More Related Content
Similar to ระบบสืบพันธุ์ (20)
ระบบสืบพันธุ์
- 1. ระบบสืบพันธุ์ (REPRODUCTIVE SYSTEM)
สิ่งมีชีวิตทั้งหลายมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งคือ มีการสืบพันธุ์ เพื่อการดารงเผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ การ
สืบพันธุ์ การเจริญเติบโต และพัฒนาการ และการส่งต่อลักษณะต่างๆ ทางพันธุกรรมไปให้ลูกหลาน จะดาเนิน
ไปไม่ได้เลยถ้าปราศจากการสืบพันธุ์ของเซลล์ หรือการแบ่งเซลล์ เซลล์สืบพันธุ์ในเพศชาย คือ อสุจิ และเซลล์
สืบพันธุ์ในเพศหญิง คือ ไข่ เมื่ออสุจิและไข่ มีการปฏิสนธิ จะมีการแบ่งเซลล์ เจริญและพัฒนาจนเป็นเอมบริโอ
และเป็นตัวที่สมบูรณ์แล้ว เมื่อคลอดออกมาก็จะมีการเจริญและพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งเข้าสู่วัยรุ่นจะมีการ
เจริญทางเพศที่สมบูรณ์ และสามารถที่จะสืบพันธุ์ได้อีก
ระยะพัฒนาการของชีวิตมนุษย์
ระยะพัฒนาการของชีวิตมนุษย์ แบ่งออกได้เป็นระยะต่างๆ ดังนี้
1. ระยะก่อนเกิด (Prenatal Life)
1.1 ระยะไข่สุก (Period of Ovum) เริ่มตั้งแต่มีการปฏิสนธิ(Fertilization) ไปจนถึงปลายสัปดาห์ที่ 2
1.2 ระยะเอมบริโอ (Period of Embryo) เริ่มจากสัปดาห์ที่ 3 จนถึงปลายเดือนที่ 2
1.3 ระยะเป็นตัว (Period of Fetus) เริ่มจากต้นเดือนที่ 3 ไปจนถึงปลายเดือนที่ 9 หรือ คลอด
2. ระยะหลังเกิด (Postnatal Life)
2.1 ระยะแรกเกิด (Period of Newborn) เริ่มตั้งแต่แรกเกิด จนถึงปลายสัปดาห์ที่ 2
2.2 ระยะทารก (Period of Infant) เริ่มจากสัปดาห์ที่ 3 จนถึงสิ้นปีที่ 1
2.3 ระยะเด็กเล็ก (Period of Childhood) เริ่มจากสิ้นปีที่ 1 จนย่างเข้าสู่วัยรุ่น คือ ในเด็กหญิงอายุ
ประมาณ 14 ปี และในเด็กชายอายุประมาณ 16 ปี
2.4 ระยะวัยรุ่น (Period of Adolescence) จากระยะเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น จนถึงอายุ 20 ปี
2.5 ระยะผู้ใหญ่ (Period of Maturity) เริ่มตั้งแต่อายุ 20 ปี ไปจนถึงแก่ชรา
ระยะที่มนุษย์มีความพร้อมในการสืบพันธุ์ คือ ระยะตั้งแต่วัยรุ่นขึ้นไป ร่างกายทั้งชาย และหญิง จะมี
การเปลี่ยนแปลงลักษณะทางเพศ (Secondary sex development) ผู้ชายส่วนใหญ่กล่องเสียงจะยื่นโตออกมา ทา
ให้มองเห็นเป็นลูกกระเดือก (Adam’s apple) เสียงเริ่มเปลี่ยนห้าวขึ้น มีหนวดเครา และขนที่บริเวณอวัยวะ
สืบพันธุ์ รักแร้ มีการขับน้ากาม และอสุจิออกมา ส่วนใหญ่ในหญิงรูปร่างค่อยเปลี่ยนแปลงทีละน้อย สะโพก
และทรวงอกขยายใหญ่ มีขนที่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ และรักแร้ เริ่มมีประจาเดือน (Menstruation) เสียงแหลม
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เนื่องจากระบบสืบพันธุ์เตรียมพร้อมเพื่อการสืบพันธุ์
อวัยวะที่เกี่ยวกับการสืบพันธุ์ เรียกว่า โกแนด (Gonads) ในเพศชายคือ อัณฑะ(Testis) ส่วนในเพศหญิง
คือ รังไข่ (Ovary) โกแนดทาหน้าที่ 2 ประการ คือ
1. ผลิตอสุจิ (Spermatozoa) ในชาย และผลิตไข่ (Ova) ในหญิง
- 2. 2. ผลิตฮอร์โมน และ ถ่ายทอดลักษณะการเปลี่ยนแปลงทางเพศ
อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย (Male Genital Organ)
อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
1. อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก ได้แก่ ถุงอัณฑะ ลึงค์
1.1 ถุงอัณฑะ (Scrotum) เป็นส่วนของผิวหนังที่ไม่มีไขมันใต้ผิวหนัง ยื่นลงมาจากหน้าท้อง มีกล้ามเนื้อ
เรียบปรากฏอยู่ (Dartus muscle) เป็นกล้ามเนื้อที่ช่วยปรับอุณหภูมิของอัณฑะ ให้ต่ากว่าอุณหภูมิของร่างกาย
ประมาณ 3-5 องศาเซลเซียส
1.2 ลึงค์ (Penis) ทาหน้าที่เป็นทางผ่านของปัสสาวะ และเป็นอวัยวะในการร่วมเพศ ลึงค์เป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
ชนิดพิเศษ โดยปกติจะหดตัวอยู่ (Detumescence) แต่ถ้ามีความรู้สึกทางเพศ จะสามารถแข็งตัว (Erection of
penis) ได้
2. อวัยวะสืบพันธุ์ภายใน ได้แก่ อัณฑะ ท่อและต่อมต่างๆ
2.1 อัณฑะ (Testis) เป็นอวัยวะสาคัญที่สุดในระบบสืบพันธุ์เพศชาย ทาหน้าที่สร้างอสุจิ และฮอร์โมนเพศ
ชาย อัณฑะมีลักษณะรูปไข่อยู่ในถุงอัณฑะ ทาหน้าที่สร้างฮอร์โมนเพศชาย คือ
เทสโทสเตอโรน โดยมีท่อนาอสุจิ ออกสู่ภายนอก คือ เอพิดิไดมิส (Epididymis)
- 3. 2.2 หลอดเก็บอสุจิ (Epididymis) เป็นท่อขดไปมา วางตัวติดกับด้านหลังของอัณฑะ ประกอบด้วยส่วนหัว
ส่วนลาตัว และส่วนหาง หลอดเก็บอสุจิยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร ทาหน้าที่เป็นที่เก็บอสุจิที่สร้างสมบรูณ์
แล้ว
2.3 ท่อนาอสุจิ (Vas Deferens) เป็นท่อต่อจากส่วนหางของหลอดเก็บอสุจิ ยาวประมาณ 1 นิ้ว ทาหน้าที่นา
อสุจิจากอัณฑะเข้าไปในช่องท้อง
2.4 ถุงพักอสุจิ (Seminal Vescicle) เป็น 2 ถุง อยู่หลังและต่อกับกระเพาะอาหาร ทาหน้าที่สร้างอาหาร
สาหรับอสุจิ (Seminal fluid) ในอาหารประกอบด้วยน้าตาลฟรักโทส กับโปรตีนโกลบูลิน
2.5 ท่อฉีดอสุจิ (Ejaculatory Duct) เป็นท่อสั้นๆ เปิดเข้าสู่ท่อปัสสาวะ ตรงบริเวณต่อมลูกหมากยาวประมาณ
2 เซนติเมตร บางครั้งเรียกว่า หลอดฉีดน้ากาม ท่อนี้ทาหน้าที่บีบตัว ขับน้าอสุจิ (Semen)
2.6 ต่อมลูกหมาก (Prostate Gland) เป็นต่อมที่อยู่รอบท่ออสุจิ อยู่ด้านล่างกระเพาะปัสสาวะ ทาหน้าที่สร้าง
น้ากาม (Prostate Gland) ซึ่งมีลักษณะ คล้ายน้านม มีฤทธิ์เป็นเบสเล็กน้อย มีกลิ่นเฉพาะตัว
2.7 ต่อมกลั่นเมือก (Urethral Gland) ได้แก่ ต่อมคาวเปอร์(Cowper gland) อยู่ใต้ต่อมลูกหมาก ทาหน้าที่สร้าง
สารหล่อลื่นท่อปัสสาวะ มีฤทธิ์เป็นเบส
ในเพศชาย เมื่อเข้าสู่ระยะที่สืบพันธุ์ได้จะมีการสร้างอสุจิได้เป็นจานวนมาก และเป็นช่วงเวลานาน
กว่าเพศหญิง จนถึงอายุประมาณ 80-90 ปี โดยเฉพาะในระยะหลังๆ นี้ อสุจิที่สร้างได้จะมีจานวน
น้อยลง ปกติในการหลั่งน้าอสุจิ (Insemination) ในแต่ละครั้ง จะมีปริมาณประมาณ 3-5 มิลลิลิตร โดยมีอสุจิอยู่
ประมาณ 300-400 ล้านตัว หากมีจานวนอสุจิน้อยกว่านี้ อาจเป็นสาเหตุทาให้เป็นหมันได้ อสุจิเมื่อเข้าไปใน
ช่องคลอดเพศหญิง จะมีชีวิตอยู่ได้ถึง 48 ชั่วโมง อสุจิสามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็ว 3 มิลลิเมตรต่อนาที
โดยการว่ายน้าไป และจะเคลื่อนที่ไปถึงท่อนาไข่ในเวลา 30-60 นาที
อสุจิ (Spermatozoa) เป็นเซลล์ที่เจริญเติบโตไปเป็นตัวใหม่โดยลาพังไม่ได้ จะต้องรวมกับไข่เสียก่อนเสมอ
ไป
อสุจิ ประกอบด้วยโครงสร้าง 3 ส่วน คือ
1. ส่วนหัว เป็นส่วนที่สาคัญที่สุดในการผสมพันธุ์ ที่ปลายหัวเรียกว่า อะโครโซม ใช้สาหรับเจาะไข่
ในส่วนหัวนี้จะมี DNA อยู่มาก
2. ส่วนลาตัว มีลักษณะเป็นทรงกระบอก ส่วนบนสุดจะคอดเรียกว่า คอ
3. ส่วนหาง ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ต้นหาง และ ปลายหาง
- 4. อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง (Female Genital Organ)
อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิงแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
1. ส่วนภายนอก ได้แก่ คลิทอริส แคมใหญ่ แคมเล็ก เวสทิบุล เยื่อพรหมจารีย์รวมทั้งต่อมสร้างน้าเมือกบริเวณ
ช่องคลอด
1.1 คลิทอริส (Clitoris) เทียบได้กับลึงค์ในเพศชาย ประกอบด้วยเนื้อเยื่อที่ทาให้เกิดการแข็งตัว โดยให้เลือด
มาคั่ง
1.2 แคมใหญ่ (Labia Majora) เป็นปุ่มนูนขนาดใหญ่ 2 อัน ซึ่งประกอบด้วย ต่อมน้ามัน ไขมัน มีขน
(Pubic hair) ปกคลุมอยู่ ด้านบนของแคมใหญ่จะรวมกันเป็นเนินหัวเหน่า (Mons pubis)
1.3 แคมเล็ก (Labia Majora) มีลักษณะเป็นเนื้อนิ่มของปุ่มนูนของผิวหนังเหมือนกัน แต่ไม่มีไขมัน ไม่มีขน
ด้านหลังจะมารวมกันเป็นฝีเย็บ (Fourchette) ซึ่งจะฉีกขาดในตอนคลอด
1.4 เวสทิบุล (Vestibule) เป็นส่วนที่อยู่นอกสุดของช่องคลอด จะมีเยื่อพรหมจารีย์(Hymen) ปิดอยู่ มีช่อง
เปิดของท่อปัสสาวะ และช่องเปิดของช่องคลอดรวมอยู่ มีต่อมน้าเมือกและต่อมเหงื่อมาเปิดด้วย
1.5 ต่อมสร้างน้าเมือก (Vestibula Gland) อยู่ที่บริเวณแคมเล็ก ทาหน้าที่สร้างสารเมือก เพื่อการหล่อลื่น
2. ส่วนภายใน ได้แก่ รังไข่ มดลูก และ ช่องคลอด
2.1 รังไข่ (Ovary) เป็นอวัยวะที่สาคัญที่สุดในระบบสืบพันธุ์เพศหญิง มีอยู่ 2 ข้างในช่องท้องน้อย
ยึดติดกับมดลูกโดยเอ็น ส่วนด้านนอกยึดติดกับลาตัว ภายในรังไข่จะพบไข่มากมาย ประมาณ 3-4 แสนใบ รัง
ไข่ทาหน้าที่ 2 อย่าง คือ สร้างไข่ และสร้างฮอร์โมนเพศหญิง ไข่ใบที่สุกเต็มที่แล้ว จะหลุดออกมาจากรังไข่
เรียกว่า การตกไข่ (Ovulation) ซึ่งถูกควบคุมและกระตุ้นโดยฮอร์โมน LH และ FSH จากต่อมใต้สมอง รังไข่จะ
สร้างฮอร์โมนโพรเจสเตอโรน
ในรอบ 28 วัน ไข่จะสุกเพียงในเดียว และ ระยะตกไข่จะมีเวลาประมาณ 14 วัน หากไข่ไม่ได้รับการ
ผสม ก็จะสลายไป และหลุดออกมาสู่ภายนอกพร้อมๆ กับผนังมดลูก เรียกว่า ประจาเดือน (Menstruation)
ประจาเดือน จะหมดเมื่ออายุประมาณ 45-50 ปี
2.2 ท่อนาไข่ (Oviduct) เป็นท่อซึ่งด้านหนึ่งติดกับมดลูก
อีกด้านหนึ่งอิสระอยู่ใกล้ๆ รังไข่ เป็นทางผ่านของไข่และอสุจิ
ซึ่ง จะพบกันประมาณ 1 ใน 3 ของท่อนาไข่
2.3 ช่องคลอด (Vagina) อยู่ระหว่างทวารหนัก กับปากท่อปัสสาวะ
ผนังด้านในมีเยื่อเมือกบุอยู่ ยืดหดได้ดี ที่ปากช่องคลอดมีกล้ามเนื้อหูรูด
สามารถบังคับได้
- 5. 2.4 มดลูก (Uterus) มีขนาดกว้าง 2 นิ้ว ยาว 3
นิ้ว และหนา 1 นิ้ว อยู่ในช่องท้องน้อย ผนังยืดหดได้
มากเป็นพิเศษ และขยายตัวได้มากในเวลาตั้งครรภ์
ในระยะคลอด ฮอร์โมนออกซิโทซิน จะกระตุ้นให้
กล้ามเนื้อบริเวณนี้หดตัวอย่างรุนแรง ทาให้คลอดได้
ง่ายขึ้น
การตั้งครรภ์
หญิงสามารถมีบุตร หลังจากมีประจาเดือนแล้ว 3 ปี
โดยเฉลี่ยหญิงมีบุตรได้เมื่ออายุประมาณ 17 ปี พบว่ามารดาที่อายุยังน้อยจะให้บุตรผิดปกติ เนื่องจากสภาพทาง
สรีรวิทยาของร่างกายยังไม่พร้อมที่จะมีบุตร หญิงพร้อมที่จะมีบุตรได้อย่างสมบูรณ์เมื่ออายุ 21-28 ปี
หลังจากมีการร่วมเพศแล้ว อสุจิจะเคลื่อนผ่านมดลูกเข้าไปทางท่อนาไข่ การบีบตัวของมดลูก และท่อนาไข่
ก็มีผลช่วยทาให้อสุจิเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น อสุจิเจาะเข้าไปผสมกับไข่โดยอาศัยเอนไซม์จากส่วนหัวของอสุจิไปย่อย
เยื่อหุ้มไข่ (Corona radiata) อสุจิตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถผสมกับไข่ได้ซึ่งหลังจากการผสมแล้วเรียกว่า ไซโกต
จะเคลื่อนตัวมาฝังตัวที่ผนังชั้นในสุดของมดลูก
การคลอด (Parturiticn) การตั้งครรภ์ในคน กินเวลาประมาณ 270 วัน นับตั้งแต่การผสมของไข่ หรือ 284 วัน
นับตั้งแต่วันแรกของประจาเดือนครั้งสุดท้าย ในระยะสุดท้ายของการตั้งครรภ์ มดลูกจะบีบตัวเป็นครั้งคราว
และการบีบตัวนี้จะเกิดบ่อยขึ้น ในระยะนี้ กล้ามเนื้อมดลูกจะมีความไวในการตอบสนองต่อ ออกซิโทซิน มาก
ขึ้น เมื่อเริ่มเจ็บท้อง ศีรษะของเด็กที่ดันขยายส่วนล่างของมดลูก จะมีผลกระตุ้นให้มีการขับออกซิโทซินออกมา
มากขึ้น มีผลทาให้มดลูกบีบตัวแรงขึ้น ทาให้เกิดการคลอดได้
การมีลูกแฝด
การมีลูกแฝด เกิดจากการแบ่งเซลล์ ของไข่ที่ได้รับการผสมแล้วผิดปกติ หรือเกิดจากการสุกของไข่ผิดปกติ
ฝาแฝด แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
1. ฝาแฝดแท้ (Indentical Twins) เกิดจากไข่ใบเดียวผสมกับอสุจิตัวเดียว แต่เมื่อมีการแบ่งเซลล์แล้ว เกิดแยก
ออกเป็น 2 กลุ่ม ฝังตัวอยู่ในผนังมดลูกที่เดียวกัน จีนส์เหมือนกัน เด็กเพศเดียวกัน หน้าเหมือนกัน และลาตัวจะ
ติดกันด้วย
- 6. 2. ฝาแฝดเทียม (Fraternal Twins) เกิดจากไข่ 2 ใบ และอสุจิ 2 ตัวผสมกัน ฝังตัวในผนังมดลูกคนละที่กัน รก
และถุงหุ้มตัวอ่อนแยกจากกัน แต่ละส่วนจะแบ่งเซลล์ด้วยตัวเอง จีนส์ต่างกัน เด็กจะไม่ติดกัน อาจเป็นเพศ
เดียวกัน หรือ ต่างเพศ กันก็ได้
การเลือกเพศบุตร
ในน้าอสุจิของเพศชาย จะมีอสุจิอยู่ 2 ชนิด คือ อสุจิ X และ อสุจิ Y โดยเฉพาะอสุจิ X จะมีขนาด
ใหญ่กว่า และเคลื่อนที่ได้ช้ากว่าอสุจิ Y
เมื่อ อสุจิ X หรือ อสุจิ Y เดินทางผ่านช่องคลอด ผ่านเข้าสู่ปากมดลูก และเข้าไปผสมกับไข่ใน
ท่อนาไข่ได้นั้น ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ในช่องคลอด และปากมดลูกของเพศหญิง
โดยปกติในช่องคลอดจะมีสภาพเป็นกรด ส่วนบริเวณปากมดลูก และมดลูกมีสภาพเป็นเบส ขณะที่
ใกล้ไข่สุก หรือในขณะที่เพศหญิงมีความรู้สึกทางเพศถึงจุดสุดยอด (Orgasm) น้าเมือกจากมดลูก
มีเพิ่มมากขึ้น ทาให้บริเวณปากมดลูกเป็นเบสมากขึ้น ในช่องคลอดจะมีความเป็นกรดลดลง
ถ้าในสภาพที่เป็นกรด อสุจิ Y ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าอสุจิ X ถูกทาลายก่อน แต่ในสภาพที่เป็นเบส
ทั้งอสุจิ X และ อสุจิ Y จะไม่ถูกทาลาย อสุจิ Y ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า และเคลื่อนที่ได้เร็วกว่า อสุจิ X
เมื่อทราบความจริงข้อนี้แล้ว สามารถจะช่วยให้อสุจิ X หรือ อสุจิ Y ว่ายไปผสมกับไข่ เพื่อให้ ได้
บุตรที่มีเพศตามความต้องการได้
ถ้าต้องการบุตรเพศหญิง
ให้ร่วมเพศก่อนไข่สุก 2-3 วัน
ก่อนร่วมเพศให้ล้างช่องคลอดด้วยน้าส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะผสมน้า 1 ลิตร เพื่อให้ช่องคลอด
เป็นกรดมากขึ้น
หญิงขณะร่วมเพศไม่ควรมีความรู้สึกถึงจุดสุดยอด เพราะจะทาให้น้าเมือกจากปากมดลูกซึ่งมีฤทธิ์
เป็นเบสถูกปล่อยออกมา
ขณะที่ชายหลั่งน้าอสุจิไม่ควรให้ลึงค์อยู่ลึก จุดประสงค์เพื่อให้อสุจิถูกกรดในช่องคลอดมากที่สุด
ถ้าต้องการบุตรเพศชาย
ควรร่วมเพศเวลาไข่สุกมากที่สุด หรือ เวลาที่ไข่สุกพอดี ได้ยิ่งดี เพราะสภาพ บริเวณปากมดลูก จะ
เป็นเบสมากขึ้น
ล้างช่องคลอดด้วยน้าโซดาไฮโดรเจนคาร์บอเนต 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้า 1 ลิตร เพื่อให้ช่องคลอดมี
สภาพเป็นเบส
- 7. หญิงขณะร่วมเพศควรมีความรู้สึกถึงจุดสุดยอด และ ขณะที่ชายหลั่งน้าอสุจิ ควรให้ลึงค์อยู่ลึกมาก
ที่สุด.
การคุมกาเนิด
การคุมกาเนิด เป็นการป้ องกันการตั้งครรภ์ แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
1. การคุมกาเนิดแบบชั่วคราว สามารถทาได้หลายวิธี ได้แก่
1.1 การนับระยะปลอดภัย โดยไม่ร่วมเพศในระหว่างวันที่ 11-17 ของรอบประจาเดือน ซึ่งระยะ
ปลอดภัยจริงๆ คือ 7 วัน ก่อนมีประจาเดือน และ อีก 7 วัน นับตั้งแต่วันมีประจาเดือน รวม
เป็น 14 วัน
1.2 การใช้ยาคุมกาเนิด ทั้ง ชนิดฉีด หรือ ยาเม็ดรับประทาน ซึ่งมีผลป้ องกันการสุกของไข่
1.3 การใช้ห่วงคุมกาเนิด
1.4 การใช้วัสดุอื่นๆ คุมกาเนิด เช่น โฟม เยล
1.5 การใช้ถุงยางอนามัย สาหรับเพศชาย
1.6 การหลั่งน้าอสุจิภายนอก
1.7 การทาแท้ง
2. การคุมกาเนิดแบบถาวร ได้แก่
2.1 การทาหมันในเพศหญิง โดยการผูก หรือ ตัดท่อนาไข่ มี 2 แบบ คือ การทาหมันเปียกภายหลัง
คลอดใหม่ๆ และ การทาหมันแห้งในระยะอื่นๆ
2.2 การทาหมันในเพศชาย โดยการผูก หรือ ตัดท่อนาอสุจิ
อ้างอิง
พิชิต ภูติจันทร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พลศึกษาและนันทนาการ สหวิทยาลัยอีสานใต้
อุบลราชธานี สานักพิมพ์โอเดียนสโตร์. 2535
ภาพ จากอินเทอร์เนต