Somdej yarnasungvon
- 3. ไม่มีตัวเราของเราแล้ว ไม่มีความทุกข์
เพราะไม่ถูกกระทบ ไม่มีอะไรให้ถูกกระทบ
เหมือนคนไม่มีมือ ก็ไม่เจ็บมือ คนไม่มีขา ก็ไม่เจ็บขา
ดังนั้น การทาให้ไม่มีตัวเรา ของเราได้จึงวิเศษสุด
แต่ก็ยากยิ่งนักสาหรับปุถุชนคนสามัญทั้งหลาย
ฉะนั้นขอให้มีเพียงเราเล็กๆ มีเราน้อยๆ ก็ยังดี
ดีกว่าจะมีเราใหญ่โตมโหฬาร มีของเราเต็มบ้านเต็มเมือง
เมื่อปุถุชนไม่สามารถทาตัวเราให้หายไปได้
ยังหวงแหนห่วงใยตัวเราอยู่ ของเราจึงยังต้องมีอยู่ด้วย
ของเราจะหมดไปก็ต่อเมื่อตัวเราหมดไปเสียก่อน นี้เป็นธรรมดา
ถ้ายังมีตัวเราของเราอยู่ ยังต้องกระทบกระทั่งอยู่
ยังหวงแหนรักษาตัวเราของเราไว้
ก็ควรอย่างยิ่งที่จะหวงแหนรักษาให้ถูกต้อง
จะได้ไม่ต้องรับโทษทุกข์ของการมีตัวเราของเรามากเกินไปอย่างเดียว
แต่มีโอกาสที่จะได้รับคุณรับประโยชน์บ้างจากการมีตัวเราของเรา
นั่นก็คือต้องระวังรักษาปฏิบัติต่อตัวเราของเราให้ดี ให้เป็นตัวเราของเราที่ดี
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
- 4. นิพพานดูเหมือนจะเป็นสิ่งมืดมิด ลี้ลับ เข้าใจไม่ได้
และเป็นธรรมะสูงสุดเอื้อม แต่ความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่
เพราะธรรมะทั้งนั้นที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ล้วนประกอบด้วยลักษณะ ๓ ประการ
คือรู้ได้ มีเหตุที่อาจตรองตามได้ ปฏิบัติได้จริง และนิพพานก็เป็นธรรมะข้อหนึ่ง
ที่ตรัสสอนไว้ จึงเป็นธรรมะที่รู้ได้ มีเหตุที่อาจตรองตามได้ และปฏิบัติให้บรรลุได
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
- 8. พระพุทธเจ้าได้สั่งสอนให้มี อินทรียสังวร
คือความสารวมอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมนะคือใจ
โดยที่เมื่อเห็นอะไร ได้ยินอะไร เป็นต้น ก็ไม่ยึดถือสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ...
เพราะเมื่อยึดถือ ความยินดียินร้าย ...บาปอกุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมไหลเข้าสู่ใจ หรือสู่จิต
ต่อเมื่อมีความสารวมอยู่ ไม่ยึดถือสิ่งที่เห็น ที่ได้ยิน เป็นต้น...
ก็ย่อมตกอยู่แค่ตา แค่หู ในภายนอกเท่านั้น ไม่ไหลเข้าสู่จิตใจ และความสารวมนี้ก็คือ ตัวสติ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
- 9. .การให้ธรรมทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง
ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ “อภัยทาน”
แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม การให้อภัยทานก็คือ
“การไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตจองเวร
ไม่พยาบาทคิดร้ายผู้อื่นแม้แต่ศัตรู”
ซึ่งได้บุญกุศลแรงและสูงมากในฝ่ายทาน
เพราะเป็นการบาเพ็ญเพียรเพื่อ “ละโทสะกิเลส”
และเป็นการเจริญ “เมตตาพรหมวิหารธรรม”
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
- 18. ก า ร ทา จิ ต ใ จ ข อ ง ต น ใ ห้ มั่ น ค ง
เป็นการสร้างความดีให้แก่จิตใจ
เ ป็ น ตั ว ค ว า ม ดี ที่ เ ป็ น แ ก่ น แ ท้ ของความดีทั้งปวง
ซึ่ ง จ ะ ป้ อ ง กั น ค ว า ม ทุ ก ข์ ไม่ให้มากระทบใจได้ทุกอย่าง
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริณายก
- 19. การหัดนึก "ย้อนหลัง" หัดนึก "ก่อนทา"
หัดนึก"ก่อนโกรธ" หัดให้มีความ "รู้ตัว“ หัดให้มีความ "ยับยั้ง"
การหัดอยู่เสมอ"สติ"จักเกิดมีทวีเป็นลาดับ จนถึงเป็น "สติรอบคอบ"
ถ้าไม่หัด ทาจะให้มีสติขึ้นเองนั้น เป็นการยาก
เหมือนอย่างเมื่อประสงค์ให้ร่างกายมีพลานามัยดี
ก็ต้องทาการบริหารให้ควรกัน
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก