More Related Content
More from maruay songtanin (20)
222 จูฬนันทิยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
- 1. 1
จูฬนันทิยชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๒. จูฬนันทิยชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๒๒๒)
ว่าด้วยพญาวานรจูฬนันทิยะ
(บุรุษชั่วถูกแผ่นดินสูบระลึกถึงโอวาทของอาจารย์ได้ จึงกล่าวราพันว่า)
[๑๔๓] ท่านอาจารย์ปาราสริยะได้กล่าวคาใดไว้ว่า
ท่านอย่าได้ทาความชั่วที่ทาแล้วจะทาตนให้เดือดร้อนในภายหลัง
คานี้เป็นคาของอาจารย์
[๑๔๔] คนทากรรมใดไว้ย่อมเห็นกรรมนั้นในตน
คนทากรรมดีย่อมได้รับผลดี คนทากรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว
คนหว่านพืชเช่นใดย่อมได้รับผลเช่นนั้น
จูฬนันทิยชาดกที่ ๒ จบ
--------------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
จุลลนันทิยชาดก
ว่าด้วย ผลของกรรมดีกรรมชั่ว
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร
ทรงปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ความย่อมีอยู่ว่า วันหนึ่งพวกภิกษุประชุมสนทนากันในโรงธรรมว่า
ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าพระเทวทัตเป็ นผู้กักขฬะ หยาบช้า โผงผาง
ประกอบการมุ่งปลงพระชนม์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้กลิ้งศิลา
ปล่อยช้างนาฬาคิรี มิได้มีแม้แต่ขันติเมตตาและความเห็นอกเห็นใจ
ในพระตถาคตเลย.
พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้
พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวทัตกักขฬะ หยาบคาย ไร้กรุณามิใช่ในบัดนี้เท่านั้น
แม้เมื่อก่อนเทวทัตก็กักขฬะ หยาบคาย ไร้กรุณาเหมือนกัน
แล้วทรงนาเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี
พระโพธิสัตว์ถือกาเนิดเป็นวานรชื่อ นันทิยะ อยู่ในหิมวันตประเทศ
มีน้องชายชื่อว่า จุลลนันทิยะ ทั้งสองพี่น้องมีวานร ๘๔,๐๐๐ เป็นบริวาร
ปรนนิบัติมารดาซึ่งตาบอด อาศัยอยู่ในหิมวันตประเทศ.
วานรสองพี่น้องให้มารดาพักนอนที่พุ่มไม้ เข้าไปป่าหาผลไม้ที่มีรสอร่อยได้แล้ว
ส่งไปให้มารดา. ลิงที่นามามิได้เอาไปให้มารดา.
- 2. 2
มารดาถูกความหิวครอบงาจนผอมซูบซีดเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก.
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์จึงถามมารดาว่า แม่จ๋า
ลูกส่งผลไม้มีรสอร่อยมาให้แม่ ไฉนแม่จึงซูบผอมนักเล่า. มารดาตอบว่า ลูกเอ๋ย
แม่ไม่เคยได้เลย. พระโพธิสัตว์คิดว่า เมื่อเรายังปกครองฝูงวานรอยู่
แม่ของเราคงตายเป็ นแน่ เราจะละฝูงวานรไปปรนนิบัติแม่เท่านั้น.
พระโพธิสัตว์จึงเรียกจุลลนันทิยะมากล่าวว่า นี่แน่ะน้อง
น้องจงปกครองฝูงวานรเถิด พี่จักปรนนิบัติแม่เอง. ฝ่ายจุลลนันทิยะจึงกล่าวว่า
พี่จ๋า น้องไม่ต้องการปกครองฝูงวานร น้องก็จะปรนนิบัติแม่บ้าง.
พี่น้องทั้งสองนั้นมีความเห็นเป็นอันเดียวกันฉะนี้แล้ว
จึงละฝูงวานรพามารดาออกจากหิมวันตประเทศ อาศัยอยู่ที่ต้นไทรชายแดน
ปรนนิบัติมารดา.
ครั้งนั้น มีพราหมณ์มาณพชาวกรุงพาราณสีผู้หนึ่ง
เรียนจบศิลปะทุกประการในสานักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ในเมืองตักกสิลา
อาลาอาจารย์ว่า กระผมจักไป ฝ่ายอาจารย์ก็รู้ด้วยอานุภาพวิชชาในตนว่า
มาณพนั้นเป็นคนกักขฬะ หยาบช้า โผงผาง จึงสั่งสอนว่า แน่ะพ่อ
เจ้าเป็นคนกักขฬะ หยาบช้า โผงผาง
ถ้าขืนเป็นอย่างนี้จะไม่มีผลสาเร็จเช่นเดียวกันตลอดกาล ย่อมต้องพบความพินาศ
ความทุกข์อย่างใหญ่หลวง ท่านอย่าได้เป็ นคนกักขฬะ หยาบช้า
อย่าได้ทากรรมอันให้เดือดร้อนในภายหลังเลย ดังนี้ แล้วจึงส่งไป.
พราหมณ์มาณพนั้นไหว้อาจารย์ แล้วไปสู่กรุงพาราณสี
มีครอบครัวแล้ว เมื่อไม่สามารถจะเลี้ยงชีพด้วยศิลปะอย่างอื่น จึงคิดว่า
เราจักยึดเอาคันธนูเป็ นที่พึ่งเลี้ยงชีวิต คือจักหากินทางเป็ นพราน
ออกจากกรุงพาราณสี อยู่ที่บ้านชายแดน ผูกสอดธนูและแล่งธนูเสร็จแล้ว
เข้าป่าล่าเนื้อนานาชนิด เลี้ยงชีพด้วยการขายเนื้อ. วันหนึ่ง
เขาหาอะไรในป่าไม่ได้เลย กาลังเดินกลับพบต้นไทรอยู่ที่ริมเนิน
คิดว่าน่าจะมีอะไรอยู่ที่ต้นไทรนี้บ้าง จึงเดินตรงไปยังต้นไทร.
ขณะนั้น วานรสองพี่น้องนั่งอยู่ระหว่างค่าคบ
ให้มารดาเคี้ยวกินผลไม้อยู่ข้างหน้า เห็นพราหมณ์มาณพนั้นเดินมา
คิดว่าถึงจะเห็นมารดาเรา ก็คงจะไม่ทาอะไร จึงแอบอยู่ระหว่างกิ่งไม้.
ฝ่ายบุรุษโผงผางผู้นั้นมาถึงโคนต้นไม้แล้ว
เห็นมารดาของวานรนั้นแก่ทุพพลภาพตาบอด คิดว่า เราจะกลับไปมือเปล่าทาไม
จักยิงนางลิงตัวนี้เอาไปด้วย จึงโก่งธนูหมายจะยิงนางลิงแก่ตัวนั้น.
พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า พ่อจุลลนันทิยะ
บุรุษผู้จะยิงมารดาของเรา พี่จะสละชีวิตให้แทนมารดา เมื่อพี่ตายไปแล้ว
น้องจงเลี้ยงดูมารดาเถิด จึงออกจากระหว่างกิ่งไม้กล่าวว่า ท่านผู้เจริญ
- 3. 3
ขอท่านอย่าได้ยิงมารดาของเราเลย มารดาของเราตาบอด ทุพพลภาพ
เราจะสละชีวิตให้แทนมารดา ขอท่านอย่าได้ฆ่ามารดาเลย จงฆ่าเราเถิด
รับปฏิญญาของบุรุษนั้นแล้ว จึงไปนั่งในที่ใกล้ลูกศร
บุรุษนั้นปราศจากความกรุณา ยิงพระโพธิสัตว์ตกลง
แล้วขึ้นธนูอีกเพื่อจะยิงมารดาของพระโพธิสัตว์ด้วย.
จุลลนันทิยะเห็นดังนั้นคิดว่า บุรุษผู้นี้ใคร่จะยิงมารดาของเรา
มารดาของเรา แม้จะมีชีวิตอยู่วันเดียว ก็ยังได้ชื่อว่ารอดชีวิตแล้ว
เราจักสละชีวิตให้แทนมารดา จึงออกจากระหว่างกิ่งไม้กล่าวว่า ท่านผู้เจริญ
ท่านอย่ายิงมารดาของเราเลย เราจักสละชีวิตให้แทนมารดา
ท่านยิงเราแล้วเอาเราสองพี่น้องไป จงไว้ชีวิตแก่มารดาของเราเถิด
รับปฏิญญาของบุรุษนั้นแล้ว นั่งในที่ใกล้ลูกศร.
บุรุษนั้นจึงยิงจุลลนันทิยะนั้นตกลง แล้วคิดว่าเราจักเอาไปเผื่อเด็กๆ ที่บ้าน
จึงยิงมารดาของวานรทั้งสองด้วยตกลง หาบไปทั้ง ๓ ตัว มุ่งหน้าตรงไปบ้าน.
ครั้งนั้นสายฟ้ าได้ตกลงที่บ้านของบุรุษชั่วนั้น
ไหม้ภรรยาและลูกสองคนพร้อมกับบ้าน เหลือแต่เพียงเสากับขื่อ.
ขณะนั้น บุรุษผู้หนึ่งพบบุรุษชั่วนั้นที่ประตูบ้านนั่นเอง
จึงเล่าความเป็นไปให้ฟัง.
บุรุษชั่วผู้นั้นถูกความเศร้าโศกถึงบุตรและภรรยาครอบงา
ทิ้งหาบเนื้อและธนูกับแล่งไว้ตรงนั้นเอง ปล่อยผ้า
เปลือยกายประคองแขนร่าไห้เข้าไปที่เรือน ขณะนั้น ขื่อหักตกลงมาถูกศีรษะแตก
แผ่นดินแยกออกเป็ นช่อง เปลวไฟแลบขึ้นมาจากอเวจีมหานรก.
บุรุษชั่วผู้นั้นกาลังถูกแผ่นดินสูบ ระลึกถึงโอวาทของอาจารย์ได้
คิดว่าท่านปาราสริยพราหมณ์เห็นเหตุนี้ จึงได้ให้โอวาทแก่เรา
ได้กล่าวคาถาสองคาถาราพันว่า :-
ปาราสริยพราหมณ์ได้กล่าวคาใดไว้ว่า ท่านอย่าได้กระทากรรมชั่ว
อันจะทาตัวท่านให้เดือดร้อนในภายหลังนะ คานี้นั้นเป็ นถ้อยคาของท่านอาจารย์.
บุรุษทากรรมเหล่าใดไว้ เขาย่อมเห็นกรรมเหล่านั้นในตน
ผู้ทากรรมดีย่อมได้รับผลดี ผู้ทากรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว บุคคลหว่านพืชเช่นใด
ย่อมได้รับผลเช่นนั้น.
อธิบายแห่งคาถานั้นว่า
ปาราสริยพราหมณ์ได้กล่าวคาใดไว้ว่า เจ้าอย่าได้ทาบาปนะ
บาปใดเจ้าทาไว้ บาปนั้นจะเผาผลาญท่านในภายหลัง นี่เป็ นคาของท่านอาจารย์
บุรุษทากรรมเหล่าใดไว้ทางกายทวาร วจีทวาร และมโนทวาร
เมื่อเขากลับได้ผลของกรรมนั้น ย่อมพบกรรมเหล่านั้นเองในตน
ผู้ทากรรมดีย่อมเสวยผลดี