More Related Content Similar to วิชาการผลิตมัลติมีเดีย 1 [Multimedia I]
Similar to วิชาการผลิตมัลติมีเดีย 1 [Multimedia I] (20) More from Pakornkrits (20) วิชาการผลิตมัลติมีเดีย 1 [Multimedia I]2. คํานํา
สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ไดมีขอตกลงความรวมมือกับ
มหาวิทยาลัยพะเยา ภายใตโครงการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาแหงชาติ ไดใหมีการพัฒนาหลักสูตรและ
แผนการสอน เอกสารประกอบการสอน คูมือครู ที่บูรณาการความรูดานเทคโนโลยีสารสนเทศและ
การสื่อสารกับกลุมอาชีพ เพื่อใชประกอบการเรียนการสอนของสถานศึกษาที่เขารวมโครงการ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา การผลิตสื่อมัลติมีเดีย 1 มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับแนวคิด
เบื้องตนของการผลิตสื่อมัลติมีเดียแบบออฟไลน ศึกษาและปฏิบัติการเกี่ยวกับการผสมผสานอินเตอร
แอคทีฟกับงานมัลติมีเดีย การออกแบบ การใชโปรแกรมประยุกตที่เกี่ยวของกับงานอินเตอรแอคทีฟ
การสรางเทคนิคพิเศษ การใสเสียงประกอบ การใสภาพและการเพิ่มวิดีโอมาใชในงานมัลติมีเดีย
การประยุกตใชงานนําเสนองานอินเตอรแอคทีฟ การนําเสนอผลงานมัลติมีเดีย การสรางแบบทดสอบ
แบบฝกหัด การประเมินผล การออกรายงาน การใชโปรแกรมประยุกตรวมกับโปรแกรมอื่น และ
การประยุกตใชสําหรับการผลิตสื่อมัลติมีเดียแบบออนไลน
ผูจัดทําเอกสารประกอบการสอนหวังเปนอยางยิ่งวา เอกสารประกอบการสอนเลมนี้จะเปน
ประโยชนตอผูเรียนและผูที่สนใจ เพื่อใหผูเรียนสามารถนําความรูที่ไดไปประยุกตใชไดในอนาคต และ
ขอขอบคุณ สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น
พื้นฐาน (สพฐ.) และสถานศึกษาที่เขารวมโครงการ
ผูจัดทํา
ปรัชญา นวนแกว
2 มกราคม 2557
3. สารบัญ
หนา
คํานํา
บทที่ 1 บทนํา
1.1 ความหมายของสื่อมัลติมีเดีย 1
1.2 แนวคิดการจัดการเรียนรู 5
1.3 สื่อการเรียนการสอน 7
1.4 บทบาทและคุณลักษณะของสื่อมัลติมีเดีย 9
บทที่ 2 หลักการและการออกแบบสื่อมัลติมีเดียแบบมีปฏิสัมพันธ
2.1 ทฤษฏีเกี่ยวกับสื่อมัลติมีเดียแบบมีปฏิสัมพันธ 19
2.1.1 ทฤษฎีการสื่อสาร 19
2.1.2 ทฤษฎีการเรียนรูพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) 20
2.1.3 ทฤษฎีการเรียนรูปญญานิยม (Cognitivism) 20
2.1.4 ทฤษฎีการสรางองคความรูดวยปญญา หรือ
พุทธิปญญานิยม (Constructivism) 20
2.1.5 ทฤษฎีการเรียนรูของกาเย (Gagne) 20
2.2 องคประกอบที่สําคัญที่กอใหเกิดการเรียนรู 22
2.3 การออกแบบสื่อมัลติมีเดียแบบมีปฏิสัมพันธ 23
2.4 ขั้นตอนการพัฒนาสื่อมัลติมีเดียแบบมีปฏิสัมพันธ 25
2.5 การประยุกตใชทฤษฎีการเรียนรู 27
บทที่ 3 การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียแบบปฏิสัมพันธ โดยใชโปรแกรมสําเร็จรูป
ตอนที่ 1 เริ่มใชงาน Adobe Captivate
3.1 คุณสมบัติเดนของโปรแกรม Adobe Captivate 29
3.2 สรุปคุณสมบัติเดนของโปรแกรม Adobe Captivate 29
3.3 ความตองการคุณสมบัติของฮารดแวร
สําหรับโปรแกรม Adobe Captivate 30
3.4 หลักการทํางานของโปรแกรม 31
3.5 การดาวนโหลดโปรแกรม Adobe Captivate 32
3.6 การติดตั้งโปรแกรม Adobe Captivate 37
3.7 ขอสังเกตเพิ่มเติมสําหรับการติดตั้งโปรแกรม Adobe Captivate 45
บทที่ 4 การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียแบบปฏิสัมพันธ โดยใชโปรแกรมสําเร็จรูป
ตอนที่ 2 เครื่องมือพื้นฐานและการสรางโปรเจ็คเบื้องตน
4.1 การเรียกโปรแกรม Adobe Captivate 7 52
4. สารบัญ
หนา
4.2 เครื่องมือพื้นฐานในการใชงานโปรแกรม Adobe Captivate 7 53
4.3 สรางไฟลงาน Adobe Captive Project 73
4.4 รูปแบบของ Adobe Captive Project 74
4.5 การตั้งคาไฟล (Project Preferences) 78
บทที่ 5 การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียแบบปฏิสัมพันธ โดยใชโปรแกรมสําเร็จรูป
ตอนที่ 3 การสรางโปรเจ็คและการนําเขาขอมูลจากโปรแกรมอื่น
5.1 การสรางโปรเจ็ครูปแบบตางๆ 83
5.2 การตั้งคาเครื่องคอมพิวเตอร จอภาพและการแสดงผล 83
5.3 Software Simulation 86
5.4 Video Demo 93
5.5 Blank Project 96
5.6 Form Microsoft® PowerPoint 98
5.7 Image Slideshow 101
5.8 Project Template 104
5.9 สไดลรูปแบบตางๆ และการกําหนดคุณสมบัติของสไลด 105
5.10 ประเภทของสไลด 105
5.11 การกําหนดคุณสมบัติของสไลด 106
5.12 การจัดการเกี่ยวกับสไลด 110
บทที่ 6 การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียแบบปฏิสัมพันธ โดยใชโปรแกรมสําเร็จรูป
ตอนที่ 4 การบันทึกเสียงและการแทรกเสียง
6.1 เสียงคืออะไร 131
6.2 รูปแบบและลักษณะของเสียง 131
6.3 รูปแบบของเสียงที่ใชในสื่อมัลติมีเดีย 132
6.4 การตั้งคาการบันทึกเสียง (Audio Setting) 133
6.5 การบันทึกเสียงใหสไลด 135
6.6 การบันทึกเสียงลงสไลดมากกวา 1 สไลด 136
6.7 การบันทึกเสียงเปนเสียงพื้นหลัง 138
6.8 การบันทึกเสียงใหวัตถุ 139
6.9 การแทรกเสียงใหสไลด 140
6.10 การแทรกเสียงพื้นหลัง 142
6.11 การแทรกเสียงใหวัตถุ 143
6.12 การตกแตงไฟลเสียงใหสไลด 145
5. สารบัญ
หนา
6.13 การปรับแตงแกไขไฟลเสียงพื้นหลัง 146
6.14 การตกแตงแกไขไฟลเสียงใหวัตถุ 147
6.15 การปรับระดับเสียง 148
6.16 การเพิ่มปุมควบคุมใหบทบรรยาย 150
6.17 การลบไฟลเสียงออกจากสไลด 151
6.18 การลบไฟลเสียงพื้นหลัง 151
6.19 การลบไฟลเสียงออกจากวัตถุ 152
6.20 การแสดงรายละเอียดของไฟลเสียงในสไลด 153
6.21 การสงออกไฟลเสียง 153
บทที่ 7 การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียแบบปฏิสัมพันธ โดยใชโปรแกรมสําเร็จรูป
ตอนที่ 5 ตัวแปรและแอคชั่น
7.1 ตัวแปรระบบ (System Variable) 157
7.2 ตัวแปรประเภท Movie Information 160
7.3 ตัวแปรประเภท Movie Control 161
7.4 ตัวแปรประเภท Movie MetaData 162
7.5 ตัวแปรประเภท Quizzing 164
7.6 ตัวแปรประเภท System Information 165
7.7 ตัวแปรยูสเซอร 166
7.8 การแทรกตัวแปรระบบเขามาใชงาน 169
7.9 การแทรกตัวแปรยูสเซอรเขามาใชงาน 171
7.10 การสรางเงื่อนไขและกําหนดตัวแปรขั้นสูง 175
7.11 การลบและแกไขตัวแปรขั้นสูง (Advance Action) 182
บทที่ 8 การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียแบบปฏิสัมพันธ โดยใชโปรแกรมสําเร็จรูป
ตอนที่ 6 การสรางแบบทดสอบ
8.1 แบบทดสอบคืออะไร 187
8.2 ลักษณะและประเภทของแบบทดสอบ 187
8.3 ประเภทของแบบทดสอบสําหรับสื่อมัลติมีเดียแบบปฏิสัมพันธ
ที่อยูภายในโปรแกรม Adobe Captivate 188
8.4 การตั้งคาแบบทดสอบ 189
8.5 การสรางแบบทดสอบแบบเลือกตอบ (Multiple Choice) 194
8.6 การสรางแบบทดสอบแบบถูกหรือผิด (True/False) 198
8.7 การสรางแบบทดสอบแบบเติมคําในชองวาง (Fill-In-The-Blank) 201
6. สารบัญ
หนา
8.8 การสรางแบบทดสอบแบบเติมคําหรือประโยคสั้นๆ (Short Answer) 205
8.9 การสรางแบบทดสอบแบบจับคู (Matching) 208
8.10 การสรางแบบทดสอบแบบชี้จุดตําแหนงหรือจับผิดภาพ (Hot Spot) 212
8.11 การสรางแบบทดสอบแบบเรียงลําดับกอนหลัง (Sequence) 216
8.12 การสรางแบบทดสอบแบบประเมินการใหคะแนน (Rating Scale : Likert) 220
8.13 การสรางแบบทดสอบแบบสุม (Random Questions) 223
บทที่ 9 การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียแบบปฏิสัมพันธ โดยใชโปรแกรมสําเร็จรูป
ตอนที่ 7 การแกไขตกแตงโปรเจ็ค
9.1 การกําหนดรายละเอียดใหโปรเจ็ค 231
9.2 การกําหนดคุณภาพการแสดงโปรเจ็ค 232
9.3 การกําหนดคาการสงออกโปรเจ็ค 233
9.4 การกําหนดจุดเริ่มตนและสิ้นสุดของโปรเจ็ค 235
9.5 การกําหนดคาเริ่มตนใหกับสไลดและวัตถุ 236
9.6 การบันทึกคา Preferences เก็บไว 238
9.7 การนําคา Preferences ที่บันทึกไวมาใชงาน 239
9.8 การสรางแมแบบโปรเจ็ค (Template) 240
9.9 การบันทึกแมแบบโปรเจ็ค 242
9.10 การนําแมแบบมาใชงาน 243
9.11 การปรับแตง Skin (Playback Control) 244
9.12 การสรางตารางสารบัญ (TCC : Table Of Contents) 246
9.13 การกําหนดหัวขอหลักและหัวขอยอย 247
9.14 การปรับแตงตารางสารบัญ 249
9.15 การเพิ่มขอมูลโปรเจ็คในตารางสารบัญ 251
9.16 การรวบรวมโปรเจ็ค (Aggregator Project) 253
9.17 ขั้นตอนการรวบรวมโปรเจ็ค 253
9.18 ขั้นตอนการสงออกไฟล 256
บทที่ 10 การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียแบบปฏิสัมพันธ โดยใชโปรแกรมสําเร็จรูป
ตอนที่ 8 การสงออกและการแกไขโปรเจ็ค
10.1 การสงออกโปรเจ็คในรูปแบบไฟล SWF และ HTML5 261
10.2 การตรวจสอบการสงออกไฟลแบบ HTML5 264
10.3 การสงออกโปรเจ็คในรูปแบบไฟล Executable 265
10.4 การสงออกโปรเจ็คในรูปแบบไฟล MP4 267
7. สารบัญ
หนา
10.5 การสงออกโปรเจ็คผาน E-Mail 269
10.6 การสงออกโปรเจ็คเขาเซิรฟเวอรโดยใช FTP 273
10.7 การสงออกโปรเจ็คในรูปแบบ Microsoft Word 275
10.8 วิธีการสงออกโปรเจ็คในรูปแบบ Microsoft Word 280
10.9 การสงออกโปรเจ็คสําหรับ Reviews 281
10.10 การกําหนดคา Preferences ใหโฟลเดอร Comments 283
บรรณานุกรม
ดัชนีรูปภาพ
ดัชนีตาราง
8. บทที่ 1
บทนํา
ปจจุบันมีการพัฒนารูปแบบของมัลติมีเดียใหสอดคลองกับทฤษฎีการเรียนรูมากมาย สําหรับ
มัลติมีเดียเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน เปนสวนหนึ่งของรูปแบบบทเรียนที่อํานวยความสะดวกใหกับ
ผูเรียนและผูสอน นอกจากนั้นยังรวบรวม เนื้อหา คําถาม คําตอบ กระบวนการเรียน สื่อตางๆ ที่มี
ความนาสนใจ ดึงดูดผูเรียนใหอยูกับเนื้อหาที่เขาใจยาก ชวยอธิบายสิ่งที่ไมสามารถสัมผัสหรือมองดวย
สายตาปกติได และเปนการกระตุนใหผูเรียนเกิดการอยากสํารวจ คิดคน สืบคน รูจักสรางและ
ออกแบบรูปแบบการเรียนของตนเองตามความสนใจ ซึ่งแนวคิดเหลานี้ตางสอดคลองกับทฤษฎีการ
เรียนรูของนักปรัชญามากมาย
1.1 ความหมายของสื่อมัลติมีเดีย
สื่อมัลติมีเดีย (Multimedia) ตามพจนานุกรมศัพทคอมพิวเตอรฉบับราชบัณฑิตยสถาน
แปลวา สื่อประสม หรือ สื่อหลายแบบ หมายถึง การนําสื่อหรืออุปกรณหลาย ๆ ประเภท เชน
ขอความ รูปภาพ เสียง วิดีโอ มาใชรวมกัน เพื่อเสริมใหเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการทํางาน ตอมา
เมื่อคอมพิวเตอรถูกนํามาใชมากขึ้น ทําใหความสามารถในการนําเสนอ ทั้งภาพนิ่ง เสียง ขอความ
ภาพเคลื่อนไหว วิดีโอ อินเทอรเน็ต สังคมออนไลน มีความหลากหลาย สงผลใหความหมายของสื่อ
ประสมเปลี่ยนแปลงตามไป
นอกจากนี้การใชคอมพิวเตอรควบคุมอุปกรณอื่น เชน เครื่องเลนวิดีโอ เทปเสียง ซีดีรอม
กลองดิจิตอล โทรทัศน ใหทํางานรวมกัน จําเปนตองอาศัยโปรแกรมคอมพิวเตอร (Software) และ
อุปกรณ (Hardware) ประกอบกัน หรืออาจเรียกวา “สถานีปฏิบัติการมัลติมีเดีย (Multimedia
workstation)”
รูปที่ 1.1 สวนประกอบของสื่อมัลติมีเดีย
(ที่มา: http://fungbintwo.blogspot.com/2009/11/multimedia.html)
9. 2
นักการศึกษาและความหมายของสื่อมัลติมีเดีย
พิสุทธา อารีราษฏร (2551) กลาววา การพัฒนาซอฟตแวรทางการศึกษา โดยทั่วไป เปนการ
พัฒนาบทเรียนเพื่อนําไปใชในการเรียนการสอน เนื่องจากบทเรียนเปนสื่อที่นําไปใชในการสอนจริง
แทนครูผูสอน ดังนั้นบทเรียนที่พัฒนาขึ้นจะตองเปนบทเรียนที่มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ มีเนื้อหา
ครบถวนและสอดคลองกับวัตถุประสงคของบทเรียน
รูปที่ 1.2 สื่อมัลติมีเดีย
(ที่มา: http://jatupo5604music.blogspot.com)
ถนอมพร เลาหจรัสแสง (2550) กลาววา การกาวเขาสูยุคแหงสารสนเทศ ทําใหเกิดความ
จําเปนในการปรับเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการในการศึกษา การเรียนการสอน การเรียนรูของคนใน
สังคม เพื่อใหเทาทันตอการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ซึ่งรูปแบบและวิธีการ จะมีลักษณะที่แตกตางจาก
เดิม เรียกวา Unconventional Education หรือ การศึกษาที่แตกตาง การเรียนรูจะไมใชแคการ
จดจํา เขาใจเนื้อหา หรือการทําขอสอบไดดี หากจุดมุงเนน ไดแก การที่ผูเรียนมีความสามารถในการ
เขาใจวิธีการเรียนรู (learning how to learn) ของตนเองไดอยางมีประสิทธิภาพ และอยางตอเนื่อง
ตลอดชีวิต
รูปที่ 1.3 สื่อมัลติมีเดียสมัยใหม
(ที่มา: http://mindcater.com/new-hi-technical-computer-technology-2014)
10. 3
ดิเรก ธีระภูธร (2545) คอมพิวเตอรชวยสอนเปนกระบวนการเรียนการสอน โดยใช
สื่อคอมพิวเตอร ในการนําเสนอเนื้อหาเรื่องราวตางๆ มีลักษณะเปนการเรียนโดยตรง และเปนการ
เรียน แบบมีปฏิสัมพันธ (Interactive) คือ สามารถโตตอบระหวางผูเรียนกับคอมพิวเตอรได
เชนเดียวกับการสอนระหวางครูกับนักเรียนที่อยูในหองตามปกติ คอมพิวเตอรชวยสอนมีหลาย
ประเภทตามวัตถุประสงคที่จะใหนักเรียนไดเรียน กลาวคือ ประเภทติวเตอร ประเภทแบบฝกหัด
ประเภทการจําลอง ประเภทเกม ประเภทแบบทดสอบซึ่งในแตละประเภทก็มีจุดมุงหมายในการให
ความรูแกผูเรียนแตวิธีการที่แตกตางกันไป ขอดีของการใชคอมพิวเตอรชวยสอนคือชวยลดความ
แตกตางระหวางผูเรียน เชน ผูที่มีผลการเรียนต่ํา ก็สามารถชดเชยโดยการเรียนจากบทเรียน
คอมพิวเตอรชวยสอนได และสําหรับผูมีผลการเรียนสูงก็สามารถเรียนเสริมบทเรียนหรือเรียนลวงหนา
กอนที่ผูสอนจะทําการสอนก็ได
รูปที่ 1.4 บทเรียนคอมพิวเตอรชวยสอน
(ที่มา: http://www.vcharkarn.com/vblog/35660)
บุปผชาติ ทัฬหิกรณ (2544) กลาววา เพื่อใหการพัฒนาสื่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผูสอนควร
พัฒนาคุณลักษณะสื่อใหสามารถเรียนรูไดบนเครือขาย ซึ่งสื่อบนเครือขายเปนสื่อที่มีศักยภาพในการ
สื่อสารสูง และรวดเร็วมีลักษณะเปนขอความหลายมิติ (Hypertext) และมีการเชื่อมโยงขอมูลซึ่งกัน
และกัน ที่เรียกวา การเชื่อมโยงหลายมิติ (Hyperlink) ทําใหผูเรียนสามารถมีปฏิสัมพันธกับบุคคลอื่น
มีการสื่อสารกันสองทางระหวางผูเรียนกับสื่อการเรียนรู ผูเรียนกับผูเรียน ผูเรียนกับผูสอน และบุคคล
อื่นที่เกี่ยวของอีกดวย
11. 4
รูปที่ 1.5 การเชื่อมโยงหลายมิติ (Hyperlink)
(ที่มา: http://withfriendship.com/user/kethan123/hyperlink.php)
รูปที่ 1.6 Cloud Computing การเชื่อมโยงกลุมเมฆ
(ที่มา: http://www.uni.net.th/backend/uninews/print.php?name=2012111122)
จากความหมายที่หลากหลายของนักการศึกษา สามารถสรุปไดวา การนําสื่อมัลติมีเดียไป
ประยุกตใชกับการเรียนการสอนนั้น สิ่งที่สําคัญประกอบดวย ผูเรียน ผูสอน บทเรียน เครื่องมือ และ
กระบวนการจัดการเรียนการสอน การพัฒนาสื่อมัลติมีเดีย นอกจากจะตองคํานึงถึงประสิทธิภาพแลว
ยังตองประยุกตใหเขากับเหตุการณ สังคมโลก พฤติกรรมผูเรียน การมีปฏิสัมพันธ การโตตอบระหวาง
ผูเรียนกับคอมพิวเตอร กลายเปนเครือขายสังคมและการเรียนรู หรือการเชื่อมโยงหลายมิติ
12. 5
1.2 แนวคิดการจัดการเรียนรู
1.2.1 แนวคิดการจัดการเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ
สํานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแหงชาติ (2542) ไดสรุปแนวคิดการ
จัดการเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญวา มีทักษะการแสวงหาความรูและสามารถนํา
ความรูไปประยุกตใชในชีวิตจริงได
รูปที่ 1.7 การจัดการเรียนรูตามแนวคิดแบบมอนเตสเซอรี่
(ที่มา: http://www.dusitcenter.org/dusitwebs/plan/news.php?id=1973)
1.2.2 หลักการในการจัดการเรียนรูที่ยึดเปนเรียนเปนสําคัญ ประกอบดวย
1.2.2.1 ผูเรียนทุกคนสามารถเรียนรูและพัฒนาได
1.2.2.2 เปาหมายการเรียนรู เพื่อพัฒนาผูเรียนใหเปนมนุษยที่สมบูรณทั้งรางกาย
จิตใจ สติปญญา ความรูและคุณธรรม
1.2.2.3 ใหผูเรียนเรียนรูในสิ่งที่มีความหมาย สามารถนําไปใชประโยชนได
1.2.2.4 การเรียนรูเกิดขึ้นไดทุกที ทุกเวลา และตอเนื่องตลอดชีวิต
1.2.2.5 ใหผูเรียน เรียนรูจากการไดคิด ปฏิบัติ และสรุปความดวยตนเอง
รูปที่ 1.8 การเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ
(ที่มา: http://www.gotoknow.org/posts/412318)
13. 6
1.2.3 วิธีการจัดการเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ
ประกอบดวย การศึกษาผูเรียนเปนรายบุคคล เพื่อเปนขอมูลในการพัฒนา
ผูเรียน ใหเต็มศักยภาพ โดยพิจารณาในเรื่องตอไปนี้
1.2.3.1 วุฒิภาวะทางอารมณ
1.2.3.2 พหุปญญา
1.2.3.3 พัฒนาการและศักยภาพดานตางๆ
1.2.3.4 วิธีการเรียนรูของแตละคน
1.2.3.5 ความสนใจและความถนัด
1.2.3.6 สภาพความเปนอยูและครอบครัว
1.2.3.7 ปญหา ขอจํากัด
1.2.3.8 ความตองการในการพัฒนา
รูปที่ 1.9 การเรียนรูจาการจัดกิจกรรมโดยยึดผูเรียนเปนสําคัญ
(ที่มา: http://www.gotoknow.org/posts/412318)
1.2.4 การจัดการเรียนรูใหผูเรียนไดพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ มีวิธีการดังตอไปนี้
1.2.4.1 จัดหลักสูตรที่สนองความตองการ เชื่อมโยงกับชีวิตจริงของผูเรียน
1.2.4.2 ออกแบบการจัดการเรียนรูใหผูเรียนพัฒนาเต็มศักยภาพและใหสอดคลอง
กับการเรียน 5 ลักษณะ ประกอบดวย การเรียนรูอยางมีความสุข การ
เรียนรูจากการคิดและปฏิบัติจริง การเรียนรูรวมกับบุคคลอื่น การเรียนรู
แบบองครวม และการเรียนรูกระบวนการจัดการเรียนรูของตนเอง
1.2.4.3 จัดการเรียนรูใหผูเรียนไดเรียนรูอยางครบวงจร
1.2.4.4 ใชแหลงการเรียนรูที่หลากหลาย เหมาะกับธรรมชาติของผูเรียน
1.2.4.5 ประเมินผูเรียนจากพัฒนาการ พฤติกรรมตามสภาพความจริงดวยวิธีการ
และเครื่องมือที่หลากหลาย
1.2.4.6 ใชกระบวนการวิจัยเปนเครื่องมือหนึ่งของกระบวนการเรียนรู
1.2.4.7 จัดการเรียนรูอยางเปนระบบ ดวยรูปแบบ วิธีการ เทคนิคการจัดการเรียน
การสอนอยางหลากหลาย เหมาะสมกับผูเรียน
14. 7
1.2.5 รูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ มีดังนี้
1.2.5.1 การเรียนรูแบบสืบสวนสอบสวน
1.2.5.2 การเรียนรูแบบการใชเหตุผลเชิงจริยธรรม
1.2.5.3 การเรียนรูแบบมีสวนรวม
1.2.5.4 การเรียนรูโดยใชแผนการออกแบบประสบการณ
1.2.5.5 การเรียนรูแบบโครงงาน
1.2.5.6 การเรียนรูการคิดเชิงอุปนัย
1.2.5.7 การเรียนรูแบบคนควาเปนกลุม
1.2.5.8 การเรียนรูแบบความคิดรวบยอด
1.2.5.9 การเรียนรูแบบมุงประสบการณ
1.2.5.10 การเรียนรูโดยการคนพบ
1.2.5.11 การเรียนรูที่บาน
รูปที่ 1.10 รูปแบบการเรียนรูแบบโครงงาน
(ที่มา: http://www.panaya-kindergarten.com/education_patthanakan.html)
1.3 สื่อการเรียนการสอน
ในการจัดการเรียนการสอน สิ่งสําคัญในการสื่อสาร ประกอบดวย ผูสง ผูรับ เนื้อหาบทเรียน
(สาร) และชองทางในการสงสาร หรือ สื่อ นั้นเอง การจัดการเรียนการสอนในลักษณะเดิมที่เนนการ
บรรยาย การอธิบายใหผูเรียนเขาใจ อาจสรางความเบื่อหนาย จําเจ การนําสื่ออื่น เชน ภาพ แผนภูมิ
ขอความ เสียง จึงเปนเครื่องมือที่สําคัญในการดึงดูดความสนใจผูเรียน
สื่อการเรียนการสอนในที่นี้จึงหมายถึง เครื่องมือ อุปกรณ หรือเทคโนโลยี ประกอบกับ
รูปแบบวิธีการเรียนการสอน ผสานตัวกลางที่ชวยในการนําความรู จากผูสอนหรือแหลงเรียนรู สง
ตอไปถึงผูเรียน เพื่อใหผูเรียนเกิดการเรียนรูตามจุดประสงคที่กําหนดไวอยางถูกตองและมี
ประสิทธิภาพ
15. 8
การนําสื่อมัลติมีเดียเขามาใชในการเรียนการสอน เกิดจากการนําเนื้อหาบทเรียน เรื่องราว
ตาง ๆ ที่จะใชสอนและบรรยายในชั้นเรียน สรางเปนบทเรียนโดยการใชภาพถาย ภาพกราฟก
ภาพเคลื่อนไหว เสียงบรรยาย และเสียงประกอบ บรรจุลงไปในบทเรียน ผูเรียนสามารถมีปฏิสัมพันธ
กับบทเรียน สามารถเลือกเรียนเนื้อหาตามลําดับที่ตนตองการ
รูปที่ 1.11 ตัวอยางการนําสื่อมัลติมีเดียมาใชในการเรียนการสอน
(ที่มา: http://www.fanmath.com/about/best-learning-system)
รูปที่ 1.12 ตัวอยางการนําสื่อมัลติมีเดียมาใชในการเรียนการสอน
(ที่มา: http://www.fanmath.com/2012/12/fanmath-classroom)
16. 9
1.4 บทบาทและคุณลักษณะสื่อมัลติมีเดีย
1.4.1 บทบาทของสื่อมัลติมีเดียในฐานะคอมพิวเตอรชวยสอน
เทคโนโลยีสารสนเทศนั้นเขามามีบทบาทตอชีวิตประจําวันมากขึ้น สังเกตไดตั้งแตตื่นนอน
ตอนเชาจนเขานอนในตอนกลางคืน การใชเครื่องคอมพิวเตอรในสํานักงาน สถานที่ราชการ การ
ควบคุมสัญญาไฟจราจร ระบบฐานขอมูล ประวัติการรักษาในโรงพยาบาล และอื่นๆมากมาย
เทคโนโลยีสารสนเทศถูกนํามาประยุกตใชอยางแพรหลาย ในวงการการศึกษาก็เชนเดียวกัน มีการนํา
เครื่องมือ และเทคโลยีตางๆ มาใช หรือที่คนทั่วไปรูจักคือ เทคโนโลยีทางการศึกษา หรือ นวัตกรรม
ทางการศึกษา
รูปที่ 1.13 เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษา
(ที่มา: http://pathima0212.blogspot.com)
เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษา เปนผลของความเจริญในดานตางๆ ซึ่งเกิดจาก
การศึกษา คนควา ทดลอง ประดิษฐคิดคนสิ่งตางๆ โดยอาศัยความรูทางวิทยาศาสตร มาประยุกตใช
ในการพัฒนาที่เกี่ยวของกับการศึกษา ทั้งนี้พัฒนาการของเทคโนโลยีการศึกษานั้น มีความยาวนาน
ตั้งแตสมัยของชาวกรีก แตไมวาจะยุคใดสมัยใด สิ่งที่เปนสวนสําคัญของเทคโนโลยีและนวัตกรรมทาง
การศึกษา ก็คือ สื่อการสอนนั้นเอง
สื่อเพื่อการศึกษาสมัยใหมมีความหลากหลายและนาสนใจ หนึ่งในนั้นคือ สื่อมัลติมีเดีย หรือ
สื่อมัลติมีเดียเพื่อการศึกษา หมายถึง รูปแบบ หรือ โปรแกรมคอมพิวเตอรที่ออกแบบสําหรับใชในการ
เรียนการสอน โดยผูออกแบบ หรือกลุมพัฒนาไดบูรณาการเอาขอมูลตาง ๆ เชน ภาพนิ่ง
ภาพเคลื่อนไหว เสียง วิดีโอ และขอความ รวมเขาเปนองคประกอบ เพื่อสื่อสาร และสราง
ประสบการณ เพื่อใหเกิดการเรียนรูมีประสิทธิภาพนั่นเอง
17. 10
1.4.2 บทบาทของสื่อมัลติมีเดียเพื่อการศึกษา มี 2 ประเภท ดังนี้
1.4.2.1 สื่อมัลติมีเดียเพื่อการนําเสนอขอมูล
นักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงที่สุดในกลุมนี้คือ สกินเนอร (B.F. Skinner) เชื่อวา การเรียนรูของ
มนุษยเปนสิ่งที่สามารถสังเกตไดจากพฤติกรรมภายนอก และเชื่อในทฤษฎีการวางเงื่อนไข โดยมี
แนวคิดเกี่ยวกับความสัมพันธระหวางสิ่งเรา และการตอบสนอง การใหการเสริมแรง ทฤษฎีนี้เชื่อวา
การเรียนรูเกิดจากการที่มนุษยตอบสนองตอสิ่งเรา และพฤติกรรมการตอบสนองจะเขมขนขึ้นหาก
ไดรับการเสริมแรงที่เหมาะสม เปนโปรแกรมคอมพิวเตอรที่ออกแบบ เพื่อใชในการนําเสนอขอมูลสื่อ
มัลติมีเดียเพื่อการศึกษา โดยใชคอมพิวเตอรรวมเปนฐานในการนําเสนอขอมูลดวย เชน ควบคุมการ
เสนอภาพสไลดมัลติวิชั่น ควบคุมการนําเสนอในรูปแบบของวิดีโอเชิงโตตอบ (Interactive Video)
และเครื่องเลนซีดี-รอม ใหเสนอภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว ตามเนื้อหาบทเรียนที่ปรากฏอยูบน
จอคอมพิวเตอร สวนใหญจะอยูในรูปการสื่อสารทางเดียว
รูปที่ 1.14 ตัวอยางสื่อมัลติมีเดียเพื่อการนําเสนอขอมูล
(ที่มา: http://www.kmitl.ac.th/agritech/nutthakorn/sproject/kit/index.html)
1.4.2.2 สื่อมัลติมีเดียเพื่อการเรียนรูดวยตนเอง
สื่อมัลติมีเดียเพื่อการเรียนรูดวยตนเอง หรือแหลงเรียนรู หมายถึง โปรแกรมคอมพิวเตอรที่
ออกแบบ โดยใชคอมพิวเตอรเปนฐานในการผลิตแฟมสื่อมัลติมีเดียเพื่อการศึกษา และนําเสนอแฟมที่
ผลิตแลวแกผูศึกษา ผูศึกษาก็เพียงแตเปดแฟมเพื่อเรียน หรือใชงาน ตามที่โปรแกรมสําเร็จรูปกําหนด
ไว ก็จะไดเนื้อหาลักษณะตาง ๆ อยางครบถวน โดยการนําเสนอขอมูลของสื่อมัลติมีเดียนี้ จะเปนไปใน
ลักษณะสื่อมัลติมีเดียเชิงปฎิสัมพันธ (Interactive)
18. 11
รูปที่ 1.15 สื่อมัลติมีเดียเพื่อการเรียนรูดวยตนเอง
(ที่มา: http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?ID=92706)
1.4.3 ลักษณะของสื่อมัลติมีเดียเพื่อการศึกษา แบงเปน 3 ลักษณะ
1.4.3.1 คอมพิวเตอรชวยสอน (Computer Assisted Instruction : CAI )
คอมพิวเตอรชวยสอน (Computer Assisted Instruction : CAI ) เปนสื่อมัลติมีเดียที่เนน
การใชงานในเครื่องเดี่ยว (Stand Alone) โดยมีการออกแบบใหมีกิจกรรมในรูปแบบตาง ๆ ที่เนน ให
ผูเรียนมีปฏิสัมพันธ (Interaction) กับบทเรียน พรอมทั้งไดรับผลยอนกลับ (Feedback) อยาง
ทันทีทันใด รวมทั้งสามารถประเมิน และตรวจสอบความเขาใจของผูเรียนไดตลอดเวลา โดยมี
เปาหมายสําคัญ ในการเปนบทเรียนที่ชวยใหผูเรียน เกิดการเรียนรูไดอยางมีประสิทธิภาพ สามารถ
ดึงดูดความสนใจของผูเรียน และกระตุนใหผูเรียนอยากเรียนรูซึ่งสวนใหญแลวรูปแบบการเรียนนี้
มักจะไดรับการบันทึกไวบนแผนซีดีรอม
รูปที่ 1.16 คอมพิวเตอรชวยสอน (Computer Assisted Instruction: CAI)
(ที่มา: http://www.cai-dd.com)
19. 12
1.4.3.2 การเรียนการสอนผานระบบเครือขาย (Web Based Instruction : WBI)
การเรียนการสอนผานระบบเครือขาย หรือการสอนบนเว็บ (Web Based Instruction :
WBI) เปนสื่อมัลติมีเดียที่เนนการใชงานในระบบเครือขายอินเทอรเน็ต หรืออินทราเน็ต เปนการ
ผสมผสานระหวางเทคโนโลยีกับกระบวนการออกแบบการเรียนการสอน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
ทางการเรียนรู และแกปญหาในเรื่องขอจํากัดดานสถานที่และเวลา โดยการสอนบนเว็บจะประยุกตใช
คุณสมบัติและทรัพยากรของเวิลด ไวด เว็บ ในการจัดการสภาพแวดลอมที่สงเสริมและสนับสนุนการ
เรียนการสอน ซึ่งการเรียนการสอนที่จัดผานเว็บนี้ อาจเปนบางสวนหรือทั้งหมดของกระบวนการเรียน
การสอนก็ได
รูปที่ 1.17 การเรียนการสอนผานระบบเครือขาย หรือการสอนบนเว็บ
(ที่มา: https://www.khanacademy.org)
1.4.3.3 E–Learning
E–Learning คือ การเรียนการสอนในลักษณะ หรือรูปแบบใดก็ได ซึ่งใชการถายทอดเนื้อหา
ผานทางอุปกรณอิเล็กทรอนิกส ไมวาจะเปน คอมพิวเตอร เครือขายอินเทอรเน็ต อินทราเน็ต
เอ็กซทราเน็ต หรือ ทางสัญญาณโทรทัศน หรือ สัญญาณดาวเทียม (Satellite) ก็ได ซึ่งเนื้อหา
สารสนเทศอาจอยูในรูปแบบการเรียนที่เราคุนเคยกันมาพอสมควร เชน คอมพิวเตอรชวยสอน
(Computer-Assisted Instruction) การสอนบนเว็บ (Web-Based Instruction) การเรียนออนไลน
(On-line Learning) การเรียนทางไกลผานดาวเทียม หรือ อาจอยูในลักษณะที่ยังไมคอยเปนที่
แพรหลายนัก เชน การเรียนจากวิดีทัศน ตามอัธยาศัย (Video On-Demand) เปนตน
20. 13
รูปที่ 1.18 ระบบ E-Leaning มหาวิทยาลัยพะเยา
(ที่มา: http://www.lms.up.ac.th)
ในปจจุบันคนสวนใหญเมื่อกลาวถึง e-Learning จะหมายเฉพาะถึงการเรียนเนื้อหาหรือ
สารสนเทศ ซึ่งออกแบบมาสําหรับการสอนหรือการอบรม ซึ่งใชเทคโนโลยีของเว็บ (Web
Technology) ในการถายทอดเนื้อหา และเทคโนโลยีระบบการจัดการคอรส (Course
Management System) ในการบริหารจัดการงานสอนดานตางๆ โดยผูเรียนที่เรียนจาก e-Learning
นี้สามารถศึกษาเนื้อหาในลักษณะออนไลน หรือจากแผนซีดี-รอม ก็ได นอกจากนี้ เนื้อหาสารสนเทศ
ของ e-Learning สามารถนําเสนอโดยอาศัยเทคโนโลยีมัลติมีเดีย (Multimedia Technology) และ
เทคโนโลยีเชิงโตตอบ (Interactive Technology)
21. 14
1.4.4 คุณลักษณะของสื่อมัลติมีเดีย
คุณลักษณะสําคัญ 4 ประการของสื่อมัลติมีเดียเพื่อการเรียนรูดวยตนเองที่สมบูรณ ไดแก
1.4.4.1 สารสนเทศ (Information)
สารสนเทศ (Information) หมายถึง เนื้อหาสาระ (content) ที่ไดรับการเรียบเรียงแลวเปน
อยางดี ซึ่งทําใหผูเรียนเกิดการเรียนรูหรือไดรับทักษะอยางหนึ่งอยางใดที่ผูสรางไดกําหนดวัตถุประสงค
ไว โดยอาจจะนําเสนอเนื้อหาในลักษณะทางตรงหรือทางออมก็ได
รูปที่ 1.19 เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology)
(ที่มา: http://www.123rf.com/photo_11983586)
1.4.4.2 ความแตกตางระหวางบุคคล (Individualization)
ความแตกตางระหวางบุคคล (Individualization) การตอบสนองความแตกตางระหวาง
บุคคลทั้งจากบุคลิกภาพ สติปญญา ความสนใจ พื้นฐานความรู คือลักษณะสําคัญของคอมพิวเตอร
ชวยสอน โดยผูเรียนจะมีอิสระในการควบคุมการเรียนของตนเอง รวมทั้งการเลือกรูปแบบที่เหมาะสม
กับตนเองได เชน สามารถควบคุมเนื้อหา ควบคุมลําดับของการเรียน ควบคุมการฝกปฏิบัติ หรือการ
ทดสอบ เปนตน
1.4.4.3 การมีปฏิสัมพันธ (Interaction)
เนื่องจากผูเรียนจะเกิดการเรียนรูไดอยางมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หากไดมีการโตตอบหรือ
ปฏิสัมพันธกับผูสอน ดังนั้น สื่อมัลติมีเดียเพื่อการศึกษาที่ออกแบบมาเปนอยางดีจะเอื้ออํานวยใหเกิด
การโตตอบระหวางผูเรียนกับคอมพิวเตอรชวยสอนอยางตอเนื่องและตลอดทั้งบทเรียน การอนุญาตให
ผูเรียนเพียงแตคลิ๊กเปลี่ยนหนาจอไปเรื่อยๆทีละหนา ไมถือวาเปนปฏิสัมพันธที่เพียพอสําหรับการ
เรียนรู แตตองมีการใหผูเรียนไดใชเวลาในสนของการคิดวิเคราะหและสรางสรรคเพื่อใหไดมาซึ่ง
กิจกรรมการเรียนนั้นๆ
22. 15
รูปที่ 1.20 การมีปฏิสัมพันธตอผูเรียน
(ที่มา: http://www.thehindu.com/metroplus/bridging-the-divide/article5003379.ece)
1.4.4.4 ผลปอนกลับโดยทันที (Immediate Feedback)
การใหผลปอนกลับนี้เปนสิ่งที่ทําใหคอมพิวเตอรชวยสอนแตกตางไปจากมัลติมีเดีย-ซีดีรอม
สวนใหญ ซึ่งไดมีการนําเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องราวของสิ่งตางๆ แตไมไดมีการประเมินความเขาใจ
ของผูเรียน ไมวาจะอยูในรูปแบบของการทดสอบ แบบฝกหัด หรือการตรวจสอบความเขาใจใน
รูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง จึงทําใหมัลติมีเดีย-ซีดีรอมเหลานั้น ถูกจัดวาเปน มัลติมีเดียเพื่อการนําเสนอ
ขอมูล (Presentation Media) ไมใชคอมพิวเตอรชวยสอน
รูปที่ 1.21 การเสริมแรงผูเรียนโดยการใหผลปอนกลับโดยทันที
(ที่มา: http://yesican-specializedacademicsupport.blogspot.com/2013/11)
23. 16
เอกสารอางอิง
กิดานันท มลิทอง. (2548). ไอซีทีเพื่อการศึกษา. กรุงเทพมหานคร : อรุณการพิมพ.
คณะกรรมการการประถมศึกษาแหงชาติ, สํานักงาน. (2542). กลุมพลังการเรียนแบบรวมมือ.
กรุงเทพมหานคร : คุรุสภา ลาดพราว.
คณะกรรมการการศึกษาแหงชาติ, สํานักงาน. (2553). พระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติ พ.ศ.
2542 และที่แกไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2553. กรุงเทพมหานคร : สํานัก
นายกรัฐมนตรี.
ดิเรก ธีระภูธร. (2545). การใชคอมพิวเตอรในวงการศึกษา. กรุงเทพมหานคร : อรุณการพิมพ
ถนอมพร เลาหจรัสแสง.(2550). รายงานวิจัยเรื่องการบูรณาการเทคโนโลยี e-Learning ประเภท
เกมในชั้นเรียน. สถานบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม.
ถนอมพร เลาหจรัสแสง. (2545). Design e-Learning: หลักการออกแบบและการสรางเว็บเพื่อ
การเรียนการสอน. กรุงเทพมหานคร : อรุณการพิมพ.
ถนอมพร เลาหจรัสแสง. (2543). คอมพิวเตอรชวยสอน. กรุงเทพมหานคร : วงศกมลโพรดักชั่น.
ทิศนา แขมมณี. (2546). รูปแบบการเรียนการสอน : ทางเลือกที่หลากหลาย. กรุงเทพฯ :
จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย.
บุปผชาติ ทัฬหิกรณ และคณะ. (2544). ความรูเกี่ยวกับสื่อมัลติมีเดียเพื่อการศึกษา.
กรุงเทพมหานคร : ศูนยพัฒนาหนังสือ
พิสุทธา อารีราษฎร. (2551). การพัฒนาซอฟแวรทางการศึกษา. มหาสารคาม : อภิชาตการพิมพ
ราชบัณฑิตยสถาน. (2546). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. กรุงเทพมหานคร :
นานมีบุคสพับลิเคชั่นส.
อางอิงรูปภาพ
รูปที่ 1.1 สวนประกอบของสื่อมัลติมีเดีย, สืบคนเมื่อ 30 ธันวาคม 2556, จาก
(http://fungbintwo.blogspot.com/2009/11/multimedia.html)
รูปที่ 1.2 สื่อมัลติมีเดีย, สืบคนเมื่อ 30 ธันวาคม 2556, จาก (http://jatupo5604music.blogspot
.com)
รูปที่ 1.3 สื่อมัลติมีเดียสมัยใหม, สืบคนเมื่อ 30 ธันวาคม 2556, จาก
(http://mindcater.com/new-hi-technical-computer-technology-2014)
รูปที่ 1.4 บทเรียนคอมพิวเตอรชวยสอน, สืบคนเมื่อ 30 ธันวาคม 2556, จาก
(http://www.vcharkarn. com/vblog/3566)
รูปที่ 1.5 การเชื่อมโยงหลายมิติ (Hyperlink) , สืบคนเมื่อ 30 ธันวาคม 2556, จาก
(http://withfriendship.com/user/kethan123/hyperlink.php)
รูปที่ 1.6 Cloud Computing การเชื่อมโยงกลุมเมฆ, สืบคนเมื่อ 30 ธันวาคม 2556, จาก
(http://www.uni.net.th/backend/uninews/print.php?name=2012111122)
รูปที่ 1.7 การจัดการเรียนรูตามแนวคิดแบบมอนเตสเซอรี่, สืบคนเมื่อ 30 ธันวาคม 2556, จาก
(http://www.dusitcenter.org/dusitwebs/plan/news.php?id=1973)
24. 17
อางอิงรูปภาพ
รูปที่ 1.8 การเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ, สืบคนเมื่อ 30 ธันวาคม 2556, จาก
(http://www.gotoknow.org/posts/412318)
รูปที่ 1.9 การเรียนรูจาการจัดกิจกรรมโดยยึดผูเรียนเปนสําคัญ, สืบคนเมื่อ 30 ธันวาคม 2556, จาก
(http://www.gotoknow.org/posts/412318)
รูปที่ 1.10 รูปแบบการเรียนรูแบบโครงงาน, สืบคนเมื่อ 30 ธันวาคม 2556, จาก
(http://www.panaya-kindergarten.com/education_patthanakan.html)
รูปที่ 1.11 ตัวอยางการนําสื่อมัลติมีเดียมาใชในการเรียนการสอน, สืบคนเมื่อ 30 ธันวาคม 2556, จาก
(http://www.fanmath.com/about/best-learning-system)
รูปที่ 1.12 ตัวอยางการนําสื่อมัลติมีเดียมาใชในการเรียนการสอน, สืบคนเมื่อ 30 ธันวาคม 2556, จาก
(http://www.fanmath.com/2012/12/fanmath-classroom)
รูปที่ 1.13 เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษา, สืบคนเมื่อ 30 ธันวาคม 2556, จาก
(http://pathima0212.blogspot.com)
รูปที่ 1.14 ตัวอยางสื่อมัลติมีเดียเพื่อการนําเสนอขอมูล, สืบคนเมื่อ 30 ธันวาคม 2556, จาก
(http://www.kmitl.ac.th/agritech/nutthakorn/sproject/kit/index.html)
รูปที่ 1.15 สื่อมัลติมีเดียเพื่อการเรียนรูดวยตนเอง, สืบคนเมื่อ 30 ธันวาคม 2556, จาก
(http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?ID=92706)
รูปที่ 1.16 คอมพิวเตอรชวยสอน (Computer Assisted Instruction: CAI), สืบคนเมื่อ 30 ธันวาคม
2556, จาก (http://www.cai-dd.com)
รูปที่ 1.17 การเรียนการสอนผานระบบเครือขาย หรือการสอนบนเว็บ, สืบคนเมื่อ 30 ธันวาคม 2556,
จาก (https://www.khanacademy.org)
รูปที่ 1.18 ระบบ E-Leaning มหาวิทยาลัยพะเยา, สืบคนเมื่อ 30 ธันวาคม 2556, จาก
(http://www.lms.up.ac.th)
รูปที่ 1.19 เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology), สืบคนเมื่อ 30 ธันวาคม 2556, จาก
(http://www.123rf.com/photo_11983586)
รูปที่ 1.20 การมีปฏิสัมพันธตอผูเรียน, สืบคนเมื่อ 30 ธันวาคม 2556, จาก
(http://www.thehindu.com/metroplus/bridging-the-
divide/article5003379.ece)
รูปที่ 1.21 การเสริมแรงผูเรียนโดยการใหผลปอนกลับโดยทันที, สืบคนเมื่อ 30 ธันวาคม 2556, จาก
(http://yesican-specializedacademicsupport.blogspot.com/2013/11)
26. บทที่ 2
หลักการและการออกแบบสื่อมัลติมีเดียแบบมีปฏิสัมพันธ
ในการพัฒนาสื่อมัลติมีเดียแบบมีปฏิสัมพันธใหมีคุณภาพและประสิทธิภาพ จําเปนอยางยิ่งที่
ตองศึกษาหลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวของ เพื่อใหสื่อมีความถูกตอง สอดคลองและตอเนื่อง การอาศัย
ความรูเฉพาะดาน ทฤษฎีทางจิตวิทยา รูปแบบการเรียนรู ลักษณะเฉพาะของสื่อมัลติมีเดีย และทฤษฎี
ที่นักการศึกษายอมรับ จะเปนสวนสําคัญที่ทําใหสื่อมัลติมีเดียมีความนาสนใจตอผูเรียน
นอกจากนั้นการพัฒนาสื่อการเรียนรู โดยไรแนวทางหรือหลักการ ทําใหการวางแผน
ระยะเวลาในการพัฒนาคลาดเคลื่อน หรือ ผิดพลาด อีกทั้งผลกระทบจากผลลัพธที่ไมเปนไปตาม
วัตถุประสงคที่กําหนด อาจกอใหเกิดปญหากับผูเรียน อยางไรก็ตามกระบวนการพัฒนาสื่อการเรียนรู
สามารถปรับปรุงแกไขได หากมีการวางโครงการหรือออกแบบสื่อไวอยางถูกตอง
2.1 ทฤษฏีเกี่ยวกับสื่อมัลติมีเดียแบบมีปฏิสัมพันธ
2.1.1 ทฤษฎีการสื่อสาร
การสื่อสาร หรือ การสื่อความหมาย (Communication) หมายถึง การถายทอดเรื่องราว
การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การแสดงออกของความคิดและความรูสึก เพื่อการติดตอสื่อสารขอมูลซึ่ง
กันและกัน (กิดานันท มลิทอง, 2540) รูปแบบของการสื่อสาร แบงไดเปน 2 รูปแบบ คือ
2.1.1.1 การสื่อสารทางเดียว (One-Way Communication)
การสื่อสารทางเดียวเปนการสงสารหรือสื่อความหมายไปยังผูรับเพียงฝายเดียว โดยที่ผูรับไม
สามารถตอบสนองทันที (Immediate Response) กับผูสง แตอาจจะมีผลปอนกลับไปยังผูสงใน
ภายหลังได การสื่อสารในรูปแบบนี้จึงเปนการที่ผูสงและผูรับไมสามารถมีปฏิสัมพันธแบบทันที
2.1.1.2 การสื่อสารสองทาง (Two-Way Communication)
การสื่อสารสองทางเปนการสื่อสารหรือการสื่อความหมายที่ผูรับมีโอกาสตอบสนองมายังผูสง
ไดในทันที โดยที่ผูสงและผูรับอาจจะอยูตอหนากันหรืออาจอยูคนละสถานที่ก็ได แตทั้งสองฝายจะ
สามารถมีการเจรจาหรือการโตตอบกันไปมา โดยที่ตางฝายตางผลัดกันทําหนาที่เปนทั้งผูสงและผูรับ
ในเวลาเดียวกัน
ดังนั้น ในการที่จะเกิดการเรียนรูขึ้นไดนี้ พบวาตองอาศัยกระบวนการของการสื่อสารใน
รูปแบบของการสื่อสารทางเดียวและสองทาง ในลักษณะของการใหสิ่งเราเพื่อกระตุนใหผูเรียนมีการ
แปลความหมายของเนื้อหาบทเรียน และใหมีการตอบสนองเพื่อเกิดเปนการเรียนรู ลักษณะของสิ่งเรา
และการตอบสนองในการสื่อสาร หมายถึง การที่ผูสอนใหสิ่งเราหรือสงแรงกระตุนไปยังผูเรียนเพื่อให
ผูเรียนมีการตอบสนองออกมา โดยผูสอนอาจใชสื่อโสตทัศนูปกรณตาง ๆ เชน คอมพิวเตอร เปนผูสง
เนื้อหาบทเรียน สวนการตอบสนองของผูเรียน ไดแก คําพูด การเขียน รวมถึงกระบวนการทางดาน
ความคิด การเรียนรู ซึ่งอาศัยรูปแบบการสื่อสารที่เกี่ยวของกับการแปลความหมาย และการ
ตอบสนอง
27. 20
2.1.2 ทฤษฎีการเรียนรูพฤติกรรมนิยม (Behaviorism)
พฤติกรรมนิยมมองผูเรียนเหมือนกับกระดาษที่วางเปลา ผูสอนเตรียมประสบการณใหกับ
ผูเรียน เพื่อสรางประสบการณใหมใหผูเรียน อาจกระทําซ้ําจนกลายเปนพฤติกรรม ผูเรียนทําในสิ่งที่
พวกเขาไดรับฟง
2.1.3 ทฤษฎีการเรียนรูปญญานิยม (Cognitivism)
ปญญานิยมอยูบนฐานของกระบวนการคิดกอน แสดงพฤติกรรม การเปลี่ยนแปลง พฤติกรรม
ที่จะถูกสังเกต สิ่งเหลานั้น มันก็เปนเพียงแตการบงชี้วาสิ่งนี้กําลังดําเนินตอไปในสมองของผูเรียน
ทักษะใหมๆ ที่สะทอนสงออกมาเปนกระบวนการประมวลผลขอมูลทางสติปญญา
2.1.4 ทฤษฎีการสรางองคความรูดวยปญญา หรือ พุทธิปญญานิยม (Constructivism)
การสรางสรรคความรูดวยปญญาอยูบนฐานของ การอางอิงหลักฐานในสิ่งที่พวกเราสรางขึ้น
แสดงใหปรากฏแกสายตาของ เราดวยตัวของเราเอง และอยูบนฐานประสบการณของแตละบุคคล
องคความรูจะถูกสรางขึ้นโดยผูเรียน และโดยเหตุผลที่ทุกคนตางมีชุดของประสบการณตางๆ ของการ
เรียนรูจึงมีลักษณะเฉพาะตน และมี ความแตกตางกันไปในแตละคน
ทั้งสามทฤษฏีตางมีความสําคัญเทาเทียมกัน เมื่อไดการตัดสินใจที่จะใชยุทธศาสตรนี้ มีสิ่งที่
สําคัญและจําเปนที่สุดของชีวิตที่ตองพิจารณาทั้งสองระดับ คือ ระดับองคความรูของนักเรียนของทาน
และระดับการประมวลผลทางสติปญญาที่ ตองการในผลงานหรือภาระงานแหงการเรียนรู ระดับการ
ประมวลผลทางสติปญญาที่ ตองการสรางผลงาน/ภาระงาน และระดับความชํานิชํานาญของนักเรียน
ของเรานี้ การมองหาภาพทางทฤษฎี จะมีความเปนไปไดที่สนับสนุนการมีความ พยายามที่จะเรียนรู
ทางยุทธวิธีบางทีก็มีความซับซอนและมีความเลื่อมล้ํากันอยูบาง และก็มีความจําเปนเหมือนๆ กัน ใน
การวบรวมยุทธวิธีตาง ๆ จากความแตกตางที่เปนจริง ทางทฤษฎี เมื่อเรามีความตองการ
2.1.5 ทฤษฎีการเรียนรูของกาเย (Gagne)
กาเยไดนําเอาแนวความคิดมาใชในการเรียนการสอนโดยยึดหลักการนําเสนอเนื้อหาและจัด
กิจกรรมการเรียนรูจากการมีปฏิสัมพันธ ดังนี้
2.1.5.1 เรงเราความสนใจ (Gain Attention)
กระตุนหรือเราใหผูเรียนเกิดความสนใจกับบทเรียนและเนื้อหาที่จะเรียนการเราความสนใจ
ผูเรียนนี้อาจทําไดโดย การจัดสภาพแวดลอมใหดึงดูดความสนใจ เชน การใชภาพกราฟก
ภาพเคลื่อนไหว และ/หรือการใชเสียงประกอบบทเรียนในสวนบทนํา
2.1.5.2 บอกวัตถุประสงค (Specify Objective)
การบอกวัตถุประสงคเปนการแจงใหผูเรียนทราบถึงจุดประสงคของบทเรียนนี้มีความสําคัญ
เปนอยางยิ่ง โดยเฉพาะการเรียนการสอนบนเว็บที่ผูเรียนสามารถควบคุมการเรียนของตนเองไดโดย
การเลือกศึกษาเนื้อหาที่ตองการศึกษาไดเอง ดังนั้นการที่ผูเรียนไดทราบถึงจุดประสงคของบทเรียน
ลวงหนาทําใหผูเรียนสามารถมุงความสนใจไปที่เนื้อหาบทเรียนที่เกี่ยวของ อีกทั้งยังสามารถเลือก
28. 21
ศึกษาเนื้อหาเฉพาะที่ตนยังขาดความเขาใจที่จะชวยทําใหผูเรียนมีความรูความสามารถตรงตาม
จุดประสงคของบทเรียนที่ไดกําหนดไว
2.1.5.3 ทบทวนความรูเดิม (Activate Prior Knowledge)
การทบทวนความรูเดิมชวยกระตุนใหผูเรียนสามารถเรียนรูเนื้อหาใหมไดรวดเร็วยิ่งขึ้น
รูปแบบการทบทวนความรูเดิมในบทเรียนบนเว็บทําไดหลายวิธี เชน กิจกรรมการถาม-ตอบคําถาม
หรือการแบงกลุมใหผูเรียนอภิปรายหรือสรุปเนื้อหาที่ไดเคยเรียนมาแลว เปนตน
2.1.5.4 นําเสนอเนื้อหาใหม (Present New Information)
การนําเสนอบทเรียนบนเว็บสามารถทําไดหลายรูปแบบดวยกัน คือ การนําเสนอดวยขอความ
รูปภาพ เสียง วีดิทัศน สิ่งสําคัญที่ผูสอนควรใหความสําคัญก็คือผูเรียน ผูสอนควรพิจารณาลักษณะของ
ผูเรียนเปนสําคัญเพื่อใหการนําเสนอบทเรียนเหมาะสมกับผูเรียนมากที่สุด
2.1.5.5 ชี้แนะแนวทางการเรียนรู (Guide Learning)
การชี้แนวทางการเรียนรู หมายถึง การชี้แนะใหผูเรียนสามารถนําความรูที่ไดเรียนใหม
ผสมผสานกับความรูเกาที่เคยไดเรียนไปแลว เพื่อใหผูเรียนเกิดการเรียนรูที่รวดเร็วและมีความแมนยํา
มากยิ่งขึ้น
2.1.5.6 กระตุนการตอบสนองบทเรียน (Elicit Response)
นักการศึกษาตางทราบดีวาการเรียนรูเกิดขึ้นจากการที่ผูเรียนไดมีโอกาสมีสวนรวมใน
กระบวนการเรียนการสอนโดยตรง ดังนั้นในการจัดการเรียนการสอนบนเว็บจึงควรเปดโอกาสให
ผูเรียนมีสวนรวมในกิจกรรมการเรียน ซึ่งอาจทําไดโดยการจัดกิจกรรมการสนทนาออนไลนรูปแบบ
Synchronous หรือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นผานเว็บบอรดในรูปแบบ Asynchronous เปนตน
2.1.5.7 ใหขอมูลยอนกลับ (Provide Feedback)
ลักษณะเดนของการเรียนการสอนบนเว็บ คือ การที่ผูสอนสามารถติดตอสื่อสารกับผูเรียนได
โดยตรง เนื่องจากบทบาทของผูสอนนั้นเปลี่ยนจากการเปนผูถายทอดความรู มาเปนผูใหคําแนะนํา
และชวยกํากับการเรียนของผูเรียนรายบุคคล และดวยความสามารถของอินเทอรเน็ตที่ทําใหผูเรียน
และผูสอนสามารถติดตอกันไดตลอดเวลา ทําใหผูสอนสามารถติดตามกาวหนาและสามารถใหผล
ยอนกลับแกผูเรียนแตละคนไดดวยความสะดวก
2.1.5.8 ทดสอบความรูใหม (Assess Performance)
การทดสอบความรูความสามารถผูเรียนเปนขั้นตอนที่สําคัญอีกขั้นตอนหนึ่ง เพราะทําใหทั้ง
ผูเรียนและผูสอนไดทราบถึงระดับความรูความเขาใจที่ผูเรียนมีตอเนื้อหาในบทเรียนนั้นๆ การทดสอบ
ความรูในบทเรียนบนเว็บสามารถทําไดหลายรูปแบบ ไมวาจะเปนขอสอบแบบปรนัยหรืออัตนัย การ
จัดทํากิจกรรมการอภิปรายกลุมใหญหรือกลุมยอยเปนตน ซึ่งการทดสอบนี้ผูเรียนสามารถทําการ
ทดสอบบนเว็บผานระบบเครือขายได
2.1.5.9 สรุปและนําไปใช (Review and Transfer)
การสรุปและนําไปใช จัดวาเปนสวนสําคัญในขั้นตอนสุดทายที่บทเรียนจะตองสรุปมโนคติของ
เนื้อหาเฉพาะประเด็นสําคัญ ๆ รวมทั้งขอเสนอแนะตาง ๆ เพื่อเปดโอกาสใหผูเรียนไดมีโอกาสทบทวน
ความรูของตนเองหลังจากศึกษาเนื้อหาผานมาแลว ในขณะเดียวกันบทเรียนตองชี้แนะเนื้อหาที่
29. 22
เกี่ยวของหรือใหขอมูลอางอิงเพิ่มเติม เพื่อแนะแนวทางใหผูเรียนไดศึกษาตอในบทเรียนถัดไปหรือ
นําไปประยุกตใชกับงานอื่นตอไป
รูปที่ 2.1 ทฤษฎีการเรียนรูของกาเย
(ที่มา: http://teacher80std.blogspot.com/2012/06/101-learning-ecology.html)
2.2 องคประกอบที่สําคัญที่กอใหเกิดการเรียนรู
2.2.1 ผูเรียน ( Learner) มีระบบสัมผัสและระบบประสาทในการรับรู
2.2.2 สิ่งเรา ( Stimulus) คือ สถานการณตางๆ ที่เปนสิ่งเราใหผูเรียนเกิดการเรียนรู
2.2.3 การตอบสนอง (Response) คือ พฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู
2.2.4 การสอนดวยสื่อตามแนวคิดของกาเย
2.2.5 เราความสนใจ มีโปรแกรมที่กระตุนความสนใจของผูเรียน เชน ใช การตูน หรือ
กราฟกที่ดึงดูดสายตา
2.2.6 ความอยากรูอยากเห็นจะเปนแรงจูงใจใหผูเรียนสนใจในบทเรียน การตั้งคําถามก็
เปนอีกสิ่งหนึ่ง
2.2.7 บอกวัตถุประสงค ผูเรียนควรทราบถึงวัตถุประสงค ใหผูเรียนสนใจในบทเรียน
เพื่อใหทราบวาบทเรียนเกี่ยวกับอะไร
2.2.8 กระตุนความจําผูเรียน สรางความสัมพันธในการโยงขอมูลกับความรูที่มีอยูกอน
เพราะสิ่งนี้สามารถทําใหเกิดความทรงจําในระยะยาวไดเมื่อไดโยงถึงประสบการณ
ผูเรียน โดยการตั้งคําถาม เกี่ยวกับแนวคิด หรือเนื้อหานั้นๆ
30. 23
2.2.9 เสนอเนื้อหา ขั้นตอนนี้จะเปนการอธิบายเนื้อหาใหกับผูเรียน โดยใชสื่อชนิดตางๆ
ในรูป กราฟก หรือ เสียง วิดีโอ
2.2.10 การยกตัวอยาง การยกตัวอยางสามารถทําไดโดยยกกรณีศึกษา การเปรียบเทียบ
เพื่อใหเขาใจไดซาบซึ้ง
2.2.11 การฝกปฏิบัติ เพื่อใหเกิดทักษะหรือพฤติกรรม เปนการวัดความเขาใจวาผูเรียนได
เรียนถูกตอง เพื่อใหเกิดการอธิบายซ้ําเมื่อรับสิ่งที่ผิด
2.2.12 การใหคําแนะนําเพิ่มเติม เชน การทําแบบฝกหัด โดยมีคําแนะนํา
2.2.13 การสอบ เพื่อวัดระดับความเขาใจ
2.2.14 การนําไปใช กับงานที่ทําในการทําสื่อควรมี เนื้อหาเพิ่มเติม หรือหัวขอตางๆ ที่ควร
จะรูเพิ่มเติม
2.3 การออกแบบสื่อมัลติมีเดียแบบมีปฏิสัมพันธ
การออกแบบสื่อมัลติมีเดียเพื่อการเรียนการสอน โดยใหเนนการผสมผสานของกราฟก สี
ภาพ เคลื่อนไหว การเปรียบเทียบการใหตัวอยางที่เปนรูปธรรม การใหขอมูลปอนกลับที่เปนภาพ
ขั้นตอนการออกแบบนี้ถูกดัดแปลงมาจากกระบวนการเรียนรู 9 ขั้นของกาเย บริกส และ แวกเนอร
ดังนี้
2.3.1 การเราความสนใจใหพรอมที่จะเรียน (Gain Attention)
กอนที่จะเริ่มเรียนมีความจาเปนอยางยิ่งที่ผูเรียนควรจะไดรับแรงกระตุนและจูงใจใหอยากที่
จะเรียน ทาไดโดยการใชภาพ สี เสียงประกอบ ในการสรางไตเติล (Title) ใช กราฟกขนาดใหญ งาย
ไมซับซอน มีการเคลื่อนไหวที่สั้นและงาย ใชสีและเสียง เขาชวยใหสอดคลองกับกราฟก ภาพควรคาง
อยูที่จอภาพจนกวาผูเรียนจะเปลี่ยนภาพ ในกราฟกควรบอกชื่อเรื่องที่จะเรียน แสดงผลบนจอไดเร็ว
และควรเหมาะกับวัยของผูเรียนดวย
2.3.2 วัตถุประสงคของการเรียน (Specify Objective )
การบอกวัตถุประสงค ของการเรียนในสื่อมัลติมีเดียเพื่อการศึกษานั้น เพื่อใหผูเรียนรูลวงหนา
ถึงประเด็น สาคัญของเนื้อหา และเคาโครงเนื้อหาอยางกวางๆ เพื่อใหการเรียนรูมีประสิทธิภาพ การ
บอกวัตถุประสงคนั้นทาไดหลายแบบ อาจบอกเปนวัตถุประสงคเชิงพฤติกรรมหรือวัตถุประสงคทั่วไป
ซึ่งจะตองคานึงดวยวาควรใชถอยคางาย หลีกเลี่ยงคา ที่ยังไมเปนที่รูจักและเขาใจโดยทั่วไป ไมควรกา
หนดวัตถุประสงคหลายขอเกินไป ถาเปน บทเรียนใหญมีวัตถุประสงคกวางๆ ควรตอดวยเมนู (Menu)
แลวจึงมีวัตถุประสงคยอย ปรากฏบนจอ ทีละขอ โดยใชกราฟกงายๆ และการเคลื่อนไหวเขาชวย
2.3.3 ทบทวนความรูเดิม (Active Prior Knowledge)
กอนที่จะใหความรูใหม แกผูเรียน ซึ่งในสวนของเนื้อหาและแนวความคิดนั้นๆ ผูเรียนอาจไมมี
พื้นฐานมากอน มีความจาเปนอยางยิ่งที่ผูออกแบบโปรแกรมควรจะตองหาวิธีการประเมินความรูเดิม
ในสวนที่จาเปนกอนที่จะรับความรูใหม นอกจากจะเปนการเตรียมผูเรียน ใหพรอม ที่จะรับความรูใหม