More Related Content
Similar to แนะนำจังหวัดฉะเชิงเทรา ฉบับพนมสารคาม
Similar to แนะนำจังหวัดฉะเชิงเทรา ฉบับพนมสารคาม (20)
แนะนำจังหวัดฉะเชิงเทรา ฉบับพนมสารคาม
- 2. ISBN : 974-8234-20-7
เจาของ ศูนยศิลปะ วัฒนธรรมและทองถิ่น
มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร
ที่ปรึกษา ผูชวยศาสตราจารยเอนก เทพสุภรณกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร
อาจารยอุทิน รวยอารี รองอธิการบดีกิจการนักศึกษา
ผูชวยศาสตราจารยชุมศรี นพวงศ ณ อยุธยา ผูทรงคุณวุฒิ
คณะผูจัดทํา ผศ.ประเสริฐ ศีลรัตนา
อาจารยจินดา เนื่องจํานงค
อาจารยชูชาติ นาโพตอง
อาจารยกิจจา สิงหยศ
นางอรวรรณ แสงอรุณ
น.ส.นวลลออ อนุสิทธิ์
พิมพที่ : บริษัทเอ็มเอ็น คอมพิวออฟเซท จํากัด
๔๘๘-๔๙๐ สถานขนสงฉะเชิงเทรา อําเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา ๒๔๐๐๐
โทร. / แฟกซ ๐-๓๘๕๑-๕๗๗๐ , ๐-๓๘๕๑-๕๕๓๐
พ.ศ. ๒๕๔๘
- 3. คํานํา
แนะนําจังหวัดฉะเชิงเทรา “ฉบับอําเภอพนมสารคาม” นี้ เปนโครงการรวบรวมและเผยแพรคุณคา
ทางประวัติศาสตร และวัฒนธรรมทองถิ่น ของอําเภอพนมสารคาม สวนใหญจะมุงเนนไปที่ “วัด” ทั้งนี้
เนื่องจาก “วัด” เปนศูนยรวมทางจิตใจและวิถีชีวิตของชุมชนในทองถิ่น นับตั้งแตอดีตเปนตนมา ซึ่งใน
ปจจุบันชุมชนไดรับวัฒนธรรมเมืองมาจากสวนกลาง ทําใหความรูความเขาใจในทองถิ่นถูกละเลย หรือลืม
เลือนไป อีกทั้งในพื้นที่มีความเปลี่ยนแปลงโครงสรางทางภูมิทัศน และสิ่งกอสราง เพื่อใหทันตอยุคสมัยนิยม
จนทําใหคุณคาความเปนทองถิ่นและเอกลักษณของชุมชนถูกทําลายไปตามคานิยมใหม อยางนาเสียดาย
ศูนยศิลปะ วัฒนธรรมและทองถิ่น เล็งเห็นความสําคัญในการอนุรักษ โดยการเก็บรวบรวม
ขอมูลภาพและขอมูลเชิงวิชาการ เพื่อเผยแพรใหอนุชนและผูสนใจไดตระหนักถึงคุณคาของทองถิ่น ทั้ง
เรื่องราวที่เปนประวัติศาสตร หรือภาพบรรยากาศในอดีต ที่ไมสามารถเรียกรองใหหวนกลับคืนมา โดย
เปรียบเทียบกับสิ่งที่พบเห็นไดในปจจุบัน และเพื่อสรางจิตสํานึกใหเกิดความรัก หวงแหนคุณคาในทองถิ่น
ของตน เทาที่ศักยภาพแหงกาลเวลา และขีดขั้นความสามารถจะเอื้ออํานวย
ขอขอบคุณ ผศ.นภาพร อมรเลิศสินไทย และผูที่มีสวนรวมในการผลักดันใหขอมูลภาพและขอมูล
เชิงวิชาการมีความสมบูรณในระดับหนึ่งทุกทาน
ทางศูนยศิลปะ วัฒนธรรมและทองถิ่น หวังเปนอยางยิ่งวา สวนที่ยังขาดหายไปคงไดรับการสานตอ
และเติมเต็มจากทานในวันขางหนา ไมวาจะเปนใครก็ตาม และนาจะเปนประโยชนตอการสรางหลักสูตร
ความรูเกี่ยวกับทองถิ่นไดในระดับหนึ่ง เราหวังเชนนั้นจริง ๆ
ประเสริฐ ศีลรัตนา
จินดา เนื่องจํานงค
- 5. อําเภอพนมสารคาม
อําเภอพนมสารคาม เปนอําเภอหนึ่งในจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกลาเจาอยูหัว
รัชกาลที่ ๔ โปรดเกลาฯ ใหยกฐานะเปนเมืองพนมสารคาม เมื่อป พ.ศ. ๒๓๙๕ มีเจาเมืองปกครองใน
ตําแหนงพระพนมสารนรินทร แตเดิมศาลาวาการเมืองพนมสารคาม ตั้งอยูบริเวณขางวัดโพธิ์ใหญ
ศาลหลักเมืองพนมสารคาม อยูใกลโรงเรียนวัดทาลาดเหนือ ตอมาในป พ.ศ. ๒๔๔๔ พระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกลาเจาอยูหัว รัชกาลที่ ๕ โปรดเกลาฯ ใหยุบเมืองพนมสารคามเปนอําเภอพนมสารคาม เมื่อป พ.ศ.
๒๔๔๔ โดยมีหลวงประเทศธุรารักษ (แหยม สาริกะภูติ) เปนนายอําเภอพนมสารคามคนแรก ตอมาในป
พ.ศ. ๒๔๔๙ สมัยหลวงรามบุรานุกิจ เปนนายอําเภอพนมสารคาม (คนที่ ๒) ไดยายที่วาการอําเภอพนมสาร
คามไปยังฝงตรงขามคลองทาลาด บริเวณโรงเรียนไพบูลยประชานุกูลในปจจุบัน และที่ตั้งเมืองพนมสารคาม
เดิมบริเวณขางวัดโพธิ์ใหญเปนตําบลเมืองเกา สวนที่ตั้งอําเภอใหม บริเวณโรงเรียนไพบูลยประชานุกูล
เรียกวา “เมืองใหม” (ปจจุบันตําบลเมืองใหมแยกไปเปนตําบลหนึ่งของอําเภอราชสาสน) ตอมาในราวป
พ.ศ. ๒๔๘๐ สมัยนายชวน สุริยจันทร เปนนายอําเภอพนมสารคาม ไดยายที่วาอําเภอมาตั้งที่ฝงตรงขาม
วัดทาเกวียน อันเปนที่ตั้งของที่วาการอําเภอพนมสารคามในปจจุบัน
- 6. ประวัติการตั้งชุมชนในเขตพื้นที่อําเภอพนมสารคาม
สภาพพื้นที่ในอําเภอพนมสารคาม นับแตอดีตสันนิษฐานวา มีการตั้งถิ่นฐานเปนชุมชนมายาวนาน
โดยอาศัยหลักฐานที่พบทั้งทางดานโบราณคดีและทางดานประวัติศาสตร ซึ่งแบงออกเปนลําดับยุคสมัยได
ดังนี้
๑. จากหลักฐานทางดานโบราณคดี
สมัยทวารวดี มีหลักฐานจากแหลงโบราณคดี ดังนี้
- แหลงโบราณคดีบานบึงกระจับ หมูที่ ๖ ตําบลเมืองเกา อําเภอพนมสารคาม พบเศษ
เครื่องปนดินเผาแบบเดียวกับเมืองศรีมโหสถ เศษเครื่องถวยจีนเคลือบสีเขียวสมัยราชวงศถัง ชุมชนแหงนี้อยู
ในสมัยประวัติศาสตรตอนตน ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๖
- แหลงโบราณคดีบานโคกหัวขาว (วัดอุดมธัญญาหาร) หมูที่ ๓ ตําบลทาถาน อําเภอพนม
สารคาม พบระฆังหินปูนขนาดใหญ ๓ ชิ้น ฐานประติมากรรมทําจากหินทรายสีเขียว ศิลปะแบบทวารวดี
โบราณสถานกอสรางดวยอิฐแบบทวารวดี เศษเครื่องปนดินเผา เครื่องสังคโลกและเครื่องถวยจีนสมัย
ราชวงศเหม็ง
- แหลงโบราณคดีบานคูเมือง หมูที่ ๓ ตําบลเกาะขนุน อําเภอพนมสารคาม พบเศษ
เครื่องปนดินเผา หินบดยา และโบราณสถานกอสรางดวยศิลาแลง ศิลปะสมัยทวารวดี
จากหลักฐานที่ปรากฏดังกลาว พื้นที่เขตพนมสารคามจึงมีชุมชนตั้งอยูตั้งแตสมัยทวารวดี ราว
พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๖ เปนตนมา ประกอบกับบริเวณนี้เปนที่ราบลุมน้ําทวมถึง มีคลองทาลาดไหลผานลงสู
แมน้ําบางปะกงที่ปากน้ําโจโล อําเภอบางคลา จังหวัดฉะเชิงเทรา ดังนั้นพนมสารคามจึงเหมาะที่จะเปนเมือง
ทา คาขายกับดินแดนอื่น ๆ ในระแวงใกลเคียงทั้งทางบกและทางน้ํากับเมืองโบราณในสมัยเดียวกัน เชน
เมืองศรีมโหสถ ชุมชนบริเวณโบราณสถานสระมรกต ชุมชนบานโคกขวาง อําเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัด
ปราจีนบุรี ชุมชนบานโคกหัวขาว ตําบลทาถาน อําเภอพนมสารคาม บานคูเมือง ตําบลเกาะขนุน อําเภอพนม
สารคาม เมืองพระรถ อําเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี เมืองดงละคร อําเภอเมือง จังหวัดนครนายก ชุมชน
โบราณบานโคกกระโดน อําเภอปากพลี จังหวัดนครนายก นอกจากนี้ยังติดตอกับดินแดนที่อยูไกลออกไป
เชน บุรีรัมย นครปฐม รวมทั้งดินแดนโพนทะเล เชน จีน อินเดีย เปอรเชีย เปนตน
สมัยกรุงศรีอยุธยา ชุมชนในบริเวณอําเภอพนมสารคาม มีหลักฐานการตั้งถิ่นฐานในสมัยนี้ คือ
- บริเวณบานโคกหัวขาว และวัดอุดมธัญญาหาร หมูที่ ๓ ตําบลทาถาน อําเภอพนมสารคาม
พบใบเสมาทําดวยหินทรายแดง ปกอยูเปนคูขนานและลวดลายเหมือนกัน สลักเปนลวดลายศิลปะอยุธยา
ตอนปลาย-รัตนโกสินทร เครื่องปนดินเผาประเภทไห เชนเดียวกับที่พบในชุมชนอยุธยา
- บริเวณริมคลองทาลาด ดานทิศเหนือของวัดทาลาดเหนือและทาลาดใต ตําบลทาถาน อําเภอ
พนมสารคาม พบเศษเครื่องปนดินเผา เครื่องถวย เครื่องสังคโลกเคลือบสีเขียวและเขียนลายสีดําใตเคลือบ
ขาว เครื่องถวยจีนสมัยราชวงศหยวน และราชวงศเหม็ง อายุระหวางพุทธศตวรรษที่ ๑๘-๒๓
- 7. - บริเวณวัดทาลาดเหนือ พบใบเสมาหินทรายแดง มีลวดลายซึ่งเปนลักษณะศิลปะอยุธยา
ตอนตน และเจดียยอมุมไมสิบสอง แบบศิลปะอยุธยาตอนปลาย
จากหลักฐานดังกลาว สันนิษฐานวาบริเวณนี้นาจะเปนแหลงชุมชนมาตั้งแตชวงอยุธยาตอนตน
จนถึงสมัยรัตนโกสินทร และเปนเสนทางผานไปยังชุมชนอื่น โดยอาศัยคลองทาลาดไปยังปากน้ําโจโล ซึ่ง
ติดตอกับแมน้ําบางปะกง นอกจากนี้ยังเปนเสนทางระหวางปราจีนบุรีและชลบุรี อันเปนเสนทางชายฝง
ทะเลตะวันออก และจากหลักฐานโบราณคดีที่พบในเขตจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี ชลบุรี สันนิษฐานวา
เปนเสนทางวัฒนธรรมแบบทวารวดี โดยไดรับวัฒนธรรมจากอินเดีย ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงดานการ
ปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมอยางชัดเจน เชน เมืองศรีมโหสถ เมืองดงละคร เมืองพระรถ เมืองบริเวณบาน
คายและเมืองเพนียด ในกลุมเมืองเหลานี้มักพบวัฒนธรรมเขมรสอดแทรกดวย โดยเฉพาะในชวงพุทธ
ศตวรรษที่ ๑๖-๑๘ เพราะความเสื่อมของวัฒนธรรมทวารวดี
ภายหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เขมรเสื่อมอํานาจลง ศูนยกลางอํานาจไดเปลี่ยนมาอยูที่อยุธยา
กลุมเมืองดังกลาวที่เปนชุมชนเล็ก ๆ มีการยายที่ตั้งเมืองไปตามลําน้ํา เพราะเหตุผลในทางเศรษฐกิจและ
การคา การคมนาคม การปองกันตัวเองจากภัยสงคราม อีกทั้งยังอาศัยแหลงน้ําเพื่อการเกษตรและใชใน
ชีวิตประจําวัน ดังนั้นชุมชนพนมสารคาม จึงมีการตั้งถิ่นฐานตามลําน้ําคลองทาลาดมาตลอดในชวงสมัย
อยุธยา ถึงสมัยรัตนโกสินทร
๒. จากหลักฐานทางประวัติศาสตร
สมัยกรุงธนบุรี ในป พ.ศ. ๒๓๒๑ สมเด็จเจาพระยามหากษัตริยศึก เปนแมทัพไปตีเมือง
เวียงจันทนและหัวเมืองขึ้นมาเปนของไทย ไดกวาดตอนผูคนชาวเมืองเวียงจันทนลงมาอยูแถวเมืองลพบุรี
สระบุรี นครนายก และเมืองฉะเชิงเทรา ชาวลาวบางสวนจึงตั้งบานเรือนกระจัดกระจายอยูแถบบริเวณคลอง
ทาลาด และตั้งชื่อหมูบานและวัดตามชื่อบานเดิมในลาว เชน วัดจอมมณี วัดโพธิ์ใหญ วัดนาเหลาน้ํา วัด
เมืองแมด วัดบานเลอ วัดจอมศรี วัดเชียงใต วัดเตาเหล็ก วัดมหาเจดีย วัดเมืองกาย และวัดลาดฮวง ดังที่
ปรากฏในปจจุบัน
สมัยกรุงรัตนโกสิทรตอนตน
- รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกลาเจาอยูหัว รัชกาลที่ ๓ โปรดเกลาฯ ใหพระยาบดินทรเดชา
(สิงห สิงหเสนี) ยกกองทัพไปตีลาวและเขมรในป พ.ศ. ๒๓๗๖ ไดกวาดตอนชาวลาวและเขมรเขามาเปน
เชลยจํานวนมาก และกําหนดพื้นที่ใหไปตั้งบานเรือนโดยใหชาวลาวเวียงและลาวพวน ตั้งบานเรือนที่บานทา
ทราน ชุมชนบริเวณนี้จึงหนาแนนขึ้นเปนลําดับ
- รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกลาเจาอยูหัว รัชกาลที่ ๔ โปรดเกลาฯ ใหยกบานทาทราน ซึ่ง
ตั้งอยูริมคลองทาลาด เปนเมืองพนมสารคาม ในป พ.ศ. ๒๓๙๕ โดยแบงเขตแดนตั้งแตปากน้ําโจโล เขาไป
ตามลําคลองทาลาด ฝายใตเปนแขวงเมืองฉะเชิงเทรา ฝายเหนือเปนเมืองพนมสารคาม และมีพระพนมสาร
นรินทรเปนเจาเมือง
- 8. - รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว รัชกาลที่ ๕ โปรดเกลาฯ ใหตั้งมณฑล
ปราจีน ในป พ.ศ. ๒๔๓๖ โดยรวมหัวเมืองทางลําแมน้ําบางปะกง คือ เมืองปราจีนบุรี เมืองฉะเชิงเทรา เมือง
นครนายก และเมืองพนมสารคาม มีที่ตั้งมณฑลอยูที่เมืองปราจีนบุรี ตอมาเมื่อป พ.ศ. ๒๔๔๔ ไดยุบเมือง
พนมสารคามเปนอําเภอเมืองพนมสารคาม และในป พ.ศ. ๒๔๔๗ ไดยายที่ตั้งมณฑลปราจีนมาตั้งที่เมือง
ฉะเชิงเทรา
คําขวัญของอําเภอพนมสารคาม
คลองทาลาดทิวทัศนนายล ถนนพระรถเสน อาชีพเดนเกษตรกรรม
วัฒนธรรมไทยพวน สวนพฤกษศาสตรล้ําคา ศูนยศึกษาการพัฒนาเขาหินซอน
สภาพทางภูมิศาสตร
อําเภอพนมสารคาม มีอาณาเขตติดตอดังนี้
ทิศเหนือ ติดตอกับ อําเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี
ทิศใต ติดตอกับ อําเภอแปลงยาว และสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา
ทิศตะวันออก ติดตอกับ อําเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา
ทิศตะวันตก ติดตอกับ อําเภอราชสาสน จังหวัดฉะเชิงเทรา
การเดินทาง
การเดินทางเขาสูอําเภอพนมสารคาม มีถนนสายหลัก ดังนี้
- สาย ๓๐๔ (ฉะเชิงเทรา - กบินทรบุรี) จากฉะเชิงเทรา ถึงพนมสารคาม ระยะทาง ๓๑ กิโลเมตร
- สาย ๓๑๙ (พนมสารคาม - ปราจีนบุรี) จากปราจีนบุรี ถึงพนมสารคาม ระยะทาง ๓๔ กิโลเมตร
- สายพนมสารคาม – บางคลา หรือถนนฤทธิประศาสน ระยะทาง ๑๗ กิโลเมตร
- สาย ๓๓๔๗ (พนมสารคาม - บานสราง) จากปราจีนบุรี ถึงบานสราง ระยะทาง ๓๔ กิโลเมตร
- สาย ๓๒๔๕ (พนมสารคาม – สนามชัยเขต - ทาตะเกียบ) จากพนมสารคาม ถึงสนามชัยเขต ถึง
ทาตะเกียบ ระยะทาง ๑๖ และ ๔๖ กิโลเมตร มีรถโดยสารประจําทางผานไปจนถึงอําเภอคลองหาดและ
อําเภอวังน้ําเย็น จังหวัดสระแกว
และรถโดยสารประจําทางที่ผานอําเภอพนมสารคาม คือ พนมสารคาม - ฉะเชิงเทรา, กรุงเทพฯ -
พนมสารคาม, ปราจีนบุรี – ฉะเชิงเทรา, พัทยา - แมสาย, ระยอง - นครราชสีมา และอรัญประเทศ-
ฉะเชิงเทรา
- 9. การแบงเขตการปกครอง
อําเภอพนมสารคามมีพื้นที่ ๓๕๘,๐๑๔ ไร แบงการปกครองออกเปนตําบล ๘ ตําบล ๘๖ หมูบาน
ดังนี้
๑. ตําบลพนมสารคาม มี ๓ หมูบาน
๒. ตําบลเกาะขนุน มี ๑๕ หมูบาน
๓. ตําบลเขาหินซอน มี ๑๓ หมูบาน
๔. ตําบลเมืองเกา มี ๗ หมูบาน
๕. ตําบลทาถาน มี ๗ หมูบาน
๖. ตําบลหนองยาว มี ๑๒ หมูบาน
๗. ตําบลหนองแหน มี ๑๕ หมูบาน
๘. ตําบลบานซอง มี ๑๔ หมูบาน
และมีเทศบาลตําบล ๓ แหง คือ เทศบาลตําบลพนมสารคาม เทศบาลตําบลเกาะขนุน และ
เทศบาลตําบลเขาหินซอน
- 10. ๑. ตําบลพนมสารคาม
ชื่อเดิมคือตําบลทาเกวียนและเมื่อประมาณ ๘๐ ป ที่ผานมาไดเปลี่ยนชื่อเปนตําบลพนมสารคาม
แบงเขตการประครองออกเปน ๓ หมู คือ
หมูที่ ๑ บานทาเกวียน
หมูที่ ๒ บานเมืองกาย
หมูที่ ๓ บานเชียงใต
ประวัติหมูบานตําบลพนมสารคาม
หมูที่ ๑ บานทาเกวียน
หมูบานตลาดทาเกวียน เดิมเรียกวา “ทาเกวียน” เหตุที่เรียกเชนนี้เนื่องจากบริเวณที่เปนตลาดทา
เกวียนในปจจุบันนี้ แตกอนเปนปาละเมาะเล็ก ๆ ริมคลองทาลาด ตลอดแนวริมคลองสวนใหญเปนตนไผ
เฉพาะตรงบริเวณที่เปนที่ตั้งตลาดทาเกวียนเปนปาไผหยอม ๆ เปนที่ลาดและราบริมคลอง ในขณะนั้นแรก ๆ
มีผูอยูอาศัยเพียง ๕-๖ หลังคาเรือน ตั้งบานอยูบนบกบาง อาศัยแพอยูริมน้ําบาง หมูบานเล็ก ๆ นี้เปนศูนย
รวมของเกวียนซึ่งเปนพาหนะในสมัยนั้น ที่บรรทุกสินคาจากทองถิ่นตาง ๆ ในภูมิภาคแถบนี้ อันไดแก
ขาวเปลือก พืชไร และของปา เชน ไตจุดไฟ น้ํามันยาง น้ําผึ้ง ฯลฯ จากโคกมอญ โคกปบ ทาประชุม
- 11. ดงนอย ฯลฯ ในแตละวันจะมีเกวียนบรรทุกสินคามาลงของที่ทาเกวียนแหงนี้นับเปนรอย ๆ เลม กลาวกัน
วาเสียงเกวียนที่มาจากทิศตาง ๆ ดังอยูตลอดวันไมขาดสาย ซึ่งสวนใหญจะออกจากบานบรรทุกสินคามา
ตั้งแตเชากอนสวาง เมื่อขนถายสินคาซื้อขายแลกเปลี่ยนเสร็จสรรพแลว ก็จะพักวัวควายเปนเวลาพอสมควร
จึงเริ่มออกเดินทางกลับบาน
ตอมาประชากรเริ่มขยายมากขึ้นโดยมีพวกชาวจีนบาง ชาวลางอพยพจากเวียงจันทนบางทยอยเขามา
ตั้งบานเรือนอยูอาศัย ชาวจีนที่มาคาขายทํามาหากินก็ตั้งถิ่นฐานรานคา ทําใหหมูบานกลายเปนตลาดมีสินคา
มากมายขยายวิวัฒนาการจากเดิมเปนเพียงที่ลงของถายเทสินคา มาเปนตลาดทาเกวียนอันเปนแหลงชุมชน
และยานการคาที่สําคัญของอําเภอพนมสารคามในปจจุบัน
หมูที่ ๒ บานเมืองกาย
(ไมสามารถหาขอมูลไดในขณะนี้)
หมูที่ ๓ บานเชียงใต
ตั้งขึ้นเมื่อสมัยเวียงจันทรแตก ประชาชนที่อพยพมาอยูที่นี่สวนใหญเปนเชื้อสายลาวเวียงจันทร ชื่อ
ของหมูบานจึงใชชื่อเดิมที่มาจากเวียงจันทร ตอมาไดมีการวิวัฒนาการขึ้นเรื่อย ๆ ตามลําดับจนถึงปจจุบัน
- 13. วัดหนองรี
วัดหนองรี ตั้งอยูเลขที่ ๔๕๕ บานหนองรี ถนนพนม - ทาลาด หมูที่ ๑ ตําบลพนมสารคาม อําเภอ
พนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา สังกัดคณะสงฆมหานิกาย ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ ๖ ไร ๒๐ ตารางวา อาณาเขต
ทิศเหนือ และทิศใต จรดหมูบานหนองรี ทิศตะวันออก จรดคลองทาลาด ทิศตะวันตก จรดถนนพนมทาลาด
มีที่ธรณีสงฆ จํานวน ๑ แปลง เนื้อที่ ๑ ไร
วัดหนองรี ตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๐ ไดรับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ.
๒๕๐๕ เขตวิสุงคามสีมา กวาง ๒๐ เมตร ยาว ๔๐ เมตร
สรุปรายนามเจาอาวาสเรียงตามลําดับมีดังนี้
รูปที่ ๑ พระอวบ
รูปที่ ๒ พระวอน
รูปที่ ๓ พระสังวร
รูปที่ ๔ พระครูปญญาธรรมคุณ พ.ศ. ๒๕๐๘ ถึง พ.ศ. ๒๕๓๔
รูปที่ ๕ พระครูสังวรธรรมรักษ พ.ศ. ๒๕๓๔ ถึง ปจจุบัน
- 14. รายละเอียดที่นารูเกี่ยวกับเสนาสนะภายในวัด
๑. พระอุโบสถ กวาง ๗ เมตร ยาว ๑๖ เมตร สรางเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓ เปนอาคารคอนกรีต
เสริมเหล็ก
๒. ศาลาการเปรียญ กวาง ๑๓ เมตร ยาว ๒๔ เมตร สรางเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๗ เปนอาคารไมทรง
ไทย
๓. หอสวดมนต กวาง ๑๐ เมตร ยาว ๑๘ เมตร สรางเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖ เปนอาคารไมทรงไทย
๔. กุฏิสงฆ จํานวน ๔ หลัง เปนอาคารไม ๓ หลัง ครึ่งตึกครึ่งไม ๑ หลัง
๔. ศาลาบําเพ็ญกุศล จํานวน ๑ หลัง สรางดวยคอนกรีตเสริมเหล็ก
นอกจากนี้ยังมีอาคารเสนาสนะตาง ๆ คือ ฌาปนสถาน จํานวน ๑ หลัง และโรงครัว จํานวน ๑
หลัง
เอกสารที่ใชในการประกอบการคนควาเรียบเรียงประวัติวัดหนองรี
๑. หนังสือ “ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เลม ๑๙” พ.ศ. ๒๕๔๓ โรงพิมพการศาสนา. กรุงเทพฯ. หนา ๑๘๔–๑๘๕
- 20. วัดเมืองกาย
วัดเมืองกาย ตั้งอยูเลขที่ ๕๘ บานเมืองกาย ถนนพนมสารคาม-บางคลา หมูที่ ๒ ตําบลพนมสาร
คาม อําเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา สังกัดคณะสงฆมหานิกาย ที่ดินวัดมีเนื้อที่ ๒๔ ไร มีที่ธรณีสงฆ
จํานวน ๑ แปลง เนื้อที่ ๒ ไร ๓ งาน
วัดเมืองกาย ตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๗ สันนิษฐานวาผูสรางวัด คือ ชาวเวียงจันทน ที่ไดอพยพมาอยูใน
ประเทศไทย ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๓ เพราะพระอุโบสถหลังเกา เดิมเปนศิลปะทางเวียงจันทน ไดมีการ
ปฏิสังขรณถึง ๒ ครั้ง เดิมมีเนื้อที่เพียง ๒ ไรเศษ ปจจุบันมีเนื้อที่ประมาณ ๒๔ ไร โดยมีผูมีจิตศรัทธา ถวาย
ที่ดินเพิ่มเติมใหวัด
การศึกษา มีโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกธรรม เปดสอนเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๒
สรุปรายนามเจาอาวาสเรียงตามลําดับมีดังนี้
รูปที่ ๑ พระครูกิตติประยุต พ.ศ. ๒๕๐๗ ถึง พ.ศ. ๒๕๓๓
รูปที่ ๒ พระบุญจันทร ชุติธมโม พ.ศ. ๒๔๓๖ ถึง ปจจุบัน
- 21. รายละเอียดที่นารูเกี่ยวกับเสนาสนะภายในวัด
๑. พระอุโบสถ กวาง ๖ เมตร ยาว ๑๒ เมตร เปนอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก
๒. ศาลาการเปรียญ กวาง ๑๔ เมตร ยาว ๒๔.๕๐ เมตร สรางเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖ เปนอาคาร
คอนกรีตเสริมเหล็ก
๓. กุฏิสงฆ จํานวน ๕ หลัง ครึ่งตึกครึ่งไม ๒ หลัง และตึก ๓ หลัง
๔. ศาลาเอนกประสงค กวาง ๑๓.๕๙ เมตร ยาว ๒๔.๙๐ เมตร สรางเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๕ เปนอาคาร
คอนกรีตเสริมเหล็ก
๕. ศาลาบําเพ็ญกุศล จํานวน ๒ หลัง สรางดวยคอนกรีตเสริมเหล็ก ๒ หลัง
นอกจากนี้ยังมีอาคารเสนาสนะตาง ๆ ดังนี้ คือ ศาลาอองแสวงชัย และศาลาจรัสไพบูลย01
เอกสารที่ใชในการประกอบการคนควาเรียบเรียงประวัติวัดเมืองกาย
๑. หนังสือ “ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เลม ๑๙” พ.ศ. ๒๕๔๓ โรงพิมพการศาสนา. กรุงเทพฯ. หนา ๑๓๔-๑๓๕
- 28. วัดเจริญสถาพร (ราชฮวง)
วัดราชฮวง ตั้งอยูที่บานราชฮวง หมูที่ ๓ ตําบลพนมสารคาม อําเภอพนมสารคาม จังหวัด
ฉะเชิงเทรา สังกัดคณะสงฆมหานิการ ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ ๗ ไร ๓ งาน ๓๙ ตารางวา อาณาเขต ทิศเหนือจรด
คลองทาลาด ทิศใตจรดถนนสาธารณะ ทิศตะวันออก จรดถนนราชสราญ ทิศตะวันตก จรดคลองสาธารณะ
วัดราชฮวง ตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๗
สรุปรายนามเจาอาวาสเรียงตามลําดับมีดังนี้
รูปที่ ๑ พระจํานงค พ.ศ. ๒๕๒๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๔
รูปที่ ๒ พระมานะ พ.ศ. ๒๕๒๕ ถึง พ.ศ. ๒๕๓๘
รูปที่ ๓ พระสมพงศ พ.ศ. ๒๕๓๙ ถึง พ.ศ. ๒๕๔๑
รูปที่ ๔ พระอรรถ
รูปที่ ๕ พระบุญสง พ.ศ. ๒๕๔๑ ถึง พ.ศ. ปจจุบัน
- 29. รายละเอียดที่นารูเกี่ยวกับเสนาสนะภายในวัด
๑. พระอุโบสถ กวาง ๑๒ เมตร ยาว ๑๖ เมตร เปนอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก
๒. ศาลาการเปรียญ กวาง ๒๕ เมตร ยาว ๒๘ เมตร เปนอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก
๓. หอสวดมนต กวาง ๔๐ เมตร ยาว ๖๐ เมตร เปนอาคารไม
๔. กุฏิสงฆ จํานวน ๒ หลัง เปนอาคารไม ๑ หลัง และตึก ๑ หลัง
๕. วิหาร กวาง ๒๔ เมตร ยาว ๔๐ เมตร เปนอาคารไม สรางเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๑
1F
2
เอกสารที่ใชในการประกอบการคนควาเรียบเรียงประวัติวัดเจริญสถาพร (วัดราชฮวง)
๑. หนังสือ “ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เลม ๑๙” พ.ศ. ๒๕๔๓ โรงพิมพการศาสนา. กรุงเทพฯ. หนา ๑๓๗.
- 38. วัดเชียงใต (วัดศรีพรหม)
วัดเชียงใต ตั้งอยูเลขที่ ๑๑๗ บานเชียงใต ถนนพนมสารคาม-บางคลา หมูที่ ๓ ตําบลพนมสาร
คาม อําเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา สังกัดคณะสงฆ มหานิกาย ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ ๒๑ ไร ๗ ตาราง
วา อาณาเขต ทิศเหนือ จรดถนนสายพนมสารคาม-บางคลา ทิศใต จรดคลองทาลาด ทิศตะวันออก จรดที่
สาธารณะ ทิศตะวันตก จรดคูน้ําสาธารณะ
วัดเชียงใต ตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๗ ประวัติของวัดทราบจากคําบอกเลาตอ ๆ กันมาวา ชาวบานเชียงใต
ซึ่งอพยพมาจากเวียงจันทน ประเทศลาว ในสมัยที่พระยาจักรี ยกทัพไปตีเมืองเวียงจันทน และไดกวาดตอน
ผูคนมาดวย เมื่อชาวบานไดตั้งหมูบานขึ้น จึงไดสรางวัดนี้ขึ้นเปนวัดประจําหมูบาน และมีพระไม จํานวน ๒
องค โดยไดรับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ วันที่ ๓๐ เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๑๔ เขตวิสุงคามสีมา กวาง
๔๐ เมตร ยาว ๘๐ เมตร
สรุปรายนามเจาอาวาสเรียงตามลําดับมีดังนี้
รูปที่ ๑ พระอธิการโห พ.ศ. ๒๔๓๕ ถึง พ.ศ. ๒๔๘๖
รูปที่ ๒ พระทองขาว วงศจําปา (ร.ก.) พ.ศ. ๒๔๘๖ ถึง พ.ศ. ๒๔๘๘
- 39. รูปที่ ๓ พระครูสารธรรมนิวิฐ พ.ศ. ๒๔๘๘ ถึง พ.ศ. ๒๕๓๙
รูปที่ ๔ พระอธิการเกษม ปภากโร พ.ศ. ๒๕๓๙ ถึง ปจจุบัน
รายละเอียดที่นารูเกี่ยวกับเสนาสนะภายในวัด
๑. พระอุโบสถ กวาง ๗ เมตร ยาว ๒๒ เมตร สรางเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ เปนอาคารคอนกรีต
เสริมเหล็ก
๒. ศาลาการเปรียญ กวาง ๑๓ เมตร ยาว ๒๓ เมตร สรางเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๒ เปนอาคารคอนกรีต
เสริมเหล็ก
๓. กุฏิสงฆ จํานวน ๒ หลัง เปนอาคารครึ่งตึกครึ่งไม ๒ หลัง
๔. วิหาร กวาง ๑๒ เมตร ยาว ๒๑.๔๐ เมตร เปนอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก
๕. ศาลาบําเพ็ญกุศล จํานวน ๑ หลัง สรางดวยคอนกรีตเสริมเหล็ก กวาง ๑๐ เมตร ยาว ๒๕
เมตร
นอกจากนี้มีอาคารเสนาสนะตาง ๆ ดังนี้ คือ ฌาปนสถาน ๑ หลัง ปูชณียวัตถุ มีประธานประจํา
อุโบสถ ปางสมาธิ ขนาดหนาตักกวาง ๑.๕๐ เมตร เปนพระพุทธรูปปูนปน2F
3
ซึ่งทางวัดจะชลอไปประดิษฐาน
ที่วิหาร
เอกสารที่ใชในการประกอบการคนควาเรียบเรียงประวัติวัดเชียงใต
๑. หนังสือ “ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เลม ๑๙” พ.ศ. ๒๕๔๓ โรงพิมพการศาสนา. กรุงเทพฯ. หนา ๓๗
- 53. วัดมหาเจดีย (วัดนอก)
วัดมหาเจดีย ตั้งอยูเลขที่ ๑๑๘ บานเตาเหล็ก หมูที่ ๓ ตําบลพนมสารคาม อําเภอพนมสารคาม
จังหวัดฉะเชิงเทรา สังกัดคณะสงฆมหานิกาย ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ ๑๓ ไร ๑๒ ตารางวา
วัดมหาเจดีย ตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๗ ไดรับพระราชทางวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๒
สรุปรายนามเจาอาวาสเรียงตามลําดับมีดังนี้
รูปที่ ๑ พระมหาอุต พ.ศ. ๒๔๒๐ ถึง พ.ศ. ๒๔๓๔
รูปที่ ๒ พระครูวิมลญาณสุนทร พ.ศ. ๒๔๔๐ ถึง พ.ศ. ๒๔๙๙
รูปที่ ๓ พระมิ่ง ทนฺตจาโร พ.ศ. ๒๕๐๐ ถึง พ.ศ. ๒๕๑๕
รูปที่ ๔ พระสมนึก อนาลโย พ.ศ. ๒๕๑๗ ถึง พ.ศ. ๒๕๓๕
รูปที่ ๕ พระฉลวย สิริปฺุโญ พ.ศ. ๒๕๓๕ ถึง พ.ศ. ๒๕๓๘
รูปที่ ๖ พระไพรวัลย สนฺติกโร พ.ศ. ๒๕๓๘ ถึง พ.ศ. ๒๕๔๐
รูปที่ ๗ พระกมล จนฺทสาโร พ.ศ. ๒๕๔๐ ถึง พ.ศ. ๒๕๔๑
รูปที่ ๘ พระสวาง สุขํชาโต พ.ศ. ๒๕๔๑ ถึง ปจจุบัน
- 54. รายละเอียดที่นารูเกี่ยวกับเสนาสนะภายในวัด
๑. พระอุโบสถ แบบลานชาง ซึ่งเปนสถาปตยกรรมแบบลาว
๒. ศาลาการเปรียญ กวาง ๑๙.๒๐ เมตร ยาว ๒๗.๒๐ เมตร เปนอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก
๓. กุฏิสงฆ จํานวน ๑ หลัง เปนอาคารไม
๔. เจดียรูปทรงไมสิบสอง
๕. วิหารที่ประดิษฐานรูปหลอเหมือนหลวงพอกอย 3F
4
เอกสารที่ใชในการประกอบการคนควาเรียบเรียงประวัติวัดมหาเจดีย (วัดนอก)
๑. หนังสือ “ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เลม ๑๙” พ.ศ. ๒๕๔๓ โรงพิมพการศาสนา. กรุงเทพฯ. หนา ๑๓๔.
- 57. บน และ ลาง : ลายปูนปนหนาบันอุโบสถทั้งดานหนา และดานหลัง
- 58. ซายและ ขวา : พระประธานภายในอุโบสถ
ประมวลภาพพระไม พุทธศิลปทรงลาว ที่ประดิษฐานชั้นใตดินอุโบสถหลังใหม
- 66. วัดเตาเหล็ก
วัดเตาเหล็ก ตั้งอยูเลขที่ ๑๑๙ บานเตาเหล็ก หมูที่ ๓ ตําบลพนมสารคาม อําเภอพนมสารคาม
จังหวัดฉะเชิงเทรา สังกัดคณะสงฆมหานิกาย ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ ๓ ไร ๓ งาน ๗๖ ตารางวา
วัดเตาเหล็ก ตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๗ เดิมชื่อวัด ศรีธาตุ เริ่มสรางเมื่อประมาณ ๒๐๐ ปเศษ “ซึ่งนับวาเปน
วัดที่เกาแกที่สุดในคุงน้ําทาลาด” และเปนสถานที่ดื่มน้ําพระพิพัฒนสัตยา
มีเรื่องเลาสืบตอกันมาวา ชาวบานไดอพยพมาจากบานลานชาง ที่เมืองเวียงจันทน ประเทศลาว ใน
สมัยตนรัตนโกสินทร เมื่อตั้งบานเรือนเรียบรอยแลว จึงไดสรางวัดประจําหมูบานขึ้น พระพุทธรูป พระ
ประธานประจําวัดก็ไดอัญเชิญมาจากเมืองเวียงจันทน ตอนที่อพยพมาตั้งหมูบาน ซึ่งยังปรากฏอยูจนทุกวันนี้
ไดรับพระราชวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๒๙ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๐ เขตวิสุงคามสีมา กวาง ๒๐ เมตร
ยาว ๔๐ เมตร
พระอุโบสถหลังเกา สรางโดยพระทศพลดลศรี เวียงวโรดม เปนชาวเวียงในสมัยรัชกาลที่ ๓ ซึ่ง
มีการบูรณปฏิสังขรณ เมื่อป พ.ศ. ๒๔๙๔ โดย นางสละ สมบูรณทรัพย บริจาคเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท เหตุที่ตอง
มีการบูรณะใหม เนื่องจากหลังคาที่เปนสังกะสีแผนใหญ หรือเรียกวา กระเบื้องวาว สมัยรัชกาลที่ ๕ ยุบ
เสียหายจึงตองเปลี่ยนหลังคาเปนสังกะสีแผนเล็ก แตก็ยังตองเปนสังกะสีเกา เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๗
- 67. สรุปรายนามเจาอาวาสเรียงตามลําดับมีดังนี้
รูปที่ ๑ พระอาจารยประสงค
รูปที่ ๒ พระอาจารยติ้ง
รูปที่ ๓ พระอธิการพัน สุมาโณ
รูปที่ ๔ พระอาจารยนอย
รูปที่ ๕ พระอธิการสบู อิสโร
รูปที่ ๖ พระอธิการพร ปภาโส
รูปที่ ๗ พระพิทักษ ธิตญาโณ ตั้งแต พ.ศ. ๒๕๓๒ - พ.ศ. ๒๕๔๕
รูปที่ ๘ พระครูสถิตญาณคุณ พ.ศ. ๒๕๔๕ - ปจจุบัน
รายละเอียดที่นารูเกี่ยวกับเสนาสนะภายในวัด
๑. พระอุโบสถ กวาง ๒๐ เมตร ยาว ๔๐ เมตร สรางเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ เปนอาคารคอนกรีต
เสริมเหล็ก
๒. ศาลาการเปรียญ กวาง ๑๒ เมตร ยาว ๒๔ เมตร สรางเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๕ เปนอาคารคอนกรีต
เสริมเหล็ก ๒ ชั้น
ปูชณียวัตถุ มีพระพุทธรูปสําริด ปางมารวิชัย ขนาดหนาตัก กวาง ๑๙ นิ้ว สูง ๑๘ นิ้ว สรางพรอมกับ
การสรางวัด 4F
5
เอกสารที่ใชในการประกอบการคนควาเรียบเรียงประวัติวัดเตาเหล็ก
๑. หนังสือ “ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เลม ๑๙” พ.ศ. ๒๕๔๓ โรงพิมพการศาสนา. กรุงเทพฯ. หนา ๕๐-๕๑.
- 72. ภาพซาย คลองทาลาดขางวัด ภาพขวา สิงหบันไดหนาพระอุโบสถ
ภาพซาย พระอุโบสถหลังใหม ถายเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๓๕
ภาพขวา พระอุโบสถหลังใหม ถายเมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๔๘
ภาพซาย ลายหนาบันดานหนาพระอุโบสถ ภาพขวา ลายหนาบันดานหลังพระอุโบสถ
- 74. ภาพซายและภาพขวา : กุฏิธรรมสังเวชของ พระอธิการสบู อิสโร ที่มรณภาพแลวรางกายไมเนาเปอย
ภาพซายและภาพขวา : ศาลาที่ประดิษฐานพระพุทธรูปและเทวรูป
ภาพซายและภาพขวา : ฌาปนสถานที่กําลังกอสราง
- 76. ๒. ตําบลเกาะขนุน
ตําบลเกาะขนุน แบงการปกครองเปน ๑๕ หมูบานคือ
หมูที่ ๑ บานโรงเลื่อยจักร, สองพี่นอง
หมูที่ ๒ บานเกาะขนุน
หมูที่ ๓ บานปากคลองมวง, บางกระดี่, เกาะมะมวง, คูเมือง
หมูที่ ๔ บานหนองเสือ, แหลมทอง
หมูที่ ๕ บานแหลมตะครอ, ปากดง, เกาะมะมวง, ตะเขปูน
หมูที่ ๖ บานนานอย
หมูที่ ๗ บานชายเคือง
หมูที่ ๘ บานไรดอน
หมูที่ ๙ บานหนองปรือ, ชําปาหวาย
หมูที่ ๑๐ บานหวยพลู
หมูที่ ๑๑ บานหนองประดูลาย
หมูที่ ๑๒ บานหนองอีโถน, หนองน้ําดํา
หมูที่ ๑๓ บานดอนขี้เหล็ก
หมูที่ ๑๔ บานหนองบอ
หมูที่ ๑๕ บานหวยสาม
- 77. ประวัติหมูบานตําบลเกาะขนุน
หมูที่ ๑ บานโรงเลื่อยจักร, สองพี่นอง
หมูบานแหงนี้ตั้งขึ้นในราวป พ.ศ. ๒๔๕๐ เดิมเปนหมูบานเล็ก ๆ รวมอยูกับหมูบานเกาะขนุน ตอนแรกมีพี่
นองสองครอบครัวมาปลูกบานทํามาหากินอยูจึงเรียกวา “บานสองพี่นอง” ตอมามีผูคนยายถิ่นฐานเขามาทํา
มาหากินมากขึ้นจึงแยกเปนหมูบานขึ้นใหม และตอมามีพอคาไมไดมาตั้งโรงเลื่อยจักรทําการเลื่อยไม ดวย
ชวงสมัยนั้นตําบลเกาะขนุนมีปาทั่วทั้งตําบล เมื่อกิจการโรงเลื่อยจักรเจริญขึ้น บริษัทเอื้อวิทยาผูกอตั้ง
โรงเลื่อยไดขยายกิจการเปนโรงเลื่อยจักรขนาดใหญ มีการวางรางรถไฟเขาไปบรรทุกไมซุงถึงบานลาด
กระทิงในเขตอําเภอสนามชัยเขต มีตลาดการคาและผูคนอพยพมาทํางานเปนกรรมกรมากขึ้น จึงเกิดชื่อ
เรียกวา “บานโรงเลื่อยจักร” ขึ้นอีกชื่อหนึ่ง ตอมาการทําไมของบริษัทไดลดนอยลงจนกระทั่งเลิกกิจการ
คงเหลือเพียงโรงเลื่อยขนาดเล็ก สวนตลาดการคาเลิกกิจการ ผูคนอพยพออกไปทํามาหากินในถิ่นอื่น ทําให
กลายสภาพเปนหมูบานขนาดเล็กดังที่ปรากฏอยูในปจจุบัน
หมูที่ ๒ บานเกาะขนุน
หมูบานแหงนี้ตั้งขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ.๒๔๓๗ เดิมเปนหมูบานเล็ก ๆ ตั้งอยูริมคลองทาลาด มีสภาพ
คลายเกาะน้ําทวมไมถึงแตเดิมมีทั้งขนุนปาและขนุนบานขึ้นอยูเต็มไปหมด จึงไดชื่อวา “เกาะขนุน” และรอบ
ๆ บริเวณหมูบานมีตนไมยืนตนขนาดใหญมากมาย ผูคนจากถิ่นฐานตาง ๆ อพยพเขามาจับจองหักลางถางพง
ทํานาทําไรและตั้งโรงเลื่อยดวยแรงคนจนเกิดเปนยานการคา มีตลาด มีเรือเขามาบรรทุกสินคาไมวาจะเปนไม
ซุง ไมแปรรูป ของปา หรือพืชไรออกไปขายยังตางอําเภอ ตางจังหวัด
หมูที่ ๓ บานปากคลองมวง, บางกระดี่, เกาะมะมวง, คูเมือง
หมูบานแหงนี้มีชื่อเรียกหลายชื่อ เนื่องจากประชากรไดแยกกันอยูเปนหยอม ๆ ที่ตั้งบานเรือนอยูริม
คลองตอนเหนือตรงลําคลองสองสายคือ คลองลัดกับคลองมวงมาบรรจบกันเปนคลองทาลาด เรียกหมูบาน
นี้วาปากคลองมวง สวนหมูบานตอนใตลงมาเรียกบานบางกระดี่ สวนหมูบานที่แยกไปอยูบนที่สูงอีกสอง
หมูบาน เรียกวา บานเกาะบุญนาคและหมูบานเกาะมวง คูเมือง
หมูที่ ๔ บานหนองเสือ, แหลมทอง
ตั้งขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๕ สภาพเดิมของหมูบานมีประมาณ ๒๐ หลังคาเรือน ที่เรียกวา
หมูบานหนองเสือ เพราะ สมัยกอนมีหนองน้ําซึ่งบริเวณหนองน้ําเปนปา เสือลงมากินน้ําที่หนองนี้จึงเรียกวา
“หนองเสือ” ประชาชนสวนใหญของหมูบานราว ๘๐ เปอรเซ็นต เปนชาวลาวอพยพมาจากเมืองเวียงจันทน
นอกนั้นเปนชาวไทยและจีน
- 78. หมูที่ ๕ บานแหลมตะครอ, ปากดง, เกาะมะมวง, ตะเขปูน
หมูบานแหงนี้ตั้งขึ้นในราวรอยกวาปมาแลว เดิมบริเวณแหงนี้เปนปาไมเบญจพรรณตอมาบริษัทเอื้อ
วิทยาไดทําการตัดไมใหญแปรสภาพเปนซุงและไมแปรรูป กอปรกับมีชาวจีนอพยพขึ้นมาถากถางพื้นที่จับ
จองทําไรปลูกพืชไร หลังจากนั้นราว ๕ – ๖ ป มีคนไทยทยอยเขามาจับจองที่ทํามาหากินอีกและอพยพกันเขา
มาหักรางถางพงบุกเบิกจนสภาพกลายเปนนาและสวน สิ้นสภาพความเปนปาไปจนหมดดังที่ปรากฏใหเห็น
อยูในปจจุบัน สวนชื่อเรียกหมูบานเรียกตามสภาพพื้นที่ที่เปนเนินสูงมีลําลางลอม ๓ ดาน มีลักษณะเปนหลัง
เตาและเปนแหลมยื่นไปทางทิศตะวันตก
หมูที่ ๖ บานนานอย
หมูบานแหงนี้ตั้งขึ้นในราวป พ.ศ. ๒๔๒๐ โดยมีหลวงองคเปนหัวหนา และนางคําเปนลาม
แปลภาษาพื้นบานใหหลวงองคทราบ ทั้งนี้เนื่องจากสวนใหญประชาชนมีเชื้อสายลาวที่อพยพมาจากนคร
เวียงจันทนแตเดิมมาอยูที่บานหนองอิ่ม และอพยพจากบานหนองอิ่มมาจับจองที่ทํากินอยูที่บานนานอย
สวนบานหนองอิ่มขณะนี้เปนบานรางอยูในเขตตําบลหนองแหน อําเภอพนมสารคาม หมูบานนานอยแตเดิม
มีชาวลาวอพยพมาตั้งบานอยูไมกี่หลังคาเรือน ทํามาหากินในทางทํานาและทําไร ตอนแรกสภาพของหมูบาน
เปนหมูบานเล็ก ๆ รวมกันอยูเปนกลุม มีที่นาทํากันอยูเพียงเล็กนอย จึงไดเรียกชื่อบานตามสภาพของนาที่มี
ทํากันอยูในขณะนั้นวา “บานนานอย” ตอมาประชาชนไดอพยพเขามาตั้งบานเรือนเพิ่มขึ้น เพราะเปนที่อุดม
สมบูรณมีลําคลองน้ําไมขาด มีที่ทํามาหากินมากมายจนชุมชนขยายกลายเปนสภาพใหญ แตยังคงเรียกชื่อ
หมูบานตามสภาพความจริงเดิมวา “บานนานอย” จนปจจุบัน
หมูที่ ๗ บานชายเคือง
ระยะแรกเริ่มผูคนตั้งหมูบานอยูบริเวณหลังโรงเรียนวัดชายเคือง ประมาณ ๗ – ๘ หลังคาเรือน และ
เรียกชื่อวา บานหนองบางนา ตอมาไดสรางวัดขึ้นที่บริเวณวัดชายเคืองปจจุบัน เรียกวา “วัดหนองบางนา แต
เนื่องจากบริเวณที่ตั้งบานเรือนอยูนั้นเปนที่ต่ําเมื่อถึงฤดูฝนน้ําจะหลากมาทวมอยูเสมอ ๆ นายขุนทองซึ่งเปน
ผูใหญบานในสมัยนั้นจึงไดโยกยาย วัว ควาย ขึ้นไปอยูที่ดอนทาไทร ตอมาก็ยายไปอยูที่นั่นเลย วัดหนอง
บางนาถูกปลอยใหเปนวัดราง พรอมกันนั้นก็ไดสรางวัดใหมขึ้นที่ดอนทาไทรปจจุบัน
ตอมา หลวงตาวร ไดพิจารณาเห็นวาคนที่จะมาทําบุญซึ่งมาจากหมูบานทากงนั้นไปมาลําบากเพราะ
หนทางไกล จึงไดยายวัดกลับมาอยูที่เดิม คือ บริเวณวัดหนองบางนาเกาสวนสาเหตุอีกประการนั้น เนื่องจาก
ไดมีผูคนพบหลวงพอหมี (พระประธานซึ่งอยูในโบสถปจจุบัน)ที่ในปา สวนสาเหตุแหงชื่อเรียกวาวัดและ
หมูบาน “ชายเคือง” เนื่องดวย ๒ มูลเหตุแหงการสันนิษฐาน คือ
- 79. สาเหตุแรก หากมีการจัดงานเทศกาลตาง ๆ ขึ้นที่วัดนี้ จะเกิดเหตุการณทะเลาะวิวาทกันบอย ๆ กับ
อีกสาเหตุหนึ่งมีเรื่องเลาวา ไดมีชายหญิงคูหนึ่งไดหนีตามกันมานอนอยูใตถุนวัด เสือไดคาบผูหญิงไปกิน
ชายนั้นโกรธและตามไปฆาเสือตาย จึงไดชื่อวา “วัดชายเคือง”
หมูที่ ๘ บานไรดอน
แตเดิมราวป พ.ศ.๒๔๔๕ เขตหมูบานไรดอนยังเปนปาทึบไมมีผูคนอาศัย ตอมาเริ่มมีผูคนเขาไป
บุกเบิกที่ทางทํากิน พื้นที่เริ่มเตียนผูคนคอย ๆ ทยอยเขาไปตั้งบานเรือนอยูทํากิน สวนที่ใหชื่อวา “ไรดอน” ก็
เนื่องจากบริเวณพื้นที่เปนที่ดอนมีลักษณะเปนเนินสูงมีน้ําซับชุมฉ่ําอยูเกือบทั้งปเหมาะแกการทําไร ตางไป
จากที่ดอนโดยทั่วไปที่มักจะแหงแลวทําการเพาะปลูกไมไดผล
หมูที่ ๙ บานหนองปรือ, ชําปาหวาย
เดิมที่เดียวหมูที่ ๙ นี้ ตั้งขึ้นรวมกับหมูที่ ๔ และแยกมาเปนหมู ๑๒ ภายหลังจึงแยกตัวเองเปนหมูที่
๙ เมื่อแรกเริ่มมีบานเรือนราว ๑๐ กวาหลังคาเรือน สวนที่เรียกชื่อ “หนองปรือ–ชําปาหวาย” ก็เนื่องจาก มี
ปรือที่นํามาทําฝาบาน และหวายมาก ชาวบานสวนมากเปนลาวพวนที่มาจากเวียงจันทน
หมูที่ ๑๐ บานหวยพลู
หมูบานแหงนี้ตั้งขึ้นในราวป พ.ศ. ๒๔๘๐ ผูเริ่มตั้งคือ นายกมล เอื้อวิทยา ซึ่งไดรับสัมปทานปาไม
โดยใชชื่อบริษัทวา “บริษัทเอื้อวิทยา” สวนสาเหตุแหงการเรียกชื่อหมูบานหวยพลูก็เนื่องจาก เมื่อครั้งกอน
หมูบานนี้มีลําหวยไหลผาน ซึ่งบริเวณลําหวยดังกลาวมีตนพลูขึ้นอยูมากมาย จึงเรียกคํา “หวยพลู” จนติดปาก
กระทั่งกลายเปนชื่อหมูบาน ในอดีตภูมิภาคแถบนี้เปนปามีสัตวชุกชุม แตสภาพปจจุบันคือที่ทําไรทํานา
หมูที่ ๑๑ บานหนองประดูลาย
ตั้งขึ้นเมื่อใดไมปรากฏหลักฐานแนชัด สภาพเดิมเปนปาซึ่งมีไมประดูขึ้นอยูเปนจํานวนมาก ใน
จํานวนนี้มีประดูใหญตนหนึ่งขางหนองน้ําชาวบานไดตัดมาปรากฏวามีลายไมสวยงามมากจนเปนที่กลาวกัน
ติดปากเรื่อยมาและเปนชื่อเรียกวา “หนองประดูลาย” ไปในที่สุด
หมูที่ ๑๒ บานหนองอีโถน, หนองน้ําดํา
ตั้งขึ้นในราวป พ.ศ.๒๔๗๗ ไมปรากฏหลักฐานผูตั้ง สภาพเดิมเปนปารกมีลําหวยไหลผานตลอดป
เปนที่อาศัยของสัตวปานานาชนิด ตอมามีประชาชนในเขตตําบลหนองแหน และเกาะขนุน เขามาบุกเบิกทํา
ไรมันสําปะหลังและไรขาว และเนื่องจากเปนพื้นที่อุดมสมบูรณตอมาก็มีผูคนทยอยเขามาทําผลประโยชน
มากขึ้น เหตุที่เรียกชื่อวา “หมูบานหนองอีโถน” เนื่องจากมีหนองน้ําลักษณะเหมือนกระโถนอยู จึงเอา
ลักษณะหนองน้ํานี้มาตั้งเปนชื่อหมูบาน เดิมเรียกหมูบานหนองกระโถน ตอมาเพี้ยนเปน “หนองอีโถน”
- 80. หมูที่ ๑๓ บานดอนขี้เหล็ก
ตั้งขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๐ ผูตั้งคือ นายหยวก เข็มรุง สภาพเดิมของหมูบานเปนปามีตน
ขี้เหล็กขึ้นเปนจํานวนมาก ประชาชนเขามาอยูครั้งแรกจํานวน ๓ หลัง อยูตอมาก็มีประชาชนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
จึงเรียกเปนหมูบาน ประกอบอาชีพทํานา ทําไร ปจจุบันมีอาชีพทําไรเปนสวนใหญ
หมูที่ ๑๔ บานหนองบอ
(ไมสามารถหาขอมูลไดในขณะนี้)
หมูที่ ๑๕ บานหวยสาม
(ไมสามารถหาขอมูลไดในขณะนี้)
- 82. วัดพงษาราม
วัดพงษาราม ตั้งอยูเลขที่ ๔๐๘ บานเกาะขนุน หมูที่ ๒ ตําบลเกาะขนุน อําเภอพนมสารคาม จังหวัด
ฉะเชิงเทรา สังกัดคณะสงฆมหานิกาย ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ ๓๙ ไร ๑ งาน ๙๙ ตารางวา น.ส. ๓ ก เลขที่ ๔๓๔
อาณาเขต ทิศเหนือจรดที่สาธารณะ ทิศใตจรดคลองทาลาด ทิศตะวันออกและทิศตะวันตก จรดที่ดินนางหรุม
เข็มราช มีที่ธรณีสงฆจํานวน ๑ แปลง เนื้อที่ ๕ ไร ๒๐ ตารางวา โฉนดเลขที่ ๓๑๕
วัดพงษาราม ตั้งเมื่อ ๒๔๐๙ ไมปรากฏหลักฐานนามผูสราง พระประธานในอุโบสถเปนพระพุทธรูป
สมัยสุโขทัย มีลักษณะงดงามยิ่ง ชาวบานเรียกกันวา “หลวงพองาม” ไดรับพระราชวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๗
กุมภาพันธ พ.ศ. ๒๔๙๘ เขตวิสุงคามสีมา กวาง ๔๐ เมตร ยาว ๘๐ เมตร
การศึกษามีโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรม เปดสอนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ โรงเรียนผูใหญวัดเปด
สอนเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๙
สรุปรายนามเจาอาวาสเรียงตามลําดับมีดังนี้
รูปที่ ๑ พระอธิการจันทร
- 83. รูปที่ ๒ พระอธิการสิทธิ์
รูปที่ ๓ พระอธิการจิ๋ว
รูปที่ ๔ พระอธิการมหัสไทย
รูปที่ ๕ พระอธิการบุญรอด
รูปที่ ๖ พระอธิการครุฑ
รูปที่ ๗ พระอธิการทองแดง
รูปที่ ๘ พระอธิการสุวรรณ พ.ศ. ๒๔๗๖
รูปที่ ๙ พระครูวารีสมานคุณ พ.ศ. ๒๔๗๗ ถึง พ.ศ. ๒๕๑๐
รูปที่ ๑๐ พระครูปญญาสารธรรม พ.ศ. ๒๕๑๒ ถึง ปจจุบัน
รายละเอียดที่นารูเกี่ยวกับเสนาสนะภายในวัด
๑. พระอุโบสถ กวาง ๔๐ เมตร ยาว ๘๐ เมตร สรางเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๑ เปนอาคารทรงไทย
๒. ศาลาการเปรียญ กวาง ๑๘ เมตร ยาว ๔๖ เมตร สรางเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๗ เปนอาคารคอนกรีต
เสริมเหล็ก ทรงไทย
๓. หอสวดมนต กวาง ๖ เมตร ยาว ๑๐ เมตร สรางเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๓ เปนอาคารทรงไทย
๔. กุฏิสงฆ จํานวน ๑๑ หลัง เปนอาคารไม ๙ หลัง และตึก ๒ หลัง
๕. ศาลาอเนกประสงค กวาง ๒๐ เมตร ยาว ๓๐ เมตร เปนอาคารทรงไทย
๖. ศาลาบําเพ็ญกุศล จํานวน ๒ หลัง สรางดวยคอนกรีตเสริมเหล็ก ๑ หลัง สรางดวยไม ๑ หลัง
นอกจากนี้ยังมีโรงครัว ๑ หลัง ปูชนียวัตถุ มีพระประธานประจําอุโบสถ ศิลปะสมัยสุโขทัย นามวา
“หลวงพองาม”
5F
6
เอกสารที่ใชในการประกอบการคนควาเรียบเรียงประวัติวัดพงษาราม
๑. หนังสือ “ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เลม ๑๙” พ.ศ. ๒๕๔๓ โรงพิมพการศาสนา. กรุงเทพฯ. หนา ๑๑๗-๑๑๘
- 89. ๓. ตําบลเขาหินซอน
ตําบลเขาหินซอนไดตั้งรากฐานมาประมาณ ๘๐ ป เศษ โดยแตเดิมประชากรที่มาตั้งถิ่นฐานนั้น
อพยพมาจากตําบลขางเคียงเขา ต.หนองยาว ต.บานซอง ต.เกาะขนุน เพื่อมาทํามาหากิน สําหรับชื่อตําบล
เขาหินซอนนาจะเปนเพราะพื้นที่เดิมเคยเปนทะเลมากอนเมื่อแหงลงไปเกิดการธรรมชาติแปรปรวน มี
กระแสน้ําพัดพานําหินชิ้นเล็กบางโตบางมาทับถมเกิดภูเขาหินที่ซอนกันโดยธรรมชาติ ชาวบานจึงตั้งชื่อวา
เขาหินซอน แบงการปกครองออกเปน ๑๓ หมูบาน คือ
หมูที่ ๑ บานมวงโพรง
หมูที่ ๒ บานเขาหินซอน
หมูที่ ๓ บานแหลมเขาจันทร
หมูที่ ๔ บานปรือวาย
หมูที่ ๕ บานหนองวานเหลือง
หมูที่ ๖ บานหนองแสง
หมูที่ ๗ บานลํามหาชัย
หมูที่ ๘ บานหนองยายแจม
หมูที่ ๙ บานหนองกลางดง