More Related Content
Similar to N sdis 125_60_1 (20)
More from Wichai Likitponrak (20)
N sdis 125_60_1
- 1. โ ร ง เ รีย น เ ต รีย ม อุ ด ม ศึก ษ า
โรคอัลไซเมอร ์
- 4. Alzheimer’s disease
โรคอัลไซเมอร ์
โรคอัลไซเมอร ์(Alzheimer’s disease) เป็นหนึ่งในโรคสมองเสื่อมที่พบได้บ่อย
ที่สุด ผู้ป่วยโรคนี้จะมีอาการสาคัญ คือ ความจาเสื่อม หลงลืม มีพฤติกรรมและ
นิสัยเปลี่ยนไป อาการจะดาเนินไปอย่างช ้าๆ แต่ค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดจะ
ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และเสียชีวิตในที่สุด ไม่มีวิธีป้องกันหรือวิธีสาหรับรักษาให้
หายได้
โรคอัลไซเมอร ์จะพบในผู้สูงอายุ ยิ่งอายุมากขึ้นก็จะพบอัตราการเป็นโรคมากขึ้น
โดยในช่วงอายุ 65-69 ปี พบอุบัติการณ์การเกิดผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 3 คนต่อ
พันคนต่อปี แต่หากเป็นช่วงอายุ 85-89 ปี จะพบสูงถึง 40 คนต่อพันคนต่อปี พบ
ได้ในทุกเชื้อชาติ เพศหญิงพบมากกว่าเพศชายเล็กน้อย อาจเนื่องจากเพศหญิงมี
อายุยืนยาวกว่า ในประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 2-4% ของผู้ที่มีอายุ
มากกว่า 60 ปี และจะพบเพิ่มขึ้น 2 เท่าทุก 5 ปีหลังอายุ 60 ปี
- 6. • เมื่อผู้ป่วยรายนั้นเสียชีวิตลง นายแพทย์อัลไซเมอร ์จึงได้ผ่าชันสูตรสมองผู้ป่วย และได้
บรรยายพยาธิสภาพที่พบว่า มีการสะสมของคราบสารที่พอกอยู่ในสมองเรียกว่า ซี
ไนล์พลากส์(senile plaques หรือ SPs) และพบว่า กิ่งก้านสาขาของเซลสมอง
เกิดการเหี่ยวย่น แตกกระเจิง และพันกันยุ่งเหยิงเรียกว่า นิวโรฟิบริลารี่ แทงเกิ้ล
(neurofibrillary tangles หรือ NFTs)ซึ่งนับเป็ นการค้นพบครั้งแรกที่ได้รับการ
ยอมรับ
• กว่า 100 ปีนับจากที่ได้มีการบรรยายความผิดปกติของโรคอัลไซเมอร ์ไว้ นักวิจัยได้
นาสิ่งที่บันทึกไปสู่การศึกษาวิจัย เพื่อหารายละเอียดเพิ่มเติมของโรคอัลไซเมอร ์และ
ภาวะสมองเสื่อมกันอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งค้นพบองค์ความรู้ใหม่เกิดขึ้นอีก
มากมาย
ประวัติความเป็นมาและอุบัติการณ์ของโรค
- 7. สาเหตุสาคัญของการเกิดโรค
มีถึง 3 สมมติฐานหลักที่อธิบายสาเหตุของโรคอัลไซเมอร ์
1. สมมติฐานโคลิเนอร ์จิก (cholinergic hypothesis)
สมองมีสารสื่อประสาท (NEURO-
TRANSMITTER) ที่เรียกว่า สารอะเซติลโคลีน
(ACETYLCHOLINE) ลดลงในเซลล์ประสาท
สมอง โดยสารนี้เป็นสารสาคัญที่ทาหน้าที่นา
คาสั่งจากสมองไปยังอวัยวะส่วนต่างๆเพื่อสั่งการ
ทางาน และมีความสาคัญต่อความจาของสมอง
ซึ่งคนป่วยที่เป็นโรคอัลไซเมอร ์จะพบสารอะเซติล
โคลีนในปริมาณที่ลดลงเมื่อเทียบกับคนปกติ
สมมติฐานดังกล่าวปัจจุบันไม่ได้รับการสนับสนุน
เนื่องจากการให้ยาเพื่อรักษาการขาดแอซิทิล
โคลีนโดยตรงไม่มีประสิทธิภาพในการรักษา
โรคอัลไซเมอร ์มากนัก
- 9. ยีนของสารตั้งต้นแอมีลอยด์ บีตา
(amyloid beta precursor; APP) อยู่บน
โครโมโซมคู่ที่ 21 และผู้ป่วยที่มีโครโมโซมคู่ที่ 21 เกิน
มา 1 แท่ง (trisomy 21) หรือ (Down
Syndrome) ซึ่งมียีนดังกล่าวมากกว่าปกติ ทั้งหมด
ล้วนแสดงอาการของโรคอัลไซเมอร ์นอกจากนี้ ยีน
APOE4 ซึ่งเป็ นปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรมของโรคอัล
ไซเมอร ์ทาให้เกิดการสร ้างแอมีลอยด์ในสมองอย่าง
มากมายก่อนจะเกิดอาการของโรค ดังนั้นจึงเชื่อว่า
การสะสมของ Aβ ทาให้เกิดอาการทางคลินิกของ
โรคอัลไซเมอร ์
สาเหตุสาคัญของการเกิดโรค
2. สมมติฐานแอมีลอยด์(amyloid hypothesis)
ซึ่งเชื่อว่าการสะสมของแอมีลอยด์ บีตา (amyloid beta; Aβ)
เป็นสาเหตุหลักของโรคอัลไซเมอร ์
- 11. 3. สมมติฐานโปรตีนเทา (tau hypothesis)
ซึ่งเชื่อว่าความผิดปกติของโปรตีนเทา (tau protein)
เป็ นตัวริเริ่มให้เกิดความผิดปกติตามมาเป็ นลาดับ
สมมติฐานนี้เชื่อว่าโปรตีนเทาที่ถูกเติมหมู่ฟอสเฟตมาก
ผิดปกติ (hyperphosphorylated tau) จะจับคู่กับ
โปรตีนเทาปกติสายอื่นๆ เกิดเป็ นนิวโรไฟบริลลารี แทงเกิล
(neurofibrillary tangles) สะสมภายในตัวเซลล์
ประสาท ผลดังกล่าวทาให้ไมโครทิวบูลสลายตัว และทาลาย
ระบบการขนส่งสารในเซลล์ประสาท กระบวนการดังกล่าว
ทาให้เกิดความผิดปกติในการสื่อสารทางชีวเคมีระหว่าง
เซลล์ประสาท และทาให้เซลล์ตาย
สาเหตุสาคัญของการเกิดโรค
- 13. 1. ระยะก่อนสมองเสื่อม
• ผู้ป่วยจะมีความบกพร่องทางการเรียนรู้เล็กน้อย (Mild cognitive impairment) มีปัญหา
ในการจดจาข้อมูลที่เพิ่งเรียนรู้มาไม่นาน หรือไม่สามารถรับข้อมูลใหม่ๆได้
• แต่โดยทั่วไปยังสามารถดาเนินชีวิตประจาวันได้เป็นปกติ ยังตัดสินใจทาในสิ่งต่างๆได้ ยกเว้นเรื่อง
ที่สลับซับซ ้อน
• หากนาผู้ป่วยไปทาการทดสอบทางสมองและสภาพจิต ก็จะยังไม่พบสิ่งผิดปกติ ผู้ป่วยในระยะนี้ก็
จะไม่เข้าเกณฑ์การวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร ์แต่ในทางการศึกษา เมื่อตรวจสมองของผู้ป่วยเหล่านี้
จะพบความผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว
2. สมองเสื่อมระยะแรก
• ผู้ป่วยจะมีการสูญเสียความจาในระยะสั้น ความจาใหม่ หรือความจาที่เพิ่งเรียนรู้มา
• ส่วนความทรงจาในระยะยาวที่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะตัวของผู้ป่วย รวมทั้งความจาที่เป็น
ความรู้ทั่วไป และความจาที่เป็นความจาโดยปริยาย (ความจาของร่างกายว่าทาสิ่งต่างๆอย่างไร
เช่น การใช้ช ้อนส้อมรับประทานอาหาร) ยังพอจาได้เป็นปกติ
• การใช ้ชีวิตของผู้ป่วยในระยะนี้ จะเริ่มไม่เป็นปกติ
ลักษณะอาการสาคัญของโรค
- 14. 3. สมองเสื่อมระยะปานกลาง
• ความจาในระยะยาว และความรู้ทั่วไปก็จะค่อยๆบกพร่องไป
• การพูดและการใช ้ภาษาจะบกพร่องชัดเจน
เช่น จะไม่สามารถนึกคาเรียกชื่อสิ่งของที่มองเห็นอยู่ตรงหน้าได้ (เรียกว่า Agnosia) หรือใช้
ศัพท์คาอื่นมาเรียกแทน (เรียกว่า Paraphasia) มีปัญหาในการสื่อสารความคิดของตนเอง
ทักษะการอ่านและการเขียนค่อยๆเสียไปเรื่อยๆ
• การทากิจวัตรประจาวันต่างๆก็จะเริ่มมีปัญหา
• ผู้ป่วยจะมีอารมณ์สับสน วิตกกังวล หงุดหงิด โมโหง่าย อารมณ์แปรปรวน มีอาการหลงผิด
เห็นภาพหลอนโดยเฉพาะในเวลาโพล้เพล้ มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป
• การควบคุมพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเสีย
ลักษณะอาการสาคัญของโรค
- 15. 4. สมองเสื่อมระยะสุดท้าย
• ความทรงจาในระยะสั้น ความทรงจาในระยะยาว ความรู้ทั่วไป และกระทั่งความจาที่เป็ น
ความจาโดยปริยาย ก็จะสูญเสียไป
• การใช้ภาษาของผู้ป่วยจะลดลงอย่างมาก อาจพูดเพียงแค่วลีง่ายๆ หรือคาเดี่ยวๆ จน
กระทั่งไม่สามารถพูดได้เลย
• ในระยะนี้ ลักษณะพฤติกรรมก้าวร ้าวจะลดลง ภาวะไร ้อารมณ์เด่นกว่า
• การทากิจวัตรประจาวันจะค่อยๆลดลง จนในที่สุดผู้ป่วยจะไม่สามารถทากิจกรรมใดๆได้เลย
ผู้ป่วยต้องอาศัยพึ่งพาผู้ดูแลตลอดเวลา มีอาการตัวแข็งคล้ายกับคนเป็ นโรคพาร ์กินสันได้
ผู้ป่วยก็จะได้แต่นอนนิ่งๆอยู่บนเตียงตลอดเวลา และไม่สามารถควบคุมการถ่ายอุจจาระ
และปัสสาวะได้ สุดท้ายผู้ป่วยก็จะเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ ้อนต่างๆ โดยไม่ได้เสียชีวิตจาก
ตัวโรคโดยตรง
ลักษณะอาการสาคัญของโรค
- 16. แนวทางในการป้องกัน รักษาโรค
• ป้องกัน
- การรับประทานอาหารบางชนิดเป็ นประจา เช่น ผักและผลไม้สด ธัญพืชต่างๆ
น้ามันมะกอก ปลา ไวน์แดง รวมไปถึงอาหารที่มีวิตามินบี 12 วิตามินซี และกรดโฟ
ลิกสูง อาจช่วยลดโอกาสเกิดโรค
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง อาหารเค็มจัด หวานจัด อาหารจานด่วนต่างๆ เพราะ
โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน เป็นปัจจัยเสี่ยงอย่าง
หนึ่งต่อการป่วยเป็ นโรคอัลไซเมอร ์
- การออกกาลังกายยังทาให้เลือดไหลเวียนดี เพิ่มออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง และลด
ความเสี่ยงการเป็นโรคความดันโลหิตสูง
- การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ จัดการกับความเครียด เช่น การนั่งสมาธิ
- การทากิจกรรมที่ให้สมองได้ฝึกคิดเป็ นประจา รวมถึงการได้ลองทากิจกรรมใหม่ๆที่
ไม่เคยทามาก่อน การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเป็นประจาก็เป็นการฝึกเช่นกัน
ช่วยลดความเสี่ยง
- 17. แนวทางในการป้องกัน รักษาโรค
• การรักษา
1. การรักษาด้วยยา
- การรักษาอาการความจาเสื่อม
ปัจจุบันมียาอยู่ 4 ชนิดที่ได้รับการรับรองจาก
คณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา
ในการนามาใช ้กับผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร ์คือ
Donezpezil , Rivastigmin,
Galantamine, และ Memantine
- การรักษาอารมณ์และพฤติกรรมที่
รุนแรง รวมทั้งอาการประสาทหลอน โดยการใช ้
ยารักษาโรคจิตมารักษาตามอาการที่ปรากฏ
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคอัลไซเมอร ์ให้หายขาด
การรักษาด้วยยาอาจช่วยรักษาอาการที่เป็ นได้ แต่ไม่มียาตัวไหนที่จะ
สามารถชะลอหรือหยุดการดาเนินของโรคได้
- 18. แนวทางในการป้องกัน รักษาโรค
• การรักษา
2. การรักษาทางจิตสังคม
- การรักษาที่มุ่งเน้นการกระตุ้นสมอง เช่น ศิลปะบาบัด ดนตรีบาบัด การ
บาบัดโดยอาศัยสัตว์เลี้ยง
- การบาบัดด้วยการราลึกถึงเรื่องราวในอดีต เช่น การใช ้ภาพถ่าย สิ่งของใน
บ้านที่ผู้ป่วยคุ้นเคยในอดีตมาช่วยฟื้นความทรงจา
- การให้เข้าไปอยู่ในห้องที่เรียกว่า Snoezelen room ซึ่งเป็นห้องที่
ออกแบบให้มีสภาพแวดล้อมภายในที่เหมาะกับวิธีการกระตุ้นการรับรู้และความรู้สึกที่
หลากหลาย ที่เรียกว่า Multisensory integration อันได้แก่ การมองเห็น การได้ยิน
การได้กลิ่น การรับสัมผัส และการเคลื่อนไหว
3. การให้การดูแลผู้ป่วย เป็ นสิ่งสาคัญที่สุด ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดจะต้องเข้าใจอาการของโรค ทา
ใจ ยอมรับ อดทน ไม่ทอดทิ้งผู้ป่วยไว้คนเดียว และเข้าใจการดาเนินของโรคว่า ผู้ป่วยต้อง
อาศัยความช่วยเหลือเพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานมากขึ้นเรื่อยๆ