More Related Content
More from leemeanshun minzstar (20)
การท่องเที่ยว
- 1. ๑
บทนำ
1.แนวคิดเรื่องการท่องเที่ยว
การท่องเที่ยวประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ
ของบุคคลที่เดินทางและพักอาศัยในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยปกติเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ เพื่อธุรกิจและเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ
เป็นเวลาติดต่อกันไม่เกิน1ปี
การใช้แนวคิดแบบกว้างนี้ทาให้เกิดความเป็นไปได้ในการวินิจฉัยเพื่อจาแนกการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ
และการท่องเที่ยวภายในประเทศ“การท่องเที่ยว”เกี่ยวข้องถึงกิจกรรมทั้งหมดของ“ผู้เยี่ยมเยือนรวมไปถึง“นักท่องเที่ยว
(ผู้เยี่ยมเยือนแบบค้างคืนและ“นักทัศนาจร(ผู้มาเยือนและจากสถานที่นั้นไปภายในวันเดียวกัน
2.รูปแบบของการท่องเที่ยว รูปแบบของการท่องเที่ยวแบ่งได้ดังต่อไปนี้:
การท่องเที่ยวภายในประเทศหมายถึงผู้พานักอาศัยที่มีถิ่นพานักอยู่ในประเทศและเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ
การท่องเที่ยวขาเข้าหมายถึงผู้พานักอาศัยที่มีถิ่นพานักในต่างประเทศและเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในอีกประเทศหนึ่ง
การท่องเที่ยวขาออกหมายถึงผู้พานักอาศัยที่มีถิ่นพานักอยู่ในประเทศและเดินทางออกไปยังประเทศอื่น
รูปแบบเดียวกันของการท่องเที่ยวอาจจะอธิบายได้โดยการแทนที่คาว่า “ประเทศ”ด้วยคาว่า “ภูมิภาค”
ในกรณีนี้รูปแบบการท่องเที่ยวเหล่านี้จะไม่ได้หมายความถึงประเทศอีกต่อไปแต่จะเป็นภูมิภาคแทน คาว่า “ภูมิภาค”
อาจจะหมายความถึงพื้นที่ภายในประเทศนั้นหรือกลุ่มประเทศซึ่งรวมเป็นภูมิภาค
รูปแบบพื้นฐาน 3 ประเภทของการท่องเที่ยว
สามารถนามาผสมความหมายรวมกันได้หลายวิธีเพื่อที่จะก่อให้เกิดการแตกแขนงประเภทการท่องเที่ยวดังต่อไปนี้
การท่องเที่ยวในประเทศประกอบด้วยการท่องเที่ยวภายในประเทศและการท่องเที่ยวขาเข้า
การท่องเที่ยวระดับชาติประกอบด้วยการท่องเที่ยวภายในประเทศและการท่องเที่ยวขาออก
การท่องเที่ยวระหว่างประเทศประกอบด้วยการท่องเที่ยวขาเข้าและการท่องเที่ยวขาออก
คาว่า“ภายในประเทศ”ในบริบทของการท่องเที่ยวได้สงวนเอาความหมายแฝงของ
การตลาดดั้งเดิมเอาไว้อันหมายความไปถึงผู้พานักอาศัยที่มีถิ่นพานักอยู่ในประเทศและเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของตนเอง
ทาให้มีความหมายผนวกรวมทั้งการท่องเที่ยวภายในประเทศและการท่องเที่ยวขาเข้า
3.หน่วยพื้นฐานของการท่องเที่ยว
หน่วยพื้นฐานของการท่องเที่ยวมีความหมายถึงปัจเจกบุคคลหรือครอบครัวผู้ซึ่งเป็นประชากรของกิจกรรมการท่องเที่ยวต่างๆ
และสามารถนามาใช้ในการสารวจในฐานะที่เป็นหน่วยสถิติ
(ถึงอย่างไรก็ตามแนวคิดของหน่วยสถิติอาจมีความหมายในขอบเขตที่กว้างกว่ากันหรือแตกต่างกันดังเช่นหน่วยที่ใช้ในการศึกษา
จานวนประชากรที่ใช้ในการศึกษาการประมวลผลการวิเคราะห์)แนวความคิดทั้งหมดของผู้เดินทาง
หมายถึงบุคคลใดก็ตามที่เดินทางระหว่างประเทศสองประเทศหรือมากกว่านั้นหรือเดินทางระหว่างสถานที่สองแห่งหรือมากกว่านั้นภายใน
ประเทศที่ผู้เดินทางนั้นพานักอาศัยอยู่
ผู้เดินทางระหว่างประเทศหมายถึงบุคคลใดก็ตามที่เดินทางออกนอกประเทศที่ตนพานักอาศัยอยู่
(โดยไม่คานึงถึงวัตถุประสงค์และวิธีการในการเดินทางถึงแม้ว่าบุคคลนั้นจะเดินทางด้วยการเดินเท้าก็ตาม)
- 2. ๒
ผู้เดินทางภายในประเทศหมายถึงบุคคลใดก็ตามที่เดินทางภายในประเทศที่ตนพานักอาศัยอยู่
(โดยไม่คานึงถึงวัตถุประสงค์และวิธีการในการเดินทางถึงแม้ว่าบุคคลนั้นจะเดินทางด้วยการเดินเท้าก็ตาม)
ความแตกต่างระหว่างประเภทของผู้เดินทางซึ่งแบ่งออกกว้างๆได้เป็น2 ประเภทอันได้แก่
-ผู้มาเยือน
-ผู้เดินทางประเภทอื่น
ผู้เดินทางทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวก็คือผู้มาเยือนโดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ
นักท่องเที่ยว (ผู้มาเยือนแบบค้างคืน
นักทัศนาจร(ผู้ที่มาเยือนและจากสถานที่นั้นไปภายในวันเดียวกัน
สาหรับวัตถุประสงค์ของสถิติการท่องเที่ยวคาว่า “ผู้มาเยือนคือบุคคลใดก็ตามที่เดินทางจากที่อยู่อาศัยปกติไปยังสถานที่อื่นไม่เกิน 1ปี
และมีวัตถุประสงค์หลักของการเดินทางที่นอกเหนือไปจากการประกอบอาชีพหรือหารายได้ภายในสถานที่ที่บุคคลนั้นเดินทางไปเยี่ยมเยือ
น
บรรทัดฐานที่สาคัญ3ประการที่มีรายละเอียดชัดแจ้งเพื่อใช้ในการจาแนกผู้มาเยือนออกจากผู้เดินทางประเภทอื่นได้แก่
การเดินทางจะต้องเป็นการเดินทางไปยังสถานที่ที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยปกติ
และไม่นับรวมการเดินทางประจาไปยังที่ทางานหรือสถานการศึกษาและที่อยู่ภูมิลาเนาของบุคคลนั้นๆ
การพักค้างคืนในสถานที่ที่ไปเยี่ยมเยือนนั้นติดต่อกันได้ไม่เกิน1ปี
ถ้าผู้มาเยือนพักค้างคืนในสถานที่นั้นเกินระยะเวลาที่กาหนดจะกลายเป็นผู้ที่มีถิ่นพานักอยู่ในสถานที่ที่ไปเยือน
วัตถุประสงค์หลักของการเดินทางไปเยี่ยมเยือนสถานที่นั้นต้องนอกเหนือไปจากการประกอบอาชีพหรือหารายได้ภายในสถานที่นั้น
ซึ่งจะไม่นับรวมการเคลื่อนไหลของผู้ย้ายถิ่นเพื่อเดินทางไปทางาน
4.ประเภทของสถานพักแรมหมายถึงสถานที่ที่นักเดินทางใช้พักระหว่างเดินทางจาแนกตามลักษณะการใช้บริการ
1.โรงแรมคือ ที่พักแรมที่สร้างขึ้นเฉพาะและแบ่งเป็นห้องพักมีสิ่งอานวยความสะดวกแก่นักเดินทางและเก็บค่าเช่าเป็นรายห้อง
2. เกสท์เฮ้าส์ คือ บ้านที่ดัดแปลงหรือสร้างขึ้นและแบ่งห้องเป็นที่พักแรมโดยเก็บค่าเช่า
3. บังกาโล คือ ที่พักแรมที่กลุ่มบุคคลหรือสถาบันจัดไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวโดยเก็บค่าเช่า
4. รีสอร์ท คือ ที่พักที่มีลักษณะห้องพักเป็นหลังๆมีบริเวณแวดล้อมด้วยธรรมชาติ
5. บ้านรับรอง คือ ที่พักหน่วยราชการ บริษัท หรือเอกชนจัดไว้เพื่อใช้รับรองหรือพักผ่อน โดยไม่เก็บค่าเช่าเช่น
5.1บ้านรับรองของหน่วยราชการหมายถึงที่พักที่หน่วยราชการจัดสร้างไว้ในจังหวัดต่างๆ
เพื่อใช้รับรองแขกของทางราชการหรือผู้เกี่ยวข้องเข้าพัก สถานที่พักในลักษณะนี้มักจะไม่ต้องเสียค่าเช่า
5.2 บ้านรับรองของบริษัทเอกชนหมายถึงที่พักที่บริษัทเอกชนได้จัดสร้างไว้ในจังหวัดต่างๆ
เพื่อรับรองหรือให้พนักงานของบริษัทที่เดินทางไปจังหวัดนั้นๆได้ใช้เป็นสวัสดิการของบริษัท
6. บ้านญาติหรือบ้านเพื่อนคือบ้านญาติมิตรของนักท่องเที่ยวที่จัดให้เป็นที่พักแรมโดยไม่เก็บค่าเช่า
7. โมเต็ล คือ ที่พักที่สร้างขึ้นเฉพาะโดยเก็บค่าเช่ามีห้องพักแต่ละห้อง
หรือมีห้องพักส่วนหนึ่งที่มีลักษณะและการใช้สอยเช่นเดียวกับโรงแรม
แต่เนื่องจากลักษณะการใช้ห้องพักประเภทนี้ในประเทศไทยส่วนใหญ่ไม่ใช่เพื่อการท่องเที่ยว
ดังนั้นในการรวบรวมข้อมูลสถานพักแรมจึงไม่นับรวมห้องพักประเภทนี้รวมอยู่ในห้องพักสาหรับนักท่องเที่ยว
- 3. ๓
8. ที่พักของหน่วยราชการณแหล่งท่องเที่ยวหมายถึงที่พักของหน่วยราชการต่างๆที่ตั้งอยู่ณ
สถานที่ทาการของหน่วยราชการซึ่งอยู่ในบริเวณแหล่งท่องเที่ยวนั้นเพื่อไว้บริการนักท่องเที่ยวได้เข้าพัก
โดยการจะเข้าพักแต่ละครั้งจะต้องติดต่อกับหน่วยงานเจ้าของสังกัดก่อนเช่นที่พักของอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ และเขื่อนต่างๆ
ของการไฟฟ้ าฝ่ ายผลิตและของกรมชลประทาน เป็นต้น
9. ที่พักอื่นๆเช่น
-วัด หมายถึงสถานที่ประกอบกิจกรรมทางศาสนาซึ่งได้จัดบริเวณส่วนหนึ่งให้เป็นที่พักสาหรับผู้เดินทาง และบริการโดยไม่คิดค่าเช่า
นอกจากผู้เข้าพักจะทาบุญถวายวัดตามกาลังศรัทธา
- หอพักเยาวชนหมายถึงที่พักที่กลุ่มบุคคลจัดไว้เพื่อสมาชิกของกลุ่มมาใช้บริการโดยเสียค่าเช่าในอัตราประหยัด
และเปิดให้บุคคลภายนอกมาใช้บริการได้ เช่นYMCA เป็นต้น
5.ประเภทของพาหนะที่ใช้ในการเดินทาง
เครื่องบิน
รถไฟ
รถโดยสารประจาทาง คือรถที่ใช้ขนส่งผู้โดยสารตามเส้นทางที่กาหนดคิดค่าบริการเป็นรายบุคคลและมีที่นั่งเกินกว่า 7คนขึ้นไป
ทั้งที่มีเครื่องปรับอากาศและไม่มีเครื่องปรับอากาศ
รถบริการนาเที่ยว คือรถที่ใช้บริการท่องเที่ยวซึ่งจัดกาหนดการไว้ล่วงหน้ามีการเก็บค่าบริการเป็นรายบุคคลในลักษณะเหมาจ่าย
และมีที่นั่งเกินกว่า7คนขึ้นไป
รถยนต์ส่วนบุคคล คือรถยนต์ส่วนตัวของนักเดินทาง หรือรถยนต์ของหน่วยราชการหรือเอกชนที่นักเดินทางใช้โดยไม่มีอัตราค่าบริการ
มีขนาดและลักษณะใดก็ได้
พาหนะอื่นๆที่ใช้ในการเดินทางทางน้าและทางทะเล หมายถึงพาหนะที่นักท่องเที่ยว
ใช้ในการข้ามฟากไปยังแหล่งท่องเที่ยวอีกแหล่งหนึ่งที่อยู่นอกพื้นดินได้แก่ เรือนาเที่ยวเรือสาราญเรือเช่าโดยสารทางน้า
เรือโดยสารตามชายฝั่งทะเลและข้ามมหาสมุทรแบบมีตารางและไม่ตารางเวลาเช่นเรือเฟอร์รี่ เรือเรือเหมาลา
6.หมวดค่าใช้จ่าย จาแนกเป็นหมวดค่าใช้จ่ายหลัก7หมวดดังต่อไปนี้
1. ค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นค่าที่พักเช่นค่าใช้จ่ายที่จ่ายเป็นค่าเช่า/ค่าบริการโรงแรมเกสท์เฮาส์ รีสอร์ท/บังกะโลที่พักอุทยาน
ค่าบารุงวัด(กรณีพักวัด)อื่นๆ
2. ค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นค่าอาหาร/เครื่องดื่มรวมค่าอาหาร/เครื่องดื่มทุกรายการที่จ่ายระหว่างท่องเที่ยวในจังหวัดที่เดินทางไป
3. ค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นค่าบริการท่องเที่ยวในพื้นที่เช่นค่าใช้จ่ายที่จ่ายเพื่อเป็นค่าบริการนาเที่ยวโดยตรง(ค่าไกด์)
ค่าผ่านประตูเพื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์อุทยานสวนสัตว์โบราณสถานเป็นต้น
4. ค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นค่าพาหนะเดินทางในพื้นที่ เช่นค่าใช้จ่ายที่จ่ายเพื่อเป็นค่าเดินทางระหว่างท่องเที่ยวภายในจังหวัดเช่นรถไฟ
ค่ารถโดยสารประทางในจังหวัดTaxi ตุ๊กตุ๊กสามล้อรถม้าเรือโดยสารเรือข้ามฟากรถเช่าเป็นต้นซึ่งไม่รวมค่าโดยสารระหว่างจังหวัด
5. ค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นค่าซื้อสินค้าและของที่ระลึกเช่นค่าใช้จ่ายที่จ่ายเพื่อซื้อสินค้าทั้งสินค้าอุปโภค/บริโภค
เพื่อกลับไปยังถิ่นที่อยู่ถาวรของตนแต่ต้องไม่ใช้เพื่อนากลับไปขายต่อเช่นสินค้าประเภทอัญมณี เสื้อผ้าสาเร็จรูป ผ้าไหม
สินค้าประเภทเบรนเนมหรือเครื่องหนังเป็นต้น
- 4. ๔
6. ค่าใช้จ่ายทางด้านความบันเทิงเช่นค่าใช้จ่ายที่จ่ายเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมเองเพื่อความสาราญ/บันเทิงเช่น
ค่าบริการเชิงสุขภาพกอล์ฟดาน้าล่องแก่งกีฬาต่างๆการชมการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม/การแสดงสินค้า
ค่าเช่าอุปกรณ์กีฬาบางชนิดเช่นเจ็ตสกี บานาโบ๊ตเป็นต้น
7. ค่าใช้จ่ายอื่นๆเช่นค่าทาบุญค่ารักษาพยาบาลค่าฟิล์มเป็นต้น
ระยะเวลาพานักเฉลี่ย คือ จานวนคืนพักที่นักท่องเที่ยวพักระหว่างเดินทางไปท่องเที่ยวในจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งเช่นนายก
เดินทางจากกรุงเทพไปท่องเที่ยวในจังหวัดขอนแก่น3คืนโดยพักโรงแรม2คืน พักบ้านญาติ/เพื่อน1 คืนเป็นต้น
7.ขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลสถิตินักท่องเที่ยวภายในประเทศ
สารวจข้อมูลด้านสถานพักแรม
ในการดาเนินการรวบรวมข้อมูลจานวนนักท่องเที่ยวที่เข้าพักแรมในสถานประกอบการประเภท โรงแรมเกสท์เฮ้าส์รีสอร์ท
บังกะโลนั้นเป็นการดาเนินงานของททท.ภูมิภาคในการจัดส่งส่งแบบสอบถาม
ขอความร่วมมือไปยังสถานประกอบการพักแรมสาหรับนักท่องเที่ยวทุกประเภทยกเว้นสถานประกอบการประเภทชั่วคราว(ม่านรูด)
ห้องพักที่ให้เช่ารายเดือนหรือห้องพักที่เปิดบริการสาหรับSalemanเพื่อสารวจจานวนผู้เข้าพักแรมรายสัญชาติระยะเวลาพานักเฉลี่ย
คนพักต่อห้อง จานวนห้องพักที่ขายได้ในแต่ละเดือนโดยในแต่จังหวัดจะมีประเภทของสถานพักแรมแตกต่างกันไป
ขึ้นอยู่กับการกระจายตัวของแหล่งท่องเที่ยวและสถานพักแรม โดยการรวบรวมจานวนคนเข้าพักแรมรายสัญชาติ
อัตราการเข้าพักเฉลี่ยระยะพานักเฉลี่ยหรือคืนพักเฉลี่ยจานวนคนพักต่อห้องในสถานพักแรมเป็นรายเดือนหรือ รายไตรมาสนั้น
ตามแบบสอบถาม
อัตราการเข้าพักเฉลี่ยหรือร้อยละของจานวนห้องพักที่ขายได้ในแต่ละเดือนเทียบกับจานวนห้องทั้งหมด
อัตราการเข้าพักเฉลี่ยต่อเดือน = จานวนห้องพักที่ขายได้ในเดือนนั้นx100
จานวนวันxจานวนห้องพักทั้งหมด
ห้องพักที่ขายได้ คือจานวนห้องพักของสถานพักแรมที่ขายให้กับผู้เข้าพักแรม
หรับหลักการแบ่งกลุ่มโรงแรมเพื่อการท่องเที่ยวนั้น ททท.
ได้กาหนดการแบ่งตามระดับราคาห้องพักโดยพิจารณาจากราคาประกาศขายต่าสุด
เพื่อประโยชน์ในการดาเนินการวิเคราะห์สถานการณ์และการวางแผนการตลาดเท่านั้นซึ่งสามารถจัดกลุ่มได้ดังนี้
กลุ่ม1 :ราคาตั้งแต่ 2,500 บาทขึ้นไป กลุ่ม2 :ราคาตั้งแต่ 1,500 - 2,499 บาท
กลุ่ม3 :ราคาตั้งแต่ 1,000 - 1,499 บาท กลุ่ม4 :ราคาตั้งแต่ 500- 999 บาท
กลุ่ม5 :ราคาต่ากว่า 500 บาท
ระยะเวลาพานักเฉลี่ยในสถานพักแรม(Stay) คือจานวนคืนพักที่ผู้เข้าพักแรมคนหนึ่งใช้บริการในโรงแรมนั้นแต่ละครั้ง
คนพักต่อห้อง(Person/Room:P/R) คือจานวนคนเฉลี่ยที่ใช้บริการห้องพักห้องใดห้องหนึ่งแต่ละครั้ง
หรือห้องพักห้องหนึ่งมีคนเข้าพักเฉลี่ยกี่
Pop(GroupN)= {RoomN * ORN * P/RN * จานวนวันในเดือนนั้น}
(StayN * 100)
8.การประมาณจานวนนักท่องเที่ยวนักทัศนาจร ตามประเภทพาหนะเดินทาง
- 5. ๕
8.1 การประมาณนักท่องเที่ยว
ขั้นตอนนี้เป็นการดาเนินการสารวจข้อมูลจากผู้ที่เดินทางเข้าไปในแต่ละจังหวัดโดยการสัมภาษณ์นักท่องเที่ยวโดยตรง
ตามจุดการเดินทาง3จุดคือจุดท่องเที่ยวจุดเดินทางออก(รถไฟเครื่องบินบขส. ท่าเรือ)และจุดพักแรม ประมาณเดือนละ200-400
ตัวอย่างเพื่อทราบพฤติกรรมการเดินทางของผู้เยี่ยมเยือนรายจังหวัด(ตัวอย่างแบบสอบถามแนบ2)
และนาสัดส่วนที่ได้มาประมาณการจานวนการเดินทางตามประเภทของพาหนะ(Pop)รวมทั้งเพื่อศึกษาโครงสร้างทั่วไป
ลักษณะการเดินทางการใช้จ่ายเฉลี่ยวันพักหลังจากนั้นจึงทาการประมาณจานวนผู้เยี่ยมเยือนดังนี้
1. เป็นการหาจานวนการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและ ชาวต่างประเทศ
ที่เดินทางไปเยือนในแต่ละพื้นที่ศึกษา โดยใช้แบบสอบถามณ จุดพักแรมสารวจทุกเดือนทั้งช่วงวันหยุดและวันธรรมดา
จากแบบสอบถามณ จุดพักแรมเราจะถามนักท่องเที่ยวว่าท่านเดินทางเข้ามาจังหวัดนี้โดยพาหนะประเภทใด
หลังจากนั้นจึงนาจานวนนักท่องเที่ยวที่พักในสถานพักแรมทั้งหมด
2. ประมาณจานวนนักท่องเที่ยวที่พักแรมอื่นๆคือกลุ่มที่พักแรมตามบ้านญาติ/เพื่อนบ้านพักอุทยานบ้านรับรองและอื่นๆนั้น
จะใช้แบบสอบถามนักท่องเที่ยว(ค้างคืน)จากจุดท่องเที่ยว/จุดเดินทางออก
ซึ่งจะถามนักท่องเที่ยวท่านเดินทางเข้าจังหวัดนี้ด้วยพาหนะประเภทใดและพักแรมที่ไหน
เนื่องจากเราไม่มีจานวนนักท่องเที่ยวที่รวบรวมได้จริงของกลุ่มนี้จึงต้องมีการประมาณการเทียบค่าจากนักท่องเที่ยวที่พักแรมในสถานพักแ
รม/ตามพาหนะต่างๆ(สาหรับกลุ่มที่เดินทางมากับบริษัทนาเที่ยวนั้นส่วนใหญ่จะเป็นการพักแรมใน โรงแรม
พาหนะที่ใช้ในการเดินทางส่วนใหญ่เป็นรถส่วนตัว(รถของบริษัททัวร์)เครื่องบินรถไฟ)
8.2 การประมาณจานวนนักทัศนาจร
การประมาณจานวนนักทัศนาจรนั้นเราจะพิจารณาจากประเภทของพาหนะที่นักทัศนาจรใช้ในการเดินทาง
ซึ่งสารวจจากผู้เยี่ยมเยือนที่ไม่มีการค้างคืน(นักทัศนาจร)ณจุดเดินทางออก/จุดท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวที่เดินทางไป
โดยถามว่าท่านเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวครั้งนี้เดินทางเข้ามาโดยวิธีใด
9.ประมาณจานวนรายได้จากการท่องเที่ยว
เป็นขั้นตอนสุดท้ายเพื่อหาคานวณหารายได้ที่เกิดจากการท่องเที่ยวในแต่ละแหล่งท่องเที่ยว
โดยในทางปฎิบัติเราไม่สามารถหารายได้จากการท่องเที่ยวได้โดยตรงเราจึงจาเป็นต้องหาจากการใช้จ่ายของ
นักท่องเที่ยวแต่ละคนย้อนกลับไปจากค่าใช้จ่ายแต่ละหมวดที่นักท่องเที่ยวนักทัศนาจรใช้จ่ายในแหล่งท่องเที่ยวต่อคนต่อวัน
โดยกลุ่มที่จัดการเดินทางเองนั้นเราสามารถสอบถามที่จุดเดินทางออก/จุดท่องเที่ยวเฉลี่ยเป็นต่อคนต่อวันได้ทันที
ขณะกลุ่มที่เดินทางมากับบริษัทนาเที่ยวนั้นผู้เยี่ยมเยือนจะตอบได้เฉพาะว่าซื้อทัวร์มาท่องเที่ยวจังหวัดนี้กับบริษัทนาเที่ยวนี้เป็นจานวนเงิน
จานวนหนึ่งเท่านั้นจึงต้องมีการเช็คข้อมูลในหมวดค่าที่พัก
ค่าบริการนาเที่ยวและค่าพาหนะเดินทางกลับไปยังบริษัทนาเที่ยวอีกรอบว่าคิดค่าใช้จ่ายแต่ละหมวดอย่างไร
ขณะที่ค่าใช้จ่ายหมวดอื่นนั้นนักท่องเที่ยวจะเป็นผู้จ่ายเองนอกเหนือจากค่าทัวร์หลังจากนั้นจึงคานวณหารายได้จากการท่องเที่ยวดังนี้
รายได้จากนักท่องเที่ยว=จานวนนักท่องเที่ยว*วันพัก* ค่าใช้จ่ายต่อคนต่อวัน
รายได้จากนักทัศนาจร=จานวนนักทัศนาจร*ค่าใช้จ่ายต่อคน
รายได้ของผู้เยี่ยมเยือน=รายได้จากนักท่องเที่ยว+รายได้จากนักทัศนาจร
*****************************************
- 6. ๖
การท่องเที่ยว
ภาพรวมของการท่องเที่ยว:ความหมายของการท่องเที่ยว
การท องเที่ยวหมายถึงการเดินทางเพื่อผ อนคลายความเครียดแสวงหาประสบการณ แปลกใหม โดยมีเงื่อนไขว าการ
เดินทางนั้นเป นการเดินทางเพียงชั่วคราวผู เดินทางจะต องไม ถูกบังคับให เดินทาง
ประเภทของการท่องเที่ยวแบ่งออกได้เป็น3ประเภทหลักคือ
1. การท่องเที่ยวเพื่อความเพลิดเพลินและการพักผ่อน:หลีกหนีความจาเจจากสภาพชีวิตประจาวัน
2. การท่องเทียวเพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ:เพื่อร่วมประชุมสัมมนาเจรจาธุรกิจ(เป็นส่วนหนึ่งของงาน)
3. การท่องเทียวเพื่อความสนใจพิเศษ:เป็นการเที่ยวเฉพาะกลุ่มทีมีความสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเช่นการ
ท่องเทียวเชิงนิเวศเชิงศิลปวัฒนธรรมเชิงกีฬาความสาคัญของการท่องเที่ยว
1. ความสาคัญต่อเศรษฐกิจ:สร้างรายได้ กระจายรายได้และสร้างงาน
2. ความสาคัญต่อสังคมและวัฒนธรรม:ได้มีโอกาสสัมผัสเรียนรู้ แลกเปลียนวัฒนธรรมก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างกัน
3. ความสาคัญต่อสิ่งแวดล้อม:เกิดกระแสการรักษาสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นตระหนักถึงความสาคัญของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เกิดการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์นโยบายรัฐบาล:ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ประเภทการท่องเที่ยว
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยแบ่งตามความสาคัญและสภาพแวดล้อมได้ 12 ประเภทดังนี้
1. แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศหมายถึงแหล่งท่องเที่ยวที่มีลักษณะทางธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น
โดยอาจมีเรื่องราวทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องโดยการจัดการการท่องเที่ยวในแหล่งนั้นจะต้อง
มีกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของผู้ที่เกี่ยวข้องมีกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศนั้น
มีการจัดการสิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยวอย่างมีส่วนร่วมของท้องถิ่นเพื่อมุ่งเน้นให้เกิดจิตสานึกต่อการรักษาระบบนิเวศอย่างยั่งยืน
2. แหล่งท่องเที่ยวทางศิลปะวิทยาการหมายถึงแหล่งท่องเที่ยวหรือกิจกรรมที่สามารถตอบสนองความสนใจพิเศษของนักท่องเที่ยว
ซึ่งมีรูปแบบของการท่องเที่ยวที่ชัดเจนเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวแบบใหม่ที่เกิดขึ้นแหล่งท่องเที่ยว
ประเภทนี้สามารถเพิ่มเติมได้อีกมากมายตามความนิยมของคนในแต่ละยุคสมัยเมื่อมีการระบุชัดว่ากิจกรรมนั้นๆ
สามารถให้ความรู้และดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ ปัจจุบันมีปรากฏอยู่หลายๆแห่งตัวอย่างเช่นพิพิธภัณฑ์เฉพาะทาง
แหล่งท่องเที่ยวเพื่อการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีและ MICE (Meeting &Incentives &Conventions &
Exhibitions)เป็นต้น
3. แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์หมายถึงแหล่งท่องเที่ยวที่มีความสาคัญและคุณค่าทางประวัติศาสตร์ โบราณคดีและศาสนา
รวมถึงสถานที่หรืออาคารสิ่งก่อสร้างที่มีอายุเก่าแก่หรือเคยมีเหตุการณ์ สาคัญเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ เช่นโบราณสถาน
อุทยานประวัติศาสตร์ ชุมชนโบราณกาแพงเมืองคูเมืองพิพิธภัณฑ์วัดศาสนสถาน
และสิ่งก่อสร้างที่มีคุณค่าทางศิลปะและสถาปัตยกรรม
4. แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ:หมายถึงสถานที่ที่เปิดใช้เพื่อการท่องเที่ยวโดยมีทรัพยากรธรรม
ชาติเป็นสิ่งดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวมาเยือนซึ่งทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้อาจจะเป็นความงดงามตามสภาพธรรมชาติความ
แปลกตาของสภาพธรรมชาติสัณฐานที่สาคัญทางธรณีวิทยาและภูมิศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์หรือเป็นสัญลักษณ์ ของท้องถิ่นนั้นๆ
สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่มีลักษณะพิเศษหรือสภาพแวดล้อมที่มีคุณค่าทางวิชาการก็ได้
- 7. ๗
5. แหล่งท่องเที่ยวเพื่อนันทนาการหมายถึงแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อการพักผ่อนและเสริมสร้างสุขภาพ
ให้ความสนุกสนานรื่นรมบันเทิงและการศึกษาหาความรู้ แม้ไม่มีความสาคัญในแง่ประวัติศาสตร์ โบราณคดีศาสนา
ศิลปวัฒนธรรมแต่มีลักษณะเป็นแหล่งท่องเที่ยวร่วมสมัยตัวอย่างเช่นย่านบันเทิงหรือสถานบันเทิงสวนสัตว์
สวนสนุกและสวนสาธารณะลักษณะพิเศษสวนสาธารณะและสนามกีฬา
6แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมหมายถึงแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณค่าทาง
ศิลปะและขนบธรรมเนียมประเพณีที่บรรพบุรุษได้สร้างสมและถ่ายทอดเป็นมรดกสืบทอดกันมาแหล่งท่องเที่ยวประเภทนี้ประกอบด้วย
งานประเพณี วิถีชีวิตความ
เป็นอยู่ของผู้คนการแสดงศิลปวัฒนธรรมสินค้าพื้นเมืองการแต่งกายภาษาชนเผ่าเป็นต้น
ตัวอย่างของแหล่งท่องเที่ยวที่สาคัญของประเทศไทยในประเภทนี้ได้แก่ตลาดน้าดาเนินสะดวกงานแสดงของช้างจังหวัดสุรินทร์
งานร่มบ่อสร้างประเพณีลอยกระทงประเพณีสงกรานต์เป็นต้น
7. แหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพน้าพุร้อนธรรมชาติ:ในการจัดทาเกณฑ์มาตรฐานสาหรับแหล่งท่องเที่ยวน้าพุร้อนธรรมชาติ
มีจุดประสงค์เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการจัดการแหล่งท่องเที่ยวประเภทน้าพุร้อนธรรมชาติอย่างชัดเจน
โดยเน้นในด้านการกาหนดมาตรฐานที่จาเป็นสาหรับการบริการต่างๆ
เนื่องจากการท่องเที่ยวประเภทนี้จะต้องคานึงถึงด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเป็นสาคัญและต้องไม่ส่งผลกระทบต่อ
ทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อมเนื่องจากน้าพุร้อนจัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวประเภทธรรมชาติประเภทหนึ่งซึ่งหากไม่มีการกาหนดมาตรฐานที่ชัดเจน
การดาเนินกิจกรรมการท่องเที่ยวใดๆอาจส่งผลกระทบต่อแหล่งน้าพุร้อนธรรมชาติได้ นอกจากนี้
การจัดทาเกณฑ์มาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพน้าพุร้อนธรรมชาติ
ยังมีเป้ าหมายเพื่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลแหล่งท่องเที่ยวได้นาไปใช้ เป็น
เครื่องมือในการตรวจสอบมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวของตนและยังสามารถใช้เป็นข้อมูลที่สาคัญเพื่อประกอบการตัดสินใจ
ของนักท่องเที่ยวรวมทั้งเป็นการเพิ่มมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
น้าพุร้อนธรรมชาติของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น
8. แหล่งท่องเที่ยวประเภทชายหาดหมายถึงสถานที่ที่เปิดใช้เพื่อการท่องเที่ยว
โดยมีชายหาดเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวมาเยือน
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความเพลิดเพลินและนันทนาการในรูปแบบที่ใกล้ชิดกับ
ธรรมชาติและอาจเสริมกิจกรรมเพื่อการศึกษาหาความรู้เข้าไปด้วยซึ่งกิจกรรมการท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นบริเวณชายหาดได้แก่ การเล่นน้า
การอาบแดดกีฬาทางน้าการนั่งพักผ่อนรับประทานอาหาเป็นต้น
9. แหล่งท่องเที่ยวประเภทน้าตก:สถานที่ที่เปิดใช้เพื่อการท่องเที่ยวโดยมีน้าตกเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวมาเยือน
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความเพลิดเพลินและนันทนาการในรูปแบบที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติและ
อาจเสริมกิจกรรมเพื่อการศึกษาหาความรู้เข้าไปด้วยซึ่งกิจกรรมการท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นในแหล่งน้าตกได้แก่ การว่ายน้าการนั่งพักผ่อน
รับประทานอาหารการเดินสารวจน้าตกการล่องแก่งการดูนกและการตกปลาเป็นต้น
10.แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติประเภทถ้า:แหล่งท่องเที่ยวประเภทถ้าหมายถึงสถานที่ที่เปิดใช้เพื่อการท่องเที่ยว
โดยมีถ้าเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความเพลิดเพลินและ
- 9. ๙
ในการพัฒนาและดาเนินการทางการท่องเที่ยวดังนั้นองค์ประกอบสาคัญของการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนคือการพัฒนาชุมชน
ให้มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการตัดสินใจเพื่อพิจารณาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในระยะยาวระบบนิเวศน์และ
ความเสมอภาคของชุมชน'
สถานการณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย
ในทิศทางเดียวกันกับการเติบโตของการท่องเที่ยวทั่วโลกในปี พ.ศ. 2555
ประเทศไทยมีจานวนนักท่องเที่ยวสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์เช่นเดียวกันโดยมีจานวนนักท่องเที่ยวสูงถึง 22ล้านคน
เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึงกว่าร้อยละ16และหากคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี ตั้งแต่ปี 2538เป็นต้นมา จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ7.1
โดยที่จะมีนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกเข้ามามากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งอยู่ที่ประมาณ 14.8ล้านคน
หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ66ตามมาด้วยภูมิภาคยุโรปที่มีจานวนนักท่องเที่ยวประมาณ5.6ล้านคนหรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ
25 ของจานวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศไทยทั้งหมด
นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยนั้นนอกจากเพื่อการท่องเที่ยวแล้วยังมีสัดส่วนของวัตถุประสงค์อื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการจัดงานประชุมการทาธุรกิจหรืออื่นๆอย่างการรักษาพยาบาลสูงมากขึ้น
ซึ่งส่งผลให้บทบาทของการท่องเที่ยวจะต้องเชื่อมโยงกับธุรกิจบริการอื่นๆเพิ่มมากขึ้นนักท่องเที่ยวหลักของไทย5
อันดับแรกยังคงเป็นประเทศเอเชียและรัสเซีย
ในขณะที่นักท่องเที่ยวจากอเมริกาและยุโรปมีแนวโน้มลดลงอันเป็นผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจ
นักท่องเที่ยวชาวจีนและรัสเซียเข้ามาประเทศไทยด้วยอัตราการเจริญเติบโตที่สูงมากขึ้นในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ส่งผลกระทบในแง่การบริหารจัดการรองรับ
ที่ไทยยังขาดความพร้อมภาพรวมทิศทางและแนวโน้มการท่องเที่ยวในอนาคตหน่วยงานองค์การการท่องเที่ยวโลกหรือTheUnited
NationsWorldTourismOrganization(UNWTO)ได้ทาการวิเคราะห์แนวโน้มการเติบโตของนักท่องเที่ยวในอนาคตจนถึงปี พ.ศ.2573
ค ).ศ.
2030) ซึ่งอ้างอิงจากข้อมูลในอดีตและปัจจุบันมาคาดการณ์ตัวเลขและแนวโน้มของจานวนนักท่องเที่ยว
ดังกล่าวซึ่งจากข้อมูลการวิเคราะห์และการคาดการณ์ในครั้งนี้สามารถสรุปได้ ดังนี้
1. การเติบโตของจานวนนักท่องเที่ยวจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉลี่ยประมาณปีละล้านคน43จนถึงปี พ.ศ.2573 ซึ่งคาดว่าในปี
พ.ศ. 2563จะมีจานวนนักท่องเที่ยวอยู่ประมาณพันล้านคน1.4ปี )2553 – 2563จะโตเฉลี่ยประมาณร้อยละและในปี พ(ต่อปี 4.2.ศ.
2573 จะมีจานวนนักท่องเที่ยวถึงประมาณ2ปี)พันล้านคน1.8563 – 2573จะโตประมาณร้อยละต3.3 ่่อปี
2. ในอนาคตแม้ว่าภูมิภาคที่ได้รับความนิยมเดิมอย่างยุโรปหรืออเมริกาจะยังได้รับความนิยมอยู่แต่ความนิยมดังกล่าวอาจจะลดน้อยลง
โดยมีการคาดการณ์ว่าตั้งแต่ปี พ.ศ.2558
จะมีจานวนนักท่องเที่ยวมายังประเทศเกิดใหม่มากกว่าจานวนนักท่องเที่ยวที่จะไปประเทศที่พัฒนาแล้ว
ซึ่งยังมีการคาดการณ์ต่ออีกว่าส่วนแบ่งจานวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปยังภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกตะวันออกกลางและแอฟริกา
จะเพิ่มมากขึ้นในขณะที่ส่วนแบ่งจากภูมิภาคยุโรปและอเมริกาจะมีสัดส่วนที่ลดลง
3. ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกจะเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตมากที่สุดโดยมีการคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่า331ล้านคน
และจะมีจานวนนักท่องเที่ยวสูงถึง535ล้านคนในปี พ.ศ.2573หรือเติบโตประมาณร้อยละ4.9ต่อปี
- 11. ๑๑
ที่มา: The UnitedNationsWorld TourismOrganization(UNWTO)TourismHighlight2013
หากพิจารณาเป็นรายภูมิภาคจะเห็นได้ว่าภูมิภาคยุโรปมีจานวนนักท่องเที่ยวสูงที่สุดโดยมีสัดส่วนกว่าร้อยละ52
(จานวนนักท่องเที่ยวประมาณ534ล้านคน)ตามมาด้วยภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกในสัดส่วนร้อยละ23(จานวนนักท่องเที่ยวประมาณ
233 ล้านคน)และอเมริกาในสัดส่วนร้อยละ16ตามลาดับ(จานวนนักท่องเที่ยวประมาณ163ล้านคน)อย่างไรก็ตาม
ภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตของจานวนนักท่องเที่ยวสูงที่สุด(อัตราการเติบโตเฉลี่ยนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 –2555)
กลับเป็นภูมิภาคในกลุ่มตะวันออกกลางที่ประมาณร้อยละ8ตามมาด้วยภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกที่ประมาณร้อยละ6.7
พัฒนาการของแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมนาเที่ยว
ความหมายของทรัพยากรการท่องเที่ยว
ทรัพยากรการท่องเที่ยวหมายถึงสถานทีท่องเที่ยวซึ่งรวมถึงสถานทีทีเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและสถานที่ทีมนุษย์สร้างขึ้น
เพื่อเป็นสถานที่ท่องเทียวกิจกรรมและวัฒนธรรมทีสะท้อนให้เห็นถึงอารยธรรมท้องถิ่นที่มีลักษณะเด่น
และสามารถดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวได้
ทรัพยากรท่องเที่ยว“หมายถึงสิ่งหรือสถานที่ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือเกิดจากมนุษย์สร้างขึ้นทั้งที่เป็นรูปธรรมสามารถสัมผัสได้
และนามธรรมที่ไม่สามารถสัมผัสได้ ซึ่งสามารถนามาเป็นสินค้าทางการท่องเที่ยวได้ อีกทั้งเป็นมรดกที่ทรงคุณค่าของชาติ ได้แก่
ความสวยงามทางธรรมชาติคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมภูมิปัญญาท้องถิ่นภาษา ชนเผ่า ประเพณี ประวัติศาสตร์ และการเรียนรู้ต่างๆ”
ความสาคัญของทรัพยากรการท่องเที่ยว
1. เป็นสิ่งดึงดูดใจให้มีการเดินทางท่องเที่ยว
2. เป็นที่มาของรายได้
3. ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและทาให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
4. สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่
5. สะท้อนให้เห็นคุณค่าของภูมิปัญญาบรรพชน
6. ก่อให้เกิดการอนุรักษ์และพัฒนา
ลักษณะของทรัพยากรการท่องเที่ยว
ลักษณะทีสาคัญมี3ประการคือ
1. ดึงดูดความสนใจ
2. เข้าถึงง่าย
3. สร้างความประทับใจ
องค์ประกอบของแหล่งท่องเที่ยว
แหล่งท่องเที่ยวจะเป็นจุดน่าสนใจของนักท่องเที่ยวต้องประกอบด้วยองค์ประกอบหลายๆ อย่างผสมผสานกันมิลล์ (Mill)
และมอร์ริสสัน (Morrison) แหล่งท่องเที่ยวต้องประกอบด้วย สิ่งดึงดูดใจ(Attractions) ในด้านความสวยงามความน่าประทับใจ
- 12. ๑๒
สิ่งอานวยความสะดวก (Facilities)ในเรื่องที่พักร้านอาหารร้านขายของน่าประทับใจ สิ่งอานวยความสะดวก(Facilities)ในเรื่องที่พัก
ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกร้านซักรีดหรือบริการอื่นๆ ปัจจัยพื้นฐาน(Infrastructure) ในเรื่องระบบการสื่อสารและสาธารณูปโภค
การขนส่ง(Transportation)และการต้อนรับอย่างมีมิตรไมตรี (Hospitality)ต่อนักท่องเที่ยว(Mill andMorrison, 1995:201-202)
นอกจากนี้มิลล์ (Mill , 1990:22-24)ได้กล่าวคล้ายคลึงกันว่า แหล่งท่องเที่ยวต้องประกอบด้วยองค์ประกอบด้วย
องค์ประกอบพื้นฐาน4 ประการคือ สิ่งดึงดูดใจ สิ่งอานวยความสะดวกการขนส่ง และการต้อนรับอย่างมีมิตรไมตรี
ในการอธิบายเรื่ององค์ประกอบของแหล่งท่องเที่ยวออกเป็น4ประการดังกล่าวมาแล้ว
1. สิ่งดึงดูดใจ สิ่งดึงดูดใจเกิดจากการที่มนุษย์มีประสาทสัมผัสที่ดีเยี่ยม เช่น ดวงตาที่รับภาพสีเหมือนสภาพธรรมชาติ
สามารถมองเห็นภาพได้กว้างไกลถึง180 องศามีสมองสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้และมีความทรงจามีหูซึ่งได้ยินสิ่งต่างๆ
สภาพของร่างกายมนุษย์ซึ่งมีความพร้อมดังกล่าวแล้วเป็นปัจจัยสาคัญในการกระตุ้นให้มนุษย์เกิดการรับรู้ในแหล่งท่องเที่ยว
ประกอบกับปัจจุบันมีความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีได้พัฒนาให้เกิดความเจริญก้าวหน้าทางด้านการขนส่ง การสื่อสาร
สื่อมวลชนและสิ่งอานวยความสะดวกในการเดินทางสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสาคัญให้มนุษย์เกิดการรับรู้และต้องการท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น
สิ่งดึงดูดใจด้านการท่องเที่ยว มีองค์ประกอบที่สาคัญ4ประการได้แก่ แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ
แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมชาติพันธุ์และการให้ความบันเทิง(Mill,1990:22)
1.1 แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติทุกๆพื้นที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามประทับใจ
ซึ่งเกิดจากลักษณะของธรรมชาติเช่นเป็นอ่าวแหลมเกาะ หน้าผาโขดหินฯลฯ ภูมิอากาศ
และความสวยงามตามธรรมชาติของพื้นที่นั้นๆ
สภาพธรรมชาติเหล่านี้เป็นสิ่งดึงดูดใจให้มนุษย์เดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ภายใต้เงื่อนไขของความแตกต่าง
ในเรื่องฉากของธรรมชาติภูมิอากาศและกิจกรรมที่จัดขึ้นความน่าสนใจของแหล่งท่องเที่ยวอาจเกิดขึ้นได้ 2ประการคือ
1.1.1 สถานที่น่าสนใจ(Site)เช่น อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทองจังหวัดสุราษฎร์ธานี
อันเป็นบ่อเกิดของทะเลสาบในหุบเขาที่น่าประทับใจและสวยงาม อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงามีภูเขาหมาจูเกาะปันหยีฯลณฯ
จังหวัดภูเก็ตมีแหลมพรหมเทพยื่นออกไปจากหน้าผา มุ่งสู่ทะเลลึก มีต้นตาลขึ้นบริเวณปลายแหลม
ยามดวงอาทิตย์ตกในเวลาเย็นจึงเป็นภาพที่สวยงามอันเกิดจากมุมมองจากที่สูงลงสู่ทะเล
1.1.2 เหตุการณ์น่าสนใจ(Event)ในบางฤดูกาลจะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ ขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับประเพณี วัฒนธรรม
ของแต่ละสถานที่กิจกรรมนั้นก็กลายเป็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจดึงดูดคนมาท่องเที่ยวเช่นประเพณีลอยกระทง
และสงกรานต์จังหวัดเชียงใหม่ ประเพณีแห่เทียนพรรษา จังหวัดอุบลราชธานีประเพณีไหลเรือไฟจังหวัดนครพนม ประเพณีชักพระ
จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในประเทศไทยมีประเพณีต่างๆ ซึ่งปฎิบัติติดต่อกันมาแต่โบราณมากมาย และกระจายอยู่ทุกภูมิภาคของประเทศ
ประเพณีดังกล่าวอาจเกิดจากความเชื่อความศรัทธา ที่แตกต่างกัน แต่พอจาแนกประเภทได้ดังนี้
ก.ประเพณีเกิดจากความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องผีหรือสิ่งลึกลับ(Animism)ก่อให้เกิดประเพณี ฟ้ อนผีมดผีเม็งของภาคเหนือ
การแห่ผีตาโขนของอาเภอด่านซ้ายจังหวัดเลยหรือประเพณีการไหว้ผีบ้านผีป่าผีฝายของชาวเขาในภาคเหนือของประเทศไทย
ข. ประเพณีเกิดจากเรื่องธรรมชาติก่อให้เกิดประเพณีการขอฝนเช่นแห่นางแมว
แห่ปลาช่อนแล้วนาปลาช่อนซึ่งหมายถึงพระโพธิสัตว์ปล่อยในแม่น้าทาจังหวัดลาพูนประเพณีบุญบั้งไฟ จังหวัดยโสธร
ค. ประเพณีเกิดจากพุทธศาสนา ก่อให้เกิดประเพณีตักบาตรเทโวประเพณีชักพระประเพณีบวชนาค
ประเพณีปอยส่างลองของชาวไตจังหวัดแม่ฮ่องสอนประเพณีการแข่งกลองหลวงของชาวไทยยอง ในจังหวัดลาพูน
- 13. ๑๓
1.1.2 เหตุการณ์น่าสนใจ(Event) ในบางฤดูกาลจะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ ขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับประเพณี วัฒนธรรม
ของแต่ละสถานที่กิจกรรมนั้นก็กลายเป็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจดึงดูดคนมาท่องเที่ยวเช่นประเพณีลอยกระทง
และสงกรานต์จังหวัดเชียงใหม่ ประเพณีแห่เทียนพรรษา จังหวัดอุบลราชธานีประเพณีไหลเรือไฟ จังหวัดนครพนม ประเพณีชักพระ
จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในประเทศไทยมีประเพณีต่างๆ ซึ่งปฎิบัติติดต่อกันมาแต่โบราณมากมาย
และกระจายอยู่ทุกภูมิภาคของประเทศไทย ประเพณีดังกล่าอาจเกิดจากความเชื่อความศรัทธาที่แตกต่างกัน
แต่พอจาแนกประเภทได้ดังนี้
ก.ประเพณีเกิดจากความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องผีหรือสิ่งลีลับ(Animism)ก่อให้เกิดประเพณี ฟ้ อนผีมดผีเม็งฟ้ อนผีมด ผีเม็ง
ของภาคเหนือการแห่ผีตาโขนของอาเภอด่านซ้ายจังหวัดเลยหรือประเพณีการไหว้ผีบ้านผีป่า ผีฝาย
ของชาวเขาในภาคเหนือของประเทศไทย
ข. ประเพณีเกิดจากเรื่องของธรรมชาติก่อให้เกิดประเพณีการขอฝนเช่นแห่นางแมว
แห่ปลาช่อนแล้วนาปลาช่อนแล้วนาปลาช่อนซึ่งหมายถึงพระโพธิ์สัตว์ปล่อยในแม่น้าทา จังหวัดลาพูนประเพณีบุญบั้งจังหวัดยโสธร
ค. ประเพณีเกิดจากพุทธศาสนา ก่อให้เกิดประเพณีตักบาตรเทโวประเพณีชักพระประเพณีบวชนาคประเพณีปอยส่งลอง
ของชาวไตจังหวัดแม่ฮ่องสอนประเพณีการแข่งขันกลองหลวงของชาวไทยยองในจังหวัดลาพูน
ง. ประเพณีเกิดจากศาสนาพราหมณ์ ก่อให้เกิดพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญหรือประเพณีอื่นๆที่เกี่ยวกับราชสานัก
บ่อเกิดของประเพณี อาจมีสาเหตุอื่นๆ ประกอบมากกว่านี้และประเพณีแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นก็มีการผสมผสานระหว่างความเชื่อ
ความศรัทธาหลายๆ อย่างวัฒนธรรมการของชนชาติที่ยาวนานเป็นแหล่งข้อมูลในการศึกษาอดีต
เพื่อเข้าในปัจจุบันและวางรากฐานของอนาคตดังนั้นประเพณีจึงมิได้จัดทาขึ้นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างเดียว
และการจัดประเพณีเพื่อการท่องเที่ยวก็ไม่ควรทาลายรากฐานของวัฒนธรรมเก่าๆ
ความภาคภูมิใจของคนในชาติสาคัญกว่าเงินตราที่ได้มาแล้วต้องนาเงินตราอันนั้นเยียวยาสังคมใหม่ และสภาพจิตใจมนุษย์
ภูมิอากาศเป็นสิ่งดึงดูดใจอย่างหนึ่งในการท่องเที่ยวและเป็นมนต์ขลังทาให้เกิดความประทับใจเรียกร้องให้กลับไปสู่อดีตณ
ที่เก่าอีกครั้งหนึ่งนักท่องเที่ยวส่วนมากไปเที่ยวภาคเหนือในฤดูหนาวเพราะอากาศเย็นท้องฟ้ าแจ่มใสมีดอกไม้สวยงามป่าไม้เขียวขจี
เพราะได้รับฝนอย่างเต็มที่ในฤดูร้อนเพราะในกรณีของต่างประเทศประชาชนในมลรัฐตอนเหนือของสหรัฐอเมริกา
จะเดินทางไปยังมลรัฐฟลอริดาเพื่ออาบแดดในฤดูร้อนและประชาชนในมลรัฐทางใต้
ซึ่งไม่มีหิมะก็เดินทางไปเล่นสกีที่แถบภูเข่ในมลรัฐโคโลราโดในฤดูหนาวนี้แสดงให้เห็นว่า
ภูมิอากาศเป็นตัวกาหนดวัตถุประสงค์ในการเดินทางของนักท่องเที่ยว
ที่ตั้งของแหล่งท่องเที่ยวเป็นสิ่งสาคัญอย่างหนึ่งในการตัดสินใจเดินทางของนักท่องเที่ยง
ถ้าที่ตั้งห่างไกลและขาดสิ่งอานวยความสะดวกในการเข้าไปถึงความต้องการเดินทางของนักท่องเที่ยวก็ลดน้อยลง
ถึงแม้ว่าสถานที่ท่องเที่ยวจะมีความประทับใจ
แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติมีความเปราะบางง่าย(Fragility)สาเหตุสาคัญที่สุดเกิดจากมนุษย์ซึ่งหลงเสน่ห์ในธรรมชาติ
ได้ทาลายธรรมชาติได้ทาลายธรรมชาติโดยไม่รู้ตัวหรือบางครั้งก็เจตนาเช่นการเดินทางเข้าไปยังเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า
และพักรวมในเวลาค่าคืนตลอดจนส่งเสียงดังย่อมเป็นการรบกวนสัตว์ทั้งในการพักผ่อนการหลับนอนการหาอาหารหรือ
แม่แต่การผสมพันธุ์ของสัตว์ต่างๆ อุทยานแห่งชาติทางทะเลบางแห่งจัดเตรียมไว้เพื่อรักษาระบบนิเวศและอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้าเช่น
เต่าทะเลซึ่งต้องวางไข่ไม่ได้ เพราะมีคนรบกวนแหล่งธรรมชาติควรมีการปิดบางฤดูกาล เพื่อให้มีการพักฟื้น