More Related Content
Similar to พระสงฆ์กับการเมือง (20)
More from Padvee Academy (20)
พระสงฆ์กับการเมือง
- 4. “ดูกรภิกษุทั้งหลาย กิจของสมณะที่สมณะควรทา ๓ อย่างนี้
๓ อย่างเป็ นไฉน? คือการสมาทานอธิศีลสิกขา ๑ การ
สมาทานอธิจิตสิกขา ๑ การสมาทานอธิปัญญาสิกขา ๑ ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ ท่านทั้งหลาย พึงศึกษา
อย่างนี้ว่า เราจักมีความพอใจอย่างแรงกล้าในการสมาทาน
อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายพึงศึกษาเช่นนี้แล”
(ใน สมณสูตร : องฺ. ติก. ๒๐/๕๒๑/๒๑๘)
๑. หน้าที่ในการศึกษาธรรม
- 5. “ภิกษุทั้งหลาย กิจใด ศาสดาผู้แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล ผู้
อนุเคราะห์เอื้อเอ็นดู พึงกระทาแก่สาวก กิจนั้น เรากระทา
แล้วแก่เธอทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นั่นโคนไม้ นั่นเรือน
ว่าง ขอเธอทั้งหลาย จงเพ่งพินิจ อย่าประมาท อย่าต้องเป็ น
ผู้เดือดร้อนใจในภายหลังเลย นี้คืออนุศาสนีของเราสาหรับ
เธอทั้งหลาย
(ในอรกานุสาสนีสูตร : องฺ. สตฺตก. ๒๓/๗๑/๑๐๗-๑๐๙)
๒. หน้าที่ในการปฏิบัติธรรม
- 7. “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกที่แสดงธรรมว่า อธรรม ฯลฯที่แสดงสิ่งที่มิใช่วินัย
ว่า วินัย ฯลฯ ที่แสดงวินัยว่า มิใช่วินัย ฯลฯ ที่แสดงพระดารัสอันพระตถาคต
มิได้ทรงภาษิต มิได้ตรัสไว้ว่า พระตถาคตทรงภาษิตไว้ตรัสไว้ ฯลฯ ที่แสดง
พระดารัสอันพระตถาคตได้ทรงภาษิตไว้ ตรัสไว้ว่า พระตถาคตมิได้ทรงภาษิต
ไว้ มิได้ตรัสไว้ ฯลฯ ที่แสดงกรรมอันพระตถาคตมิได้ทรงสั่งสมว่า พระตถาคต
ทรงสั่งสม ฯลฯ ที่แสดงกรรมอันพระตถาคตได้ทรงสั่งสมไว้ว่า พระตถาคต
มิได้ทรงสั่งสมไว้ ฯลฯ ที่แสดงสิ่งอันพระตถาคตมิได้ทรงบัญญัติไว้ว่า พระ
ตถาคตทรงบัญญัติไว้ ฯลฯ ที่แสดงสิ่งอันพระตถาคตทรงบัญญัติไว้ว่า พระ
ตถาคตมิได้ทรงบัญญัติไว้ ภิกษุเหล่านั้นชื่อว่าเป็ นผู้ปฏิบัติเพื่อไม่เป็ ประโยชน์
เกื้อกูล ไม่เป็ นความสุขแก่ชนเป็ นอันมาก เพื่ออนัตถะมิใช่ประโยชน์เกื้อกูลแก่
ชนเป็ นอันมาก เพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งย่อมประสบบาปมิใช่
บุญเป็ นอันมาก และย่อมยังสัทธรรมนี้ให้อันตรธาน ฯ”
(องฺ. เอก. ๒๐/๑๓๑-๑๓๘/๑๙-๒๑)
๔. หน้าที่ในการรักษาธรรม
- 11. การเมือง คือ งานของรัฐหรืองานของแผ่นดิน เป็ นงานที่มี
วัตถุประสงค์เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม
สร้างสรรค์ประโยชน์สุขของประชาชน โดยเนื้อแท้จึงเป็ นสิ่ง
ที่ทั้งดีงามและมีความสาคัญมาก พร้อมกันนั้น ก็เป็ นสิ่งที่
เกี่ยวข้องมีผลกระทบ ถึงบุคคลทุกคนในชาติบ้านเมืองนั้นๆ
ด้วยเหตุนี้ การเมืองจึงเกี่ยวข้องกับทุกคน
(พระพรหมคุณาภรณ์)
การเมืองคืออะไร?
- 13. พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี กล่าวว่า
หลักการของพระสงฆ์ที่เกี่ยวกับการเมืองมี 2 หลักการ คือ
1.พระสงฆ์ไม่ควรเล่นการเมือง หรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับ
ผลประโยชน์ทางการเมือง
2. ถ้าจะเกี่ยวข้องทางการเมืองจริงก็สามารถเกี่ยวได้กรณี
เดียวเท่านั้นคือ การแสดงธรรมหรือว่ากล่าวตักเตือน
นักการเมือง หากกระทาเกินกว่านี้ จะถือว่าผิดธรรมวินัย
บทบาทและหน้าที่ของพระสงฆ์ในทางการเมือง
- 14. คือ การแนะนาสั่งสอนธรรมเกี่ยวกับการเมือง โดยเฉพาะการแสดง
หลักการปกครองที่ดีงาม ชอบธรรม และเป็ นธรรม สอนให้
นักการเมืองมีคุณธรรม
เมื่อพระสงฆ์ทาหน้าที่นี้ พระสงฆ์เองจาจะต้องตั้งอยู่ในธรรม คือมี
ความเป็ นกลาง ที่จะแสดงธรรมเพื่อมุ่งประโยชน์ของประชาชน มิใช่
เพื่อมุ่งให้เกิดผลประโยชน์ส่วนตัว แก่กลุ่มคน หรือฝ่ ายหนึ่งฝ่ ายใด
และก็มิใช่ได้รับผลประโยชน์ทางการเมืองแก่ตนเอง และหน้าที่อีก
ประการหนึ่งที่สาคัญอย่างยิ่ง ก็คือ การที่ต้องรักษาความเป็ นอิสระ
ของสถาบันของตนไว้ในระยะยาว เพื่อเป็ นหลักประกันให้พระสงฆ์
ยุคสมัยต่อไปสามารถปฏิบัติหน้าที่ทางการเมืองของตนสืบไปได้
อย่างราบรื่น (พระพรหมคุณาภรณ์)
บทบาทและหน้าที่ของพระสงฆ์ในทางการเมือง
- 18. พระองค์ตั้งสถาบันอุดมคติ คือ สังคมสงฆ์ เพื่อเป็ นแม่แบบ
แก่สังคมฆราวาส เป็ นสังคมในอุดมคติที่ดีงาม อยู่กันอย่าง
สันติ มีกติกาของสังคม
แต่พระองค์ไม่ได้นาสถาบันที่ตัวเองตั้งขึ้นมา มาใช้เป็ น
กระแสหรือกลุ่มพลังทางการเมือง ที่จะกลับเข้าไปเปลี่ยน
สังคม คณะสงฆ์ไม่ได้เป็ นพลังอันนั้น เป็ นแต่เพียงแม่แบบ
เท่านั้น
บทบาทของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับการเมือง
- 19. ในอรรถกถาธรรมบท เรื่อง “ภูเขาทอง” มีอยู่ว่า ครั้งหนึ่ง
พระพุทธเจ้าเห็นการปกครองของบ้านเมืองไม่เป็ นธรรม ก็มี
ความดาริว่าทาไม ไม่เข้าไปยุ่ง เข้าไปจัดการปรับสภาพ
สังคม แล้วตั้งตัวเองเป็ นพระราชาปกครองเสียเองเพื่อให้คน
อยู่ดีมีสุข
พอมารทราบความคิดของพระพุทธเจ้า ก็เข้าทูลยุยงว่า
“ท่านมีอานาจ มีอิทธิฤทธิ์ ท่านทาได้ ขอได้ออกไปจัดการ
ปกครองบ้านเมืองเสียเถิด”
บทบาทของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับการเมือง
- 20. พระพุทธเจ้าก็ตรัสตอบว่า “ไม่ต้องมายุเราหรอก ต่อให้
เนรมิตภูเขาล้วนด้วยทองคาขึ้นมา มันก็ไม่สามารถสนอง
ความต้องการของมนุษย์อันไม่รู้จบได้ วิธีแก้ปัญหา มันควร
แก่ที่ใจคือแก้ความทุกข์ที่ใจ เราก็จะทาในลักษณะที่เคยทา
มา จะไม่ไปเกี่ยวของในลักษณะที่เพิ่มความโลภ ความโกรธ
ความหลงของคน คือ ออกไปยุ่ง ไปจัดการ เหมือนกับ
นักการเมืองเองหรอก”
บทบาทของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับการเมือง จึงมีลักษณะ
เหมือนกับ “ปุโรหิต”
บทบาทของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับการเมือง
- 22. ดังกรณี มหาปรินิพานสูตร ที่พระเจ้าอชาตศัตรูมีความ
ปรารถนาจะส่งกองทัพไปตีเมืองวัชชี จึงส่งพราหมณ์มาทูล
ถามพระพุทธเจ้าว่าสมควรจะตีเมืองวัชชีขณะนี้ดีหรือไม่
ในสถานการณ์นี้ถ้าพระพุทธเจ้ามีความสัมพันธ์ทางการเมือง
ก็จะต้องพูดชัดเจนออกไปว่าได้หรือเสียอย่างไร บางทีถ้า
เกิดชนะตัวเองอาจจะมีผลประโยชน์
แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ห้ามตรงๆ กลับตรัสถามพระอานนท์
ว่า
บทบาทของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับการเมือง
- 23. พระพุทธเจ้าตรัสถามพระอานนท์ว่า “เดี๋ยวนี้เจ้าลิจฉวี
ผู้ปกครองเมืองวัชชี ยังปฏิบัติธรรมะ ที่เราสอนไว้แต่ก่อนได้
หรือไม่ ธรรมนั้นเรียกว่า “วัชชีอปริหานิยธรรม”
พระอานนท์ตอบว่า “ยังยึดมั่นอยู่”
พระพุทธเจ้าตรัสกลับไปว่า “ถ้ายังยึดมั่นอยู่ ก็มีแต่ความ
เจริญไม่มีเสื่อม” ท่านตรัสเพียงแค่นี้
การพูดของพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็ นการเข้าไปเกี่ยวข้องอย่าง
ชัดเจนอย่างที่พระเจ้าอชาตศัตรูคาดหวัง เพราะฉะนั้น
จุดยืนของพระพุทธเจ้าจึงชัดเจนตรงที่การให้คาแนะนา
ไม่สาคัญว่าจะได้ผลประโยชน์หรือไม่ แต่เอาธรรมะเป็ น
ตัวกาหนดชี้นา
บทบาทของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับการเมือง
- 25. “ตุมเห หิ กิจจัง อาตัปปัง อักขาตาโร ตถาคตา”
“ความเพียรเป็ นกิจที่ท่านทั้งหลายจะต้องทา
พระตถาคตเป็ นแต่เพียงผู้ชี้ทาง” ในเรื่องทุกเรื่อง
เพระฉะนั้น แนวทางของพระพุทธเจ้าคือการปฏิรูปสังคม
ด้วยคาสอน โดยจะชี้นาเป็ นแบบอย่าง
บทบาทของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับการเมือง
- 28. เรื่ อง ห้ามพระภิกษุสามเณรเกี่ยวข้องกับการเมือง พ.ศ. ๒๕๓๘
อาศัย อานาจตามความในมาตรา ๑๕ ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ แก้ไข
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕ มหาเถรสมาคมจึงออกคาสั่ง
ไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ คาสั่งมหาเถรสมาคมนี้เรียกว่า "คาสั่งมหาเถรสมาคม เรื่ อง ห้ามพระภิกษุ
สามเณรเกี่ยวข้องกับการเมือง พ.ศ.๒๕๓๘"
ข้อ ๒ คาสั่งมหาเถรสมาคมนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในแถลงการณ์
คณะสงฆ์ เป็ นต้นไป
ข้อ ๓ ตั้งแต่วันใช้คาสั่งมหาเถรสมาคมนี้ ให้ยกเลิกคาสั่งมหาเถรสมาคม เรื่ อง ห้าม
พระสงฆ์เกี่ยวข้องกับการเมือง พ.ศ.๒๕๑๗
ข้อ ๔ ห้ามพระภิกษุสามเณรเข้าไปในที่ชุมนุม หรือบริเวณสภาเทศบาล หรื อสภา
การเมืองอื่นใด หรือในที่ชุมนุมทางการเมือง ไม่ว่ากรณีใดๆ
ข้อ ๕ ห้ามพระภิกษุสามเณรทาการใดๆ อันเป็ นการสนับสนุนช่วยเหลือโดยตรง
หรือโดยอ้อมแก่การหาเสียง เพื่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสภาเทศบาล
หรือสภาการเมืองอื่นใด แก่บุคคลหรือคณะบุคคลใดๆ
กฎหมายของมหาเถรสมาคมว่าอย่างไร
เกี่ยวกับเรื่องการเมือง?
- 29. เรื่ อง ห้ามพระภิกษุสามเณรเกี่ยวข้องกับการเมือง พ.ศ. ๒๕๓๘
อาศัย อานาจตามความในมาตรา ๑๕ ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ แก้ไข
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕ มหาเถรสมาคมจึงออกคาสั่ง
ไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๖ ห้ามพระภิกษุสามเณรร่ วมชุมนุมในการเรียกร้ องสิทธิของบุคคลหรือคณะ
บุคคลใดๆ
ข้อ ๗ ห้ามพระภิกษุสามเณรร่ วมอภิปราย หรือบรรยายเรื่ องเกี่ยวกับการเมือง ซึ่ง
จัดตั้งขึ้นทั้งในวัดหรือนอกวัด
ข้อ ๘ ให้พระสังฆาธิการตั้งแต่ชั้นเจ้าอาวาสขึ้นไป ผู้มีอานาจหน้าที่ในการปกครอง
ชี้แจงแนะนาผู้อยู่ในปกครองของตน ให้ทราบคาสั่งมหาเถรสมาคมนี้ และกวดขันอย่าให้มี
การฝ่ าฝื นละเมิด
ข้อ ๙ พระภิกษุสามเณรรูปใด ฝ่ าฝื น ละเมิด คาสั่งมหาเถรสมาคมนี้ ให้พระสังฆาธิ
การปกครองใกล้ชิดดาเนินการตามอานาจหน้าที่ของตน
ถ้า ความผิดเกิดขึ้นนอกเขตสังกัด ให้เจ้าคณะเจ้าของเขตที่ความผิดเกิดขึ้น ว่า
กล่าวตักเตือน แล้วแจ้งให้พระสังฆาธิการผู้ปกครองใกล้ชิดดาเนินการ
กฎหมายของมหาเถรสมาคมว่าอย่างไร
เกี่ยวกับเรื่องการเมือง?