More Related Content
More from Mus Donganon (9)
6
- 1. 6. การพัฒนาการเรียนการสอนวิชาเคมีที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ
โดยใช้มัลติมีเดียเพื่อการศึกษาการทดลองทางเคมี
การวิจัยและพัฒนาการเรียนการสอนวิชาเคมีที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ โดยใช้มัลติมีเดีย
เพื่อการศึกษาการทดลองทางเคมี (ฉบับสรุป)
สิ่งพิมพ์ สกศ. อันดับที่ 66 / 2547
พิมพ์ครั้งที่ 1 เมษายน 2547
จานวน 1,000 เล่ม
ผู้จัดพิมพ์เผยแพร่ กลุ่มงานครู/คณาจารย์
สานักมาตรฐานการศึกษาและพัฒนาการเรียนรู้
สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
ถนนสุโขทัย เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300
โทรศัพท์ 0-2668-7123 ต่อ 2526, 2531 โทรสาร 0-2669-7129
Web site: http:// www.onec.go.th
ผู้พิมพ์ ห้างหุ้นส่วนจากัด วี ที ซี คอมมิวนิเคชั่น
32/99 รามอินทรา 65
แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กทม. 10220
โทรศัพท์ 0 - 2509 - 4499
โทรสาร 0 - 2509 – 4546
ความเป็นมา
การปฏิรูปการเรียนรู้เป็นประเด็นสาคัญประเด็นหนึ่งของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 โดยมาตรา 22 หมวด 4 แนวการจัดการศึกษา มีประเด็นหลัก 3ประเด็นคือ ต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้
ถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด และกระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถตามธรรมชาติและเต็มตาม ศักยภาพดังนั้น ครูผู้สอนทุกระดับ/ทุกวิชา ควรพัฒนากระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ การจัดการ เรียนการสอนวิชาเคมีก็เช่นเดียวกัน ตามหลักสูตรทุกรายวิชามีจุดประสงค์ให้นักเรียนมีความรู้ในเนื้อหาวิชา และต้องการให้ นักเรียนได้ปฏิบัติการทดลอง เพื่อฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และปลูกฝังเจตคติทางวิทยาศาสตร์
การปฏิบัติการทดลอง จึงถือเป็นหัวใจสาคัญของวิชาเคมีที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์ตรงในการสืบเสาะหาความรู้ ด้วยตนเอง เป็นผู้ที่คิดเป็น ทาเป็น และแก้ปัญหาได้ โดยครูเป็นผู้จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน การปฏิบัติการ ทดลองจึงเป็นวิธีการสอนวิธีหนึ่งที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ แต่การทดลองบางการทดลองในบทเรียนผู้เรียนไม่ได้ปฏิบัติการ ทดลอง เนื่องจากมีข้อจากัดหลายประการ เช่น สารเคมีมีราคาแพงหรือเป็นการทดลองที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ ปฏิบัติการทดลอง หรือบางการทดลองไม่สามารถสังเกตผลการทดลองได้ชัดเจน และเนื้อหาวิชาบางเรื่องเป็นนามธรรม เข้าใจยากนอกจากนั้น ครูผู้สอนบางท่านยังมุ่งสอนแต่เนื้อหาโดยยึดตัวครูเป็นสาคัญ และไม่เปิด
โอกาสให้ผู้เรียนได้ทดลอง ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองด้วยเหตุผลดังกล่าว ครูผู้สอนวิชาเคมี จึงจาเป็นต้องพัฒนาวิธีการเรียนรู้ ของผู้เรียนและหาเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคโลกาภิวัตน์ นั่นก็คือ
การนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการจัดการเรียนการสอนซึ่งสามารถนามาใช้ได้หลาย รูปแบบ เช่น มัลติมีเดีย อินเตอร์เน็ต ซึ่งการนามัลติมีเดีย
- 2. มาใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการเรียนการสอนนี้ ผู้วิจัยได้ทาการศึกษาวิจัย เมื่อปีการศึกษา2536 โดยสร้างและพัฒนาบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนระบบมัลติมีเดียเรื่องการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบจาลองสถานการณ์ในการวิเคราะห์ และสรุปผลการทดลองเรื่องปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมี โดยทดลองกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5ปีการศึกษา 2542 โรงเรียนราช วินิตบางแก้ว จังหวัดสมุทรปราการ จานวน 52 คน ผลการศึกษาวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ใช้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนระบบมัลติมีเดียสูงกว่านักเรียนที่วิเคราะห์และสรุปผลการทดลองแบบอภิปรายโดยครูใน
ชั้นเรียน และนักเรียนกลุ่มทดลองมีเจตคติที่ดีและเห็นด้วยกับการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนระบบมัลติมีเดียในการวิเคราะห์ และสรุปผลการทดลองวิชาเคมีและต้องการที่จะเรียนรู้ในลักษณะนี้กับเรื่องอื่นๆ ต่อไปนอกจากนั้น เมื่อผู้วิจัยได้ทาหน้าที่ เป็นหัวหน้าศูนย์คอมพิวเตอร์ช่วยสอนและอินเตอร์เน็ต โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว ตั้งแต่ปีการศึกษา 2538 จนถึงปัจจุบัน ได้ ทดลองสร้างและใช้มัลติมีเดีย เช่น เซลล์กัลวานิก เซลล์อิเล็กโทรไลต์ โลหะแอลคาไล โลหะแฮโลเจนและให้นักเรียนศึกษา ค้นคว้าหาความรู้ โดยสืบค้นข้อมูลต่างๆ ทางอินเทอร์เน็ตด้วยตนเองพบว่า การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารไม่ ว่ารูปแบบใด สามารถใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญได้ และจากการได้รับเชิญจากสถาบัน ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ให้เป็นวิทยากรอบรมครูผู้สอนวิชาเคมีซึ่งเป็นวิทยากรแกนนาจาก เขตการศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539-2541 พบว่าครูผู้สอนวิชาเคมีส่วนมากใช้คอมพิวเตอร์ไม่ได้ และไม่ สามารถผลิตมัลติมีเดียหรือนาเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ และมีความสนใจที่จะ ศึกษาวิธีการผลิตและการใช้มัลติมีเดียเพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนวิชาเคมีให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นดังนั้น ผู้วิจัยซึ่ง เป็นครูแห่งชาติ ปี 2541 จึงมีแนวคิดในการพัฒนาความรู้ความสามารถ วิสัยทัศน์ และบทบาทของครูในการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอนวิชาเคมีที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ โดยนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย คือ มัลติมีเดียเพื่อการศึกษาการทดลองทางเคมี หรืออินเทอร์เน็ตเข้ามาใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการจัดการเรียนการสอนวิชาเคมี โดยมีกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ นิเทศ และติดตามผลการพัฒนา
วัตถุประสงค์
1. เพื่อพัฒนาครูเครือข่ายให้มีความรู้ ความสามารถในการสร้างและพัฒนามัลติมีเดียเพื่อการศึกษาการทดลองทางเคมี
2. เพื่อพัฒนาครูเครือข่ายให้มีความรู้ ความสามารถในการประเมินคุณภาพและหาประสิทธิภาพมัลติมีเดียเพื่อการศึกษาการ ทดลองทางเคมี
3. เพื่อพัฒนาครูเครือข่ายให้มีความรู้และสามารถนามัลติมีเดียเพื่อการศึกษาการทดลองทางเคมีที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ที่กาหนดไปใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการเรียนรู้วิชาเคมีของนักเรียน
4. เพื่อศึกษาผลการจัดการเรียนการสอนวิชาเคมีที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ โดยใช้มัลติมีเดียเพื่อการศึกษาการทดลองทางเคมี ของครูเครือข่าย
5. เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอนวิชาเคมีที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญของครูให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
4. ครูเครือข่ายมีความรู้และสามารถประเมินคุณภาพ หาประสิทธิภาพและปรับปรุงมัลติมีเดียเพื่อการศึกษาการทดลองทาง เคมีได้ จานวน 18 เรื่อง
เพื่อการศึกษาการทดลองทางเคมี
1. การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ
ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเรียนรู้ นักการศึกษา ครู ผู้บริหาร ผู้เรียน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา ได้ให้ความคิดเห็น เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ สรุปเป็นสาระสาคัญได้ดังนี้การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียน เป็นสาคัญ หมายถึง การกาหนดจุดมุ่งหมายสาระ กิจกรรม แหล่งเรียนรู้ สื่อการเรียน และการวัดประเมินผลที่มุ่งพัฒนาคน
- 3. และชีวิตให้เกิดประสบการณ์การเรียนรู้เต็มตามความสามารถ สอดคล้องกับความถนัด ความสนใจและความต้องการของ ผู้สอนจะคานึงถึงสิทธิของผู้เรียน 2 ประการ คือ สิทธิของผู้เรียนที่จะเรียนรู้ และกระตุ้น
4. เน้นกระบวนการมากกว่าเนื้อหา กระบวนการเรียนรู้ที่มาจากผู้เรียนจะมีความ
หลากหลาย ขึ้นอยู่กับศักยภาพของผู้เรียนแต่ละคน โดยเน้นความแตกต่างระหว่างบุคคล
ที่ไม่ใช่คุณภาพของการจา แต่เป็นศักยภาพของความใส่ใจและแรงผลักดันของแต่ละบุคคล
อารมณ์พื้นฐานของผู้เรียนจะพัฒนาไปสู่คุณธรรมและจริยธรรม ซึ่งท่านพุทธทาสกล่าวว่า
เป็นการศึกษาชนิดหางไม่ด้วน คือการรู้จักควบคุมความฉลาดเป็นการเรียนรู้คู่คุณธรรม
กระบวนการเรียนรู้ ได้แก่
4.1 กระตุ้นความรู้เดิมของผู้เรียน
4.2 ให้ผู้เรียนได้รับข้อมูลใหม่ โดยการแสวงหา รวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง
4.3 ให้ผู้เรียนได้ศึกษา วิเคราะห์ ทาความเข้าใจข้อมูลโดยใช้ทักษะ
กระบวนการต่างๆ
4.4 ให้ผู้เรียนสรุปความรู้ที่ได้ด้วยตนเองและแสดงออกถึงสิ่งที่ค้นพบด้วยการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียน สามารถทางานได้สาเร็จภายใต้การแนะนาช่วยเหลือจากผู้สอน ผู้เรียนจะทากิจกรรมเพิ่มเติมได้หลากหลายจากกิจกรรม
การเรียนรู้ที่ตนเองสนใจ บทบาทผู้สอนได้แก่ คอยสังเกต สนับสนุน สร้างบรรยากาศทางสังคมให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับ เพื่อนสมาชิกของผู้เรียน จะทาให้ผู้เรียนได้รับความหมายและประโยชน์ของการเรียนรู้อันเป็นพื้นฐานการพัฒนา ความสามารถทางการคิด
5. พัฒนาผู้เรียนแบบองค์รวม เนื่องจากธรรมชาติของผู้เรียนมีศักยภาพที่หลากหลายและซับซ้อน การพัฒนาศักยภาพผู้เรียน ได้อย่างเต็มที่และกลมกลืนกิจกรรมการเรียนรู้ต้องให้ความสาคัญต่อการพัฒนาผู้เรียนทุก ๆ คน และทุก ๆ ด้าน
คานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลตามความต้องการ ความสนใจและความพร้อมการออกแบบกิจกรรมจะต้องเหมาะกับ ผู้เรียน เช่น การทาโครงงาน การทางานเป็นกลุ่มโดยคานึงถึงจุดมุ่งหมายหรือความต้องการ ความสนใจของผู้เรียน ความรู้ เดิมของผู้เรียนและสาระที่จะเรียนรู้ใหม่ การสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเป็นผู้กระทา โดย
6. กิจกรรมการเรียนรู้เป็นโครงสร้างแบบเปิดมีความยืดหยุ่นหลากหลายผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนา ทักษะการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองทักษะการคิด ทักษะกระบวนการ ทักษะการจัดการ และทักษะการทางานเป็นกลุ่ม
ซึ่งทักษะเหล่านี้จะหลอมรวมเป็นทักษะชีวิตของผู้เรียนต่อไป
7. การประเมินในขณะมีการเรียนการสอน เป็นการประเมินที่เป็นธรรมชาติสอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งเป็นการประเมิน ที่ทาไม่ได้ง่าย ถ้าผู้สอนไม่เข้าใจกระบวนการเรียนรู้สู่การพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน เพราะการเรียนรู้ยังคงดาเนินอย่าง ต่อเนื่องขณะที่มีการประเมิน วิธีการประเมินโดยใช้การทดสอบการเรียนรู้จะถูกปิดลงขณะที่มีการประเมินเกิดขึ้น การ ประเมินตามสภาพจริงต้องการให้ผู้เรียนประยุกต์ความรู้เดิมกับสถานการณ์ใหม่ ผู้สอนสามารถแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ ผู้เรียนจาได้ และสิ่งใดที่ผู้เรียนประยุกต์ขึ้น ทาให้เกิดแนวทางปฏิบัติที่หลากหลาย ซึ่งนาไปสู่ความยุติธรรมของ
การประเมินและเป็นการพัฒนาการเรียนรู้สาหรับผู้เรียน
2. สื่อประสม (Multimedia)
ในอดีต สื่อประสม (Multimedia) หมายถึง การนาสื่อหลายๆ ประเภทมาใช้ร่วมกัน
ทั้งภาพนิ่งและเคลื่อนไหว เพื่อใช้เป็นสื่อในการจัดการเรียนการสอนที่เสนอเนื้อหาใน
รูปแบบต่างๆ นอกเหนือจากการบรรยาย โดยผู้เรียนไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ต่อสื่อนั้นโดยตรง
แต่ในปัจจุบันผู้เรียนสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อได้ ดังนั้น สื่อประสม จึงมีความหมาย
- 4. เพิ่มขึ้นจากเดิม ถือเป็น “สื่อประสมเชิงโต้ตอบ” (Interactive Multimedia) เป็นการนาอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องเล่นซีดีรอม เครื่องเสียงระบบดิจิทัล เครื่องเล่นแผ่นวีดิทัศน์ ฯลฯมาใช้ร่วมกันเพื่อเสนอเนื้อหาข้อมูลที่เป็นตัวอักษร ภาพกราฟฟิก ภาพถ่ายภาพเคลื่อนไหวแบบวีดิทัศน์ และเสียงในระบบสเตริโอ โดยการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
ช่วยในการผลิต การนาเสนอเนื้อหา และเพื่อเป็นตัวควบคุมการทางานของอุปกรณ์ร่วมเหล่านี้เพื่อให้ทางานตามโปรแกรมที่ เขียนไว้เป็นการให้ผู้เรียนมิใช่เพียงแต่นั่งดู หรือฟังข้อมูลจากสื่อที่เสนอมาเท่านั้น แต่ผู้เรียนสามารถควบคุมให้คอมพิวเตอร์ ทางานในการตอบสนองต่อคาสั่งและให้ข้อมูลป้อนกลับในรูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ เนื้อหาในสื่อประสมจะมีลักษณะ ไม่เรียงลาดับเป็นเส้นตรง มิใช่เป็นสิ่งพิมพ์ และสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ตลอดเวลาโดยที่ผู้เรียนไม่จาเป็นต้องอ่าน ตามลาดับของเนื้อหา แต่เป็นการอ่านในลักษณะของ ข้อความหลายมิติ (Hypertext) และสื่อหลายมิติ (Hypermedia)
จากความหมายที่เพิ่มขึ้นของสื่อประสมดังกล่าว นักเทคโนโลยีการศึกษา
แบ่งสื่อประสมออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
สื่อประสม I (Multimedia I) เป็นสื่อประสมที่ใช้โดยการนาสื่อหลายประเภทมาใช้
ร่วมกันในการเรียนการสอน เช่น นาวีดิทัศน์มาสอนประกอบการบรรยายของผู้สอนโดยมี
สื่อสิ่งพิมพ์มาประกอบ หรือเป็นสื่อประสมในชุดการเรียน หรือชุดการสอน การใช้สื่อ
ประสม I นี้ผู้เรียนและสื่อจะไม่มีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกัน และจะมีลักษณะเป็น “สื่อหลายแบบ”
ตามศัพท์บัญญัติของราชบัณฑิตยสถาน
สื่อประสม II (Multimedia II) เป็นสื่อประสมที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นฐานในการเสนอ
สารสนเทศ หรือการผลิตเพื่อเสนอข้อมูลประเภทต่างๆ เช่น ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว
ตัวอักษร และเสียงในลักษณะของสื่อหลายมิติ โดยที่ผู้ใช้มีการโต้ตอบกับสื่อโดยตรง
การใช้คอมพิวเตอร์ในสื่อประสม II ใช้ได้ใน 2 ลักษณะ คือ
- 5. บรรณานุกรม
กิดานันท์ มลิทอง. 2543. เทคโนโลยีการศึกษาและนวัตกรรม. กรุงเทพมหานคร:
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 376 หน้า.
คณิต ไข่มุกต์. 2527. “คอมพิวเตอร์กับการศึกษา”. สื่อ. 3 (เมษายน-เมษายน 2527): 21-30.
ณรงค์ บุญมี. 2529. การใช้คอมพิวเตอร์ในกระทรวงศึกษาธิการ: Mis / CE / CAI.
รายงานการประชุมวิชาการ เรื่องการนาคอมพิวเตอร์ไปใช้ช่วยในการเรียนการสอน
วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์. 11-12 กันยายน 2529. กรุงเทพมหานคร: สสวท.
ทักษิณา สวนานนท์. 2530. คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์คุรุสภา.
บุปผชาติ ทัฬหิกรณ์. 2535. เอกสารประกอบการสอนวิชาทฤษฎีและการสอนวิทยาศาสตร์.
ภาควิชาการศึกษา, คณะศึกษาศาสตร์, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. (อัดสาเนา)
ประวิทย์ บึงสว่าง. 2537. การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบจาลองสถานการณ์
ในการวิเคราะห์และสรุปผลการทดลอง เรื่องปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมี.
กรุงเทพมหานคร: วิทยานิพนธ์ปริญญาโท, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
พรพิไล เลิศวิชา. 2544. การศึกษาในท่ามกลางเทคโนโลยี. กรุงเทพมหานคร. เอกสาร
ประกอบการจัดงานสัมมนาทางวิชาการมหกรรมอินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษาในโรงเรียน
ครั้งที่ 1, สานักงานเลขานุการคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
วรรณทิพา รอดแรงค้า. 2535. เพื่อพัฒนาการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์.
ภาควิชาการศึกษา, คณะศึกษาศาสตร์, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. 2539. แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ
ฉบับที่ 8 (พ.ศ.2540-2544). กรุงเทพมหานคร: อรรถพลการพิมพ์.
--------. 2543. ร่วมคิดร่วมเขียน ปฏิรูปการเรียนรู้ผู้เรียนสาคัญที่สุด. กรุงเทพมหานคร:
สถาบันแห่งชาติเพื่อปฏิรูปการเรียนรู้
--------. 2541. รายงานการสรุปผลการประชุมปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
วิทยากรแกนนาวิชาเคมี. สสวท.
สุดา ใบแย้ม. เอกสารหมายเลข 4 การเรียนการสอนทาไมต้องเน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง.
กรุงเทพมหานคร: หน่วยศึกษานิเทศน์ กรมสามัญศึกษา.
สมหวัง พิริยานุวัฒน์และคนอื่นๆ. 2533. รวมบทความทางการประเมินโครงการ.
พิมพ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
หน่วยศึกษานิเทศน์ กรมสามัญศึกษา. 2540. การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เน้นนักเรียน
เป็นศูนย์กลาง. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์คุรุสภา.