More Related Content
Similar to คีตกวีเอกของไทย
Similar to คีตกวีเอกของไทย (20)
More from leemeanshun minzstar
More from leemeanshun minzstar (20)
คีตกวีเอกของไทย
- 2. ต่งเพลงด้วย ดังนั้นครูช้อย สุนทรวาทิน จึงได้พยายามพร่าสั่งสอนและถ่ายทอดวิชาความรู้ทางดนตรีเท่าที่มีอยู่
ให้แก่พระยาประสานดุริยศัพท์ ผู้เป็นศิษย์อย่างเต็มที่ จนกระทั่งพระยาประสานดุริยศัพท์กลายเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงที่สุดค
นหนึ่งของเมืองไทย
พระยาประสานดุริยศัพท์ เป็นครูดนตรีที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนโดยทั่วไปในนาม“ครูแปลก”
ได้ดาเนินอาชีพด้วยการเป็นครูดนตรีเรื่อยมา บ้านของท่านตั้งอยู่หลังตลาดประตูผีติดกับวัดเทพธิดาราม ในสมัยรัชกาลที่๕
เจ้านายต่างก็มีวงปี่พาทย์มโหรี และเครื่องสายกันหลายพระองค์ ทั้งนี้เพื่อใช้ในการบรรเลงขับกล่อมในยามว่าง
หรือเมื่อมีงานสาคัญๆก็มักจะนาวงดนตรีมาบรรเลงประชันกันปัจจุบันได้ขายให้คนอื่นไปแล้ว
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงดารงพระอิสริยยศ เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร
พระองค์ท่านมีพระราชประสงค์จะใคร่มีวงปี่พาทย์ส่วนพระองค์ขึ้นและได้ทูลขอวงปี่พาทย์จากสมเด็จพระราชชนนี
(สมเด็จพระพันปีหลวง)สมเด็จพระราชชนนีของพระองค์ก็ได้โปรดประทานให้มาหมดทั้งเครื่องดนตรีและนักดนตรี
การที่เจ้านายต่างๆทรงมีวงปี่พาทย์ส่วนพระองค์ขึ้น นอกจากจะทรงมีไว้เพื่อใช้บรรเลงขับกล่อมยามว่างพระธุระแล้ว ยังเป็นสิ่
งประดับพระบารมีอีกด้วย ยิ่งกว่านี้เมื่อมีงานสาคัญๆก็มักจะนาวงดนตรีมาบรรเลงประชันขันแข่งกัน เจ้านายที่ทรงเป็นเจ้าขอ
งวง จึงต้องหาครูบาอาจารย์ที่ปรีชาสามารถไว้ปรับปรุงวงดนตรีของตนเพื่อมิให้น้อยหน้ากันได้ และวงปี่พาทย์ในพระบาทสมเ
ด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งคนทั่งไปนิยมเรียกกันว่า“วงสมเด็จพระบรมฯ”
ก็ได้ครูแปลก ประสานศัพท์ ครูดนตรีที่มีชื่อเสียงยิ่งไว้เป็นครูผู้ฝึกสอนและควบคุม
พระยาประสานดุริยศัพท์ เป็นครูดนตรีที่มีทั้งฝีมือและสติปัญญา ท่านสามารถบรรเลงเครื่องดนตรีได้แทบทุกชนิด และที่ถนัด
ที่สุดได้แก่ ปี่ในและระนาดเอก ซึ่งเป็นที่ร่าลือในหมู่นักดนตรีผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ก็ได้แก่พระยาประสานดุริยศัพท์นั่นเอง
เพื่อเลือกเป็นครูสอนดนตรีให้แก่หลวงประดิษฐไพเราะในครั้งนั้น
ในการที่พระยาประสานดุริยศัพท์ได้ไปเป็นครูสอนดนตรีให้แก่หลวงประดิษฐไพเราะ(ศร ศิลปบรรเลง)
คุณครูหลวงบรรเลงเลิศเลอ(กร กรวาทิน)ท่านได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า
“เนื่องจากหลวงประดิษฐไพเราะเป็นผู้ที่มีฝีมือทางระนาดเอกดีอยู่แล้วในการที่เจ้าคุณครูไปสอนท่าน
สอนเฉพาะเกี่ยวกับไหวพริบวิธีการในการบรรเลงเป็นส่วนมากโดยท่านได้ให้หลวง
ประดิษฐไพเราะตีเพลงต่างๆให้ฟังแล้วท่านเจ้าคุณครูก็ตรวจดูว่าลูกใดไม่ดีท่านก็บอกลูกใหม่ให้แทน
เอาของเก่าตรงที่ไม่ดีนั้นออก”
ในสมัยรัชกาลที่๕ ราวพ.ศ. ๒๔๒๘ ขณะนั้นท่านมีอายุราว๒๕
ปี รัฐบาลอังกฤษได้มีหนังสือเชิญมายังรัฐบาลไทยให้ส่งนาฏศิลป์ และดนตรีไทยไปแสดงณ
ประเทศอังกฤษและยุโรป ในครั้งนี้ทางวังบูรพาภิรมย์เป็นผู้จัดส่งไป นักดนตรีได้ไปแสดงในครั้งนั้น ก็ได้แก่พระยาประสานดุริ
ยศัพท์ เป่าปี่ใน ครูคร้ามตีระนาด เป็นต้น ผลงานการบรรเลงเดี่ยวของพระยาประสานฯ
เป็นที่พอพระราชหฤทัยของสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรียเป็นที่ยิ่ง
ถึงกับทรงรับสั่งขอฟังการเป่าขลุ่ยเป็นการส่วนพระองค์อีกครั้งในพระราชวังบัคกิ้งแฮมการบรรเลงครั้งหลังนี้
สมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรียทรงลุกจากพี่ประทับและใช้พระหัตถ์ลูบคอพระยาประสานฯ
พร้อมทั้งมีรับสั่งถามว่าเวลาเป่านั้น
- 4. ท่านได้แต่งงานกับนางสาวพยอม ชาวจังหวัดราชบุรี มีบุตรธิดารวมทั้งสิ้น๑๑คน แต่ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเล็ก๖
คน จึงเหลืออยู่ ๕คน เรียงตามลาดับจากคนโตลงมาดังนี้
๑.หญิง มณี ประสานศัพท์(มณี สมบัติ)
๒.หญิง เสงี่ยม ประสานศัพท์(นางตรวจนภา พวงดอกไม้)
๓.หญิง ประยูร ประสานศัพท์
๔.ชาย ปลั่ง ประสานศัพท์(ขุนบรรจงทุ้มเลิศ)
๕.หญิง ทองอยู่ ประสานศัพท์ (นางอินทรรัตนากร อินทรรัตน์)
ปัจจุบันนี้ยังคงเหลืออยู่เพียง๒คน คือ ขุนบรรจงทุ้มเลิศและนางอินทรรัตนากร
ขุนบรรจงทุ้มเลิศ
(ปลั่ง ประสานศัพท์) เป็นผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาการดนตรีจากท่านบิดาได้มาก ทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติ กับทั้งเป็นผู้ที่มีค
วามจาดี ในเวลาต่อมาก็ได้รับราชการในกรมพิณพาทย์หลวงด้วย
พระยาประสานดุริยศัพท์ เป็นผู้ที่ประสบความสาเร็จรุ่งโรจน์ในชีวิตราชการ เป็นบุคคลที่มีเกียรติยศชื่อเสียง มีตาแหน่งสูง ได้
เป็นถึงพระยาและเป็นถึงเจ้ากรมพิณพาทย์หลวง ในรัชกาลที่
๖ แม้กระนั้นก็ตาม ฐานะทางครอบครัวของท่านใช่ว่าจะร่ารวยเป็นเศรษฐีก็หาไม่ แต่อยู่ในระดับพอมีพอกินและค่อนข้างยาก
จนมากกว่า
เนื่องจากพระยาประสานดุริยศัพท์ ท่านต้องตรากตราทางานในหน้าที่ด้วยความเอาใจใส่ ประกอบกับอายุของท่านก็มากขึ้น
ท่านจึงล้มเจ็บลงและถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคชรา เมื่อวันที่๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ สิริรวมอายุ๖๕ปี
พระยาภูมีเสวิน
- 5. พระยาภูมีเสวินมีนามเดิมว่าจิตรจิตตเสวีเกิดเมื่อวันที่๑๓มิถุนายน๒๔๓๗ ตรงกับวันพุธขึ้น ๑๐ ค่าเดือน๗ ปีมะเมีย ณ
ตาบลคลองชักพระอาเภอตลิ่งชันจังหวัดธนบุรี อยู่บ้านเลขที่๙๒ ถนนวัดราชาธิวาสอาเภอดุสิตจังหวัด กรุงเทพมหานคร
ท่านเป็นบุตรคนที่ ๒ของหลวงคนธรรพวาที(จ่างจิตตเสวี)ผู้เป็นบิดาและนางคนธรรพวาที(เทียบจิตตเสวี)
พี่น้องของท่านมีอยู่ด้วยกัน๕คน
ท่านได้เรียนซอด้วงจากหลวงคนธรรพวาทีผู้เป็นบิดาเมื่ออายุได้ ๖ขวบและมีความสามารถออกวงได้เมื่ออายุ๘ขวบ
จากนั้นท่านยังได้หัดดนตรีไทยประเภทอื่นๆกับครูอาจารย์อีกหลายท่านอาทิเช่นเรียนปี่ชวากับครูทอง
เรียนกลองแขกกับครูมั่งนอกจากนั้นยังได้ศึกษาดนตรีต่างๆกับครูแป้ นครูพุ่มและครูสอน(บางขุนศรี)ต่อมาได้มาเรียนกับ
ม.จ. ประดับ เมื่อสิ้นม.จ.ประดับแล้วจึงได้มาเรียนจะเข้กับขุนประดับครูอ่วมและขุนเจริญดนตรีการ(นายดาบเจริญ
โรหิตโยธิน)จนสามารถเล่นดนตรีได้รอบวงที่ชานาญพิเศษคือเครื่องสายทุกชนิด
ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งทรงพระราชอิสรยศักดิ์เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชได้ทรงตั้งวง
มโหรีปี่พาทย์ขึ้นท่านจึงได้เข้าไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กแผนกมหรสพในตาแหน่งประจากองดนตรีกรมมหาดเล็กกระทรวงวัง
ได้รับพระราชทานยศเป็นสองตรี เมื่อวันที่๑เมษายนพ.ศ.๒๔๔๙ ในระยะนี้เอง
ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของบรมครูอีกผู้หนึ่งคือพระยาประสานดุริยศัพท์(แปลกประสานศัพท์)
ซึ่งท่านเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่งและพระยาประสานดุริยศัพท์ก็รักใคร่ในตัวท่านมากเพราะเป็นศิษย์ที่มีความขยันหมั่นเพียร
เป็นผู้มีฝีมือและสติปัญญาเฉลียวฉลาดในทางดนตรีเป็นอย่างดีเยี่ยมพระยาประสานฯ
จึงได้พยายามพร่าสอนและถ่ายทอดวิชาความรู้ทางดนตรีให้แก่ท่านโดยเฉพาะระนาดและฆ้องจนมีความชานาญ
บรรเลงเดี่ยวฆ้องเล็กได้ และชนะเลิศในการประชันวงเมื่อคราวเสด็จตามพระบรมโอรสาธิราช(รัชกาลที่๖)ไปภาคใต้
ยังความปลื้มปิติยินดีแก่พระองค์ท่านเป็นอย่างยิ่งพร้อมกับได้รับพระราชทานเหรียญที่ระลึกปักษ์ใต้ ในวันที่ ๘เมษายนพ.ศ.
๒๔๕๒ ซึ่งขณะนั้นท่านอายุได้เพียง๑๕ปี
ขณะที่ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยามานพนริศร์
นับว่าเป็นคุณประโยชน์แก่ชาตินานับประการทางด้านศิลปะดนตรีไทย
นั่นคือท่านได้รับแนะนาและขอร้องจากพระยาประสานดุริยศัพท์(แปลกประสานศัพท์)
ให้ไปเรียนซอสามสายกับเจ้าเทพสุกัญญา(ณเชียงใหม่)บูรณะพิมพ์ซึ่งทั้งเจ้าคุณประสานฯและเจ้าเทพฯ
ก็ช่วยกันสอนและถ่ายทอดวิชาซอสามสายให้เป็นระยะเวลา ๙ปี ซึ่งประยาประสานฯได้เคยกล่าวกับท่านว่า
“ถ้าไม่เรียนซอสามสายไว้ต่อไปอาจจะสูญคุณหลวงนายมีนิสัยสุภาพและมีความพยายามดีทั้งเป็นผู้ที่มีความกตัญญูกตเวที
เคารพครูอาจารย์เป็นอย่างสูงขอให้เรียนซอสามสายไว้ เพื่อจะได้ สั่งสอนอนุชนรุ่นหลังต่อไป”
เมื่อ ๑๙สิงหาคม๒๔๖๘ได้รับพระราชทานเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาภูมีเสวิน
ในกระบวนเครื่องดนตรีไทยย่อมเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าซอสามสายเป็นเครื่องดนตรีที่หาได้ยากที่สุด
และที่จะให้มีกลเม็ดเด็ดพรายไพเราะเพราะพริ้งก็ยากขึ้นไปอีกแต่ท่านก็ไม่ย่อท้อต่อความเป็นจริงเหล่านี้เลย
และในที่สุดท่านก็ได้บรรลุถึงความเป็นเอกในทางซอสามสายจนเป็นที่ปรากฏว่าท่านสีซอสามสายได้ไพเราะที่สุดแม้แต่ซอด้วง
ซออู้ รวมถึงขลุ่ยท่านก็บรรเลงได้จับใจยิ่งชื่อเสียงในทางการบรรเลงดนตรีของท่านนั้นเลื่องลือไปทั่วประเทศ
เนื่องจากท่านบรรเลงออกอากาศณกรมประชาสัมพันธ์อยู่เป็นประจานอกจากฝีมือในการบรรเลงดนตรีดังกล่าวมาแล้ว
พระยาภูมีฯยังมีความสามารถในทางนาฏศิลป์ เป็นอย่างมากด้วยโดยเป็นศิษย์ของพระยาพรหมา(ทองใบ)
พระยานัฏกานุรักษ์(ทองดี)และคุณหญิงเทศโดยท่านได้แสดงโขนเป็นตัวอินทรชิตหลายครั้ง
- 6. ในปีที่ท่านได้รับพระราชทานยศเป็นพระยาภูมีเสวินนี้เอง
ท่านก็ประสบกับความเศร้าสลดอย่างสุดซึ้งด้วยเหตุที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่๒๖ พฤศจิกายน๒๔๖๘
พร้อมกันนั้นท่านก็ถูกปลดออกจากเบี้ยหวัดที่เคยได้รับพระราชทาน
แต่ก็อาจเป็นเพราะพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เคยพระราชปรารภไว้ว่า “แม้สิ้นแผ่นดินของข้าแล้ว
ใครจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไปเขาก็คงชุบเลี้ยงก็อาจเป็นได้”
ดังนั้นในวันที่ ๒๙ สิงหาคม๒๔๗๘ ท่านจึงเข้ารับราชการที่กรมศิลปากรในตาแหน่งเจ้าพนักงานกลางแผนกละครและสังคีต
ทาหน้าที่เหมือนเลขาธิการของอธิบดีซึ่งทาหน้าที่เกี่ยวกับรายการบันเทิงทางวิทยุกระจายเสียง
ติดต่อเจ้าหน้าที่สานักพระราชวังเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการเมื่อมีการแสดงโขนละครดนตรี นอกจากนั้นท่านยังร่วมกับกรมศิลปากร
ปรับปรุงพระราชพิธีและงานด้านต่างๆ
ท่านได้เริ่มงานดนตรีขึ้นอีกครั้งหนึ่งด้วยเวลานั้นสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยซึ่งมีคุณชวาลา
(หัวหน้ากองการหนังสือพิมพ์)และคุณอาพัน(หัวหน้ากองการกระจายเสียง)ได้มาเรียนเชิญท่านไปปรึกษาวิธีการ
ที่จะปรับปรุงและสนับสนุนเพลงไทยในรายการวิทยุและขอร้องให้ท่านเขียนคาบรรยายพร้อมทั้งบรรเลงเพลงดนตรีไทย
ประเภทต่างๆเป็นประจาทุกอาทิตย์เมื่อรายการของท่านได้เผยแพร่ออกสู่ประชาชนมากขึ้น
ก็ทาให้ชื่อเสียงของท่านขจรขจายมากขึ้นเช่นเดียวกันจากฝีมือซึ่งเป็นหนึ่งของท่านทั้งซอสามสาย
และขลุ่ยคราใดที่มีการประกวดมโหรีปี่พาทย์และการขับร้องเพลงไทยท่านก็ได้รับเชิญเป็นกรรมการตัดสินทุกครั้ง
และยังได้เป็นกรรมการจัดรายการวิทยุในสมัยที่วิทยุกระจายเสียงยังขึ้นอยู่กับกรมไปรษณีย์อีกด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ระลึกคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวท่านก็บรรเลงเพลงซอสามสาย
เพลงพญาโศกในรายการวิทยุกระจายเสียงหลายท่านเมื่อได้ฟังถึงกับน้าตาไหลด้วยทาให้หวนระลึกถึงพระองค์ท่าน
อันฝีไม้ลายมือของพระยาภูมีฯนั้นเป็นที่เลื่องลือไปถึงพระกรรณของเจ้านายผู้หญิงในรัชกาลที่ ๗
ถึงกับทรงขอดูตัวเนื่องจากเป็นที่เลื่องลือกันว่ารูปงามและมีฝีมือเป็นเอกดังนั้นกรมหลวงลพบุรีราเมศร์ (สมเด็จชาย)
จึงได้ทรงนาตัวเข้าเฝ้ าบรรเลงถวายในวังสวนสุนันทานอกจากนี้
ชาวบ้านร้านถิ่นที่ชอบดนตรีมีหลายคนหาท่านถึงบ้านและได้เชิญท่านไปแสดงตามหัวเมืองเช่นที่ฉะเชิงเทรา
และที่ตาบลบางช้างสมุทรสงครามฯลฯจากนั้นเป็นต้นมา
ท่านก็ยอมรับคาเชิญจากสถาบันการศึกษาต่างๆไปช่วยฝึกสอนดนตรีแก่เด็กๆอาทิเช่นโรงเรียนสตรีมหาพฤฒาราม
โรงเรียนเพาะช่างครุสภาวิทยาลัยวิชาการศึกษา(ประสานมิตร,ปทุมวัน)เป็นต้น
หลังจากที่ท่านได้ครบเกษียณอายุราชการแล้วท่านยังอุตสาห์สอนดนตรีให้แก่ สถาบันต่างๆอยู่เป็นนิตย์
ท่านตรากตราทางานทางด้านนี้มากเพื่อที่จะถ่ายทอดวิชาด้านดนตรีให้แก่ผู้สนใจที่จะช่วยทานุบารุงไว้
จะกลับมาถึงบ้านก็ราว๕ทุ่มสองยามทุกวันนอกจากนั้นในวันเสาร์ อาทิตย์ก็ยังมีคนมาเรียนกับท่านถึงที่บ้านอีกมาก
ไม่มีเวลาพักผ่อนเต็มที่แต่ท่านไม่เคยบ่นท่านยังกลับพูดเสียอีกว่าคราใดที่มีคนมาเยี่ยมมาฝึกดนตรีกับท่านแล้ว
ถือว่าเป็นการพักผ่อนอย่างดีเยี่ยมซึ่งดีกว่านั่งๆนอนๆอยู่เฉยๆ
พระยาภูมีฯมีลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงทางด้านฝีมือการดนตรีอยู่หลายท่านได้แก่ ศ.ดร.อุทิศ นาคสวัสดิ์ รศ.อุดม อรุณรัตน์
ดร.ณัชชาพันธุ์เจริญอาจารย์เฉลิมม่วงแพรศรี และคุณศิริพรรณปาลกะวงศ์ณอยุธยาผู้เป็นหลานตาเป็นต้น
ผลงานด้านการแต่งเพลงปรากฏผลงานเพลงที่ท่านแต่งไว้หลายเพลงได้แก่ เพลงสอดสีเถา(พ.ศ. ๒๕๐๓) โหมโรงภูมิทอง
สามชั้น(แต่งขึ้นเมื่อพ.ศ. ๒๕๑๓โดยดัดแปลงมาจากเพลงนกกระจอกทองสองชั้น)และจาปาทองเถา(พ.ศ. ๒๕๑๘)
- 7. ทั้งยังได้ประดิษฐ์ทางบรรเลงเดี่ยวซอสามสายเอาไว้หลายเพลงได้แก่ ต้นเพลงฉิ่งขับไม้บัณเฑาะว์ทะแยนกขมิ้นปลาทอง
บรรทมไพรพญาครวญพญาโศกแสนเสนาะทยอยเดี่ยวเชิดนอกและกราวในเถา
และนอกจากในฐานะครูดนตรีแล้วพระยาภูมีฯยังเป็นนักค้นคว้าและขยันบันทึกไว้ด้วยสิ่งที่ท่านบันทึกไว้นั้น
ได้กลายเป็นหลักฐานสาคัญทางประวัติศาสตร์ อาทิเช่นประวัติพระยาประสานดุริยศัพท์(แปลกประสานศัพท์)
ประวัติผู้เชี่ยวชาญการสีซอสามสายในสมัยรัตนโกสินทร์ และหลักการสีซอสามสายซึ่งเป็นตาราดนตรีไทยที่ดีมาเล่มหนึ่ง
โดยท่านได้บรรยายไว้โดยละเอียดถึงการใช้คันชักการใช้นิ้ว
และยังได้บันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับพระราชพิธีเห่กล่อมพระบรรทมไว้ด้วย
พระยาภูมีเสวินได้บรรเลงดนตรีออกงานครั้งสุดท้ายเมื่ออายุประมาณ๘๐ปี ณ โรงละครแห่งชาติกรมศิลปากร
โดยบรรเลงร่วมกับหลวงไพเราะเสียงซอ(อุ่นดูรยชีวิน)เพื่อนคู่หูของท่าน
ต่อมา เมื่อวันที่ ๕ มกราคม๒๕๑๙เวลาเช้าหลังจากที่ท่านได้จุดธูปสวดมนต์ไหว้พระเสร็จแล้วท่านก็เป็นลมแน่นิ่งไป
ภรรยาและบุตรของท่านก็ช่วยกันพาส่งโรงพยาบาลวชิระ ซึ่งระยะทางจากบ้านของท่านถึงโรงพยาบาลรถวิ่งไม่เกิน๕นาที
แต่อย่างไรก็ตามขณะที่พาท่านส่งโรงพยาบาลนั้นเป็นช่วงระยะเวลาที่การจราจรติดขัดมาก
กว่าจะพาท่านมาถึงโรงพยาบาลเสียเวลาไปเกือบ๒๐ นาทีซึ่งหมอลงบันทึกไว้ว่าท่านสิ้นใจก่อนจะมาถึง
สุดความสามารถของหมอที่จะช่วยได้ สิริรวมอายุได้ ๘๒ปี
พระยาเสนาะดุริยางค์(แช่มสุนทรวาทิน)
พระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน)
เป็นบุตรคนโตของครูช้อยและนางไผ่สุนทรวาทินได้ฝึกฝนวิชาดนตรี จากครูช้อยผู้เป็นบิดาจนมีความแตกฉาน
ต่อมาเจ้าพระยาเทเวศน์วงศ์วิวัฒน์(ม.ร.ว. หลานกุญชร)ได้ขอตัวมาเป็นนักดนตรีในวงปี่พาทย์ของท่านท่านเข้ารับราชการ
เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๒ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น“ขุนเสนาะดุริยางค์”
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๖ ตาแหน่งเจ้ากรมพิณพาทย์หลวงจึงโปรดให้เลื่อนเป็น“หลวงเสนาะดุริยางค์”ในปีพ.ศ.๒๔๕๓
จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้เลื่อนเป็น“พระเสนาะดุริยางค์”รับราชการในกรมมหรสพหลวง
และได้รับพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลาเข็มศิลปวิทยาด้วยความซื่อสัตย์และมีความจงรักภักดี
ท่านจึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น“พระยาเสนาะดุริยางค์”ในปี พ.ศ. ๒๔๖๘
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวท่านได้รับมอบหมายให้ควบคุมวงพิณพาทย์
ของเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี(ม.ร.ว.ปุ้ ม มาลากุล)เสนาบดีกระทรวงวังวงพิณพาทย์วงนี้
- 8. นับได้ว่าเป็นการรวบรวมผู้มีฝีมือซึ่งต่อมาได้เป็นครูผู้ใหญ่ เป็นที่รู้จักนับถือโดยทั่วไปเช่นครูเทียมคงลายทองครูพริ้ง
ดนตรีรสครูสอนวงฆ้อง ครูมิทรัพย์เย็นครูแสวงโสภาครูผิวใบไม ้้ครูทรัพย้์นุตสถิตย้์ครูอรุณกอนกุลครูเชื้อนักร้อง
และครูทองสุขคาศิริพระยาเสนาะดุริยางค
พระประดิษฐ์ไพเราะ (ครูมีแขก)
พระประดิษฐ์ไพเราะ (ครูมีแขก)
นามเดิม มี ดุริยางกูร คนทั่วไปมักเรียกท่านว่า ครูมีแขก เล่ากันว่า เมื่อคลอดออกมาใหม่ๆมีสิ่งขาวๆ
ครอบอยู่บนศรีษะคล้ายๆหมวกแขกเลยเรียก
มีแขก ต่อมาก็เป็นครูมีแขก บ้านเดิมท่านอยู่ในบริเวณสุเหร่าเหนือวัดอรุณราชวราราม
ครูมีแขก มีชีวิตอยู่ในรัชกาลที่๓ถึงรัชกาลที่๕ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงประดิษฐ์ไพเราะ วันที่
๒๑ พฤศจิกายน ๒๓๙๖ ต่อมาในวันที่
๒๑ ธันวาคมปีเดียวกันท่านได้บรรเลงเพลงเชิดจีน ซึ่งแต่งไว้ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯและพระองค์ทรงโปรดปรา
นมาก ถึงกับได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระประดิษฐ์ไพเราะ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ท่านเป็นหลวงเพียงเดือนเดียวเท่านั้น
พระประดิษฐ์ไพเราะเป็นครูดนตรีไทยคนสาคัญของกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 3-5คนทั่วไปมักเรียกท่านว่าครูมีแขก
สมเด็จฯเจ้าฟ้ ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงสืบประวัติไว้ว่าครูปี่พาทย์ชื่อครูมีแขกนั้นคือเป็นเชื้อแขกชื่อ”มี”
เป็นคีตกวีคนแรกที่นาเพลง2ชั้นมาทาเป็นเพลงสามชั้นมีความสามารถในการแต่งเพลงและฝีมือในทางเป่าปี่ เป็นเยี่ยม
โดยเฉพาะเพลงเด่นที่สุดคือ“ทยอยเดี่ยว” จนทาให้ท่านได้รัมสมญานามว่า“เจ้าแห่งเพลงทยอย”
ซึ่งหมายถึงเพลงที่มีเทคนิคการบรรเลงและลีลาที่พิสดารโดยเฉพาะลูกล้อลูกขัดต่างๆ อีกเพลงหนึ่งคือเพลง“เชิดจีน”
เป็นเพลงที่ให้อารมณ์สนุกสนานมีลูกล้อลูกขัดที่แปลกและพิสดารท่านแต่งบรรเลงถวายพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ
ซึ่งได้รับการโปรดปรานมากจึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น“พระประดิษฐ์ไพเราะ”ตาแหน่งปลัดจางวางมหาดเล็ก
ในสมัยรัชกาลที่5ได้เป็นครูมโหรีของกรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูรนอกจากมีความสามารถในการเป่าปี่แล้ว
ครูมีแขกยังชานาญในการสีซอสามสายโดยได้แต่งเพลงเดี่ยวเชิดนอกทางซอสามสายไว้ด้วย
บทเพลงจากการประพันธ์ของท่านคือเพลงจีนแสอาเฮียแป๊ ะ ชมสวนสวรรค์การะเวกเล็กแขกบรเทศแขกมอญขวัญเมือง
เทพรัญจวนพระยาโศกจีนขิมเล็กเชิดในสามชั้น(เดี่ยว)ฯลฯ
- 9. ผลงานของท่านเป็นมรดกของดนตรีไทยมีมากมาย พอสรุปได้ดังนี้
เป็นผู้ริเริ่มเอาเพลง๒ชั้น มาทาเป็น๓ ชั้น
ริเริ่มทาเพลงเดี่ยวสาหรับเครื่องดนตรี เพลงที่มีชื่อเสียงของท่านคือ ทยอยเดี่ยว
เป็นต้นฉบับเพลงทยอยเพลงทยอยเป็นเพลงที่มีเทคนิคการบรรเลงและลีลาที่วิจิตร
พิศดาร โดยประเภทลูกล้อลูกขัด เพลงประเภททยอยที่สาคัญ ซึ่งท่านแต่งไว้
คือ ทยอยนอก ซึ่งคงถือเป็นเพลงเอกของท่าน พระประดิษฐ์ไพเราะได้ประดิษฐ์เพลงนี้ขึ้นราวสมัยรัชกาลที่๔ ตอนต้นๆ
เหตุที่เรียกว่าทยอยนอกเป็นเพลงเอกก็เพราะ นอกเหนือจากความไพเราะแล้ว ท่านยังแทรกลูกเล่นไว้อย่างน่าฟัง มีทั้งเสียงห
นัก เสียงเบา ล้อกันไปมาตลอดเวลา ถ้านักดนตรีคนใดบรรเลงเพลงนี้ไม้ได้ถือกันว่าฝีมือยังไม่ถึงขั้น
ดัดแปลงทานองเพลงจีนขึ้นเป็นเพลงไทยสาเนียงจีนคือเพลงจีนแส อาเฮีย แป๊ ะและ
ชมสวนสวรรค์
บทเพลงอื่นของท่าน คือ การะเวกเล็ก แขกบรเทศ แขกมอญ แขกมอญบางช้างขวัญเมือง
พระยาโศก เทพรัญจวน พระอาทิตย์ชิงดวง ทยอยเขมร จีนเก็บบุผา จีนขิมเล็ก นอกจากผลงานดังกล่าวแล้ว ท่านยังเป็นค
รูสอนปี่พาทย์ให้กับเจ้านายในรัชกาลที่๔ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเองก็ทรงเรียนกับท่านในรัชกาลที่
๕ หลังจากท่านได้เป็นครูมโหรีของสมเด็จกรมพระยาสุดารัตน์ราชประยูรไม่นานท่านก็ถึงแก่กรรม ท่านเป็นต้นสกุลของ ดุริยา
งกูร
พระเจนดุริยางค์
- 10. พระเจนดุริยางค์
นามเดิมปิติ วาทยากรเกิดเมื่อวันที่
๑๓ กรกฎาคม ๒๔๒๖ ต.บ้านทราย อ.ยานนาวาจ.พระนคร บิดาเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมันชื่อจาคอบ
ไฟท์ มารดาเป็นคนไทย เชื้อสายมอญชื่อ ทองอยู่ วาทยากร บิดาของท่านได้เดินทางมาประเทศไทย
ในฐานะนักท่องเที่ยวและผจญภัย หลังจากที่ได้พักผ่อนและท่องเที่ยวอยู่ในประเทศไทย รู้สึกชอบเมืองไทยประกอบกับเป็นผู้ที่
มีความรู้และเชี่ยวชาญในทางดนตรีและขณะนั้นสมเด็จพระบัณฑูรกรมพระราชวังบวรมหาวิชัยชาญ(วังหน้า) กาลังต้องการครู
แตรวงจึงมีรับสั่งให้เข้ารับราชการเป็นครูแตรวงในราชสานัก ต่อมาได้ย้ายมาประจาเป็นครูแตรวงทหารบก จนกระทั่งมรณะกร
รมเมื่อพ.ศ. ๒๔๕๒ ซึ่งขณะนั้นพระเจนอายุได้ ๒๖ ปี
พระเจนดุริยางค์ได้เข้ารับการศึกษาครั้งแรกที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ตั้งแต่อายุได้ ๗ขวบ เรียนอยู่ที่นี่เป็นเวลา 11
ปี ในขณะที่เรียนหนังสืออยู่นั้น บิดาของท่านได้สอนดนตรีให้ด้วย เป็นเหตุที่ทาให้ท่านรักดนตรีและได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอ
งอยู่เสมอตลอดมา เมื่อสาเร็จจากโรงเรียนอัสสัมชัญก็เป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่โรงเรียนนี้2
ปี แล้วลาออกไปเข้ารับราชการในกรมรถไฟหลวง แผนกกองเดินรถได้รับพระราชทานสัญญาบัตร มีบรรดาศักดิ์และราชทินน
ามว่า “ขุนเจนรถรัฐ” รับราชการอยู่นาน 14ปี
- 11. ในระหว่างที่ท่านรับราชการในกรมรถไฟหลวงนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่
๖ ทรงทราบว่าท่านมีความสามารถในทางดนตรีอยู่มาก จึงรับสั่งให้ย้ายไปรับราชการกรมมหรสพ ตาแหน่งผู้ช่วยปลัดกรม
หลังจากที่ได้เข้าประจากรมมหรสพได้เดือนเศษ ท่านก็ได้รับพระราชทานสัญญาบัตร มีบรรดาศักดิ์และราชทินนามว่า “หลว
งเจนดุริยางค์” และอีกปีต่อมา ก็ได้ เลื่อนตาแหน่งเป็นปลัดกรมได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น “พระเจน
ดุริยางค์” ในปี พ.ศ. ๒๔๖๕
ในระหว่างที่ท่านย้ายเข้าประจาอยู่ในกรมมหรสพ ท่านได้ฝึกสอนนักดนตรีในราชสานัก จนสามารถเล่นดนตรีสากลได้ดีเยี่ยมใ
นสมัยนั้น หลังจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ
เสด็จสวรรคต วงดนตรีสากลหรือวงดนตรีฝรั่งหลวง ต้องหยุดชะงักไปชั่วคราว และต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรง
มีพระมหากรุณาธิคุณเป็นองค์อุปถัมภ์ดนตรีสากล จึงได้ดาเนินงานการบรรเลงเป็นปกติอีกครั้ง ในระยะนั้นมีเจ้านายบางท่าน
เกิดความรู้สึกต่อต้านไม่เห็นด้วย ท่านและคณะถูกกลั่นแกล้งต่างๆนาๆ
นักดนตรีต้องได้รับความลาบาก ทั้งในเรื่องการเงินและความเป็นอยู่ด้วยความอดทนของท่านและนักดนตรีทุกคนในวงก็พยาย
ามผนึกกาลังโดยไม่ย่อท้อ วงดนตรีก็เข้มแข็งยิ่งขึ้นเป็นที่ถูกพระราชหฤทัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่
๗ ซึ่งไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด นักดนตรีก็ได้เงินเพิ่มขึ้น ตัวท่านเองก็ได้รับพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลาเป็นบาเหน็จ
ความชอบ
ในระหว่างที่เจ้านายหลายท่านมีความเห็นขัดแย้งในเรื่องการส่งเสริมดนตรีสากล
เพลงไทยที่ไหวตัวขึ้นมีการวางหลักบันทึกดนตรีสากลเพื่อรักษาหลักฐาน
และป้ องกันการสูญหาย ซึ่งแต่เดิมนั้นเพลงไทยใช้ต่อกันโดยวิธีจดจาเป็นหลัก เมื่อนักดนตรีตายไปเพลงต่างๆ
ก็สูญหายไปด้วย งานบันทึกเพลงไทยด้วยโน้ตสากลได้เริ่มขึ้นในความอานวยการของสมเด็จกรมพระยาดารงราชานุภาพ ซึ่งมี
ท่านเป็นผู้วางหลักฐานการบันทึก
ในปี พ.ศ.
๒๔๗๗ กิจการของวงดนตรีสากลได้ย้ายไปสังกัดในกรมศิลปากรและกรมศิลปากรได้ส่งพระเจนดุริยางค์ไปดูงานดนตรีในต่าง
ประเทศ คือประเทศฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน ออสเตรียและอิตาลี เป็นเวลา8 เดือน เมื่อกลับจากต่างประเทศแล้วในปี
พ.ศ.
๒๔๘๓ ได้ไปประจาอยู่กองทัพอากาศเพื่อจัดตั้งวงดนตรีของกองทัพอากาศขึ้น ต่อมากรมศิลปากรถูกตัดงบประมาณไปมาก
กิจการดนตรีสากลทรุดโทรม ท่านได้ลาออกจากหัวหน้ากองดุริยางค์ศิลป์
ไปเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนฝึกหัดดนตรีสากล ภายหลังโรงเรียนฝึกหัดดนตรีเลิกล้มกิจการ ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจ
ารย์ประจามหาวิทยาลัยศิลปากร ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ท่านได้กลับเข้ารับราชการในกรมศิลปากรอีก จนกระทั่งถึง พ.ศ.
๒๔๙๗ รวมเวลาที่ท่านรับราชการในกรมมหรสพและกรมศิลปากรนานถึง
๓๗ ปี หลังจากที่ท่านออกจากราชการไปแล้ว ท่านก็ยังคงทางานเป็นผู้เชี่ยวชาญของกรมศิลปากรต่อไปอีก
ในบั้นปลายชีวิตของท่านได้รับตาแหน่งผู้อานวยการและผู้เชี่ยวชาญดนตรีประจากองดุริยางค์กรมตารวจ ท่านได้แต่งเพลงแล
ะแยกเสียงประสาน
เพื่อใช้เล่นกับวงดุริยางค์สากลไว้มาก ล้วนแต่เพลงไพเราะ เช่น เพลงประกอบภาพยนต์เรื่องบ้านไร่นาเรา พระเจ้าจักรา และ
บทเพลงในมหาอุปรากรเรื่อง มหาดารตี นอกจากนั้นท่านได้ทาเพลงไทยประสานเสียงสาหรับบรรเลงด้วย
วงดุริยางค์สากล เช่น เพลงเขมรไทรโค แขกเชิญเจ้า ต้นวรเชษฐ์ มหาฤกษ์ มหาชัย เป็นต้น
- 12. ในด้านตารา ท่านได้แต่งตาราหลักวิชาการดนตรีและขับร้องเล่ม1-2-
3 แบบเรียนดุริยางค์ศาสตร์สากล แบบเรียนวิชาการประสานเสียงเล่ม1และ 2 และอื่นๆ
ท่านเป็นปรมาจารย์ทางดนตรี จนได้ชื่อว่า เป็นบิดาแห่งโน้ตสากล ท่านได้ถึงแก่กรรมเมื่อ วันที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑
๑
ผลงานที่เป็นอมตะของท่าน คือ เพลงชาติไทย ซึ่งเราได้ฟังกันอยู่ทุกวันและตลอดไป
หลวงประดิษฐ์ไพเราะ
หลวงประดิษฐ์ไพเราะ นามเดิม ศร ศิลปบรรเลง เกิดเมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๔๒๔ ต.ดาวดึงส์ จ.
สมุทรสงคราม เป็นบุตรคนสุดท้องของนางยิ้มและนายสิน ศิลปบรรเลง ซึ่งคุณพ่อเป็นครูปี่พาทย์ ที่มีชื่อเสียงในจังหวัดสมุทร
สงคราม เมื่อเด็กชายศร อายุ ๕ขวบ
ก็สามารถตีฆ้องวงเป็นเพลงได้โดยไม่มีใครหัดให้แต่ยังไม่ได้สนใจจะหัดจริงจัง มารู้สึกประทับใจในเรื่องดนตรีไทยและเรียนเอา
จริงเอาจังเมื่ออายุ๑๑ ขวบ เนื่องมาจากคราวที่โกนจุกตัวเอง บิดาท่านได้จัดเป็นงานใหญ่มี
ปี่พาทย์มาประชันวงกันหลายวงได้เห็นฝีมือความสามารถของดนตรีเหล่านั้น จึงได้เริ่มฝึกหัดกับบิดาตั้งแต่นั้นมาและอีกไม่นา
นนักก็ออกประชันวงได้
จากการได้ออกแสดงฝีมือบ่อยๆ
ทาให้ชื่อเสียงของนายศรเป็นที่เลื่องลือในหมู่นักดนตรี โดยเฉพาะในงานโกนจุกเจ้าจอมเอิบและเจ้าจอมธิดาเจ้าพระยาสุรพันธ์
พิสุทธิ์ จังหวัดเพชรบุรี
ซึ่งเป็นงานใหญ่ ฝีมือตีระนาดของนายศร ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด ครั้งนี้เองได้ทาให้นาชื่อเสียงให้แก่นายศรเป็นอันมาก แ
ละอีกครั้งหนึ่งในงานประชันวงในงานปิตุฉา เจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี
นายศรได้เดี่ยวระนาดเอกเพลงกราวในเถา เพลงที่เล่นยากมากและยาวถึง๑
ชั่วโมง นายศรบรรเลงได้อย่างดียิ่ง สมเด็จเจ้าฟ้ ากรมพระยานริศรานุวัติติวงศ์ซึ่งเป็นนักดนตรีฝีมือเยี่ยมถึงกับประทานรางวัล
เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้ าภานุพันธุวงศ์วรเดช เสด็จไปบัญชาการรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสถ้าเขางู จังหวัดราชบุรี สมเด็จเจ้าฟ้ าวังบูรพาองค์นี้ได้ทรงทราบกิตติ-
ศัพท์ของนายศร จึงรับสั่งให้หาตัว เมื่อได้ทรงสดับฟังฝีมือของนายศรแล้ว ทรงพอพระทัยมาก ถึงกับทรงขอตัวจากบิดาท่านใ
- 13. ห้เข้าเป็นมหาดเล็กในพระองค์ นายศรจึงได้เข้ามาเป็นมหาดเล็ก จนได้ตาแหน่งเป็นจางวางคือ
เป็นใหญ่ในบรรดามหาดเล็กอยู่ในวังบูรพาภิรมย์ ตั้งแต่เมื่ออายุได้เพียง ๑๙ปี
ในระยะที่อยู่ในวังบูรพาภิรมย์นี้เอง ชื่อของจางวางศรและวงดนตรีบูรพาภิรมย์เป็นที่ยกย่องกันทั่วไป ทั้งสมเด็จเจ้าฟ้ ากรมพระ
ยาภาณุพันธุวงศ์วรเดชก็โปรดทรงชุบเลี้ยงด้วยพระกรุณาเป็นอย่างยิ่ง ทรงอุปถัมภ์ให้อุปสมบทณ วัดบวรนิเวศวิหาร๑
พรรษา โดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระ-
ยาวชิรญาณวโรรสทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อจากนั้นทรงพระกรุณาแต่งงานให้กับ
น.ส.โชติ หุราพันธ์ ธิดาพันโทพระประมวญ ประมาณพล จางวางศรได้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่สนองพระกรุณาด้วยความจงรักภัก
ดีอย่างสุดความสามารถตลอดมา ความสามารถของจางวางศรนั้นไม่จาเพาะเพียงฝีมือการบรรเลงดนตรีไทยได้ทุกเครื่องมือเท่
านั้น ท่านยังมีความสามารถในการประดิษฐ์เพลงขึ้นใหม่ตลอดถึงการปรับปรุงเพลงที่มีอยู่แล้วขยายอัตราจังหวะขึ้นเป็น
สามชั้นและทอนลงเป็นชั้นเดียว ซึ่งเรียกว่าเพลงเถาอีกเป็นจานวนมาก
การปรับปรุงประเภทนี้ท่านได้ทาไว้ถึงร้อยกว่าเพลง ซึ่งนิยมเล่นกันมาจนถึงปัจจุบันนี้
ในคราวสมเด็จเจ้าฟ้ ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เสด็จประพาสชวาในปี พ.ศ.
๒๔๕๑ จางวางศร ศิลปบรรเลง มหาดเล็กในพระองค์ได้โดยเสด็จไปด้วย
ได้จาเพลงชวามาหลายเพลง ได้นามาเรียบเรียงใหม่เป็นเพลงตามหลักดุริยางค์ไทย เช่น เพลงบูเซนซอคและเพลงยะวา เป็น
ต้น พร้อมกันนี้ท่านได้นาอังกะลุงซึ่งเป็นเครื่องดนตรีของชวาเข้ามาเช่นในประเทศไทยเป็นคนแรก โดยนามาฝึกหัดมหาดเล็กใ
นวังบูรพภิรมย์
จนสามารถนาออกแสดงได้และการแสดงครั้งแรกเป็นการแสดงหน้าพระที่นั่งเครื่องดนตรีชนิดนี้เป็นที่นิยมเล่นกันแพร่หลายมา
จนทุกวันนี้
ในปี พ.ศ.
๒๔๕๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดาเนินเลียบมณฑลนครศรีธรรมราช อุปราชภาคใต้ขณะนั้น
ได้ให้จางวางศรเป็นผู้ปรับปรุงวงดนตรีไว้รับเสด็จ จางวางศรได้นาเพลง เขมรเขาเขียวสองชั้น ของเก่ามาประดิษฐ์ยืดเป็น๓
ชั้น ใช้ทานองกรออย่างอ่อนหวานผิดกว่าเพลงอื่นๆ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพอพระราชหฤทัยในเพลงนี้มาก จางวางศรได้ตั้งชื่อเพลงใหม่นี้ว่า เขมรเลียบนคร
เพื่อให้เหมาะสมกับเหตุการณ์รับเสด็จฯในครั้งนั้น เพลงนี้ก็มีชื่อเสียงเช่นเดียวกันเรื่อยมา
เป็นที่นิยมจนทุกวันนี้ จางวางศรได้ปรับปรุงเพลงไทยต่างๆ
ให้เป็นเพลงเถาขึ้นหลายสิบเพลง พร้อมทั้งปรับปรุงดนตรีไทยให้ดียิ่งขึ้นด้วยและได้นาเพลงที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่เหล่านั้นออกแส
ดงในงานคล้ายวันเกิดของเจ้าพระยารามราฆพ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประทับฟังอยู่ด้วย การแสดง
ดนตรีแต่ละครั้งของจางวางศรเป็นที่พอพระราชหฤทัยมาก จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์พระราชทิ
นนามให้เป็น หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ซึ่งเป็นราชทินนามที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ต่อมาท่านก็ได้รับพระราชทานแต่งตั้งให้เป็นปลัด
กรมพิณพาทย์หลวง หลังจากนั้นไม่นานพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯก็เสด็จสวรรคต
ในสมัยพระบาทสมเด็จพะปกเกล้าฯรัชกาลที่
๗ หลวงประดิษฐ์ไพเราะร่วมกับหลวงไพเราะเสียงซอ(อุ่น ดุริยชีวิน) ก็ได้รับราชการเป็นผู้ถวายวิชาดนตรีไทยแด่พระบาทสมเ
ด็จพระปกเกล้าฯและสมเด็จพระบรมราชินี และได้แนะนาวิธีการแต่งเพลงไทยตามหลักดุริยางค์ไทย จนทรงพระราชนิพนธ์เพ
ลงได้ เพลงที่พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นคือ เพลงราตรีประดับดาวเถา เขมรละออองค์และคลื่นกระทบฝั่ง เป็นต้น
- 14. ในคราวพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เสด็จประพาสเขมรในพ.ศ. ๒๔๗๓ หลวงประดิษฐ์ไพเราะก็ได้เสด็จไปด้วย
และได้มีโอกาสแสดงดนตรีไทยร่วมกับวงปี่พาทย์เขมร พระเจ้ามณีวงศ์ กษัตริย์เขมรทรงพอพระทัยมาก ได้ขอพระราชทานพร
ะบรมราชานุญาตให้หลวงประดิษฐ์ไพเราะช่วยสอนเพลงไทยให้แก่ครูดนตรีในราชสานักเขมร ท่านได้ถือโอกาสนี้ศึกษาเพลงเข
มรไปด้วยหลายเพลง เช่น เพลงนกเขาขะแมร์ ศรีโสภณ เครอวอังโกเลี้ยด เป็นต้น
สมเด็จกรมพระยาดารงราชานุภาพ มีพระดาริให้บันทึกเพลงไทยด้วยตัวโน้ตสากล ในปี
พ.ศ. ๒๔๗๒ หลวงประดิษฐ์ไพเราะได้เป็นหัวหน้าฝ่ ายบอกทานองและเป็นกรรมการตรวจตราเพลงที่บันทึกนั้นด้วย ท่านเป็น
ผู้มีสติปัญญาและฝีมือในทางดนตรี มีความยันหมั่นเพียรในการฝึกฝนจนมีฝีมือเลื่องลือไปทั่วประเทศ
ท่านใช้เวลากว่า๖๐
ปี ในการสร้างดุริยางค์ศิลป์ เพื่อกล่อมคนไทยทั้งชาติด้วยเพลงอันไพเราะ ท่านเป็นนักดนตรีที่มีแนวความคิดใหม่ๆ
แปลกๆ ในการปรับปรุงการดนตรีไทยให้ดียิ่งขึ้น
เป็นต้นตารับของเพลงร้องที่มีลีลาอ่อนหวาน เช่น เพลงเขมรเลียบนคร เขมรพวง ไส้พระจันทร์
ฯลฯ เป็นผู้นาของการเปลี่ยนแปลงเพลงเป็นทางต่างๆได้แก่ เพลงพราหมณ์ดีดน้าเต้า ลาวเสี่ยงเทียน
ช้างประสานงาและเพลงโอ้ต่างๆ เป็นผู้ประดิษฐ์เพลงที่มีลูกนาขึ้นต้น และเพลงที่แสดงความหมายของธรรมชาติอย่างแท้จริง
เช่น
เพลงแสนคานึง เพลงตับภุมริน เพลงนกเขาขะแมร์ เป็นต้น เป็นผู้นาเพลงไทยไปเผยแพร่ในกัมพูชา เป็นผู้นาอังกะลุงของชว
ามาเปลี่ยนแปลงปรับปรุงใช้บรรเลงเพลงไทยเป็นคนแรก และเป็นผู้ริเริ่มแต่งเพลงไทยประเภทจังหวะ๓ชั้นให้เป็น ๔
ชั้น มีหลายเพลงเช่น พม่า๕ท่อน ๔ ชั้นพราหมณ์ดีดน้าเต้า๔ชั้นดาวจรเข้ ๔ชั้น และเพลงเขมรไทรโยค๔
ชั้น เป็นต้น นอกจากนี้ท่านยังเคยทาทางเดี่ยวขิมเพลงแป๊ ะให้นักเรียนนาฏศิลป์ บรรเลงด้วยขิมหลายสิบตัวพร้อมๆกัน
เพลงทุกเพลงที่หลวงประดิษฐ์ไพเราะแต่งขึ้น
ล้วนมีทานองไพเราะน่าฟังและมีลีลาพิศดารแปลกกว่าผู้อื่น ได้รับความนิยมแพร่หลาย
เช่น เพลงพราหมณ์ดีดน้าเต้า เพลงปฐมดุสิต เพลง
อะแซหวุ่นกี้และเพลงเขมรปากท่อเป็นต้น เพลงเหล่านี้มีผู้แต่งขึ้นหลายๆมีทางต่างๆกัน
ตามแนวความคิดและสติปัญญาของนักดนตรีแต่ละคน แต่ทางของหลวงประดิษฐ์ไพเราะเป็นที่นิยมแพร่หลายมากกว่าทางอื่น
ท่านเป็นผู้ที่มีความจา มีเชาวน์และสติปัญญาปฏิภาณในทางดนตรีเป็นเลิศ สามารถจาทานองเพลงได้กว่า1,000เพลง
โดยไม่ต้องอาศัยโน้ต เพลงบางเพลงท่านแต่งโดยวิธีด้นคือนึกทานองขึ้นทันทีทันใดก็มีเช่น เพลงอะแซหวุ่นกี้ซึ่งมีถึง๑๐
จังหวะ
ท่านเคยเป็นครูสอนที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง โรงเรียนราชินี โรงเรียนนาฏศิลป์ และที่ครุสภา ท่านสามารถสอนได้เกือบทุกเครื่
องมือ ตลอดจนการขับร้องก็สอนได้ สาหรับศิษย์ที่มีฝีมือดี
ท่านก็เลือกสอนทางที่พลิกแพลง สาหรับศิษย์ที่มีฝีมือไม่สู้ดีนักท่านก็เลือกทางธรรมดามีทานองอ่อนหวาน
เพลงที่หลวงประดิษฐ์ไพเราะแต่งขึ้น มีมากมายนับเป็นหลายร้อยเพลงเช่น กระแตไต่ไม้
๓ชั้น เขมรถา เขมรปากท่อเถา เขมรเลียบนครเถา เขมรโพธิสัตว์เถา แขกขาวเถา แขกสาหร่ายเถา จีนนาเสด็จ๓
ชั้น จีนลันถันเถานกเขาขะแมร์เถา นาวเยื้อง๓ชั้น ปฐมดุสิต ๓ ชั้นประชุมเทวราช๓ ชั้น
พม่าเห่เถา พราหมณ์ดีดน้าเต้าเถา ม้าสะบัดกีบเถา
- 15. มุล่งเถา ยวนเคล้าเถา ลาวเสี่ยงเทียนเถา สมิงทองเถา สาริกาเขมร สาวสอดแหวน๓
ชั้น แสนคานึงเถา ไส้พระจันทร์เถา อะแซหวุ่นกี้เถา โอ้ลาวเถา เป็นต้น
หลวงประดิษฐ์ไพเราะได้ประดิษฐ์เพลงใหม่ๆขึ้นเสมอๆท่านมีความเห็นว่าเพลงไทยวิวัฒนา
การได้ จะต้องมีการประดิษฐ์เพลงให้มีเพิ่มขึ้น โดยรักษาหลักเดิมและใช้ศิลปะในการประดิษฐ์การบรรเลงให้ดียิ่งๆ
ขึ้นไป เพลงไทยนั้นมีความไพเราะปราณีตพิศดารเป็นพิเศษอยู่ในตัวเองแล้ว
หลวงประดิษฐ์ไพเราะได้ล้มป่วยลงและถึงแก่กรรม เมื่อวันที่๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๗
หลวงไพเราะเสียงซอ
หลวงไพเราะเสียงซอเดิมชื่ออุ่นดูรยชีวินเกิดเมื่อวันที่23พฤศจิกายนพ.ศ.2435ณ
ตาบลหน้าไม้อาเภอเสนาจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นบุตรของนายพยอมและนางเทียบเมื่ออายุ11
ปีท่านได้บวชเป็นสามเณรที่วัดหน้าต่างนอก ภายหลังบิดามารดาย้ายเข้ากรุงเทพมหานครท่านจึงย้ายไปเรียนที่วัดปริณายก
โดยเริ่มแรกท่านเรียนซอด้วงจากบิดาของท่าน
เวลาต่อมาท่านถวายตัวเข้าเป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งยังทรงดารงพระยศเป็นสมเด็จพระบ
รมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมารท่านจึงมีโอกาสศึกษาดนตรีไทยกับพระยาประสานดุริยศัพท์(แปลกประสานศัพท์)
ต่อมามีการก่อตั้งกองเครื่องสายฝรั่งหลวงในกรมมหรสพ
ท่านได้รับเลือกให้ฝึกหัดไวโอลินและท่านได้เข้ารับราชการในกองดนตรีเมื่อปี พ.ศ.2448[1]
เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯเสด็จขึ้นเถลิงราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว
ท่านจึงได้เลื่อนขั้นเป็นมหาดเล็กประจา
ต่อมารัชกาลที่หกมีพระราชประสงค์ให้มีวงดนตรีตามเสด็จพระราชดาเนินเมื่อแปรพระราชฐานตามหัวเมือง
เรียกกันว่า”วงตามเสด็จ”ประกอบด้วยข้าราชการที่มีฝีมือทางด้านดนตรี
- 16. ท่านเป็นผู้หนึ่งในวงตามเสด็จได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นขุนดนตรีบรรเลงรองหุ้มแพรมหาดเล็ก
ในที่สุดท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ที่หลวงไพเราะเสียงซอเมื่อวันที่13 ธันวาคมพ.ศ. 2460
ครั้นสมัยรัชกาลที่เจ็ดหลวงไพเราะเสียงซอได้มีโอกาสเป็นพระอาจารย์สอนเครื่องสายถวายเจ้านาย
ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอันมีพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าราไพพรรณี
พระบรมราชินีกรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์กรมหมื่นอนุพงศ์จักรพรรดิ์หม่อมเจ้าถาวรมงคลจักรพันธุ์และหม่อมเจ้าแววจักร
จักรพันธุ์นอกจากนี้ท่านได้สอนถวายพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคลและข้าหลวงอีกด้วย
ภายหลังกรมศิลปากรได้เชิญท่านสอนประจาที่วิทยาลัยนาฏศิลป์
และท่านยังได้สอนและปรับปรุงวงดนตรีไทยของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนทาให้วงดนตรีของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็น
ที่รู้จักในเวลาต่อมา[2]
หลวงไพเราะเสียงซอถึงแก่กรรมเมื่อวันที่13สิงหาคมพ.ศ. 2518ณ โรงพยาบาลศิริราชสิริอายุ84ปี
หลวงไพเราะเสียงซอสมรสกับนางนวมมัธยมจันทร์ มีบุตรธิดา8เวลาต่อมาท่านได้สมรสครั้งที่สองกับหม่อมเจ้ากริณานฤมล
สุริยงมีบุตรธิดาอีก5 คน
ผลงานของหลวงไพเราะเสียงซอนั้นมีปรากฏในราชการมากมาย อาทิวงขับไม้ในพระราชพิธีสมโภชต่างๆในสมัยรัชกาลที่หก
เช่นพระราชพิธีฉัตรมงคลพระราชพิธีขึ้นระวางพระคชาธารเป็นต้นและในสมัยรัชกาลที่เจ็ด
เพลงคลื่นโหมโรงกระทบฝั่งซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่เจ็ด ก็มีที่มาจากคากราบบังคลทูลของหลวงไพเราะฯ
เมื่อครั้งตามเสด็จประพาสสัตหีบเมื่อปี พ.ศ.2474
ครูช้อย สุนทรวาทิน
ครูช้อย สุนทรวาทิน
ครูช้อยท่านอยู่ในสมัยช่วงพ.ศ. 2370 –2380 ชีวิตในวัยเด็กนั้นท่านป่วยเป็นไข้ทรพิษแต่รอดตายมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
เพราะหนึ่งในร้อยในพันจริงๆจึงรอดตายจากโรคนี้ได้
แต่ด้วยพิษแห่งโรคร้ายแม้รอดตายมาได้แต่ก็ต้องเสียดวงตาทั้งสองข้าง แต่แม้ดวงตาทั้งสองข้างของท่านจะบอดสนิทตั้งแต่วัย
เยาว์แต่ท่านกลับไม่เคยคิดพ่ายแพ้แก่ชะตาชีวิตตนเอง
และด้วยสายเลือดแห่งศิลปินที่มีอยู่ภายในชีวิตจิตวิญญาณของท่านทาให้ท่าน
ฝึกหัดเครื่องเล่นดนตรีไทยด้วยตนเองตั้งแต่เด็ก ในความจริงครูช้อยท่านก็เกิดในตระกูลศิลปินอยู่แล้ว
แต่ด้วยที่ท่านตาบอดผู้เป็นบิดาจึงมิได้หัดท่านในทางดนตรี ก็ด้วยความใส่ใจความรักในศิลปะดนตรีนี่เองที่ทาให้ท่านฝึกฝน
- 18. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ทรงประสูติเมื่อ ๒๘
เมษายน ๒๔๐๖ สิ้นพระชนม์เมื่อ ๑๐ มีนาคม ๒๔๙๐ ทรงเริ่มเรียนวิชาหนังสือกับ หม่อมเจ้าหญิงสารพัดเพชร และทรงศึ
กษาในชั้นสูงกับพระยาศรีสุนทรโวหาร(น้อย อาจารยางกูร) เรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ ในกรมทหารมห
าดเล็กพระบรมมหาราชวัง สาหรับการดนตรีไทยนั้น
ทรงสนพระทัยมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ขณะที่ยังทรงทาหน้าที่ประเคนของถวายพระฉันเพลที่วัดแก้ว มักจะทรงไปประทับกับ
พวกเล่นปี่พาทย์ที่ประโคมเวลาพระฉัน ทรงฟังจนเข้าพระทัยแล้วจึงทรงของลองตีฉิ่งบ้าง กลองแขกบ้าง เมื่อทรงเจริญวัยแล้ว
ก็ทรงเรียนเครื่องดนตรีอื่นๆ
ด้วยพระองค์เองบ้าง ขอเรียนจากผู้ที่เล่นเป็นแล้วบ้าง ครั้งหนึ่งได้ทรงหัดบรรเลงเครื่องดนตรีกับครูถึง ดุริยางกูร(บุตรพระประ
ดิษฐ์ไพเราะมีดุริยางกูร)และพระประดิษฐ์ไพเราะ(ตาด)
เมื่อแรกทรงรับราชการเป็นนายทหารมหาดเล็กและทรงเป็นกรรมการหอพระสมุดวชิรญาณ ต่อมาทรงดารงตาแหน่งอธิบดีกรม
โยธาธิการและเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการซึ่งรับผิดชอบในการก่อสร้างทั้งหมด การแผนที่ การไปรษณีย์ การโทรเลขและการ