การจัดการความรู้ด้านการวิจัยโครงการศึกษาศิลปศาสตรบัณฑิตสหวิทยาการสังคมศาสตร์ วิทยาลัยสหวิทยาการ ปีการศึกษา 2555 แนวปฏิบัติที่ดี : การเขียนโครงการวิจัยเพื่อขอทุนสนับสนุน เทคนิคการเขียนบทความเพื่อเผยแพร่และแนวทางการนางานวิจัยไปใช้ประโยชน์

1. การจัดการความรู้ ด้านการวิจัย
โครงการศึกษาศิลปศาสตรบัณฑิตสหวิทยาการสั งคมศาสตร์ วิทยาลัยสหวิทยาการ ปี การศึกษา 2555
แนวปฏิบัติทดี : การเขียนโครงการวิจัยเพือขอทุนสนับสนุน เทคนิคการเขียนบทความเพือเผยแพร่
ี่ ่ ่
และแนวทางการนางานวิจัยไปใช้ ประโยชน์
 วิธีการเขียนข้ อเสนอโครงการเพือขอรับทุนสนับสนุนการวิจัย
่
จากการแบ่งปั นและ แลกเปลี่ยนความรู ้เกี่ยวกับ วิธีการเขียนข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับทุน
สนับสนุนการวิจยทางโครงการปริ ญญาตรี สามารถสรุ ปดังนี้
ั
สรุ ปแนวทางวิธีการเขียนข้ อเสนอโครงการเพือขอรับทุนสนับสนุนการวิจัย
่
โครงการที่มีแนวโน้มได้รับพิจารณาให้ได้รับทุน
1.คาถามวิจย/หัวข้อวิจยมีความชัดเจน (โดนใจผูให้ทุน)
ั ั ้
2.มีการทบทวนวรรณกรรม และตรวจเช็คข้อมูลการทาซ้ าของงานวิจยในสาขานั้นๆ
ั
3.ระบุวตถุประสงค์ได้ชดเจน
ั ั
4. แสดงกรอบแนวคิดและทฤษฎีที่ชดเจน ั
5.ออกแบบและใช้วทยวิธีวจัยที่เหมาะสม
ิ
6. ส่ งเสริ มให้เกิดการวิจยต่อ ั
7.มีขอมูลเบื้องต้น/มีการทาการศึกษาเบื้องต้น
้
8.มีแหล่งข้อมูลที่ตองการใช้ งานวิจยนาไปใช้ได้จริ ง
้ ั
โครงการที่มีแนวโน้มได้รับพิจารณาให้ได้รับทุน
1.หัวข้อวิจยยาวเกินไป ไม่ตรงประเด็น
ั
2.โครงสร้างและภาษาด้อยคุณภาพ
3.ใช้ศพท์เทคนิคที่ไม่เหมาะสม
ั
4.กากวม
5.ไม่มีเอกสารงานวิจยที่เกี่ยวข้อง
ั
6.ไม่มีการบูรณาการทฤษฏีในการนาเสนอเอกสารงานวิจยที่เกี่ยวข้อง
ั
7.ลอกเอกสารงานวิจยที่เกี่ยวข้อง
ั
8.ไม่มีทฤษฏีรองรับ
9.งบประมาณไม่เหมาะสมกับวิธีการ
10.งบประมาณไม่สมจริ ง
11.วิธีการไม่ชดเจน
ั

2. 12.วิธีการไม่เหมาะสม
13.ไม่มีอางอิงหรื อบรรณานุกรม
้
 เทคนิคการเขียนบทความเพือเผยแพร่
่
1.) กาหนดเป้ าหมาย หรื อ วัตถุประสงค์ในการเขียนให้แน่ชด
ั
2.) เลือกเรื่ องที่จะเขียน
3.) รวบรวมข้อมูล / ประมวลแนวคิด-ทฤษฎี-หลักการ
4.) วางเค้าโครง
5.) ลงมือเขียน
6.) ทบทวนเนื้อหาสาระที่เขียนว่าเป็ นไปตามเป้ าหมาย/วัตถุประสงค์ หรื อไม่
7.) ปรับแก้
8.) อ่านตรวจทาน
9.) หาที่ลงตีพมพ์เผยแพร่
ิ
10.) เก็บสาเนาหรื อต้นฉบับบทความไว้เป็ นที่ระลึก
บทความวิจัย
1.) ธรรมชาติของบทความวิจย
ั
- มีความยาวจากัด จัดทาขึ้นเพื่อนาเสนอต่อที่ประชุมวิชาการหรื อลงพิมพ์ในวารสารวิชาการ
- เป็ นเอกสารที่มีความทันสมัยและทันต่อเหตุการณ์ มากกว่ารายงานการวิจย ทั้งนี้เพราะผูวจย
ั ้ิั
สามารถเพิ่มเติมหรื อตัดทอนบางส่ วนของรายงานการวิจยเพื่อการเผยแพร่ ได้
ั
่
- มีคุณภาพที่เป็ นมาตรฐานมากกว่ารายงานการวิจยเพราะต้องทาให้อยูใน format ที่เป็ นที่ยอมรับ
ั
ตามหลักสากล
2. องค์ประกอบของบทความวิจย
ั
่ ั
ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าในบทความวิจยจะต้องประกอบไปด้วยหัวข้ออะไรบ้าง ทั้งนี้ข้ ึนอยูกบว่าผู ้
ั
ั ่
จะเขียนบทความวิจยนั้นอยูภายใต้บริ บทของอะไร และของใคร อย่างไรก็ตาม บทความวิจยที่ดีควรมี
ั
ส่ วนประกอบ ดังนี้
- ชื่อบทความ
- บทคัดย่อ / ABSTRACT
- ความนา / บทนา

3. - ระเบียบวิธีการวิจย
ั
- ผลการศึกษาวิจย
ั
- สรุ ป และอภิปรายผล (อาจรวมข้อเสนอแนะด้วยก็ได้)
- บรรณานุกรม
3.) แนวทางในการเขียนบทความวิจัย
- ถามตัวเองก่อนว่าจะเขียนไหม (ทาวิจยแล้วหรื อยัง)
ั
- ทาความเข้าใจในธรรมชาติของบทความวิจยให้ดีก่อน
ั
- กาหนดเค้าโครงที่จะเขียน
- อ่านทบทวนงานวิจยที่ทาให้ซาบซึ้ ง กี่เที่ยวก็ได้
ั
- พยายาม condence & digest เนื้อหาจากรายงานการวิจยมาเรี ยบเรี ยงเป็ นบทความ
ั
(หลีกเลี่ยงการตัดแปะ)
- เขียนตามลาดับขั้นตอน (sequences) ที่เป็ นที่ยอมรับ
- ตระหนักในเรื่ องการใช้ภาษา และถูกหลักไวยากรณ์
- อย่าคิดหรื อนึกว่าคนอื่นจะตรวจภาษาหรื อพิสูจน์อกษรให้
ั
4. ปัญหาทีมักพบเสมอๆในการเขียนบทความวิจัย
่
- ผูวจยคัดเอาบทสุ ดท้ายมาเป็ นบทความ หรื อใช้การตัดแปะ
้ิั
- ใช้ format ไม่ตรงกับที่วารสาร หรื อการประชุมกาหนด
- สาระไม่เหมาะสม (บทคัดย่อยาวเกินไป ขาดข้อมูลเชิงประจักษ์การนาเสนอผลด้วยตาราง
หรื อแผนภูมิโดยขาดคาอธิบาย)
- ใช้ภาษาไม่ถูกหลักวิชาการ และหลักไวยากรณ์
- บทสรุ ปไม่เป็ นไปตามวัตถุประสงค์/ ใช้ตวเลขมากเกินไป
ั
- ขาดการอภิปรายผล หรื อมีแต่อภิปรายไม่ถูกหลักการ
- ข้อเสนอแนะไม่ได้เกิดจากการศึกษาวิจย แต่มาจากผูวจยเอง
ั ้ิั
- บรรณานุกรมเขียนไม่ครบ และ/หรื อเขียนไม่ถูกต้องตามหลักการ

4.  สรุ ปแนวทางการนาวิจัยไปใช้ ประโยชน์
จากกระบวนการแบ่งปั นและแลกเปลี่ยนความรู ้เกี่ยวกับแนวทางการนาวิจยไปใช้ประโยชน์ ทาง
ั
โครงการปริ ญญาตรี สามารถสรุ ปแนวทาง /ทิศทางในการนาวิจยไปใช้ประโยชน์ สา หรับส่ งเสริ มให้
ั
คณาจารย์ประจาวิทยาลัยดาเนินการในปี การศึกษา 2555 ดังนี้
1. การส่ งเสริ มให้คณาจารย์ผลิตผลงานวิจยที่เน้นกระบวนการวิจยเชิงปฏิบติการแบบมีส่วน
ั ั ั
ร่ วม ที่เน้นการเสริ มสร้างความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น
2. ส่ งเสริ มให้คณาจารย์ผลิตผลงานวิจยที่มีนยยะเชิงนโยบา ย โดยการจัดระบบสนับสนุนการ
ั ั
เรี ยนรู ้หรื อการสร้างสรรค์ผลงานวิจยในลักษณะดังกล่าวให้เกิดขึ้น เช่น การมีเวที
ั
ั
แลกเปลี่ยนเรี ยนรู ้กบเมธี วจยอาวุโสที่มีประสบการณ์การทาวิจยที่มีนยยะเชิงนโยบาย , การ
ิั ั ั
จัดเวทีสัมมนาเพื่อแลกเปลี่ยนเรี ยนรู ้ประเด็นปั ญหาทางสังคมที่ควรเร่ ง ได้รับการแก้ไข /
ปั ญหาสังคมสาคัญๆต่างๆ
3. การจัดให้มีกระบวนการสรุ ป สังเคราะห์ ผลงานศึกษาวิจยของคณาจารย์ เพื่อเผยแพร่ สู่
ั
สาธารณะ
- กาหนดคณะทางานที่มีบทบาทในการคัดเลือก/คัดสรรผลงานวิจยของคณาจารย์ ั
- สรุ ปผลงานวิจยให้เป็ นภาษาที่เข้าใจง่าย และหรื อจัดทาข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
ั
- เผยแพร่ สู่สาธารณะ ; ตีพิมพ์ในหนังสื อพิมพ์ระดับชาติ-ระดับท้องถิ่น, ทาระบบคลังความรู้
่
เผยแพร่ ในเวปไซด์, เผยแพร่ ผานสถานีวทยุ ิ
4. การจัดให้มีเวทีสัมมนาเพื่อส่ งเสริ มการนาผลงานวิจยของคณาจารย์ไปใช้ประโยชน์ในการ
ั
พัฒนาสังคม