More Related Content
Similar to อารยธรรมโรมัน (11)
อารยธรรมโรมัน
- 3. I ความเป็นมา
อารยโรมันก่อตัวมาจากการรับความเจริญของกลุ่มชนที่มีอานาจในคาบสมุทรอิตาลีก่อนชาวโรมัน กลุ่มที่สาคัญ
ได้แก่ ชาวกรีกและอีทรัสกัน
ประมาณศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตร์ศักราช ชาวกรีกเข้ามาตั้งอาณานิคมในบริเวณอ่าวทางใต้ และทางตะวันตก
เฉียงใต้ของคาบสมุทรอิตาลี ชาวกรีกได้นาความเจริญเข้ามาเผยแพร่หลายอย่าง
ชาวอีทรัสกัน นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าเป็นกลุ่มชนที่อพยพมาจากเอเชียไมเนอร์ ด้วยความสามารถในการ
รบทาให้ชาวอีทรัสกันมีอานาจเหนือกลุ่มต่างๆ รวมถึงชาวโรมันด้วย
การที่ชาวโรมันเคยตกอยู่ใต้อานาจของชาวอีทรัสกัน จึงได้เรียนรู้อารยธรรมของกรีกและอีทรัสกัน
ประมาณปี 510 ก่อนคริสต์ศักราช ชาวโรมันประสบความสาเร็จในการโค่นล้มกษัตริย์อีทรัสกัน และขยายอานาจ
ครอบครองดินแดนตะวันตกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และอาณาบริเวณโดยของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้รับสมญาว่าเป็น
“เจ้าแห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน” และเมื่อรบชนะแดนใดก็จะสร้างถนนเชื่อมต่อกับกรุงโรม
- 5. II การเมือง สังคม เศรษฐกิจ
2.1 การเมือง
แบ่งออกเป็น 2 ระยะ
1) ระบอบสาธารณรัฐโรมัน เริ่มตั้งแต่ปี 509 ก่อน ค.ศ. คือเมื่อโรมสามารถขจัดกษัตริย์ต่างชาติองค์
สุดท้ายที่ปกครองตนได้สาเร็จ และสิ้นสุดเมือปี 27 ก่อน ค.ศ. ซึ่งมีความแตกต่างจากระบอบกษัตริย์ โดย
อานาจการปกครองอยู่ในมือประชาชน แต่ในสมัยต้นๆ นั้น แท้จริงแล้วอานาขส่วนใหญ่กับสภาเซเนท ต่อมา
ภายหลังก็มีการขยายสิทธิพลเมืองกว้างขึ้น
- 6. องค์กรทางการปกครองมีดังนี้
(1) กงสุล เป็นประมุขทางการบริหาร มี 2 คน
(2) สภาเซเนท มีสมาชิก 300 คน เรียกสมาขิกว่า เซเนเตอร์ ควบคุมเกี่ยวกับการคลัง การต่างประเทศ การประกาศสงคราม
ตัดสินคดี และมีสิทธิยับยั้งมติของสภาราษฎร
(3) สภาราษฎร ประกอบด้วยราษฎรพวกแพทริเชียนและเพลเบียน เรียกว่า โคมิตาคิวริเอตา มีหน้าที่แต่งตั้งกงสุล ตัดสินข้อ
พิพาทสาคัญๆ
นอกจาก 3 องค์กรนี้ก็มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานต่างๆ รองจากกงสุล ในฐานะบริหาร คือ
(1) เพรเตอร์ ทางานแทนกงสุลเมื่อกงสุลมีธุรกิจนอกเมืองหรือต้องเดินทางออกจากโรม
(2) เซนเซอร์ เป็นผู้สารวจสามะโนประชากร
(3) เกสเตอร์ เจ้าการคลัง
(4) อิไดล์ เจ้าหน้าที่ดูแลถนนและการตลาด
การปกครองโดยวิธีดังกล่าวสร้างความไม่พอใจแก่พวกแพทริเชียน เพราะถูกกีดกันจากการสมัครเป็นกงสุลและสภาเซเนท จึง
มีการเขียนกฎหมายที่ระบุถึงสิทธิและหน้าที่ของพวกแพทริเชียนและเพลเบียน คือ กฎหมายสิบสองโต๊ะ (Law of the Twelve
Tables) โดยพวกแพทริ-เชียน มีสภาเป็นของตนเองเรียกว่า ไทรเบิล มีหน้าที่ออกกฎหมาย และทรีบูล คือ ผู้แทนในการรักษาและ
ดูแลสิทธิของพวกแพทริเชียน
- 7. 2) ระบบจักรวรรดิ
ระบอบจักรวรรดิโรมันเริ่มอย่างเป็นทางการในสมัยของ ออกุสตุส ซีซาร์ ในปี 27 ก่อน ค.ศ. เมื่อออกุสตุส สถาปนาตนเองขึ้น
เป็นจักรพรรดิองค์แรก ระบอบสาธารณรัฐโรมันจึงค่อยๆ สลายตัวเป็นระบอบกษัตริย์ ในการบริหารการปกครองได้ใช่วิธี
อะลุ้มอล่วย โดยปกครองให้เข้ากับความจาเป็นและขนบธรรมเนียมของท้องถิ่นนั้นๆ แต่ดินแดนส่วนใหญ่ของจักรวรรดิโดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในภาคตะวันตกและในบริเวณทะเลเอเจียนรวมกับเป็นลักษณะสหพันธรัฐ โดยมีความสามารถในการปกครองตนเองเป็น
อิสระพอสมควร รัฐเล่านี้ต้องยอมเสียภาษี จัดหากาลังบารุงกองทัพและจัดพิธีบูชาจักรพรรดิให้ถูกต้อง
ก. กฎหมาย
กฎหมายโรมันเป็นมรดกทางการปกครองสาคัญที่ชาวโรมันทิ้งไว้ให้แก่คนรุ่นหลัง โดยกฎหมายฉบับแรกคือ กฎหมายสิบสอง
โต๊ะ แต่เมื่อโรมันขยายตัวเป็นจักรวรรดิ ชาวโรมันได้รวบรวมกฎหมายที่ได้พบเห็นมาปรับปรุงให้เหมาะสมกับการปกครองแบบ
จักรวรรดิ เรียกกฎหมายนี้ว่า จุส เจนติอุม (กฎหมายของชนทั้งหลาย)
กฎหมายโรมันยังได้รับอิทธิพลจากปรัชญาสานักสโตอิคทาให้กฎหมายส่วนใหญ่อยู่บนพื้นฐานของกฎธรรมชาติ ถือว่า
กฎหมายคือสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น
- 8. ข. ความเสื่อมของจักรวรรดิโรมัน
ความกว้างใหญ่ของจักรวรรดิโรมันทาให้ต้องมีกองทัพขนาดใหญ่เพื่อรักษาและขยายดินแดน จานวนประชากรที่เป็นชาวโรมันก็มี
ไม่พอทาให้ต้องเกณฑ์ทหารจากชาติอื่นๆ ผลเสียที่ตามมาก็คือ คนเหล่านี้มาจากดินแดนที่ห่างไกลและยังมีวัฒนธรรมแตกต่างจาก
ชาวโรมัน จึงไม่มีความจงรักภักดีต่อโรม
ระบบการสืบอานาจมีปัญหามากขึ้น เกิดการแย่งชิงอานาจบ่อยๆ ทาให้ระบบการบริหารอ่อนตัวลง จักรพรรดิไดโอคลีเชียนทรง
แก้ไขปัญหาโดยแยกโรมมันเป็น 2 ภาค คือ พระองค์ทรงปกครองโรมันตะวันออก และทรงแต่งตั้งจักรพรรดิผู้ช่วย (ออกุสตุส) ดูแล
โรมตะวันตก
ค.ศ. 313 จักรพรรดิคอนแสตนตินทรงรวบรวมจักรวรรดิเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้ง แต่เมื่อสิ้นรัชกาลของพระองค์ก็ไม่
สามารถรักษาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทาให้แยกเป็น 2 ภาคอีกครั้ง และต้องเผชิญหน้ากับการรุกรานจากชนเผ่าเยอรมัน ทาให้
ดินแดนต่างๆ เริ่มแยกตัวเป็นอิสระ จน ค.ศ. 476 จักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายลงเมื่อโอโดเอเชอร์ แม่ทัพของเผ่าเยอรมันเข้ายึด
กรุงโรมและปลดจักรพรรดิ ดิโรมิลลุส ออกุสตุส ออกจากตาแหน่ง
- 9. 2.2 สังคม
โครงสร้างของสังคมโรมันสืบทอดมาจากโครงสร้างของสังคมสมัยเมื่ออยู่ใต้การปกครองของอีทรัสกัน คือ พลเมืองแบ่ง
ออกเป็น 2 กลุ่ม
1) พวกแพทริเชียน (Patricians) ได้แก่กลุ่มผู้ดี มีความมั่งคั่ง ร่ารวย มีสิทธิในการปกครองสาธารณรัฐ
2) พวกเพลเบียน (Plebeians) หรือสามัญชน คือ ประชาชนส่วนใหญ่ได้แก่ ชาวนา พ่อค้าช่างฝีมือ ฯลฯ ช่วงปี 264-
146 ก่อน ค.ศ. การค้าเจริญเติบโตมากขึ้น ทาให้พ่อค้าและผู้รับเหมาก่อสร้างร่ารวยมากขึ้น ดังจะเห็นได้ว่าพวกเพลเบียนที่
ร่ารวยได้รับการอนุญาตให้เข้าเป็นสมาชิกสภาเซเนทได้
2.3 เศรษฐกิจ
การค้าภายในของโรมันเอกชนเป็นคนดาเนินการ รัฐเรียกเก็บภาษีจากพ่อค้า และเก็บค่าเช้าจากเจ้าของที่ดิน
การค้าทั่วไปใช้เหรียญเงินเป็นสื่อกลาง โรมันเด่นในด้านทหาร และเมื่อตีชนะดินแดนใดก็ให้ชาวโรมันบริหาร
ครอบครองที่ดินส่งผลผลิตสู่กรุงโรม
- 11. 3.2 คริสต์ศาสนา
คริสต์ศาสนาเผยแพร่เข้ามาในช่วงปลายจักรวรรดิโรมัน ชั้นแรกผู้ที่นับถือเป็นพวกคนยากจน อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครอง
โรมันต่อต้านศาสนาคริสต์โดยตลอดเพราะคาสอนบางประการปฏิเสธอานาจของรัฐ
ในสมัยจักรพรรดิคอนสแตนตินทรงเปลี่ยนนโยบายมาสนับสนุนศาสนาคริสต์และทรงเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ เมื่อ
สิ้นศตวรรษที่ 4 ชาวโรมันส่วนใหญ่ต่างก็เข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชน
3.3 ความคิดทางปรัชญา
ความคิดทางปรัชญาของโรมันได้รับมาจากกรีกโดยตรง คือรับความคิดทั้งของพวกเอปิคิวเรียน ซินิค และสโตอิค
ก. กลุ่ม scipionic circle กับแนวความคิดเรื่องความเท่าเทียมกันของมนุษย์
กลุ่มนี้เสนอแนวคิดเรื่องความเท่าเทียมกันของมนุษย์และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับของเชื้อชาติ ความเท่าเทียมกันทา
ให้เกิดความยุติธรรมในรัฐ
ข. อิทธิพลของสโตอิคต่อกฎหมายโรมัม
ในระยะต้นกฎหมายเป็นกฎหมายนครรัฐ ซึ่งใช้กับพลเมืองจานวนจากัด แต่เมื่อโรมมีอานาจและร่ารวยมากขึ้น จานวนคน
มากขึ้น กฎหมายก็ต้องเปลี่ยนไป
- 13. 3.4 วิทยาศาสตร์ละเทคโนโลยี
ก. วิทยาศาสตร์
นักศึกษาชาวโรมันได้รับเอาอิทธิพลปรัชญาเฮเลนิค ความคิดแบบสโตอิคซึ่งโรมันรับมาจากพวกเฮเลนิสติคทาให้ไม่สนใน
ความรู้ที่ไม่ได้นามาใช้ เพราะพวกสโตอิคเน้นความประพฤติและหน้าที่มากกว่าการเสวงหาความรู้ใหม่ๆ ดังนั้นแม้ว่าจะได้รับความคิด
ทางวิทยาศาสตร์แบบอเล็กซานเดรียชาวโรมันก็ไม่ค่อยพัฒนาอะไรมากไปกว่านั้น
ข. ภูมิศาสตร์กับการขยายจักรวรรดิ
ความรู้ทางภูมิศาสตร์ของอเล็กซานเดรียและโรมีนเกิดจากโพลีบิอุส เดิมอยู่ที่อเล็กซานเดรีย ต่อมาย้ายไปรับราชการในกองทัพ
โรมันทางานอยู่กับสกิปิโอ ได้เดินทางสารวจฝั่งแอฟริกาไปยังแคว้นโกล และสเปน
ในช่วงศตวรรษที่ 2-1 ก่อน ค.ศ. มีการทาแผนที่เกี่ยวกับทะเลแดง ทะเลดา และทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอย่างระเอียด
ในสมัยของออกุสตุส ซีซาร์ วิปซานิอุส อกริปป ได้เดินทางสารวจจักวรรดิเพื่อประโยชน์ทางการปกครองและการค้าถึง 30 ปี
สารวจถนนและปักหลักเขตบอกระยะทาง
เมลา อธิบายเรื่องทวีปทั้ง 3 คือ ยุโรป เอเชีย แอฟริกา โดยมีทะเลยเมดิเตอร์เรเนียนอยู่ตรงกลาง ซึ่งเรียกว่า “ทะเลของเรา”
เขากาหนด แม่น้าตานิส ทะเลสาบแมโอติส และทะเลดา เป็นพรมแดนกั้นระหว่างยุโรปกับเอเชีย และแม่น้าไนล์ เป็นเส้นแบ่งเขต
เอเชียกับแอฟริกา
- 14. ตาซิตุส เล่าว่าอกริโคลาได้นาเรือโรมันแล่นรอบเกาะอังกฤษเพื่อพิสูจน์ว่าอังกฤษมีลักษณะเป็นเกาะ และเชื่อว่าสเปนอยู่ทางทิศ
ตะวันตกของอังกฤษ และเห็นด้วยกับสตราโบที่ว่าเทือกเขาพีเรนีสอยู่ในแนวทิศเหนือ ทิศใต้ นอกจากนี้ชาวโรมันยังพยายามอธิบาย
เรื่องพระอาทิตย์เที่ยงคืนตามความเชื่อโลกแบนอีกด้วย
ค. การปกครองจักรวรรดิกับการแพทย์และสุขาภิบาล
จุดเริ่มต้นเชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บเป็นเทพธิดา มีโบสถ์ของเทพเจ้าดังกล่าวอยู่ในโรม 3 แห่ง นอกจากนี้ก็มีเทพธิดาแห่งสุขภาพ
ผู้ดูแลรักษาสุขภาพของผู้คน
การศึกษาทางการแพทย์เป็นการถ่ายทอดระหว่างครูกับลูกศิษย์ ครูคนแรกเป็นชาวกรีกชื่อ แอสคลีปิอาเดสแห่งบิธิเนีย ถือ
หลักของฮิปโปคราเตสซึ่งเน้นอานาจเยียวยาของธรรมชาติ เขาได้ตั้งโรงเรียนอีกด้วย ซึ่งในระยะแรกๆ รงเรียนเป็ยเพียงสถานที่ครู
สอนกับลูกศิษย์ซึ่งเป็นผู้ช่วยหรือเด็กฝึกงาน ต่อมาก็กลายเป็นที่นัดพบของบุคคลที่สนใจทางการแพทย์และในที่สุดจักรพรรดิออกุส
ตุสก็ได้สร้างโรงเรียนสอนวิชาแพทย์ โดยโรมเป็นศูนย์กลางการสอนวิชาแพทย์
ด้านสาธารณสุข นั้นก้าวหรือกว่าการแพทย์มากนัก วิทรูวิอุส สถาปนิกคนหนึ่งเน้นระบบการระบายน้าเสียจากอาคาร การ
สุขาภิบาลและการสาธารณสุขเป็นเรื่องที่ผู้นาโรมันสนใจ โดยเฉพาะโกลอาเซหรือท่อระบายน้าเสีย ซึ่งฝังไว้ใต้ดินที่ยังสามารถยังใช้
งานได้ถึงปัจจุบัน และการส่งน้าดีไปตามบ้าน อะควีดัคหรือทางส่งน้า
- 20. - บาซิลิกา (Basilica) เป็นอาคารขนาดใหญ่ ใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีการที่สาคัญ เป็นศูนย์การค้า ศาล และห้องสมุด
บาซิลิกาซานตามาเรียโนเวลลา ในฟลอเรนซ์
- 21. - โคลอสเซียม (Colosseum) นาความคิดดัดแปลงมาจากโรงละครลางแจ้งของกรีกขยายมาเป็นสนามกีฬาและการต่อสู้
ระบบก่อสร้างส่วนใหญ่ใช้ประตูโค้ง มีเสาประดับ ลักษณะแตกต่างกันไปทั้งแบบดอริค ไอโอนิค และโครินเธียน วัสดุที่นามาใช้คือ
หินลาวา
โคลอสเซียม (Colosseum)
- 22. - ประตูชัย (Triumphal Arch) เป็นสถาปัตยกรรมของโรมันโดยแท้ สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะจากสงคราม
ประตูชัยจักรพรรดิติตุส
- 23. - ท่อส่งน้า (Aqueduct) ท่อส่งน้านี้สร้างเพื่อลาเลียงน้าจากแม่น้าไปสู้ตัวเมืองและสถานที่ต่างๆ ระบบการก่อสร้างเป็น
แบบประตูโค้ง ส่วนใหญ่ยังใช้การได้ดีจนถึงปัจจุบัน
ท่อส่งน้าปองต์ ดู การ์ด
- 26. 4.4 ดนตรี
ในสมัยแรก ชาวโรมันได้ให้ความสาคัญกับดนตรีเป็นอย่างมาก แต่ในสมัยหลังๆ การดนตรีได้เสื่อมลง การจัดแสดง
ดนตรีมโหฬารก็ไม่เป็นที่สบอารมณ์หมู่นักปราชญ์ทางดนตรีอนุรักษ์นิยมเท่าใดนัก เมื่อออกุสตุสได้ขึ้นครองราชย์ ก็ได้แต่งตั้ง
สมาคมสาหรับดนตรีบรรเลงเพลงประกอบพิธีการศาสนา และสาหรับราชการด้วย นักแต่งเพลงผู้มีฝีมือก็ได้รับอุปถัมภ์จาก
จักรพรรดิอีกด้วย