More Related Content Similar to ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
Similar to ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล (20) ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล4. 4
L O V E
01001100 01001111 01010110 0100101
Bits
Characters
การจัดการข้อมูล (Data Management)
5. 5
เขตข้อมูล (Field) ?
คือ รายละเอียดที่เกิดจากกลุ่มอักขระที่รวมกันแล้วก่อให้เกิดความ
หมายเช่น ชื่อคน สัตว์ สิ่งของ อายุ ที่อยู่ ฯลฯ
รหัสนักศึกษา 47231440138
ชื่อนักศึกษา กาญจนา
นามสกุลนักศึกษา น้าใจงาม
เพศ หญิง
วันเดือนปีเกิด 21 มิถุยายน 2529
ที่อยู่ติดต่อได้ 119 ถ.ลาปาง- แม่ทะ ...
อื่น ๆ
หมายเหตุ : แต่ละเขตข้อมูลเมื่อมีการจัดเก็บต้องระบุชนิดตัวแปรให้ชัดเจน
6. 6
2. ระเบียน ระเบียนหรือเรคอร์ด (record) คือ กลุ่มของฟิลด์
ที่สัมพันกัน ประกอบขึ้นมาจากข้อมูลพื้นฐานต่างประเภทกันรวม
ขึ้นมาเป็น 1 ระเบียน ระเบียนจะประกอบด้วย ฟิลด์ ต่างประเภทกัน
อยู่รวมกันเป็นชุด เช่น ระเบียนของเช็คแต่ละระเบียน จะประกอบด้วย
ฟิลด์ ชื่อธนาคาร เช็คเลขที่ วันที่ สั่งจ่าย จานวนเงิน สาขาเลขที่ เลขที่
บัญชี ข้อมูลเช็คธนาคาร ประกอบด้วยฟิลด์ต่างๆ สรุปคือ
ระเบียนข้อมูล (Record) ?
7. 7
แฟ้ มข้อมูล/ตารางข้อมูล ?
คือ กลุ่มข้อมูลที่เก็บรายการที่เกี่ยวข้องกัน อ้างอิงเรื่องเดียวกันนา
รวมกัน อาทิเช่น ตารางข้อมูลนักศึกษา, ตารางข้อมูลอาจารย์/
เจ้าหน้าที่, ตารางข้อมูลอาคาร/สถานที่, ตารางข้อมูลการจัด
ตารางการสอน, ฯลฯ ขึ้นอยู่กับการออกแบบของผู้ออกแบบ
ระบบ
8. 8
รหัส ชื่อ สกุล เพศ หมู่เรียน
4740121 นายการัน รักษาเทพ ชาย วค47.ว4.1
4740221 น.สหนึ่งทิพย์ ศิริเยี่ยม หญิง กว47.ค4.1
4740256 นายศิริทรัพย์ เชื้อสะอาด ชาย บธ47.บ4.1
470890 นายไกรศร โรจน์สุวรรณ ชาย อผ47.ว4.1
Fields
Records
File
9. 9
ฐานข้อมูล (Database) ?
คือ แหล่งจัดเก็บและรวบรวมกลุ่มข้อมูลที่เกี่ยวข้องกัน สัมพันธ์กัน
เป็นส่วนของข้อมูลที่อยู่ในองค์กรในระบบเดียวกัน
คุณสมบัติของฐานข้อมูล
แหล่งเก็บข้อมูลขนาดใหญ่โดยปกติมักจะมีกลุ่มเดียว
มักกาหนดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ข้อมูลจะถูกรวบรวมไว้ด้วยกันเพื่อให้เกิดความซ้าซ้อนน้อยที่สุด
ข้อมูลทรัพยากรสามารถร่วมกันได้หลายหน่วยงานภายใต้องค์กร
เดียวกันไม่เป็นของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง
13. 13
ฐานข้อมูล
ตารางข้อมูล 1 ตารางข้อมูล 2 ตารางข้อมูล 3 ตารางข้อมูล N....
เขตข้อมูล 1
เขตข้อมูล 2
เขตข้อมูล M
....
ระเบียน 1
ระเบียน 2
ระเบียน M
....
เขตข้อมูล 4
ระเบียน 1
ระเบียน 2
ระเบียน M
....
ระเบียน 1
ระเบียน 2
ระเบียน M
....
เขตข้อมูล 3
โครงสร้างในการจัดเก็บข้อมูลคอมพิวเดอร์
14. 14
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
(Database System Concepts)
3) ชนิดของข้อมูล
ข้อมูลที่ต้องการจัดเก็บนั้นอาจจะมีรูปแบบได้หลายอย่าง รูปแบบสาคัญ ๆ
ได้แก่
3.1 ข้อมูลแบบรูปแบบ (formatted data) เป็นข้อมูลที่รวมอักขระซึ่งอาจ
หมายถึงตัวอักษร ตัวเลข ซึ่งเป็นรูปแบบที่แน่นอน ในแต่ละระเบียน ทุก
ระเบียนที่อยู่ในแฟ้ มข้อมูลจะมีรูปแบบที่เหมือนกันหมด ข้อมูลที่เก็บนั้นอาจ
เก็บในรูปของรหัสโดยเมื่ออ่านข้อมูลออกมาอาจจะต้องนารัหสนั้นมา
ตีความหมายอีกครั้ง เช่น แฟ้ มข้อมูลประวัตินักศึกษา
15. 15
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
(Database System Concepts)
3) ชนิดของข้อมูล
ข้อมูลที่ต้องการจัดเก็บนั้นอาจจะมีรูปแบบได้หลายอย่าง รูปแบบสาคัญ ๆ
ได้แก่
3.2 ข้อมูลแบบข้อความ (text)เป็นข้อมูลที่เป็นอักขระในแบบข้อความ ซึงอาจ
หมายถึงตัวอักษร ตัวเลข สมการฯ แต่ไม่รวมภาพต่าง ๆ นามารวมกันโดยไม่มี
รูปแบบที่แน่นอนในแต่ละระเบียน เช่น ระบบการจัดเก็บข้อความต่าง ๆ
ลักษณะการจัดเก็บแบบนี้จะไม่ต้องนาข้อมูลที่เก็บมาตีความหมายอีก
ความหมายจะถูกกาหนดแล้วในข้อความ
16. 16
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
(Database System Concepts)
3) ชนิดของข้อมูล
ข้อมูลที่ต้องการจัดเก็บนั้นอาจจะมีรูปแบบได้หลายอย่าง รูปแบบสาคัญ ๆ
ได้แก่
3.3 ข้อมูลแบบภาพลักษณ์ (images) เป็นข้อมูลที่เป็นภาพ ซึ่งอาจเป็นภาพ
กราฟที่ถูกสร้างขึ้นจากข้อมูลแบบรูปแบบรูปภาพ หรือภาพวาด คอมพิวเตอร์
สามารถเก็บภาพและจัดส่งภาพเหล่านี้ไปยังคอมพิวเตอร์อื่นได้ เหมือนกับการ
ส่งข้อความ โดยคอมพิวเตอร์จะทาการแปลงภาพเหล่านี้ ซึ่งจะทาให้
คอมพิวเตอร์สามารถที่จะปรับขยายภาพและเคลื่อนย้ายภาพเหล่านั้นได้
เหมือนกับข้อมูลแบบข้อความ
17. 17
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
(Database System Concepts)
3) ชนิดของข้อมูล
ข้อมูลที่ต้องการจัดเก็บนั้นอาจจะมีรูปแบบได้หลายอย่าง รูปแบบสาคัญ ๆ
ได้แก่
3.4 ข้อมูลแบบเสียง (audio) เป็นข้อมูลที่เป็นเสียง ลักษณะของการจัดเก็บก็
จะเหมือนกับการจัดเก็บข้อมูลแบบภาพ คือ คอมพิวเตอร์จะทาการแปลงเสียง
เหล่านี้ให้คอมพิวเตอร์สามารถนาไปเก็บได้ ตัวอย่างได้แก่ การตรวจคลื่นหัวใจ
จะเก็บเสียงเต้นของหัวใจ
18. 18
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
(Database System Concepts)
3) ชนิดของข้อมูล
ข้อมูลที่ต้องการจัดเก็บนั้นอาจจะมีรูปแบบได้หลายอย่าง รูปแบบสาคัญ ๆ
ได้แก่
3.5 ข้อมูลแบบภาพและเสียง (video) เป็นข้อมูลที่เป็นเสียงและรูปภาพ ที่ถูก
จัดเก็บไว้ด้วยกัน เป็นการผสมผสานรูปภาพและเสียงเข้าด้วยกัน ลักษณะของ
การจัดเก็บข้อมูล คอมพิวเตอร์จะทาการแปลงเสียงและรูปภาพนี้ เช่นเดียวกับ
ข้อมูลแบบเสียงและข้อมูลแบบภาพลักษณะซึ่งจะนามารวมเก็บไว้ใน
แฟ้ มข้อมูลเดียวกัน
19. 19
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
(Database System Concepts)
4) ลักษณะของระบบแฟ้ มข้อมูล
การจัดการแฟ้ มข้อมูลอย่างถูกต้องมีความสาคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคง
ปลอดภัย (security) ของข้อมูลที่อยู่ในแฟ้ มข้อมูลและในแฟ้ มข้อมูลเอง
แนวคิดในการจัดการแฟ้ มข้อมูลเริ่มจากการออกแบบแฟ้ มข้อมูลให้เหมาะสม
กับการเรียกค้นเรคอร์ดข้อมูลมาใช้ ไปจนถึงการสารองแฟ้ มข้อมูลและการกู้
แฟ้ มข้อมูล แฟ้ มข้อมูลอาจจะมีได้สองลักษณะ คือ
4.1 ระเบียนขนาดคงที่ (fixed length record)
4.2 ระเบียนที่มีความยาวแปรได้ (variable length record)
20. 20
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
(Database System Concepts)
5) การจัดการแฟ้ มข้อมูล
กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดการแฟ้ มข้อมูล (file manipulation) จะแตกต่าง
กันออกไปในแต่ละระบบงาน แต่จะมีกิจกรรมหลักในการใช้ข้อมูล ได้แก่
5.1 การสร้างแฟ้ มข้อมูล (file creating)
5.2 การปรับปรุงรักษาแฟ้ มข้อมูลแบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ
1) การค้นคืนระเบียนในแฟ้ มข้อมูล (retrieving)
2) การปรับเปลี่ยนข้อมูล (updating)
22. 22
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
(Database System Concepts)
7) การจัดโครงสร้างแฟ้ มข้อมูล (file organization)
เป็นการกาหนดวิธีการที่ระเบียนถูกจัดเก็บอยู่ในแฟ้ มข้อมูลบนอุปกรณ์ที่ใช้เก็บ
ข้อมูล ซึ่งลักษณะโครงสร้างของระเบียนจะถูกจัดเก็บไว้เป็นระบบ โดยมี
วัตถุประสงค์เพื่อให้การจัดเก็บข้อมูลและการเข้าถึงข้อมูลมีความสะดวก
รวดเร็ว การจัดโครงสร้างของแฟ้ มข้อมูลอาจแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะคือ
7.1 โครงสร้างของแฟ้ มข้อมูลแบบลาดับ (sequential file)
7.2 โครงสร้างของแฟ้ มข้อมูลแบบลาดับตามดัชนี (index sequential file)
7.3 โครงสร้างของแฟ้ มข้อมูลแบบสัมพัทธ์ (relative file)
25. 25
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
(Database System Concepts)
1.1 หน่วยความจาประเภทแรม เป็นหน่วยความจาหลักประเภทที่
สามารถเข้าถึงคาสั่งและข้อมูลโดยตรงได้ แรมเป็นหน่วยความจาที่สามารถที่
จะอ่านหรือเขียนข้อมูลและคาสั่งลงไปได้หลายครั้ง แรมแบ่งออกเป็นสอง
ประเภทคือ ไดนามิกแรม (dynamic RAM) และสแตติกแรม (static RAM)
1) ไดนามิกแรม คือหน่วยความจาหลักที่ต้องการกระแสไฟฟ้ าไหลผ่าน
ในขณะเก็บข้อมูล
2)สแตติกแรม เป็นหน่วยความจาหลักที่ต้องการแบตเตอรี่เลี้ยงอยู่ตลอดเวลา
26. 26
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
(Database System Concepts)
1.2 หน่วยความจาหลักชนิดรอม หน่วยความจาชนิดรอมเป็น
หน่วยความจาประเภทแบบลบเลือนไม่ได้ สามารถเก็บข้อมูลได้ตลอดไปแม้จะปิด
เครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว หน่วยความจาชนิดรอมเป็นหน่วยความจาที่อ่านข้อมูล
ออกมาใช้ได้อย่างเดียว แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อมูลที่เก็บอยู่ในรอมได้
หน่วยความจารอมจะถูกสร้างโดยบริษัทผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อใช้เก็บ
โปรแกรมที่จาเป็นต่อการใช้งานคอมพิวเตอร์เอาไว้อย่างถาวร และไม่ต้องการ
เปลี่ยนแปลง เช่น โปรแกรมที่ใช้ในการทางานของเครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อเราทาการ
เปิดเครื่อง หรือโปรแกรมที่ใช้ควบคุมการทางานของอุปกรณ์ที่อยู่ในรถยนต์หรือ
โปรแกรมเล่นเกมต่าง ๆ เป็นต้น รอมยังถูกแบ่งออกเป็นหลายชนิดได้แก่พรอม
(Programmable ROM, PROM) อีพรอม (Erasable PROM,EPROM) และอีอีพร
อม (Electrically Erasable PROM, EEPROM)
27. 27
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
(Database System Concepts)
2. ชนิดของหน่วยความจาสารอง
หน่วยความจาสารองเป็นหน่วยความจาที่สามารถรักษาข้อมูลได้ตลอดไป
หลังจากได้ทาการปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว หน่วยความจาสารองมีประโยชน์
ต่อระบบฐานข้อมูลเป็นอย่างมาก ถ้าปราศจากหน่วยความจาสารองแล้วเรา
จะไม่สามารถเก็บรักษาข้อมูลเอาไว้ใช้ด้ในอนาคต หน่วจยความจาสารองใช้
เก็บรักษาข้อมูลและโปรแกรมเอาไว้อย่างถาวรจึงทาให้หน่วยความจาสารอง
ถูกใช้เป็นสื่อในการนาข้อมูลและโปรแกรมจากเครื่องคอมพิวเตอร์หนีงไปใช้ยัง
คอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งได้ และนอกจากนี้หน่วยความจาสารองยังใช้เป็น
หน่วยเสริมหน่วยความจาหลัก โดยทาหน้าที่
28. 28
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
(Database System Concepts)
1.2 หน่วยความจาหลักชนิดรอม หน่วยความจาชนิดรอมเป็น
หน่วยความจาประเภทแบบลบเลือนไม่ได้ สามารถเก็บข้อมูลได้ตลอดไปแม้จะ
ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว หน่วยความจาชนิดรอมเป็นหน่วยความจาที่อ่าน
ข้อมูลออกมาใช้ได้อย่างเดียว ก่อน และเมื่อต้องการจึงจะดึงคาสั่งจาก
หน่วยความจาเสมือนเข้าหน่วยความจาหลักเพื่อทาการประมวลผล ดังนั้น จึง
สามารถประมวลผลโปรแกรมแรมที่มีขนาดใหญ่กว่าหน่วยความจาหลักได้
หน่วยความจาสารอง สามารถแบ่งตามลักษณะที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าถึง
ข้อมูลได้ 2 ชนิด คือ
2.1 หน่วยความจาสารองประเภทที่สามารถเข้าถึงข้อมูลโดยตรง
2.2 หน่วยความจาสารองประเภทที่สามารถเข้าถึงข้อมูลโดยเรียงลาดับเท่านั้น
29. 29
วิวัฒนาการของเทคโนโลยีฐานข้อมูล
Data Collection ( 1960’s and earlier)
- primitive file processing (เริ่มพัฒนาจาแฟ้ มข้อมูล)
Database management system (1970’s)
- Network and relational database management system
- Data modeling tools, query language
Advanced database management system (1980’s - present)
-advanced data model
-object-oriented database management system
-object relational database management system
Data warehousing & Data mining (1990’s – present)
30. 30
ระบบแฟ้ มข้อมูล (File – Based System)
• ปัญหาของระบบแฟ้ มข้อมูล
– ปัญหาเกี่ยวกับการจัดการแฟ้ มข้อมูลต่างๆที่ปริมาณเพิ่มขึ้นทุกขณะ
– เกิดความซ้าซ้อนของข้อมูล
– แฟ้ มข้อมูลที่ขึ้นกับ Application Program ส่งผลให้เกิดปัญหาในการ
ปรับปรุง
– โปรแกรมภาษาในรุ่นที่ 3 (Third-Generation Language : 3GL)
31. 31
ระบบแฟ้ มข้อมูล (File – Based System)
(ต่อ)
• ข้อดีระบบแฟ้ มข้อมูล
– ง่ายต่อการออกแบบและพัฒนา (Easy to Design and Implement)
– การประมวลแบบแฟ้ มข้อมูลเป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้กันมานาน และมีความ
รวดเร็ว (Historically and Processing Speed)
32. 32
ระบบแฟ้ มข้อมูล (File – Based System)
(ต่อ)
• ข้อจากัดระบบแฟ้ มข้อมูล
– ข้อมูลมีการเก็บแยกจากกัน
– ข้อมูลมีความซ้าซ้อน
– ข้อมูลมีความขึ้นต่อกัน
– มีรูปแบบที่ไม่ตรงกัน
– รายงานต่างๆ ถูกกาหนดไว้อย่างจากัด
33. 33
ประเภทของแฟ้ มข้อมูล แบ่งได้ 6 ประเภท
• แฟ้ มหลัก (Master File) เป็นไฟล์ที่จัดเก็บข้อมูลที่มักจะไม่มีรายการ
เปลี่ยนแปลง หรือมีสภาพค่อนข้างคงที่ ซึ่งการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลใน
Master File เพื่อให้ทันสมัยนั้น สามารถทาได้ 3 รูปแบบด้วยกัน คือ
การเพิ่ม การลบ และการแก้ไข
• แฟ้ มรายการเปลี่ยนแปลง (Transaction File) เป็นไฟล์ที่จัดเก็บ
ข้อมูลการดาเนิน ธุรกรรมประจาวันที่มักมีความเคลื่อนไหวอยู่
เสมอ
• แฟ้ มเอกสาร (Document File) เป็นไฟล์เอกสารหรือไฟล์รายงาน
ต่างๆ ที่เคยผ่านกระบวน การพิมพ์ด้วยโปรแกรมมาก่อน และทาการ
34. 34
• Archival File เป็นแฟ้ มข้อมูลที่บรรจุไปด้วย Master File และ
Transaction File ซึ่งประกอบด้วยเรคอร์ดต่างๆ ที่ถูกลบ หรือถูก
เคลื่อนย้ายจากสื่ออุปกรณ์ออนไลน์ ไปจัดเก็บไว้ในสื่ออุปกรณ์ที่เป็น
แบบออฟไลน์
• Table Look-Up File หรือ Reference File เป็นไฟล์หรือตารางที่ใช้
สาหรับในการอ้างอิง เพื่อใช้งานร่วมกันโดยข้อมูลต่างๆ
• Audit File เป็นไฟล์พิเศษชนิดหนึ่ง ที่จัดเก็บเรคอร์ดที่ถูกอัปเดต ลงใน
ไฟล์ ต่างๆ โดย เฉพาะอย่างยิ่ง Master File และTransaction File ซึ่ง
จะใช้รวมกันกับ Archival File ในการกู้คืนข้อมูลที่เสียหาย ในกรณีที่
ข้อมูลในระบบเกิดความเสียหายในระหว่างการประมวลผล
ประเภทของแฟ้ มข้อมูล แบ่งได้ 6 ประเภท
35. 35
ความหมายของฐานข้อมูล
(กิตติ ภักดีวัฒนะกุล และ จาลอง ครูอุตสาหะ,2544) ได้ให้คา
นิยามของฐานข้อมูลว่า การจัดเก็บข้อมูลอย่างมีระบบ และ
ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลประกอบด้วย รายละเอียดของข้อมูลที่
เกี่ยวข้องกัน ซึ่งถูกนามาใช้ในงานด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่ม
ข้อมูล การลบ การแก้ไข การเรียกดู ข้อมูล เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้จะ
ถูกจัดเก็บไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อประโยชน์ในการจัดการ และเรียกใช้
ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
36. 36
• เพิ่มความเร็วในการพัฒนาโปรแกรม
• ลดค่าใช้จ่ายในการบารุงรักษาโปรแกรม ไม่มีปัญหาการแปลงผันข้อมูล เมื่อ
ระบบขยายตัว
• อานวยความสะดวกให้ผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ใช่โปรแกรมเมอร์ สามารถเรียกดูข้อมูล
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมีภาษาระดับง่ายสาหรับผู้ใช้โดยเฉพาะ
• สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ (Integration of Data) และสามารถจับกลุ่ม
ข้อมูลได้หลายรูปแบบ
• ควบคุมข้อมูลได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านความถูกต้องของข้อมูล หรือการ
กาหนด ขอบเขตสิทธิของผู้ใช้ข้อมูล
วัตถุประสงค์ของการใช้ฐานข้อมูล
40. 40
ระบบการจัดการฐานข้อมูล
(data base management system, DBMS)
หน้าที่ของระบบการจัดการฐานข้อมูล
- ระบบจัดการฐานข้อมูลเป็นซอฟต์แวร์ที่ทาหน้าที่ดังต่อไปนี้ดูแลการใช้งาน
ให้กับผู้ใช้ ในการติดต่อกับตัวจัดการระบบแฟ้ มข้อมูลได้ ในระบบฐานข้อมูล
นี้ข้อมูลจะมีขนาดใหญ่ ซึ่งจะถูกจัดเก็บไว้ในหน่วยความจาสารองเมื่อผู้ใช้
ต้องการจะใช้ฐานข้อมูล ระบบการจัดการฐานข้อมูลจะทาหน้าที่ติดต่อกับ
ระบบแฟ้ มข้อมูลซึ่งเสมือนเป็นผู้จัดการแฟ้ มข้อมูล (file manager) นาข้อมูล
จากหน่วยความจาสารองเข้าสู่หน่วยความจาหลักเฉพาะส่วนที่ต้องการใช้
งานและทาหน้าที่ประสานกับตัวจัดการระบบแฟ้ มข้อมูลในการจัดเก็บ
เรียกใช้ และแก้ไขข้อมูล
41. 41
ระบบการจัดการฐานข้อมูล
(data base management system, DBMS) ต่อ
- ควบคุมระบบความปลอดภัยของข้อมูลโดยป้ องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต
เข้ามาเรียกใช้หรือแก้ไขข้อมูลในส่วนป้ องกันเอาไว้ พร้อมทั้งสร้างฟังก์ชันใน
การจัดทาข้อมูลสารอง โดยเมื่อเกิดมีความขัดข้องของระบบแฟ้ มข้อมูลหรือ
ของเครื่องคอมพิวเตอร์เกิดการเสียหายนั้น ฟังก์ชันนี้จะสามารถทาการฟื้น
สภาพของระบบข้อมูลกลับเข้าสู่สภาพที่ถูกต้องสมบูรณ์ได้
- ควบคุมการใช้ข้อมูลในสภาพที่มีผู้ใช้พร้อม ๆ กันหลายคน โดยจัดการเมื่อมี
ข้อผิดพลาดของข้อมูลเกิดขึ้น
48. 48
ระดับภายนอก (External Level , Individual User Views)
เป็นส่วนที่อานวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้แต่ละคน ในการมองระบบ
หรือข้อมูลที่จาเป็นในการทางาน (Views) ซึ่งเกิดจากความต้องการของผู้ใช้
แต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป
User1 ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับเงินเดือนของพนักงานในบริษัท ดังนั้น
จะต้องค้นหาข้อมูลจากฟิลด์ EmpNum และ Salary เป็นต้น ในทานอง
เดียวกันผู้ใช้คนอื่น ๆ ก็ต้องการข้อมูลอื่น ๆ แตกต่างกันไป
User2 ซึ่งเป็นผู้เขียนโปรแกรม (Programmer) ต้องการข้อมูลที่มีการ
เชื่อมต่อกันด้วยเพื่อความสะดวกในการพัฒนาโปรแกรมเกี่ยวกับเงินเดือน โดย
ต้องการข้อมูลฟิลด์ EmpNum , Salary และ DeptNum เป็นต้น
49. 49
ระดับภายนอก (External Level , Individual User Views)
จากความต้องการของผู้ใช้คนที่ 1 และผู้ใช้คนที่ 2 ซึ่งข้อมูลเป็นเค้าร่าง
ในระดับภายนอกที่แสดงถึงรายละเอียดของข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการ ลักษณะเช่นนี้
เรียกว่า เค้าร่างภายนอก (External Schema หรือ Subschema หรือ Views)
ในการแสดงผลข้อมูลออกมาเป็นมุมมองต่าง ๆ นั้น ผู้ใช้ต้องการ
ข้อมูลแบบใด การพัฒนาโปรแกรมเพื่อสนองตอบความต้องการของผู้ใช้ต่าง ๆ
ถือว่าเป็นเรื่องจาเป็นอย่างยิ่ง โดยผู้พัฒนาโปรแกรมจะต้องใช้ภาษาทาง
คอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจจะเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 3 เช่น Pascal , Cobol
หรือ C เป็นต้น หรืออาจจะเป็นภาษาในยุคที่ 4 ก็คือภาษาทางด้านการเขียน
คาสั่งในการสอบถามข้อมูล (Query Language) เช่น ภาษา SQL ซึ่งจะสะดวก
ในการเรียกใช้ข้อมูลจากฐาน ข้อมูลมากที่สุด และผู้ที่ไม่ใช่นักเขียน
โปรแกรมก็สามารถใช้ภาษา SQL นี้ได้อย่างง่าย
50. 50
ระดับแนวคิด (Conceptual Level หรือ Community User View)
ในระดับภายนอกนั้นการใช้ข้อมูลจะใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นฟิลด์
ต่าง ๆ หรือเรคอรด์ต่าง ๆ ก็ตาม ลักษณะของข้อมูลเหล่านี้โครงสร้างที่แท้จริงก็
จะมีรายละเอียดอีกหลายส่วนซึ่งลักษณะของโครงสร้างหรือรายละเอียดต่าง ๆ
จะเกี่ยวข้องกับข้อมูลในระดับแนวคิดและระดับ ภายในนั่นเอง เป็นการ
อธิบายฐานข้อมูลโดยรวมว่าประกอบด้วยเอนทิตี้ แอททริบิวต์ และ
ความสัมพันธ์อย่างไรกันบ้าง ซึ่งการออกแบบลักษณะของข้อมูลจะถูก
ออกแบบโดยผู้บริหารฐานข้อมูล (Database Administration : DBA) ซึ่งก็คือ
การออกแบบเค้าร่างที่สามารถแสดงรายละเอียดของ ข้อมูลทั้งหมดนั่นเอง
51. 51
ระดับภายใน (Internal หรือ Physical Level หรือ Storage View)
เป็นเค้าร่างที่แสดงถึงรายละเอียดต่าง ๆ ของการจัดเก็บข้อมูลโดยเป็นการ
จัดเก็บโครงสร้าง ของข้อมูล ลงบนสื่อบันทึกข้อมูลแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นระดับ
ต่าสุด เป็นระดับที่ใกล้เคียงกับโครงสร้างของข้อมูลจริงบนสื่อบันทึกข้อมูล
โดยในการจัดเก็บจะมีวิธีการจัดเก็บเพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลในฐานข้อมูล
อย่างมีคุณภาพมากที่สุด ดังนั้นวิธีการจัดเก็บข้อมูลลงบนสื่อบันทึกข้อมูลจะ
เป็นประโยชน์ต่อการเข้าถึงข้อมูลอย่างมาก เช่น การเก็บข้อมูลแบบการอิน
เด็กซ์ข้อมูล การเก็บข้อมูลแบบเรียงลาดับ การใช้ฟังก์ชั่นในการค้นหาข้อมูลที่
ต้องการ ซึ่งล้วนแต่เป็นลักษณะของข้อมูลในระดับภายในทั้งสิ้น
52. 52
ตัวอย่างสถาปัตยกรรมฐานข้อมูล(Database architecture) 3 ระดับ
- ระดับภายนอก (External level) มาจากแบบฟอร์มเอกสาร ว่ามีอะไรในเอกสาร
บ้าง หรือจากผู้ใช้ที่แต่ละคน เป็นการรวบรวมข้อมูลอย่างง่าย ๆ จากผู้ใช้ เพื่อให้กับ
นักวิเคราะห์นาไปศึกษา
ผู้ใช้คนที่หนึ่ง : (รหัส, ชื่อ)
ผู้ใช้คนที่สอง : (รหัส, ที่อยู่)
- ระดับความคิด (Conceptual level) ตีความออกมาเป็นตารางโดยนาแบบฟอร์ม
ต่าง ๆ มารวมกัน เพื่อแสดงความต้องการของผู้ใช้ในรูปที่สมบูรณ์ อาจมีการวิเคราะห์ และ
ออกแบบโดยผ่านขั้นตอนมากมาย ทั้ง E-R หรือ Normalization จนเสร็จสิ้น
พนักงาน (รหัส, ชื่อ, ที่อยู่) ในแบบสคีมา(Schema)
หรือ
person (id, name, address) ในแบบสคีมา(Schema)
58. 58
ฐานข้อมูลลาดับชั้น (Hierarchical Database)
• โครงสร้างไฟล์เป็นแบบบนลงล่าง(Top-Down) มีลักษณะคล้ายต้นไม้ (Tree
Structure) เป็นลาดับชั้น ไฟล์ในระดับสูงสุดเรียกว่า Root ระดับล่างสุดเรียกว่า
Leaves
• ไฟล์ต่างๆ จะมีเพียงพ่อเดียว (One Parent) เท่านั้นและสามารถแตกสาขาออกเป็น
หลายๆ ไฟล์ เรียกว่า ไฟล์ลูก (Children Files) ดังนั้นจึงมีความสัมพันธ์แบบ
Parent/Child ทาให้ความถูกต้องในข้อมูลย่อมมีความคงสภาพ
• ข้อมูลมีความสัมพันธ์ในลักษณะ One-to-Many ไม่สามารถกาหนดความสัมพันธ์
แบบ Many-to-Many
• มีความยากต่อการพัฒนา Application การปรับปรุงโครงสร้างมีความยืดหยุ่นน้อย
60. 60
ข้อดี – ข้อเสีย ฐานข้อมูลลาดับชั้น
• ข้อดี โครงสร้างที่เข้าใจง่าย มีความ
ซับซ้อนน้อยที่สุด และเหมาะกับข้อมูลที่
มีความสัมพันธ์แบบ One-to-Many
และป้ องกันความปลอดภัยในข้อมูลที่ดี
เนื่องจากต้องอ่านข้อมูลที่เป็น ต้น
ก า เ นิ ด ก่ อ น นั่ น ห ม า ย ถึ ง
ความสามารถในการควบคุมความ
ถูกต้องในข้อมูลได้ โครงสร้างแบบนี้
เหมาะกับข้อมูลที่มีการเรียงลาดับ
แบบต่อเนื่อง
• ข้อเสีย ไม่สามารถรองรับข้อมูลที่มี
ความสัมพันธ์ในลักษณะของ Many-to-
Many ได้ มีความยืดหยุ่นหรือมีความ
คล่องตัวน้อย การปรับเปลี่ยนโครงสร้าง
Tree นั้นมีความยุ่งยาก รวมทั้งการ
เรียกใช้ข้อมูลจาเป็นต้องผ่าน Root เสมอ
และการพัฒนาโปรแกรมค่อนข้างยาก
เพราะต้องทราบถึงโครงสร้างทาง
ฟิ สิคอลของข้อมูลที่จัดเก็บอยู่ใน
ฐานข้อมูล
63. 63
ข้อดี – ข้อเสีย ฐานข้อมูลเครือข่าย
• ข้อดี สนับสนุนความสัมพันธ์
แบบ Many-to-Many ลด
ความซ้าซ้อนในข้อมูลเกิดขึ้น
น้อยกว่าแบบลาดับชั้น รวมทั้ง
สามารถเชื่อมโยงข้อมูลแบบไป
- กลับได้ และมีความยืดหยุ่นใน
ด้านของการค้นหาข้อมูลดีกว่า
โดยจะใช้ Pointer ในการเข้าถึง
ข้อมูลได้ทันที
• ข้อเสีย เนื่องจากสามารถ
เข้าถึงเรคคอร์ดได้โดยตรง ทา
ให้การป้ องกันความปลอดภัย
ของข้อมูลมีน้อย รวมทั้ง
สิ้นเปลืองเนื้อที่หน่วยความจา
ในการเก็บ Pointer และการ
เปลี่ยนแปลงในโครงสร้างยังมี
ความยุ่งยากอยู่
64. 64
ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database)
• เป็นแบบจาลองที่มีความนิยมแพร่หลายมากที่สุดในปัจจุบัน
• ตารางจะประกอบด้วย แถว และ คอลัมน์
• ข้อมูลที่จัดเก็บในตารางก็สามารถจัดเก็บข้อมูลในส่วนตน โดยสามารถมี
ความสัมพันธ์กับตารางอื่นๆ ได้
• มีความสัมพันธ์ แบบ One-to-Many หรือ Many-to-Many
• ใช้คีย์ในการอ้างอิงถึงตารางอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยคีย์ดังกล่าวสามารถ
เป็น Primary ey และ Secondary Key เพื่อกาหนดการเรียงลาดับดัชนี
เพื่อเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
• มีโปรแกรมมากมายที่สามารถใช้ระบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
• DBMS สนับสนุนการทางานแบบจาลองฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ด้วยการ
ใช้ชุดคาสั่ง SQL
65. 65
เลขประจาตัว ชื่อ - สกุล คณะ ที่อยู่ โทรศัพท์
4840124 ดรุณี ศรีเวียง IT เชียงใหม่ 09 - 111000
4841125 องค์ลง ดีแท้ Comsci ลาพูน 01 - 789123
4810126 เฉิดฉาย แซ่ดี IT ลาปาง 07 - 451259
เลขประจาตัว เลขที่หนังสือ วันคืน
4840124 HD0001 11/09/48
เลขหนังสือ ชื่อหนังสือ ผู้แต่ง เลขรหัสโรงพิมพ์
HD0001 MIS อ.ศิริพงศ์ 001
แฟ้ มสมาชิกห้องสมุด
แฟ้ มการยืมหนังสือ
แฟ้ มหนังสือ
ตัวอย่างฐานข้อมูลแบบความสัมพันธ์
66. 66
ข้อดี – ข้อเสีย ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
• ข้อดี มีความเข้าใจและสื่อสารได้
เข้าใจง่าย เนื่องจากนาเสนอในลักษณะ
ตาราง 2 มิติ ทาให้สามารถเลือกวิว
ข้อมูลตามเงื่อนไขได้หลายคีย์ฟิลด์
โครงสร้างข้อมูลมีความซับซ้อนใน
ข้อมูลมีน้อยมาก ทาให้มีระบบความ
ปลอดภัยที่ดี เนื่องจากโครงสร้างนี้
ผู้ใช้งานจะไม่ทราบถึงกระบวนการ
จัดเก็บข้อมูล ภายในฐานข้อมูลแท้จริง
• ข้อเสีย จาเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายใน
ระบบค่อนข้างสูง เนื่องจากทรัพยากร
ทั้งตัวฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ที่
นามาใช้ต้องมีความสามารถสูง
เนื่องจากไม่ทราบถึงกระบวนการ
จัดเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลที่แท้จริงเป็น
อย่างไร ทาให้การแก้ไขปรับปรุง
แฟ้ มข้อมูลมีความยุ่งยาก
67. 67
ฐานข้อมูลเชิงวัตถุ (Object-Oriented Database : OODB)
• องค์ประกอบที่สาคัญของ OODB ได้แก่
– Object คือ ข้อมูลจานวนไม่มากนักที่นามารวมกันมีความหมาย
เหมือนเอนติตี้ ซึ่งเป็นแทนของคน สถานที่ สิ่งของ แต่ Object จะ
รวมถึงกระบวนการหรือวิธีการที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูล
ด้วย
– Attribute คือ ลักษณะของ Object ในช่วงเวลาหนึ่งๆเช่น อายุของ
พนักงาน
– Method คือ พฤติกรรมของ Object เมื่อไรก็ตามที่มีการ
ปฏิบัติการเกิดขึ้น จะมีการส่งข้อมูลไปยัง Object ที่ส่งมา เพื่อจะ
กระตุ้นให้เกิดปฏิบัติการอื่นที่ต่อเนื่องกัน
68. 68
สมาชิกห้องสมุด
ข้อมูล
• รหัส
• ชื่อ - สกุล
• คณะ
กระบวนการ
• เพิ่มชื่อผู้ใช้ห้องสมุด
• การดึงข้อมูลเกี่ยวกับ
สมาชิก
สมาชิกห้องสมุด
สมาชิกห้องสมุด
ข้อมูล
• สมาชิกห้องสมุด
• หนังสือยืม
กระบวนการ
• เพิ่มข้อมูลการยืม
หนังสือ
• การดึงข้อมูลเกี่ยวกับ
หนังสือ
• ยกเลิกการเพิ่มข้อมูล
การยืมหนังสือ
สมาชิกห้องสมุด
ข้อมูล
• รหัสหนังสือ
• ชื่อผู้แต่ง
กระบวนการ
• เพิ่มรายการหนังสือ
ใหม่
• การดึงข้อมูลเกี่ยวกับ
หนังสือ
หนังสือ
สัมพันธ์เพราะ object การ
ยืมหนังสือเกี่ยวข้อง Object
สมาชิกห้องสมุด
สัมพันธ์เพราะ object การ
ยืมหนังสือประกอบด้วย
Object หนังสือ
ตัวอย่าง OODB
อ๊อบเจ๊คแสดงการยืมหนังสือห้องสมุด
69. 69
ข้อดี – ข้อเสีย ฐานข้อมูลเชิงวัตถุ
• ข้อดี แบบจาลองนี้ คือ สามารถ
จัดการกับข้อมูลชนิดต่างๆ ที่มี
ความสลับซับซ้อนได้เป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะเป็น Graphic ,Video ,
Sound นอกจากนี้ยังสนับสนุน
คุณสมบัติของการนากลับมา
ใหม่(Reusable)
• ข้อเสีย แบบจาลองเชิงวัตถุถือ
ว่าเป็ นเทคโนโลยีใหม่ของ
DBMS ซึ่งมักจะนาไปใช้กับ
ห น่ ว ย ง า น ข น า ด ใ ห ญ่ ที่
จาเป็ นต้องใช้บุคลากรที่มี
ความรู้ความเชี่ยวชาญ และ
ประสบการณ์ในการจัดการกับ
ข้อมูลที่มีความสลับซับซ้อนและ
เป็นฐานข้อมูลที่ใช้รองรับความ
ซับซ้อนของข้อมูลที่จะทวีเพิ่มขึ้น
ในอนาคต
70. 70
ฐานข้อมูลแบบมัลติไดเมนชั่น (Multidimensional
Database)
• แบบจาลองชนิดนี้ใช้งานกับคลังข้อมูล (Data Warehousing) โดยจะ
นาเสนอข้อมูลในลักษณะไดเมนชั่น ทาให้วิวข้อมูลได้สองทาง เพื่อให้
สามารถมองเห็นปัญหาในธุรกิจและสร้างวิธีการแก้ไขปัญหาได้ดียิ่งขึ้น
• แบบจาลองฐานข้อมูลมัลติไดเมนชันจะมีการนากระบวนการทางานทาง
ธุรกิจมาจัดการในรูปของมิติ เช่น นาข้อมูลสินค้า กับข้อมูลพื้นที่การขาย
มาประมวลผลในรูปตารางในรูปแบบ มัลติไดเมนชัน ทาให้ผู้ใช้
สามารถแบ่งข้อมูลเป็นส่วนๆมาวิเคราะห์ใช้งานได้ตามต้องการ
• เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนสูงในด้านทรัพยากร
ต่างๆ รวมทั้ง Software ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อใช้นาเสนอแนว
ทางการประกอบการตัดสินใจเชิงธุรกิจและเชิงกลยุทธ์
72. 72
ข้อดี – ข้อเสีย ฐานข้อมูลแบบมัลติไดเมนชั่น
• ข้อดี แบบจาลองนี้ คือ สามารถ
จัดการกับข้อมูลชนิดต่างๆ ที่มี
ความสลับซับซ้อนได้เป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะเป็น Graphic ,Video
,Sound นอกจากนี้ยังสนับสนุน
คุณสมบัติของการนากลับมา
ใหม่(Reusable)
• ข้อเสีย แบบจาลองเชิงวัตถุถือ
ว่าเป็ นเทคโนโลยีใหม่ของ
DBMS ซึ่งมักจะนาไปใช้กับ
ห น่ ว ย ง า น ข น า ด ใ ห ญ่ ที่
จาเป็ นต้องใช้บุคลากรที่มี
ความรู้ความเชี่ยวชาญ และ
ประสบการณ์ในการจัดการกับ
ข้อมูลที่มีความสลับซับซ้อนและ
เป็นฐานข้อมูลที่ใช้รองรับความ
ซับซ้อนของข้อมูลที่จะทวีเพิ่มขึ้น
ในอนาคต
73. 73
ระบบการจัดการฐานข้อมูล
(Database Management System : DBMS)
โปรแกรมที่ใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการฐานข้อมูล ซึ่งประกอบด้วย
ฟังก์ชันหน้าที่ต่างๆ ในการจัดการกับข้อมูล รวมทั้งภาษาที่ใช้ทางานกับ
ข้อมูล โดยมักจะใช้ภาษา SQL ในการโต้ตอบระหว่างกันกับผู้ใช้ เพื่อให้
สามารถทาการกาหนดการสร้าง การเรียกดู การบารุงรักษาฐานข้อมูล
รวมทั้งการจัดการควบคุมการเข้าถึงฐานข้อมูล นอกจากนี้ DBMS ยังมี
หน้าที่ในการรักษาความมั่นคง และความปลอดภัยของข้อมูล การสารอง
ข้อมูล และการเรียกคืนข้อมูลในกรณีที่ข้อมูลเกิดความเสียหาย
76. 76
คลังข้อมูล (Data Warehouse)
• ฐานข้อมูลที่มีข้อมูลเพื่อใช้สาหรับองค์กรที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งอาจ
ประกอบด้วยข้อมูลย้อนหลังหลายๆ ปีจนถึงข้อมูลปัจจุบัน
นามาใช้เพื่อการวิเคราะห์และตัดสินใจสาหรับธุรกิจขององค์กร
และสนับสนุนการใช้งานสาหรับผู้ใช้งานหลายระดับ
• OLAP : Online Analytical Processing คือ เทคโนโลยีที่ใช้
ข้อมูลจากคลังข้อมูล เพื่อนาไปใช้ในการวิเคราะห์และตัดสินใจ
ทางธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
77. 77
คุณสมบัติของคลังข้อมูล
• Consolidated and Consistent Consolidated คือ การรวบรวม
ข้อมูลที่เกิดขึ้นในระดับปฏิบัติการมาใช้ที่ศูนย์กลางเดียวกัน คือ
คลังข้อมูล ส่วน Consistent หมายถึง ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ที่รวบรวม
มาไว้ในคลังข้อมูล จะต้องมีคุณสมบัติที่เหมือนๆ กัน มีรูปแบบเดียวกัน
และสอดคล้องกัน
• Subject-oriented Data ข้อมูลที่เกิดขึ้นในระดับปฏิบัติการมักจะมีเป็น
จานวนมากและส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ นามาใช้ในการวิเคราะห์หรือตัดสินใจ
ดังนั้น ข้อมูลในคลังข้อมูลจึงเลือกเก็บข้อมูลในระดับปฏิบัติการเฉพาะ
ส่วนที่นามาใช้ในเชิงวิเคราะห์หรือเชิงตัดสินใจ
78. 78
คุณสมบัติของคลังข้อมูล (ต่อ)
• Historical Data คือ ข้อมูลของคลังข้อมูลจะเก็บย้อนหลังเป็นเวลา
หลาย ๆ ปี ทั้งนี้เพื่อจะได้นาไปวิเคราะห์เปรียบเทียบหาแนวโน้มของ
ข้อมูล
• Read - Only Data หลังจากที่นาข้อมูลเข้าสู่ฐานข้อมูลเรียบร้อย
แล้ว ข้อมูลในฐานข้อมูลไม่ควรจะมีการแก้ไขอีก
80. 80
Data Mart
• Data Mart นั้นเป็นส่วนย่อยของคลังข้อมูลจึงมีขนาดเล็กกว่า โดยจะ
เก็บไว้ในฐานข้อมูลหนึ่งๆ ส่วนใหญ่มักจะหมายถึง ข้อมูลที่เก็บไว้ใน
ระดับหน่วยหรือระดับฝ่ายเท่านั้น
• Data Mart มีลักษณะดังต่อไปนี้
– ข้อมูลเจาะจงไปยังฟังก์ชันเฉพาะกลุ่มหรือหน่วยงานภายในของ
องค์กร
– ให้ผลตอบแทนที่รวดเร็ว คุ้มค่ากับการลงทุนในด้านของเวลา
– การบริหารและการจัดการข้อมูลสามารถทาได้โดยง่าย
– ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เนื่องจากการคิวรีถูกแบ่งไปยังข้อมูลแต่ละ
ส่วนของฟังก์ชัน
81. 81
ตารางที่ 4.1 แสดงข้อแตกต่างระหว่างการสร้างData Mart ก่อนหรือ
หลังData Warehouse
สร้างData Warehouse ก่อน สร้างData Mart ก่อน
1.ใช้ความพยายามสูงและใช้
เวลานานในการสร้างระบบให้
ครอบคลุมความต้องการทั้งหมดของ
ผู้ใช้งาน
1.ทาได้ง่ายและรวดเร็วกว่า เพราะต้องการ
ข้อมูลตามฟังก์ชันของผู้ใช้งานกลุ่มหนึ่งๆ
เท่านั้น
2.สามารถแชร์ข้อมูลระหว่างData Mart
ได้ง่ายเนื่องจากข้อมูลมาจากData
Warehouse เดียวกัน
2.ข้อมูลอาจซ้าซ้อน เนื่องจากแต่ละแผนก
สามารถสร้างได้เอง ต่างคนต่างดึงข้อมูลจาก
แหล่งข้อมูลเดียวกัน
3.ข้อมูลอยู่ในรูปแบบเดียวกัน
เนื่องจากได้มีการปรับให้ตรงกันใน
DataWarehouse เรียบร้อยแล้ว
3.ข้อมูลอาจมีรูปแบบต่างกันทั้งที่เป็นข้อมูล
ตัวเดียวกัน เนื่องจากไม่มีแบบแผนที่ชัดเจน
ที่ตกลงกันไว้ก่อน
85. 85
ประเภทข้อมูลที่สามารถทา Data Mining
• Relational Database เป็นฐานข้อมูลที่จัดเก็บอยู่ในรูปแบบของ
ตาราง
• Data Warehouses เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งมา
เก็บไว้ในรูปแบบเดียวกันและรวบรวมไว้ในที่ ๆ เดียวกัน
• Transactional Database ประกอบด้วยข้อมูลที่แต่ละทรานเซกชัน
แทนด้วยเหตุการณ์ในขณะใดขณะหนึ่ง
• Advanced Database เป็นฐานข้อมูลที่จัดเก็บในรูปแบบอื่น ๆ
87. 87
การประยุกต์ใช้งาน Data Mining
วิเคราะห์การฉ้อโกงของมิจฉาชีพ เช่น กิจการโทรคมนาคม , ธนาคารใช้
ป้ องกันการฉ้อโกง
การวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์เช่น รวบรวมราคา, การสร้างโมเดล
การวิเคราะห์บัตรเครดิต เช่น การตัดสินใจให้บัตรเครดิต
การวิเคราะห์ลูกค้า เช่น วิเคราะห์ลูกค้าตรงตามเป้ าหมาย
การวิเคราะห์การขาย เช่น ช่วยธุรกิจขายปลีก ช่วยด้านโฆษณา
Text Mining คือปรับการใช้Data Mining ในรูปข้อมูลตัวอักษร
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เช่น เข้าใจพฤติกรรมลูกค้าที่เข้า Web
ลดความเสี่ยงในการตัดสินใจ เช่น การควบคุม การลดหนี้สูญ