More Related Content Similar to Atmosphere (20) More from Kobwit Piriyawat
More from Kobwit Piriyawat (20) Atmosphere1. โดย อ.ตติยา ใจบุญ ส่วนวิชาการ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา บรรยากาศโลก EARTH'S ATMOSPHERE 6. Atmosphere = A Heater = A Sponge ถ้าโลกมีภาวะเรือนกระจกตามธรรมชาติ www.stopglobalwarming.com.au/global_warming_scientific_evidence.html ภาพจาก ดร . ดุษฎี ศุขวัฒน์ 16. การแบ่งชั้นบรรยากาศตามอุณหภูมิ Stratopause Mesopause Tropopause Troposphere Stratosphere Mesosphere Thermosphere ร้อนมาก = Thermos กึ่งกลาง = Meso เป็นชั้นๆ = Stratos อากาศมีการหมุนเวียนมาก O 3 อากาศไม่มีการหมุนเวียน เรียบ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง = Tropos ร้อน เย็น เย็น ร้อน 26. เมฆชนิดต่างๆ เมฆก่อตัวในแนวดิ่ง 500-18,000 เมตร เมฆระดับสูง สูงกว่า 6,000 เมตร ขึ้นไป เมฆระดับกลาง 2,000-6,000 เมตร เมฆระดับต่ำ ต่ำกว่า 2,000 เมตร ลงมา Editor's Notes ป้องกันไม่ให้อุณหภูมิของโลกร้อนจัดในเวลากลางวัน หรือหนาวจัดในเวลากลางคืน ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์ รังสีคอสมิก ไม่ให้ผ่านเข้ามาทำลายสิ่งมีชีวิตบนพื้นโลก เป็นตัวกลางสะท้อนแสง และสะท้อนคลื่นวิทยุที่ใช้ในระบบารสื่อสารโทรคมนาคม เมื่อบรรยากาศเกิดการเคลื่อนที่จะเป็นตัวการสำคัญทำให้มีการถ่ายเทพลังงานความร้อนและมวลจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง ป้องกันไม่ให้อุณหภูมิของโลกร้อนจัดในเวลากลางวัน หรือหนาวจัดในเวลากลางคืน ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์ รังสีคอสมิก ไม่ให้ผ่านเข้ามาทำลายสิ่งมีชีวิตบนพื้นโลก เป็นตัวกลางสะท้อนแสง และสะท้อนคลื่นวิทยุที่ใช้ในระบบารสื่อสารโทรคมนาคม เมื่อบรรยากาศเกิดการเคลื่อนที่จะเป็นตัวการสำคัญทำให้มีการถ่ายเทพลังงานความร้อนและมวลจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง นอกจากจะเป็นหน้าต่างให้รังสีจากดวงอาทิตย์ผ่านลงมาได้ ยังเป็นช่องทางให้เราศึกษาดวงดาวได้ เป็นช่องทางรับวิทยุสื่อสาร เป็นลิ้นที่เปิดให้ความร้อนจากโลกสามารถออกไปยังอวกาศ เรือนกระจกที่ปลูกต้นไม้ของเราถ้าหลังคาไม่มีช่องเปิด ความร้อนก็จะอบอวลอยู่ แต่บรรยากาศของเราเปิดให้อากาศร้อนกลับไปสู่อวกาศได้ รังสีจากดวงอาทิตย์จะประกอบไปด้วย - รังสีแกมมา รังสีเอ๊กซ์ และรังสีอัลตราไวโอเลต มีอยู่ประมาณร้อยละ 9 ของพลังงานทั้งหมด - รังสีที่มองเห็นได้ มีอยู่ประมาณร้อยละ 41 ของพลังงานทั้งหมด - รังสีอินฟราเรด มีอยู่ประมาณร้อยละ 50 ของพลังงานทั้งหมด เหตุที่ไนโตรเจนเพิ่มมากขึ้นอาจจะมาจากการระเบิดของภูเขาไฟ จากฟ้าผ่า O 3 ผลิตมากที่ระดับความสูง 15-30 กม . Homosphere ประกอบด้วยก๊าซหลายชนิดสัดส่วนคงที่ คือชั้น Troposphere Stratosphere Mesosphere Heterosphere สูงเกิน 80 ม . ประกอบด้วยก๊าซเรียงตัวเป็นชั้นๆ 4 ชั้น ไนโตรเจน 80-200 ม . ออกซิเจน 200-1,100 ม . ฮีเลียม 1,100-3,500 ม . ไฮโดรเจน สูงกว่า 3,500 ม . นอกจากนั้นยังแบ่งตามการทำหน้าที่กรองรังสีจากดวงอาทิตย์ Ozonosphere15-50 ม . เป็นชั้นที่มีโอโซน ช่วยกรอง UV Ionosphere 50 ม . ขึ้นไป ประกอบด้วยอนุภาคมีประจุซึ่งเกิดจากการดูดซับรังสีแกมมา เอ็กซ์ อัลตราไวโอเลต และรังสีคลื่นสั้นอื่นๆ อะตอมจะมีการเปลี่ยนไปเป็นไอออน มีออโรรา ซีกโลกเหนือเรียกแสงเหนือ ซีกโลกใต้เรียกแสงใต้ ( ออโรราคือแสงสว่างเรืองในบรรยากาศชั้นบน เกิดจากอนุภาคมีประจุไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์กระทบกับรรยากาศชั้นบน พื้นดินและพื้นน้ำ พื้นดินและพื้นน้ำ มีคุณสมบัติในการดูดกลืนและคายความร้อนแตกต่างกัน เมื่อรับความร้อนพื้นดินจะร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีอุณหภูมิสูงกว่าพื้นน้ำ เมื่อคายความร้อนพื้นดินจะเย็นตัวอย่างรวดเร็ว และมีอุณหภูมิต่ำกว่าพื้นน้ำ ทั้งนี้เนื่องจากพื้นน้ำมีความร้อนจำเพาะสูงกว่าพื้นดินถึง 3 เท่าตัว ( ความร้อนจำเพาะ หมายถึง ปริมาณความร้อนที่ทำให้สสาร 1 กรัม มีอุณหภูมิสูงขึ้น 1°C ) ระดับความสูงของพื้นที่ ในสภาพทั่วไปเราจะพบว่ายิ่งสูงขึ้นไป อุณหภูมิของอากาศจะลดต่ำลงด้วยอัตรา 6.5°C ต่อกิโลเมตร ( Environmental lapse rate ) ดังนั้นอุณหภูมิบนยอดเขาสูง 2,000 เมตร จะต่ำกว่าอุณหภูมิที่ระดับน้ำทะเลประมาณ 13°C ละติจูด เนื่องจากโลกเป็นทรงกลม แสงอาทิตย์จึงตกกระทบพื้นโลกเป็นมุมไม่เท่ากัน ในเวลาเที่ยงวันพื้นผิวบริเวณศูนย์สูตรได้รับรังสีจากแสงอาทิตย์เป็นมุมชัน แต่พื้นผิวบริเวณขั้วโลกได้รับรังสีจากแสงอาทิตย์เป็นมุมลาด ส่งผลให้เขตศูนย์สูตรมีอุณหภูมิสูงกว่าเขตขั้วโลก ประกอบกับรังสีที่ตกกระทบพื้นโลกเป็นมุมลาด เดินทางผ่านความหนาชั้นบรรยากาศเป็นระยะทางมากกว่า รังสีที่ตกกระทบเป็นมุมชัน ความเข้มของแสงจึงถูกบรรยากาศกรองให้ลดน้อยลง ยังผลให้อุณหภูมิลดต่ำลงไปอีก สภาพภูมิประเทศ พื้นผิวโลกมีสภาพภูมิประเทศแตกต่างกัน มีทั้งที่ราบ ทิวเขา หุบเขา ทะเล มหาสมุทร ทะเลสาบ ทะเลทราย ที่ราบสูง สภาพภูมิประเทศมีอิทธิพลส่งผลกระทบสภาพลมฟ้าอากาศโดยตรง เช่น พื้นที่ทะเลทรายจะมีอุณหภูมิแตกต่างระหว่างกลางวันกลางคืนมากกว่าพื้นที่ชายทะเล พื้นที่รับลมจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าพื้นที่อับลมเนื่องจากไม่มีการถ่ายเทความร้อน ปริมาณเมฆ และอัลบีโดของพื้นผิว เมฆสะท้อนรังสีจากอาทิตย์บางส่วนกลับคืนสู่อวกาศ ขณะเดียวกันเมฆดูดกลืนรังสีคลื่นสั้นเอาไว้และแผ่พลังงานออกมาในรูปของรังสีอินฟราเรด ในเวลากลางวัน เมฆช่วยลดอุณหภูมิอากาศให้ต่ำลง และในเวลากลางคืน เมฆทำให้อุณหภูมิอากาศสูงขึ้น เมฆจึงทำให้อุณหภูมิอากาศเวลากลางวันและกลางคืนไม่แตกต่างกันมากนัก พื้นผิวของโลกก็เช่นกัน พื้นโลกที่มีอัลบีโดต่ำ ( สีเข้ม ) เช่น ป่าไม้ ดูดกลืนพลังงานจากดวงอาทิตย์ พื้นโลกที่มีอัลบีโดสูง ( สีอ่อน ) เช่น ธารน้ำแข็ง ช่วยสะท้อนพลังงานจากดวงอาทิตย์ ( อัลบีโด หมายถึง ความสามารถในการสะท้อนแสงของวัตถุ ) อัลบีโด ( albedo ) มีรากศัพท์มาจากคำภาษาลาติน albus แปลว่า white ( ขาว ) ในทางดาราศาสตร์ อัลบีโดเป็นค่าแสดงสภาพการสะท้อนกลับ ( reflectivity ) หรือกำลังการสะท้อนกลับ ( reflecting power ) ของดาวเคราะห์ ดวงจันทร์บริวารของดาวเคราะห์ และวัตถุที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเองในระบบสุริยะของเรา สิ่งที่สะท้อนกลับ คือ แสงอาทิตย์นั่นเอง 14.7 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ได้จาก น้ำหนักของอากาศที่เป็นลำยาวสูงจากผิวโลกไป 600 ไมล์ มีพื้นที่หน้าตัด 1 ตารางนิ้ว เมฆ แบ่งออกเป็น 4 ชนิด 1) เมฆชั้นสูง คือ เมฆที่อยู่สูงกว่า 6,000 เมตรขึ้นไป ได้แก่ Cirrus, Cirrostratus, Cirrocumulus จะประกอบด้วยผลึกน้ำแข็ง 2) เมฆชั้นกลาง คือ เมฆที่อยู่ระหว่างความสูง 2,000 – 6,000 เมตร ได้แก่ Altocumulus, Altostratus ประกอบไปด้วยหยดน้ำที่เย็นจัดผสมกับผลึกน้ำแข็ง 3) เมฆชั้นต่ำ คือ เมฆที่อยู่ต่ำกว่า 2,000 เมตรลงมา ได้แก่ Stratus, Stratocumulus, Nimbostratus ประกอบด้วยหยดน้ำ 4) เมฆที่ก่อตัวในทางดิ่ง (Cloud of Vertical Development) ได้แก่ Cumulus, Cumulonimbus ประกอบด้วยหยดน้ำที่ระดับต่ำๆ ของก้อนเมฆ ส่วนระดับสูงของก้อนเมฆมักเป็นผลึกน้ำแข็ง เมฆ แบ่งออกเป็น 4 ชนิด 1) เมฆชั้นสูง คือ เมฆที่อยู่สูงกว่า 6,000 เมตรขึ้นไป ได้แก่ Cirrus, Cirrostratus, Cirrocumulus จะประกอบด้วยผลึกน้ำแข็ง 2) เมฆชั้นกลาง คือ เมฆที่อยู่ระหว่างความสูง 2,000 – 6,000 เมตร ได้แก่ Altocumulus, Altostratus ประกอบไปด้วยหยดน้ำที่เย็นจัดผสมกับผลึกน้ำแข็ง 3) เมฆชั้นต่ำ คือ เมฆที่อยู่ต่ำกว่า 2,000 เมตรลงมา ได้แก่ Stratus, Stratocumulus, Nimbostratus ประกอบด้วยหยดน้ำ 4) เมฆที่ก่อตัวในทางดิ่ง (Cloud of Vertical Development) ได้แก่ Cumulus, Cumulonimbus ประกอบด้วยหยดน้ำที่ระดับต่ำๆ ของก้อนเมฆ ส่วนระดับสูงของก้อนเมฆมักเป็นผลึกน้ำแข็ง Cirrus -mare’s tail Alto -high Nimbo –Nimbus (latin) rain Cumulus – heaped - กองทับถม หมอก (Fog) เป็นเมฆชั้นต่ำชนิด Stratus ซึ่งลอยอยู่ใกล้ๆ พื้นดิน เกิดจากอากาศใกล้ๆ พื้นดินเย็นลงจนอุณหภูมิต่ำกว่าจุดน้ำค้าง ดังนั้นจึงมีการกลั่นตัวเกิดขึ้น