งานนำเสนอองค์ความรู้จากการค้นคว้าที่เกี่ยวข้องกับโรคความผิดปกติทางระบบประสาทมนุษย์ของนักเรียนม.6ห้อง126โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาปีการศึกษา2560 ครูผู้สอน นายวิชัย ลิขิตพรรักษ์ ตำแหน่งครู คศ.1 เอกวิชาชีววิทยา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ประวัติการศึกษา : พ.ศ. 2549 วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกรียตินิยมอันดับ 2) สาขาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พ.ศ. 2551 ศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ เอกเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช พ.ศ. 2552 ประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต พ.ศ. 2555 สาธารณสุขศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ เอกสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช พ.ศ. 2558 ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการประเมินและการวิจัยทางการศึกษา เอกวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

1. โรคต้อกระจก (CATARACT)
นําเสนอ
ครูวิชัย ลิขิตพรรักษ์
ครู คศ. 1 สาขาวิชาชีววิทยา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์

2. สมาชิกกลุ่มนําเสนอ
กลุ่ม 2
1. น.ส. ธนภรณ์ อุตรชน เลขที่ 9
2. น.ส. ธัญณัฐ รุ่งปัญญารัตน์ เลขที่ 12
3. น.ส. ศุภาพิชญ์ สุขะวนวัฒน์ เลขที่ 24
4. น.ส. อภิชญา ชินวรกิจ เลขที่ 27
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ห้อง 126
สายการเรียนวิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์
งานนําเสนอข้อมูลนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาชีววิทยา 5 (ว 30245)
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560

3. รูปภาพสมาชิกกลุ่มนําเสนอ

4. โรคต้อกระจก
(CATARACT)

5. ประวัติความเป็นมาและอุบัติการณ์โรค
 โรคต้อกระจกเป็นที่รู้จักกันมาหลายศตวรรษแล้ว ซึ่งมีอาการที่มีฝ้าสีขาวเกิดขึ้นที่เลนส์ตาทําให้ลดการผ่านเข้ามาของแสง จึงมองเห็น
เป็นภาพเบลอๆ ซึ่งคําว่าต้อกระจกมาจากคําภาษาละตินว่า “cataracta” แปลว่านํ้าตก ซึ่งตั้งตามลักษณะฝ้าสีขาวที่เกิดขึ้นเหมือนนํ้าที่ไหล
อย่างรวดเร็ว
 มีบันทึกที่เก่าแก่ที่สุดสําหรับเรื่องโรคต้อกระจกอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์มีรูปปั้นเล็กๆในสมัยราชวงศ์ที่5 (เมื่อ
ประมาณ 2457-2467 ก่อนคริสตศักราช) ซึ่งเป็นรูปปั้นไม้ของนักบวชที่มีแผลสีขาวที่รูม่านตาด้านซ้าย จึงถูกคิดต่อๆกันมาว่านี้เป็น
สัญลักษณ์ของโรคต้อกระจก
เลนส์ตาใส เลนส์ตาขุ่น

6. ประวัติความเป็นมาและอุบัติการณ์โรค
พบว่าประเทศไทยมีผู้ป่วยจากโรคนี้เพิ่มขึ้น87%ตั้งแต่ปี1990 โดยเฉลี่ยเป็น 3.8%ต่อปี

7. สําหรับผู้ชายได้รับอันตรายจากโรคนี้มากที่อายุ 80 ปีขึ้นไป มีอันตรายที่อัตราตํ่าสุดที่อายุ 40-44 ปี เช่นเดียวกับผู้หญิง
ซึ่งอัตราสําหรับผู้หญิงจะสูงกว่าผู้ชาย
ประวัติความเป็นมาและอุบัติการณ์โรค

8. ประวัติความเป็นมาและอุบัติการณ์โรค
แสดงการเปรียบเทียบผู้เป็นโรคต้อกระจก
ที่ประเทศไทยคิดเป็น30.6031 ต่อ 100,000 คน
แสดงเปอร์เซนต์การเปลี่ยนแปลงผู้เป็นโรคต้อกระจก
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ปี1990-2013

9. แสดงอัตราการเปลี่ยนแปลงของผู้ที่เป็นต้อกระจกในประเทศไทยเทียบกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทั่วโลก
ซึ่งเพศชายและเพศหญิงไม่มีมาตรฐานแน่นอนในการกระจายความแตกต่างของประชากรในแต่ละช่วงเวลา
ประวัติความเป็นมาและอุบัติการณ์โรค

10. สาเหตุสําคัญของการเกิดโรค
ตัดต่อจาก : https://www.youtube.com/watch?v=jiKE8QSk7JM

11. สาเหตุสําคัญของการเกิดโรค
สรุปคือ
สาเหตุของโรคต้อกระจกนั้นมาจากอายุที่เพิ่มขึ้น และมีปัจจัยอื่นที่ทําให้เป็นโรคนี้เร็วขึ้น เช่น โรคเบาหวาน การ
อักเสบในลูกตา และอื่นๆตามในคลิปที่ได้รับชมไป

12. ลักษณะอาการสําคัญของโรค
ตามัว/มองเห็นไม่ชัด (เหมือนมีหมอกบัง)โดยไม่มีอาการอื่นใด มองเห็นในที่มืดชัดกว่าที่สว่าง

13. ลักษณะอาการสําคัญของโรค
มองเห็นจุดอยู่หน้าตา
มองเห็นแสงไฟเป็นแสงกระจาย หรือ มองเห็นแสงไฟเป็น 2 ดวงซ้อนกัน
มองเห็นภาพเป็นสีเหลือง

14. ลักษณะอาการสําคัญของโรค
มองเห็นภาพซ้อน (เพราะการหักเหของแสงไปที่จอประสาทตาไม่รวมเป็นจุดเดียว)
มีอาการปวดตาหรือปวดศีรษะ
อาการตามัวจะเริ่มเป็นมากขึ้น เมื่อแก้วตาขุ่นขาวจนหมด
(ต้อสุก) จะเห็นเป็นฝ้าขาวบริเวณกลางรูม่านตา
ผู้สูงอายุมักจะเป็นต้อกระจกที่ตาทั้ง 2 ข้าง

15. แนวทางในการป้องกัน รักษาโรค
วิธีการรักษาต้อกระจก :
การรักษาต้อกระจกทําได้โดยการผ่าตัดนําเลนส์แก้วตาที่ขุ่นออกแล้วใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่ โดยวิธีการ
ผ่าตัดที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน ได้แก่
การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Phacoemulsification)
เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงหรืออัลตราซาวนด์ (Phacoemulsification) ไปสลายต้อกระจกให้มีขนาดเล็กลงเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
แล้วถูกดูดออก จากนั้นแพทย์จะใส่เลนส์เทียมเข้าไปแทนในถุงหุ้มเลนส์เดิม (เลนส์เทียมสามารถใช้งานได้ตลอดชีวิต)

16. แนวทางในการป้องกัน รักษาโรค

17. แนวทางในการป้องกัน รักษาโรค
การผ่าตัดต้อกระจกและฝังเลนส์เทียมโดยใช้เลเซอร์ (femtosecond laser)
เป็นการใช้เลเซอร์เและเทคโนโลยีสามมิติเข้ามาช่วยในการผ่าตัด สามารถเปิดแผลและถุงหุ้มเลนส์ได้อย่างแม่นยํา ตัดเลนส์ต้อ
กระจกให้เป็นชิ้นเล็กลงได้ก่อนที่จะใช้อัลตราซาวนด์ การรักษาแบบนี้ทําให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วและช่วยลดโอกาสการติดเชื้อหรือ
การเกิดสายตาเอียงหลังการผ่าตัดได้

18. วิธีการป้องกันต้อกระจก :
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
พักสายตาเป็นระยะหากต้องใช้สายตาติดต่อกันเป็นเวลานาน
แนวทางในการป้องกัน รักษาโรค

19. วิธีการป้องกันต้อกระจก :
สวมแว่นกันแดดที่กรองแสงอัลตราไวโอเลต ไม่จ้องมองดวงอาทิตย์โดยตรง
หลีกเลี่ยงอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับดวงตา อย่าให้ดวงตาโดนกระแทก
ตรวจสุขภาพตาเป็นประจํา โดยผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปควรตรวจสุขภาพตาทุกปี
แนวทางในการป้องกัน รักษาโรค

20. บทสรุปเรื่องโรคที่นําเสนอ
มีฝ้าสีขาวเกิดขึ้นที่เลนส์ตาทําให้ลดการผ่านเข้ามาของแสง จึงมองเห็นเป็นภาพเบลอๆ
พบมากในผู้สูงอายุ (อายุที่เพิ่มมากขึ้น เป็นสาเหตุสําคัญในการเกิดโรคต้อกระจก)
ระยะแรก จะมีอาการตามัว
ระยะท้ายๆ อาจมีอาการปวดตา หรือปวดศีรษะ
รักษาได้โดยการผ่าตัดนําเลนส์แก้วตาที่ขุ่นออกแล้วใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่
ป้องกันได้โดยการใช้ชีวิตประจําวันให้เหมาะสมตามวัย

21. บรรณานุกรม
http://global-disease-burden.healthgrove.com/l/87420/Cataract-in-Thailand
http://www.news-medical.net/health/Cataract-History.aspx
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/23130451
https://medthai.com/ต้อกระจก/
http://haamor.com/th/ต้อกระจก/
http://www.rutnin.com/2016/knowledge_detail.php?id=15

22. ขอบคุณค่ะ