การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน   ( School-Based Management ) นายบุญไทย  พานะเวช  รหัส  52150601207 นายสำราญ  ประกายสี  รหัส  52150601208 นายพวง  กุมภิโร   รหัส  53470601101 นายสุบิน  ศรีบุรม รหัส  53470601102 นายวัลลภ  เกื้อธนสกุล   รหัส  53670601149
แนวคิด   (School -  Based  Management  :  SBM) การบริหารโรงเรียนที่เริ่มในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับอิทธิพลจากกระแสการบริหารแนวใหม่ในทางธุรกิจที่เน้นความพึงพอใจของผู้รับบริการ และผลักดันให้มีการกระจายอำนาจไปสู่หน่วยปฏิบัติให้มากที่สุด ในทางการศึกษาได้มีกระแสการปฏิรูปการศึกษา โดยเน้นการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษาไปยังสถานศึกษา และให้ผู้มี่ความเกี่ยวข้องได้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
หลักการสำคัญของการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน   หลักการกระจายอำนาจไปยังสถานศึกษา  หลักการมีส่วนร่วม  หลักการคืนอำนาจการจัดการศึกษาให้ประชาชน  หลักการบริหารตนเอง หลักการตรวจสอบและถ่วงดุล
ได้มา จ่ายไป ระดมทรัพยากรพอเพียงใช้จ่ายถูกต้อง เป้าหมาย กระจายอำนาจ มีส่วนร่วมและเครือข่าย บริหารจัดการที่ดี โรงเรียน คุณภาพ และ สร้างสรรค์ มาตรฐาน  ตัวชี้วัด  เกณฑ์
ความหมายและขอบข่าย เป็นการกระจายอำนาจการจัดการศึกษาจากส่วนกลางไปยังสถานศึกษาโดยตรง โดยให้สถานศึกษามีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบ มีอิสระและความคล่องตัวในการตัดสินใจการบริหารจัดการทั้งด้านวิชาการ งบประมาณ บุคลากรและการบริหารทั่วไป โดยมีคณะกรรมการสถานศึกษา   (School  Council  หรือ   School  Board)
ความหมาย David  กล่าวว่า การบริหารโดยใช้  โรงเรียนเป็นฐานเป็นแนวทางหนึ่งของการปฏิรูปการศึกษาโดยการกระจายอํานาจจัดการศึกษา ไปยังโรงเรียนให้  มากขึ้นโดยมีสมมุติฐานว่าการให้  โรงเรียนมีอำนาจหน  าที่มากขึ้นจะทำให้ประสิทธิภาพของโรงเรียนสูงขึ้นมีความยืดหยุ  นความคล่องตัวมากขึ้นและมีผลผลิตดีขึ้น
เช็ง   (Cheng)  กล่าวว่า การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานทำให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วยผู้บริหารโรงเรียน ตัวแทนคณะครูผู  ปกครองชุมชน ซึ่งมารวมตัวกันเป  นคณะกรรมการโรงเรียนได้มีโอกาสร่วมจัดการศึกษาให้เป็นไปตามความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครองและชุมชน ส่งผลให้โรงเรียนมีประสิทธิภาพสูงขึ้น  ความหมาย
ความหมาย Myers and Stonehill  ให้ความหมายของการบริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน   (School-based management  = SBM)  คล้าย ๆ กันว่าเป็นกลยุทธ์ในการปรับปรุงคุณภาพการศึกษาด้วยการถ่ายโอน   (Transfer) อำนาจการตัดสินใจในการบริหารและจัดการศึกษาทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับงบประมาณบุคคล และหลักสูตรไปยังโรงเรียน
ความหมาย จากการประมวลแนวความคิดของนักวิชาการและองค์การต่าง ๆ จำนวนมาก สรุปได้ว่า การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานเป็นกลยุทธ์ในการปรับปรุงการศึกษา โดยเปลี่ยนอำนาจหน้าที่ในการตัดสินใจจากส่วนกลางไปยังแต่ละโรงเรียน โดยให้คณะกรรมการโรงเรียน  (School  Council  หรือ   School  Board)  ซึ่งประกอบด้วย ผู้ปกครอง ครู สมาชิกในชุมชน ผู้ทรงคุณวุฒิ ศิษย์เก่า และผู้บริหารโรงเรียน   ( บางโรงเรียนมีตัวแทนนักเรียนด้วย )  ได้มีอำนาจในการบริหารจัดการศึกษาในโรงเรียน มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณ บุคลากร และวิชาการ โดยให้เป็นไปตามความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน
รูปแบบการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน   1)  รูปแบบที่มีผู้บริหารโรงเรียนเป็นหลัก   (Administration  Control  SBM)  2)  รูปแบบที่มีครูเป็นหลัก   (Professional  Control  SBM)  3)  รูปแบบที่ชุมชนมีบทบาทหลัก   (Community  Control  SBM)  4)  รูปแบบที่ครูและชุมชนมีบทบาทหลัก   (Professional  Community  Control  SBM)
ปัจจัยที่เอื้อและปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการนำรูปแบบการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานไปใช้ 1)  กระจายอำนาจการบริหารจากหน่วยงานบริหารส่วนกลางไปยังคณะกรรมการโรงเรียนอย่างแท้จริง 2)  ได้รับการยอมรับจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย  3)  มีการประชาสัมพันธ์ที่ดี  มีประสิทธิภาพเพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับรู้ข้อมูล   สารสนเทศตรงกัน 4)  บุคลากรในสำนักงานเขตการศึกษาและในโรงเรียนจะต้องได้รับการอบรม  5)  ทำการฝึกอบรมคณะกรรมการโรงเรียน เกี่ยวกับการบริหารและการจัดการศึกษา  6)  ได้ผู้บริหารโรงเรียนที่มีความรู้ ความสามารถ มีภาวะผู้นำที่เหมาะสม พัฒนาความรู้ ทักษะ และภาวะผู้นำให้ผู้บริหารเพื่อเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง   (Change  Agent)  ที่ดี 7)   ผู้บริหารคณะกรรมการโรงเรียน บุคลากรในโรงเรียนรู้บทบาทหน้าที่ของตนเอง  8)   มีการให้รางวัลสำหรับโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จในด้านการบริหาร และจัดการศึกษา
ปัจจัยที่เป็นที่เป็นอุปสรรค  การเปลี่ยนรูปแบบแต่ไม่เปลี่ยนวิธีการบริหารงานและการทำงาอำนาจการตัดสินใจผูกขาดอยู่ในคณะกรรมการโรงเรียนไม่กระจายไปทั่วโรงเรียน ผู้บริหารยังใช้ความคิดเห็นส่วนตัวในการตัดสินใจ การขัดแย้งระหว่างผู้บริหารครู และคณะกรรมการโรงเรียน
ประสบการณ์การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน   1)   ในต่างประเทศ ต่างใช้ประสบปัญหาความไม่พึงพอใจในคุณภาพการศึกษา  2)   ในการดำเนินกระจายอำนาจการศึกษาได้ลดบทบาทในส่วนกลาง  3)  ผู้ปกครอง ชุมชน มีความพึงพอใจในการศึกษามากขึ้นเนื่องจากได้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา  4)  ยังไม่ได้มีการศึกษาอย่างจริงจังว่าการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานทำให้ผลสมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนดีขึ้นมากน้อยเพียงไร  5)  ความสำเร็จของการกระจายอำนาจการศึกษา อยู่ที่รัฐบาลให้ความสำคัญและดำเนินการอย่างจริงจัง
ปัญหาและข้อเสนอแนะที่ได้จากประสบการณ์การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานใน   1)  ใช้เวลาในการทำงานเพิ่มขึ้นในแต่ละวันและส่วนใหญ่ต้องใช้เวลา  5  ปีขึ้นไปจนกว่าจะเห็นผล  2)  ความคาดหวังของโรงเรียนจะมีมากใน  2  ปีแรก เมื่อมีอุปสรรคและ ใช้เวลามากจะขาดความกระตือรือร้น  3)  คณะกรรมการโรงเรียนบางแห่งยังขาดคุณสมบัติที่เหมาะสม  บางชุมชนหาคนมาเป็นกรรมการได้ยาก  4)  ความขัดแย้งระหว่างโรงเรียน ครู และชุมชน
ข้อเสนอ 1)  รัฐต้องมีความจริงใจในการกระจายอำนาจ  2)  เขตพื้นที่การศึกษาต้องทำหน้าที่ประสานงาน เชื่อมโยง อำนวยความสะดวก สนับสนุนและประชาสัมพันธ์ให้โรงเรียนมีความเข้มแข็ง และสามารถบริหารจัดการด้วยตนเองได้  3)  โรงเรียนต้องปรับแนวทางการทำงานใหม่  จากการคอยรับนโยบายและคำสั่งมาเป็นการบริหารจัดการด้วยตนเอง โดยความร่วมมือกับครูผู้ปกครองและชุมชน
การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานในประเทศไทย   1)   ปัญหาสำคัญของการบริหารการศึกษาในภาพรวมของกระทรวงศึกษาธิการ  2)   ได้มีความพยายามดำเนินการปฏิรูปการศึกษา   3)   จากอดีตที่ผ่านมาพบว่า ผู้ปกครองและประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาน้อยมาก  4)   คณะกรรมการศึกษา หรือคณะกรรมการสถานศึกษา มีมาตั้งแต่เริ่มประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษา  5)   ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับโครงสร้างการกระจายอำนาจการบริหาร
แนวทางการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานในประเทศไทย   มีหลักการพื้นฐานในการกำหนดรูปแบบการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน  รูปแบบที่เหมาะสมกับบริบทและกฎหมายการศึกษาของไทยในปัจจุบัน วิธีการได้มา   บทบาทหน้าที่   ข้อจำกัดและเงื่อนไขในการนำรูปแบบไปใช้
ความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับเขตพื้นที่การศึกษา   คณะกรรมการและสำนักงานการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม  เขตพื้นที่การศึกษา มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับ ดูแลสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญา รวมทั้งพิจารณาการจัดตั้ง ยุบ รวม หรือเลือกสถานศึกษา บทบาทหน้าที่เป็นผู้ประสานงานและอำนวยความสะดวก สนับสนุน ส่งเสริม และช่วยเหลือสถานศึกษามากกว่าการเป็นหน่วยงานบังคับบัญชาระดับสูงกว่าสถานศึกษา
กลยุทธ์ในการนำรูปแบบบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานไปปฏิบัติ   1)  การประชาสัมพันธ์  2)  กำหนดบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการสถานศึกษาให้ชัดเจน  3)  การสรรหา และการคัดเลือกคณะกรรมการสถานศึกษา  4)  การพัฒนาคณะกรรมการสถานศึกษา  5)  การสนับสนุนให้บุคลากรในสถานศึกษาร่วมปฏิบัติงานกับคณะกรรมการสถานศึกษา  6)  การสร้างเครือข่ายคณะกรรมการสถานศึกษา  7)  การกำหนดมาตรฐานการดำเนินงานของคณะกรรมการสถานศึกษา  8)  พิจารณาให้สวัสดิการ บริการและสิทธิพิเศษแก่คณะกรรมการสถานศึกษา
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย   1)  สถานศึกษาควรใช้หลักการบริหาร  2)  ควรเตรียมความพร้อมด้านระบบและบุคลากร มีการจัดระบบบริหารที่มีประสิทธิภาพ   3)   ควรดำเนินโครงการนำร่องการบริหารจัดการในระดับเขตพื้นที่การศึกษา และระดับสถานศึกษา  4)  ควรกำหนดบทบาทหน้าที่ระเบียบและแนวปฏิบัติต่าง ๆ
การกระจายอำนาจ   ความหมายของการกระจายอำนาจ การถ่ายโอนอำนาจการตัดสินใจ ทรัพยากร และภารกิจ จากภาครัฐส่วนกลาง ให้แก่องค์กรอื่นใด ไมว่าจะเป็นองค์กรภาครัฐส่วนภูมิภาค องค์กรอิสระ องค์กรท้องถิ่น องค์กรเอกชน โดยเฉพาะภาคประชาชน ไปดำเนินการแทน ซึ่งการถ่ายโอนดังกล่าว อาจจะมีลักษณะเป็นการถ่ายโอนเฉพาะภารกิจ ซึ่งเป็นการแบ่งภารกิจ ให้แก่องค์กรที่ได้รับการกระจายอำนาจดำเนินการ หรือ เป็นการถ่ายโอนโดยยึดพื้นที่เป็นหลัก ซึ่งเป็นการแบ่งพื้นที่เป็นหน่วยงานย่อยในการดำเนินการ
แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการกระจาย   การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เป็นยุทธศาสตร์หนึ่งในการบริหารจัดการบ้านเมืองของรัฐ ในระบบประชาธิปไตย โดยมุ่งลดบทบาทของรัฐส่วนกลาง (decentralize)  ลง  เหลือภารกิจหลักเท่าที่จำเป็น และให้ประชาชนได้มีส่วนในการบริหารงานชุมชนท้องถิ่น ตามเจตนารมณ์ของประชาชนมากขึ้น การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น จึงเป็นการจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจ หน้าที่ใหม่ ระหว่างส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่น ให้สอดคล้องกับสภาพการณ์บ้านเมือง ที่เปลี่ยนแปลงไปในสภาวะที่สังคมมีกลุ่มที่หลากหลาย มีความต้องการ และความคาดหวังจากรัฐที่เพิ่มขึ้น และแตกต่างกัน ขัดแย้งกัน ในขณะที่รัฐเองก็มีขีดความสามารถ และทรัพยากรที่จำกัด ในการตอบสนองปัญหา ความต้องการ ที่เกิดขึ้นในแต่ละท้องถิ่นได้ทันต่อเหตุการณ์ และตรงกับความต้องการของท้องถิ่น
เป้าหมายของการกระจายอำนาจ เพื่อให้บริการต่างๆ สามารถตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนมากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีการถ่ายโอนภารกิจ เป็นเครื่องมือหนึ่งในการดำเนินการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว รูปแบบการกระจายอำนาจ การจัดบริการสาธารณะ จึงไม่ควรจำกัดอยู่ที่การโอนภารกิจแต่เพียงอย่างเดียว แต่ควรให้ความสำคัญกับรูปแบบที่สามารถตอบสนอง ต่อวัตถุประสงค์ทั้งสองประการเป็นหลัก
ประเภทของการกระจายอำนาจ การมอบอำนาจการตัดสินใจด้านการบริหารจัดการจากส่วนกลางสู่ภูมิภาค   การมอบอำนาจหน้าที่ให้แก่องค์กรกึ่งรัฐ ที่เป็นอิสระ ภายใต้การกำกับจากภาครัฐ   การกระจายอำนาจการปกครองให้แก่รัฐบาลส่วนท้องถิ่น   การมอบหน้าที่ให้แก่องค์กร หรือ หน่วยงานเอกชน   การสร้างให้ประชาชน มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
ทำไมต้องมีการกระจายอำนาจ เพื่อให้การดำเนินงานของรัฐ มีประสิทธิภาพมากขึ้น  ลดขั้นตอนการดำเนินการ อันเนื่องจากการล่าช้าในการตัดสินใจจากส่วนกลาง   เพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชนได้อย่างแท้จริง   เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
แนวทางในการกระจายอำนาจทางการศึกษา แนวทางในการกระจายอำนาจทางการศึกษาให้มีความสอดคล้องกับการปฏิรูปการศึกษามา    3    ด้านคือ      ด้านการบริหารจัดการศึกษา   ด้านกระบวนการเรียนการสอน    ด้านการพัฒนาหลักสูตร    เพราะทั้งสามด้านนี้จะส่งผลให้ผลผลิตของการศึกษา     นั้นก็คือผู้เรียนจะจบออกมาเป็นคนดีมีความรู้คู่คุณธรรม    สามารถดำรงตนอยู่ได้ในกระแสโลกาภิวัตน์    คือ
การกระจายอำนาจทางการศึกษา กระจายอำนาจ "  ของ ฟูลูแลน ที่ให้ใช้ง่ายต่อการเข้าใจมากกว่า  " การกระจายอำนาจ คือ อำนาจส่วนใหญ่ถูกกระจายลงไปให้การบริหารในระดับที่ต่ำกว่า
การให้อำนาจ การให้อำนาจคือรูปหนึ่งของการกระจายอำนาจที่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีอำนาจการตัดสินใจ        เป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้บริหารมีความเชื่อมั่นผู้ใต้บังคับบัญชา  1.   ทำให้โครงสร้างองค์กรเล็กลง ซับซ้อนน้อยลง และมีความคล่องตัวในการตัดสินใจ  2.  ตัดทอนกฎ ระเบียบ ที่เข้มข้นขององค์กร 3.  เน้นการเปลี่ยนแปลงองค์กรในด้านการให้อำนาจและความรับผิดชอบของบุคลากรที่มีต่อผลผลิต 4.  เป็นการให้การศึกษา การเรียนรู้แก่บุคลากรที่จะได้รับโอกาสในการบริหารพัฒนาตนเองในการบริหารงาน 5.   เป็นการสร้างข้อผูกพันจากผู้บริหารระดับล่างทุก ๆ องค์กรใด ๆ ไม่มีที่จะรวมอำนาจได้ทั้งหมด                
การรวมอำนาจและการกระจายอำนาจ การรวมอำนาจผิดพลาดเมื่อควบคุมมากเกินไป การกระจายอำนาจผิดพลาดเมื่อนำไปสู่ความยุ่งเหยิง ขาดระเบียบวินัยเราเรียนรู้เป็นทศวรรษว่าการบริหารงานโดยวิธีจากข้างบนลงไปสู่ข้างล่าง ไม่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้เพราะท่านไม่สามารถสั่งได้ในเรื่องการเปลี่ยนแปลง แต่ผู้บริหารก็พยายามที่จะทำต่อไปอีก ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลทางการเมือง หรือเรื่องคุณธรรมก็ตามที่ผลสำเร็จของการกระจายอำนาจพูดอีกนัยหนึ่งว่าเป็นการบริหาร ณ พื้นที่ปฏิบัติการ แต่ก็ล้มเหลว ผู้คุมอำนาจการบริหารก่อนเวลา แต่ก็ไม่ราบรื่นในการทำงานขาดประสิทธิภาพหากปล่อยเขาทำเอง แม้ว่าจะประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันสั้น แต่เขาก็ไม่สามารถดำรงความสำเร็จไว้ได้ยั่งยืน หากเขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปดูหน่วยงานเหนือหรือหน่วยเหนือได้ชำเลืองลงดูข้างล่างหรือไม่
สรุปอีกนัยหนึ่ง คือ   " การบริหารจากศูนย์กลางและการบริหารระดับท้องถิ่น มีความต้องการซึ่งกันและกัน "  ถ้าหากเราไม่มีการสัมพันธ์  2  ทางอย่างเต็มใจอย่างเห็นพ้องต้องกันที่จะรับส่งการกระจายอำนาจแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการรวมอำนาจ หรือการกจะจายออำนาจต่างก็ไม่สามารถทำให้เปลี่ยนแปลงพัฒนาการบริหารไปได้ แล้วก็ต้องถือเป็นคติได้ว่า การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ไม่มีคนหนึ่งคนใด หรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดจะสามารถใช้อำนาจให้คนเปลี่ยนแปลงได้ "
อะไรเกิดขึ้นกับอำนาจการจัดการศึกษา เห็นว่าแท้ที่จริงแล้วการกระจายอำนาจเป็นสิ่งที่เราปรารถนา เพราะเมื่อองค์กรใหญ่ขึ้น ซับซ้อนขึ้น เราไม่สามารถบริหารงานรวมอำนาจไว้ที่ส่วนกลางได้อีกต่อไป เพราะจะขาดความยืดหยุ่น เชื่องช้าต่อการแก้ปัญหา และการพัฒนางานขณะเดียวกับการปล่อยให้หน่วยล่างที่ยังขาดศักยภาพที่จะบริหารได้ความยุ่งเหยิง ความสูญเสียก็จะเกิดขึ้นตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการสาธารณะพื้นฐานของประชาชน เช่นการศึกษา ไม่สามารถคิดง่าย ปล่อยไป ค่อยไปแก้ปัญหาเอาข้างหน้าย่อมไม่ใช่เป็นวิธีการที่ถูกต้อง
ในขณะที่กระทรวงศึกษาธิการตื่นเต้นต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะจัดระบบการศึกษาให้เพื่อการปฏิรูป ทั้งในรูปแบบของหลักการจัดการศึกษาที่ทั้งให้มีความหลากหลายรูปแบบให้มีรากฐานการศึกษา  ให้มีระบบประกันคุณภาพ มีการส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพครูว่าเป็นวิชาชีพชั้นสูง และให้มีการพัฒนาครูให้สูงและมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับความเป็นวิชาชีพชั้นสูง โดยกำหนดให้ค่าตอบแทนให้เหมาะสมกับความเป็นวิชาชีพและกำหนดให้ทรัพยากรมาใช้เพื่อจัดการใหม่ และให้ทุกคน ทุกองค์กร ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมจัดการศึกษา และที่สำคัญคือการกระจายาอำนาจทางกากรศึกษาไปยังเขตพื้นที่การศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หลักการดังกล่าวที่สอนแค่เป็น  " ของใหม่ "  สำหรับวงการศึกษาไทย
ข้อตื่นเต้นที่ยังไม่ยุติ ที่  1  ครูทุกคนแสวงหาคำตอบก็คือ เขตพื้นที่การศึกษาที่ สปศ .  คิดและประโคมว่าดีมี  225  เขตพื้นที่ ประถมศึกษา  183  เขตพื้นที่ มัธยมศึกษา  42  เขตพื้นที่ โดยที่กระทรวงศึกษา โดยปลัดกระทรวงศึกษาคิดเห็นว่ามันไม่น่าจะแบ่งเลยทีเดียว  225  เขต แต่ควรเริ่มที่เขตจังหวัดก่อน และหรือรวมกับเขตที่พร้อมแยก  " อีกจำนวนหนึ่ง จะทำให้   1)  ไม่เกิดความเหลื่อมล้ำทางด้านทรัพยากรทางศึกษา และโอกาสทางการศึกษา  2)  ความพร้อมของบุคลากรที่จะบริหารภายใต้  " เขต พท . กศ .  มีภาระหน้าที่ใหม่ทั้งหลาย ซึ่งเป็นองค์กรที่รองรับการกระจายอำนาจอย่างเต็มที่
ข้อตื่นเต้นที่  2  กระทรวงศึกษาธิการจะเอาอย่างไรกับการกระจายอำนาจการจัดการศึกษาไปสู่ท้องถิ่น เพราะกฎหมายกำหนดแผนขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำหนดให้ถ่ายโอนภารกิจการให้บริการสาธารณะที่รัฐจัดให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยกำหนดแผนเป็นระยะเวลา ให้เสร็จสิ้นภายใน  4  ปี แต่ไม่เกิน  10  ปี เมื่อระยะเวลาเร่งรัดเช่นนั้น ทางกระทรวงก็กำหนดประเภทของภารกิจที่จะให้มีการถ่ายโอนไปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามศักยภาพให้สอคล้องกับภารกิจ
ข้อเสนอหลักการกระจายอำนาจแก่องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น  3  ประการคือ 1) การบริหารหารศึกษา ซึ่งเป็นการบริหารวิชาชีพชั้นสูง จำเป็นจะต้องได้บุคลากรวิชาชีพทางการศึกษาเฉพาะมาบริหาร และมีคณะบุคคลบริหารการศึกษาในท้องถิ่น ทุก ๆ ท้องถิ่นที่จะจัดการศึกษา  2)  การบริหารเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่นที่ทำหน้าที่ทางการศึกษาต้องมีหลักการคิดเฉกเช่นเดียวกับการบริหารครูและบุคลากรทางการศึกษาตาม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ  3)  การบริหารการจัดการศึกษาท้องถิ่นต้องดำเนินการตามนับแห่ง พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ตามแนวปฏิรูปด้วย
ทางออกในแนวคิดกระจายอำนาจการศึกษาสู่ท้องถิ่น   เรื่องราวครูต้านการถ่ายโอนสถานศึกษาให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น  ดูเหมือนจะเป็นประเด็นที่พร้อมจะปะทุขึ้นทุกเวลา แม้จะมีเสียงขู่จากฟาก กระทรวงศึกษาธิการ  ( ศธ .)   ในเรื่องนี้ รศ . ดร . นภาภรณ์ หะวานนท์ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ เจ้าของผลงานวิจัยเรื่อง โครงการพัฒนารูปแบบการกระจายอำนาจโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ซึ่งได้ทุนสนับสนุนจากธนาคารโลก บอกว่าแม้รัฐบาลจะมีท่าทีผ่อนคลายว่าหากครูคนไหนไม่พร้อมที่จะไปสั่งกัด อปท . ก็ไม่ต้องไป ครูหรือโรงเรียนไหนอยากไปถึงจะไป นั่นไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา สิ่งที่เป็นต้นตอของปัญหาทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของครูจากทั่วประเทศอยู่ที่พระราชบัญญัติกำหนดขั้นตอนการถ่ายโอนอำนาจถือเป็นสลักสำคัญ
" ผู้บริหารควรแสดงจุดยืน หากยังไม่แก้  ร . พ . ร . บ . ฉบับดังกล่าวเราก็ต้องมีกระบวนการเสริมสร้างพลังให้แก้กรรมการสถานศึกษามีความเข้มแข็ง ตัวผู้บริหารหรือครูจำนวนมากทำงานกับประชาชนมานาน และมีหลายคนมองว่าประชาชนไม่มีความรู้ ไม่เก่ง ความคิดนี้ต้องเปลี่ยน เป็นกระบวนการที่เราต้องลงไปเปลี่ยนวิธีคิด " คนส่วนใหญ่ในสังคมมองว่าเหตุการณ์การเรียกร้องของครู เป็นการทำเพื่อความต้องการของตัวเอง ตัวครูไม่ได้พูดถึงการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในชุมชน ไม่ได้พูดถึงอุดมการณ์การศึกษาที่แท้จริงการแสดงออกของครูทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจเช่นนั้น แนวทางการต่อสู้ของครูเหมือนเถียงกันว่า  " โอน " หรือ " ไม่โอน "  ซึ่งเป็นการเรียกร้องที่ตื้นเกินไป ดร . วิษณุ กล่าว ว่าพร้อมหรือไม่พร้อมเพียงอย่างเดียวนั้น ทำให้เห็นว่าเส้นทางของการกระจายอำนาจการศึกษามีเส้นทางเดียว ถ้ารัฐธรรมนูญหรือ  พ . ร . บ . การศึกษาแห่งชาติมีแนวคิดเช่นนั้น เขาคงจะเขียนไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว
สวัสดี

การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน

  • 1.
    การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ( School-Based Management ) นายบุญไทย พานะเวช รหัส 52150601207 นายสำราญ ประกายสี รหัส 52150601208 นายพวง กุมภิโร รหัส 53470601101 นายสุบิน ศรีบุรม รหัส 53470601102 นายวัลลภ เกื้อธนสกุล รหัส 53670601149
  • 2.
    แนวคิด (School - Based Management : SBM) การบริหารโรงเรียนที่เริ่มในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับอิทธิพลจากกระแสการบริหารแนวใหม่ในทางธุรกิจที่เน้นความพึงพอใจของผู้รับบริการ และผลักดันให้มีการกระจายอำนาจไปสู่หน่วยปฏิบัติให้มากที่สุด ในทางการศึกษาได้มีกระแสการปฏิรูปการศึกษา โดยเน้นการกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษาไปยังสถานศึกษา และให้ผู้มี่ความเกี่ยวข้องได้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
  • 3.
    หลักการสำคัญของการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน หลักการกระจายอำนาจไปยังสถานศึกษา หลักการมีส่วนร่วม หลักการคืนอำนาจการจัดการศึกษาให้ประชาชน หลักการบริหารตนเอง หลักการตรวจสอบและถ่วงดุล
  • 4.
    ได้มา จ่ายไป ระดมทรัพยากรพอเพียงใช้จ่ายถูกต้องเป้าหมาย กระจายอำนาจ มีส่วนร่วมและเครือข่าย บริหารจัดการที่ดี โรงเรียน คุณภาพ และ สร้างสรรค์ มาตรฐาน ตัวชี้วัด เกณฑ์
  • 5.
    ความหมายและขอบข่าย เป็นการกระจายอำนาจการจัดการศึกษาจากส่วนกลางไปยังสถานศึกษาโดยตรง โดยให้สถานศึกษามีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบมีอิสระและความคล่องตัวในการตัดสินใจการบริหารจัดการทั้งด้านวิชาการ งบประมาณ บุคลากรและการบริหารทั่วไป โดยมีคณะกรรมการสถานศึกษา (School Council หรือ School Board)
  • 6.
    ความหมาย David กล่าวว่า การบริหารโดยใช้  โรงเรียนเป็นฐานเป็นแนวทางหนึ่งของการปฏิรูปการศึกษาโดยการกระจายอํานาจจัดการศึกษา ไปยังโรงเรียนให้  มากขึ้นโดยมีสมมุติฐานว่าการให้  โรงเรียนมีอำนาจหน  าที่มากขึ้นจะทำให้ประสิทธิภาพของโรงเรียนสูงขึ้นมีความยืดหยุ  นความคล่องตัวมากขึ้นและมีผลผลิตดีขึ้น
  • 7.
    เช็ง (Cheng) กล่าวว่า การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานทำให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วยผู้บริหารโรงเรียน ตัวแทนคณะครูผู  ปกครองชุมชน ซึ่งมารวมตัวกันเป  นคณะกรรมการโรงเรียนได้มีโอกาสร่วมจัดการศึกษาให้เป็นไปตามความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครองและชุมชน ส่งผลให้โรงเรียนมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ความหมาย
  • 8.
    ความหมาย Myers andStonehill ให้ความหมายของการบริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School-based management = SBM) คล้าย ๆ กันว่าเป็นกลยุทธ์ในการปรับปรุงคุณภาพการศึกษาด้วยการถ่ายโอน (Transfer) อำนาจการตัดสินใจในการบริหารและจัดการศึกษาทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับงบประมาณบุคคล และหลักสูตรไปยังโรงเรียน
  • 9.
    ความหมาย จากการประมวลแนวความคิดของนักวิชาการและองค์การต่าง ๆจำนวนมาก สรุปได้ว่า การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานเป็นกลยุทธ์ในการปรับปรุงการศึกษา โดยเปลี่ยนอำนาจหน้าที่ในการตัดสินใจจากส่วนกลางไปยังแต่ละโรงเรียน โดยให้คณะกรรมการโรงเรียน (School Council หรือ School Board) ซึ่งประกอบด้วย ผู้ปกครอง ครู สมาชิกในชุมชน ผู้ทรงคุณวุฒิ ศิษย์เก่า และผู้บริหารโรงเรียน ( บางโรงเรียนมีตัวแทนนักเรียนด้วย ) ได้มีอำนาจในการบริหารจัดการศึกษาในโรงเรียน มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณ บุคลากร และวิชาการ โดยให้เป็นไปตามความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน
  • 10.
    รูปแบบการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน 1) รูปแบบที่มีผู้บริหารโรงเรียนเป็นหลัก (Administration Control SBM) 2) รูปแบบที่มีครูเป็นหลัก (Professional Control SBM) 3) รูปแบบที่ชุมชนมีบทบาทหลัก (Community Control SBM) 4) รูปแบบที่ครูและชุมชนมีบทบาทหลัก (Professional Community Control SBM)
  • 11.
    ปัจจัยที่เอื้อและปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการนำรูปแบบการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานไปใช้ 1) กระจายอำนาจการบริหารจากหน่วยงานบริหารส่วนกลางไปยังคณะกรรมการโรงเรียนอย่างแท้จริง 2) ได้รับการยอมรับจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย 3) มีการประชาสัมพันธ์ที่ดี มีประสิทธิภาพเพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับรู้ข้อมูล สารสนเทศตรงกัน 4) บุคลากรในสำนักงานเขตการศึกษาและในโรงเรียนจะต้องได้รับการอบรม 5) ทำการฝึกอบรมคณะกรรมการโรงเรียน เกี่ยวกับการบริหารและการจัดการศึกษา 6) ได้ผู้บริหารโรงเรียนที่มีความรู้ ความสามารถ มีภาวะผู้นำที่เหมาะสม พัฒนาความรู้ ทักษะ และภาวะผู้นำให้ผู้บริหารเพื่อเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) ที่ดี 7)  ผู้บริหารคณะกรรมการโรงเรียน บุคลากรในโรงเรียนรู้บทบาทหน้าที่ของตนเอง 8)  มีการให้รางวัลสำหรับโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จในด้านการบริหาร และจัดการศึกษา
  • 12.
  • 13.
    ประสบการณ์การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน 1)   ในต่างประเทศ ต่างใช้ประสบปัญหาความไม่พึงพอใจในคุณภาพการศึกษา 2)   ในการดำเนินกระจายอำนาจการศึกษาได้ลดบทบาทในส่วนกลาง 3)  ผู้ปกครอง ชุมชน มีความพึงพอใจในการศึกษามากขึ้นเนื่องจากได้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา 4) ยังไม่ได้มีการศึกษาอย่างจริงจังว่าการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานทำให้ผลสมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนดีขึ้นมากน้อยเพียงไร 5) ความสำเร็จของการกระจายอำนาจการศึกษา อยู่ที่รัฐบาลให้ความสำคัญและดำเนินการอย่างจริงจัง
  • 14.
    ปัญหาและข้อเสนอแนะที่ได้จากประสบการณ์การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานใน 1) ใช้เวลาในการทำงานเพิ่มขึ้นในแต่ละวันและส่วนใหญ่ต้องใช้เวลา 5 ปีขึ้นไปจนกว่าจะเห็นผล 2) ความคาดหวังของโรงเรียนจะมีมากใน 2 ปีแรก เมื่อมีอุปสรรคและ ใช้เวลามากจะขาดความกระตือรือร้น 3) คณะกรรมการโรงเรียนบางแห่งยังขาดคุณสมบัติที่เหมาะสม บางชุมชนหาคนมาเป็นกรรมการได้ยาก 4) ความขัดแย้งระหว่างโรงเรียน ครู และชุมชน
  • 15.
    ข้อเสนอ 1) รัฐต้องมีความจริงใจในการกระจายอำนาจ 2) เขตพื้นที่การศึกษาต้องทำหน้าที่ประสานงาน เชื่อมโยง อำนวยความสะดวก สนับสนุนและประชาสัมพันธ์ให้โรงเรียนมีความเข้มแข็ง และสามารถบริหารจัดการด้วยตนเองได้ 3) โรงเรียนต้องปรับแนวทางการทำงานใหม่ จากการคอยรับนโยบายและคำสั่งมาเป็นการบริหารจัดการด้วยตนเอง โดยความร่วมมือกับครูผู้ปกครองและชุมชน
  • 16.
    การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานในประเทศไทย 1)   ปัญหาสำคัญของการบริหารการศึกษาในภาพรวมของกระทรวงศึกษาธิการ 2)   ได้มีความพยายามดำเนินการปฏิรูปการศึกษา 3)   จากอดีตที่ผ่านมาพบว่า ผู้ปกครองและประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาน้อยมาก 4)   คณะกรรมการศึกษา หรือคณะกรรมการสถานศึกษา มีมาตั้งแต่เริ่มประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษา 5)   ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับโครงสร้างการกระจายอำนาจการบริหาร
  • 17.
    แนวทางการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานในประเทศไทย มีหลักการพื้นฐานในการกำหนดรูปแบบการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน รูปแบบที่เหมาะสมกับบริบทและกฎหมายการศึกษาของไทยในปัจจุบัน วิธีการได้มา บทบาทหน้าที่ ข้อจำกัดและเงื่อนไขในการนำรูปแบบไปใช้
  • 18.
    ความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับเขตพื้นที่การศึกษา คณะกรรมการและสำนักงานการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เขตพื้นที่การศึกษา มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับ ดูแลสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญา รวมทั้งพิจารณาการจัดตั้ง ยุบ รวม หรือเลือกสถานศึกษา บทบาทหน้าที่เป็นผู้ประสานงานและอำนวยความสะดวก สนับสนุน ส่งเสริม และช่วยเหลือสถานศึกษามากกว่าการเป็นหน่วยงานบังคับบัญชาระดับสูงกว่าสถานศึกษา
  • 19.
    กลยุทธ์ในการนำรูปแบบบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานไปปฏิบัติ 1) การประชาสัมพันธ์ 2) กำหนดบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการสถานศึกษาให้ชัดเจน 3) การสรรหา และการคัดเลือกคณะกรรมการสถานศึกษา 4) การพัฒนาคณะกรรมการสถานศึกษา 5) การสนับสนุนให้บุคลากรในสถานศึกษาร่วมปฏิบัติงานกับคณะกรรมการสถานศึกษา 6) การสร้างเครือข่ายคณะกรรมการสถานศึกษา 7) การกำหนดมาตรฐานการดำเนินงานของคณะกรรมการสถานศึกษา 8) พิจารณาให้สวัสดิการ บริการและสิทธิพิเศษแก่คณะกรรมการสถานศึกษา
  • 20.
    ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 1)  สถานศึกษาควรใช้หลักการบริหาร 2)  ควรเตรียมความพร้อมด้านระบบและบุคลากร มีการจัดระบบบริหารที่มีประสิทธิภาพ 3)  ควรดำเนินโครงการนำร่องการบริหารจัดการในระดับเขตพื้นที่การศึกษา และระดับสถานศึกษา 4)  ควรกำหนดบทบาทหน้าที่ระเบียบและแนวปฏิบัติต่าง ๆ
  • 21.
    การกระจายอำนาจ ความหมายของการกระจายอำนาจ การถ่ายโอนอำนาจการตัดสินใจ ทรัพยากร และภารกิจ จากภาครัฐส่วนกลาง ให้แก่องค์กรอื่นใด ไมว่าจะเป็นองค์กรภาครัฐส่วนภูมิภาค องค์กรอิสระ องค์กรท้องถิ่น องค์กรเอกชน โดยเฉพาะภาคประชาชน ไปดำเนินการแทน ซึ่งการถ่ายโอนดังกล่าว อาจจะมีลักษณะเป็นการถ่ายโอนเฉพาะภารกิจ ซึ่งเป็นการแบ่งภารกิจ ให้แก่องค์กรที่ได้รับการกระจายอำนาจดำเนินการ หรือ เป็นการถ่ายโอนโดยยึดพื้นที่เป็นหลัก ซึ่งเป็นการแบ่งพื้นที่เป็นหน่วยงานย่อยในการดำเนินการ
  • 22.
    แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการกระจาย การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เป็นยุทธศาสตร์หนึ่งในการบริหารจัดการบ้านเมืองของรัฐ ในระบบประชาธิปไตย โดยมุ่งลดบทบาทของรัฐส่วนกลาง (decentralize) ลง เหลือภารกิจหลักเท่าที่จำเป็น และให้ประชาชนได้มีส่วนในการบริหารงานชุมชนท้องถิ่น ตามเจตนารมณ์ของประชาชนมากขึ้น การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น จึงเป็นการจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจ หน้าที่ใหม่ ระหว่างส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่น ให้สอดคล้องกับสภาพการณ์บ้านเมือง ที่เปลี่ยนแปลงไปในสภาวะที่สังคมมีกลุ่มที่หลากหลาย มีความต้องการ และความคาดหวังจากรัฐที่เพิ่มขึ้น และแตกต่างกัน ขัดแย้งกัน ในขณะที่รัฐเองก็มีขีดความสามารถ และทรัพยากรที่จำกัด ในการตอบสนองปัญหา ความต้องการ ที่เกิดขึ้นในแต่ละท้องถิ่นได้ทันต่อเหตุการณ์ และตรงกับความต้องการของท้องถิ่น
  • 23.
    เป้าหมายของการกระจายอำนาจ เพื่อให้บริการต่างๆ สามารถตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนมากขึ้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีการถ่ายโอนภารกิจ เป็นเครื่องมือหนึ่งในการดำเนินการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว รูปแบบการกระจายอำนาจ การจัดบริการสาธารณะ จึงไม่ควรจำกัดอยู่ที่การโอนภารกิจแต่เพียงอย่างเดียว แต่ควรให้ความสำคัญกับรูปแบบที่สามารถตอบสนอง ต่อวัตถุประสงค์ทั้งสองประการเป็นหลัก
  • 24.
    ประเภทของการกระจายอำนาจ การมอบอำนาจการตัดสินใจด้านการบริหารจัดการจากส่วนกลางสู่ภูมิภาค การมอบอำนาจหน้าที่ให้แก่องค์กรกึ่งรัฐ ที่เป็นอิสระ ภายใต้การกำกับจากภาครัฐ การกระจายอำนาจการปกครองให้แก่รัฐบาลส่วนท้องถิ่น การมอบหน้าที่ให้แก่องค์กร หรือ หน่วยงานเอกชน การสร้างให้ประชาชน มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
  • 25.
    ทำไมต้องมีการกระจายอำนาจ เพื่อให้การดำเนินงานของรัฐ มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดขั้นตอนการดำเนินการ อันเนื่องจากการล่าช้าในการตัดสินใจจากส่วนกลาง เพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชนได้อย่างแท้จริง เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
  • 26.
    แนวทางในการกระจายอำนาจทางการศึกษา แนวทางในการกระจายอำนาจทางการศึกษาให้มีความสอดคล้องกับการปฏิรูปการศึกษามา   3   ด้านคือ      ด้านการบริหารจัดการศึกษา   ด้านกระบวนการเรียนการสอน   ด้านการพัฒนาหลักสูตร   เพราะทั้งสามด้านนี้จะส่งผลให้ผลผลิตของการศึกษา    นั้นก็คือผู้เรียนจะจบออกมาเป็นคนดีมีความรู้คู่คุณธรรม   สามารถดำรงตนอยู่ได้ในกระแสโลกาภิวัตน์   คือ
  • 27.
    การกระจายอำนาจทางการศึกษา กระจายอำนาจ " ของ ฟูลูแลน ที่ให้ใช้ง่ายต่อการเข้าใจมากกว่า " การกระจายอำนาจ คือ อำนาจส่วนใหญ่ถูกกระจายลงไปให้การบริหารในระดับที่ต่ำกว่า
  • 28.
    การให้อำนาจ การให้อำนาจคือรูปหนึ่งของการกระจายอำนาจที่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีอำนาจการตัดสินใจ      เป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้บริหารมีความเชื่อมั่นผู้ใต้บังคับบัญชา 1. ทำให้โครงสร้างองค์กรเล็กลง ซับซ้อนน้อยลง และมีความคล่องตัวในการตัดสินใจ 2. ตัดทอนกฎ ระเบียบ ที่เข้มข้นขององค์กร 3. เน้นการเปลี่ยนแปลงองค์กรในด้านการให้อำนาจและความรับผิดชอบของบุคลากรที่มีต่อผลผลิต 4. เป็นการให้การศึกษา การเรียนรู้แก่บุคลากรที่จะได้รับโอกาสในการบริหารพัฒนาตนเองในการบริหารงาน 5. เป็นการสร้างข้อผูกพันจากผู้บริหารระดับล่างทุก ๆ องค์กรใด ๆ ไม่มีที่จะรวมอำนาจได้ทั้งหมด                
  • 29.
    การรวมอำนาจและการกระจายอำนาจ การรวมอำนาจผิดพลาดเมื่อควบคุมมากเกินไป การกระจายอำนาจผิดพลาดเมื่อนำไปสู่ความยุ่งเหยิงขาดระเบียบวินัยเราเรียนรู้เป็นทศวรรษว่าการบริหารงานโดยวิธีจากข้างบนลงไปสู่ข้างล่าง ไม่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้เพราะท่านไม่สามารถสั่งได้ในเรื่องการเปลี่ยนแปลง แต่ผู้บริหารก็พยายามที่จะทำต่อไปอีก ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลทางการเมือง หรือเรื่องคุณธรรมก็ตามที่ผลสำเร็จของการกระจายอำนาจพูดอีกนัยหนึ่งว่าเป็นการบริหาร ณ พื้นที่ปฏิบัติการ แต่ก็ล้มเหลว ผู้คุมอำนาจการบริหารก่อนเวลา แต่ก็ไม่ราบรื่นในการทำงานขาดประสิทธิภาพหากปล่อยเขาทำเอง แม้ว่าจะประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันสั้น แต่เขาก็ไม่สามารถดำรงความสำเร็จไว้ได้ยั่งยืน หากเขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปดูหน่วยงานเหนือหรือหน่วยเหนือได้ชำเลืองลงดูข้างล่างหรือไม่
  • 30.
    สรุปอีกนัยหนึ่ง คือ " การบริหารจากศูนย์กลางและการบริหารระดับท้องถิ่น มีความต้องการซึ่งกันและกัน " ถ้าหากเราไม่มีการสัมพันธ์ 2 ทางอย่างเต็มใจอย่างเห็นพ้องต้องกันที่จะรับส่งการกระจายอำนาจแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการรวมอำนาจ หรือการกจะจายออำนาจต่างก็ไม่สามารถทำให้เปลี่ยนแปลงพัฒนาการบริหารไปได้ แล้วก็ต้องถือเป็นคติได้ว่า การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ไม่มีคนหนึ่งคนใด หรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดจะสามารถใช้อำนาจให้คนเปลี่ยนแปลงได้ "
  • 31.
    อะไรเกิดขึ้นกับอำนาจการจัดการศึกษา เห็นว่าแท้ที่จริงแล้วการกระจายอำนาจเป็นสิ่งที่เราปรารถนา เพราะเมื่อองค์กรใหญ่ขึ้นซับซ้อนขึ้น เราไม่สามารถบริหารงานรวมอำนาจไว้ที่ส่วนกลางได้อีกต่อไป เพราะจะขาดความยืดหยุ่น เชื่องช้าต่อการแก้ปัญหา และการพัฒนางานขณะเดียวกับการปล่อยให้หน่วยล่างที่ยังขาดศักยภาพที่จะบริหารได้ความยุ่งเหยิง ความสูญเสียก็จะเกิดขึ้นตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการสาธารณะพื้นฐานของประชาชน เช่นการศึกษา ไม่สามารถคิดง่าย ปล่อยไป ค่อยไปแก้ปัญหาเอาข้างหน้าย่อมไม่ใช่เป็นวิธีการที่ถูกต้อง
  • 32.
    ในขณะที่กระทรวงศึกษาธิการตื่นเต้นต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะจัดระบบการศึกษาให้เพื่อการปฏิรูป ทั้งในรูปแบบของหลักการจัดการศึกษาที่ทั้งให้มีความหลากหลายรูปแบบให้มีรากฐานการศึกษา ให้มีระบบประกันคุณภาพ มีการส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพครูว่าเป็นวิชาชีพชั้นสูง และให้มีการพัฒนาครูให้สูงและมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับความเป็นวิชาชีพชั้นสูง โดยกำหนดให้ค่าตอบแทนให้เหมาะสมกับความเป็นวิชาชีพและกำหนดให้ทรัพยากรมาใช้เพื่อจัดการใหม่ และให้ทุกคน ทุกองค์กร ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมจัดการศึกษา และที่สำคัญคือการกระจายาอำนาจทางกากรศึกษาไปยังเขตพื้นที่การศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หลักการดังกล่าวที่สอนแค่เป็น " ของใหม่ " สำหรับวงการศึกษาไทย
  • 33.
    ข้อตื่นเต้นที่ยังไม่ยุติ ที่ 1 ครูทุกคนแสวงหาคำตอบก็คือ เขตพื้นที่การศึกษาที่ สปศ . คิดและประโคมว่าดีมี 225 เขตพื้นที่ ประถมศึกษา 183 เขตพื้นที่ มัธยมศึกษา 42 เขตพื้นที่ โดยที่กระทรวงศึกษา โดยปลัดกระทรวงศึกษาคิดเห็นว่ามันไม่น่าจะแบ่งเลยทีเดียว 225 เขต แต่ควรเริ่มที่เขตจังหวัดก่อน และหรือรวมกับเขตที่พร้อมแยก " อีกจำนวนหนึ่ง จะทำให้ 1) ไม่เกิดความเหลื่อมล้ำทางด้านทรัพยากรทางศึกษา และโอกาสทางการศึกษา 2) ความพร้อมของบุคลากรที่จะบริหารภายใต้ " เขต พท . กศ . มีภาระหน้าที่ใหม่ทั้งหลาย ซึ่งเป็นองค์กรที่รองรับการกระจายอำนาจอย่างเต็มที่
  • 34.
    ข้อตื่นเต้นที่ 2 กระทรวงศึกษาธิการจะเอาอย่างไรกับการกระจายอำนาจการจัดการศึกษาไปสู่ท้องถิ่น เพราะกฎหมายกำหนดแผนขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำหนดให้ถ่ายโอนภารกิจการให้บริการสาธารณะที่รัฐจัดให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยกำหนดแผนเป็นระยะเวลา ให้เสร็จสิ้นภายใน 4 ปี แต่ไม่เกิน 10 ปี เมื่อระยะเวลาเร่งรัดเช่นนั้น ทางกระทรวงก็กำหนดประเภทของภารกิจที่จะให้มีการถ่ายโอนไปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามศักยภาพให้สอคล้องกับภารกิจ
  • 35.
    ข้อเสนอหลักการกระจายอำนาจแก่องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น 3 ประการคือ 1) การบริหารหารศึกษา ซึ่งเป็นการบริหารวิชาชีพชั้นสูง จำเป็นจะต้องได้บุคลากรวิชาชีพทางการศึกษาเฉพาะมาบริหาร และมีคณะบุคคลบริหารการศึกษาในท้องถิ่น ทุก ๆ ท้องถิ่นที่จะจัดการศึกษา 2) การบริหารเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่นที่ทำหน้าที่ทางการศึกษาต้องมีหลักการคิดเฉกเช่นเดียวกับการบริหารครูและบุคลากรทางการศึกษาตาม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ 3) การบริหารการจัดการศึกษาท้องถิ่นต้องดำเนินการตามนับแห่ง พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ตามแนวปฏิรูปด้วย
  • 36.
    ทางออกในแนวคิดกระจายอำนาจการศึกษาสู่ท้องถิ่น เรื่องราวครูต้านการถ่ายโอนสถานศึกษาให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ดูเหมือนจะเป็นประเด็นที่พร้อมจะปะทุขึ้นทุกเวลา แม้จะมีเสียงขู่จากฟาก กระทรวงศึกษาธิการ ( ศธ .) ในเรื่องนี้ รศ . ดร . นภาภรณ์ หะวานนท์ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ เจ้าของผลงานวิจัยเรื่อง โครงการพัฒนารูปแบบการกระจายอำนาจโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ซึ่งได้ทุนสนับสนุนจากธนาคารโลก บอกว่าแม้รัฐบาลจะมีท่าทีผ่อนคลายว่าหากครูคนไหนไม่พร้อมที่จะไปสั่งกัด อปท . ก็ไม่ต้องไป ครูหรือโรงเรียนไหนอยากไปถึงจะไป นั่นไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา สิ่งที่เป็นต้นตอของปัญหาทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของครูจากทั่วประเทศอยู่ที่พระราชบัญญัติกำหนดขั้นตอนการถ่ายโอนอำนาจถือเป็นสลักสำคัญ
  • 37.
    " ผู้บริหารควรแสดงจุดยืน หากยังไม่แก้ ร . พ . ร . บ . ฉบับดังกล่าวเราก็ต้องมีกระบวนการเสริมสร้างพลังให้แก้กรรมการสถานศึกษามีความเข้มแข็ง ตัวผู้บริหารหรือครูจำนวนมากทำงานกับประชาชนมานาน และมีหลายคนมองว่าประชาชนไม่มีความรู้ ไม่เก่ง ความคิดนี้ต้องเปลี่ยน เป็นกระบวนการที่เราต้องลงไปเปลี่ยนวิธีคิด " คนส่วนใหญ่ในสังคมมองว่าเหตุการณ์การเรียกร้องของครู เป็นการทำเพื่อความต้องการของตัวเอง ตัวครูไม่ได้พูดถึงการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในชุมชน ไม่ได้พูดถึงอุดมการณ์การศึกษาที่แท้จริงการแสดงออกของครูทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจเช่นนั้น แนวทางการต่อสู้ของครูเหมือนเถียงกันว่า " โอน " หรือ " ไม่โอน " ซึ่งเป็นการเรียกร้องที่ตื้นเกินไป ดร . วิษณุ กล่าว ว่าพร้อมหรือไม่พร้อมเพียงอย่างเดียวนั้น ทำให้เห็นว่าเส้นทางของการกระจายอำนาจการศึกษามีเส้นทางเดียว ถ้ารัฐธรรมนูญหรือ พ . ร . บ . การศึกษาแห่งชาติมีแนวคิดเช่นนั้น เขาคงจะเขียนไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว
  • 38.