More Related Content
Similar to การบริหารจิตและเจริญปัญญา
Similar to การบริหารจิตและเจริญปัญญา (20)
การบริหารจิตและเจริญปัญญา
- 3. การบริหารจิต คือ การฝึ กฝนอบรมจิตใจให้ดี
งาม นุ่มนวล อ่อนโยน มีความหนักแน่นมันคง
่
แข็งแกร่ งและมีความผ่อนคลายสงบสุ ข การ
บริ หารจิตในทางพุทธศาสนามี 2 อย่าง
1.สมถกรรมฐานหรือสมาธิภาวนา คือการฝึ ก
จิตให้เกิดความสงบ เรี ยกว่า สมาธิ
2.วิปัสสนากรรมฐาน คือการฝึ กอบรมจิตให้เกิด
ปัญญา เป็ นความรู ้แจ้งเห็นจริ งตามสภาพที่เป็ นจริ ง
- 4. การบริ ห ารจิ ต ตามหลัก พระพุ ท ธศาสนามี วิ ธี
ปฏิบติมากถึง 40 วิธี แต่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 2
ั
ให้ฝึกปฏิบติการบริ หารจิตตามหลักสติปัฏฐาน 4
ั
สติปัฏฐาน แปลว่า ที่ต้ งของสติ หมายถึง การตั้ง
ั
สติกาหนดพิจารณาสิ่ งทั้งหลายให้รู้เห็นตามความเป็ น
จริ ง มี 4 อย่าง คือ
- 5. 1.กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การตั้งสติกาหนดรู ้อย่างเท่าทันใน
เรื่ องของกายและอิริยาบถของร่ างกาย ได้แก่ ยืน เดิน นัง นอน และอื่น ๆ
่
2.เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง
กาหนดพิจารณาเวทนาให้รู้เห็น จริ งว่า
เป็ นแต่เพียงเวทนา คือ ทุกข์ หรื อเฉย ๆ
ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ๆ
การตั้งสติ
- 6. 3.จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การตั้งสติ
กาหนดพิจารณาจิต ว่าจิตในขณะนั้น ๆ เป็ นอย่างไร
่
ก็รู้ตามที่มนเป็ นอยูในขณะนั้น ๆ
ั
4.ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การตั้งสติ
กาหนดรู ้ทนสิ่ ง ปรากฏการณ์ หรื ออารมณ์ ที่เกิดกับ
ั
จิ ตว่าเป็ นกุศล อกุศล หรื อที่ เป็ นกลาง ๆ ว่าอาศัย
เหตุปัจจัยเกิ ดขึ้น เมื่อเหตุปัจจัยดับไป สิ่ งต่าง ๆ ก็
ดับไปด้วย ไม่มีสิ่งใดมีตวตนที่แท้จริ ง
ั
- 9. ขั้นตอนปฏิบัติ (ต่ อ)
4. เมื่อหายใจเข้า ก็ให้จิตกาหนดว่า เข้า เมื่อหายใจออก ก็กาหนดว่า ออก
การกาหนดลมหายใจ อาจภาวนาในใจว่า พุท (เวลาหายใจเข้า) และ โธ
(เวลาหายใจออก) หรื อใช้วิธีนบเลข โดยหายใจเข้าและออกแล้วนับ หนึ่ง นับ
ั
ไปเรื่ อย ๆ จนถึง สิบ แล้วเริ่ มนับหนึ่งใหม่ หรื ออาจจะกาหนดลมหายใจจาก
อาการยุบ – พองของหน้าท้อง โดยเมื่อหายใจเข้า ก็กาหนดว่า พองหนอ เมื่อ
หายใจออกก็กาหนดว่า ยบหนอ
ุ
- 10. ขั้นตอนปฏิบัติ (ต่ อ)
5.ปฏิบติไปเรื่ อยๆ จนได้เวลาพอควรแก่
ั
ร่ างกาย จึงออกจากการปฏิบติ
ั
6.แผ่เมตตาให้ตนเองและสรรพสัตว์ท้ งหลาย
ั
นักเรี ยนควรเลือกวิธีปฏิบติการบริ หารจิตให้
ั
เหมาะสมกับตน ในระยะแรก ๆ จิตอาจจะฟุ้ งซ่าน
ต้องใช้ความเพียรพยายาม หมันฝึ ก ปฏิบติบ่อย ๆ
ั
่
จิตจึงจะค่อยสงบตามลาดับ
- 13. โยนิโสมนสิ การ คือ การกระทาไว้ในใจโดย
อุบายอันแยบคาย ได้แก่ การใช้ความคิดอย่างถูก
วิ ธี การมองเห็ น สิ่ งต่ า ง ๆ แล้ ว น ามาพิ นิ จ
พิจารณาค้นคว้าสื บหาเหตุผลในสิ่ งนั้นให้ตลอด
สาย หรื อบางทีก็นาไปแยกแยะทาการวิเคราะห์
ด้วยความคิดย่างมีระเบียบ จนสามารถเข้าใจและ
เห็นแจ้งประจักษ์ในสิ่ งนั้น ๆ ตามความเป็ นจริ ง
ซึ่ งโยนิ โสมนสิ ก ารนั้น มี
10 วิธี ดัง นี้
- 14. 1.คิดแบบแยกแยะส่ วนประกอบ หรื อการ
กระจายเนื้อหา เป็ นการคิดที่มุ่งให้มองและให้รู้จก
ั
สิ่ งทั้งหลายตามสภาวะของมันเอง ในทางธรรม ใช้
พิจารณาเพื่อให้เห็นความไม่มีแก่นสารหรื อความ
ไม่เป็ นตัวเป็ นตนที่แท้จริ งของสิ่ งหลาย
- 15. 2.คิดแบบคุณโทษและทางออก เป็ นการมอง
สิ่ งทั้งหลายตามความเป็ นจริ งอีกแบบหนึ่ ง ซึ่ ง
่
เน้นการยอมรับความจริ งตามที่สิ่งนั้นเป็ นอยูทุก
แง่ทุกด้าน ทั้งด้านดีและด้านเสี ย
3.คิดแบบสื บสาวเหตุปัจจัย คือ การพิจารณา
ปั ญหา หาหนทางแก้ไ ข ด้ว ยการค้น หาสาเหตุ
และปัจจัยต่างๆ ที่สมพันธ์ส่งผลสื บทอดกันมา
ั
- 16. 4.คิดแบบอรรถสั มพันธ์ (คิดหลักการกับความ
มุ่ ง หมาย) คื อ พิ จ ารณาให้เ ข้า ใจความสั ม พัน ธ์
ระหว่างหลักการกับความมุ่งหมาย ก่ อนที่จะทา
การตามหลักการอย่างใดอย่างหนึ่ ง เพื่อให้ได้ผล
ตรงตามความมุ่งหมาย
5.คิดแบบแก้ปัญหา(วิธีคิดแบบอริ ยสัจ) เรี ยก
่
ตามโวหารทางธรรมได้วา วิธีคิดแห่งความดับ
ทุกข์
- 17. 6. คิดแบบรู้เท่ าทันธรรมดา (คิดแบบสามัญ
ลักษณ์) คือมองอย่างรู ้เท่าทันความเป็ นไปของ
สิ่ งทั้งหลายว่า ย่อมเกิดขึ้นและดับไปตามเหตุ
และปัจจัย ไม่มีสิ่งใดจีรังยังยืน
่
7. คิดแบบคุณค่ าแท้ -คุณค่าเทียม การคิด
พิจารณาเกี่ยวกับการใช้สอยบริ โภค ว่าสิ่ งใด
จาเป็ นหรื อไม่จาเป็ นในการดาเนินชีวิต
- 18. 8. คิดแบบปลุกเร้ าคุณธรรม หรื อ คิดแบบ
สร้างสรรค์ มีความสาคัญที่ทาให้เกิดความคิดและ
การกระทาที่ดีงามเป็ นประโยชน์ในขณะนั้นๆ
9. คิดแบบเป็ นอยู่ในขณะปั จจุบัน หรื อคิด
แบบมีปัจจุบนธรรมเป็ นอารมณ์ คือ การคิ ดที่สติ
ั
่ ั
ระลึกรู ้อยูกบสิ่ งที่กาลังเกิดขึ้น กาลังเป็ นไปอยู่
- 19. 10. วิธีคิดแบบวิภัชชวาท เป็ นการมองสิ่ ง
ต่าง ๆ โดยเเยกเเยะออกให้เห็ นเเต่ละเเง่เเต่ละ
ด้านให้ครบทุกด้าน ไม่ใช่ จบเอาบางเเง่ ข้ ึนมา
ั
วินิจฉัยตีคลุมลงไปอย่างนั้นทั้งหมด
- 20. 1. ประโยชน์ ที่เป็ นจุดหมายหรืออุดมคติทางศาสนา ประโยชน์ที่เป็ นความมุ่งหมาย
แท้จริ งของสมาธิ ตามหลักพระพุทธศาสนา คือเป็ นส่ วนสาคัญอย่างหนึ่ งแห่ งการปฏิบติ
ั
เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายสู งสุ ด อันได้แก่ ความหลุดพ้นจากกิเลสและทุกข์ท้ งปวง
ั
2. ประโยชน์ ในด้ านการสร้ างความสามารถพิเศษเหนือสามัญวิสัย ที่เป็ นผลสาเร็ จ
อย่างสู งในทางจิ ตหรื อ เรี ยกสั้น ๆ ว่า ประโยชน์ในด้านอภิ ญญา ได้แ ก่ การใช้ส มาธิ
ระดับฌานสมาบัติเป็ นฐาน ทาให้เกิดฤทธิ์ และอภิญญาขั้นโลกียอย่างอื่น คือ หูทิพย์ ตา
์
ทิพย์ ทายใจคนอื่นได้ ระลึกชาติได้
- 21. 3. ประโยชน์ ในด้ านสุ ขภาพจิตและการพัฒนาบุคลิกภาพ เช่น ทาให้เป็ นผูมีจิตใจ
้
และมีบุคลิกลักษณะที่เข้มแข็ง หนักแน่น มันคง สงบ เยือกเย็น สุ ภาพนุ่มนวล สดชื่น
่
ผ่องใส กระฉับกระเฉง กระปรี้ กระเปร่ า เบิกบาน งามสง่า มีเมตตากรุ ณา มองดูรู้จก
ั
ตนเองและผูอื่นตามความเป็ นจริ ง
้
4. ประโยชน์ ในชีวตประจาวัน เช่น ใช้ช่วยทาให้จิตใจผ่อนคลาย หายเครี ยด เกิด
ิ
ความสงบ เป็ นเครื่ องเสริ มประสิ ทธิ ภาพในการทางาน การเล่าเรี ยน และการทากิจทุก
่ ั
อย่าง เพราะจิตที่เป็ นสมาธิ แน่วแน่อยูกบสิ่ งที่กาลังกระทา ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่วอกแวก ไม่
เลื่อนลอย ย่อมช่วยให้เรี ยน ให้คิด ให้ทางานได้ผลดี และช่วยเสริ มสุ ขภาพกายและใช้
รักษาโรคได้