More Related Content
Similar to Slideshare (20)
Slideshare
- 1. บทที่ 2
เอกสารและงานวิจยที่เกียวข้ อง
ั ่
การวิจยครั้งนี้ผวจยได้ศึกษาปั ญหาจากการสังเกตการใช้ภาษาของครู และนักเรี ยน การใช้
ั ู้ ิ ั
ประสบการณ์ของผูวจย และการศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจยที่เกี่ยวข้องเพื่อนามาประกอบการศึกษา
้ิั ั
ดังนี้
1. หลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานและกลุ่มสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี
2. การเรี ยนรู้แบบโครงงาน
3. การเรี ยนรู้โดยใช้ผงความคิด
ั
4. งานวิจยที่เกี่ยวข้อง
ั
หลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขั้นพืนฐานและกลุ่มสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี
้
กรมวิชาการ (2544: 1-2) ได้ให้เหตุผลในการจัดทาหลักสู ตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไว้วา ความ ่
เจริ ญก้าวหน้าทางวิทยาการด้านต่างๆ ของโลกยุคโลกาภิวฒน์ มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและ
ั
เศรษฐกิจของทุกประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วย จึงมีความจาเป็ นที่จะต้องปรับปรุ งหลักสู ตรการศึกษาของ
ชาติซ่ ึงถือเป็ นกลไกสาคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศ เพื่อสร้างคนไทยให้เป็ นคนดี มี
ปั ญญา มีความสุ ข มีศกยภาพ พร้อมที่จะแข่งขันและร่ วมมืออย่างสร้างสรรค์ในเวทีโลก ประกอบกับ
ั
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่ งชาติ พ.ศ. 2542 ได้กาหนดให้การศึกษาเป็ นกระบวนการเรี ยนรู ้เพื่อความเจริ ญ
งอกงามของบุคคลและสังคม โดยการถ่ายทอดความรู ้ การฝึ ก การอบรม การสื บสานทางวัฒนธรรม การ
สร้างสรรค์ ความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู ้อนเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อมทางสังคมแห่ง
ั
การเรี ยนรู ้ และปั จจัยเกื้อหนุ นให้บุคคลเกิดการเรี ยนรู ้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต เพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็ น
มนุษย์ที่สมบูรณ์ท้ งร่ างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู ้และคุณธรรม มีจริ ยธรรมและวัฒนธรรมในการ
ั
ดารงชีวิต สามารถอยูร่วมกับผูอื่นได้อย่างมีความสุ ขและสานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2544:
่ ้
คานา)
ได้กล่าวถึง แนวทางการจัดการศึกษาว่าในกระบวนการจัดการศึกษานับว่าการปฏิรูปการเรี ยนรู ้น้ นถือว่า ั
ผูเ้ รี ยนสาคัญที่สุดสามารถเรี ยนรู้และพัฒนาตนเองได้เป็ นหัวใจของการปฏิรูปการศึกษา
กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้การงานอาชีพและเทคโนโลยีเป็ นกลุ่มสาระที่ช่วยพัฒนาให้ผเู ้ รี ยน
มีความรู้ ความเข้าใจ มีทกษะพื้นฐานที่จาเป็ นต่อการดารงชีวต และรู ้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง สามารถ
ั ิ
นาความรู ้เกี่ยวกับการดารงชี วต การอาชีพ และเทคโนโลยี มาใช้ประโยชน์ในการทางานอย่างมีความคิด
ิ
สร้างสรรค์ และแข่งขันในสังคมไทยและสากล เห็นแนวทางในการประกอบอาชีพ รักการทางาน และมี
เจตคติที่ดีต่อการทางาน สามารถดารงชีวิตอยูในสังคมได้อย่างพอเพียง
่ และมีความสุ ข
- 2. กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้การงานอาชีพและเทคโนโลยี มุงพัฒนาผูเ้ รี ยนแบบองค์รวม เพื่อให้มีความรู ้
่
ความสามารถ มีทกษะในการทางาน เห็นแนวทางในการประกอบอาชีพและการศึกษาต่อได้อย่างมี
ั
ประสิ ทธิ ภาพ โดยมีสาระสาคัญ ดังนี้
การดารงชีวตและครอบครัว เป็ นสาระเกี่ยวกับการทางานในชีวตประจาวัน ช่วยเหลือตนเอง
ิ ิ
ครอบครัว และสังคมได้ในสภาพเศรษฐกิจที่พอเพียง ไม่ทาลายสิ่ งแวดล้อม เน้นการปฏิบติจริ งจนเกิดความ
ั
มันใจและภูมิใจในผลสาเร็ จของงาน เพื่อให้คนพบความสามารถ ความถนัด และความสนใจของตนเอง
่ ้
การออกแบบและเทคโนโลยี เป็ นสาระการเรี ยนรู ้ที่เกี่ยวกับการพัฒนาความสามารถของมนุษย์
ั
อย่างสร้างสรรค์ โดยนาความรู ้มาใช้กบกระบวนการเทคโนโลยี สร้างสิ่ งของ เครื่ องใช้ วิธีการ หรื อเพิ่ม
ประสิ ทธิภาพในการดารงชีวิต
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่ อสาร เป็ นสาระเกี่ยวกับกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ
การติดต่อสื่ อสาร การค้นหาข้อมูล การใช้ขอมูลและสารสนเทศ การแก้ปัญหาหรื อการสร้างงาน คุณค่า
้
และผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่ อสาร
การอาชีพ เป็ นสาระที่เกี่ยวข้องกับทักษะที่จาเป็ นต่ออาชี พ เห็นความสาคัญของคุณธรรม
จริ ยธรรม และเจตคติที่ดีต่ออาชีพ ใช้เทคโนโลยีได้เหมาะสม เห็นคุณค่าของอาชีพสุ จริ ต และเห็น
แนวทางในการประกอบอาชีพ
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระที่ 1 การดารงชีวตและครอบครัว
ิ
มาตรฐาน ง1.1 เข้าใจการทางาน มีความคิดสร้างสรรค์ มีทกษะกระบวนการทางาน ทักษะ
ั
การจัดการ ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา ทักษะการทางานร่ วมกัน และทักษะการแสวงหาความรู้
มีคุณธรรม และลักษณะนิสัยในการทางาน มีจิตสานึก ในการใช้พลังงาน ทรัพยากร และ
สิ่ งแวดล้อมเพื่อการดารงชีวตและครอบครัว
ิ
สาระที่ 2 การออกแบบและเทคโนโลยี
มาตรฐาน ง 2.1 เข้าใจเทคโนโลยีและกระบวนการเทคโนโลยี ออกแบบและสร้าง
สิ่ งของเครื่ องใช้ หรื อวิธีการ ตามกระบวนการเทคโนโลยีอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ เลือกใช้
เทคโนโลยีในทางสร้างสรรค์ต่อชีวิต สังคม สิ่ งแวดล้อม และมีส่วนร่ วม ในการจัดการเทคโนโลยี
ที่ยงยืน
ั่
สาระที่ 3 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่ อสาร
มาตรฐาน ง 3.1 เข้าใจ เห็นคุณค่า และใช้กระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศในการ
สื บค้นข้อมูล การเรี ยนรู ้ การสื่ อสาร การแก้ปัญหา การทางาน และอาชีพอย่างมีประสิ ทธิ ภาพ
ประสิ ทธิผล และมีคุณธรรม
- 3. สาระที่ 4 การอาชีพ
มาตรฐาน ง 4.1 เข้าใจ มีทกษะที่จาเป็ น มีประสบการณ์ เห็นแนวทางในงานอาชีพ
ั
ใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาอาชี พ มีคุณธรรม และมีเจตคติที่ดีต่ออาชีพ
การจัดการเรียนรู้ แบบโครงงาน
การเรี ยนรู้แบบโครงงานเป็ นกระบวนการแสวงหาความรู้ หรื อการค้นคว้าหาคาตอบในสิ่ งที่
ผูเ้ รี ยนอยากรู ้หรื อสงสัยด้วยวิธีการต่างๆ เป็ นวิธีการเรี ยนรู้ที่ผเู้ รี ยนได้เลือกศึกษาตามความสนใจของตนเอง
หรื อของกลุ่ม เป็ นการตัดสิ นใจร่ วมกัน จนได้ชิ้นงานที่สามารถนาผลการศึกษาไปใช้ได้ในชีวตจริ ง ิ
การเรี ยนรู้แบบโครงงาน เป็ นการเรี ยนรู ้ที่ใช้เทคนิคหลากหลายรู ปแบบนามาผสมผสานกัน ได้แก่
กระบวนการกลุ่ม การฝึ กคิด การแก้ปัญหา การเน้นกระบวนการ การสอนแบบปริ ศนาความคิด และการ
สอนแบบร่ วมกันคิด ทั้งนี้มุ่งหวังให้ผเู ้ รี ยนเรี ยนรู ้เรื่ องใดเรื่ องหนึ่งจากความสนใจอยากรู ้อยากเรี ยนของ
ผูเ้ รี ยนเอง โดยใช้กระบวนการและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ผูเ้ รี ยนจะเป็ นผูลงมือปฏิบติกิจกรรมต่างๆ เพื่อ
้ ั
ค้นหาคาตอบด้วยตนเอง เป็ นการเรี ยนรู ้ที่มุ่งเน้นให้ผเู ้ รี ยนได้เรี ยนรู ้จากประสบการณ์ตรงกับแหล่งความรู ้
เบื้องต้น ผูเ้ รี ยนสามารถสรุ ปความรู้ได้ดวยตนเอง ซึ่งความรู้ที่ผเู้ รี ยนได้มาไม่จาเป็ นต้องตรงกับตารา แต่
้
ผูสอนจะสนับสนุนให้ผเู ้ รี ยนศึกษาค้นคว้าเพิมเติมจากแหล่งการเรี ยนรู ้และปรับปรุ งความรู ้ท่ีได้ให้สมบูรณ์
้ ่
การเรี ยนรู้แบบโครงงาน เป็ นการเรี ยนรู้ที่เชื่อมโยงหลักการพัฒนาการคิดของบลูม
(Bloom) ทั้ง 6 ขั้น และยังเป็ นกระบวนการเรี ยนรู ้ที่เน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสาคัญในทุกขั้นตอนของการเรี ยนรู ้ ตั้งแต่
การวางแผนการเรี ยนรู้ การออกแบบการเรี ยนรู้ การสร้างสรรค์ประยุกต์ใช้ผลผลิต และการประเมินผลงาน
โดยผูสอนมีบทบาทเป็ นผูจดการเรี ยนรู้ แนวคิด 6 ขั้นของบลูม คือ
้ ้ั
1. ความรู้ความจา (Knowledge)
2. ความเข้าใจ (Comprehension)
3. การนาไปใช้ (Application)
4. การวิเคราะห์ (Analysis)
5. การสังเคราะห์ (Synthesis)
6. การประเมินค่า (Evaluation)
กระบวนการของกิจกรรมการเรี ยนรู้ แบบโครงงาน
กระบวนการแบ่งเป็ น 3 ระยะใหญ่ๆ ด้วยกันคือ
ระยะที่ 1 การเริ่มต้ นโครงงาน
เป็ นระยะที่ผสอนต้องสังเกต/สร้างความสนใจให้เกิดขึ้นในตัวผูเ้ รี ยนจากนั้นตกลงร่ วมกัน เลือก
ู้
เรื่ องที่ตองการศึกษาอย่างละเอียด ผูสอนสร้างความสนใจให้เกิดกับผูเ้ รี ยนซึ่ งมีหลายวิธี โดยอาจศึกษาเรื่ อง
้ ้
- 4. จากการบอกเล่าของผูใหญ่หรื อผูรู้ จากประสบการณ์ของผูเ้ รี ยน/ผูสอน จากเอกสารสิ่ งพิมพ์ หรื อสื่ อต่างๆ
้ ้ ้
จากการเล่นของผูเ้ รี ยน จากความคิดที่เกิดขึ้น จากวัตถุสิ่งของที่ผสอนนามาในห้องเรี ยน หรื อจากตัวอย่าง
ู้
โครงงานที่ผอื่นทาไว้แล้ว เป็ นต้น เมื่อเกิดความสนใจแล้วก็จะถึงการกาหนดหัวข้อโครงงาน โดยนาเรื่ องที่
ู้
ผูเ้ รี ยนสนใจมาอภิปรายร่ วมกัน แล้วกาหนดเรื่ องนั้นเป็ นหัวข้อโครงงาน ทั้งนี้จะต้องคานึงว่าการกาหนด
หัวข้อโครงงานนั้นจะกระทาหลังจากการตรวจสอบสมมติฐานเสร็ จสิ้ นแล้ว
ระยะที่ 2 ขั้นพัฒนาโครงงาน
เป็ นขั้นที่ผเู ้ รี ยนกาหนดหัวข้อคาถาม หรื อประเด็นปั ญหา ที่ผเู้ รี ยนสนใจอยากรู้ แล้ว
ตั้งสมมติฐานมาตอบคาถามเหล่านั้น ทดสอบสมมติฐานด้วยการลงมือปฏิบติ จนค้นพบคาตอบด้วยตนเอง ั
ตามขั้นตอนดังนี้
1. ผูเ้ รี ยนกาหนดปั ญหาที่จะศึกษา
2. ผูเ้ รี ยนตั้งสมมติฐานเบื้องต้น
3. ผูเ้ รี ยนตรวจสอบสมมติฐานเบื้องต้น
4. สรุ ปข้อความรู้จากผลการตรวจสอบสมมติฐาน
ในกรณี ที่ผลการตรวจสอบไม่เป็ นไปตามสมมติฐาน ผูสอนควรให้กาลังใจผูเ้ รี ยนเพื่อให้ผเู ้ รี ยนไป
้
แสวงหาความรู ้เพิ่มเติม สิ่ งที่ไม่ควรกระทาคือการตาหนิหรื อกล่าวโทษ ผูสอนควรกระตุนให้ผเู้ รี ยนมี
้ ้
กาลังใจจนสามารถตั้งสมมติฐานใหม่ได้ ในกรณี ที่ผลการตรวจสอบเป็ นไปตามสมมติฐาน ให้ผเู้ รี ยนสรุ ป
องค์ความรู ้จากการค้นพบด้วยการลงมือปฏิบติของผูเ้ รี ยนเองเมื่อได้องค์ความรู ้ใหม่แล้ว ผูเ้ รี ยนจะนาองค์
ั
ความรู ้น้ นไปใช้ในการทากิจกรรมตามความสนใจต่อไปได้ ผูเ้ รี ยนอาจใช้ความรู ้ที่คนพบเป็ นพื้นฐานของ
ั ้
การกาหนดประเด็น ปั ญหาขึ้นมาใหม่เพื่อ
กาหนดเป็ นโครงงานย่อย ศึกษารายละเอียดในเรื่ องนั้นต่อไปอีก
ระยะที่ 3 ขั้นสรุ ป
เป็ นระยะสุ ดท้ายของโครงงานที่ผเู้ รี ยนค้นพบคาตอบของปัญหาแล้ว และได้แสดงให้
ผูสอนเห็นว่าได้สิ้นสุ ดความสนใจในหัวข้อโครงงานเดิม และเริ่ มหันเหความสนใจไปสู่ เรื่ องใหม่ ระยะนี้
้
เป็ นระยะที่ผสอนและผูเ้ รี ยนจะได้แบ่งปั นประสบการณ์การทางานและแสดงให้เห็นถึงความสาเร็ จของการ
ู้
ทางานตลอดโครงงานแก่คนอื่นๆ มีกิจกรรมที่ผสอนให้ผเู ้ รี ยนดาเนินการในขั้นตอนนี้ ดังนี้
ู้
1. ผูเ้ รี ยนเขียนรายงานเป็ นรู ปแบบงานวิจยเล็กๆ
ั
2. ผูเ้ รี ยนนาเสนอผลงาน (แสดงเป็ นแผงโครงงาน) ให้ผสนใจรับรู้ สรุ ปและนาไปใช้ใน
ู้
ชีวตประจาวัน
ิ
- 5. ขั้นตอนการจัดการเรี ยนรู้
ขั้นตอนการจัดกระบวนการเรี ยนรู ้แบบโครงงานมีดงนี้ ั
1. ขั้นนาเสนอ หมายถึง ขั้นที่ผสอนให้ผเู ้ รี ยนศึกษาใบความรู ้ กาหนดสถานการณ์ ศึกษา
ู้
สถานการณ์ เกม รู ปภาพ หรื อการใช้เทคนิคการตั้งคาถามเกี่ยวกับสาระการเรี ยนรู ้ที่กาหนดในแผนการ
จัดการเรี ยนรู ้แต่ละแผน เช่น สาระการเรี ยนรู ้ตามหลักสู ตรและสาระการเรี ยนรู ้ที่เป็ นขั้นตอนของโครงงาน
เพื่อใช้เป็ นแนวทางในการวางแผนการเรี ยนรู้
2. ขั้นวางแผน หมายถึง ขั้นที่ผเู ้ รี ยนร่ วมกันวางแผน โดยการระดมความคิด อภิปรายหารื อ
ข้อสรุ ปของกลุ่มเพื่อใช้เป็ นแนวทางในการปฏิบติ ั
3. ขั้นปฏิบติ หมายถึง ขั้นที่ผเู ้ รี ยนปฏิบติกิจกรรมเขียนสรุ ปรายงานผลที่เกิดขึ้นจากการ
ั ั
วางแผนร่ วมกัน
4. ขั้นประเมินผล หมายถึง ขั้นการวัดและประเมินผลตามสภาพจริ ง โดยให้บรรลุ
จุดประสงค์การเรี ยนรู ้ที่กาหนดไว้ในแผนการจัดการเรี ยนรู ้ โดยมีครู ผูเ้ รี ยนและเพื่อนร่ วมกันประเมิน
แนวทางการจัดการเรี ยนรู้
การจัดการเรี ยนรู้แบบโครงงาน มี 2 แนวทาง ดังนี้
1. การจัดกิจกรรมตามความสนใจ
่
เป็ นการจัดกิจกรรมที่ให้ผเู ้ รี ยนเลือกศึกษาโครงงานจากสิ่ งที่สนใจอยากรู ้ท่ีมีอยูใน
ชีวตประจาวัน สิ่ งแวดล้อมในสังคม หรื อจากประสบการณ์ต่างๆ ที่ยงต้องการคาตอบ ข้อสรุ ป ซึ่ งอาจจะอยู่
ิ ั
นอกเหนือจากสาระการเรี ยนรู้ในบทเรี ยนของหลักสู ตร มีข้ นตอนดังต่อไปนี้
ั
1) ตรวจสอบ วิเคราะห์ พิจารณา รวบรวมความสนใจแก่ผเู ้ รี ยน
2) กาหนดประเด็นปั ญหา/หัวข้อเรื่ อง
3) กาหนดวัตถุประสงค์
4) ตั้งสมมติฐาน
5) กาหนดวิธีการศึกษาและแหล่งความรู ้
6) กาหนดเค้าโครงของโครงงาน
7) ตรวจสอบสมมติฐาน
8) สรุ ปผลการศึกษาและการนาไปใช้
9) เขียนรายงานเชิงวิจยง่ายๆ
ั
10) จัดแสดงผลงาน
- 6. 2. การจัดกิจกรรมตามสาระการเรี ยนรู้
เป็ นการจัดกิจกรรมการเรี ยนรู ้โดยยึดเนื้อหาสาระตามที่หลักสู ตรกาหนด ผูเ้ รี ยนเลือกทา
โครงงานตามสาระการเรี ยนรู ้ จากหน่วยเนื้ อหาที่เรี ยนในชั้นเรี ยน นามาเป็ นหัวข้อโครงงาน
มีข้ นตอนที่ผสอนดาเนิ นการดังต่อไปนี้
ั ู้
1) เริ่ มจากศึกษาเอกสารหลักสู ตร คู่มือครู
2) วิเคราะห์หลักสู ตร
3) วิเคราะห์คาอธิ บายรายวิชา เพื่อแยกเนื้อหา จุดประสงค์ และกิจกรรมให้เด่นชัด
4) จัดทากาหนดการสอน
5) เขียนแผนการจัดการเรี ยนรู้
6) ผลิตสื่ อ จัดหาแหล่งการเรี ยนรู ้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น
7) จัดกิจกรรมการเรี ยนรู้ ดังนี้
7.1) แจ้งจุดประสงค์ เนื้อหาของหลักสู ตรให้ผเู ้ รี ยนทราบ
7.2) กระตุนความสนใจของผูเ้ รี ยนในขอบเขตของเนื้อหาและจุดประสงค์ในหลักสู ตร
้
7.3) จัดกลุ่มผูเ้ รี ยนตามความสนใจ
7.4) ผูสอนใช้คาถามเพื่อกระตุนให้ผเู ้ รี ยนมีส่วนร่ วมในการจัดกิจกรรมการเรี ยนรู ้ เช่น
้ ้
♦ ทาไมผูเ้ รี ยนจึงสนใจอยากเรี ยนเรื่ องนี้ (แนวคิด/แรงดลใจ)
♦ ผูเ้ รี ยนสนใจเกี่ยวกับอะไรบ้าง (กาหนดเนื้อหา)
♦ ผูเ้ รี ยนอยากเรี ยนรู ้เรื่ องนี้ เพื่ออะไร (กาหนดจุด ประสงค์)
♦ ผูเ้ รี ยนจะทาอย่างไรจึงจะเรี ยนรู ้ได้ในเรื่ องนี้ (กาหนดวิธีศึกษา/กิจกรรม)
♦ ผูเ้ รี ยนจะใช้เครื่ องมืออะไรบ้างในการศึกษาครั้งนี้ (กาหนดสื่ ออุปกรณ์)
♦ ผูเ้ รี ยนจะไปศึกษาที่ใดบ้าง (กาหนดแหล่งความรู ้ แหล่งข้อมูล)
♦ ผลที่ผเู ้ รี ยนคาดว่าจะได้รับคืออะไรบ้าง (สรุ ปความรู้/สมมติฐาน)
่
♦ ผูเ้ รี ยนจะทาอย่างไรจึงจะรู ้วาผลงานของผูเ้ รี ยนดีหรื อไม่ดีอย่างไร จะให้ใครเป็ นผูประเมิน
้
(กาหนดการวัดและประเมินผล)
♦ ผูเ้ รี ยนจะเผยแพร่ ผลงานให้ผอื่นรู ้ได้อย่างไร (นาเสนอผลงาน รายงาน)
ู้
7.5) ผูเ้ รี ยนแต่ละกลุ่มศึกษาตามที่ตกลงกันไว้ (จากคาถามที่ผสอนซักถาม) ภายใต้กรอบเวลา
ู้
ในแต่ละครั้ง ถ้ายังไม่สาเร็ จให้ศึกษาต่อในคาบต่อไป
7.6) ผูเ้ รี ยนทุกคนต้องสรุ ปองค์ความรู้ได้ดวยการเรี ยนของผูเ้ รี ยนและสามารถนาเสนอความรู้ที่
้
ได้แก่เพื่อนๆ และผูสอนได้ ้
7.7) ผูเ้ รี ยนเขียนรายงานเชิงวิจยแบบง่ายๆ และแสดงแผงโครงงาน
ั
- 7. 8) ผูสอนจัดแหล่งความรู ้เพิ่มเติมให้สมบูรณ์ยงขึ้น
้ ิ่
9) ผูสอนเขียนบันทึกผลการเรี ยนรู้
้
บทบาทของครู ทปรึ กษา
ี่
1. ใช้วธีการต่างๆที่จะกระตุนให้นกเรี ยนคิดหัวข้อเรื่ องโครงงาน
ิ ้ ั
2. จัดหาสิ่ งอานวยความสะดวก วัสดุอุปกรณ์ในการทางาน
3. ติดตามการทางานอย่างใกล้ชิด เด็กประถมควรคานึงถึงความปลอดภัยเป็ นสิ่ งสาคัญ
4. ให้กาลังใจในกรณี ที่ลมเหลว ควรแก้ปัญหาต่อไป
้
5. ชี้แนะแหล่ขอมูล แหล่งความรู ้ ผูรู้ เอกสารต่างๆในการศึกษาค้นคว้า
้ ้
6. ประเมินผลงาน ส่ งผลงานเข้าประกวด จัดเวทีให้แสดงความรู ้ ความสามารถ
การเสนอผลงานโครงงาน
ให้นกเรี ยนผูทาโครงงานได้เสนอผลงาน เป็ นการเผยแพร่ ผลงาน กิจกรรมนี้จะส่ งเสริ มให้นกเรี ยน
ั ้ ั
มีความกล้าแสดงออก เชื่ อมันในผลงาน ตอบข้อซักถาม การเสนอผลงานมีหลายลักษณะ คือ
่
1. บรรยายประกอบแผ่นใส/ สไลด์
2. บรรยายประกอบแผงโครงงาน
3. จัดนิทรรศการ
การเขียนรายงานโครงงาน
การเรี ยนรายงานโครงงาน เป็ นการเสนอผลงานที่นกเรี ยนได้ศึกษาค้นคว้ามาโดยตลอดจนงาน
ั
เสร็ จสมบูรณ์ หัวข้อในการเขียนโครงงาน มีดงนี้
ั
1. ชื่อโครงงาน
2. ชื่อผูจดทาโครงงาน /
้ั โรงเรี ยน / พ.ศ. ที่จดทา
ั
3. ชื่อครู ที่ปรึ กษา
4. บทคัดย่อ(บอกเค้าโครงอย่างย่อๆ ประกอบด้วย เรื่ อง / วัตถุประสงค์ / วิธีการศึกษา / สรุ ปผล)
5. กิตติกรรมประกาศ (แสดงความขอบคุณบุคคล หน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือ)
6. ที่มาและความสาคัญของโครงงาน
7. วัตถุประสงค์ของการศึกษาค้นคว้า
8. สมมุติฐานของการศึกษาค้นคว้า
9. วิธีการดาเนินการ
10. ผลการศึกษาค้นคว้า
11. สรุ ปผล
12. ประโยชน์ ข้อเสนอแนะ
13. เอกสารอ้างอิง
- 8. ประเภทของโครงงาน
โครงงานโดยทัวไปแบ่งเป็ นประเภทใหญ่ ๆ ๔ ประเภท ได้แก่
่
• โครงงานสารวจหรือรวบรวมข้ อมูล ผูเ้ รี ยนที่จดทาโครงงานประเภทนี้ มีจุดประสงค์เพื่อสารวจ
ั
และเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่ องที่กาลังศึกษา หรื องานที่กาลังทา โดยมีระบบในการจาแนกและนาเสนอ
เพื่อความชัดเจน วิธีการใช้อาจเป็ นการสัมภาษณ์ การใช้แบบสอบถาม การสารวจจากสภาพจริ ง เพื่อนามา
พัฒนาปรับปรุ งหรื อส่ งเสริ มเพื่อให้ได้ผลดียงขึ้นเช่น ศึกษาเรื่ องเล่าในท้องถิ่น
ิ่
• โครงงานประเภทศึกษาค้ นคว้า ผูเ้ รี ยนที่จดทาโครงงานประเภทนี้ มีจุดประสงค์เพื่อแสวงหา
ั
ความรู้ ตรวจสอบข้อเท็จจริ ง พิสูจน์ทฤษฎีหรื อเรื่ องเล่าต่างๆ จากการศึกษาค้นคว้าทั้งจากแหล่งวิทยาการ
ต่างๆ เช่น ห้องสุ ด สถาบันการศึกษา แหล่งเรี ยนรู ้ประเภทเอกสาร เช่น ตารา รายงานการค้นคว้าทางวิชาการ
หรื อเอกสารทางวิชาการและตัวบุคคล ได้แก่ผที่มีความรู ้ในเรื่ องนั้นโดยตรง ซึ่ งเป็ นแหล่งที่มีอางอิงข้อมูล
ู้ ้
ชัดเจนและเชื่อถือได้ ผลที่ได้จากการค้นคว้าอาจไม่สมบูรณ์ครบถ้วน แต่เมื่อปรับปรุ งแก้ไขวิธีการที่ถูกต้อง
จากผูสอนแล้ว ก็สามารถเป็ นแม่แบบแม่บทในการเรี ยนหรื อการศึกษาค้นคว้าเพื่อแสวงหาความรู ้ดวยตนเอง
้ ้
ในระดับชั้นที่สูงขึ้นหรื อนาใช้ในชีวตจริ งได้ เช่น ศึกษาประวัติบุคคลสาคัญ
ิ
• โครงงานทดลอง ผูเ้ รี ยนที่จดทาโครงงานประเภทนี้ มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาความเป็ นไปได้ซ่ ึง
ั
การทดลองอาจมีหลายขั้นตอนเพื่อให้ได้ขอมูลมาประกอบการตัดสิ นใจในเบ้องต้นแล้วจึงมีการศึกษา
้
ค้นคว้าต่อไป เช่น แต่งคาประพันธ์ร้อยกรอง โดยคิดกาหนดฉันท์
• โครงงานสิ่ งประดิษฐ์ ผูเ้ รี ยนที่จดทาโครงงานประเภทนี้ จะได้รับการส่ งเสริ มให้สร้างสรรค์
ั
สิ่ งประดิษฐ์หรื อพัฒนาชิ้นงานโดยสิ่ งที่ผจดทาโครงงาจะได้รับคือส่ งเสริ มความคิดสร้างสรรค์โดยการ
ู้ ั
สังเกต วิเคราะห์กลวิธีในการจัดการต่างๆ แล้วพัฒนาหรื อสร้างชิ้นงานขึ้นใหม่เพื่อสนองความต้องการของ
่
สังคมตามความรู ้ความสามารถที่มีอยูหรื อที่ได้รับจากบทเรี ยน เช่น การเขียน หลักภาษา
การเรียนรู้ โดยใช้ ผงความคิด
ั
ความหมายของเทคนิคผังความคิด (Mind Mapping)
เทคนิคผังความคิด (Mind Mapping Technique) เป็ นเทคนิคที่พฒนาขึ้นโดย Buzan
ั
ในปี ค.ศ. 1970 ซึ่ งเขาได้อธิ บายว่าในสมองของมนุษย์มีเซลล์ประสาทในสมองกว่าสิ บล้านเซลล์
และแต่ละเซลล์ความเชื่อมโยงกันด้วยส่ วนที่เรี ยกว่า Dendrite ที่ยนออกไปรอบทิศทางเพื่อรับข้อมูลจาก
ื่
เซลล์ประสาทเซลล์อื่น ๆ และ Axon ที่ใช้ในการส่ งข้อมูลไปยังเซลล์ประสาทเซลล์อื่น ๆ ทั้ง Dendrite
่
และ Axon จะมีการโยงใยกันอยูในสมองอย่างไม่มีที่สิ้นสุ ดซึ่ งการทางานในสมองมนุ ษย์ดงกล่าวนี้ Buzan
ั
่
เรี ยกว่า การคิดรอบทิศทาง (Rediant Thinking) เป็ นโครงสร้างและกระบวนการที่อยูภายในสมอง
- 9. คุณลักษณะสาคัญของผังความคิด
Buzan (อ้างในสุ วทย์ มูลคา, 2547) ได้สรุ ปคุณลักษณะเฉพาะของผังความคิดไว้ 4
ิ
ลักษณะดังนี้
1. ประเด็นที่สนใจถูกสร้างขึ้นภายในภาพตรงกลาง
่
2. หัวข้อหลักของประเด็นอยูรอบภาพกลางทุกทิศทาง เปรี ยบเสมือนกิ่งก้านของต้นไม้
3. กิ่งก้านประกอบด้วยภาพ หรื อคาสาคัญที่เขียนบนเส้นที่โยงใยกัน ส่ วนคาอื่น ๆ ที่มี
ความสาคัญรองลงมาจะถูกเขียนในกิ่งก้านที่แตกออกตามลาดับต่อ ๆ ไป
4. กิ่งก้านจะถูกเชื่อมโยงกันในลักษณะที่แตกต่างกันตามตาแหน่ง และความสาคัญ
สาระสาคัญของผังความคิด
1. การเริ่ ม ในการเริ่ มสร้างผังความคิดต้องอาศัยการเริ่ มจากคาหรื อมโนทัศน์ที่จะเป็ น
ประเด็นหลักของการทาผังความคิด
2. การใช้ ผังความคิดจะใช้ 3 องค์ประกอบย่อยดังนี้
2.1 สาคัญเป็ นคาที่จะแสดงถึงสิ่ งซึ่ งต้องการเชื่ อมโยงหรื อเกี่ยวข้องกับคาหรื อ
มโนทัศน์ที่เป็ นประเด็นหลักโดยคาสาคัญไม่จากัดจะเป็ นคาที่มีความเป็ นนามธรรมหรื อรู ปแบบมากเท่าใด
2.2 การเชื่อมโยง ในการทาแผนผังความคิดต้องแสดงถึงความเชื่อมโยงของคา
่
สาคัญที่ปรากฏอยูบนผัง เพื่อจะทาให้ความคิดมีความต่อเนื่องและคาสาคัญมีความหมายมากขึ้น
โดยการเชื่ อมโยงนั้นสามารถใช้วธีการได้หลายวิธี เช่น การแสดงด้วยลักษณะของเส้น ลูกศร
ิ
แบบต่าง ๆ หรื อใช้รหัสก็ได้
2.3 การเน้นความสาคัญ เป็ นการทาให้ผทาผังความคิด สามารถลาดับความคิดให้
ู้
เป็ นระบบ รู ้ถึงความสาคัญมากน้อย หรื อลาดับก่อนหลังได้ โดยวิธีการนี้สามารถทาได้หลายวิธีเช่นกัน
เช่น การใช้ขนาดของตัวอักษร สี ต่าง ๆ กัน หรื ออาจใช้ตวหนังสื อที่มีมิติแตกต่างกัน
ั
3. การเขียน การทาผังความคิดต้องมีการเขียนในลักษณะแตกต่างกันไปตามจุดประสงค์
ของผูสร้าง ซึ่ งไม่มีเพียงตัวหนังสื อหรื อคาเท่านั้น ควรต้องมีภาพประกอบ หรื อ สัญลักษณ์ต่าง ๆ
้
เพื่อทาให้เกิดความหมายมากยิงขึ้น ่
ขั้นตอนในการสร้ างผังความคิด
ขั้นที่ 1 เริ่ มด้วยสัญลักษณ์ หรื อรู ปภาพลงบนกระดาษ
ขั้นที่ 2 ระบุคาสาคัญหลัก
ขั้นที่ 3 เชื่อมโยง คาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคาสาคัญหลักด้วยเส้นโยงจากคาสาคัญหลักตรง
กลางออกไปทุกทิศทุกทาง
ขั้นที่ 4 เขียนคาที่ตองการ 1 คาต่อ 1 เส้น และแต่ละเส้นควรเกี่ยวข้องกับเส้นอื่น ๆ ด้วย
้
ขั้นที่ 5 ขยายคาสาคัญอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้มากที่สุดเท่าที่เป็ นไปได้
ขั้นที่ 6 ใช้สี รู ปภาพ ลักษณะของเส้น เป็ นการระบุถึงลักษณะความเชื่อมโยง
- 10. การเน้นหรื อลาดับ
การนาผังความคิดมาใช้ ในงานต่ าง ๆ
่
Buzan (อ้างใน ธัญญา ผลอนันต์, 2541:55-56) ได้เสนอไว้วา ผังความคิดนั้น
สามารถนามาใช้ประโยชน์ในงานต่าง ๆ ได้มากมาย ดังนี้
1. การจดบันทึก การจดบันทึกโดยทัวไป คนส่ วนใหญ่มกใช้การจดบันทึกแบบตาม
่ ั
แนวนอน หรื อแนวตั้งทางเดียวตามส่ วนของภาษานั้น ๆ ทาให้ไม่ได้ประโยชน์จากการจดบันทึกอย่างเต็มที่
เนื่องจากไม่เห็นถึงจุดสาคัญ และความสัมพันธ์ของเนื้อหาอย่างชัดเจน แต่หากเปลี่ยนรู ปแบบการจดบันทึก
เป็ นแบบแผนที่ความคิด จะทาให้ผจดบันทึกเห็นถึงจุดสาคัญและความเชื่ อมโยงของเนื้อหา มีความเป็ น
ู้
อิสระ จนเกิดความเข้าใจเนื้ อหานั้น ๆ มากขึ้น
2. การตัดสิ นใจ ในการตัดสิ นใจทาสิ่ งใดสิ่ งหนึ่ง โดยปกติมกจะไม่สามารถเห็นถึง
ั
ผลดีหรื อผลเสี ยได้ชดเจน ทาให้การตัดสิ นใจในบางครั้งเกิดความผิดพลาด เกิดผลเสี ยมากมายกับตนเอง
ั
และส่ วนร่ วมได้ แต่ถาใช้ผงความคิดประกอบการตัดสิ นใจผิดพลาดมีนอยลงด้วย
้ ั ้
3. การเสนอผลงาน การเสนอผลงานที่ทาโดยทัวไป บางครั้งทาให้ผที่รับสาร
่ ู้
ไม่เข้าใจไม่เห็นภาพรวมหรื อองค์ประกอบของสิ่ งที่กาลังแสดง รวมไปถึงความเชื่อมโยงขององค์ประกอบ
ย่อยอีกด้วย แต่ถาใช้ผงความคิดในการเสนอผลงาน จะทาให้เห็นภาพรวมของสิ่ งที่ตองการแสดงรวมทั้ง
้ ั ้
การเชื่อมโยงขององค์ประกอบ และมีการเน้นความสาคัญ ทาให้การเสนอผลงานเกิดประสิ ทธิ ภาพมาก
ยิงขึ้น
่
4. การแก้ปัญหา เมื่อบุคคลพบกับปั ญหาแล้วไม่สามารถแก้ไขปั ญหาได้ เป็ นเพราะไม่
ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริ ง และไม่สามารถคิดกระบวนการที่จะแก้ปัญหานั้น ๆ ได้ แต่ถาใช้ผงความคิดในการ
้ ั
แก้ปัญหา ก็จะทาให้ผแก้ปัญหาสามารถรู ้ถึงสาเหตุที่แท้จริ งง่ายขึ้น และยังเชื่อมโยงสาเหตุกบปั ญหาได้ง่าย
ู้ ั
ขึ้น รวมทั้งสามารถสร้างทางเลือกที่หลากหลายและยังสามารถลาดับวิธีการแก้ปัญหาได้สะดวก
5. การวางแผน การวางแผนที่ตองอาศัยการวิเคราะห์ถึงปั จจัยที่เกี่ยวข้องกับงานต่าง ๆ
้
ที่จะดาเนินการ เช่น จุดประสงค์ บุคคลที่เกี่ยวข้อง สถานที่ เวลาที่เหมาะสม เป็ นต้น เพราะฉะนั้นหากใช้
ผังความคิดในการวางแผนก็จะให้วเิ คราะห์ปัจจัยดังกล่าวได้ง่ายและครบถ้วนทาให้การวางแผนเกิด
ประสิ ทธิ ภาพมากยิงขึ้น
่
McClain (1986) ได้ศึกษาเกี่ยวกับการนาเทคนิ คผังความคิดมาใช้ในการอธิ บายโครงสร้างของ
เนื้อหาวิชาก่อนทาการสอน ซึ่ งทาการศึกษากับนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย พบว่า
เทคนิคผังความคิดช่วยให้นกเรี ยนเข้าใจในมโนทัศน์ได้ดีข้ ึน รวมทั้งยังพบว่า มีส่วนช่วยในการจัดบรรยาย
ั
พัฒนาคุณภาพในการระดมสมองของนักศึกษา ทาให้การจดบันทึกชัดเจนและนักศึกษามี
่
ความคิดที่เป็ นอิสระมากขึ้น รวมทั้งยังช่วยเพิ่มความเข้าใจได้ดวย ถือได้วาเป็ นการพัฒนาความคิด
้
สร้างสรรค์ของแต่ละบุคคลได้ดีอีกด้วย
- 11. ่
จากที่กล่าวมาจึงอาจสรุ ปได้วาการนาผังความคิดสามารถนามาใช้เป็ นพื้นฐานในการศึกษาเรื่ อง
ใดเรื่ องหนึ่งที่เราสนใจ หรื อนาไปแก้ปัญหาให้สาเร็ จได้อย่างมีระบบ
สุ วทย์ มูลคา (2547:21-39) ใช้แสดงการเชื่ อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับเรื่ องใดเรื่ องหนึ่งระหว่าง
ิ
ความคิดหลัก ความคิดรอง และความคิดย่อยที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กน ระหว่างความคิดหลัก
ั
ความคิดรอง และความคิดย่อยที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กนพัฒนาขึ้น โดย โทนี่ บูซาน (Tony Busan)
ั
แผนภาพที่ 1 ลักษณะการเขียนผังความคิด
เทคนิคการคิดคือ นาประเด็นใหญ่ ๆ มาเป็ นหลัก การนาไปใช้
1. ใช้ระดมพลังสมอง
2. ใช้นาเสนอข้อมูล
3. ใช้จดระบบความคิดและช่วยความจา
ั
4. ใช้วเิ คราะห์เนื้อหาหรื องานต่าง ๆ
5. ใช้สรุ ปหรื อสร้างองค์ความรู้
ขั้นตอนการสร้ าง Mind Mapping
1. เริ่ มเขียนหรื อวาดมโนทัศน์หลักหรื อหัวข้อเรื่ องตางกึ่งกลางหน้ากระดาษซึ่ งควรใช้
กระดาษชนิดไม่มีเส้นและวางแนวนอน (ภาพที่วาดควรเป็ นภาพสี )
ั
2. เขียนหรื อวาดมโนทัศน์รองที่สัมพันธ์กบมโนทัศน์หลักหรื อหัวข้อเรื่ องกระจาย
ออกไปรอบ ๆ มโนทัศน์หลัก
่ ั
3. เขียนหรื อวาดมโนทัศน์ยอยที่สัมพันธ์กบมโนทัศน์รองแตกออกไปเรื่ อย ๆ โดยเขียน
ั
ข้อความไว้บนเส้นแต่ละเส้น เส้นที่ใช้อาจเป็ นเส้นตรงหรื อเส้นโค้งก็ได้ แต่เส้นที่ใช้กบมโนทัศน์รองจะ
่
เป็ นเส้นที่ใหญ่กว่ามโนทัศน์ยอยซึ่ งเปรี ยบเสมือนรากไม้ที่แตกออกจากต้นไม้
4. ควรใช้ภาพหรื อสัญลักษณ์สื่อความหมายที่เป็ นตัวแทนความคิดให้มากที่สุด
- 12. 5. เขียนหรื อพิมพ์คาด้วยตัวบรรจงขนาดใหญ่ คาที่นามาเขียนควรเป็ นสาคัญ
(Key Word) บนเส้นและเส้นต้องเชื่อมโยงกัน
6. เขียนคาเหนือเส้นและแต่ละเส้นต้องเชื่ อมต่อกับเส้นอื่น ๆ (กรณี ที่เขียนเป็ นภาพ
สี เส้นของมโนทัศน์รองและย่อยแต่ละมโนทัศน์ควรเป็ นสี เดียวกันตลอด)
7. ระบายสี ให้ทว Mind Map
ั่
8. ขณะที่เขียน Mind Map ควรปล่อยการคิดอย่างอิสระมากที่สุดขณะทา
งานวิจัยทีเ่ กียวข้ อง
่
จากงานวิจยที่เกี่ยวข้องที่ผวจยสามารถนามาเป็ นแนวทางในการวิจย คือ
ั ู้ ิ ั ั
วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2545 : 59) กล่าวว่า โครงงานเป็ นวิธีการจัดการเรี ยนรู ้รูปแบบหนึ่งที่
ส่ งเสริ มให้ผเู ้ รี ยนเรี ยนรู ้ดวยตนเองจากการลงมือปฏิบติ ใช้กระบวนการแสวงหาความรู้ หรื อค้นคว้าหา
้ ั
คาตอบในสิ่ งที่ผเู ้ รี ยนอยากรู ้หรื อสงสัยด้วยวิธีการต่าง ๆ อย่างหลากหลาย
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2545: 15) ได้กล่าวถึง การจัดการเรี ยนการสอน
แบบโครงงาน คือ การจัดประสบการณ์ในการปฏิบติงานให้แก่นกเรี ยน เหมือนกับการทางานในชีวิตจริ ง
ั ั
ให้นกเรี ยนมีประสบการณ์ตรงได้เรี ยนรู ้วธีแก้ปัญหา รู ้จกการทางานอย่างมีระบบ รู ้จกการวางแผนในการ
ั ิ ั ั
ทางาน ฝึ กการคิดวิเคราะห์ และเกิดการเรี ยนรู ้ดวยตนเอง้
ดุษิต พรหมชนะ (2546) ได้ทาการศึกษาเกี่ยวกับการใช้กระบวนการสร้างแผนผังความคิดเพื่อ
ส่ งเสริ มความสามารถในการคิดและสร้างองค์ความรู ้ของนักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3
โรงเรี ยนปริ นส์ รอยแยลส์วทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มตัวอย่างจานวน 52 คน โดยเลือกกลุ่มตัวอย่าง
ิ
แบบเจาะจง วิเคราะห์ขอมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าสถิติ T-test ผลของ
้
การใช้แผนการสอน พบว่านักเรี ยนมีความรู ้ในเนื้อหาหลังเรี ยนสู งกว่าก่อนเรี ยนอย่างมีนยสาคัญทางสถิติที่
ั
่
ระดับ .01 ความสามารถในการคิดอยูในระดับดี และความคิดเห็นของนักเรี ยนพบว่า นักเรี ยนเห็นด้วยว่า
การสร้างผังความคิดทาให้นกเรี ยนมีความรู ้ความเข้าใจในเนื้อหามากขึ้น
ั
ศิริพร พูแสงทองชัย (2546) ได้ทาวิจยเรื่ องผลการใช้เทคนิคผังความคิดที่มีต่อความคิด
่ ั
สร้างสรรค์ของนักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 โรงเรี ยนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผลการวิจยพบว่า ั
1. หลังจากการทดลองใช้เทคนิคผังความคิดเพื่อส่ งเสริ มความคิดสร้างสรรค์นกเรี ยน ั
มีความคิดสร้างสรรค์โดยเฉลี่ยสู งขึ้นทุกด้าน
2. หลังจากการทดลองใช้เทคนิคผังความคิดเพื่อส่ งเสริ มความคิดสร้างสรรค์ท้ ง ั
12 แผน นักเรี ยนมีความคิดสร้างสรรค์หลังการทดลองสู งกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนยสาคัญทางสถิติที่
ั
ระดับ .001
- 13. ่
ชาตรี เกิดธรรม (2547: 5) กล่าวถึงความหมายของโครงงานไว้วา โครงงาน (Project)
เป็ นการจัดการเรี ยนรู้แบบหนึ่งที่ทาให้ผเู้ รี ยนได้เรี ยนรู้ดวยตนเอง ได้ปฏิบติจริ งในลักษณะของการศึกษา
้ ั
สารวจ ค้นคว้า ทดลอง ประดิษฐ์คิดค้น ด้วยตนเอง โดยมีครู เป็ นผูคอยกระตุนแนะนาและให้คาปรึ กษา
้ ้
อย่างใกล้ชิด ในการจัดกิจกรรมการเรี ยนรู ้ โครงงาน หมายถึง กระบวนการทางานที่ผเู ้ รี ยนทาด้วยตนเอง
ตามจุดประสงค์ที่กาหนดแล้วเสนอผลงานต่อผูสอน ้
พิมพันธ์ เดชะคุปต์ (2551: 25) กล่าวถึงการทาโครงงานว่า หมายถึง การศึกษาเพื่อค้นพบ
ความรู ้ใหม่ สิ่ งประดิษฐ์ใหม่ และวิธีการใหม่ ด้วยตัวของนักเรี ยนเอง โดยใช้วธีการทางวิทยาศาสตร์ มีครู
ิ
อาจารย์และผูเ้ ชี่ยวชาญเป็ นผูให้คาปรึ กษา ความรู ้ใหม่ สิ่ งประดิษฐ์ใหม่ และวิธีการใหม่น้ น ทั้งนักเรี ยน
้ ั
และครู ไม่เคยรู ้หรื อมีประสบการณ์มาก่อน (Unknown by All)
ชาร์ด (Chard, 2001 อ้างถึงใน ปิ ยาพร ถาวรเศรษฐ, 2546: 22) กล่าวว่าโครงงานเป็ นวิธีการที่
ผูสอนจะแนะให้นกเรี ยนได้ศึกษาอย่างลึกในเรื่ องที่เขาสนใจ การสอนแบบนี้จะไม่มีรูปแบบ มันค่อนข้าง
้ ั
ซับซ้อน แต่มนมีลกษณะพิเศษในเรื่ องปฏิสัมพันธ์ระหว่างผูสอนกับผูเ้ รี ยนเมื่อครู นาการสอนแบบนี้มาใช้
ั ั ้
อย่างประสบความสาเร็ จ นักเรี ยนจะมีแรงจูงใจ มีความรู ้สึกว่า
ได้มีส่วนร่ วมกับกิจกรรมด้านการเรี ยนของเขาเอง และผลงานที่มีคุณภาพสู ง
ไฮนซ์ (Haines, 1989: 1;อ้างถึงใน สุ เมธตา งามชัด, 2548: 6) ได้ให้ความหมายของโครงงาน
สอดคล้องกับดิวอี้ ว่าเป็ นวิธีการสอนที่ประกอบด้วยกิจกรรมหลากหลายมุ่งเน้นหัวข้อ เรื่ องที่นกเรี ยน
ั
สนใจมากกว่าตัวภาษา โดยเปิ ดโอกาสให้นกเรี ยนเลือกเนื้ อหา วิธีการศึกษาค้นคว้า การแบ่งงาน ตลอดจน
ั
รู ปแบบชิ้นงานอันเป็ นผลผลิตสุ ดท้ายของกระบวนการที่นกเรี ยนได้ทาข้อตกลงกันไว้ นอกจากนี้การสอน
ั
แบบนี้ยงเปิ ดโอกาสให้นกเรี ยนได้ใช้ความรู ้ ภาษาและทักษะที่เรี ยนมาแล้วมาปรับใช้ในการดาเนินงาน
ั ั
เป็ นการนาภาษามาใช้ในชีวตจริ ง
ิ
ลาดวน นิรัติศยวานิช (2546) ทาการศึกษาเรื่ อง การจัดการเรี ยนรู ้โดยเน้นทักษะการจัดการกลุ่ม
สาระการเรี ยนรู ้การงานอาชี พและเทคโนโลยี งานประดิษฐ์ ช่วงชั้นที่ 2 ประถมศึกษาปี ที่ 4 โรงเรี ยน
อนุบาลลาพูน มีวตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการจัดการเรี ยนรู ้โดยเน้นทักษะการจัดการ กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้
ั
การงานอาชีพและเทคโนโลยี งานประดิษฐ์ ช่วงชั้นที่ 2 ประถมศึกษาปี ที่ 4 โรงเรี ยนอนุบาลลาพูน
ประชากรกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรี ยนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 จานวน 49 คน และ
ครู ผสอนจานวน 5 คน เครื่ องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เกี่ยวกับปั ญหาการ
ู้
จัดการเรี ยนรู ้กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้การงานอาชีพและเทคโนโลยี หลักสู ตรและแผนการจัดการเรี ยนรู ้ แบบ
ประเมินผลการเรี ยนรู้ วิเคราะห์ขอมูลโดยการแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่ วนเบี่ยงเบน
้
มาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า นักเรี ยนทุกกลุ่มมีผลการเรี ยนรู ้ดานความรู ้ความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะการ
้
จัดการทางานอยูในระดับดีมาก ส่ วนพฤติกรรมการทางานของกลุ่มทั้ง 4 ขั้นตอน ได้แก่ การวางแผนการ
่
ั ่
ปฏิบติงาน การปรับปรุ งและการประเมินผล นักเรี ยนเห็นว่าอยูในระดับดีมาก และครู ผสอนเห็นว่า ู้
นักเรี ยนมีพฤติกรรมการทางานกลุ่มทั้ง 4 ขั้นตอน อยูในระดับมากสาหรับด้านผลงานนั้นทั้งนักเรี ยนและ
่
- 14. ่
ครู ผสอนเห็นว่า ผลงานอยูในเกณฑ์ดีมาก ส่ วนเจตคติของนักเรี ยนต่อการเรี ยน โดยเน้นทักษะการจัดการ
ู้
ั ่
นั้น ก่อให้เกิดลักษณะนิสยด้านต่าง ๆ อยูในระดับมาก รวมทั้งเห็นว่าควรส่ งเสริ มให้นกเรี ยนมีพฤติกรรม
ั
่
การจัดการอยูในระดับมากที่สุดทุกขั้นตอน
รุ่ งนภา สรรค์สวาสดิ์ (2550) ได้ศึกษาการพัฒนาความสามารถในการทาโครงงาน
เรื่ องการดารงชีวิตและครอบครัว สาหรับนักเรี ยนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 ด้วยวิธีการจัดการเรี ยนรู้แบบ
โครงงาน มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความสามารถในการทาโครงงานเรื่ องการดารงชีวิตและครอบครัวของ
นักเรี ยนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 เปรี ยบเทียบผลการเรี ยนรู ้เรื่ องการดารงชีวิตและครอบครัวก่อนและหลังที่
ได้รับการจัดการเรี ยนรู ้แบบโครงงาน และศึกษาความคิดเห็นของนักเรี ยนที่มีต่อการจัดการเรี ยนรู ้แบบ
โครงงาน กลุ่มตัวอย่างเป็ นนักเรี ยนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 จานวน 38 คน เครื่ องมือที่ใช้ในการวิจย ั
ได้แก่ แผนการจัดการเรี ยนรู ้เรื่ อง การดารงชีวิตและครอบครัว ด้วยวิธีการจัดการเรี ยนรู้แบบโครงงาน
แบบทดสอบวัดผลการเรี ยนรู้ เรื่ องการดารงชีวิตและครอบครัว และแบบสอบถามความคิดเห็นนักเรี ยนที่มี
ต่อการจัดการเรี ยนรู ้แบบโครงงาน ผลการวิจยพบว่า นักเรี ยนมีความสามารถในการทาโครงงานอยูใน
ั ่
่
ระดับพอใช้ ความสามารถในการตั้งชื่ อโครงงานอยูในระดับสู ง และการสรุ ปผลการศึกษาอยูในระดับต่า ่
ผลการเรี ยนรู ้ก่อนและหลังการจัดการเรี ยนรู ้แบบโครงงาน แตกต่างกันอย่างมีนยสาคัญทางสถิติที่ระดับ
ั
.05 ความคิดเห็นของนักเรี ยนที่มีต่อการจัดการเรี ยนรู ้แบบโครงงานโดยภาพรวมอยูในระดับเห็นด้วยมาก
่
จากการศึกษาผลงานวิจยที่เกี่ยวข้องดังกล่าว สรุ ปได้วา การจัดการเรี ยนรู ้โดยเน้นทักษะการ
ั ่
จัดการ กิจกรรมการสอนแบบโครงงาน การจัดการเรี ยนรู ้โดยใช้ผงความคิดและการจัดการเรี ยนรู ้ที่ยด
ั ึ
ผูเ้ รี ยนเป็ นสาคัญ เป็ นการส่ งเสริ มให้นกเรี ยนมีทกษะการจัดการ ทั้งการวางแผน การปฏิบติงาน การ
ั ั ั
ปรับปรุ งและการประเมินผล อันจะส่ งผลต่อการพัฒนาการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
2542 ดังนั้น ผลงานการศึกษานี้จึงสามารถใช้เป็ นแนวทางในการศึกษาเกี่ยวกับการจัดการเรี ยนรู ้โดยเน้น
ทักษะการจัดการแบบ P A O R วิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 5 กลุ่มสาระการ
เรี ยนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี โรงเรี ยนสตรี ราชินูทิศ อาเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ได้