลั ก ษณะเหมื อ นกั บ ร่ า งกาย เป็ น ส่ ว น
เดียวกับร่างกาย เมื่อใดที่ร่างกายเจ็บปวด ชีวะก็จะ
เจ็บปวดด้วย แต่จะแตกต่างในแง่ที่ว่า ชีวะไม่ได้ถูก
ทำา ล า ย ไ ป ด้ ว ย แ ม้ ร่ า ง ก า ย จ ะ แ ต ก ส ล า ย ไ ป
นอกจากนั้ น การรั บ รู้ ยั ง เป็ น ลั ก ษณะสำา คั ญ ของชี ว ะ
ส่วนคุณสมบัติอื่นของชีว ะก็จะมีความรู้เป็นสารัต ถะ
(substance) โดยความรู้นี้จะมีอยู่ภายในชีวะเสมอ
แม้ว่าลักษณะและขอบเขตของความรู้จะแตกต่างกัน
ออกไป ชีวะเป็นกระแสสืบต่อกันไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ชีวะเป็นทั้งผู้รู้ ผู้เสวยอารมณ์
ลั ก ษณะของชี ว ะแบ่ ง ออกเป็ น ๒ ลั ก ษณะคื อ
ประเภทที่มีจิต และประเภทไม่มีจิต หรื อ ประเภทที่
เคลื่อนไหวได้ กับประเภทที่เคลื่อนไหวไม่ได้
ชีวะเคลื่อนไหวได้ ห มายถึ ง ชี ว ะที่ ส ามารถเลื่ อ น
ไหวจากที่ ห นึ่ ง ไปสู่ อี ก ที่ ห นึ่ ง เช่ น โลก นำ้า พื ช
ถือว่าเป็นสิ่งที่เคลื่อนไหวไม่ได้ ส่วนไฟและอากาศ
เป็นสิ่งที่เคลื่อนไหวได้ เหตุ ที่ ค วามรู้ เ ป็ น สาระสำา คั ญ
ของชีวะทุกชีวะ ตั้งแต่ระดับตำ่าสุดถึงระดับสูงสุด ดัง
- 11. 11
นั้น ความรู้ในชีวะต่าง ๆ จึงมีระดับต่าง ๆ กันด้วย
ความรู้มีระดับต่างกันก็เนื่องมาจากกรรม
สำาหรับกรรมตามทรรศนะของเชนถือเป็นเนื้อปรมาณู
ถึงแม้ว่าชีวะในระดับตำ่าสุดจนถึงชีวะระดับสูงสุด
มีความรู้ในระดับต่างกัน แต่มีข้อสังเกตประการหนึ่ง
คื อ ชีว ะในระดั บ ตำ่า สุ ด ในเนื้ อ ปรมาณู ห รื อ วั ต ถุ มี
สภาพเหมื อ นกั บ ไร้ ชี ว ะและปราศจากความรู้ แต่
ความจริ ง แล้ ว ชี ว ะและความรู้ ใ นระดั บ นี้ จ ะมี อ ยู่ ใ น
ฐานะที่ไม่มีกัมมันตภาพ ส่วนชีวะที่มนุษย์จะหลุดพ้น
จากกรรมทั้ ง ปวง มี ค วามรู้ ที่ บ ริ สุ ท ธิ์ และได้ บ รรลุ
โมกษะเป็นสัพพัญญู
สาเหตุ ที่มี กรรมติด ข้อ งอยู่เ พราะว่ า ทุ ก ๆ ขณะ
เราจะทำา กรรมอยู่ ต ลอดเวลา โดยกิ จ กรรมทั้ ง กาย
วาจา ใจ โดยมี ค วามทะยานอยากเป็ น ตั ว กระตุ้ น
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำา จะเกิดเป็นการกระทำา ของเรา
ทั้งดีและชั่ว และสิ่งนั้นก็จะติดอยู่กับชีวะ สิ่งนี้เรียก
ว่า อาสรวะ ส่ ว นกระแสกรรมที่ ผู ก พั น กั บ ชี ว ะ
เรียกว่า พัน ธะ เป็นสภาพที่กรรมไหลเข้ามาสู่ชีวะ
จากผลิตผลของการกระทำา ทั้ ง กาย วาจา ใจ ซึ่ง
เรียกการะกระทำาเหล่านี้ว่า โยคะ พั น ธะซึ่ ง ทำา ให้
เกิดการติดข้องนี้มี ๒ อย่าง คือ ภาวพันธะ เริ่ม
อุ บั ติ ขึ้ น ทั้ ง ที่ วิ ญ ญาณมี อ ารมณ์ ไ ม่ ดี อี ก อย่ า งหนึ่ ง
เรียกว่า ทรัพยพันธะ เริ่มต้นด้วยการเข้าไปในชีวะ
พันธะหรือการติดข้องนี้ วัตถุกรรมจะรวมกับชีวะ
โดยเหตุที่ชีวะนั้นมีลักษณะตามธรรมชาติดั้งเดิม
คื อ ความบริ สุ ท ธิ์ ปั ญ หาก็ คื อ ชี ว ะนั้ น ติ ด ข้ อ งได้
อย่างไร จะเห็นวาในปรัชญาอินเดียเกือบทุกระบบ
ทฤษฎี เ รื่ อ งการติ ด ข้ อ งของปรั ช ญาเชนมี ลั ก ษณะ
แตกต่างจากระบบอื่น ป รั ช ญ า เ ช น มี ท ร ร ศ น ะ ว่ า
- 12. 12
ชีวะนั้นติดข้องอยู่กับกรรมที่ตนเองกระทำาขึ้น การก
ระทำาทุกอย่างไม่ว่าด้านสมองหรือร่างกายก็ดี กรรม
จะเข้ า ครอบคลุ ม ชี ว ะและเป็ น ผลให้ ชี ว ะติ ด ข้ อ งอยู่
ดังนั้นสาเหตุของการติดข้องของชีวะก็คือกรรม เป็น
สิ่งที่เกิดจากกิเลสของตนเอง
ตามทรรศนะของเชน ถื อ ว่ า การเปลี่ ย นแปลงที่
เกิดขึ้นกับสภาพของร่างกายของชีวะจะมีผลโดยตรง
ซึ่งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับในด้านสมอง
ด้วย การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแต่ละคนจะอยู่ใน
โลกของกรรม ซึ่งเป็นปรมาณูของสิ่งของหรือวัต ถุ
เช่น เมื่อเกิดความคิดชั่วร้ายเกิดขึ้น กระแสกรรมก็
เข้ า ไปติ ด พั น กั บ ชีว ะและปกคลุ ม ชี ว ะไว้ และเมื่ อ
เกิดความคิดที่ดีขึ้น มีการกระทำาที่ดี กระแสกรรมก็
จะหลุดจากชีวะ จึ ง กล่ า วได้ ว่ า ตามทรรศนะของ
เชนนั้น การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะตัวชีวะ
แต่ล ะดวงเท่ านั้ น แต่ยังมีการเปลี่ ย นแปลงที่เ กิด
ขึ้ น เป็ น ปรนั ย พร้ อ มกั น ด้ ว ย ในรู ป ของปรมาณู จ ะ
เข้าไปแทรกอยู่ในชีวะ
ความหมายของกรรมตามทรรศนะของเชน จึงมี
ลักษณะเป็นเนื้อสาร กรรมนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องอัตนัย
เช่นเดียวกับทรรศนะของพุทธศาสนาเพียงอย่างเดียว
แต่ยังมีลักษณะเป็นปรนัยอีกด้วย ค ว า ม คิ ด เ รื่ อ ง
กรรมที่เป็นทั้งอัตนัยและปรนัย จึงเป็นลักษณะพิเศษ
ใ นป รั ช ญ า เ ช น ใน ทุ ก ข ณ ะเ ร า ทำา ก ร ร ม โ ด ย
กิจกรรมของจิต คำาพูดและร่างกายที่ถูกกระตุ้นด้วย
ความปรารถนา ความเกลียด ความหลง และ
ความผู ก พั น จะเป็ น กรรมและเข้ า ไปติ ด ที่ ชี ว ะ ดัง
นั้น ตลอดเวลาที่กระทำาสิ่งที่ดีหรือชั่วก็ตาม กระแส
กรรมจะเข้าไปติดชีวะ เหมือนกับนำ้ามาจากลำาคลอง
- 13. 13
ฉั น ใด กรรมจะมาสู่ ชี ว ะด้ ว ยคลองคื อ โยคะหรื อ
การกระทำาได้ฉันนั้น ฉะนั้นชีวะกับ กรรมจึงมีค วาม
สัมพันธ์ใกล้ชิด โดยที่โยคะเป็นสาเหตุของอาสรวะ
และอาสรวะเป็นสาเหตุของความติดข้อง
สำาหรับอาสรวะนั้น ยังแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท
คือ ภาวาสรวะ และ ทรัพยาสรวะหรือกรรมาสรวะ
กล่ า วคื อ กิ จ กรรมทางความคิ ด ของชี ว ะเป้ น
สาเหตุที่เกี่ยวข้องของกรรมกับชีวะ เรียกว่า ภาวาส
รวะ หรือการติด ข้องภายใน การแสดงออกของ
ชีวะนั้นผ่านทางประสาทสัมผัสทั้งห้า ส่วนกรรมซึ่ง
ประสานกั บ ชี ว ะโดยตรง เรี ย กว่ า ทรั พ ยาสรวะ
เป็นการติดข้องภายนอก
ฉะนั้น พอจะสรุปขบวนการทั้งหมดคือ ภาวา
สรวะ เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางความคิด ในขณะที่
ทรั พ ยาสรวะเกี่ ย วกั บ กรรมที่ เ ป็ น เนื้ อ สาร โดยที่
ทรัพยาสรวะเป็นสาเหตุของการเคลื่อนที่กระแสของ
กรรมที่เป็นเนื้อสารเข้าไปที่ชีวะ ซึ่งเรียกว่าทรัพยาส
รวะ ประการที่สำา คัญที่สุด คือขบวนการทั้งสองจะ
เกิ ด ขึ้ น ในขณะเดี ย วกั น แต่ ก ล่ า วได้ ใ นแง่ ข อง
ตรรกวิ ท ยาว่ า การติ ด ข้ อ งภายใน เกิ ด ขึ้ น ก่ อ น
และเป็นสาเหตุของการติดข้องภายนอก ซึ่งยังแบ่ง
ออกเป็น ๔ ประเภทด้วยกันตามลักษณะธรรมชาติ
ของกรรม กล่ า วคื อ ชนิ ด ของกรรมที่ ไ ปผู ก พั น กั บ
ชีวะ ระยะเวลาของการติด ข้องนั้นถื อว่ า เป็นช่ว ง
เวลาที่กรรมนั้นติดแน่นอยู่กับชีวะ ความเข้มข้นของ
กรรมที่ ติ ด แน่ น อยู่ กั บ ชี ว ะ เป็ น ความเข้ ม ข้ น ของ
กรรมที่ติด อยู่กับ ชีวะ และขอบเขตของชีว ะที่กรรม
ติดอยู่
- 14. 14
ตามทรรศนะของเชนนั้น มีส าเหตุข องการติด
ข้อ งอยู่ ๓ ประการ คือ
(1) ทรรศนะที่ไม่ถูกต้อง
(2) ความรู้ที่ไม่ถูกต้อง
(3) ความประพฤติที่ยังไม่ถูกต้อง
ด้วยเหตุนี้ การปรับทัศนคติให้ถูกต้องนั้น เป็นขั้น
แรกของความหลุด พ้น ต่อมาความรู้ที่ถูกต้องและ
ความประพฤติที่ถูกต้องจะตามมา ท ร ร ศ น ะ ที่ ถู ก
ต้ อ งจะเป็ น เงื่ อ นไขที่ จำา เป็ น ประการแรกของการ
ทำาลายการติดข้อง
เนื่องจากสาเหตุของการติดข้อง คือการรวมกัน
ของเนื้อสารของกรรมกับชีวะ ดังนั้น การหลุดพ้น
จึงมีองค์ประกอบคือการแยกหรือทำาลายเนื้อสารของ
กรรมเหล่านี้ ดังนั้นสิ่งที่จำาเป็น ผู้แสวงหาความหลุด
พ้น คือการตรวจสอบดูว่า เนื้อสารของกรรมที่ติด
อยู่กับชีวะ ขบวนการเช่นนี้เรียกว่าสัมวระ หมายถึง
ก า ร ค ว บ คุ ม ห รื อ ก า ร ห ยุ ด ยั้ ง อ นุ ภ า ค ข อ ง ก ร ร ม
เป็ น การปฏิ บั ติ เ พื่ อ ที่ จ ะหาทางหยุ ด กระแสกรรมที่
แปลกปลอมไม่ให้เข้ามาเป็นองค์ประกอบของชีวะ
สำาหรับสัมวระ แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ
(1) การหยุด การคิดสำาหรับกิจกรรมทางความ
คิดที่ไม่ถูกต้อง
(2) การหยุดที่แท้จริงของอาสรวะ คือหยุดและ
ทำาลายเนื้อสารของกรรม
วิถีทางที่จะนำาไปสู่สัมวระ มี ๖ ประการ คือ
(1) การควบคุ ม โยคะ ซึ่ ง หมายถึ ง ควบคุ ม
กิจกรรมของจิต คำาพูด และร่างกาย
(2) สมิติ เ ป็ น ทรรศนะที่ ร ะมั ด ระวั ง ในกิ จ กรรม
ทุกอย่าง
- 15. 15
(3) ยึดถือกฎความประพฤติ ๑๐ ประการ
(4) ต้ อ งเจริ ญ วิ ปั ส สนาเพื่ อ ตรวจสอบกระแส
กรรม
(5) การอดทนต่อความลำาบากที่ต้องได้รับ เพื่อ
ไม่ให้กระแสกรรมเข้ามาติดข้องกับชีวะ เช่น
ความหิว ความกระหาย
(6) ความประพฤติที่ถูกต้อง ๔ ประการ
นอกจากวิ ธี ก ารทั้ ง ๖ ซึ่ ง หยุ ด การเคลื่ อ นที่ ข อง
อนุภาคแห่งกรรมสู่ชีวะแล้ว ต้องมีการทรมานตนเอง
เ พื่ อ ล้ า ง ค ว า ม ผิ ด อี ก ด้ ว ย ซึ่ ง มี ป ร ะ โ ย ช น์ ๒
ประการ ได้แก่ การหยุดอนุภาคของกรรมไม่ให้มา
สู่ชีวะ และการทำาลายอนุภาคของกรรมที่มีอยู่แล้ว
หลังจากขบวนการดังกล่าวสิ้นสุดลง ก็จะมาถึง
ขบวนการที่เรียกว่า นิรชรา ซึ่งเป็นขั้นสุดท้ายที่จะ
ไปถึงการบรรลุโมกษะ ห ลั ง จ า ก ที่ ห ลุ ด พ้ น จ า ก
กรรม ชีวะจะหลุดพ้น ปัญหาสำา คัญคือ เมื่อสิ้นสุด
ขบวนการของนิ รชรา เป็นเพีย งขั้ นก่ อนการบรรลุ
โมกษะในแง่ตรรกวิทยาเท่านั้น แต่ความจริงแล้วก็
จะเกิดขึ้นพร้อมกันและจะเกิดสิ่งอีก ๓ สิ่งขึ้นพร้อม
กัน คือ
(1) การแยกตัวของชีวะจากร่างกาย
(2) ชีวะออกจากร่างไป
(3) ชีวะกลับไปสู่อวกาศยอดสุดของจักรวาล
วิธ ีเ ข้า สู่โ มกษะอัน เป็น สภาวะความจริง สูง สุด
ในศาสนาเชน
เชนถื อ ว่ า โมกษะเป็ น จุ ด หมายสู ง สุ ด ของ
ชี วิ ต เป็ น โลกุ ต ตรภาวะ สภาวะที่ พ้ น ไปจาก
โลกไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏไม่
ระทมทุกข์อีกต่อไป ส่วนการปฏิบัติเพื่อที่จะให้
- 16. 16
บรรลุโมกษะได้ก็ด้วยการกำา จัดอวิชชาให้หมด
ไปด้ วยวิ ช ชา เมื่ อ ไม่ มี อ วิ ช ชา ก็ จะไม่ มี กิ เ ลส
เละเมื่อไม่มีกิเลสก็จะไม่มีกรรม ชีวะก็จะหมดจด
ผ่องใสตามเดิม เพราะไม่ถูกกิเลสและกรรมห่อ
หุ้มปกปิด
การหลุดพ้นจากกรรม เริ่มจากการปฏิบัติตนเพื่อ
ตัด บ่อเกิด แห่งกรรมหรือ ทำา ลายอวิช ชาอัน เป็ นที่ ม า
ของกิเลสและตัณหาที่จะนำามนุษย์สู่ความมืดบอดไม่รู้
แจ้ง การทรมานตนหรือการบำา เพ็ญ ตบะนำา พาให้
สภาวะทางวิญญาณมีระดับของความบริสุทธิ์สูงขึ้น ๆ
จนถึ ง จุ ด สมบู ร ณ์ แ ห่ ง วิ ญ ญาณ ไม่ แ ปดเปื้ อ น
และหม่นหมองจากกรรมและกิเลส ส่ว นตัณหาเกิด
จากอวิ ช ชา คื อ ความไม่ รู้ เนื่ อ งจากความรู้ เ ป็ น
หนึ่ ง ในสามที่ จ ะทำา ให้ ม นุ ษ ย์ ห ลุ ด พ้ น เรี ย กว่ า
“รัตนตรัย ” สู่อิสรภาพจากพันธนาการ ส่องสว่างดุจ
แสงอาทิ ต ย์ ด้ ว ยหลั ก แห่ ง มรรค ๓ ประการ (ติ
รัตนะ) คือ
๑. สัมมาทัสสนะ หรือ สัมมาสัทธา คือ ความ
เห็นชอบมีความเชื่อมั่นในศาสดาและศาสนา
๒. สั ม มาญาณ คื อ รู้ ช อบแห่ ง ที่ ม าของทุ ก ข์
และกรรมด้วยหลักอหิงสา ทั้งกาย วาจา ใจ และรู้
ชอบสัจธรรมอันไม่เที่ยง
๓. สัมมาจาริตตะ คือ ประพฤติชอบตามหลัก
ปฏิบัติ ๗ ขั้น คือ
ขั้ น ที่ ๑ หลั ก ปฏิ บั ติ พื้ น ฐานแห่ ง อนุ พ รตและ
มหาพรตทั้ง ๕ คือ
1. อหิงสา ยึดมั่นเป็นอุดมการณ์แห่งชีวิต
ในเรื่องความรักและเมตตาต่อสิ่งมีชีวิตทั้ง
ปวง ทั้งทางตรงและทางอ้อม
- 17. 17
2. สัตยะ ก ล่ า ว แ ต่ สั ต ย์ จ ริ ง อั น
สอดคล้องกับอหิงสา
3. อัสเตยะ ยึ ด หลั ก ศี ล ธรรม ยุ ติ ธ รรม
และไม่คตโกง
4. พรหมจริยะ ไ ม่ ห ล ง มั ว เ ม า ใ น
กามารมณ์
5. อปริครหะ ละทิ้งความโลภไม่ยึด ติด
ในวัตถุ
ขั้นที่ ๒ มีความสำารวมทุกอิริยาบถ
ขั้นที่ ๓ ควบคุ ม กาย วาจา และใจให้
เรียบร้อย
ขั้นที่ ๔ ป ร ะ พ ฤ ติ ป ฏิ บั ติ ธ ร ร ม ๑ ๐
ป ร ะ ก า ร คื อ สุ ภ า พ อ่ อ น โ ย น , เ ที่ ย ง
ตรง,ซื่ อ สั ต ย์ , สะอาด, อดทน, บำา เพ็ ญ ตบะ,
เสียสละ, ไม่หลงในกิเลส, ไม่เสพเมถุน และให้
อภัย
ข้นที่ ๕ ต้องหมั่นเข้าญาณสมาบัติ
ขั้นที่ ๖ อดทนต่ อ ความหิ ว กระหาย และ
ความร้อนหนาว
ขั้นที่ ๗ มีความบริสุทธิ์ปราศจากความโลภ
ทั้งปวง
ก า ร บำา เ พ็ ญ ญ า ณ ป ฏิ บั ติ ห รื อ ป ร ะ พ ฤ ติ
พรหมจรรย์อย่างเคร่งครัดมีกำาหนดเวลา ๑๒ ปี จึง
จะเข้าเขตของการหลุดพ้น ห ลั ง จ า ก นั้ น ห า ก ไ ม่
ต้องการจะมีชีวิตอยู่ นักบวชเชนจะอดอาหารจนจบ
ชีวิตลง
บทสรุป
- 18. 18
ห ลัก ป รัช ญ า ก า ร ดำา เ นิน ชีว ิต ข อ ง เ ช น นับ
เป็นปรัชญาที่เด่นชัดในเรื่องของการช่วยตนเองให้
พ้นจากความอวิชชาโดยยึดหลักการทรมานตนเอง
ไม่พึ่งสิ่งใด ๆ แม้แต่พระเจ้าผู้สมบูรณ์ชั่วการนิรันดร์
ด้วยเหตุผลที่ว่า ผู้ส มบูรณ์โ ดยไม่เคยเป็นผู้ไม่
สมบูรณ์มาก่อนนั้น ย่อมไม่น่าเชื่อถือ แ ต่ ก็ ไ ม่
สามารถตั ด สิ น ได้ ว่ า การไม่ พึ่ ง หรื อ ไม่ ศ รั ท ธาใน
พระเจ้าเป็นสิ่งที่ผิดหรือถูก แต่เชนจะแสดงออกถึง
ความไม่งมงายในหลาย ๆ หลักธรรม เพราะถื อ
เป็นหลักธรรมสากลที่ลัทธิอื่นก็รับรอง มี ค ว า ม
เคร่งครัดในเรื่องของกรรม ทำา ให้ ห ลั ก อหิ ง ส าที่ จะ
ต้องมีเมตตาธรรมต่อสรรพชีวิต ค่อนข้างจะมีความ
หมายต่อมนุษยชาติในยุคโลกาภิวัตน์ แต่ จ ะขั ด
แย้งกับการปฏิบัติในการทรมานตนเอง ซึ่งเท่ากับไม่
เมตตาต่อชีวิตตนเอง หากจะห้ามทรมานชีวิต อื่น ๆ
ก็ต้องห้ามทรมานชีวิตเองตนด้วยจึงจะถูก แ ม้ จ ะ มี
การกราบไหว้ วิ ญ ญาณศาสดาเจ้ า ลั ท ธิ เ ที ย บเท่ า
พระเจ้า แต่ก็มิใช่เพื่อความกรุณาหรือยกโทษใด ๆ
เพราะกรรมไม่มีการปราณี
เส้ น ทางของการต่ อ สู้ กิ เ ลสตามแนวของเชนมี
ความชั ด เจน ที่ จ ะตั ด ไฟแต่ ต้ น ลม ตั ด ต้ น เหตุ ที่
ทำา ให้ เ กิ ด กรรม หากแต่ ไ ม่ มี ก ารยื ด หยุ่ น เป็ น หลั ก
การที่ ดี ต่ อ ผู้ ถื อ พรตที่ ตั ด ได้ ทุ ก สิ่ ง ซึ่ ง ค่ อ นข้ า งจะ
รุนแรงและเคร่งครัด สำา หรั บ ปุ ถุ ช นธรรมดาผู้
ทำา หน้าที่สืบเผ่าพันธุ์ตามธรรมชาติเพื่อการดำา รงอยู่
ของชีวิต ใหม่ ไม่เหมาะสมที่ จ ะประพฤติ ห ลั กธรรม
พรหมจรรย์แบบสุดขั้ว แต่เหมาะสมที่จะเดินทางสาย
กลาง เพราะความสุดโต่งของหลักการจะบั่นทอน
ความสอดประสานสู่ความเป็นสากลของศาสนามวล
- 19. 19
มนุษยชาติ โดยรวมแล้วสัจธรรมคำาสอนที่แทรกอยู่
ในทุกศาสนาคือสิ่งเดียวกัน แม้แต่หลักธรรมทั้งหลาย
ของเชนที่สนับสนุนหลักพรตทั้งห้า แตกต่างก็เฉพาะ
มุมมองและความเคร่งครัด ที่มีกาลเวลาและยุคสมัย
มาเกี่ยวข้อง ความเหมาะสมจึงอยู่ที่เหตุผลของผู้เดิน
ตาม ฉะนั้น จึงยังไม่มีสัจธรรมในศาสนาใดที่มนุษย์
เห็นว่าสมบูรณ์ที่สุด ตราบเท่าที่มนุษย์มองกันคนละ
ด้านหากแม้จะยึดทางสายกลางระหว่างศาสนาไม่ได้
แต่ระหว่างนิกายทิคัมพร และเศวตามพรนั้น ค ว ร
ต้องปรับลดความสุดโต่งลงมาบ้าง เพราะปัจจุบันมีผู้
นับถือเชนอยู่ ๑,๕๐๐,๐๐๐ คน โดยประมาณ การ
ปรั บ ตั ว เป็ น คุ ณ สมบั ติ สำา คั ญ ในการดำา รงอยู่ ข อง
ศาสนา ความสอดประสานจะทำาให้มนุษย์อยู่ร่วมกัน
ได้อย่างสันติและมีชัยชนะต่อกรรมกิเลสที่สั่งสมเป็น
อคติภายในใจ
ปรัชญาเชน สอนบุ ค คลให้ พิ ชิ ต หรื อ ชนะต่ อ
กิเลสและตัณหาให้ได้อย่างสิ้นเชิง เพื่อหลุดพ้นจาก
ความยึดติด ทั้งปวง ทำา ให้เกิดความรู้แจ้งในตนเอง
ขึ้นมา ตามที่องค์ศาสดาได้ประพฤติปฏิบัติ จึงต้อง
เคารพและบู ช าศาสดา แต่ ไ ม่ ยึ ด ถื อ ในพระเจ้ า
ศาสดาคือผู้มีดวงวิญญาณซึ่งบริสุทธิ์ เป็นผู้ตั้งลัทธิ
และนำา พาให้ เ กิ ด กำา ลั ง ใจที่ จ ะต่ อ สู้ เ อาชนะต่ อ กิ เ ลส
ตัณหาทั้งปวง หลุดพ้นจากบ่วงมารทั้งปวง ซึ่งครั้ง
หนึ่งดวงวิญญาณเคยผูกมัดอยู่ในบ่วงมาร แต่กลับ
กลายมาเป็ น ผู้ ห ลุ ด พ้ น เป็ น สั พ พั ญ ญู ทั้ ง นี้ ก็ โ ดย
อาศั ย ความวิ ริ ย ะด้ ว ยตนเอง โดยมิ ไ ด้ พึ่ ง พาอาศั ย
พระเจ้าแต่อย่างใด และถือว่า ชีวะหรือวิญญาณทุก
ๆ ดวง ซึ่ ง ถู ก ผู ก พั น อยู่ กั บ ปั จ จุ บั น และกิ เ ลสตั ณ หา
ถ้าได้เดินตามทางที่พวกศาสดาได้สั่งสอน ก็จะกลับ
- 20. 20
กลายเป็นสัพพัญญู มีพ ลังอำา นาจและความสุขเช่น
เดียวกับที่ศาสดาทั้งหลายได้รับมา และนี่ คื อ ปลาย
ทางแห่งความหวังของเชน
การที่ จ ะบรรลุ โ พธิ ญ าณต้ อ งอาศั ย กำา ลั ง ใจที่
มั่ น คงจากภายในจิ ต ใจของตน โดยการพยายาม
บำาเพ็ญตบะ ประพฤติพรหมจรรย์ มีเมตตาต่อสรรพ
สัตว์ ด้วยอหิงสา สละทุกสิ่งแม้แต่อาภรณ์ตามแนว
“ติรัตนะ ” แก้วสามดวง แห่งมรรคาทั้งสาม อันจะ
นำาไปสู่ความสมบูรณ์แห่งวิญญาณ หลุดพ้นพันธนา
การวั ฏ ฏสงสาร หรื อ การเวี ย นว่ า ยตายเกิ ด ด้ ว ย
หลักธรรม ๗ ขัน ที่ถือว่า “เป็นความดีสูงสุด”
้
นิร วาณ (นิพ พาน)
นิรวาณ ในปรัช ญาเชนไม่ได้ห มายถึง ความ
ดับวิญญาณโดยสิ้นเชิง แต่เป็นการนำา วิญญาณให้
บรรลุสันติสุขตลอดไป ภาวะหลุดพ้นที่เรียกว่าโมก
ษะก็คือ การหลีกเว้นกรรม ไม่ห่วงใยในชิวิต หรือ
วั ต ถุ อื่ น ใดทั้ ง สิ้ น ภาวะสิ ท ธิ คือ ผู้ สำา เร็ จ แล้ ว จะไม่
เป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งสังสารวัฏอีก หมดสิ้นเงื่อนไข
อย่ า งสมบู ร ณ์ จะรู้ แ ต่ เ พี ย งว่ า สั ม ยั ค ทั ศ นะ หรื อ
สั ม ยั ค ศรั ท ธา สั ม ยั ค ชญาณ และสั ม ยั ค จริ ต เป็ น
หนทางแห่งความหลุดพ้น จะไม่สามารถกล่าวได้ว่า
การที่วิญญาณเป็นอิสระจะมีอะไรปรากฏบ้าง และก็
ไม่สามารถกล่าวให้แหน่ชัดลงไปว่า มีผู้รู้วิญญาณ
เป็นอิสระมากมาย สภาวะที่สมบูรณ์อาจจะอธิบายได้
เพราะวิ ญ ญาณเป็ น อิ ส ระจากกรมและกิ เ ลสตั ณ หา
เป็นสภาวะที่มั่นคงสุข สันติอ ย่า งแท้จ ริง อดีต กรรม
หมดพลังแล้ว วิญญาณแม้จะยังคงมีพฤติกรรมอยู่ก็
จะไม่สร้างภพสร้างชาติขึ้นมาอีก จะเป็นวิญญาณที่
- 21. 21
อิสระพ้น พัน ธะใด ๆ เป็นอยู่นิ รัน ดร มีสัม มาญาณ
มี เ สรี ภ าพสมบู ร ณ์ แ ละอนั น ตสุ ข ซึ่ ง สามารถจะรั บ
อารมณ์ แ ละสิ่ ง ใด ๆ ได้ แต่ ก ารรั บ รู้ อ ารมณ์ แ ละ
ความรู้ ที่ เ กิ ด ขึ้ น เป็ น หน้ า ที่ ข องวิ ญ ญาณ ไม่ ใ ช่
อินทรีย์ต่าง ๆ โมกษะ เคลื่อนที่ขึ้นเบื้องบนโดยไม่
หยุ ด ยั้ ง ในภาวะนิ พ พานวิ ญ ญาณจะพุ่ ง สู่ เ บื้ อ งบน
เนื่องจากกรรมในอดีต หมดพลังให้ ผ ลแล้ ว เชื้อสืบ
ต่อให้เกิดอีกต่อไปสิ้นสุดลง ความผูกพันต่าง ๆ ได้
พั ง ทลายไปมี แ ต่ จ ะมุ่ ง ตรงไปสู่ เ บื้ อ งบนเท่ า นั้ น ที่
เรีย กว่า “สิทธวิญญาณ จุด ห ม า ย ป ล า ย ท า ง สู ง สุด ข อ ง
ศาสนาเชน
จุดหมายปลายทางสูงสุด
ข อ ง ศ า ส น า เ ช น
ศาสนาเชนมี จุ ด หมายปลายทางสู ง สุ ด ของชี วิ ต อัน
เป็นความสุขที่แท้จริงและนิรันดร คือ นิรวารณะ หรือ
โมกษะ (ความหลุดพ้น ) ผู้หลุดพันจากเครื่องผูก คือ
กรรม ได้ ชื่ อ ว่ า สิ ท ธะ หรื อ ผู้ สำา เร็ จ เป็ น ผู้ ไ ม่ มี ชั้ น
วรรณะ ไม่ รู้สึ กกระทบกระเทื อนต่ อกลิ่ น ปราศจาก
ความรู้ สึ ก เรื่ อ งรส ไม่ มี ค วามรู้ สึ ก ที่ เ รี ย กว่ า เวทนา
ไม่มีความหิว ความเจ็บปวด ความเสียใจ ความดีใจ
ไม่ เ กิ ด แก่ ตาย ไม่ มี รู ป ไม่ มี ร่ า งกาย ไม่ มี ก รรม
เสวยความสงบอันหาที่สุดมิได้ วิธีที่จะบรรลุจุดหมาย
ปลายทางนั้ น จะต้ อ งปฏิ บั ติ โ ดยเคร่ ง ครั ด ตามข้ อ
ปฏิบัติพื้นฐานที่เรียกว่า อนุพ รต 5 จนถึงอย่างสูงที่
เป็นข้อปฏิบัติอันยิ่งใหญ่และสำาคัญคือ มหาพรต 3
เอกสารอ้างอิง
- 22. 22
นวนิ ต ประถมบู ร ณ์ . ทรรศนะเรื่ อ งความหลุ ด พ้ น ในปรั ช ญา
อินเดีย. บัณฑิตวิทยาลัย.
จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. ๒๕๒๐
ฟื้น ดอกบัว. รศ. ปวงปรัชญาอินเดีย . กรุงเทพฯ :สำา นักพิมพ์
สยาม.๒๕๔๕
สถิต วงศ์สวรรค์ . รศ. ปรัชญาตะวันออก.กรุงเทพฯ : อมรการ
พิมพ์. ๒๕๔๗
สนั่ น ไชยานุ กู ล . ปรั ช ญาอิ น เดี ย . มหาจุ ฬ าลงกรณราช
วิทยาลัย. ๒๕๑๙
เสถี ย ร พั น ธรั ง ษี . ศาสดามหาวี ร ะ. มหาจุ ฬ าลงกรณราช
วิทยาลัย. ๒๔๙๕
หลัก คำา สอนสำา คัญ บางประการของศาสนาเชน