More Related Content
Similar to N sdis 143_60_1 (20)
More from Wichai Likitponrak (20)
N sdis 143_60_1
- 5. สาเหตุของโรคอัลไซเมอร์
ผู้ป่วยประมาณ 7% มีสาเหตุมาจากพันธุกรรม และสามารถถ่ายทอดสู่ลูกหลานได้
ตาแหน่งความผิดปกติบนโครโมโซมที่พบชัดเจนแล้วว่าทาให้เกิดโรคอัลไซเมอร์อยู่บน
โครโมโซมคู่ที่ 21, 14, 1, และ 19 ผู้ที่มีความผิดปกติของพันธุกรรมเหล่านี้จะป่วยเป็นโรคอัล
ไซเมอร์ที่อายุน้อยกว่าคนที่ไม่ได้มีความผิดปกติทางพันธุกรรม นอกจากนี้พบว่าในผู้ป่วยโรค
กลุ่มอาการดาวน์ (Down’s syndrome) ซึ่งมีความผิดปกติคือมีสารพันธุกรรมของโครโมโซม
แท่งที่ 21 เกินมา หากมีชีวิตอยู่เกิน 40 ปี จะป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ในที่สุด ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่
เหลือไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน แต่พบปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์ ดังนี้ คือ อายุที่มาก
ขึ้น มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ เคยประสบอุบัติเหตุที่สมองหรือสมองได้รับ
บาดเจ็บ เป็นโรคอ้วน เป็นโรคเบาหวาน (เพิ่มความเสี่ยงขึ้นประมาณ 3 เท่า) เป็นโรคความดัน
โลหิตสูง และเป็นโรคไขมันในเลือดสูงแต่ระดับการศึกษาและระดับสติ ปัญญาไม่มีผลต่อการ
เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรค นอกจากนี้ มีการศึกษาพบว่าสารเคมีในธรรมชาติบางตัว เช่น
อะลูมิเนียม ปรอท รวมทั้งไวรัสบางชนิด อาจเป็นสาเหตุของโรคนี้ แต่หลักฐานก็ยังไม่ชัดเจน
- 6. ประวัติความเป็นมา
โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) เป็นหนึ่งในโรคสมองเสื่อมที่พบได้
บ่อยที่สุด โรคนี้ถูกบรรยายไว้ครั้งแรกโดยจิตแพทย์ชาวเยอรมันชื่อAlois Alzheimer ในปี
พ.ศ. 2499 ผู้ป่วยโรคนี้จะมีอาการสาคัญ คือความจาเสื่อม หลงลืม มีพฤติกรรมและนิสัย
เปลี่ยนไป อาการจะดาเนินไปอย่างช้าๆ แต่ค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดจะ
ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และเสียชีวิตในที่สุด ไม่มีวิธีป้องกันหรือวิธีสาหรับรักษาให้หาย
ได้โรคอัลไซเมอร์ จะพบในผู้สูงอายุ ยิ่งอายุมากขึ้นก็จะพบอัตราการเป็นโรคมากขึ้นโดย
ในช่วงอายุ 65-69 ปี พบอุบัติการณ์การเกิดผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 3 คนต่อพันคนต่อปี
แต่หากเป็นช่วงอายุ 85-89ปี จะพบสูงถึง 40 คนต่อพันคนต่อปี พบได้ในทุกเชื้อชาติ เพศ
หญิงพบมากกว่าเพศชายเล็กน้อย อาจเนื่องจากเพศหญิงมีอายุยืนยาวกว่า ในประเทศไทย
มีผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 2-4% ของผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี และจะพบเพิ่มขึ้น 2 เท่าทุก 5 ปี
หลังอายุ 60 ปี
- 8. ลักษณะอาการสาคัญของโรค
อาการของโรคนี้สามารถแบ่งได้ เป็น 4 ระยะ คือ
1.ระยะก่อนสมองเสื่อม 2. สมองเสื่อมระยะแรก
3. สมองเสื่อมระยะปานกล และ4.เสื่อมระยะสุดท้าย
1.ระยะก่อนสมองเสื่อม ในระยะนี้ผู้ป่วยจะมีปัญหาเรื่องการจดจาสิ่งที่พึ่งเรียนรู้มาไม่นาน แต่ว่ายังไม่มีอาการ
ที่ชัดเจน ผู้ป่วยสามารถดาเนินชีวิตประจาวันได้เป็นปกติ และยังสามารถตัดสินใจทาในสิ่งต่างๆได้ ยกเว้นเรื่อง
ที่สลับซับซ้อน
2.สมองเสื่อมระยะแรก ในระยะนี้ผู้ป่วยจะสูญเสียความทรงจาระยะสั้น หรือความจาที่เพิ่งเรียนรู้มา ลักษณะ
อาการ เช่นลืมของ ลืมเวลานัด ทานยารักษาโรคซ้าๆ ถามซ้า พูดซ้า ในระยะนี้การใช้ชีวิตของผู้ป่วยเริ่มไม่เป็น
ปกติ แต่ยังสามารถสื่อสารบอกความคิดพื้นฐานของตนได้ ทากิจวัตรประจาวันต่างๆได้ แต่ขาดความ
คล่องแคล่วเหมือนปกติ
- 9. 3.สมองเสื่อมระยะปานกลาง ในระยะนี้ผู้ป่วยจะสูญเสียความทรงจาระยะสั้นไปเลย ส่วนความจา
ระยะยาว และความรู้ทั่วไป จะค่อยๆเสื่อมลง ในระยะนี้ถึงแม้ว่าผู้ป่วยจะอาศัยอยู่ในบ้านของตัวเองแต่
จะมีความรู้สึกว่าอยู่ต่างสถานที่ตลอดเวลา เรื่องของภาษาและการพูดจะมีปัญหาชัดเจน ทักษะเรื่อง
ของการอ่านและการเขียน จะค่อยๆเสื่อมลง ผู้ป่วยรู้สึกสับสน วิตกกังวล หงุดหงิด โมโหง่าย และ
อารมณ์แปรปรวน
4.สมองเสื่อมระยะสุดท้าย ในระยะนี้ผู้ป่วยจะสูญเสียความทรงจาทั้งหมด ทั้ง ระยะสั้น ระยะยาว และ
ความรู้ทั่วไป ผู้ป่วยต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ผู้ป่วยจะไม่สามารถทากิจกรรมใดๆได้เลย แม้กระ
ทั้งการอาบน้า การกินข้าว การแต่งตัว การเดิน หรือการนั่ง และไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้
- 10. แนวทางในการป้ องกันรักษาโรค
การป้ องกันโรคอัลไซเมอร์
1. ในผู้หญิงวัยหมดประจาเดือน ต้องให้ฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือให้ฮอร์โมนชนิดผสม
เอสโตรเจน-โปรเจสเตอโรน ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้
ดังนั้นต้องระวังการบริโภค ในปริมาณที่เหมาะสม
2. ให้รับประทานอาหาร ที่มีสิตามินบี 12 และมีกรดโฟลิกสูง จาพวก ผักและผลไม้สด ธัญพืช
ต่างๆ น้ามันมะกอก ปลา 3. ลดการบริโภค อาหารประเภท ไขมันสูง เค็มจัด หวานจัด และ
อาหารจานด่วนต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยงของโรคไขมันในเส้นเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง
และโรคเบาหวาน ที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคอัลไซเมอร์
4. ออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ
5. ทากิจกรรมที่ฝึกสมองและความคิด เช่นอ่านหนังสือ เล่นหมากรุก เป็นต้น
6. การรับประทานสมุนไพร เช่น หอมหัวใหญ่, มะละกอ, ชมจันทร์, งาดา