ประภา เลขที่1
      นาย ธนาวุธ     วิบลกิจ
                        ู
  เลขที่3
      นาย ธีรวิทย์   สมบูรณ์
  เลขที่4
      นาย ปฏิพัทธ์   เปรมปรีดิ์
 เลขที่5
      นาย พสิษฐ์     เขียวขำา
    เลขที่6
      นาย สุรพร       ละออ
   เลขที่29
ความหมายของฐานข้อ มูล
ฐานข้อมูล (Database) คือแหล่งรวมข้อมูลที่มีความ
 สัมพันธ์กันในด้านใดด้านหนึ่งจัดเก็บให้เป็นระเบียบ
 ตัวอย่างเช่น ฐานข้อมูลการขายสินค้าจะประกอบด้วยข้อมูล
 ลูกค้าซึ่งจะมีชื่อที่อยู่ของลูกค้าหรือข้อมูลสินค้าซึ่งจะมีชื่อ
 สินค้า ราคาสินค้า เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้จะมีรหัสประจำาตัว
 เก็บไว้เพื่อสะดวกในการค้นหาและเรียกใช้
ประโยชน์ข องฐานข้อ มูล
ลดการเก็บข้อมูลที่ซำ้าซ้อน
รักษาความถูกต้องของข้อมูล
การป้องกันและรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลทำาได้อย่าง
 สะดวก
สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้
มีความเป็นอิสระของข้อมูล
สามารถขยายงานได้ง่าย
ให้ข้อมูลบูรณะกลับสู่สภาพปกติได้เร็วและมีมาตรฐาน
การบริห ารฐานข้อ มูล
บุคคลที่มีอำานาจหน้าที่ดูแลควบคุมข้อมูลและโปรแกรมที่
 เข้าถึงข้อมูล เรียกว่า ผู้บริหารฐานข้อมูล หรือ DBA (data
 base administer) โดยมีหน้าที่ดังต่อไปนี้คือ
   กำาหนดโครงสร้างหรือรูปแบบของฐานข้อมูล
   กำาหนดโครงสร้างของอุปกรณ์เก็บข้อมูลและ
   วิธีการเข้าถึงข้อมูล
   มอบหมายขอบเขตอำานาจหน้าที่ของการเข้า
   ถึงข้อมูลของผูใช้
                  ้
ระบบการจัด การฐานข้อ มูล
ทำาหน้าที่ดูแลจัดการกับข้อมูล และเป็นส่วนที่ครอบคลุมส่วน
 ที่เป็นข้อมูลไว้ หน้าที่ของระบบการจัดการฐานข้อมูลได้แก่
   ดูแลการใช้งานให้กับผูใช้ในการติดต่อกับ
                         ้
   ตัวจัดการระบบ แฟ้มข้อมูลได้
   ควบคุมระบบความปลอดภัยของข้อมูล พร้อม
   ทั้งสร้างฟังก์ชนในการจัดทำา ข้อมูลสำารอง
                  ั
   ควบคุมการใช้ข้อมูลในสภาพที่มีผใช้พร้อม
                                     ู้
   ๆ กันหลายคน โดย        จัดการเมือมีข้อผิด
                                   ่
   พลาดของข้อมูลเกิดขึ้น
โครงสร้า งของฐานข้อ มูล
 โครงสร้า งเชิง กายภาพ (Physical data
  structure)
  เป็นโครงสร้างที่กำาหนดจากวิธีการจัดเก็บข้อมูลในสื่อ
  ต่างๆ เช่น เนื้อที่สำาหรับจัดเก็บ ตำาแหน่งในการจัดเก็บ
  ฐานข้อมูล เป็นต้น
 โครงสร้า งเชิง ตรรกะ (Logical data structure)
  เป็นโครงสร้างที่เกิดจากการกำาหนดรูปแบบและความ
  สัมพันธ์ของข้อมูลในฐานข้อมูล
โครงสร้า งข้อ มูล แบบลำา ดับ ชั้น
(Hierarchical data model)
  นำาเสนอข้อมูลและความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในรูปแบบของ
                โครงสร้างต้นไม้ (tree structure)
 มีลักษณะความสัมพันธ์แบบพ่อลูก คือ พ่อ (parent) 1 คนมีลก    ู
  (child) ได้หลายคน หรือแบบพ่อคนเดียวมีลก 1 คนแต่ลกมีพ่อได้
                                             ู            ู
                              คนเดียว
 ลักษณะเด่นคือ มีความซับซ้อนน้อย เข้าใจง่าย ค่าใช้จ่ายไม่สูง
  ป้องกันความลับของข้อมูลได้ดี เหมาะสำาหรับงานที่ต้องการค้นหา
         ข้อมูลแบบมีเงื่อนไขเป็นระดับและเรียงลำาดับต่อเนื่อง
 ข้อจำากัด คือ ไม่สามารถรองรับความสัมพันธ์ของข้อมูลแบบลูกมี
  พ่อได้หลายคนได้ มีโอกาสเกิดความซำ้าซ้อนมากและมีความคล่อง
 ตัวน้อยกว่าโครงสร้างแบบอื่น เพราะเรียกใช้ข้อมูลต้องผ่านทางต้น
  กำาเนิดเสมอ ถ้าต้องการค้นหาข้อมูลซึ่งปรากฏในระดับล่าง ๆ แล้ว
                         จะต้องค้นหาทั้งแฟ้ม
โครงสร้า งข้อ มูล แบบเครือ ข่า ย
(Network data model)
แต่ละแฟ้มข้อมูลมีความสัมพันธ์คล้ายร่างแห ยินยอมให้ระดับชั้นที่
      อยู่เหนือกว่ามีได้หลายแฟ้มข้อมูล ทำาให้สะดวกในการค้นหา
    มากกว่าลักษณะโครงสร้างข้อมูลแบบลำาดับชั้น เพราะไม่ต้องไป
   เริ่มค้นหาตั้งแต่ข้อมูลต้นกำาเนิดโดยทางเดียว ข้อมูลแต่ละกลุ่มจะ
                          เชื่อมโยงกันโดยตัวชี้
 ลักษณะเด่นคือ มีความเหมาะสมสำาหรับงานที่แฟ้มข้อมูลมีความ
     สัมพันธ์แบบเครือข่าย โดยมีโอกาสเกิดความซำ้าซ้อนของข้อมูล
 น้อยกว่าโครงสร้างแบบลำาดับชั้น และการค้นหาข้อมูลมีเงื่อนไขได้
                มากและกว้างกว่าโครงสร้างแบบลำาดับชัน  ้
 ข้อจำากัด คือ โครงสร้างแบบเครือข่ายเป็นโครงสร้างที่งายไม่ซับ
                                                          ่
   ซ้อน จึงทำาให้ป้องกันความลับของข้อมูลได้ยาก มีค่าใช้จ่ายและ
  สิ้นเปลืองพื้นที่ในหน่วยความจำาการออกแบบโครงสร้างยุ่งยากซับ
                                  ซ้อน
โครงสร้า งข้อ มูล แบบจำา ลองเชิง วัต ถุ
(Object Oriented model)

   มีการคิดค้นและพัฒนากันในปัจจุบัน โดยโครงสร้างข้อมูล
    แบบนี้จะนำาเสนอข้อมูลและความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในรู
     ปออบเจกต์ (object) สำาหรับฐานข้อมูลแบบออบเจกต์นั้น
      หน่วยงานธุรกิจในปัจจุบันนี้ยังไม่มีการใช้ ยังต้องมีการ
    ค้นคว้าและวิจัยต่อไปเพื่อที่จะสร้างฐานข้อมูลแบบออบเจกต์
โครงสร้า งข้อ มูล แบบเชิง สัม พัน ธ์
(Relational data model)
ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน และเรียกฐานข้อมูลที่ได้ว่า
 ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ โปรแกรมสำาเร็จรูปทางด้านฐานข้อมูลก็ใช้
 รูปแบบนี้เช่นกัน
นำาเสนอข้อมูลและความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในรูปรีเลชัน
 (relation) ซึ่งนำาเสนอฐานข้อมูลในรูปของตารางในลักษณะของ
 แนวนอน กับแนวตั้ง
ลักษณะเด่นคือ เหมาะกับงานที่เลือกดูข้อมูลแบบมีเงือนไข
                                                    ่
 สามารถป้องกันข้อมูลได้ดี การเลือกดูข้อมูลทำาได้งาย ความซับ
                                                  ่
 ซ้อนของข้อมูลระหว่างแฟ้มต่าง ๆ มีน้อยมาก อาจมีการฝึกฝน
 เพียงเล็กน้อยก็สามารถใช้ทำางานได้
ข้อจำากัด คือ ผู้ใช้จะไม่ทราบการเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลที่แท้จริง
 และค่าใช้จ่ายของระบบสูงเมื่อมีการอ่าน เพิ่มเติม ปรับปรุงหรือ
 ยกเลิกจะต้องทำาการสร้างตารางขึ้นมาใหม่ ทั้งที่ในแฟ้มข้อมูลที่แท้
 จริงอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย
2. การออกแบบฐานข้อ มูล
(Database Design)
2.1 การออกแบบระดับ แนวคิด (Conceptual Design)
  1) การกำาหนดรีเลชันและความสัมพันธ์ระหว่างรีเลชัน
  2) การกำาหนดแอททริบิวต์ต่าง ๆ คีย์หลัก และคีย์นอกในแต่ละรีเล
  ชัน
  3) การทำาให้รีเลชันมีคุณสมบัติอยู่ในรูปแบบที่เป็นบรรทัดฐาน
  4) ลักษณะและขอบเขตของข้อมูล รวมทั้งข้อจำากัดและกฎเกณฑ์
  ต่าง ๆ ที่ควรคำานึง
  5) การรวบรวมและทบทวนการออกแบบฐานข้อมูลในระดับแนวคิด
2. การออกแบบฐานข้อ มูล
(Database Design) (ต่ออ)มูล
2.2 การเลือ กโปรแกรมระบบจัด การฐานข้
 1) ค่าใช้จ่ายต่างๆ ราคา การซ่อมบำารุง การปฏิบัติงาน
 ลิขสิทธิ์ การติดตั้ง การฝึกอบรม และค่าใช้จ่ายใน การเปลี่ยน
 ไปใช้ระบบใหม่
 2) คุณลักษณะและเครื่องมือของระบบจัดการฐานข้อมูล
 โปรแกรมฐานข้อมูลบางตัวจะรวมเอาเครื่องมือต่างๆ ทีให้
                                                   ่
 ความสะดวกในงานการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ ตัวอย่างเช่น
 การออกแบบหน้าจอ การสร้างรายงาน การสร้างโปรแกรม
 ประยุกต์ พจนานุกรมข้อมูล และอื่นๆ
 3) รูปแบบฐานข้อมูล ได้แก่ ฐานข้อมูลแบบลำาดับชั้น ฐาน
 ข้อมูลแบบเครือข่าย หรือฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ฯลฯ
 4) ความสามารถในการใช้งานข้ามแพลตฟอร์ม ข้ามระบบ
2. การออกแบบฐานข้อ มูล
(Database Design) (ต่อ )
2.3 การออกแบบระดับ ตรรกะ
    เกียวข้องกับการตัดสินใจใช้รูปแบบเฉพาะของฐานข้อมูล (แบบ
       ่
    ลำาดับชั้น แบบเครือข่าย แบบเชิงสัมพันธ์ แบบเชิงวัตถุ) การ
    กำาหนดรูปแบบของฐานข้อมูล การออกแบบทางตรรกะ จึง
    หมายถึง การแปลงการออกแบบระดับเชิงแนวคิด (conceptual
    design) ให้เป็นแบบจำาลองของฐานข้อมูลในระดับภายใน
    (internal model) ตามระบบการจัดการฐานข้อมูล (DBMS)
    เช่น Access, Oracle, DB2 เป็นต้น
2. การออกแบบฐานข้อ มูล
(Database Design) (ต่อ )
2.4 การออกแบบระดับ กายภาพ
    ข้อมูลเชิงกายภาพจะถูกสร้างขึ้นหลังจากได้ข้อมูลในเชิงตรรกะ
     เรียบร้อยแล้ว กระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บฐานข้อมูล
     ในหน่วยเก็บข้อมูลสำารองจริงๆ ซึ่งผู้ใช้งานฐานข้อมูลทั่วไปไม่
    ต้องยุ่งเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลในระดับนี้ แต่จะเป็นหน้าที่ของ
      ระบบจัดการฐานข้อมูลที่จะทำาหน้าที่จัดเก็บข้อมูลไว้ในหน่วย
     เก็บข้อมูลสำารอง เช่น ดิสก์ ตามโครงสร้างข้อมูลที่ได้ออกแบบ
     ไว้ การกำาหนดลักษณะการเข้าถึงข้อมูลของฐานข้อมูล การจัด
      เก็บข้อมูลที่เกี่ยวกับดัชนี และตัวชี้ซึ่งเป็นตัวบอกตำาแหน่งของ
     ข้อมูลจริง และข้อมูลการเชื่อมโยงระหว่างตารางต่างๆจะถูกจัด
                           เก็บไว้ในระดับนี้ทั้งหมด
3. การจัด ทำา และนำา ข้อ มูล เข้า สู่ฐ าน
   ข้อ มูล
การติดตั้งระบบฐานข้อมูลตามที่ได้ออกแบบมาแล้ว ขึ้นอยู่กับระบบ
 จัดการฐานข้อมูลที่ใช้ โดยเริ่มต้นจาก
   การสร้างฐานข้อมูล
   กำาหนดผูจัดการฐานข้อมูล
            ้
   กำาหนดพื้นที่ที่ต้องการใช้
   สร้างตารางต่างๆ ที่ต้องใช้ในระบบ

Database

  • 1.
    ประภา เลขที่1 นาย ธนาวุธ วิบลกิจ ู เลขที่3 นาย ธีรวิทย์ สมบูรณ์ เลขที่4 นาย ปฏิพัทธ์ เปรมปรีดิ์ เลขที่5 นาย พสิษฐ์ เขียวขำา เลขที่6 นาย สุรพร ละออ เลขที่29
  • 2.
    ความหมายของฐานข้อ มูล ฐานข้อมูล (Database)คือแหล่งรวมข้อมูลที่มีความ สัมพันธ์กันในด้านใดด้านหนึ่งจัดเก็บให้เป็นระเบียบ ตัวอย่างเช่น ฐานข้อมูลการขายสินค้าจะประกอบด้วยข้อมูล ลูกค้าซึ่งจะมีชื่อที่อยู่ของลูกค้าหรือข้อมูลสินค้าซึ่งจะมีชื่อ สินค้า ราคาสินค้า เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้จะมีรหัสประจำาตัว เก็บไว้เพื่อสะดวกในการค้นหาและเรียกใช้
  • 3.
    ประโยชน์ข องฐานข้อ มูล ลดการเก็บข้อมูลที่ซำ้าซ้อน รักษาความถูกต้องของข้อมูล การป้องกันและรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลทำาได้อย่าง สะดวก สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ มีความเป็นอิสระของข้อมูล สามารถขยายงานได้ง่าย ให้ข้อมูลบูรณะกลับสู่สภาพปกติได้เร็วและมีมาตรฐาน
  • 4.
    การบริห ารฐานข้อ มูล บุคคลที่มีอำานาจหน้าที่ดูแลควบคุมข้อมูลและโปรแกรมที่ เข้าถึงข้อมูล เรียกว่า ผู้บริหารฐานข้อมูล หรือ DBA (data base administer) โดยมีหน้าที่ดังต่อไปนี้คือ  กำาหนดโครงสร้างหรือรูปแบบของฐานข้อมูล  กำาหนดโครงสร้างของอุปกรณ์เก็บข้อมูลและ วิธีการเข้าถึงข้อมูล  มอบหมายขอบเขตอำานาจหน้าที่ของการเข้า ถึงข้อมูลของผูใช้ ้
  • 5.
    ระบบการจัด การฐานข้อ มูล ทำาหน้าที่ดูแลจัดการกับข้อมูลและเป็นส่วนที่ครอบคลุมส่วน ที่เป็นข้อมูลไว้ หน้าที่ของระบบการจัดการฐานข้อมูลได้แก่  ดูแลการใช้งานให้กับผูใช้ในการติดต่อกับ ้ ตัวจัดการระบบ แฟ้มข้อมูลได้  ควบคุมระบบความปลอดภัยของข้อมูล พร้อม ทั้งสร้างฟังก์ชนในการจัดทำา ข้อมูลสำารอง ั  ควบคุมการใช้ข้อมูลในสภาพที่มีผใช้พร้อม ู้ ๆ กันหลายคน โดย จัดการเมือมีข้อผิด ่ พลาดของข้อมูลเกิดขึ้น
  • 6.
    โครงสร้า งของฐานข้อ มูล โครงสร้า งเชิง กายภาพ (Physical data structure) เป็นโครงสร้างที่กำาหนดจากวิธีการจัดเก็บข้อมูลในสื่อ ต่างๆ เช่น เนื้อที่สำาหรับจัดเก็บ ตำาแหน่งในการจัดเก็บ ฐานข้อมูล เป็นต้น  โครงสร้า งเชิง ตรรกะ (Logical data structure) เป็นโครงสร้างที่เกิดจากการกำาหนดรูปแบบและความ สัมพันธ์ของข้อมูลในฐานข้อมูล
  • 7.
    โครงสร้า งข้อ มูลแบบลำา ดับ ชั้น (Hierarchical data model) นำาเสนอข้อมูลและความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในรูปแบบของ โครงสร้างต้นไม้ (tree structure) มีลักษณะความสัมพันธ์แบบพ่อลูก คือ พ่อ (parent) 1 คนมีลก ู (child) ได้หลายคน หรือแบบพ่อคนเดียวมีลก 1 คนแต่ลกมีพ่อได้ ู ู คนเดียว ลักษณะเด่นคือ มีความซับซ้อนน้อย เข้าใจง่าย ค่าใช้จ่ายไม่สูง ป้องกันความลับของข้อมูลได้ดี เหมาะสำาหรับงานที่ต้องการค้นหา ข้อมูลแบบมีเงื่อนไขเป็นระดับและเรียงลำาดับต่อเนื่อง ข้อจำากัด คือ ไม่สามารถรองรับความสัมพันธ์ของข้อมูลแบบลูกมี พ่อได้หลายคนได้ มีโอกาสเกิดความซำ้าซ้อนมากและมีความคล่อง ตัวน้อยกว่าโครงสร้างแบบอื่น เพราะเรียกใช้ข้อมูลต้องผ่านทางต้น กำาเนิดเสมอ ถ้าต้องการค้นหาข้อมูลซึ่งปรากฏในระดับล่าง ๆ แล้ว จะต้องค้นหาทั้งแฟ้ม
  • 8.
    โครงสร้า งข้อ มูลแบบเครือ ข่า ย (Network data model) แต่ละแฟ้มข้อมูลมีความสัมพันธ์คล้ายร่างแห ยินยอมให้ระดับชั้นที่ อยู่เหนือกว่ามีได้หลายแฟ้มข้อมูล ทำาให้สะดวกในการค้นหา มากกว่าลักษณะโครงสร้างข้อมูลแบบลำาดับชั้น เพราะไม่ต้องไป เริ่มค้นหาตั้งแต่ข้อมูลต้นกำาเนิดโดยทางเดียว ข้อมูลแต่ละกลุ่มจะ เชื่อมโยงกันโดยตัวชี้ ลักษณะเด่นคือ มีความเหมาะสมสำาหรับงานที่แฟ้มข้อมูลมีความ สัมพันธ์แบบเครือข่าย โดยมีโอกาสเกิดความซำ้าซ้อนของข้อมูล น้อยกว่าโครงสร้างแบบลำาดับชั้น และการค้นหาข้อมูลมีเงื่อนไขได้ มากและกว้างกว่าโครงสร้างแบบลำาดับชัน ้ ข้อจำากัด คือ โครงสร้างแบบเครือข่ายเป็นโครงสร้างที่งายไม่ซับ ่ ซ้อน จึงทำาให้ป้องกันความลับของข้อมูลได้ยาก มีค่าใช้จ่ายและ สิ้นเปลืองพื้นที่ในหน่วยความจำาการออกแบบโครงสร้างยุ่งยากซับ ซ้อน
  • 9.
    โครงสร้า งข้อ มูลแบบจำา ลองเชิง วัต ถุ (Object Oriented model) มีการคิดค้นและพัฒนากันในปัจจุบัน โดยโครงสร้างข้อมูล แบบนี้จะนำาเสนอข้อมูลและความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในรู ปออบเจกต์ (object) สำาหรับฐานข้อมูลแบบออบเจกต์นั้น หน่วยงานธุรกิจในปัจจุบันนี้ยังไม่มีการใช้ ยังต้องมีการ ค้นคว้าและวิจัยต่อไปเพื่อที่จะสร้างฐานข้อมูลแบบออบเจกต์
  • 10.
    โครงสร้า งข้อ มูลแบบเชิง สัม พัน ธ์ (Relational data model) ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน และเรียกฐานข้อมูลที่ได้ว่า ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ โปรแกรมสำาเร็จรูปทางด้านฐานข้อมูลก็ใช้ รูปแบบนี้เช่นกัน นำาเสนอข้อมูลและความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในรูปรีเลชัน (relation) ซึ่งนำาเสนอฐานข้อมูลในรูปของตารางในลักษณะของ แนวนอน กับแนวตั้ง ลักษณะเด่นคือ เหมาะกับงานที่เลือกดูข้อมูลแบบมีเงือนไข ่ สามารถป้องกันข้อมูลได้ดี การเลือกดูข้อมูลทำาได้งาย ความซับ ่ ซ้อนของข้อมูลระหว่างแฟ้มต่าง ๆ มีน้อยมาก อาจมีการฝึกฝน เพียงเล็กน้อยก็สามารถใช้ทำางานได้ ข้อจำากัด คือ ผู้ใช้จะไม่ทราบการเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลที่แท้จริง และค่าใช้จ่ายของระบบสูงเมื่อมีการอ่าน เพิ่มเติม ปรับปรุงหรือ ยกเลิกจะต้องทำาการสร้างตารางขึ้นมาใหม่ ทั้งที่ในแฟ้มข้อมูลที่แท้ จริงอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย
  • 11.
    2. การออกแบบฐานข้อ มูล (DatabaseDesign) 2.1 การออกแบบระดับ แนวคิด (Conceptual Design) 1) การกำาหนดรีเลชันและความสัมพันธ์ระหว่างรีเลชัน 2) การกำาหนดแอททริบิวต์ต่าง ๆ คีย์หลัก และคีย์นอกในแต่ละรีเล ชัน 3) การทำาให้รีเลชันมีคุณสมบัติอยู่ในรูปแบบที่เป็นบรรทัดฐาน 4) ลักษณะและขอบเขตของข้อมูล รวมทั้งข้อจำากัดและกฎเกณฑ์ ต่าง ๆ ที่ควรคำานึง 5) การรวบรวมและทบทวนการออกแบบฐานข้อมูลในระดับแนวคิด
  • 12.
    2. การออกแบบฐานข้อ มูล (DatabaseDesign) (ต่ออ)มูล 2.2 การเลือ กโปรแกรมระบบจัด การฐานข้ 1) ค่าใช้จ่ายต่างๆ ราคา การซ่อมบำารุง การปฏิบัติงาน ลิขสิทธิ์ การติดตั้ง การฝึกอบรม และค่าใช้จ่ายใน การเปลี่ยน ไปใช้ระบบใหม่ 2) คุณลักษณะและเครื่องมือของระบบจัดการฐานข้อมูล โปรแกรมฐานข้อมูลบางตัวจะรวมเอาเครื่องมือต่างๆ ทีให้ ่ ความสะดวกในงานการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ ตัวอย่างเช่น การออกแบบหน้าจอ การสร้างรายงาน การสร้างโปรแกรม ประยุกต์ พจนานุกรมข้อมูล และอื่นๆ 3) รูปแบบฐานข้อมูล ได้แก่ ฐานข้อมูลแบบลำาดับชั้น ฐาน ข้อมูลแบบเครือข่าย หรือฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ฯลฯ 4) ความสามารถในการใช้งานข้ามแพลตฟอร์ม ข้ามระบบ
  • 13.
    2. การออกแบบฐานข้อ มูล (DatabaseDesign) (ต่อ ) 2.3 การออกแบบระดับ ตรรกะ เกียวข้องกับการตัดสินใจใช้รูปแบบเฉพาะของฐานข้อมูล (แบบ ่ ลำาดับชั้น แบบเครือข่าย แบบเชิงสัมพันธ์ แบบเชิงวัตถุ) การ กำาหนดรูปแบบของฐานข้อมูล การออกแบบทางตรรกะ จึง หมายถึง การแปลงการออกแบบระดับเชิงแนวคิด (conceptual design) ให้เป็นแบบจำาลองของฐานข้อมูลในระดับภายใน (internal model) ตามระบบการจัดการฐานข้อมูล (DBMS) เช่น Access, Oracle, DB2 เป็นต้น
  • 14.
    2. การออกแบบฐานข้อ มูล (DatabaseDesign) (ต่อ ) 2.4 การออกแบบระดับ กายภาพ ข้อมูลเชิงกายภาพจะถูกสร้างขึ้นหลังจากได้ข้อมูลในเชิงตรรกะ เรียบร้อยแล้ว กระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บฐานข้อมูล ในหน่วยเก็บข้อมูลสำารองจริงๆ ซึ่งผู้ใช้งานฐานข้อมูลทั่วไปไม่ ต้องยุ่งเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลในระดับนี้ แต่จะเป็นหน้าที่ของ ระบบจัดการฐานข้อมูลที่จะทำาหน้าที่จัดเก็บข้อมูลไว้ในหน่วย เก็บข้อมูลสำารอง เช่น ดิสก์ ตามโครงสร้างข้อมูลที่ได้ออกแบบ ไว้ การกำาหนดลักษณะการเข้าถึงข้อมูลของฐานข้อมูล การจัด เก็บข้อมูลที่เกี่ยวกับดัชนี และตัวชี้ซึ่งเป็นตัวบอกตำาแหน่งของ ข้อมูลจริง และข้อมูลการเชื่อมโยงระหว่างตารางต่างๆจะถูกจัด เก็บไว้ในระดับนี้ทั้งหมด
  • 15.
    3. การจัด ทำาและนำา ข้อ มูล เข้า สู่ฐ าน ข้อ มูล การติดตั้งระบบฐานข้อมูลตามที่ได้ออกแบบมาแล้ว ขึ้นอยู่กับระบบ จัดการฐานข้อมูลที่ใช้ โดยเริ่มต้นจาก  การสร้างฐานข้อมูล  กำาหนดผูจัดการฐานข้อมูล ้  กำาหนดพื้นที่ที่ต้องการใช้  สร้างตารางต่างๆ ที่ต้องใช้ในระบบ