More Related Content
Similar to โครงงงาน1 (20)
โครงงงาน1
- 1. 1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6
ปีการศึกษา 2559
ชื่อโครงงาน
นาฏศิลป์ไทย เอกลักษณ์ประจาชาติ
ชื่อผู้ทาโครงงาน
น.ส อารยา หมื่นศรี 10
พริมา พันธ์ไพบูลย์ 26
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่6/12
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2559
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
- 2. 2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม
น.ส อารยา หมื่นศรี 10
น.ส พริมา พันธ์ไพบูลย์ 26
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
นาฏศิลป์ ไทย เอกลักษณ์ประจาชาติ
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
National identity and thai arts
ประเภทโครงงาน
โครงงานเพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน
น.ส อารยา หมื่นศรี/น.ส พริมา พันธ์ไพบูลย์
ชื่อที่ปรึกษา
ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน
ภาคเรียนที่ 1-2
- 3. 3
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน
ปัจจุบันสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมาก สืบเนื่องด้วยอิทธิพลของความเจริญทางเทคโนโลยีหรือ
อิทธิพลของค่านิยมที่ผิดของผู้ปกครองที่ทาให้เยาวชนรุ่นใหม่ห่างเหินจากความเป็นไทย ไม่ให้หันมาศึกษาความ
เป็นไทย เช่นการฟ้อน รา ศิลปะการแสดงของชาติไทยเราคนรุ่นใหม่เริ่มไม่เห็นคุณค่า แต่จริงๆแล้วศิลปวัฒนธรรม
ไทยมีความสาคัญ เพราะเป็นวิถีชีวิตของคนไทย ทาให้เห็นความเป็นชาติ การส่งเสริมอนุรักษ์นาฏศิลป์ไทยเป็น
หนทางหนึ่งอันที่จะส่งผลให้ผู้ที่ได้ศึกษาเรียนรู้ศิลปะไทย และยังเป็นการส่งเสริมให้นาฏศิลป์ได้มีการแพร่หลายแก่
คนรุ่นหลังมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถนาไปพัฒนาตนเอง เพิ่มศักยภาพทางด้านนาฏศิลป์ไทยและเป็นการอนุรักษ์
วัฒนธรรมไทยอีกด้วย.
วัตถุประสงค์
1. 1.มีความรู้ความเข้าใจในความหมายของนาฏศิลป์
2. 2.ศึกษาความรู้เกี่ยวกับนาฏศิลป์
3. พัฒนาการแสดงนาฏศิลป์
4. อนุรักษ์วัฒนธรรมไทย
ขอบเขตโครงงาน
1. 1.ระยะเวลาในการทาโครงงาน ภาคเรียนที่1-2
2. ใช้อินเทอร์เน็ตและเว็บไซต์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการหาโครงงาน
3. เพื่อศึกษาเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของนาฏศิลป์ไทย
4. เพื่ออนุรักษ์และ ส่งเสริมให้ศิลปวัฒนธรรมนาฏศิลป์ไทยแก่คนรุ่นหลัง
หลักการและทฤษฎี
นาฏศิลป์ไทย เป็นศิลปะแห่งการฟ้อนรา ที่มีสมมติฐานมาจาก
ธรรมชาติแต่ได้รับการตกแต่งและปรับปรุงให้งดงามยิ่งขึ้นจนก่อให้เกิด
อารมณ์สะเทือนใจแก่ผู้ดูผู้ชม โดยแท้จริงแล้วการฟ้อนราก็คือศิลปะของการ
เคลื่อนไหวอวัยวะต่าง ๆ ของมนุษย์เช่น แขน ขา เอว ไหล่ หน้าตาฯลฯ ด้วย
เหตุนี้ธรรมชาติที่เป็นพื้นฐานเบื้องต้นของการฟ้อนราจึงมาจากอิริยาบถต่าง ๆ
ของมนุษย์ได้แก่ ยืน เดิน นั่ง นอน ฯลฯตามปกติการเดินของคนเราจะก้าวเท้า
พร้อมทั้งแกว่งแขนสลับกันไปเช่นเมื่อก้าวเท้าซ้ายก็จะแกว่งแขนขวาออกและ
เมื่อก้าวเท้าขวาก็จะแกว่งแขนซ้ายออกสลับกันเพื่อเป็นหลักในการทรงตัวครั้น
- 4. 4
เมื่อนามาตกแต่งเป็นท่าราขึ้นก็กลายเป็นท่าเดินที่มีลีลาการก้าวเท้าและแกว่งแขนให้ได้
สัดส่วนงดงามถูกต้องตามแบบแผนที่กาหนด ตลอดจนท่วงทานองและจังหวะเพลง
นาฏศิลป์ไทย เกิดมาจากอากัปกิริยาของสามัญชนเป็นพื้นฐานซึ่งโดยทั่วไปมนุษย์ทุกคน
ย่อมมีอารมณ์ต่าง ๆ ได้แก่ รัก โกรธ โศกเศร้าเสียใจ ดีใจ ร้องไห้ฯลฯ แต่ที่น่าสังเกตก็คือเมื่อ
มนุษย์มีอารมณ์อย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้นนอกจากจะมีความรู้สึกเกิดขึ้นในจิตใจแล้วยังแสดง
ปฏิกิริยาตอบโต้ออกมาทางกายในลักษณะต่าง ๆ กัน เช่น
รัก - หน้าตากิริยาที่แสดงออก อ่อนโยน รู้จักเล้าโลม เจ้าชู้
โกรธ - หน้าตาบึ้งตึง กระทืบเท้า ชี้หน้าด่าว่าต่าง ๆ
โศกเศร้า, เสียใจ - หน้าตากิริยาละห้อยละเหี่ย ตัดพ้อต่อว่า ร้องไห้
สรุปได้ว่า นาฏศิลป์ไทยเกิดมาจากกิริยาท่าทางซึ่งแสดงออกในทางอารมณ์ของ
มนุษย์ปุถุชนอากัปกิริยาต่าง ๆเหล่านี้เป็นมูลเหตุให้ปรมาจารย์ทางศิลปะนามา
ปรับปรุงบัญญัติสัดส่วนและกาหนดวิธีการขึ้น จนกลายเป็นท่าฟ้อนรา โดยวางแบบ
แผนลีลาท่าราของมือ เท้าให้งดงาม รู้จักวิธีเยื้อง ยัก และกล่อมตัวให้สอดคล้อง
สัมพันธ์กันจนเกิดเป็นท่าราขึ้นและมีวิวัฒนาการปรับปรุงมาตามลาดับ จนดูประณีต
งดงาม อ่อนช้อยวิจิตรพิสดารจนถึงขั้นเป็นศิลปะได้
นอกจากนี้ นาฏศิลป์ไทยยังได้รับอิทธิพลแบบแผนตามแนวคิดจากต่างชาติเข้ามา
ผสมผสานด้วย เช่นวัฒนธรรมอินเดียเกี่ยวกับวัฒนธรรมที่เป็นเรื่องของเทพเจ้าและ
ตานานการฟ้อนรา โดยผ่านเข้าสู่ประเทศไทย ทั้งทางตรงและทางอ้อม คือผ่านชนชาติชวา
และเขมรก่อนที่จะนามาปรับปรุงให้เป็นรูปแบบตามเอกลักษณ์ของไทย เช่นตัวอย่างของ
เทวรูปศิวะปางนาฏราช ที่สร้างเป็นท่าการร่ายราของ พระอิศวรซึ่งมีทั้งหมด 108ท่า หรือ
108กรณะ โดยทรงฟ้อนราครั้งแรกในโลก ณตาบลจิทรัมพรัม เมืองมัทราส อินเดียใต้
ปัจจุบันอยู่ในรัฐทมิฬนาดู นับเป็นคัมภีร์สาหรับการฟ้อนราแต่งโดยพระภรตมุนี เรียกว่า
คัมภีร์ภรตนาฏยศาสตร์ ถือเป็นอิทธิพลสาคัญต่อแบบแผนการสืบสานและการถ่ายทอด
นาฏศิลป์ของไทยจนเกิดขึ้นเป็นเอกลักษณ์ของตนเองที่มีรูปแบบแบบแผนการเรียน การ
ฝึกหัด จารีต ขนบธรรมเนียม มาจนถึงปัจจุบันอย่างไรก็ตาม บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาทางด้านนาฏศิลป์ไทยได้สันนิษฐาน
ว่า อารยธรรมทางศิลปะด้านนาฏศิลป์ของอินเดียนี้ได้เผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตามประวัติการ
สร้างเทวาลัยศิวะนาฏราชที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1800ซึ่งเป็นระยะที่ไทยเริ่มก่อตั้งกรุงสุโขทัยดังนั้นท่าราไทยที่ดัดแปลงมา
จากอินเดียในครั้งแรกจึงเป็นความคิดของนักปราชญ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา และมีการแก้ไขปรับปรุงหรือประดิษฐ์ขึ้นใหม่
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์จนนามาสู่การประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์จนนามาสู่การประดิษฐ์ท่าทางการร่าย
ราและละครไทยมาจนถึงปัจจุบัน
- 5. 5
นาฏศิลป์นอกจากจะเป็นเครื่องมือบันเทิงใจสาหรับมนุษย์แล้ว นาฏศิลป์ยังเป็นการแสดงออกทางศิลปวัฒนธรรมที่ดี
ของชาติและมีความสาคัญต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ในพิธีกรรมต่างๆ ตลอดทั้งยังสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่าง
ของสังคม ซึ่งส่งผลให้นาฏศิลป์มีความสาคัญดังนี้
1 นาฏศิลป์แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ประจาชาติ ที่แสดงให้เห็น
ถึงระดับ
จิตใจสภาพความเป็นอยู่ความรู้ความสามารถ ความเป็นไทย ความ
เจริญรุ่งเรือง
วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ดังที่ เรณู โกศินานนท์ (2535, 6) กล่าวถึง
นาฏศิลป์ไทย
ที่แสดงถึงความเป็นไทยไว้ดังนี้
1.1 ท่าราอ่อนช้อยงดงาม และแสดงอารมณ์ตามลักษณะที่แท้จริงของคน
ไทย
1.2 มีดนตรีประกอบ
1.3 คาร้อง หรือเนื้อร้องจะต้องเป็นคาประพันธ์ คาร้องนี้ทาให้ผู้สอนหรือผู้
รา
กาหนดท่าราไปตามเนื้อร้อง
1.4 เครื่องแต่งกายซึ่งต่างกับของชาติอื่นมีแบบอย่างของตนโดยเฉพาะ
2 นาฏศิลป์เป็นแหล่งรวมของศิลปะแขนงต่างๆ เช่น ศิลปะในการประพันธ์
หรือวรรณคดี ศิลปะในการเขียนภาพ ศิลปะในการปั้น หล่อ แกะสลัก
ศิลปะในการออกแบบก่อสร้างอาคารสถานที่ ศิลปะในการออกแบบเครื่อง
แต่งกาย
ตลอดจนไฟฟ้า แสง เสียง ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า นาฏศิลป์คือเป็นแหล่งรวม
ของศิลปะสาขาต่างๆ เข้าด้วยกัน จากความสาคัญของนาฏศิลป์ที่กล่าวมาใน
ข้างต้น จึงได้จัดให้มีการเรียนการสอน
นาฏศิลป์และส่งเสริมลักษณะนิสัยที่ดีแก่นักเรียน ดังนี้
- 6. 6
1. ส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย
2. ให้มีความรู้ ความเข้าใจ และมีความสามารถเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมไทย
3. ปลูกฝังลักษณะนิสัยทางศิลปะ
4. ฝึกปฏิบัติเพื่อเกิดความรู้ความชานาญ สามารถปรับปรุงและส่งเสริมการแสดงออก
วิธีดาเนินงาน
1.ค้นคว้าข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต
2.ค้นคว้าข้อมูลในหนังสือ / วารสาร / นิตยสาร
3.สอบถามผู้เชี่ยวชาญ
แนวทางการดาเนินงาน
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
1. อินเตอร์เน็ต
2. หนังสือ
3. คอมพิวเตอร์
งบประมาณ
------------------------------
ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน
ลาดับ
ที่
ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17
1 คิดหัวข้อโครงงาน
2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล
3 จัดทาโครงร่างงาน
4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน
5 ปรับปรุงทดสอบ
6 การทาเอกสารรายงาน
7 ประเมินผลงาน
8 นาเสนอโครงงาน
- 7. 7
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1. สามารถส่งเสริมความรู้ ทักษะ ด้านนาฏศิลป์ไทย ให้แก่ผู้ที่ได้เข้ามาศึกษาได้
2. สามารถให้ผู้คนตระหนักถึงประวัติ ความสาคัญ ความงดงาม นาฏศิลป์ไทยได้
3. สามารถส่งเสริมให้ผู้คนได้รับความรู้ ประวัติ คุณค่า และ มนต์เสน่ห์ของนาฏศิลป์ไทย
4. สามารถนาทักษะความรู้ของนาฏศิลป์ไทยไปประยุกต์ให้เกิดการพัฒนาต่อยอดเป็นชิ้นงานที่
สร้างสรรค์ได้
สถานที่ดาเนินการ
1. โรงเรียน
2. บ้าน
3. ห้องสมุด
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
1. กลุ่มสาระดนตรีนาฏศิลป์
แหล่งอ้างอิง
- (thaigoodview.ประวัติความเป็นมานาฎศิลป์ ไทย.(ออนไลน์).
แหล่งที่มา:http://www.thaigoodview.com/node/32461)
- ( ครูอัษ.รักษ์นาฏศิลป์ ไทย.(ออนไลน์).แหล่งที่มา:
http://www.oknation.net/blog/assada999/2009/11/15/entry-2 )
- ( บ้านนาฏศิลป์ไทย.คุณค่าที่ได้รับจากนาฏศิลป์ ไทย. (ออนไลน์). แหล่งที่มา
:http://www.natasinthai.com/value.html )
- ( ๏Nameless๏ .ประวัติความเป็นมาของนาฏศิลป์ ไทย.(ออนไลน์). แหล่งที่มา :
http://board.postjung.com/642545.html )