More Related Content
Similar to N sdis 144_60_10
Similar to N sdis 144_60_10 (20)
More from Wichai Likitponrak
More from Wichai Likitponrak (20)
N sdis 144_60_10
- 3. 1. นายนภนต์ จารุวัฒนสกุล ห้อง 144 เลขที่ 31
2. นายนัทนัน เอ็มเอ็ม ห้อง 144 เลขที่ 33
3. นายพีรภาส หาญณรงค์ ห้อง 144 เลขที่ 36
4. นายศุภณัฐ ทวีถาวรสวัสดิ์ ห้อง 144 เลขที่ 37
สมาชิกในกลุ่ม
- 4. ประวัติครูผู้สอน
ครูผู้สอน
นายวิชัย ลิขิตพรรักษ์ตาแหน่งครู คศ.1 เอกวิชาชีววิทยา
ประวัติการศึกษา :
พ.ศ. 2549 วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ 2) สาขาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล
พ.ศ. 2551 ศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ เอกเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
พ.ศ. 2552 ประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
พ.ศ. 2555 สาธารณสุขศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ เอกสาธารณสุขศาสตร์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
พ.ศ. 2558 ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการประเมินและการวิจัยทางการศึกษา
เอกวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง
- 6. ประวัติความเป็ นมาและอุบัติการณ์ของโรคกล้ามเนื้อเสื่อมการประสาทงาน
จากสมองน้อยและไขสันหลัง
สมัยก่อนอาการเสียการควบคุมกล้ามเนื้อ (Ataxia) จะถูกแบ่งประเภทโดยการ
แบ่งตามรูปแบบการเสื่อมในส่วนต่างๆ ของสมอง ได้แก่ Olivopontocerebellar atrophy
(OPCA), Spinopontine Atrophy, Pure Cortical Cerebellar Atrophy เป็นต้น การจัดใน
รูปแบบนี้ทาให้เกิดความสับสนเนื่องจากผู้ได้รับผลกระทบแม้จะมาจากครอบครัว
เดียวกันกลับมีส่วนของสมองที่ได้รับผลไม่เหมือนกัน อาการเสียการควบคุมกล้ามเนื้อ
จึงถูกจัดเป็นโรคกล้ามเนื้อเสียการประสานงานจากสมองน้อยและไขสันหลัง
(Spinocerebellar ataxia - SCA) คือกลุ่มความผิดปกติที่ทาให้สมองน้อย ก้านสมองและ
ระบบประสาทบางส่วนเสื่อมลง ซึ่งชนิดของ SCA ยังมีการเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ โดย
ปัจจุบันมีไม่ต่ากว่า 27 ชนิดแล้ว
- 9. โรคกล้ามเนื้อเสียจากการประสานงานจากสมองน้อยและไขสันหลังนั้นถ่ายทอด
ทางพันธุกรรมซึ่งทาให้สมองน้อย(cerebellum) ไขสันหลัง (spinal cord) และระบบประสาท
นอกส่วนกลาง (peripheral nervous system) ซึ่งอยู่บริเวณไขสันหลังของผู้ป่วยทางาน
ผิดปรกติเนื่องจากมีการฝ่อลีบลง โรคนี้จะปรากฏโดยช้าและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่
สามารถยับยั้งได้ สาหรับสมองน้อยของมนุษย์นั้นทาหน้าที่ร่วมกับระบบประสาททั้ง
ส่วนกลาง (central nervous system) และส่วนปลาย (peripheral nervous system) ในการ
ควบคุมการทรงตัวและการเคลื่อนไหวของมนุษย์ โดยอาศัยไขสันหลังในการส่งผ่านกระแส
ประสาท ความชุกของโรค โรคกล้ามเนื้อเสียการประสานงานจากสมองน้อยและไขสัน
หลังเซียพบได้น้อยมากใน โลกนี้ โดยมีอัตราการเกิดโรคประมาณสิบหกคนต่อหนึ่งแสน
ภาพรวมของโรค
- 11. ลักษณะอาการสาคัญของโรค
อาการของโรคนี้มักเริ่มปรากฏตั้งแต่ผู้ป่วยยังอยู่ในวัยก่อนวัยเริ่มเจริญ พันธุ์
(puberty) อย่างไรก็ดี โรคนี้บางประเภทก็ปรากฏในวัยผู้ใหญ่ (adult) เลยก็ได้
ผู้ป่วยเป็นโรคนี้จะสูญเสียความสามารถในการควบคุมการเคลื่อนไหวทางกายภาพของ ตน โดย
เกิดภาวะสูญเสียการประสานกันของท่าเดิน (unsteady gait) มีอาการพูดไม่เป็นความ
(dysarthria) และอาการตากระตุก (nystagmus) นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย
นอกเหนือจากดังกล่าว เช่น อาการสั่น (tremor) ภาวะซึมเศร้า (depression) ภาวะหดเกร็งของ
กล้ามเนื้อ (spasticity) และโรคนอนไม่หลับ (sleep disorders) อนึ่ง การค้นคว้าอื่น ๆ ยังระบุว่า
อาจมีโรคดังต่อไปนี้แทรกซ้อนขึ้นมาในระหว่างการป่วยได้ เช่น ภาวะกระดูกสันหลังโกงคด
(kyphoscoliosis) ภาวะนิ้วเท้างุ้ม (hammer toe) ภาวะส่วนโค้งเท้าสูงขึ้น (high arches) หรือ
โรคหัวใจ (heart disease)
- 12. อย่างไรก็ดี แม้ความสามารถในการเคลื่อนไหวทางกายภาพของผู้ป่วยจะ
เสื่อมสภาพลงตามลาดับและ สูญเสียไปในที่สุด แต่ระบบจิตใจและความรู้สึกนึกคิดของ
ผู้ป่วยยังคงปรกติ หากทาเอกซเรย์สมองแบบพิเศษ จะพบเนื้อสมองน้อยซีรีเบลลั่มฝ่อลง
อาการแสดงอายุของผู้ป่วยที่เริ่มเป็นโรค และลักษณะการถ่ายทอดทาง
พันธุกรรมจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับตาแหน่งของยีนบนโครโมโซมที่ได้รับ
ผลกระทบของผู้ป่วย โดยโรค spinocerebellar ataxia ถ่ายทอดแบบพันธุ์เด่น คือเมื่อ
ได้รับยีนผิดปกติเพียง 1 ข้างจากบิดา มารดา ทาให้เกิดโรคได้ บุตรของผู้ป่วยมีโอกาส
เกิดโรคร้อยละ 50
- 13. การวินิจฉัยและแนวทางในการป้ องกันรักษาโรค
การวินิจฉัยโรคนี้ต้องอาศัยความรู้ทางพันธุศาสตร์และประสาทวิทยาอย่างมาก เพราะอาจสับสน
กับโรคทางระบบประสาท (neurologicalcondition)อื่น ๆ ได้วิธีหนึ่งในการวินิจฉัยโรคนี้ได้แก่
การใช้เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) หรือ เครื่องฉายภาพด้วยเรโซแนนซ์แม่เหล็ก
(MRI) ในการตรวจวิเคราะห์สมอง หากป่วยเป็นโรคนี้จริงจะพบว่าสมองน้อยของผู้ป่ วยฝ่ อลง
อย่างเห็นได้ชัด
การวินิจฉัยที่แม่นยาที่สุดได้แก่การตรวจโครงสร้างทางพันธุกรรมของผู้ป่วย วิธีนี้ยังสามารถใช้
ตรวจวิเคราะห์เด็กว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคทางพันธุกรรมนี้หรือไม่ด้วย
การบาบัดรักษาและการพยากรณ์โรค ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาผู้ป่วยเป็นโรคนี้ และไม่มีวิธีฟื้นฟู
ร่างกายผู้ป่วยให้กลับเป็นปกติเช่นเดิมได้แต่ยังสามารถบรรเทาความรุนแรงของอาการได้ โดย
อาศัยการทากายภาพบาบัดและรักษาตามอาการที่เกิดขึ้น