SlideShare a Scribd company logo
โครงการฝนหลวง

      "เงยหน้าดูทองฟ้ ามีเมฆ ทาไมมีเมฆอย่างนี้ ทาไมจะดึงเมฆนี่
                  ้
ลงมาให้ได้ ก็เคยได้ยนเรื่ องทาฝนก็มาปรารภกับคุณเทพฤทธิ์ ฝนทา
                     ิ
ได้ มีหนังสื อเคยอ่านหนังสื อ ทาได้..."
ประวัติ ค วามเป็ นมา
       โครงการพระราชดาริ ฝนหลวง เป็ นโครงการที่ก่อกาเนิดจากพระมหากรุ ณาธิคุณ ที่ทรงห่วงใยในความทุกข์
ยากของพสกนิกรในท้องถิ่นทุรกันดาร ที่ตองประสบปัญหาขาดแคลนน้ า เพื่ออุปโภคบริ โภค และเกษตรกรรม อัน
                                     ้
เนื่องมาจากภาวะแห้งแล้งซึ่งมีสาเหตุมาจาก ความผันแปร และคลาดเคลื่อนของฤดูกาลตามธรรมชาติ กล่าวคือ ฤดูฝน
เริ่ มต้นล่าเกินไป หรื อหมดเร็วกว่าปกติหรื อฝนทิงช่วงยาวในช่วงฤดูฝน จากพระราชกรณี ยกิจ ในการเสด็จพระราช
                                                ้
ดาเนินเยียมพสกนิกร ในทุกภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง สม่าเสมอนับแต่เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ จนตราบเท่าทุกวันนี้
         ่
ทรงพบเห็นว่าภาวะแห้งแล้ง ได้ทวีความถี่ และมีแนวโน้มว่าจะรุ นแรงยิงขึ้นตามลาดับ เพราะนอกจากความผันแปร
                                                                 ่
และคลาดเคลื่อนของฤดูกาลตามธรรมชาติแล้ว การตัดไม้ทาลายป่ า ยังเป็ นสาเหตุให้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ
เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่ราษฎร ในทุกภาคของประเทศ ทาความเสี ยหายแก่
เศรษฐกิจโดยรวมของชาติเป็ นมูลค่ามหาศาลในแต่ละปี
ตามเส้นทางที่เคยเสด็จพระราชดาเนิน ทั้งภาคพื้นดิน ทางอากาศยานดังกล่าว ทรงสังเกตเห็นว่ามีเมฆ
ปริ มาณมากปกคลุมท้องฟ้ า แต่ไม่สามารถก่อรวมตัวกัน จนเกิดเป็ นฝนได้ เป็ นเหตุให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วงระยะยาว
ทั้ง ๆ ที่เป็ นช่วงฤดูฝน ทรงคิดคานึงว่า น่าจะมีมาตรการทางวิทยาศาสตร์ ที่จะช่วยให้เมฆเหล่านั้นก่อรวมตัวกันจน
                                                                                                  ่
เกิดเป็ นฝนได้ ทรงเชื่อมันว่า ด้วยลักษณะของกาลอากาศ ภูมิอากาศ และภูมิประเทศของประเทศไทยซึ่งตั้งอยูใน
                         ่
                     ่
ภูมิภาคเขตร้อน และอยูในอิทธิพลของฤดูมรสุ มของทวีปเอเชีย โดยเฉพาะฤดูมรสุ มตะวันตกเฉียงใต้ซ่ ึงเป็ นฤดูฝน
และเป็ นฤดูเพาะปลูกประจาปี ของประเทศไทย จะสามารถดัดแปรสภาพอากาศ ให้เกิดเป็ นฝนตกได้ อย่างแน่นอน
      ตามที่ทรงเล่าไว้ใน RAINMAKING STORY จาก พ.ศ. 2498 เป็ นต้นมา ทรงศึกษาค้นคว้า และ
วิจยทางเอกสาร ทั้งด้านวิชาการอุตุนิยมวิทยา และมีการดัดแปรสภาพอากาศ ซึ่งทรงรอบรู ้ และเชี่ยวชาญ เป็ นที่
   ั
ยอมรับทั้งใน และต่างประเทศ จนทรงมันพระทัย จึงพระราชทานแนวคิดนี้แก่ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ผูเ้ ชี่ยวชาญ
                                  ่
ในการวิจยประดิษฐ์ทางด้านเกษตรวิศวกรรม ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขณะนั้น ในปี ถัดมา และทรงพระ
        ั
กรุ ณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้หาลู่ทางที่จะทาให้เกิดการทดลองปฏิบติการในท้องฟ้ าให้เป็ นไปได้
                                                                 ั
จนกระทังถึงปี พ.ศ. 2512 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จดตั้งหน่วยบิน ปราบศัตรู พืชกรมการข้าว และพร้อมที่จะให้
       ่                                          ั
การสนับสนุน ในการสนองพระราชประสงค์ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล จึงได้นาความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุ ณาทรง
ทราบว่า พร้อมที่จะดาเนินการ ตามพระราชประสงค์แล้ว ดังนั้นในปี เดียวกันนั้นเอง ทรงพระกรุ ณาโปรดเกล้าฯ ให้ทา
การทดลองปฏิบติการจริ งในท้องฟ้ าเป็ นครั้งแรก เมื่อวันที่ 1-2 กรกฎาคม 2512 โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แต่งตั้ง
            ั
ให้ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล เป็ นผูอานวยการโครงการ และหัวหน้าคณะปฏิบติการทดลอง เป็ นคนแรก และเลือกพื้นที่วน
                                 ้                                ั
อุทยานเขาใหญ่เป็ นพื้นที่ทดลองเป็ นแห่งแรก โดยทดลองหยอดก้อนน้ าแข็งแห้ง (dry ice หรื อ solid
carbondioxide) ขนาดไม่เกิน 1 ลูกบาศก์นิ้ว เข้าไปในยอดเมฆสู งไม่เกิน 10,000 ฟุต ที่ลอยกระจัดกระจายอยู่
เหนือพื้นที่ทดลองในขณะนั้น ทาให้กลุ่มเมฆ ทดลองเหล่านั้น มีการเปลี่ยนแปลงทางฟิ สิ กส์ของเมฆอย่างเห็นได้ชดเจน
                                                                                                       ั
เกิดการกลันรวมตัวกันหนาแน่น และก่อยอดสู งขึ้นเป็ นเมฆฝนขนาดใหญ่ ในเวลาอันรวดเร็วแล้วเคลื่อนตัวตามทิศทาง
          ่
ลม พ้นไปจากสายตา ไม่สามารถสังเกตได้ เนื่องจากยอดเขาบัง แต่จากการติดตามผลโดยการสารวจทางภาคพื้นดิน และ
ได้รับรายงานยืนยันด้วยวาจาจากราษฎรว่า เกิดฝนตกลงสู่ พ้นที่ทดลองวนอุทยานเขาใหญ่ในที่สุด นับเป็ นนิมิตหมายบ่ง
                                                      ื
ชี้ให้เห็นว่า การบังคับเมฆให้เกิดฝนเป็ นสิ่ งที่เป็ นไปได้
วิธีการทาฝนหลวง
1. เทคโนโลยีฝนหลวง
      เทคโนโลยีฝนหลวงเป็ นเทคนิค หรื อ วิชาการที่เกี่ยวกับการดัดแปลงสภาพอากาศ โดยเน้นการทาฝน
เพื่อเพิ่มปริ มาณฝนตก (Rain enhancement) และ/หรื อ เพื่อให้ฝนตกกระจายอย่างสม่าเสมอ (Rain
redistribution) สาหรับป้ องกันหรื อบรรเทาภาวะแห้งแล้งที่เกิดจากฝนแล้ง หรื อฝนทิ้งช่วงนั้น เป็ น
วิชาการที่ใหม่สาหรับประเทศไทยและของโลก ข้อมูลหลักฐาน (evidence) ที่ใช้พิสูจน์ยนยัน เพื่อให้เกิด
                                                                              ื
การยอมรับในระดับนักวิชาการและผูบริ หารระดับสู ง ถึงผลปฏิบติการฝนหลวงทั้งทางด้านกายภาพ
                               ้                         ั
(Physic) และด้านสถิติ (Statistic) มีนอยมาก ดังนั้น ในระยะแรกเริ่ มของการทดลองและวิจย กรรมวิธี
                                     ้                                             ั
       ั                                 ่ ั
การปฏิบติการฝนหลวง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหว จึงได้ทรงติดตามผลการวางแผนการทดลองปฏิบติการ
                                                                                  ั
การสังเกตจากรายงานแทบทุกครั้งโดยใกล้ชิด
2. กรรมวิธีการทาฝนหลวง

    กรรมวิธีการทาฝนหลวงในประเทศไทยที่ใช้เป็ นหลักในปัจจุบน สรุ ปได้ ดังนี้
                                                         ั

    ขั้นตอนทีหนึ่ง : ก่อเมฆ
             ่




เป็ นการดัดแปรสภาพอากาศเพื่อเร่ งหรื อเสริ มการเกิดเมฆ โดยการโปรยสารเคมีผลละเอียดของเกลือ
โซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ที่ระดับความสู ง 7,000 ฟุต ในท้องฟ้ าโปร่ งใสที่มีความชื้นสัมพัทธ์ไม่นอย
                                                                                            ้
กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ผงของเกลือโซเดียมคลอไรด์ ซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดความชื้นได้ดี จะทาหน้าที่เสริ ม
ประสิ ทธิภาพของแกนกลันตัวในบรรยากาศ (Cloud Condensation Nuclei) เรี ยกย่อว่า
                     ่
CCN ทาให้กระบวนการดูดซับความชื้นในอากาศให้กลายเป็ นเม็ดน้ าเกิดเร็วขึ้นกว่าธรรมชาติ และเกิด
กลุ่มเมฆจานวนมาก ซึ่งเมฆเหล่านี้จะพัฒนาเป็ นเมฆก้อนใหญ่ในเวลาต่อมา
ขั้นตอนทีสอง : เลียงให้ อ้วน
          ่        ้

     เป็ นการดัดแปรสภาพอากาศ เพื่อเร่ งหรื อเสริ มการเพิ่มขนาดของเมฆและขนาดของเม็ดน้ าในก้อนเมฆ จะ
ปฏิบติการเมื่อเมฆที่ก่อตัวจากขั้นตอนที่ 1 หรื อเมฆเดิมที่มีอยูตามธรรมชาติ ก่อยอดสู งถึงระดับ 10,000 ฟุต
    ั                                                         ่
โดยการโปรยสารเคมีผลแคลเซียมคลอไรด์เข้าไปในกลุ่มเมฆที่ระดับ 8,000 ฟุต ผงแคลเซี่ยมคลอไรด์ซ่ ึงมี
คุณสมบัติดูดความชื้นได้ดี จะดูดซับความชื้นและเม็ดน้ าขนาดเล็กในก้อนเมฆให้กลายเป็ นเม็ดน้ าขนาดใหญ่
ในขณะเดียวกันจะเกิดปฏิกิริยาคายความร้อน ซึ่งเป็ นคุณสมบัติเฉพาะของสารแคลเซี่ยมคลอไรด์เมื่อละลายน้ า
ความร้อนที่เกิดขึ้นจะเพิ่มอัตราเร็วของกระแสอากาศไหลขึ้นในก้อนเมฆ ทั้งขนาดเม็ดน้ าที่โตขึ้นและความเร็ว
ของกระแสอากาศไหลขึ้นที่เพิ่มขึ้น จะเป็ นปัจจัยเร่ งกระบวนการชนกันและรวมตัวกันของเม็ดน้ า ทาให้เม็ดน้ า
ขนาดใหญ่จานวนมากเกิดขึ้นในก้อนเมฆ และยอดเมฆพัฒนาตัวสู งขึ้น
ขั้นตอนทีสาม : โจมตี
         ่

                                                                                          ่ ั
     เป็ นการดัดแปรสภาพอากาศ เพื่อเร่ งให้เมฆเกิดเป็ นฝน ซึ่งสามารถกระทาได้ 3 วิธี ขึ้นอยูกบ
คุณสมบัติของเมฆ และชนิดของเครื่ องบินที่มีอยู่ ดังนี้

 วิธีที่ 1 โจมตีเมฆอุ่น

    แบบแซนด์วช ถ้าเป็ นเมฆอุ่น เมื่อเมฆแก่ตว ยอดเมฆจะอยูที่ระดับ 10,000 ฟุต หรื อสู งกว่าเล็กน้อย
             ิ                             ั            ่
และเคลื่อนตัวเข้าสู่ พ้ืนที่เป้ าหมาย จะทาการโจมตีโดยวิธี Sandwich คือ ใช้เครื่ อง บิน 2 เครื่ อง
เครื่ องหนึ่งโปรยผงโซเดียมคลอไรด์ทบยอดเมฆ หรื อไหล่เมฆที่ระดับ 9,000 ฟุต หรื อ ไม่เกิน 10,000
                                  ั
ฟุต อีกเครื่ องหนึ่งโปรยผงยูเรี ย ที่ฐานเมฆ ทามุมเยื้องกัน 45 องศา เมฆจะเริ่ มตกเป็ นฝนลงสู่ พ้ืนดิน
วิธีที่ 2 โจมตีเมฆเย็น แบบธรรมดา
      ถ้าเป็ นเมฆเย็นและมีเครื่ องบินเมฆเย็นเพียงเครื่ องเดียว เมื่อเมฆเย็นพัฒนายอดสู งขึ้นเลยระดับ 20,000 ฟุต ไป
แล้ว จะทาการโจมตีโดยการยิงพลุสารเคมี ซิลเวอร์ ไอโอไดด์ (Agl) เข้าสู่ ยอดเมฆ ที่ระดับความสู งประมาณ 21,500
ฟุต ซึ่ งมีอุณหภูมิระหว่าง -8 ถึง 12 องศาเซลเซี ยส มีกระแสอากาศไหลขึ้นสู งกว่า 1,000 ฟุตต่อนาที และมีปริ มาณน้ า
เย็นจัดไม่ตากว่า 1 กรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่ งเป็ นเงื่อนไขเหมาะสม อนุภาคของสาร Agl จะทาหน้าที่เป็ นแกนเยือก
แข็ง (Ice Nuclei) และเมื่อสัมผัสกับเม็ดน้ าเย็นจัดในบอดเมฆ จะทาให้เม็ดน้ าเหล่านั้นกลายเป็ นน้ าแข็งและคาย
ความร้อนแฝงออกมา ซึ่ งความร้อนดังกล่าวจะเป็ นพลังงานผลักดันให้ยอดเมฆเจริ ญสู งขึ้นไปอีก และมีการชักนา
อากาศชื้นเข้าสู่ ฐานเมฆเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันเม็ดน้ าที่กลายเป็ นน้ าแข็ง จะมีความดันไอที่ผวต่ากว่าเม็ดน้ าเย็นจัด ทา
                                                                                            ิ
ให้ไอน้ าระเหยจากเม็ดน้ าไปเกาะที่เม็ดน้ าแข็ง และเม็ดน้ าแข็งจะเจริ ญเติบโตได้เร็ วเป็ นก้อนน้ าแข็งที่มีน้ าหนัก
เพิ่มขึ้น และจะล่วงหล่นลงสู่ เบื้องล่าง ซึ่ งจะละลายเป็ นเม็ดน้ าฝน เมื่อผ่านชั้นอุณหภูมิเยือกแข็งลงมาที่ฐานเมฆ และ
เกิดเป็ นฝนตกลงสู่ พ้ืนดิน
วิธีที่ 3 โจมตีเมฆเย็น แบบซูเปอร์แซนด์วช
                                       ิ

      หากเป็ นเมฆเย็น และมีเครื่ องบินครบทั้งชนิดเมฆอุ่นและเมฆเย็น เมื่อเมฆเย็นพัฒนายอดสู งขึ้นเลย
ระดับ 20,000 ฟุต ไปแล้ว จะทาการโจมตีโดยการผสมผสานวิธีที่ 1 และ 2 ในเวลาเดียวกัน กล่าวคือ
เครื่ องบินเมฆเย็นจะยิงพลุสารเคมี ซิลเวอร์ไอโอไดด์ (Agl) เข้าสู่ ยอดเมฆ ที่ระดับความสู งประมาณ
21,500 ฟุต ส่ วนเครื่ องบินเมฆอุ่น 1 เครื่ อง จะโปรยสารเคมีโซเดียมคลอไรด์ที่ระดับไหล่เมฆ (ประมาณ
9,000 - 10,000 ฟุต) และเครื่ องบินเมฆอุ่นอีก 1 เครื่ อง จะโปรยสารเคมีผงยูเรี ยที่ระดับชิดฐานเมฆ ทามุม
เยืองกัน 45 องศา วิธีการนี้จะทาให้ประสิ ทธิภาพในการเพิ่มปริ มาณน้ าฝนสู งยิงขึ้น และเทคนี้โปรดเกล้า
  ้                                                                        ่
ฯ ให้เรี ยกชื่อว่า SUPER SANDWICH
จัดทาโดย


  นางสาววรรณพร สุ ขทวี
มัธยมศึกษาปี ที่ 4/6 เลขที่ 28

More Related Content

What's hot

โครงการฝนหลวง
โครงการฝนหลวงโครงการฝนหลวง
โครงการฝนหลวง
Wannaporn Sukthawee
 
โครงการฝนหลวง
โครงการฝนหลวงโครงการฝนหลวง
โครงการฝนหลวง
Chutikan Mint
 
โครงการฝนหลวง
โครงการฝนหลวงโครงการฝนหลวง
โครงการฝนหลวง
Chutikan Mint
 
งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1
mindda_honey
 
โครงการฝนหลวง
โครงการฝนหลวงโครงการฝนหลวง
โครงการฝนหลวง
Wannaporn Sukthawee
 
โครงการฝนหลวง
โครงการฝนหลวงโครงการฝนหลวง
โครงการฝนหลวง
Wannaporn Sukthawee
 
เศรษฐกิจพอเพียง ม.4 7 เลขที่31
เศรษฐกิจพอเพียง ม.4 7 เลขที่31เศรษฐกิจพอเพียง ม.4 7 เลขที่31
เศรษฐกิจพอเพียง ม.4 7 เลขที่31
eveaeef
 
โครงการฝนหลวง
โครงการฝนหลวงโครงการฝนหลวง
โครงการฝนหลวง
yeen_28175
 
งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1
amloveyou
 
เศรษฐกิจพอเพียงเรื่องโครงการฝนหลวง
เศรษฐกิจพอเพียงเรื่องโครงการฝนหลวงเศรษฐกิจพอเพียงเรื่องโครงการฝนหลวง
เศรษฐกิจพอเพียงเรื่องโครงการฝนหลวง
chaiing
 
การวัดปริมาณน้ำฝน
การวัดปริมาณน้ำฝนการวัดปริมาณน้ำฝน
การวัดปริมาณน้ำฝน
dnavaroj
 
โครงการพระราชดำริ
โครงการพระราชดำริโครงการพระราชดำริ
โครงการพระราชดำริ
Chayaphon yaphon
 
โครงการแกล้งดิน
โครงการแกล้งดินโครงการแกล้งดิน
โครงการแกล้งดิน
LittleZozind
 
โครงการแกล้งดิน
โครงการแกล้งดินโครงการแกล้งดิน
โครงการแกล้งดิน
lalipat
 

What's hot (19)

โครงการฝนหลวง
โครงการฝนหลวงโครงการฝนหลวง
โครงการฝนหลวง
 
โครงการฝนหลวง
โครงการฝนหลวงโครงการฝนหลวง
โครงการฝนหลวง
 
โครงการฝนหลวง
โครงการฝนหลวงโครงการฝนหลวง
โครงการฝนหลวง
 
งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1
 
โครงการฝนหลวง
โครงการฝนหลวงโครงการฝนหลวง
โครงการฝนหลวง
 
โครงการฝนหลวง
โครงการฝนหลวงโครงการฝนหลวง
โครงการฝนหลวง
 
เศรษฐกิจพอเพียง ม.4 7 เลขที่31
เศรษฐกิจพอเพียง ม.4 7 เลขที่31เศรษฐกิจพอเพียง ม.4 7 เลขที่31
เศรษฐกิจพอเพียง ม.4 7 เลขที่31
 
โครงการฝนหลวง
โครงการฝนหลวงโครงการฝนหลวง
โครงการฝนหลวง
 
งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1
 
เศรษฐกิจพอเพียงเรื่องโครงการฝนหลวง
เศรษฐกิจพอเพียงเรื่องโครงการฝนหลวงเศรษฐกิจพอเพียงเรื่องโครงการฝนหลวง
เศรษฐกิจพอเพียงเรื่องโครงการฝนหลวง
 
R maker1 thai
R maker1 thaiR maker1 thai
R maker1 thai
 
การวัดปริมาณน้ำฝน
การวัดปริมาณน้ำฝนการวัดปริมาณน้ำฝน
การวัดปริมาณน้ำฝน
 
R maker3 th
R maker3 thR maker3 th
R maker3 th
 
วิจัยปริมาณน้ำฝน 2528 2553
วิจัยปริมาณน้ำฝน 2528 2553วิจัยปริมาณน้ำฝน 2528 2553
วิจัยปริมาณน้ำฝน 2528 2553
 
R maker4[1]
R maker4[1]R maker4[1]
R maker4[1]
 
โครงการพระราชดำริ
โครงการพระราชดำริโครงการพระราชดำริ
โครงการพระราชดำริ
 
สรุป ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ.2526 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับ...
สรุป ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ.2526 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับ...สรุป ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ.2526 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับ...
สรุป ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ.2526 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับ...
 
โครงการแกล้งดิน
โครงการแกล้งดินโครงการแกล้งดิน
โครงการแกล้งดิน
 
โครงการแกล้งดิน
โครงการแกล้งดินโครงการแกล้งดิน
โครงการแกล้งดิน
 

Similar to โครงการฝนหลวง

เศรษฐกิจพอเพียง ม.4 7 เลขที่31
เศรษฐกิจพอเพียง ม.4 7 เลขที่31เศรษฐกิจพอเพียง ม.4 7 เลขที่31
เศรษฐกิจพอเพียง ม.4 7 เลขที่31
eeveaeef
 
แบบฝึกหัดทบทวนก่อนสอบกลางภาค2 ม.1 2 55
แบบฝึกหัดทบทวนก่อนสอบกลางภาค2 ม.1 2 55แบบฝึกหัดทบทวนก่อนสอบกลางภาค2 ม.1 2 55
แบบฝึกหัดทบทวนก่อนสอบกลางภาค2 ม.1 2 55
krupornpana55
 
วัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำวัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำ
Monticha
 
วัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำวัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำ
jintana533
 
วัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำวัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำ
Monticha
 
วัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำวัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำ
jirawat191
 
แบบฝึกหัดทบทวนก่อนสอบกลางภาค2 ม.1 2 55
แบบฝึกหัดทบทวนก่อนสอบกลางภาค2 ม.1 2 55แบบฝึกหัดทบทวนก่อนสอบกลางภาค2 ม.1 2 55
แบบฝึกหัดทบทวนก่อนสอบกลางภาค2 ม.1 2 55
krupornpana55
 
ปรากฏการทางลมฟ้าอากาศ
ปรากฏการทางลมฟ้าอากาศปรากฏการทางลมฟ้าอากาศ
ปรากฏการทางลมฟ้าอากาศ
dnavaroj
 
บรรยากาศ
บรรยากาศบรรยากาศ
บรรยากาศ
kulruedee_chm
 
วัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำวัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำ
savokclash
 
เศรษฐกิจพอเพียงเรื่องโครงการฝนหลวง
เศรษฐกิจพอเพียงเรื่องโครงการฝนหลวงเศรษฐกิจพอเพียงเรื่องโครงการฝนหลวง
เศรษฐกิจพอเพียงเรื่องโครงการฝนหลวง
chaiing
 
งานไอเอสที่ต้องใช้ส่งภายในอาทิตย์นี้สิ่งจำเป็น
งานไอเอสที่ต้องใช้ส่งภายในอาทิตย์นี้สิ่งจำเป็นงานไอเอสที่ต้องใช้ส่งภายในอาทิตย์นี้สิ่งจำเป็น
งานไอเอสที่ต้องใช้ส่งภายในอาทิตย์นี้สิ่งจำเป็น
focuswirakarn
 
พาวเวอร์พ้อยท์ภาวะโลกร้อน2
พาวเวอร์พ้อยท์ภาวะโลกร้อน2พาวเวอร์พ้อยท์ภาวะโลกร้อน2
พาวเวอร์พ้อยท์ภาวะโลกร้อน2
sudsanguan
 
เศรษฐกิจพอเพียง ฝนหลวง
เศรษฐกิจพอเพียง ฝนหลวงเศรษฐกิจพอเพียง ฝนหลวง
เศรษฐกิจพอเพียง ฝนหลวง
Pitchapa Manajanyapong
 

Similar to โครงการฝนหลวง (20)

9789740336686
97897403366869789740336686
9789740336686
 
เศรษฐกิจพอเพียง ม.4 7 เลขที่31
เศรษฐกิจพอเพียง ม.4 7 เลขที่31เศรษฐกิจพอเพียง ม.4 7 เลขที่31
เศรษฐกิจพอเพียง ม.4 7 เลขที่31
 
แบบฝึกหัดทบทวนก่อนสอบกลางภาค2 ม.1 2 55
แบบฝึกหัดทบทวนก่อนสอบกลางภาค2 ม.1 2 55แบบฝึกหัดทบทวนก่อนสอบกลางภาค2 ม.1 2 55
แบบฝึกหัดทบทวนก่อนสอบกลางภาค2 ม.1 2 55
 
นักสืบสายลม
นักสืบสายลมนักสืบสายลม
นักสืบสายลม
 
วัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำวัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำ
 
วัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำวัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำ
 
วัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำวัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำ
 
วัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำวัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำ
 
แบบฝึกหัดทบทวนก่อนสอบกลางภาค2 ม.1 2 55
แบบฝึกหัดทบทวนก่อนสอบกลางภาค2 ม.1 2 55แบบฝึกหัดทบทวนก่อนสอบกลางภาค2 ม.1 2 55
แบบฝึกหัดทบทวนก่อนสอบกลางภาค2 ม.1 2 55
 
Sci31101 cloud
Sci31101 cloudSci31101 cloud
Sci31101 cloud
 
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
 
ปรากฏการทางลมฟ้าอากาศ
ปรากฏการทางลมฟ้าอากาศปรากฏการทางลมฟ้าอากาศ
ปรากฏการทางลมฟ้าอากาศ
 
บรรยากาศ
บรรยากาศบรรยากาศ
บรรยากาศ
 
วัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำวัฏจักรน้ำ
วัฏจักรน้ำ
 
เศรษฐกิจพอเพียงเรื่องโครงการฝนหลวง
เศรษฐกิจพอเพียงเรื่องโครงการฝนหลวงเศรษฐกิจพอเพียงเรื่องโครงการฝนหลวง
เศรษฐกิจพอเพียงเรื่องโครงการฝนหลวง
 
งานไอเอสที่ต้องใช้ส่งภายในอาทิตย์นี้สิ่งจำเป็น
งานไอเอสที่ต้องใช้ส่งภายในอาทิตย์นี้สิ่งจำเป็นงานไอเอสที่ต้องใช้ส่งภายในอาทิตย์นี้สิ่งจำเป็น
งานไอเอสที่ต้องใช้ส่งภายในอาทิตย์นี้สิ่งจำเป็น
 
อากาศภาค
อากาศภาคอากาศภาค
อากาศภาค
 
Weather Academy
Weather AcademyWeather Academy
Weather Academy
 
พาวเวอร์พ้อยท์ภาวะโลกร้อน2
พาวเวอร์พ้อยท์ภาวะโลกร้อน2พาวเวอร์พ้อยท์ภาวะโลกร้อน2
พาวเวอร์พ้อยท์ภาวะโลกร้อน2
 
เศรษฐกิจพอเพียง ฝนหลวง
เศรษฐกิจพอเพียง ฝนหลวงเศรษฐกิจพอเพียง ฝนหลวง
เศรษฐกิจพอเพียง ฝนหลวง
 

โครงการฝนหลวง

  • 1. โครงการฝนหลวง "เงยหน้าดูทองฟ้ ามีเมฆ ทาไมมีเมฆอย่างนี้ ทาไมจะดึงเมฆนี่ ้ ลงมาให้ได้ ก็เคยได้ยนเรื่ องทาฝนก็มาปรารภกับคุณเทพฤทธิ์ ฝนทา ิ ได้ มีหนังสื อเคยอ่านหนังสื อ ทาได้..."
  • 2. ประวัติ ค วามเป็ นมา โครงการพระราชดาริ ฝนหลวง เป็ นโครงการที่ก่อกาเนิดจากพระมหากรุ ณาธิคุณ ที่ทรงห่วงใยในความทุกข์ ยากของพสกนิกรในท้องถิ่นทุรกันดาร ที่ตองประสบปัญหาขาดแคลนน้ า เพื่ออุปโภคบริ โภค และเกษตรกรรม อัน ้ เนื่องมาจากภาวะแห้งแล้งซึ่งมีสาเหตุมาจาก ความผันแปร และคลาดเคลื่อนของฤดูกาลตามธรรมชาติ กล่าวคือ ฤดูฝน เริ่ มต้นล่าเกินไป หรื อหมดเร็วกว่าปกติหรื อฝนทิงช่วงยาวในช่วงฤดูฝน จากพระราชกรณี ยกิจ ในการเสด็จพระราช ้ ดาเนินเยียมพสกนิกร ในทุกภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง สม่าเสมอนับแต่เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ จนตราบเท่าทุกวันนี้ ่ ทรงพบเห็นว่าภาวะแห้งแล้ง ได้ทวีความถี่ และมีแนวโน้มว่าจะรุ นแรงยิงขึ้นตามลาดับ เพราะนอกจากความผันแปร ่ และคลาดเคลื่อนของฤดูกาลตามธรรมชาติแล้ว การตัดไม้ทาลายป่ า ยังเป็ นสาเหตุให้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่ราษฎร ในทุกภาคของประเทศ ทาความเสี ยหายแก่ เศรษฐกิจโดยรวมของชาติเป็ นมูลค่ามหาศาลในแต่ละปี
  • 3. ตามเส้นทางที่เคยเสด็จพระราชดาเนิน ทั้งภาคพื้นดิน ทางอากาศยานดังกล่าว ทรงสังเกตเห็นว่ามีเมฆ ปริ มาณมากปกคลุมท้องฟ้ า แต่ไม่สามารถก่อรวมตัวกัน จนเกิดเป็ นฝนได้ เป็ นเหตุให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วงระยะยาว ทั้ง ๆ ที่เป็ นช่วงฤดูฝน ทรงคิดคานึงว่า น่าจะมีมาตรการทางวิทยาศาสตร์ ที่จะช่วยให้เมฆเหล่านั้นก่อรวมตัวกันจน ่ เกิดเป็ นฝนได้ ทรงเชื่อมันว่า ด้วยลักษณะของกาลอากาศ ภูมิอากาศ และภูมิประเทศของประเทศไทยซึ่งตั้งอยูใน ่ ่ ภูมิภาคเขตร้อน และอยูในอิทธิพลของฤดูมรสุ มของทวีปเอเชีย โดยเฉพาะฤดูมรสุ มตะวันตกเฉียงใต้ซ่ ึงเป็ นฤดูฝน และเป็ นฤดูเพาะปลูกประจาปี ของประเทศไทย จะสามารถดัดแปรสภาพอากาศ ให้เกิดเป็ นฝนตกได้ อย่างแน่นอน ตามที่ทรงเล่าไว้ใน RAINMAKING STORY จาก พ.ศ. 2498 เป็ นต้นมา ทรงศึกษาค้นคว้า และ วิจยทางเอกสาร ทั้งด้านวิชาการอุตุนิยมวิทยา และมีการดัดแปรสภาพอากาศ ซึ่งทรงรอบรู ้ และเชี่ยวชาญ เป็ นที่ ั ยอมรับทั้งใน และต่างประเทศ จนทรงมันพระทัย จึงพระราชทานแนวคิดนี้แก่ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ผูเ้ ชี่ยวชาญ ่ ในการวิจยประดิษฐ์ทางด้านเกษตรวิศวกรรม ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขณะนั้น ในปี ถัดมา และทรงพระ ั กรุ ณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้หาลู่ทางที่จะทาให้เกิดการทดลองปฏิบติการในท้องฟ้ าให้เป็ นไปได้ ั
  • 4. จนกระทังถึงปี พ.ศ. 2512 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จดตั้งหน่วยบิน ปราบศัตรู พืชกรมการข้าว และพร้อมที่จะให้ ่ ั การสนับสนุน ในการสนองพระราชประสงค์ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล จึงได้นาความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุ ณาทรง ทราบว่า พร้อมที่จะดาเนินการ ตามพระราชประสงค์แล้ว ดังนั้นในปี เดียวกันนั้นเอง ทรงพระกรุ ณาโปรดเกล้าฯ ให้ทา การทดลองปฏิบติการจริ งในท้องฟ้ าเป็ นครั้งแรก เมื่อวันที่ 1-2 กรกฎาคม 2512 โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แต่งตั้ง ั ให้ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล เป็ นผูอานวยการโครงการ และหัวหน้าคณะปฏิบติการทดลอง เป็ นคนแรก และเลือกพื้นที่วน ้ ั อุทยานเขาใหญ่เป็ นพื้นที่ทดลองเป็ นแห่งแรก โดยทดลองหยอดก้อนน้ าแข็งแห้ง (dry ice หรื อ solid carbondioxide) ขนาดไม่เกิน 1 ลูกบาศก์นิ้ว เข้าไปในยอดเมฆสู งไม่เกิน 10,000 ฟุต ที่ลอยกระจัดกระจายอยู่ เหนือพื้นที่ทดลองในขณะนั้น ทาให้กลุ่มเมฆ ทดลองเหล่านั้น มีการเปลี่ยนแปลงทางฟิ สิ กส์ของเมฆอย่างเห็นได้ชดเจน ั เกิดการกลันรวมตัวกันหนาแน่น และก่อยอดสู งขึ้นเป็ นเมฆฝนขนาดใหญ่ ในเวลาอันรวดเร็วแล้วเคลื่อนตัวตามทิศทาง ่ ลม พ้นไปจากสายตา ไม่สามารถสังเกตได้ เนื่องจากยอดเขาบัง แต่จากการติดตามผลโดยการสารวจทางภาคพื้นดิน และ ได้รับรายงานยืนยันด้วยวาจาจากราษฎรว่า เกิดฝนตกลงสู่ พ้นที่ทดลองวนอุทยานเขาใหญ่ในที่สุด นับเป็ นนิมิตหมายบ่ง ื ชี้ให้เห็นว่า การบังคับเมฆให้เกิดฝนเป็ นสิ่ งที่เป็ นไปได้
  • 5. วิธีการทาฝนหลวง 1. เทคโนโลยีฝนหลวง เทคโนโลยีฝนหลวงเป็ นเทคนิค หรื อ วิชาการที่เกี่ยวกับการดัดแปลงสภาพอากาศ โดยเน้นการทาฝน เพื่อเพิ่มปริ มาณฝนตก (Rain enhancement) และ/หรื อ เพื่อให้ฝนตกกระจายอย่างสม่าเสมอ (Rain redistribution) สาหรับป้ องกันหรื อบรรเทาภาวะแห้งแล้งที่เกิดจากฝนแล้ง หรื อฝนทิ้งช่วงนั้น เป็ น วิชาการที่ใหม่สาหรับประเทศไทยและของโลก ข้อมูลหลักฐาน (evidence) ที่ใช้พิสูจน์ยนยัน เพื่อให้เกิด ื การยอมรับในระดับนักวิชาการและผูบริ หารระดับสู ง ถึงผลปฏิบติการฝนหลวงทั้งทางด้านกายภาพ ้ ั (Physic) และด้านสถิติ (Statistic) มีนอยมาก ดังนั้น ในระยะแรกเริ่ มของการทดลองและวิจย กรรมวิธี ้ ั ั ่ ั การปฏิบติการฝนหลวง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหว จึงได้ทรงติดตามผลการวางแผนการทดลองปฏิบติการ ั การสังเกตจากรายงานแทบทุกครั้งโดยใกล้ชิด
  • 6. 2. กรรมวิธีการทาฝนหลวง กรรมวิธีการทาฝนหลวงในประเทศไทยที่ใช้เป็ นหลักในปัจจุบน สรุ ปได้ ดังนี้ ั ขั้นตอนทีหนึ่ง : ก่อเมฆ ่ เป็ นการดัดแปรสภาพอากาศเพื่อเร่ งหรื อเสริ มการเกิดเมฆ โดยการโปรยสารเคมีผลละเอียดของเกลือ โซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ที่ระดับความสู ง 7,000 ฟุต ในท้องฟ้ าโปร่ งใสที่มีความชื้นสัมพัทธ์ไม่นอย ้ กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ผงของเกลือโซเดียมคลอไรด์ ซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดความชื้นได้ดี จะทาหน้าที่เสริ ม ประสิ ทธิภาพของแกนกลันตัวในบรรยากาศ (Cloud Condensation Nuclei) เรี ยกย่อว่า ่ CCN ทาให้กระบวนการดูดซับความชื้นในอากาศให้กลายเป็ นเม็ดน้ าเกิดเร็วขึ้นกว่าธรรมชาติ และเกิด กลุ่มเมฆจานวนมาก ซึ่งเมฆเหล่านี้จะพัฒนาเป็ นเมฆก้อนใหญ่ในเวลาต่อมา
  • 7. ขั้นตอนทีสอง : เลียงให้ อ้วน ่ ้ เป็ นการดัดแปรสภาพอากาศ เพื่อเร่ งหรื อเสริ มการเพิ่มขนาดของเมฆและขนาดของเม็ดน้ าในก้อนเมฆ จะ ปฏิบติการเมื่อเมฆที่ก่อตัวจากขั้นตอนที่ 1 หรื อเมฆเดิมที่มีอยูตามธรรมชาติ ก่อยอดสู งถึงระดับ 10,000 ฟุต ั ่ โดยการโปรยสารเคมีผลแคลเซียมคลอไรด์เข้าไปในกลุ่มเมฆที่ระดับ 8,000 ฟุต ผงแคลเซี่ยมคลอไรด์ซ่ ึงมี คุณสมบัติดูดความชื้นได้ดี จะดูดซับความชื้นและเม็ดน้ าขนาดเล็กในก้อนเมฆให้กลายเป็ นเม็ดน้ าขนาดใหญ่ ในขณะเดียวกันจะเกิดปฏิกิริยาคายความร้อน ซึ่งเป็ นคุณสมบัติเฉพาะของสารแคลเซี่ยมคลอไรด์เมื่อละลายน้ า ความร้อนที่เกิดขึ้นจะเพิ่มอัตราเร็วของกระแสอากาศไหลขึ้นในก้อนเมฆ ทั้งขนาดเม็ดน้ าที่โตขึ้นและความเร็ว ของกระแสอากาศไหลขึ้นที่เพิ่มขึ้น จะเป็ นปัจจัยเร่ งกระบวนการชนกันและรวมตัวกันของเม็ดน้ า ทาให้เม็ดน้ า ขนาดใหญ่จานวนมากเกิดขึ้นในก้อนเมฆ และยอดเมฆพัฒนาตัวสู งขึ้น
  • 8. ขั้นตอนทีสาม : โจมตี ่ ่ ั เป็ นการดัดแปรสภาพอากาศ เพื่อเร่ งให้เมฆเกิดเป็ นฝน ซึ่งสามารถกระทาได้ 3 วิธี ขึ้นอยูกบ คุณสมบัติของเมฆ และชนิดของเครื่ องบินที่มีอยู่ ดังนี้ วิธีที่ 1 โจมตีเมฆอุ่น แบบแซนด์วช ถ้าเป็ นเมฆอุ่น เมื่อเมฆแก่ตว ยอดเมฆจะอยูที่ระดับ 10,000 ฟุต หรื อสู งกว่าเล็กน้อย ิ ั ่ และเคลื่อนตัวเข้าสู่ พ้ืนที่เป้ าหมาย จะทาการโจมตีโดยวิธี Sandwich คือ ใช้เครื่ อง บิน 2 เครื่ อง เครื่ องหนึ่งโปรยผงโซเดียมคลอไรด์ทบยอดเมฆ หรื อไหล่เมฆที่ระดับ 9,000 ฟุต หรื อ ไม่เกิน 10,000 ั ฟุต อีกเครื่ องหนึ่งโปรยผงยูเรี ย ที่ฐานเมฆ ทามุมเยื้องกัน 45 องศา เมฆจะเริ่ มตกเป็ นฝนลงสู่ พ้ืนดิน
  • 9. วิธีที่ 2 โจมตีเมฆเย็น แบบธรรมดา ถ้าเป็ นเมฆเย็นและมีเครื่ องบินเมฆเย็นเพียงเครื่ องเดียว เมื่อเมฆเย็นพัฒนายอดสู งขึ้นเลยระดับ 20,000 ฟุต ไป แล้ว จะทาการโจมตีโดยการยิงพลุสารเคมี ซิลเวอร์ ไอโอไดด์ (Agl) เข้าสู่ ยอดเมฆ ที่ระดับความสู งประมาณ 21,500 ฟุต ซึ่ งมีอุณหภูมิระหว่าง -8 ถึง 12 องศาเซลเซี ยส มีกระแสอากาศไหลขึ้นสู งกว่า 1,000 ฟุตต่อนาที และมีปริ มาณน้ า เย็นจัดไม่ตากว่า 1 กรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่ งเป็ นเงื่อนไขเหมาะสม อนุภาคของสาร Agl จะทาหน้าที่เป็ นแกนเยือก แข็ง (Ice Nuclei) และเมื่อสัมผัสกับเม็ดน้ าเย็นจัดในบอดเมฆ จะทาให้เม็ดน้ าเหล่านั้นกลายเป็ นน้ าแข็งและคาย ความร้อนแฝงออกมา ซึ่ งความร้อนดังกล่าวจะเป็ นพลังงานผลักดันให้ยอดเมฆเจริ ญสู งขึ้นไปอีก และมีการชักนา อากาศชื้นเข้าสู่ ฐานเมฆเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันเม็ดน้ าที่กลายเป็ นน้ าแข็ง จะมีความดันไอที่ผวต่ากว่าเม็ดน้ าเย็นจัด ทา ิ ให้ไอน้ าระเหยจากเม็ดน้ าไปเกาะที่เม็ดน้ าแข็ง และเม็ดน้ าแข็งจะเจริ ญเติบโตได้เร็ วเป็ นก้อนน้ าแข็งที่มีน้ าหนัก เพิ่มขึ้น และจะล่วงหล่นลงสู่ เบื้องล่าง ซึ่ งจะละลายเป็ นเม็ดน้ าฝน เมื่อผ่านชั้นอุณหภูมิเยือกแข็งลงมาที่ฐานเมฆ และ เกิดเป็ นฝนตกลงสู่ พ้ืนดิน
  • 10. วิธีที่ 3 โจมตีเมฆเย็น แบบซูเปอร์แซนด์วช ิ หากเป็ นเมฆเย็น และมีเครื่ องบินครบทั้งชนิดเมฆอุ่นและเมฆเย็น เมื่อเมฆเย็นพัฒนายอดสู งขึ้นเลย ระดับ 20,000 ฟุต ไปแล้ว จะทาการโจมตีโดยการผสมผสานวิธีที่ 1 และ 2 ในเวลาเดียวกัน กล่าวคือ เครื่ องบินเมฆเย็นจะยิงพลุสารเคมี ซิลเวอร์ไอโอไดด์ (Agl) เข้าสู่ ยอดเมฆ ที่ระดับความสู งประมาณ 21,500 ฟุต ส่ วนเครื่ องบินเมฆอุ่น 1 เครื่ อง จะโปรยสารเคมีโซเดียมคลอไรด์ที่ระดับไหล่เมฆ (ประมาณ 9,000 - 10,000 ฟุต) และเครื่ องบินเมฆอุ่นอีก 1 เครื่ อง จะโปรยสารเคมีผงยูเรี ยที่ระดับชิดฐานเมฆ ทามุม เยืองกัน 45 องศา วิธีการนี้จะทาให้ประสิ ทธิภาพในการเพิ่มปริ มาณน้ าฝนสู งยิงขึ้น และเทคนี้โปรดเกล้า ้ ่ ฯ ให้เรี ยกชื่อว่า SUPER SANDWICH
  • 11. จัดทาโดย นางสาววรรณพร สุ ขทวี มัธยมศึกษาปี ที่ 4/6 เลขที่ 28