SlideShare a Scribd company logo
1 of 46
บทที่ ๔
ความรู้พ น ฐานเกีย วกับ การ
ื้
่
เขีย น
ความรู้พ ื้น ฐานเกี่ย วกับ การเขีย น
เริ่ม เรีย นให้เ ร่ง รู้
องค์ป ระมาณหมาย
หนึ่ง ฟัง อย่า ฟัง ดาย
กำา หนดจำา
หนึ่ง ให้อ ุต สาหะ
จิต คิด พิน ิจ คำา
หนึ่ง ห้า มอย่า เอื้อ นคำา
ใดให้เ ร่ง ถาม
หนึ่ง ให้พ ิน ิจ คิด

ทั้ง สี่
ให้ต ั้ง จิต
เอา
ฉงน
ลิข ิต ข้อ
หาความรู้เ ร่ง ให้
แม่น ยำา
ลืม ย่อ มแก้ด ้ว ยจำา จดไว้
จำา มากนัก จัก ทำา ตนดุจ
ห้อ งสมุด
การจดจึ่ง ต้อ งให้
ชอบ
ใช้ช าญเขีย น
ความหมายของการเขีย น
การเขีย น หมายถึง ทัก ษะการใช้
ภาษาที่ม ุ่ง ถ่า ยทอดความรู้ส ก ความคิด
ึ
ความรู้ และข้อ มูล ต่า งๆ เป็น ลาย
ลัก ษณ์อ ัก ษรเพื่อ ให้ผ ู้อ า นได้ร ับ ทราบ
่
จุด ประสงค์ต ามเจตนาของผู้เ ขีย น
ความสำา คัญ ของการเขีย น
๑. เป็น เครื่อ งแสดงออกถึง ความรู้ ความคิด และความ
รู้ส ึก ของมนุษ ย์
๒. เป็น เครื่อ งมือ สำา คัญ ที่แ สดงถึง อารยธรรมของ
มนุษ ย์ใ นแต่ล ะยุค สมัย
๓. เป็น เครื่อ งมือ สำา หรับ สื่อ สารของมนุษ ย์ท ี่ม ี
ประสิท ธิภ าพ
๔. เป็น เครื่อ งถ่า ยทอดวัฒ นธรรมที่ส ำา คัญ อัน เป็น
มรดกทางสติป ัญ ญาของมนุษ ย์
เช่น วรรณกรรม วรรณคดี ตำา นาน ฯลฯ
๕. เป็น เครื่อ งมือ ที่ช ่ว ยสนองต่อ ความต้อ งการของ
มนุษ ย์ เช่น ความรัก ความเข้า ใจ
ความเห็น อกเห็น ใจ ฯลฯ
๖. เป็น บัน ทึก ที่ม ีค ุณ ค่า ทางประวัต ิศ าสตร์ สามารถ
จุด มุ่ง หมายการเขีย น
a.การเขีย นเพื่อ เล่า เรื่อ ง
b.การเขีย นเพื่อ อธิบ าย
c.การเขีย นเพื่อ โฆษณาจูง ใจ
d.การเขีย นเพื่อ ปลุก ใจ
e.การเขีย นเพื่อ แสดงความ

คิด เห็น
f. การเขีย นเพื่อ สร้า ง
จิน ตนาการ
๑. การเขีย นเพื่อ เล่า เรื่อ ง
การเขีย นเพื่อ เล่า เรื่อ ง เป็น การถ่า ยทอด
เรื่อ งราวต่า งๆ เพื่อ เล่า เรื่อ งให้ผ อ ่า นเห็น
ู้
เหตุก ารณ์ และภาพออกมาอย่า งชัด เจนชวน
ให้ต ิด ตามอ่า นตั้ง แต่ต ้น จนจบ
วิธ ีก ารเล่า เรื่อ ง
 สร้างเหตุการณ์ที่เป็นจุดสนใจหรือปมปัญหาเมื่อ
เริ่มต้นเล่า แล้วลำาดับเหตุการณ์ก่อนหลัง เพือให้เกิด
่
ภาพพร้อมเสนอข้อเท็จจริงตามเวลาและสถานที่
๒. การเขีย นเพื่อ อธิบ าย
การเขีย นเพื่อ อธิบ าย เป็น การเขีย น
เพื่อ อธิบ าย แจกแจงข้อ เท็จ จริง ความรู้
อธิบ ายวิธ ีก ารใช้ วิธ ก ารแก้ป ญ หา วิธ ี
ี
ั
การดำา เนิน งานเพื่อ ให้ผ อ ่า นเข้า ใจ
ู้
ชัด เจน การเขีย นประเภทนี้ใ ช้ก ับ
การ
เขีย นเชิง วิช าการ เอกสาร ตำา รา ภาษาที่
ใช้ต ้อ งกระชับ รัด กุม
๓. การเขีย นเพื่อ โฆษณาจูง ใจ
การเขีย นเพื่อ โฆษณาจูง ใจ เป็น การเขีย น
เพื่อ โน้ม น้า วจิต ใจให้ผ ู้อ ่า นคล้อ ยตาม เห็น ด้ว ย
หรือ เปลี่ย นความคิด ความรู้ส ึก และทัศ นคติ
แล้ว ปฏิบ ัต ต ามคำา แนะนำา ของผู้เ ขีย น เช่น การ
ิ
เขีย นคำา ขวัญ เชิญ ชวนให้ไ ปเลือ กตัง สมาชิก
้
สภาผู้แ ทนราษฎร การเขีย นข้อ ความ
โฆษณาชวนเชือ ให้ซ ื้อ สิน ค้า หรือ ใช้บ ริก าร
่
ต่า งๆ ฯลฯ
๔. การเขีย นเพื่อ ปลุก ใจ
การเขีย นเพื่อ ปลุก ใจ ผู้เ ขีย นมีเ จตนา
จะให้ผ ู้อ ่า นมีค วามคิด เห็น เหมือ นกับ
ตนเอง หรือ ปลุก เร้า ความรู้ส ึก ที่เ ป็น อัน
หนึ่ง อัน เดีย วกัน เช่น บทความปลุก ใจให้
คนไทยรู้ร ัก สามัค คี บทความปลุก ใจให้
ร่ว มกัน ธำา รงประชาธิป ไตย เป็น ต้น
๕. การเขีย นเพื่อ แสดงความคิด
เห็น
การเขีย นเพื่อ แสดงความคิด เห็น
เป็น การเขีย นในเชิง วิพ ากษ์ว ิจ ารณ์
แนะนำา และแสดงความคิด เห็น ต่อ เรื่อ งใด
เรื่อ งหนึ่ง เช่น การแนะนำา หนัง สือ แนะนำา
สถานที่ การวิจ ารณ์ก ารทำา งานของรัฐ บาล
การวิเ คราะห์ส ถานการณ์ค วามไม่ส งบใน
สัง คมไทย ฯลฯ
๖. การเขีย นเพื่อ สร้า งจิน ตนาการ
การเขีย นเพื่อ สร้า งจิน ตนาการ
เป็น การเขีย นที่ม ุ่ง ให้ผ ู้อ ่า นเกิด จิน ตนาการ
คล้อ ยตามผู้เ ขีย น โดยที่ผ ู้เ ขีย นนำา เสนอ
ภาพความคิด สร้า งสรรค์ผ ่า นการใช้ภ าษา
ซึ่ง เลือ กสรรแล้ว อย่า งประณีต เช่น
นวนิย าย เรื่อ งสั้น บทร้อ ยกรอง บทละคร
ฯลฯ
๗. การเขีย นเพื่อ ล้อ เลีย นและ
เสีย ดสี
การเขีย นเพื่อ ล้อ เลีย นและเสีย ดสี
เป็น การเขีย นที่ม ุ่ง ให้ค วามรู้ส ึก ในลัก ษณะล้อ
เลีย น เสีย ดสี ประชดประชัน ท้ว งติง
เหน็บ แนม หรือ หยอกล้อ ด้ว ยความปรารถนา
ดี อาจแทรกอารมณ์ข น ในการเขีย น หรือ มี
ั
รูป ภาพประกอบบ้า ง เช่น การเขีย นอธิบ าย
ภาพการ์ต ูน ล้อ เลีย นการเมือ ง บทละคร
เสีย ดสีส ัง คม การแสดงตลกของนัก แสดง
ฯลฯ
ลัก ษณะงานเขีย นที่ด ี
มีค วามคิด สร้า งสรรค์ – สะท้อ นความคิด
สร้า งสรรค์ท ด ีแ ละมีป ระโยชน์
ี่
b. มีค วามชัด เจน – การใช้ค ำา ให้ถ ูก ต้อ งตรงความ
หมาย และการใช้ภ าษาทีไ ม่ก ำา กวม
่
c. มีเ อกภาพ - ความเป็น หนึ่ง เดีย วของเนือ หา
้
ภายในเรื่อ ง
d. มีส ัม พัน ธภาพ - ความสัม พัน ธ์ต ่อ เนื่อ งกัน ของ
เนือ เรื่อ ง
้
e. มีส ารัต ถภาพ - การเน้น ส่ว นสำา คัญ ของเนือ หา
้
a.
ชนิด ของการเขีย น
สารคดี
b. บทความ
c. บันเทิงคดี
d. เรื่องสัน
้
e. นวนิยาย
f. กวีนิพนธ์
a.
สารคดี
สารคดี หมายถึง งานเขียนที่มุ่งเน้นเนื้อหา
สาระ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ความรู้ความคิด
แก่ผู้อ่านเป็นสำาคัญ ซึ่งอาจจะสอดแทรกความ
บันเทิงแก่ผู้อ่านก็ได้
บทความ
บทความ เป็นความเรียงชนิดหนึงที่มุ่ง
่
เสนอข้อคิดเห็นเกียวกับเรื่องใดเรื่องหนึง หรือ
่
่
เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึน โดยมีหลัก
้
ฐานข้อเท็จจริงประกอบ เรื่องประเภทนี้จงควร
ึ
เป็นเรื่องที่ผู้อ่านกำาลังสนใจ ทันต่อเหตุการณ์ มี
สาระ ตลอดจนแทรกทัศนะที่ชวนให้คิดวิเคราะห์
วิจารณ์
บัน เทิง คดี
บันเทิงคดี หมายถึง งานเขียนที่ผู้เขียนมุ่ง
ให้ความเพลิดเพลินแก่ผู้อ่าน แต่อาจจะมีสาระ
ความรู้ที่มีคุณค่าสอดแทรกด้วยก็ได้
เรื่อ งสัน
้
เรืองสั้น เป็นรูปแบบงานเขียนชนิดหนึง
่
่
ของร้อยแก้วที่มีขนาดสัน มีลักษณะเฉพาะ เช่น
้
การบรรยาย ฉากที่กระชับ การสร้างตัวละคร
สำาคัญไม่มากนัก การบรรยายบทสนทนาที่
สมจริง การวางโครงเรืองไม่ซับซ้อน แก่นเรื่องที่
่
มุ่งเสนอแนวคิดหลักเพียงแนวคิดเดียว มักเป็น
เรื่องที่เสนอความขัดแย้งของมนุษย์กบสิงต่างๆ
ั ่
มักมีขนาดสัน และการนำาเสนอเรืองราวที่รวดเร็ว
้
่
เพื่อให้ผู้อ่านสามารถอ่านจบได้ในระยะสั้นๆ
นวนิย าย
นวนิยาย เป็นวรรณกรรมที่ไทยได้รับ
อิทธิพลทางการเขียนจากตะวันตก มีวธีการ
ิ
ดำาเนินเรื่องหลากหลายรูปแบบตามแต่ผู้ประพันธ์
จะสันทัดและพอใจ นวนิยายมีขอแตกต่างจาก
้
เรื่องสันหลายประการ เช่น จำานวนตัวละครที่มา
้
กกว่า การบรรยายและพรรณนาฉากและบท
สนทนาที่สมจริงเหมือนชีวิตจริงในสังคมขณะ
นัน การสร้างแนวคิดหรือแก่นเรื่องหลักและแก่น
้
เรื่องรอง การวางโครงเรื่องที่สลับซับซ้อนกว่า
เป็นต้น นวนิยายจึงนับเป็นงานเขียนที่น่าสนใจ
ดังคำากล่าวที่ว่า “นวนิยาย คือ กิริยาท่าทีของรัฐ
กวีน พ นธ์
ิ
กวีนพนธ์ หมายถึง บทร้อยกรองที่
ิ
สร้างสรรค์ความงามด้วยตัวอักษร เสียง จังหวะ
หรือท่วงทำานอง มีถ้อยคำาสือสารอันอาจเป็น
่
สัญลักษณ์หรือการสร้างภาพพจน์ เพื่อให้ผู้อ่าน
จินตนาการได้อย่างสวยงามกว้างไกลและไร้
ขอบเขต รวมทั้งเกิดความรู้สึกสะเทือนใจที่ลึกซึ้ง
หลัก การเขีย น
a. การเลือ กเรื่อ ง
b. การจัด ใจความ
c. การเขีย นย่อ หน้า
การเลือ กเรื่อ ง
เลือ กเรื่อ งที่ต นสนใจและถนัด ที่ส ุด
b. เลือ กเรื่อ งที่ต นมีค วามรู้ห รือ มีป ระสบการณ์
อยู่บ ้า งแล้ว ถ้า ยัง ไม่ม ีค วามรู้พ อหรือ
แม่น ยำา ควรค้น คว้า หาความรู้เ พิ่ม เติม
c. เลือ กเรื่อ งที่ม ีห ัว ข้อ ไม่ก ว้า งหรือ แคบเกิน
ไป ควรพิจ ารณาให้พ อเหมาะกับ ขนาด
ความยาวของงานที่จ ะเขีย น และเขีย นได้
ทัน ตามกำา หนดระยะเวลา
d. เลือ กเรื่อ งที่ส ามารถหาข้อ มูล มาอ้า งอิง
หรือ ประกอบการเขีย นได้อ ย่า งพอเพีย ง
a.
การจัด ใจความ
ขั้น ประมวลความรู้ค วามคิด
b. ขั้น เลือ กสรรความรู้ค วามคิด
c. ขั้น การจัด ระเบีย บความคิด
d. ขั้น การเขีย นตัว โครงเรื่อ ง
a.
ขัน ประมวลความรู้ค วามคิด
้
การประมวลความรู้ความคิด คือ การ
รวบรวมความรู้ ความคิดเกี่ยวกับเรื่องที่จะเขียน
ให้มากที่สุด ความรูความคิดดังกล่าวมีทั้งมาจาก
้
ประสบการณ์ของผู้เขียนเอง และประสบการณ์
ของผู้อื่น ความคิดและข้อมูลที่ได้จาก
ประสบการณ์ตางๆ นี้ เราควรจดบันทึกไว้ และ
่
จะได้นำามาใช้ในยามที่ตองการ
้
ขัน เลือ กสรรความรู้ค วามคิด
้
เมื่อได้ขอมูลต่างๆ มามากเพียงพอแล้ว
้
ข้อมูลเหล่านันอาจอยู่ในสภาพที่สบสนปนเปกัน
้
ั
เราจึงต้องใช้ความคิดพิจารณาเลือกสรรเฉพาะ
ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะเขียนเท่านัน
้
หากมีประเด็นใดไม่เกี่ยวข้องให้ตดทิ้งเสีย หรือ
ั
หากมีประเด็นซำ้าซ้อนกันก็ควรตัดส่วนที่ซำ้าซ้อน
นั้นทิ้งด้วยเช่นกัน
ขัน การจัด ระเบีย บความคิด
้
เมื่อได้เลือกสรรความรู้ ความคิด และข้อมูลต่างๆ
แล้ว ควรนำามาจัดหมวดหมู่และจัดระเบียบให้เป็นระบบ
เพือให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องราวได้ง่ายและชัดเจน โดยอาจ
่
จัดลำาดับความคิดให้เป็นระเบียบตามวิธีดังต่อไปนี้
๑. ลำาดับตามเวลาหรือตามเหตุการณ์ก่อนหลัง
๒. ลำาดับตามเหตุและผล
๓. ลำาดับตามความเข้าใจ
๔. ลำาดับตามทิศทางหรือสภาพภูมิศาสตร์
๕. ลำาดับตามหลักฐาน
ขัน การเขีย นตัว โครงเรื่อ ง
้
เมื่อจัดลำาดับความคิดเป็นหมวดหมู่และเป็น
ระเบียบดีแล้ว ต่อมาก็เขียนโครงเรื่องให้เหมาะสมก่อน
จะลงมือเขียนเรื่องต่อไป
การเขียนโครงเรื่อง นิยมใช้อยู่ ๒ แบบ คือ
๑. โครงเรื่องแบบหัวข้อ ใช้คำาหรือวลีสั้นๆ เพื่อ
เสนอใจความสำาคัญ และข้อความสนับสนุน
๒. โครงเรื่องแบบประโยค มักเขียนใจความ
สำาคัญด้วยข้อความที่เป็นประโยคสมบูรณ์ชัดเจน จึงมี
รายละเอียดที่บอกโครงสร้างของเรื่องที่จะเขียน และ
การเรียบเรียงที่ชัดเจนกว่าแบบหัวข้อ
การวางโครงเรื่องระบบตัวเลขสลับกับตัว
อักษร
๑.........................................................
.................................
ก..........................................................
......................
ข.........................................................
......................
๒.........................................................
................................
ก..........................................................
.....................
๑.........................................................
.................
ก. ........................................................
........
การวางโครงเรื่องระบบตัวเลขหรือระบบการ
ใช้ทศนิยม
๑.............................................................................
......................
๑.๑..........................................................................
........
๑.๑.๑......................................................................
๑.๑.๑.๑..........................................................
๑.๑.๑.๒........................................................
๑.๑.๑.๓........................................................
๑.๑.๒.....................................................................
๑.๒.........................................................................
........
๒.............................................................................
.....................
๒.๑.........................................................................
ในการกำาหนดหัวข้อโครงเรื่องควรมี
ลักษณะ ดังนี้
๑. หัวข้อที่มีประเด็นความสำาคัญเท่ากัน
ควรเขียนให้ตรงกัน
๒. หัวข้อใดที่แบ่งเป็นหัวข้อย่อย หัวข้อ
ย่อยที่แบ่งออกมานัน
้
จะต้องมีอย่าง
น้อย ๒ หัวข้อ
๓. หัวข้อย่อยจะต้องเขียนเยื้องไปทางขวา
มือเล็กน้อยเสมอ
ตัว อย่า งการวางโครงเรื่อ ง
“การใช้เ ครื่อ งปรับ อากาศในห้อ งนอน ”
บทนำา

ง่าย
สรุป

๑. ชนิดของเครื่องปรับอากาศ
๑.๑ เครื่องปรับอากาศแบบติดหน้าต่าง
๑.๑.๑ ข้อดี
๑.๑.๒ ข้อด้อย
๑.๒ เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วน
๑.๒.๑ ข้อดี
๑.๒.๒ ข้อด้อย
๒. ข้อควรพิจารณาในการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศ
๒.๑ ขนาดของเครื่องปรับอากาศ
๒.๒ ลักษณะการใช้งาน
๒.๒.๑ ห้องที่มขนาดพืนที่จำากัด
ี
้
๒.๒.๒ ห้องทีมขนาดใหญ่
่ ี
๒.๓ พลังงานไฟฟ้าทีใช้
่
๒.๔ งบประมาณการจัดซื้อ
๓. การเลือกตำาแหน่งติดตังทีเหมาะสม
้ ่
๓.๑ บริเวณที่ระบายความร้อนได้สะดวก
๓.๒ หลีกเลี่ยงบริเวณทีถูกแสงแดดและฝนสาดได้
่
๓.๓ ไม่กีดขวางทางเดิน
การเขีย นย่อ หน้า
ย่อหน้า หรือ อนุเฉท (paragraph) หมาย
ถึง กลุ่มประโยคที่รวมกันเพือแสดงความคิด
่
สำาคัญ (main idea) เพียงประการเดียว และ
เป็นส่วนหนึ่งของงานเขียนเรื่องหนึ่ง ย่อหน้า
ประกอบด้วยประโยคใจความและประโยคอื่นที่
ใช้ขยายความให้ชดเจนและสมบูรณ์ยิ่งขึน
ั
้
ความสำา คัญ ของย่อ หน้า
ย่อหน้ามีส่วนช่วยให้ผู้เขียนและผู้อ่านได้รับ
ประโยชน์หลายประการ ดังนี้
๑. ช่วยให้ผู้เขียนมีวิธีเสนอเรื่องที่ดเป็นกระ
ี
บวนการต่อเนือง
่
๒. ช่วยให้ผู้อ่านติดตามเนื้อหาในย่อหน้าต่อ
ไปได้อย่างเข้าใจต่อเนือง
่
๓. ทำาให้ผู้อ่านมีโอกาสพักสายตา พักสมอง
๔. ทำาให้เกิดความงามในรูปของการเขียน
หนังสืออย่างมีสดส่วน
ั
ความยาวของย่อ หน้า
ความยาวของย่อหน้าอาจพิจารณาได้จาก
ตัวแปรต่อไปนี้
๑. วัตถุประสงค์ในการเขียน
๒. พื้นความรู้ของผู้อ่าน
๓. ประเภทของสิ่งพิมพ์
๔. ความรู้ของผู้เขียน
๕. ความยากง่ายของเนือหา
้
๖. เนื้อที่สำาหรับเขียน
ขั้นตอนการเขียนย่อหน้า
๑. ก่อนเขียน คิดว่าจะเขียนย่อหน้าเกี่ยวกับเรื่อง
อะไร
๒. เมือได้ความคิดหลักแล้ว แปรความคิดหลักเป็น
่
ประโยคใจความสำาคัญ
๓. เมือได้ประโยคใจความสำาคัญแล้ว เขียนขยาย
่
ความด้วยรายละเอียด หรือ
ประโยคขยายความ
ทีมใจความสำาคัญสอดคล้องกับความคิดหลัก
่ ี
๔. นำาประโยคใจความสำาคัญและประโยคขยาย
ความทีคิดไว้มาเรียบเรียงให้
่
ต่อเนื่องกลมกลืนกัน
แล้วเรียบเรียงเป็นย่อหน้า
องค์ป ระกอบของย่อ หน้า
๑. ความคิด สำา คัญ (Main Idea)
ความคิดสำาคัญ หรือ ความคิดหลัก
หมายถึง ความคิดที่ผู้เขียนต้องการเสนอต่อผู้
อ่านเพียงความคิดเดียวเท่านั้น แสดงได้ด้วยการ
เขียน ประโยคใจความสำาคัญ (Topic
Sentence)
๒. ประโยคขยายความ (Supporting
Sentence)
ประโยคขยายความ เป็นประโยคที่
รูป แบบของย่อ หน้า
ย่อหน้ามี ๕ รูปแบบ คือ
๑. ประโยคใจความสำาคัญอยู่ตอนต้น
ย่อหน้า
๒. ประโยคใจความสำาคัญอยู่ตอนท้าย
ย่อหน้า
๓. ประโยคใจความสำาคัญอยู่ตอนต้นและ
ตอนท้ายย่อหน้า
๔. ประโยคใจความสำาคัญอยู่ตรงกลาง
ย่อหน้า
วิธ ีข ยายความในย่อ หน้า
ขยายความโดยการให้คำาจำากัดความ
b. ขยายความโดยการให้รายละเอียด
c. ขยายความโดยการยกตัวอย่าง
d. ขยายความโดยการเปรียบเทียบ
e. ขยายความโดยการให้เหตุผล
a.
ลักษณะของย่อหน้าที่ดี
๑. มีเอกภาพ - มุ่งเสนอความคิดหลักเพียง
ประเด็นเดียว
๒. มีสัมพันธภาพ - ความต่อเนื่องสัมพันธ์กน
ั
ทั้งในระดับประโยค
และข้อความในย่อหน้า
๓. มีสารัตถภาพ - การเน้นยำ้าความคิดสำาคัญ
๔. มีความสมบูรณ์
การใช้โ วหาร
การใช้โวหาร คือ การใช้ถ้อยคำาอย่าง
ประณีตที่คัดสรรแล้ว เพื่อให้ได้ใจความที่ดี
ความหมายชัดเจน ตรงตามความมุ่งหมายของผู้
เขียน โวหารแบ่งได้ดังนี้
๑. บรรยายโวหาร
๒. พรรณนาโวหาร
๓. เทศนาโวหาร
๔. อุปมาโวหาร
๕. สาธกโวหาร
บรรยายโวหาร
บรรยายโวหาร หมายถึง การเขียนเล่า
เรื่องหรือบรรยายเรื่องโดยละเอียด ให้ความรู้
แจ่มแจ้งในเรืองนั้นๆ เรื่องที่ควรใช้บรรยาย
่
โวหารนั้น ควรเป็นเรืองทำานองนิทาน นิยาย
่
ประวัติบุคคล ความรู้ทางวิชาการ บันทึก
เหตุการณ์ รายงาน จดหมายเหตุ เป็นต้น
พรรณนาโวหาร
พรรณนาโวหาร คือ การให้รายละเอียด
ต่างๆ โดยไม่มีการดำาเนินเรื่อง เป็นการจำาแนก
รายละเอียดต่างๆ ของเรื่องที่บรรยายไว้เสริมให้
ผู้อ่านเห็นภาพพจน์ชัดเจนยิ่งขึ้น ก่อให้เกิด
ความสะเทือนอารมณ์ และเพลิดเพลินตามไป
ด้วย ลักษณะเนือความพรรณนาโวหาร ได้แก่
้
๑. ชมความงามธรรมชาติและสถานที่
๒. สรรเสริญคุณงามความดีของบุคคล
๓. รำาพันความรู้สึกในใจ
๔. เล่นสำานวนถ้อยคำา และความหมายให้
เทศนาโวหาร
เทศนาโวหาร คือ โวหารที่มุ่งโน้มน้าวใจ
ให้ผู้อ่านประพฤติปฏิบัตตามคำาสอนนัน เป็นกระ
ิ
้
บวนความที่กล่าวชีแจงสั่งสอนอันประกอบด้วย
้
เหตุและผลเพื่อชักจูงให้ผู้อ่านเห็นตามและเชือ
่
ตาม
อุปมาโวหาร
อุปมาโวหาร คือ การเขียนโดยยกข้อความ
ซึ่งกล่าวถึงอีกสิ่งหนึ่งขึ้นมาเปรียบเทียบกับสิงที่
่
ต้องการ เพื่อให้ได้ความหมายแจ่มแจ้งและ
คมคายยิ่งขึน
้
สาธกโวหาร
สาธกโวหาร คือ การเขียนข้อความที่จะยก
เป็นตัวประกอบเนื้อเรืองบางตอนเพื่อให้เข้าใจ
่
แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น
เรืองที่จะใช้สาธกโวหารควรเป็นเรื่องที่
่
ต้องแสดงอุทาหรณ์ความเป็นไปประกอบกับ
เทศนาโวหารเป็นส่วนมาก เพราะต้องการที่จะ
ชีแจง ชักชวน หรือสั่งสอนให้เห็นจริงโดยเทียบ
้
เคียงหลักฐาน

More Related Content

What's hot

งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1MilkOrapun
 
ภูมิปัญญาทางภาษา
ภูมิปัญญาทางภาษาภูมิปัญญาทางภาษา
ภูมิปัญญาทางภาษาluckkhana
 
วิเคราะห์หลักสุตรที่ใช้ในการอบรม
วิเคราะห์หลักสุตรที่ใช้ในการอบรมวิเคราะห์หลักสุตรที่ใช้ในการอบรม
วิเคราะห์หลักสุตรที่ใช้ในการอบรมpong_4548
 
การวิจารณ์วรรณคดีตามแนวตะวันออก
การวิจารณ์วรรณคดีตามแนวตะวันออกการวิจารณ์วรรณคดีตามแนวตะวันออก
การวิจารณ์วรรณคดีตามแนวตะวันออกWatcharapol Wiboolyasarin
 
6 การพูดเพื่อติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน(188-208)
6 การพูดเพื่อติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน(188-208)6 การพูดเพื่อติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน(188-208)
6 การพูดเพื่อติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน(188-208)อัมพร ศรีพิทักษ์
 
7 การเขียนเรียงความและการเขียนย่อความ(209-237)
7 การเขียนเรียงความและการเขียนย่อความ(209-237)7 การเขียนเรียงความและการเขียนย่อความ(209-237)
7 การเขียนเรียงความและการเขียนย่อความ(209-237)อัมพร ศรีพิทักษ์
 
3 การใช้ทักษะทางภาษาสื่อสารเพื่อพัฒนาตนเอง(74-103)
3 การใช้ทักษะทางภาษาสื่อสารเพื่อพัฒนาตนเอง(74-103)3 การใช้ทักษะทางภาษาสื่อสารเพื่อพัฒนาตนเอง(74-103)
3 การใช้ทักษะทางภาษาสื่อสารเพื่อพัฒนาตนเอง(74-103)อัมพร ศรีพิทักษ์
 
ลักษณะของนิทานพื้นบ้าน
ลักษณะของนิทานพื้นบ้านลักษณะของนิทานพื้นบ้าน
ลักษณะของนิทานพื้นบ้านapiradee037
 
บทที่ 6 การสนทนา
บทที่ 6 การสนทนาบทที่ 6 การสนทนา
บทที่ 6 การสนทนาAj.Mallika Phongphaew
 
สื่อการสอนวิชาทักษะภาษาไทยเพื่ออาชีพ
สื่อการสอนวิชาทักษะภาษาไทยเพื่ออาชีพสื่อการสอนวิชาทักษะภาษาไทยเพื่ออาชีพ
สื่อการสอนวิชาทักษะภาษาไทยเพื่ออาชีพpanjit
 
วิธีการพูด
วิธีการพูดวิธีการพูด
วิธีการพูดareemarketing
 

What's hot (16)

งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1งานนำเสนอ1
งานนำเสนอ1
 
ภูมิปัญญาทางภาษา
ภูมิปัญญาทางภาษาภูมิปัญญาทางภาษา
ภูมิปัญญาทางภาษา
 
วิเคราะห์หลักสุตรที่ใช้ในการอบรม
วิเคราะห์หลักสุตรที่ใช้ในการอบรมวิเคราะห์หลักสุตรที่ใช้ในการอบรม
วิเคราะห์หลักสุตรที่ใช้ในการอบรม
 
การวิจารณ์วรรณคดีตามแนวตะวันออก
การวิจารณ์วรรณคดีตามแนวตะวันออกการวิจารณ์วรรณคดีตามแนวตะวันออก
การวิจารณ์วรรณคดีตามแนวตะวันออก
 
6 การพูดเพื่อติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน(188-208)
6 การพูดเพื่อติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน(188-208)6 การพูดเพื่อติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน(188-208)
6 การพูดเพื่อติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน(188-208)
 
7 การเขียนเรียงความและการเขียนย่อความ(209-237)
7 การเขียนเรียงความและการเขียนย่อความ(209-237)7 การเขียนเรียงความและการเขียนย่อความ(209-237)
7 การเขียนเรียงความและการเขียนย่อความ(209-237)
 
3 การใช้ทักษะทางภาษาสื่อสารเพื่อพัฒนาตนเอง(74-103)
3 การใช้ทักษะทางภาษาสื่อสารเพื่อพัฒนาตนเอง(74-103)3 การใช้ทักษะทางภาษาสื่อสารเพื่อพัฒนาตนเอง(74-103)
3 การใช้ทักษะทางภาษาสื่อสารเพื่อพัฒนาตนเอง(74-103)
 
ลักษณะของนิทานพื้นบ้าน
ลักษณะของนิทานพื้นบ้านลักษณะของนิทานพื้นบ้าน
ลักษณะของนิทานพื้นบ้าน
 
03 modelof integration+188
03 modelof integration+18803 modelof integration+188
03 modelof integration+188
 
บทที่ 6 การสนทนา
บทที่ 6 การสนทนาบทที่ 6 การสนทนา
บทที่ 6 การสนทนา
 
การพูดประเภทต่าง ๆ
การพูดประเภทต่าง ๆการพูดประเภทต่าง ๆ
การพูดประเภทต่าง ๆ
 
สุภาษิต
สุภาษิตสุภาษิต
สุภาษิต
 
สื่อการสอนวิชาทักษะภาษาไทยเพื่ออาชีพ
สื่อการสอนวิชาทักษะภาษาไทยเพื่ออาชีพสื่อการสอนวิชาทักษะภาษาไทยเพื่ออาชีพ
สื่อการสอนวิชาทักษะภาษาไทยเพื่ออาชีพ
 
นวนิยายพร้อมส่ง
นวนิยายพร้อมส่งนวนิยายพร้อมส่ง
นวนิยายพร้อมส่ง
 
วิธีการพูด
วิธีการพูดวิธีการพูด
วิธีการพูด
 
Your presentation phuket 18_aug2012
Your presentation phuket 18_aug2012Your presentation phuket 18_aug2012
Your presentation phuket 18_aug2012
 

Viewers also liked

ภาษากับการสื่อสารในยุคปัจจุบัน 3
ภาษากับการสื่อสารในยุคปัจจุบัน 3ภาษากับการสื่อสารในยุคปัจจุบัน 3
ภาษากับการสื่อสารในยุคปัจจุบัน 3Yota Bhikkhu
 
English for political+science 9
English for political+science 9English for political+science 9
English for political+science 9Yota Bhikkhu
 
วินัยสำหรับชีวิตDisciplineforlife
วินัยสำหรับชีวิตDisciplineforlifeวินัยสำหรับชีวิตDisciplineforlife
วินัยสำหรับชีวิตDisciplineforlifeYota Bhikkhu
 
ตัวอย่างข้อสอบภาษากับการสื่อสาร
ตัวอย่างข้อสอบภาษากับการสื่อสารตัวอย่างข้อสอบภาษากับการสื่อสาร
ตัวอย่างข้อสอบภาษากับการสื่อสารYota Bhikkhu
 
การสื่อสารและมนุษย์สัมพันธ์
การสื่อสารและมนุษย์สัมพันธ์การสื่อสารและมนุษย์สัมพันธ์
การสื่อสารและมนุษย์สัมพันธ์Yota Bhikkhu
 
ระเบียบสำนักนายกว่าด้วยงานสารบรรณ 8.2
ระเบียบสำนักนายกว่าด้วยงานสารบรรณ 8.2ระเบียบสำนักนายกว่าด้วยงานสารบรรณ 8.2
ระเบียบสำนักนายกว่าด้วยงานสารบรรณ 8.2Yota Bhikkhu
 
English for political+science 9
English for political+science 9English for political+science 9
English for political+science 9Yota Bhikkhu
 
Course syllabus basic english
Course syllabus basic englishCourse syllabus basic english
Course syllabus basic englishYota Bhikkhu
 
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการอ่าน 6
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการอ่าน 6ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการอ่าน 6
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการอ่าน 6Yota Bhikkhu
 
พระวินัยปิฎกศึกษา 1
พระวินัยปิฎกศึกษา 1พระวินัยปิฎกศึกษา 1
พระวินัยปิฎกศึกษา 1Yota Bhikkhu
 
6.บทที่.6 เอกสารอ้างอิง-ภาคผนวก-ประวัติผู้วิจัย
6.บทที่.6 เอกสารอ้างอิง-ภาคผนวก-ประวัติผู้วิจัย6.บทที่.6 เอกสารอ้างอิง-ภาคผนวก-ประวัติผู้วิจัย
6.บทที่.6 เอกสารอ้างอิง-ภาคผนวก-ประวัติผู้วิจัยYota Bhikkhu
 
1.บทที่.1 บทนำ
1.บทที่.1 บทนำ1.บทที่.1 บทนำ
1.บทที่.1 บทนำYota Bhikkhu
 
3.บทที่.3 วิธีวิจัย
3.บทที่.3   วิธีวิจัย3.บทที่.3   วิธีวิจัย
3.บทที่.3 วิธีวิจัยYota Bhikkhu
 
Language and communication
Language and communicationLanguage and communication
Language and communicationYota Bhikkhu
 
Advance english 1[1]
Advance english 1[1]Advance english 1[1]
Advance english 1[1]Yota Bhikkhu
 
Advance english 4[1]
Advance english 4[1]Advance english 4[1]
Advance english 4[1]Yota Bhikkhu
 
งานวิจัยความพึงพอใจ ฉบับสมบูรณ์
งานวิจัยความพึงพอใจ ฉบับสมบูรณ์งานวิจัยความพึงพอใจ ฉบับสมบูรณ์
งานวิจัยความพึงพอใจ ฉบับสมบูรณ์Yota Bhikkhu
 
พระวินัย ความเข้าใจวินัยสงฆ์00
พระวินัย  ความเข้าใจวินัยสงฆ์00พระวินัย  ความเข้าใจวินัยสงฆ์00
พระวินัย ความเข้าใจวินัยสงฆ์00Yota Bhikkhu
 
Advance english 2[1]
Advance english 2[1]Advance english 2[1]
Advance english 2[1]Yota Bhikkhu
 

Viewers also liked (19)

ภาษากับการสื่อสารในยุคปัจจุบัน 3
ภาษากับการสื่อสารในยุคปัจจุบัน 3ภาษากับการสื่อสารในยุคปัจจุบัน 3
ภาษากับการสื่อสารในยุคปัจจุบัน 3
 
English for political+science 9
English for political+science 9English for political+science 9
English for political+science 9
 
วินัยสำหรับชีวิตDisciplineforlife
วินัยสำหรับชีวิตDisciplineforlifeวินัยสำหรับชีวิตDisciplineforlife
วินัยสำหรับชีวิตDisciplineforlife
 
ตัวอย่างข้อสอบภาษากับการสื่อสาร
ตัวอย่างข้อสอบภาษากับการสื่อสารตัวอย่างข้อสอบภาษากับการสื่อสาร
ตัวอย่างข้อสอบภาษากับการสื่อสาร
 
การสื่อสารและมนุษย์สัมพันธ์
การสื่อสารและมนุษย์สัมพันธ์การสื่อสารและมนุษย์สัมพันธ์
การสื่อสารและมนุษย์สัมพันธ์
 
ระเบียบสำนักนายกว่าด้วยงานสารบรรณ 8.2
ระเบียบสำนักนายกว่าด้วยงานสารบรรณ 8.2ระเบียบสำนักนายกว่าด้วยงานสารบรรณ 8.2
ระเบียบสำนักนายกว่าด้วยงานสารบรรณ 8.2
 
English for political+science 9
English for political+science 9English for political+science 9
English for political+science 9
 
Course syllabus basic english
Course syllabus basic englishCourse syllabus basic english
Course syllabus basic english
 
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการอ่าน 6
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการอ่าน 6ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการอ่าน 6
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการอ่าน 6
 
พระวินัยปิฎกศึกษา 1
พระวินัยปิฎกศึกษา 1พระวินัยปิฎกศึกษา 1
พระวินัยปิฎกศึกษา 1
 
6.บทที่.6 เอกสารอ้างอิง-ภาคผนวก-ประวัติผู้วิจัย
6.บทที่.6 เอกสารอ้างอิง-ภาคผนวก-ประวัติผู้วิจัย6.บทที่.6 เอกสารอ้างอิง-ภาคผนวก-ประวัติผู้วิจัย
6.บทที่.6 เอกสารอ้างอิง-ภาคผนวก-ประวัติผู้วิจัย
 
1.บทที่.1 บทนำ
1.บทที่.1 บทนำ1.บทที่.1 บทนำ
1.บทที่.1 บทนำ
 
3.บทที่.3 วิธีวิจัย
3.บทที่.3   วิธีวิจัย3.บทที่.3   วิธีวิจัย
3.บทที่.3 วิธีวิจัย
 
Language and communication
Language and communicationLanguage and communication
Language and communication
 
Advance english 1[1]
Advance english 1[1]Advance english 1[1]
Advance english 1[1]
 
Advance english 4[1]
Advance english 4[1]Advance english 4[1]
Advance english 4[1]
 
งานวิจัยความพึงพอใจ ฉบับสมบูรณ์
งานวิจัยความพึงพอใจ ฉบับสมบูรณ์งานวิจัยความพึงพอใจ ฉบับสมบูรณ์
งานวิจัยความพึงพอใจ ฉบับสมบูรณ์
 
พระวินัย ความเข้าใจวินัยสงฆ์00
พระวินัย  ความเข้าใจวินัยสงฆ์00พระวินัย  ความเข้าใจวินัยสงฆ์00
พระวินัย ความเข้าใจวินัยสงฆ์00
 
Advance english 2[1]
Advance english 2[1]Advance english 2[1]
Advance english 2[1]
 

Similar to ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเขียน 7.1

โวหารในการเขียน
โวหารในการเขียนโวหารในการเขียน
โวหารในการเขียนkrubuatoom
 
ทรรศนะ2
ทรรศนะ2ทรรศนะ2
ทรรศนะ2krubuatoom
 
5 การฟังและการดูอย่างมีประสิทธิภาพ(154-183)
5 การฟังและการดูอย่างมีประสิทธิภาพ(154-183)5 การฟังและการดูอย่างมีประสิทธิภาพ(154-183)
5 การฟังและการดูอย่างมีประสิทธิภาพ(154-183)อัมพร ศรีพิทักษ์
 
การเขียนบทสารคดี-01
การเขียนบทสารคดี-01การเขียนบทสารคดี-01
การเขียนบทสารคดี-01Apida Runvat
 
เรื่องการเขียนจดหมาย
เรื่องการเขียนจดหมายเรื่องการเขียนจดหมาย
เรื่องการเขียนจดหมายjiratt
 
4 การอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ(108-147)
4 การอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ(108-147)4 การอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ(108-147)
4 การอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ(108-147)อัมพร ศรีพิทักษ์
 
สรุปแบบย้อนกลับ แก้ไขด้วย
สรุปแบบย้อนกลับ แก้ไขด้วยสรุปแบบย้อนกลับ แก้ไขด้วย
สรุปแบบย้อนกลับ แก้ไขด้วยkrunakhonch
 
ประวัติของวรรณคดี
ประวัติของวรรณคดีประวัติของวรรณคดี
ประวัติของวรรณคดีRuangrat Watthanasaowalak
 
ภาษาไทย สำนวนไทย
ภาษาไทย สำนวนไทยภาษาไทย สำนวนไทย
ภาษาไทย สำนวนไทยsomchai2505
 
Unlicensed-นวัตกรรมช่วยสอน
 Unlicensed-นวัตกรรมช่วยสอน Unlicensed-นวัตกรรมช่วยสอน
Unlicensed-นวัตกรรมช่วยสอนkuneena
 
นวัฒกรรมช่วยสอน
นวัฒกรรมช่วยสอนนวัฒกรรมช่วยสอน
นวัฒกรรมช่วยสอนkuneena
 
นวัตกรรมช่วยสอน
นวัตกรรมช่วยสอนนวัตกรรมช่วยสอน
นวัตกรรมช่วยสอนkuneena
 
ทรรศนะ2
ทรรศนะ2ทรรศนะ2
ทรรศนะ2krubuatoom
 

Similar to ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเขียน 7.1 (20)

โวหารในการเขียน
โวหารในการเขียนโวหารในการเขียน
โวหารในการเขียน
 
Nuntanakan2
Nuntanakan2Nuntanakan2
Nuntanakan2
 
ทรรศนะ2
ทรรศนะ2ทรรศนะ2
ทรรศนะ2
 
5 การฟังและการดูอย่างมีประสิทธิภาพ(154-183)
5 การฟังและการดูอย่างมีประสิทธิภาพ(154-183)5 การฟังและการดูอย่างมีประสิทธิภาพ(154-183)
5 การฟังและการดูอย่างมีประสิทธิภาพ(154-183)
 
ขั้นตอนในการถ่ายภาพยนตร์สั้น2
ขั้นตอนในการถ่ายภาพยนตร์สั้น2ขั้นตอนในการถ่ายภาพยนตร์สั้น2
ขั้นตอนในการถ่ายภาพยนตร์สั้น2
 
ขั้นตอนในการถ่ายภาพยนตร์สั้น
ขั้นตอนในการถ่ายภาพยนตร์สั้นขั้นตอนในการถ่ายภาพยนตร์สั้น
ขั้นตอนในการถ่ายภาพยนตร์สั้น
 
ขั้นตอนในการถ่ายภาพยนตร์สั้น
ขั้นตอนในการถ่ายภาพยนตร์สั้นขั้นตอนในการถ่ายภาพยนตร์สั้น
ขั้นตอนในการถ่ายภาพยนตร์สั้น
 
การเขียนบทสารคดี-01
การเขียนบทสารคดี-01การเขียนบทสารคดี-01
การเขียนบทสารคดี-01
 
เรื่องการเขียนจดหมาย
เรื่องการเขียนจดหมายเรื่องการเขียนจดหมาย
เรื่องการเขียนจดหมาย
 
การอ่านวรรณคดี ม.๕[1]
การอ่านวรรณคดี ม.๕[1]การอ่านวรรณคดี ม.๕[1]
การอ่านวรรณคดี ม.๕[1]
 
4 การอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ(108-147)
4 การอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ(108-147)4 การอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ(108-147)
4 การอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ(108-147)
 
สรุปแบบย้อนกลับ แก้ไขด้วย
สรุปแบบย้อนกลับ แก้ไขด้วยสรุปแบบย้อนกลับ แก้ไขด้วย
สรุปแบบย้อนกลับ แก้ไขด้วย
 
เรียงความ
เรียงความเรียงความ
เรียงความ
 
ประวัติของวรรณคดี
ประวัติของวรรณคดีประวัติของวรรณคดี
ประวัติของวรรณคดี
 
Straightpiece
StraightpieceStraightpiece
Straightpiece
 
ภาษาไทย สำนวนไทย
ภาษาไทย สำนวนไทยภาษาไทย สำนวนไทย
ภาษาไทย สำนวนไทย
 
Unlicensed-นวัตกรรมช่วยสอน
 Unlicensed-นวัตกรรมช่วยสอน Unlicensed-นวัตกรรมช่วยสอน
Unlicensed-นวัตกรรมช่วยสอน
 
นวัฒกรรมช่วยสอน
นวัฒกรรมช่วยสอนนวัฒกรรมช่วยสอน
นวัฒกรรมช่วยสอน
 
นวัตกรรมช่วยสอน
นวัตกรรมช่วยสอนนวัตกรรมช่วยสอน
นวัตกรรมช่วยสอน
 
ทรรศนะ2
ทรรศนะ2ทรรศนะ2
ทรรศนะ2
 

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเขียน 7.1

  • 1. บทที่ ๔ ความรู้พ น ฐานเกีย วกับ การ ื้ ่ เขีย น
  • 2. ความรู้พ ื้น ฐานเกี่ย วกับ การเขีย น เริ่ม เรีย นให้เ ร่ง รู้ องค์ป ระมาณหมาย หนึ่ง ฟัง อย่า ฟัง ดาย กำา หนดจำา หนึ่ง ให้อ ุต สาหะ จิต คิด พิน ิจ คำา หนึ่ง ห้า มอย่า เอื้อ นคำา ใดให้เ ร่ง ถาม หนึ่ง ให้พ ิน ิจ คิด ทั้ง สี่ ให้ต ั้ง จิต เอา ฉงน ลิข ิต ข้อ
  • 3. หาความรู้เ ร่ง ให้ แม่น ยำา ลืม ย่อ มแก้ด ้ว ยจำา จดไว้ จำา มากนัก จัก ทำา ตนดุจ ห้อ งสมุด การจดจึ่ง ต้อ งให้ ชอบ ใช้ช าญเขีย น
  • 4. ความหมายของการเขีย น การเขีย น หมายถึง ทัก ษะการใช้ ภาษาที่ม ุ่ง ถ่า ยทอดความรู้ส ก ความคิด ึ ความรู้ และข้อ มูล ต่า งๆ เป็น ลาย ลัก ษณ์อ ัก ษรเพื่อ ให้ผ ู้อ า นได้ร ับ ทราบ ่ จุด ประสงค์ต ามเจตนาของผู้เ ขีย น
  • 5. ความสำา คัญ ของการเขีย น ๑. เป็น เครื่อ งแสดงออกถึง ความรู้ ความคิด และความ รู้ส ึก ของมนุษ ย์ ๒. เป็น เครื่อ งมือ สำา คัญ ที่แ สดงถึง อารยธรรมของ มนุษ ย์ใ นแต่ล ะยุค สมัย ๓. เป็น เครื่อ งมือ สำา หรับ สื่อ สารของมนุษ ย์ท ี่ม ี ประสิท ธิภ าพ ๔. เป็น เครื่อ งถ่า ยทอดวัฒ นธรรมที่ส ำา คัญ อัน เป็น มรดกทางสติป ัญ ญาของมนุษ ย์ เช่น วรรณกรรม วรรณคดี ตำา นาน ฯลฯ ๕. เป็น เครื่อ งมือ ที่ช ่ว ยสนองต่อ ความต้อ งการของ มนุษ ย์ เช่น ความรัก ความเข้า ใจ ความเห็น อกเห็น ใจ ฯลฯ ๖. เป็น บัน ทึก ที่ม ีค ุณ ค่า ทางประวัต ิศ าสตร์ สามารถ
  • 6. จุด มุ่ง หมายการเขีย น a.การเขีย นเพื่อ เล่า เรื่อ ง b.การเขีย นเพื่อ อธิบ าย c.การเขีย นเพื่อ โฆษณาจูง ใจ d.การเขีย นเพื่อ ปลุก ใจ e.การเขีย นเพื่อ แสดงความ คิด เห็น f. การเขีย นเพื่อ สร้า ง จิน ตนาการ
  • 7. ๑. การเขีย นเพื่อ เล่า เรื่อ ง การเขีย นเพื่อ เล่า เรื่อ ง เป็น การถ่า ยทอด เรื่อ งราวต่า งๆ เพื่อ เล่า เรื่อ งให้ผ อ ่า นเห็น ู้ เหตุก ารณ์ และภาพออกมาอย่า งชัด เจนชวน ให้ต ิด ตามอ่า นตั้ง แต่ต ้น จนจบ วิธ ีก ารเล่า เรื่อ ง  สร้างเหตุการณ์ที่เป็นจุดสนใจหรือปมปัญหาเมื่อ เริ่มต้นเล่า แล้วลำาดับเหตุการณ์ก่อนหลัง เพือให้เกิด ่ ภาพพร้อมเสนอข้อเท็จจริงตามเวลาและสถานที่
  • 8. ๒. การเขีย นเพื่อ อธิบ าย การเขีย นเพื่อ อธิบ าย เป็น การเขีย น เพื่อ อธิบ าย แจกแจงข้อ เท็จ จริง ความรู้ อธิบ ายวิธ ีก ารใช้ วิธ ก ารแก้ป ญ หา วิธ ี ี ั การดำา เนิน งานเพื่อ ให้ผ อ ่า นเข้า ใจ ู้ ชัด เจน การเขีย นประเภทนี้ใ ช้ก ับ การ เขีย นเชิง วิช าการ เอกสาร ตำา รา ภาษาที่ ใช้ต ้อ งกระชับ รัด กุม
  • 9. ๓. การเขีย นเพื่อ โฆษณาจูง ใจ การเขีย นเพื่อ โฆษณาจูง ใจ เป็น การเขีย น เพื่อ โน้ม น้า วจิต ใจให้ผ ู้อ ่า นคล้อ ยตาม เห็น ด้ว ย หรือ เปลี่ย นความคิด ความรู้ส ึก และทัศ นคติ แล้ว ปฏิบ ัต ต ามคำา แนะนำา ของผู้เ ขีย น เช่น การ ิ เขีย นคำา ขวัญ เชิญ ชวนให้ไ ปเลือ กตัง สมาชิก ้ สภาผู้แ ทนราษฎร การเขีย นข้อ ความ โฆษณาชวนเชือ ให้ซ ื้อ สิน ค้า หรือ ใช้บ ริก าร ่ ต่า งๆ ฯลฯ
  • 10. ๔. การเขีย นเพื่อ ปลุก ใจ การเขีย นเพื่อ ปลุก ใจ ผู้เ ขีย นมีเ จตนา จะให้ผ ู้อ ่า นมีค วามคิด เห็น เหมือ นกับ ตนเอง หรือ ปลุก เร้า ความรู้ส ึก ที่เ ป็น อัน หนึ่ง อัน เดีย วกัน เช่น บทความปลุก ใจให้ คนไทยรู้ร ัก สามัค คี บทความปลุก ใจให้ ร่ว มกัน ธำา รงประชาธิป ไตย เป็น ต้น
  • 11. ๕. การเขีย นเพื่อ แสดงความคิด เห็น การเขีย นเพื่อ แสดงความคิด เห็น เป็น การเขีย นในเชิง วิพ ากษ์ว ิจ ารณ์ แนะนำา และแสดงความคิด เห็น ต่อ เรื่อ งใด เรื่อ งหนึ่ง เช่น การแนะนำา หนัง สือ แนะนำา สถานที่ การวิจ ารณ์ก ารทำา งานของรัฐ บาล การวิเ คราะห์ส ถานการณ์ค วามไม่ส งบใน สัง คมไทย ฯลฯ
  • 12. ๖. การเขีย นเพื่อ สร้า งจิน ตนาการ การเขีย นเพื่อ สร้า งจิน ตนาการ เป็น การเขีย นที่ม ุ่ง ให้ผ ู้อ ่า นเกิด จิน ตนาการ คล้อ ยตามผู้เ ขีย น โดยที่ผ ู้เ ขีย นนำา เสนอ ภาพความคิด สร้า งสรรค์ผ ่า นการใช้ภ าษา ซึ่ง เลือ กสรรแล้ว อย่า งประณีต เช่น นวนิย าย เรื่อ งสั้น บทร้อ ยกรอง บทละคร ฯลฯ
  • 13. ๗. การเขีย นเพื่อ ล้อ เลีย นและ เสีย ดสี การเขีย นเพื่อ ล้อ เลีย นและเสีย ดสี เป็น การเขีย นที่ม ุ่ง ให้ค วามรู้ส ึก ในลัก ษณะล้อ เลีย น เสีย ดสี ประชดประชัน ท้ว งติง เหน็บ แนม หรือ หยอกล้อ ด้ว ยความปรารถนา ดี อาจแทรกอารมณ์ข น ในการเขีย น หรือ มี ั รูป ภาพประกอบบ้า ง เช่น การเขีย นอธิบ าย ภาพการ์ต ูน ล้อ เลีย นการเมือ ง บทละคร เสีย ดสีส ัง คม การแสดงตลกของนัก แสดง ฯลฯ
  • 14. ลัก ษณะงานเขีย นที่ด ี มีค วามคิด สร้า งสรรค์ – สะท้อ นความคิด สร้า งสรรค์ท ด ีแ ละมีป ระโยชน์ ี่ b. มีค วามชัด เจน – การใช้ค ำา ให้ถ ูก ต้อ งตรงความ หมาย และการใช้ภ าษาทีไ ม่ก ำา กวม ่ c. มีเ อกภาพ - ความเป็น หนึ่ง เดีย วของเนือ หา ้ ภายในเรื่อ ง d. มีส ัม พัน ธภาพ - ความสัม พัน ธ์ต ่อ เนื่อ งกัน ของ เนือ เรื่อ ง ้ e. มีส ารัต ถภาพ - การเน้น ส่ว นสำา คัญ ของเนือ หา ้ a.
  • 15. ชนิด ของการเขีย น สารคดี b. บทความ c. บันเทิงคดี d. เรื่องสัน ้ e. นวนิยาย f. กวีนิพนธ์ a.
  • 16. สารคดี สารคดี หมายถึง งานเขียนที่มุ่งเน้นเนื้อหา สาระ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ความรู้ความคิด แก่ผู้อ่านเป็นสำาคัญ ซึ่งอาจจะสอดแทรกความ บันเทิงแก่ผู้อ่านก็ได้
  • 17. บทความ บทความ เป็นความเรียงชนิดหนึงที่มุ่ง ่ เสนอข้อคิดเห็นเกียวกับเรื่องใดเรื่องหนึง หรือ ่ ่ เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึน โดยมีหลัก ้ ฐานข้อเท็จจริงประกอบ เรื่องประเภทนี้จงควร ึ เป็นเรื่องที่ผู้อ่านกำาลังสนใจ ทันต่อเหตุการณ์ มี สาระ ตลอดจนแทรกทัศนะที่ชวนให้คิดวิเคราะห์ วิจารณ์
  • 18. บัน เทิง คดี บันเทิงคดี หมายถึง งานเขียนที่ผู้เขียนมุ่ง ให้ความเพลิดเพลินแก่ผู้อ่าน แต่อาจจะมีสาระ ความรู้ที่มีคุณค่าสอดแทรกด้วยก็ได้
  • 19. เรื่อ งสัน ้ เรืองสั้น เป็นรูปแบบงานเขียนชนิดหนึง ่ ่ ของร้อยแก้วที่มีขนาดสัน มีลักษณะเฉพาะ เช่น ้ การบรรยาย ฉากที่กระชับ การสร้างตัวละคร สำาคัญไม่มากนัก การบรรยายบทสนทนาที่ สมจริง การวางโครงเรืองไม่ซับซ้อน แก่นเรื่องที่ ่ มุ่งเสนอแนวคิดหลักเพียงแนวคิดเดียว มักเป็น เรื่องที่เสนอความขัดแย้งของมนุษย์กบสิงต่างๆ ั ่ มักมีขนาดสัน และการนำาเสนอเรืองราวที่รวดเร็ว ้ ่ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถอ่านจบได้ในระยะสั้นๆ
  • 20. นวนิย าย นวนิยาย เป็นวรรณกรรมที่ไทยได้รับ อิทธิพลทางการเขียนจากตะวันตก มีวธีการ ิ ดำาเนินเรื่องหลากหลายรูปแบบตามแต่ผู้ประพันธ์ จะสันทัดและพอใจ นวนิยายมีขอแตกต่างจาก ้ เรื่องสันหลายประการ เช่น จำานวนตัวละครที่มา ้ กกว่า การบรรยายและพรรณนาฉากและบท สนทนาที่สมจริงเหมือนชีวิตจริงในสังคมขณะ นัน การสร้างแนวคิดหรือแก่นเรื่องหลักและแก่น ้ เรื่องรอง การวางโครงเรื่องที่สลับซับซ้อนกว่า เป็นต้น นวนิยายจึงนับเป็นงานเขียนที่น่าสนใจ ดังคำากล่าวที่ว่า “นวนิยาย คือ กิริยาท่าทีของรัฐ
  • 21. กวีน พ นธ์ ิ กวีนพนธ์ หมายถึง บทร้อยกรองที่ ิ สร้างสรรค์ความงามด้วยตัวอักษร เสียง จังหวะ หรือท่วงทำานอง มีถ้อยคำาสือสารอันอาจเป็น ่ สัญลักษณ์หรือการสร้างภาพพจน์ เพื่อให้ผู้อ่าน จินตนาการได้อย่างสวยงามกว้างไกลและไร้ ขอบเขต รวมทั้งเกิดความรู้สึกสะเทือนใจที่ลึกซึ้ง
  • 22. หลัก การเขีย น a. การเลือ กเรื่อ ง b. การจัด ใจความ c. การเขีย นย่อ หน้า
  • 23. การเลือ กเรื่อ ง เลือ กเรื่อ งที่ต นสนใจและถนัด ที่ส ุด b. เลือ กเรื่อ งที่ต นมีค วามรู้ห รือ มีป ระสบการณ์ อยู่บ ้า งแล้ว ถ้า ยัง ไม่ม ีค วามรู้พ อหรือ แม่น ยำา ควรค้น คว้า หาความรู้เ พิ่ม เติม c. เลือ กเรื่อ งที่ม ีห ัว ข้อ ไม่ก ว้า งหรือ แคบเกิน ไป ควรพิจ ารณาให้พ อเหมาะกับ ขนาด ความยาวของงานที่จ ะเขีย น และเขีย นได้ ทัน ตามกำา หนดระยะเวลา d. เลือ กเรื่อ งที่ส ามารถหาข้อ มูล มาอ้า งอิง หรือ ประกอบการเขีย นได้อ ย่า งพอเพีย ง a.
  • 24. การจัด ใจความ ขั้น ประมวลความรู้ค วามคิด b. ขั้น เลือ กสรรความรู้ค วามคิด c. ขั้น การจัด ระเบีย บความคิด d. ขั้น การเขีย นตัว โครงเรื่อ ง a.
  • 25. ขัน ประมวลความรู้ค วามคิด ้ การประมวลความรู้ความคิด คือ การ รวบรวมความรู้ ความคิดเกี่ยวกับเรื่องที่จะเขียน ให้มากที่สุด ความรูความคิดดังกล่าวมีทั้งมาจาก ้ ประสบการณ์ของผู้เขียนเอง และประสบการณ์ ของผู้อื่น ความคิดและข้อมูลที่ได้จาก ประสบการณ์ตางๆ นี้ เราควรจดบันทึกไว้ และ ่ จะได้นำามาใช้ในยามที่ตองการ ้
  • 26. ขัน เลือ กสรรความรู้ค วามคิด ้ เมื่อได้ขอมูลต่างๆ มามากเพียงพอแล้ว ้ ข้อมูลเหล่านันอาจอยู่ในสภาพที่สบสนปนเปกัน ้ ั เราจึงต้องใช้ความคิดพิจารณาเลือกสรรเฉพาะ ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะเขียนเท่านัน ้ หากมีประเด็นใดไม่เกี่ยวข้องให้ตดทิ้งเสีย หรือ ั หากมีประเด็นซำ้าซ้อนกันก็ควรตัดส่วนที่ซำ้าซ้อน นั้นทิ้งด้วยเช่นกัน
  • 27. ขัน การจัด ระเบีย บความคิด ้ เมื่อได้เลือกสรรความรู้ ความคิด และข้อมูลต่างๆ แล้ว ควรนำามาจัดหมวดหมู่และจัดระเบียบให้เป็นระบบ เพือให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องราวได้ง่ายและชัดเจน โดยอาจ ่ จัดลำาดับความคิดให้เป็นระเบียบตามวิธีดังต่อไปนี้ ๑. ลำาดับตามเวลาหรือตามเหตุการณ์ก่อนหลัง ๒. ลำาดับตามเหตุและผล ๓. ลำาดับตามความเข้าใจ ๔. ลำาดับตามทิศทางหรือสภาพภูมิศาสตร์ ๕. ลำาดับตามหลักฐาน
  • 28. ขัน การเขีย นตัว โครงเรื่อ ง ้ เมื่อจัดลำาดับความคิดเป็นหมวดหมู่และเป็น ระเบียบดีแล้ว ต่อมาก็เขียนโครงเรื่องให้เหมาะสมก่อน จะลงมือเขียนเรื่องต่อไป การเขียนโครงเรื่อง นิยมใช้อยู่ ๒ แบบ คือ ๑. โครงเรื่องแบบหัวข้อ ใช้คำาหรือวลีสั้นๆ เพื่อ เสนอใจความสำาคัญ และข้อความสนับสนุน ๒. โครงเรื่องแบบประโยค มักเขียนใจความ สำาคัญด้วยข้อความที่เป็นประโยคสมบูรณ์ชัดเจน จึงมี รายละเอียดที่บอกโครงสร้างของเรื่องที่จะเขียน และ การเรียบเรียงที่ชัดเจนกว่าแบบหัวข้อ
  • 30. การวางโครงเรื่องระบบตัวเลขหรือระบบการ ใช้ทศนิยม ๑............................................................................. ...................... ๑.๑.......................................................................... ........ ๑.๑.๑...................................................................... ๑.๑.๑.๑.......................................................... ๑.๑.๑.๒........................................................ ๑.๑.๑.๓........................................................ ๑.๑.๒..................................................................... ๑.๒......................................................................... ........ ๒............................................................................. ..................... ๒.๑.........................................................................
  • 31. ในการกำาหนดหัวข้อโครงเรื่องควรมี ลักษณะ ดังนี้ ๑. หัวข้อที่มีประเด็นความสำาคัญเท่ากัน ควรเขียนให้ตรงกัน ๒. หัวข้อใดที่แบ่งเป็นหัวข้อย่อย หัวข้อ ย่อยที่แบ่งออกมานัน ้ จะต้องมีอย่าง น้อย ๒ หัวข้อ ๓. หัวข้อย่อยจะต้องเขียนเยื้องไปทางขวา มือเล็กน้อยเสมอ
  • 32. ตัว อย่า งการวางโครงเรื่อ ง “การใช้เ ครื่อ งปรับ อากาศในห้อ งนอน ” บทนำา ง่าย สรุป ๑. ชนิดของเครื่องปรับอากาศ ๑.๑ เครื่องปรับอากาศแบบติดหน้าต่าง ๑.๑.๑ ข้อดี ๑.๑.๒ ข้อด้อย ๑.๒ เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วน ๑.๒.๑ ข้อดี ๑.๒.๒ ข้อด้อย ๒. ข้อควรพิจารณาในการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศ ๒.๑ ขนาดของเครื่องปรับอากาศ ๒.๒ ลักษณะการใช้งาน ๒.๒.๑ ห้องที่มขนาดพืนที่จำากัด ี ้ ๒.๒.๒ ห้องทีมขนาดใหญ่ ่ ี ๒.๓ พลังงานไฟฟ้าทีใช้ ่ ๒.๔ งบประมาณการจัดซื้อ ๓. การเลือกตำาแหน่งติดตังทีเหมาะสม ้ ่ ๓.๑ บริเวณที่ระบายความร้อนได้สะดวก ๓.๒ หลีกเลี่ยงบริเวณทีถูกแสงแดดและฝนสาดได้ ่ ๓.๓ ไม่กีดขวางทางเดิน
  • 33. การเขีย นย่อ หน้า ย่อหน้า หรือ อนุเฉท (paragraph) หมาย ถึง กลุ่มประโยคที่รวมกันเพือแสดงความคิด ่ สำาคัญ (main idea) เพียงประการเดียว และ เป็นส่วนหนึ่งของงานเขียนเรื่องหนึ่ง ย่อหน้า ประกอบด้วยประโยคใจความและประโยคอื่นที่ ใช้ขยายความให้ชดเจนและสมบูรณ์ยิ่งขึน ั ้
  • 34. ความสำา คัญ ของย่อ หน้า ย่อหน้ามีส่วนช่วยให้ผู้เขียนและผู้อ่านได้รับ ประโยชน์หลายประการ ดังนี้ ๑. ช่วยให้ผู้เขียนมีวิธีเสนอเรื่องที่ดเป็นกระ ี บวนการต่อเนือง ่ ๒. ช่วยให้ผู้อ่านติดตามเนื้อหาในย่อหน้าต่อ ไปได้อย่างเข้าใจต่อเนือง ่ ๓. ทำาให้ผู้อ่านมีโอกาสพักสายตา พักสมอง ๔. ทำาให้เกิดความงามในรูปของการเขียน หนังสืออย่างมีสดส่วน ั
  • 35. ความยาวของย่อ หน้า ความยาวของย่อหน้าอาจพิจารณาได้จาก ตัวแปรต่อไปนี้ ๑. วัตถุประสงค์ในการเขียน ๒. พื้นความรู้ของผู้อ่าน ๓. ประเภทของสิ่งพิมพ์ ๔. ความรู้ของผู้เขียน ๕. ความยากง่ายของเนือหา ้ ๖. เนื้อที่สำาหรับเขียน
  • 36. ขั้นตอนการเขียนย่อหน้า ๑. ก่อนเขียน คิดว่าจะเขียนย่อหน้าเกี่ยวกับเรื่อง อะไร ๒. เมือได้ความคิดหลักแล้ว แปรความคิดหลักเป็น ่ ประโยคใจความสำาคัญ ๓. เมือได้ประโยคใจความสำาคัญแล้ว เขียนขยาย ่ ความด้วยรายละเอียด หรือ ประโยคขยายความ ทีมใจความสำาคัญสอดคล้องกับความคิดหลัก ่ ี ๔. นำาประโยคใจความสำาคัญและประโยคขยาย ความทีคิดไว้มาเรียบเรียงให้ ่ ต่อเนื่องกลมกลืนกัน แล้วเรียบเรียงเป็นย่อหน้า
  • 37. องค์ป ระกอบของย่อ หน้า ๑. ความคิด สำา คัญ (Main Idea) ความคิดสำาคัญ หรือ ความคิดหลัก หมายถึง ความคิดที่ผู้เขียนต้องการเสนอต่อผู้ อ่านเพียงความคิดเดียวเท่านั้น แสดงได้ด้วยการ เขียน ประโยคใจความสำาคัญ (Topic Sentence) ๒. ประโยคขยายความ (Supporting Sentence) ประโยคขยายความ เป็นประโยคที่
  • 38. รูป แบบของย่อ หน้า ย่อหน้ามี ๕ รูปแบบ คือ ๑. ประโยคใจความสำาคัญอยู่ตอนต้น ย่อหน้า ๒. ประโยคใจความสำาคัญอยู่ตอนท้าย ย่อหน้า ๓. ประโยคใจความสำาคัญอยู่ตอนต้นและ ตอนท้ายย่อหน้า ๔. ประโยคใจความสำาคัญอยู่ตรงกลาง ย่อหน้า
  • 39. วิธ ีข ยายความในย่อ หน้า ขยายความโดยการให้คำาจำากัดความ b. ขยายความโดยการให้รายละเอียด c. ขยายความโดยการยกตัวอย่าง d. ขยายความโดยการเปรียบเทียบ e. ขยายความโดยการให้เหตุผล a.
  • 40. ลักษณะของย่อหน้าที่ดี ๑. มีเอกภาพ - มุ่งเสนอความคิดหลักเพียง ประเด็นเดียว ๒. มีสัมพันธภาพ - ความต่อเนื่องสัมพันธ์กน ั ทั้งในระดับประโยค และข้อความในย่อหน้า ๓. มีสารัตถภาพ - การเน้นยำ้าความคิดสำาคัญ ๔. มีความสมบูรณ์
  • 41. การใช้โ วหาร การใช้โวหาร คือ การใช้ถ้อยคำาอย่าง ประณีตที่คัดสรรแล้ว เพื่อให้ได้ใจความที่ดี ความหมายชัดเจน ตรงตามความมุ่งหมายของผู้ เขียน โวหารแบ่งได้ดังนี้ ๑. บรรยายโวหาร ๒. พรรณนาโวหาร ๓. เทศนาโวหาร ๔. อุปมาโวหาร ๕. สาธกโวหาร
  • 42. บรรยายโวหาร บรรยายโวหาร หมายถึง การเขียนเล่า เรื่องหรือบรรยายเรื่องโดยละเอียด ให้ความรู้ แจ่มแจ้งในเรืองนั้นๆ เรื่องที่ควรใช้บรรยาย ่ โวหารนั้น ควรเป็นเรืองทำานองนิทาน นิยาย ่ ประวัติบุคคล ความรู้ทางวิชาการ บันทึก เหตุการณ์ รายงาน จดหมายเหตุ เป็นต้น
  • 43. พรรณนาโวหาร พรรณนาโวหาร คือ การให้รายละเอียด ต่างๆ โดยไม่มีการดำาเนินเรื่อง เป็นการจำาแนก รายละเอียดต่างๆ ของเรื่องที่บรรยายไว้เสริมให้ ผู้อ่านเห็นภาพพจน์ชัดเจนยิ่งขึ้น ก่อให้เกิด ความสะเทือนอารมณ์ และเพลิดเพลินตามไป ด้วย ลักษณะเนือความพรรณนาโวหาร ได้แก่ ้ ๑. ชมความงามธรรมชาติและสถานที่ ๒. สรรเสริญคุณงามความดีของบุคคล ๓. รำาพันความรู้สึกในใจ ๔. เล่นสำานวนถ้อยคำา และความหมายให้
  • 44. เทศนาโวหาร เทศนาโวหาร คือ โวหารที่มุ่งโน้มน้าวใจ ให้ผู้อ่านประพฤติปฏิบัตตามคำาสอนนัน เป็นกระ ิ ้ บวนความที่กล่าวชีแจงสั่งสอนอันประกอบด้วย ้ เหตุและผลเพื่อชักจูงให้ผู้อ่านเห็นตามและเชือ ่ ตาม
  • 46. สาธกโวหาร สาธกโวหาร คือ การเขียนข้อความที่จะยก เป็นตัวประกอบเนื้อเรืองบางตอนเพื่อให้เข้าใจ ่ แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น เรืองที่จะใช้สาธกโวหารควรเป็นเรื่องที่ ่ ต้องแสดงอุทาหรณ์ความเป็นไปประกอบกับ เทศนาโวหารเป็นส่วนมาก เพราะต้องการที่จะ ชีแจง ชักชวน หรือสั่งสอนให้เห็นจริงโดยเทียบ ้ เคียงหลักฐาน