More Related Content
Similar to พระพุทธศาสนากับสัตว์ป่า
Similar to พระพุทธศาสนากับสัตว์ป่า (20)
More from Kasetsart University
More from Kasetsart University (20)
พระพุทธศาสนากับสัตว์ป่า
- 1. พระพุทธศาสนากับสัตว์ป่า
พระพุทธเจ้าทรงสังสอนผูประพฤติธรรม ให้รู้จกอนุรักษ์ชีวิตของสัตว์อื่นๆ แม้กระทังทรงเตือน
่ ้ ั ่
การใช้เลศเล่ห์ ที่จะไปทาร้ายสัตว์ให้ตาย ไม่ว่าจะเป็ นสัตว์บกหรื อสัตว์น้ าก็ตาม ไม่ว่าจะเอามากินเป็ น
อาหาร หรื อเอามาทาเป็ นเครื่ องใช้อะไรก็ตาม พระองค์ทรงตาหนิติเตียนผูกระทาเช่นนั้นดังนั้นจึงควร
้
เลิกใช้ช้นเชิงหลอกตัวเอง และลวงคนอื่นเสี ยทีว่า "สัตว์เกิดมาเพื่อให้คนกิน เพื่อให้คนใช้ แล้วก็เพื่อเป็ น
ั
ทาสของคน" เพราะโดยแท้จริ งแล้ว สัตว์โลกทุกชนิดล้วนเกิดมาอย่างอิสรเสรี ไม่มีใคร เป็ นเจ้าของชีวิต
ของใคร และไม่มีใครเป็ นทาสชีวิตของใครเลย สัตว์ท้งหลายมีสิทธ์ เป็ นเจ้าของชีวิต ของตนผูเ้ ดียว
ั
เท่านั้น เพราะต่างก็รักชีวิตของตนด้วยกันทั้งสิ้ น จึงไม่ควรเบียดเบียนทาร้ายสัตว์อื่น
ศีลข้อที่หนึ่ง ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางโทษภัย วางของมีคม แล้วมีความละอาย
่ ั
ต่อการทาบาป มีความเอ็นดู มีความกรุ ณา หวังประโยชน์แก่สตว์ท้งปวงอยูนบตั้งแต่ในสมัยพุทธกาล
ั ั
นานมา พระพุทธองค์ทรงวางนโยบายอนุรักษ์ชีวิตสัตว์โลกเอาไว้แล้ว โดยการกาหนดปฏิบติที่เรี ยกว่า
ั
"ศีล" ให้แก่ชาวโลกดังนั้นจะเห็นได้ว่า หากผูคนพยายามรักษาศีลข้อที่หนึ่งนี้เพิ่มมากขึ้น ปัญหาการสูญ
้
พันธุ์ของสัตว์ป่าต่างๆจะลดลง ในป่ าจะมีสตว์อาศัยอยู่ และสัตว์ท้งหลายก็จะมีป่าให้อยู่ สัตว์กบป่ าไม้
ั ั ั
เป็ นสื่ อสัมพันธ์ซ่ ึ งกันและกัน ไม่ใช่ไปทาสัตว์ป่าให้กลายเป็ นสัตว์บาน นามาบังคับใส่กรงขังไว้ แล้ว
้
ทาลายป่ าราบเรี ยบ สร้างเป็ นตึกสูง เป็ นห้องแถวอย่าทาให้สตว์ป่าไร้ป่าอยู่ ซึ่ งผิดธรรมชาติของมัน อย่า
ั
ทาให้ป่าต้องร้างสัตว์อยู่ ซึ่ งผิดธรรมชาติของป่ า และอย่าทาให้วงจรชีวิตของธรรมชาติ ที่สตว์กบป่ าต้อง
ั ั
พึ่งพาอาศัยกัน นั้น ต้องถูกทาลายสมดุล ในตัว ของมันเองไป อันเนื่องมาจากการฆ่าแกงทาร้ายสัตว์ การ
ข่มเหงบังคับสัตว์อย่างทารุ ณ ด้วยฝี มือของมนุษย์โปรดช่วยกันเอ็นดู ให้ความเมตตากรุ ณา และให้
ประโยชน์แก่สตว์ท้งปวงบ้างเถิด อย่ารังแกกันเกินไปนักเลย
ั ั
พระพุทธเจ้าทรงสังสอนผูประพฤติธรรม ให้รู้จกอนุรักษ์ชีวิตของสัตว์อื่นๆ แม้กระทังทรงเตือน
่ ้ ั ่
การใช้เลศเล่ห์ ที่จะไปทาร้ายสัตว์ให้ตาย ไม่ว่าจะเป็ นสัตว์บกหรื อสัตว์น้ าก็ตาม ไม่ว่าจะเอามากินเป็ น
อาหาร หรื อเอามาทาเป็ นเครื่ องใช้อะไรก็ตาม พระองค์ทรงตาหนิติเตียนผูกระทาเช่นนั้นดังนั้นจึงควร
้
เลิกใช้ช้นเชิงหลอกตัวเอง และลวงคนอื่นเสี ยทีว่า "สัตว์เกิดมาเพื่อให้คนกิน เพื่อให้คนใช้ แล้วก็เพื่อเป็ น
ั
22/07/55 21:36:17 น. Credit by S.Nimtim
- 2. ทาสของคน" เพราะโดยแท้จริ งแล้ว สัตว์โลกทุกชนิดล้วนเกิดมาอย่างอิสรเสรี ไม่มีใคร เป็ นเจ้าของชีวิต
ของใคร และไม่มีใครเป็ นทาสชีวิตของใครเลย สัตว์ท้งหลายมีสิทธ์ เป็ นเจ้าของชีวิต ของตนผูเ้ ดียว
ั
เท่านั้น เพราะต่างก็รักชีวิตของตนด้วยกันทั้งสิ้ น จึงไม่ควรเบียดเบียนทาร้ายสัตว์อื่น
อนึ่ง ภิกษุใดแกล้ งพรากสัตว์ จากชีวิต หรือภิกษุใดรู้อยู่ บริโภคน้ามีตัวสัตว์ หรือภิกษุใดรู้อยู่ว่า
น้ามีตัวสัตว์ ก็รดน้านี้เอง หรือให้ คนอื่นรดน้านี้ ลงบนหญ้ าก็ตาม ดินก็ตาม ล้ วนเป็ นอาบัติปาจิตตีย์
(โทษระดับเบาที่ทาผิดในการละเมิดพระวินัย)
พระองค์ทรงสอนให้ทาตนเป็ นผูมกน้อย ใช้สอยของกินของใช้อย่างประหยัด เท่าที่ มีความ
้ ั
จาเป็ น แก่ชีวิตเท่านั้น ซึ่ งที่สาคัญๆก็คือ ปัจจัย ๔ อันได้แก่ อาหาร เครื่ องนุ่งห่ม ที่อยูอาศัย และยารักษา
่
โรค การร่ วมมือกันกินน้อยใช้นอยนี่เอง จะทาให้ทรัพยากรของโลกถูกใช้อย่างประหยัด สัตว์และพืช
้
ตลอดจน แร่ ธาตุต่างๆ จะไม่ถูกใช้จ่ายไปอย่างฟุ่ มเฟื อย ทรัพยากรธรรมชาติจึงจะเหลืออยูมาก เพียงพอ
่
หาใช้ได้ง่าย ไม่เกิดความขาดแคลน อันจะเป็ นที่มาของการแก่งแย่งกัน เป็ นที่มาของการล่าทรัพยากรใน
ต่างแดนเกิดขึ้น ดังที่นานาประเทศกาลังทากันอยู่ ซึ่งผลสุดท้ายก็คือ ความล่มจมของธรรมชาติทวโลก
ั่
แล้วธรรมชาติก็ตองเสี ยสมดุลอย่างย่อยยับ ดินแล้ง-น้ าเสี ย-ป่ าสูญ-อากาศเป็ นพิษ มลภาวะย่อมแผ่
้
กระจายออกไปทุกหนทุกแห่ง เพราะธรรมชาติท้งหมดล้วนสอดประสานกันเป็ นวงจรเดียว
ั
พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งธรรมชาติ และกฎของธรรมชาติอย่างเป็ นระบบครบกระบวนการ จน
ั
สามารถนามาใช้เป็ นเครื่ องมือในการดับทุกข์ให้กบพระองค์เองได้ ทรงอุทิศพระชนม์ชีพหลังการตรัส
รู้ เพื่อประกาศความสาคัญของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติ และวิธีปฏิบติให้สอดคล้องกับกฎ
ั
ธรรมชาติ เพื่อที่จะได้ดารงชีวิตกับธรรมชาติอย่างมีสนติสุข พระองค์ได้ดาเนินพระชนม์ชีพใกล้ชิดกับ
ั
ธรรมชาติจริ ง ๆ แล้วไม่ต่ากว่า 51 ปี เต็ม ดังนั้น ธรรมะและวินยที่พระองค์แสดงจึงสะท้อนให้เห็นถึง
ั
ความรักที่พระองค์มีต่อสรรพสัตว์ และสรรพสิ่ งได้เป็ นอย่างดียิ่ง ความรักที่พระองค์มีต่อสรรพ
สัตว์ พบได้จากพระพุทธดารัสว่า ดูก่อนภิกษุท้งหลาย เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวชมอย่างนี้
ั
ว่า “พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรา มีความละอาย มี
ความเอ็นดู มีความกรุ ณา หวังประโยชน์ เกื้อกูลแก่สตว์ท้งปวงอยู่ พระสมณโคดมเว้นจากการรับเนื้อ
ั ั
22/07/55 21:36:17 น. Credit by S.Nimtim
- 3. ดิบ… เว้นขาดจากการรับเนื้อแพะและแกะ… เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร… เว้นขาดจากการรับช้าง
โค ม้า และลา” สิ่ งที่สามารถยืนยันได้อีกประการหนึ่งว่าพระพุทธเจ้านั้นทรงรักสรรพสัตว์น้ น กล่าวคือ
ั
พิจารณาได้จากวิถีชีวิตของพระองค์ในวันเยาว์ เราจะเห็นได้ว่า เมื่อพระองค์เสด็จออกไปเที่ยวเล่นนอก
บ้านกับเทวทัตต์ เจ้าชายเทวทัตต์ได้หงส์ตกลงมา เจ้าชายทั้งสองต่างก็วิ่งไปเก็บมัน แต่เจ้าชายสิ ทธัต
ถะนั้นวิ่งไปถึงหงส์ตวนั้นก่อน ภายหลังที่มองเห็นว่าหงส์เจ็บปวดจากถูกลูกศร พระองค์จึงได้ถอน
ั
ลูกศรออก และทรงยัดใบไม้ที่มีรสเย็นเข้าไปในบาดแผล เพื่อให้โลหิ ตหยุดไหล อีกทั้งทรงลูบอย่างเบา
ๆ เพื่อคลายความตื่นตระหนก และเจ็บปวดของหงส์ เจ้าชายเทวทัตต์รู้สึกขัดเคืองพระทัย และขอหงส์
คืน โดยอ้างถึงสิ ทธิในการที่ตนยิงหงส์ตก แต่เจ้าชายสิ ทธัตถะก็อางสิ ทธิว่า โดยแท้จริ งแล้วชีวิต ต้อง
้
เป็ นของผูที่จะพยายามจะช่วยชีวิตมัน มิใช่เป็ นของผูที่คิดจะทาลายมัน ฉะนั้น ตกตัวนี้ควรเป็ นของ
้ ้
พระองค์ซ่ ึ งช่วยเหลือมัน เมื่อให้ที่ประชุมตัดสิ น ที่ประชุมก็ได้พิพากษาให้เจ้าชายสิ ทธัตถะเป็ นเจ้าของ
หงส์ โดยให้เหตุผลที่สอดคล้องกับเจ้าชายสิ ทธัตถะ เมื่อพระองค์รักษาหงส์จนหายสนิทแล้วก็ได้ทรง
่
ปล่อยหงส์กลับไปยังที่อยูของมันตามเดิมนอกจากพระองค์จะไม่เบียดเบียนสรรพสัตว์แล้ว สรรพสิ่ง
พระองค์ก็ไม่ทรงเบียดเบียนเช่นกัน ดังที่พระองค์ได้ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุท้งหลาย เมื่อปุถุชนจะกล่าว
ั
ชมพระตถาคต พึงกล่าวชมอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมเว้นขาดจากรับธัญญาหารดิบ เว้นขาดจากการ
พรากพืชและภูตคาม อย่างที่สมณพราหมณ์ผเู้ จริ ญฉันโภชนะที่เข้าให้ดวยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการ
้
พรากพืชคาม และภูตคามเป็ นปานนี้อยูเ่ นือง ๆ คือพืชเกิดแต่เหง้า เกิดจากลาต้น เกิดจากตา เกิดจาก
ยอด เกิดจากเมล็ด”
จะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้านั้นทรงรักสรรพสัตว์และสรรพสิ่ ง อันเป็ นที่มาของการไม่
ทาลาย หรื อมุ่งร้ายต่อธรรมชาติในลักษณะต่าง ๆ สรุ ปแล้วความรู้กบข้อปฏิบติ ที่จะช่วยคุมครองโลก
ั ั ้
ให้งดงาม คุมครองตนให้ไปสู่ดีน้ น ได้มีมาแต่โบราณกาล อีกทั้งยังมีอยูแล้วมากมาย แต่จนถึงทุกวันนี้
้ ั ่
โลกยิงเสี ยหายยับเยินลงไปทุกที เพราะความวิปริ ต แปรปรวน ของสภาพแวดล้อมทั้งหลายนั้น ล้วนเกิด
่
่
จากผลงานของมนุษย์แทบทั้งสิ้ น นี่ยอมแสดงถึง.... ความตกต่าทางใจ ของมนุษย์ทวีมากขึ้นเป็ นลาดับ
ดังนั้นตราบใดที่ยงแก้ไข "ความเลวในหัวใจมนุษย์" ให้เลิกขี้โลภเห็นแก่ตวไม่ได้ ตราบนั้นอย่าหวังเลย
ั ั
ว่า สภาวะสมดุลของธรรมชาติจะเกิดขึ้นได้ และตราบใดที่ "หัวใจของคนดี" ท้อถอยต่อการเสี ยสละ เลิก
22/07/55 21:36:17 น. Credit by S.Nimtim
- 4. ล้มการสร้างสรรค์โลก หยุดผงาดขึ้นยืนหยัดต้านภัยพาล ตราบนั้นก็อย่าหวังเลยว่า สังคมโลกนี้จะ
สวยงามสุขเย็นได้ เพราะโลกนี้ไร้แล้วซึ่ งที่พ่ ึงพิงรอเวลาแหลกสลายจะมาถึงเท่านั้นเอง โลกนี้จึงกาลัง
ต้องการคนดีที่ใจเด็ด กล้าทน สร้างกรรมดีสืบไปได้ตลอดตาย เพื่อกอบกูโลกให้น่าอยูยงยืนยาวนานถึง
้ ่ ั่
ที่สุด “หากจะมองในประเด็นดังกล่ าวเราจะพบว่ า แท้ ที่จริ งแล้ว สั ตว์ เล็ก ๆ ในดินนี่เองเป็ นผู้ช่วย
ให้ “ดินมีชีวิต” ขึนมา ดังนั้น การทาให้ ชีวิตสั ตว์ ในดินตายไป ก็คือการทาให้ ดินต้ องตายไป
้
ด้ วย กลายเป็ น “ดินตาย” ที่ไร้ ประโยชน์ ไม่สามารถเพาะปลูกพืชได้ ”
22/07/55 21:36:17 น. Credit by S.Nimtim