More Related Content
Similar to การเขียนบทความวิจัย บุรีรัมย์ ๙ พค ๒๕๕๔ (20)
การเขียนบทความวิจัย บุรีรัมย์ ๙ พค ๒๕๕๔
- 2. เนื้อหาสาระที่นำเสนอ ความสัมพันธ์ระหว่างการทำวิจัยและบทความวิจัย ความหมายและลักษณะสำคัญของบทความวิจัย การพิจารณาว่าเอกสารนั้นเป็นบทความวิจัย ความแตกต่างระหว่างบทความวิจัยและรายงานวิจัย ความแตกต่างระหว่างบทความวิจัยและ บทความวิชาการ เป้าหมายของการเผยแพร่ผลงานวิจัยในรูปบทความวิจัย ความจำเป็นในการเขียนบทความวิจัย หัวใจสำคัญของการเขียนบทความวิจัย © Chittrapa 2011
- 5. เนื้อหาสาระที่นำเสนอ การเลือกวารสารที่เหมาะสมกับบทความวิจัย แนวทางหรือ “กฎเกี่ยวกับผู้เขียน ” ประเด็นเกี่ยวกับผู้เขียนร่วม ที่สำนักงานของวารสาร คำแนะนำของบรรณาธิการ การดำเนินการกับข้อวิจารณ์ของคณะกรรมการพิจารณา อย่าท้อ ถ้าบทความวิจัยถูกปฏิเสธการตีพิมพ์ในวารสาร ข้อบกพร่องที่ทำให้บทความถูกปฏิเสธ © Chittrapa 2011
- 8. ความหมายและลักษณะสำคัญของบทความวิจัย บทความวิจัย (research article) เอกสารการวิจัย (research paper) บทความเชิงประจักษ์ในวารสาร (empirical journal article) เป็นเอกสารทางวิชาการ (academic paper) ประเภทหนึ่ง ที่นักวิจัยเขียนรายงานผลงานของตนเอง เพื่อนำเสนอใน วารสารวิชาการหรือนำเสนอในการประชุมวิชาการ © Chittrapa 2011
- 12. ความแตกต่างระหว่างบทความวิจัยและ บทความวิชาการ บทความวิจัยหมายถึงเอกสารที่เรียบเรียงจากการค้น คว้าอย่างมีระบบและมีความมุ่งหมายชัดเจนเพื่อให้ได้ ข้อมูลหรือหลักการบางอย่างที่จะนำไปสู่ความก้าวหน้า ทางวิชาการหรือการนำวิชาการมาประยุกต์ใช้ให้เกิด ประโยชน์ บทความวิชาการหมายถึงเอกสารซึ่งเรียบเรียงจากผล งานทางวิชาการของตนเองหรือผู้อื่นในลักษณะที่เป็น การวิเคราะห์ วิจารณ์หรือเป็นบทความที่เสนอแนวคิด ใหม่ๆจากพื้นฐานทางวิชาการนั้นๆ © Chittrapa 2011
- 17. ความจำเป็นในการเขียนบทความวิจัย เป็นการเผยแพร่องค์ความรู้ใหม่ที่ได้ค้นพบจากผลงานวิจัยให้บุคคลทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ความรู้ในสาขาเดียวกันได้ทราบ ทำให้มีการนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในวงกว้างขึ้น เป็นการปกป้องผลงานและ ไม่ให้มีการวิจัยซ้ำซ้อน เป็นกระบวนการที่ช่วยให้ผู้วิจัยมีความตระหนักในคุณภาพของการดำเนินงานวิจัย ทุกขั้นตอน เป็นกระบวนการที่นำไปสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของนักวิชาการ/นักวิจัยในสาขา เดียวกันและต่างสาขา เป็นการยกระดับชื่อเสียงของผู้วิจัยให้เป็นที่ยอมรับในวงกว้างขึ้น ถ้าได้รับการ ประเมินให้ตีพิมพ์ในวารสารที่มีความเป็นมาตรฐาน ทางวิชาการโดยเฉพาะ วารสารที่มี impact factor สูง เป็นการสร้างและขยายเครือข่ายเพื่อนนักวิจัยโดยเฉพาะเพื่อนนักวิจัยในสาขาวิชา เดียวกัน © Chittrapa 2011
- 27. โครงสร้างโดยทั่วไปของบทความวิจัย ชื่อเรื่อง รายละเอียดเกี่ยวกับผู้เขียน คำสำคัญ บทคัดย่อ ส่วนนำ จะบอกว่า “ บทความนี้เกี่ยวกับอะไร ” การทบทวนวรรณกรรม “ ความมุ่งหมายของการทบทวน วรรณกรรม” วิธีการ ผลการศึกษา การอภิปราย บทสรุป © Chittrapa 2011
- 28. โครงสร้างโดยทั่วไปของบทความวิจัย ชื่อเรื่อง หัวใจสำคัญคือลักษณะสำคัญของชื่อเรื่องต้องมีความเชื่อมโยงระหว่าง คำสำคัญ ( keywords) บทคัดย่อ (abstract) และส่วนนำ (introduction) มีความเฉพาะเจาะจงเพียงพอในการนำไปสู่การอธิบายเนื้อหา สั้นๆ ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย แต่ดึงดูดความสนใจ รายละเอียดเกี่ยวกับผู้เขียน เนื้อหาส่วนนี้ทำให้เห็นภาพความสัมพันธ์ระหว่างความเชี่ยวชาญของผู้เขียนกับเนื้อหาในบทความ คำสำคัญ คำสำคัญเป็นส่วนที่มองเห็นหัวใจของงานวิจัยและช่วยให้บทความมีสารบัญที่เหมาะสม บทคัดย่อ บทคัดย่อคือสาระที่สะท้อนเนื้อหาของบทความโดยสรุป ไม่ต้องอธิบายรายละเอียดยาว หลีกเลี่ยงการใช้คำฟุ่มเฟือย (wordy language) และใช้ภาษาที่กระชับ (concise substitute) ใช้คำที่สั้นกว่า แต่มีความหมายเหมือนกัน ควรมีย่อหน้าเดียว และมีจำนวนคำระหว่าง 100 – 120 คำ ไม่เขียนคำย่อหรือการอ้างอิงในส่วนนี้ © Chittrapa 2011
- 30. ความสำคัญของความประทับใจครั้งแรกในการอ่านบทความ ส่วนนำ (introduction) ส่วนนำจะบอกว่า “ บทความวิจัยนี้เกี่ยวกับอะไร”และ “เหตุใดจึงน่าสนใจและมีความสำคัญจนต้องทำวิจัย” ระบุชัดเจนเกี่ยวกับความเป็นมา ปัญหาในการวิจัย คำถาม วัตถุประสงค์ในการวิจัย กรอบแนวคิด สมมติฐาน สรุปความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่ดำเนินงานในปัจจุบัน (วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนของทฤษฎีและงานวิจัย) เชื่อมโยงเนื้อหาส่วนนี้กับกรอบแนวคิดการวิจัยและระเบียบวิธีวิจัย ส่วนนี้เป็นการเตรียมผู้อ่านให้เชื่อมโยงความคิดกับเนื้อหาในส่วนต่อไป บทนำควรมีประมาณ 1 -4 ย่อหน้า สรุปท้ายด้วยคำถามวิจัยเฉพาะในการวิจัย © Chittrapa 2011
- 34. องค์ประกอบของบทความวิจัย การอภิปรายและสรุปผล(Discussion and conclusion) ส่วนนี้เป็นการเสนอข้อค้นพบที่สำคัญ ไม่นำผลจากการนำเสนอข้อค้นพบมาเขียนซ้ำ การนำเสนอเป็นการอภิปรายระหว่างข้อค้นพบกับสมมติฐาน งานวิจัยในอดีตตลอดจนแนวคิดทฤษฎีว่ามีความสอดคล้องหรือขัดแย้งกันอย่างไร อภิปรายข้อดี ข้อบกพร่อง ข้อจำกัด ตลอดจนประเด็นที่มีข้อค้นพบที่ไม่คาดคิดมาก่อน การอภิปรายผลจะนำไปสู่การเสนอแนะทั้งในการนำผลหรือองค์ความรู้ใหม่ไปใช้ประโยชน์ปฏิบัติจริงและการนำไปสู้ประเด็นการวิจัยต่อไป © Chittrapa 2011
- 38. แนวทางการเขียนบทความวิจัย ผู้เขียนบทความ ต้องมีความเข้าใจกระจ่างแจ้งในรายงานวิจัยที่จะนำมาเขียน การเขียน เริ่มจากการอ่านรายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์และบันทึกต่างๆระหว่าง การดำเนินงานวิจัยอย่างละเอียด ทำความเข้าใจทุกประเด็น จัดทำโครงร่าง การจัดลำดับความคิด การเรียบเรียงเนื้อหาสาระเป็นฉบับร่าง ค้นหาแหล่งอ้างอิง และบันทึกไว้สำหรับการเขียนในแต่ละหัวข้อ เพื่อหลีกเลี่ยง การลอกเลียนผลงานผู้อื่น หรือ plagiarism นำบทความ ฉบับร่างทิ้งไว้ประมาณ 3 – 7 วัน ก่อนนำมาอ่านเพื่อปรับปรุง การเสนอเนื้อหา ต้องตรงไปตรงมา ชัดเจน ถูกต้อง สมบูรณ์ จนผู้อ่านสามารถ ทำวิจัยในลักษณะเดียวกันได้ การใช้ภาษา ใช้ภาษาทางการที่เป็นมาตรฐาน ถูกต้องตามหลักภาษา เหมาะสมกับผู้อ่านที่เป็นนักวิชาการ © Chittrapa 2011
- 39. แนวทางการเขียนบทความวิจัย การลำดับเนื้อหา จัดลำดับตามหลักการวิจัย มีความต่อเนื่องตั้งแต่ต้นจนสรุป และอภิปรายผลการวิจัย แต่ละย่อหน้ามีประโยคสำคัญที่เชื่อมโยงถึงกัน เนื้อหาในแต่ละย่อหน้ามีการลำดับความต่อเนื่อง การใช้คำศัพท์ ควรใช้คำศัพท์ทางวิชาการและใช้ให้เหมือนกันทั้งฉบับ ถ้าเป็นศัพท์ใหม่จากต่างประเทศควรมีวงเล็บกำกับ การอ้างอิง ควรใช้ให้เหมือนกันทั้งฉบับ ส่วนใหญ่จะเป็นไปตามข้อกำหนด ของวารสารที่ตีพิมพ์แต่ละฉบับ ซึ่งอาจมีรูปแบบ ( style) ที่แตกต่างกันบ้าง เช่น APA style, MLA style, Turabian or Chicago style การเขียนประโยค ควรเขียนแต่ละประโยคให้เป็นประโยคสมบูรณ์ ระวังเครื่องหมายวรรคตอน ใช้ประโยคสั้นและไม่ควรใช้ประโยคซ้อนประโยค แต่ละประโยคต้องสัมพันธ์กัน © Chittrapa 2011
- 40. แนวทางการเขียนบทความวิจัย การเขียนย่อหน้า แต่ละย่อหน้าต้องมีประโยคที่บอกใจความสำคัญ มีคำเชื่อมโยง แต่ละย่อหน้าโดยเฉพาะเวลาต้องการสื่อให้ผู้อ่านทราบว่าจะ เปลี่ยนใจความสำคัญในย่อหน้าต่อมา มีระบบการเรียบเรียงความคิด และมีเนื้อหาสนับสนุนความคิดหลักหนึ่งประโยคนับเป็นหนึ่งย่อหน้าไม่ได้ ถ้าความสามารถในการเขียน ไม่ดี ต้องขอความช่วยเหลือ เพื่อปรับปรุงงานให้ดีขึ้น เมื่อตรวจสอบสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดแล้วให้พิมพ์ต้นฉบับ พิสูจน์อักษร ดูความชัดเจนของตัวอักษร คุณภาพการพิมพ์ ความถูกต้อง ของรูปแบบ และการอ้างอิง © Chittrapa 2011
- 41. แนวทางการเขียนบทความวิจัย เมื่อมั่นใจ ว่าพร้อมส่งบทความวิจัยเพื่อตีพิมพ์แล้วให้ เพื่อนผู้ชำนาญสาขาวิชาเดียวกันหรือ peer ช่วยอ่านและวิจารณ์ อาจพิจารณา ให้ผู้ช่วยบรรณาธิกรกิจ ปรับปรุงอย่างรอบคอบ ตรวจทานจนมีความมั่นใจ ตอบคำถามตนเองและเพื่อนได้ทุกประเด็น จึงส่งบทความไปยังวารสารทั้งในรูปเอกสารและVCD ข้อพึงระวัง 1. อย่าพึ่งโปรแกรมตัวสะกดให้ทำหน้าที่ตรวจสอบแทนคุณ 2. ตรวจสอบความปลอดภัยด้านเอกสาร โดยทำสำเนาเพื่อป้องกัน ข้อมูลสูญหายและจัดระบบข้อมูลที่พิมพ์และแก้ไขแต่ละครั้ง 3. งานเขียนที่สุกเอาเผากินไม่มีโอกาสได้รับการตีพิมพ์ ในวารสาร ที่มีมาตรฐาน © Chittrapa 2011
- 42. การทบทวนวรรณกรรม (literature review ) วัตถุประสงค์ของการทบทวนวรรณกรรม ความสำคัญของการวิเคราะห์วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องคือการแสดงให้ผู้อ่านทราบถึงความสัมพันธ์ของวรรณกรรมเหล่านั้น และความตั้งใจของผู้วิจัยที่จะขยายความรู้ในสาขาวิชานี้ การทบทวนวรรณกรรมจำเป็นต้องมีมากกว่าการนำงานของผู้อื่นมา เล่าอีกครั้ง ต้องสังเคราะห์ให้เห็นภาพความเชื่อมโยงกับงานวิจัย คุณจำเป็นต้องทำระบุให้ชัดเจนว่าความคิดใดเป็นของคุณ พึงระวังการลอกเรียนงานของผู้อื่น (plagiarism) © Chittrapa 2011
- 43. การทบทวนวรรณกรรม (literature review ) คำเตือน การลอกเลียนงานของผู้อื่นและลิขสิทธิ์ (plagiarism & copyright) การอ้างอิงในงานของคุณถูกต้องตามหลัก มาตรฐานสากล หรือไม่ บทความของคุณจะถูกตีพิมพ์โดยไม่ต้องกังวลเรื่องลิขสิทธิ์หรือ จริยธรรมหรือไม่ © Chittrapa 2011
- 44. การทบทวนวรรณกรรม (literature review ) การทบทวนวรรณกรรมต้องแสดงให้ผู้อ่านเห็นประเด็นต่อไปนี้ คุณเข้าใจความรู้เฉพาะสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อวิจัยของคุณ อธิบายว่างานวิจัยทั้งหมดที่ทบทวนเกี่ยวข้องกับงานวิจัยที่ กำลังจะดำเนินการอย่างไร อธิบายว่ามีความรู้ที่ได้พัฒนาและสั่งสมในช่วงเวลาที่ผ่านมา อย่างไร อธิบายว่าการวิจัยของคุณเกี่ยวข้องกับงานในอดีตอย่างไร อธิบายเหตุผลว่าทำไมคุณจึงต้องวิจัยงานนี้ (ช่องว่างระหว่างความรู้ในอดีตกับสิ่งที่ควรรู้ในปัจจุบัน แต่ยังไม่รู้) มีการให้เกียรติ์ (acknowledge) โดยการอ้างอิงงานวิจัยของผู้อื่น © Chittrapa 2011
- 45. การทบทวนวรรณกรรม (literature review ) การทบทวนวรรณกรรมที่ไม่มีประสิทธิภาพประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้ การละเลยการกล่าวถึงแหล่งค้นคว้าที่สำคัญ งานที่นำมาอ้างอิงเป็นงานที่ล้าสมัย การนำเอามุมมองที่จำกัดของแหล่งอ้างอิงมาใช้ งานที่นำมาใช้อ้างอิงบางส่วนไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานวิจัย การตีความจากแหล่งข้อมูลผิดพลาด การอ้างอิงงานที่ผู้วิจัยไม่ได้อ่าน การอ้างอิงกับบรรณานุกรมไม่ตรงกัน ขาดกระบวนการสังเคราะห์งานที่ศึกษาทบทวน การนำงานที่ไม่สำคัญของตนเองมาอ้างอิง
- 46. การทบทวนวรรณกรรม (literature review ) การทบทวนวรรณกรรมที่ดีประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้ มีสาระที่ระบุถึงงานวิจัยที่มีความสำคัญทั้งในปัจจุบันและในอดีต มีการสังเคราะห์เชื่อมโยงงานวิจัยในอดีตเข้าด้วยกัน เป็นการแสดงถึงขอบ เขตความรู้ที่กว้างขวางและลุ่มลึก ช่วยให้เห็นภาพที่ชัดเจนของงานวิจัยในอดีตที่มีผลหรือสนับสนุนให้เกิดงานวิจัยในปัจจุบัน มีการอธิบายประเด็นที่เป็นหัวใจสำคัญของแต่ละบริบท การทบทวนวรรณกรรมมีการจัดระบบการเรียบเรียง (well organize) ที่ดี เนื้อหาและวิธีการเขียนน่าสนใจที่จะอ่าน เนื้อหาสาระที่ทบทวนมีความทันสมัย © Chittrapa 2011
- 47. การตีพิมพ์ผลงานวิจัย ก่อนจะเริ่มทำงานวิจัยให้วางแผนทั้งระบบครบวงจรไปจนถึงขั้น ตีพิมพ์บทความวิจัยในวารสารที่เป็นที่ยอมรับในระดับชาติหรือ นานาชาติและการนำเสนอผลงานวิจัยในเวทีต่างๆ อย่าสนุกและเพลินเฉพาะกับการอ่านผลงานที่ได้รับการ ตีพิมพ์ของผู้อื่น หาวิธีบอกผู้อื่นๆ ว่าคุณได้ทำวิจัยที่มีคุณค่าอะไรไปบ้างแล้วบอก วิธีที่คุณทำ และอธิบายถึงเหตุผลที่คุณทำว่าเรื่องนี้มีความสำคัญ มากน้อยเพียงใด ส่งบทความวิจัยของคุณไปตีพิมพ์ © Chittrapa 2011
- 51. การเลือกวารสารเป้าหมายการตีพิมพ์ พิจารณารูปแบบของวารสาร พิจารณาผู้อ่านเป้าหมายของวารสาร พิจารณาถึงการประสานงานติดต่อกับบรรณาธิการ ทบทวนประเด็นที่จำเป็น เช่น รูปแบบ , การจำกัด จำนวนคำและอื่นๆ การพิจารณาประเด็นอื่นๆ เช่น ชื่อเสียงของวารสาร / มี impact factor หรือไม่/ได้รับการ รับรองจากหน่วยงานมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง/อยู่ในฐานข้อมูล ความเป็นไปได้ในการได้รับการตีพิมพ์ผลงาน ผู้อ่านบทความวิจัย © Chittrapa 2011
- 52. มาตรฐานคุณภาพของวารสารทางวิชาการ วารสารที่มีimpact factor วารสารที่ไม่มี impact factorแต่บทความที่ตีพิมพ์ได้ รับการดัชนีไว้ในฐานข้อมูลผลงานวิจัยนานาชาติ มี เงื่อนไขการยอมรับคุณภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด วารสารที่ไม่มี impact factor บทความที่ตีพิมพ์ได้รับ การดัชนีไว้ในฐานข้อมูลผลงานวิจัยนานาชาติ จะได้รับ การยอมรับว่าเป็นวารสารวิชาการระดับชาติ หาก เข้าเกณฑ์เงื่อนไขตามเกณฑ์ที่กำหนด © Chittrapa 2011
- 53. มาตรฐานคุณภาพของวารสารทางวิชาการ วารสารที่มี impact factor สามารถอธิบายง่ายๆ คือ 1. impact factor คือการวัดจำนวนความถี่ของบทความโดยทั่วไป "average article"ในวารสารได้ถูกอ้างอิงในปีใดปีหนึ่ง หรือช่วงเวลา ใดเวลาหนึ่ง 2. จะมีอัตราส่วนที่สัมพันธ์กันระหว่างส่วนที่ถูกอ้างอิงกับ เรื่องที่ตีพิมพ์ไปแล้วเร็วๆนี้ ที่สามารถอ้างอิงได้ 3. impact factorของวารสารคำนวณโดยการแบ่งจำนวนของส่วนที่ถูกอ้างอิงในปีปัจจุบันออกจากเรื่องที่ตีพิมพ์ไปแล้วในวารสารนั้นๆ ในระหว่างสองปีที่ผ่านมา © Chittrapa 2011
- 54. มาตรฐานคุณภาพของวารสารทางวิชาการ วารสารที่มี impact factor เป็นวารสารที่ได้รับการยอมรับเข้าอยู่ในฐานข้อมูล ของ ISI (Institute of Scientific Information) หรืออยู่ในฐานข้อมูลอื่นที่สามารถบอกอัตราการอ้างอิง ของบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารดังกล่าวได้ วารสารในประเทศไทยที่อยู่ในฐานข้อมูล ISI คือ Asian Pacific Journal of Allergy and Immunology (Impact Factor 0186) © Chittrapa 2011
- 55. มาตรฐานคุณภาพของวารสารทางวิชาการ วารสารที่ไม่มี impact factorแต่บทความที่ตีพิมพ์ได้รับ การดัชนีไว้ในฐานข้อมูลผลงานวิจัยนานาชาติ มีเงื่อนไขการยอมรับคุณภาพ ดังนี้ editorial board ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ ระดับศาสตราจารย์ หรือเทียบเท่า ไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ จาก ภายนอก ประเทศ reviewer เป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ทำงานวิจัย และมีผลงาน วิจัยต่อเนื่อง มีผู้ประเมินจากต่างประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 มีบทความจากต่างประเทศตีพิมพ์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของบทความทั้งหมด © Chittrapa 2011
- 56. การตรวจสอบค่า Impact Factor เดือนกรกฎาคม-กันยายนของทุกปี บริษัท Thomson ISI http://www.isinet.comหรือเดิมคือ ISI ( Institute of Scientific Information) จะผลิตฐานข้อมูลที่มีชื่อว่า Journal Citation Reports (JCR) ซึ่งจัดทำอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 40 ปี สมัยก่อนจัดทำในลักษณะสิ่งพิมพ์ช่วยค้น ปัจจุบันผลิตและจำหน่ายในรูปแบบ CD-ROM และ Web Edition โดยครอบคลุมวารสารสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับนานาชาติ จากทั่วโลก © Chittrapa 2011
- 57. Journal Impact Factor (JIF)ดัชนีผลกระทบการอ้างอิงวารสาร จำนวนครั้งโดยเฉลี่ยที่บทความของวารสารนั้นจะได้รับการอ้างอิงในแต่ละปี (A measure of the frequency with which the ‘average article’ in a journal has been cited in a particular year or period) โดยผู้ที่คิดค้น JIF คือ Dr. Eugene Garfield และ Irving H Sherแห่งสถาบัน ISI (Institute for Scientific Information) หรือ Thomson Reuters แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงทศวรรษ 1960 เพื่อใช้ดัชนีนี้ในการคัดเลือกวารสารเข้าสู่ฐานข้อมูลของสถาบัน ISI © Chittrapa 2011
- 58. Journal Impact Factor (JIF)ดัชนีผลกระทบการอ้างอิงวารสาร ข้อมูลการอ้างอิงนี้ ได้มาจากการอ้างอิงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา 2 ปีของกลุ่มวารสารจำนวนหนึ่งที่ปรากฏในฐานข้อมูลของสถาบัน ISI จำนวน 3 ฐานข้อมูล คือ ฐานข้อมูล Science Citation Index (SCI), Social Science Citation Index (SSCI) และ Arts and Humanities Citation Index (A&HCI) สูตรการคำนวณค่า Journal Impact Factors ตามวิธีการของสถาบัน ISI
- 59. มาตรฐานคุณภาพของวารสารทางวิชาการ วารสารที่ไม่มี impact factor บทความที่ตีพิมพ์ไม่ได้รับการดัชนีไว้ในฐานข้อมูลผลงานวิจัยนานาชาติ จะได้รับการยอมรับว่า เป็นวารสารวิชาการระดับชาติ หากเข้าเกณฑ์เงื่อนไขดังต่อไปนี้ editorial board ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ ระดับ ศาสตราจารย์ หรือเทียบเท่า ไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 เป็นผู้ทรงคุณวุฒิจาก ภายนอกสถาบัน reviewer เป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ทำงานวิจัย และ มีผลงานวิจัยต่อเนื่อง มีบทความจากต่างสถาบันตีพิมพ์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของบทความ ทั้งหมด และเพิ่มไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 อนาคต มีการประเมินคุณภาพของวารสารทุกๆ 2 ปี © Chittrapa 2011
- 61. ประเภทของวารสารทางวิชาการ วารสารแนวปริทัศน์ เป็นบทความที่ตีพิมพ์บทความที่มีลักษณะเป็นบูรณาการ หรือการสังเคราะห์งานวิจัยหรือการสังเคราะห์ทฤษฎีตลอดจนการพัฒนากรอบแนวคิดในสาขาต่างๆตามจุดเน้นของวารสาร เช่น Review of Educational Research (RER) รับบทความที่เป็นปริทัศน์เชิงบูรณาการของรายงานวิจัยทางการศึกษาเป็นหลัก วารสารที่พิมพ์เผยแพร่เป็นรายเดือนหรือพิมพ์มากกว่า 6 ฉบับต่อปี รับเฉพาะบทความทางวิชาการขนาดสั้น กำหนดจำนวนคำ บทความต้องแสดงความคิดเห็น วิสัยทัศน์ การวิเคราะห์ การอภิปราย ซึ่งทำให้เกิดการสร้างสรรค์ทางวิชาการ เช่น Educational Researcher (ER) รับบทความวิจัยน้อย © Chittrapa 2011
- 62. การนำบทความวิจัยไปตีพิมพ์ในวารสาร เลือกวารสาร อ่าน “กฎเกี่ยวกับ ผู้เขียน ”(rules for authors) และใช้ตรวจสอบงานของคุณก่อนส่งบทความ เขียนบทความตามที่กฎระบุ อ่านตรวจทานบทความ ให้ผู้ที่มีความรู้ความชำนาญในสาขาวิชานี้อ่านและ วิจารณ์ © Chittrapa 2011
- 63. การเลือกวารสารที่เหมาะสมกับบทความวิจัย คุณอ้างอิงงานวิจัยจากวารสารนี้ในบทความของคุณหรือไม่ วารสารนี้ตีพิมพ์บทความที่เกี่ยวข้องกับชื่อเรื่องบทความ ของคุณมาแล้วเมื่อเร็วๆนี้หรือไม่ เวลาที่เขียนบทความเสร็จคือเมื่อใด เลือกวารสารต่างประเทศที่มีชื่อเสียง แสวงหาคำแนะนำจากเพื่อน ผู้อ่านบทความหรือผู้บังคับบัญชา หรือที่ปรึกษางานวิจัย ถ้ามีความสงสัยให้เขียนหรืออีเมล์ถึงบรรณาธิการถามว่า บทความของคุณเหมาะสมกับวารสารนี้หรือไม่ © Chittrapa 2011
- 64. แนวทางหรือ “กฎเกี่ยวกับผู้เขียน ” วารสารต่างๆมุ่งที่จะทำเงินให้กับเจ้าของและมีแนวทางที่จะทำให้ การเสนอบทความ เพื่อการตีพิมพ์ที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิ์ภาพที่สุด กฎเกี่ยวกับผู้เขียนหาอ่านได้ในวารสารนั้นๆ คุณอาจเว็บไซด์ของวารสารเพื่อได้ข้อมูลอื่นที่เป็นประโยชน์ ข้อผิดพลาดทั่วไปในบทความที่สั่งตีพิมพ์ 1. โครงสร้างทั้งหมดไม่ใช้รูปแบบของวารสารนั้น 2. การอ้างอิงอยู่ในรูปแบบที่ผิด (การอ้างอิงของแต่ละวารสารจะต่างกัน – คุณใช้ฐานข้อมูล เช่น endnote หรือไม่) 3. หัวข้อย่อยไม่ถูกต้อง 4. เนื้อหายาวเกินไป (ตรวจสอบจำนวนคำ) 5. ตัวเลขไม่ใช่รูปแบบที่ถูกต้อง © Chittrapa 2011
- 65. ประเด็นเกี่ยวกับผู้เขียนร่วม หน่วยงาน/สถาบันการศึกษาของแต่ละประเทศจะมีนโยบาย เกี่ยวกับผู้เขียนร่วม เช่น มหาวิทยาลัยในออสเตรเลียได้ระบุ นโยบายไว้ใน co - authorship based on the Joint NHMRC/UA Statement and Guidelines on Research Practice เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้เกียรติ์และระบุชื่อผู้ช่วยวิจัย ไว้ในบทความ ผู้ช่วยวิจัยจำนวนน้อยที่จะเป็นผู้เขียนบทความวิจัยได้ © Chittrapa 2011
- 67. ตัวอย่างเหตุการณ์ที่สำนักงานของวารสาร คณะกรรมการพิจารณาส่งเรื่องกลับไปที่บรรณาธิการ เฉพาะ เรื่อง บรรณาธิการเฉพาะเรื่องตัดสินใจว่าข้อวิจารณ์ของ คณะกรรมการพิจารณาเป็นที่ยอมรับได้ หรือเพียงพอว่า เห็นชอบได้โดย ไม่ต้องพึ่งกรรมการเพิ่ม (additional referees) ถ้าคณะกรรมการพิจารณาเห็นชอบโดยทั่วไป บรรณาธิการก็จะ ส่งข้อวิจารณ์และคำแนะนำโดยเฉพาะบางอย่าง (specific recommendation) กลับคืนมาที่ผู้เขียน โดยแจ้งว่าผู้เขียนต้อง ปรับปรุงอะไรบ้าง © Chittrapa 2011
- 69. การดำเนินการกับข้อวิจารณ์ของคณะกรรมการพิจารณา อ่านข้อวิจารณ์แล้วโกรธ และเก็บข้อวิจารณ์นั้นไว้เป็นเวลา 2 วัน นำข้อวิจารณ์มาอ่านใหม่ ลดการใช้อารมณ์ แก้ไขแต่ละข้อวิจารณ์โดยเฉพาะ จงถ่อมตัว (be humble) ยอมรับข้อบกพร่อง และรับรู้ว่าที่ผ่านมา คุณอาจ เขียนได้ดีกว่านี้ การพิจารณาตามข้อวิจารณ์ของกรรมการเรียงลำดับที่ละคน อย่ากระโดด ไปมา ในประเด็นที่สามารถยอมรับว่าข้อวิจารณ์ของคณะกรรมการพิจารณา ให้ ปรับเปลี่ยนตามที่คณะกรรมการพิจารณาเสนอแนะ ทำรายการแก้ไข ไว้ ทุกหน้าทุกบรรทัด ถ้าไม่เห็นด้วยกับข้อวิจารณ์ของคณะกรรมการพิจารณาในจุดใด ให้ชี้แจง ว่าไม่เห็นด้วยอย่างไรพร้อมระบุเหตุผล © Chittrapa 2011
- 70. การดำเนินการกับข้อวิจารณ์ของคณะกรรมการพิจารณา ในประเด็นที่ไม่เห็นด้วยกับคณะกรรมการพิจารณา จงให้หลักการและ เหตุผล รวมถึงอ้างอิงงานของผู้อื่นเพื่อพิสูจน์ว่าคุณถูกต้อง บางครั้งคณะกรรมการพิจารณาเข้าใจประเด็นคลาดเคลื่อนหรือไม่ เข้าใจ ประเด็นที่คุณนำเสนอ ถ้าคณะกรรมการพิจารณายังตงไม่เข้าใจประเด็นที่คุณเขียน คุณต้อง เขียนใหม่ ถ้าคณะกรรมการพิจารณาไม่ได้ดูหรืออ่านข้ามประเด็นที่คุณนำเสนอให้ อธิบายอย่างสุภาพว่าคุณเขียนไว้ที่ใดในบทความ เขียนรายละเอียดถึงบรรณาธิการ อธิบายถึงประเด็นที่แก้ไขตามข้อ เสนอแนะ และอธิบายอย่างมีเหตุผลและหลักวิชาในประเด็นที่ไม่เห็น ด้วย - ก่อนส่งบทความที่แก้ไขไปยังบรรณาธิการอ่าน “กฎของผู้เขียน” อีก ครั้งแล้วดำเนินการตามอย่างเข้มงวด © Chittrapa 2011
- 71. อย่าท้อ ถ้าบทความวิจัยถูกปฏิเสธการตีพิมพ์ในวารสาร อ่านรายงานของคณะกรรมการพิจารณา และจดหมายของ บรรณาธิการ แล้วเก็บไว้จนกว่าคุณจะหายโกรธและใจเย็น พอที่จะยอมรับคำวิจารณ์ อ่านจดมายและข้อวิจารณ์ใหม่ แล้วทำการแก้ไขตามที่ได้รับ คำแนะนำ ตัดสินใจว่าต้องมีการเก็บข้อมูลใหม่หรือวิเคราะห์ข้อมูล เพิ่มเติมหรือไม่ ถ้าคำตอบคือ “ใช่” ก็จงทำ ถ้าคำตอบคือ “ไม่ใช่” ให้ส่งบทความไปวารสารอื่นหลังจากแก้ไขของเก่า แล้วจงใช้คำแนะนำเดิมเพื่อทำให้บทความของคุณดีในการ พยายามครั้งที่สอง ต้องไม่หมดกำลังใจ (disheartened) © Chittrapa 2011
- 84. โครงการประเมินคุณภาพผลงานวิจัยเชิงวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยปี โดย สกว. การกำหนดนํ้าหนักบทความที่ตีพิมพ์ 1.วารสารวิชาการนานาชาติ ที่อยู่ในฐานข้อมูล SCI ของ ISI ให้ค่านํ้าหนักเท่ากับ 1 2.วารสารวิชาการนานาชาติ ที่ไม่อยู่ในฐานข้อมูลของ ISI และมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ของคณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนางานวิจัย ของ สกอ. ให้ค่านํ้าหนักเท่ากับ 0.75 3.วารสารวิชาการระดับชาติ ที่ผ่านเกณฑ์ของคณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนางานวิจัย ของ สกอ. ให้ค่านํ้าหนักเท่ากับ 0.50 4.วารสารวิชาการระดับสถาบัน หรือตีพิมพ์ต่อเนื่องมี Impact Factor เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี (จากฐานข้อมูล TCI ปี 2548-2550) ไม่ต่ำกว่า 0.01 ให้ค่านํ้าหนักเท่ากับ 0.25 5.วารสารวิชาการที่ตีพิมพ์ต่อเนื่องมี Impact Factor เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี (จากฐานข้อมูล TCI ปี 2548-2550) ไม่ต่ำกว่า 0.01 และไม่เท่ากับ 0 ให้ค่านํ้าหนักเท่ากับ 0.125 © Chittrapa 2011
- 85. เกณฑ์การกำหนดน้ำหนักบทความที่ตีพิมพ์ ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) การตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานในวารสารวิชาการ วารสารวิชาการนานาชาติที่อยู่ในฐานข้อมูลของ Institute for Scientific Information (ISI) ให้ค่าน้ำหนักเท่ากับ 1 วารสารวิชาการนานาชาติที่ไม่อยู่ในฐานข้อมูลของ ISI และมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ของคณะอนุกรรมการเกี่ยวกับ การส่งเสริมและ พัฒนางานวิจัยของ สกอ. ให้ค่าน้ำหนักเท่ากับ 0.75 วารสารวิชาการระดับชาติที่ผ่านเกณฑ์ของคณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการส่งเสริม และพัฒนางานวิจัยของ สกอ. ให้ค่าน้ำหนักเท่ากับ 0.50 วารสารวิชาการระดับชาติหากไม่อยู่ในเกณฑ์ของคณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการ ส่งเสริมและพัฒนางานวิจัยของ สกอ. จะต้องเป็นวารสารของสถาบันขึ้นไป และอยู่ในรายชื่อวารสารระดับชาติที่ สกว. รับรองด้วย จึงให้ค่าน้ำหนักเท่ากับ 0.25 © Chittrapa 2011
- 86. เกณฑ์การกำหนดน้ำหนักบทความที่ตีพิมพ์ ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) รายงานการประชุมที่เผยแพร่เป็นรูปเล่ม (proceedings) การประชุมวิชาการระดับนานาชาติ (international conference) ที่มี proceedings ตีพิมพ์ผลงานฉบับสมบูรณ์ (full papers) ให้ค่าน้ำหนักเท่ากับ 0.33 การประชุมวิชาการระดับชาติ (national conference) ที่จัดร่วมกันโดยสมาคม/ สถาบันที่เป็นนิติบุคคลมากกว่า 1 แห่งขึ้นไป ต้องเป็นรายงานการประชุมที่เป็นรูปเล่มและเผยแพร่หลังการประชุม โดยงานที่พิมพ์ต้องเป็นผลงานฉบับสมบูรณ์ (full paper) ให้ค่าน้ำหนักเท่ากับ 0.17
- 87. แหล่งอ้างอิง สมบัติ ทีฆทรัพย์ การเขียนบทความวิชาการและบทความวิจัย สุวิมลว่องวาณิช การเขียนบทความวิจัย อุดมศิลป์ ปิ่นสุข การเขียนบทความวิจัย Norman Korps Hengl นงลักษณ์ วิรัชชัย การจัดทำรายงานวิชาการ บทความวิจัย และการอ้างอิง Thomas Adair © Chittrapa 2011