SlideShare a Scribd company logo
1 of 27
บทที่ 7
การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
มโนทัศน์(Concept)
ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่กาหนดขึ้นเป็นการพัฒนาหลักสูตรครบวงจรคือ
เริ่มตั้งแต่การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน การร่างหลักสูตร การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร
ก า ร น า ห ลัก สู ต ร ไ ป ใ ช้ใ น ส ถ า น ก า ร ณ์ จ ริ ง ร ว ม ทั้ ง ก า ร ป ร ะ เ มิน ผ ล ห ลัก สู ต ร
โดยหวังว่าขั้นตอนการพัฒนาห ลักสู ตรที่สมบรู ณ์ที่จะ ทาให้ได้หลักสู ตรมีประสิ ทธิ ภ าพ
ซึ่งขั้นตอนในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ประกอบด้วยขั้นตอนสาคัญ 5 ขั้นตอนที่สาคัญ คือ 1.
ก า ร ศึ ก ษ า แ ล ะ วิเ ค ร า ะ ห์ ข้อ มูล พื้ น ฐ า น ใ น ด้า น ต่า ง ๆ 2. ก า ร ร่า ง ห ลัก สู ต ร 3.
การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร 4. การนาหลักสูตรไปใช้ และ 5. การประเมินผลหลักสูตร
ผลการเรียนรู้(Learning Outcome)
1. มีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับหลักสูตรสถานศึกษา
2. สามารถนาความรู้มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาได้อย่างถูกต้อง
สาระเนื้อหา(Content)
การจัดการศึกษาเท่าที่ผ่านมา โรงเรียนส่วนใหญ่ที่ใช้ตารา เอกสาร รวมทั้งสื่อต่างๆ
ที่ จั ด พิ ม พ์ จ า ก ห น่ ว ย ง า น ก ล า ง เ ป็ น ห ลั ก ใ น ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น
ถึ ง แ ม้ ว่ า ส ภ า พ บ ริ บ ท แ ล ะ แ ว ด ล้ อ ม โ ร ง เ รี ย น จ ะ แ ต ก ต่ า ง กั น
แ ต่เ นื้ อ ห า ส า ร ะ ใ น ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น ก ลั บ เ ห มื อ น กัน ทั่ ว ป ร ะ เ ท ศ
อย่าง ไรก็ตามได้มีความพ ยายามใ ห้โรง เ รียน พัฒนาหลักสู ตรดังที่กาหนดไว้ใ นคู่มือ
เปิ ดโอกาสให้โรงเ รียน สามารถพัฒนาห ลักสู ตรให้สอดคล้อง กับสภาพ ของท้อง ถิ่น ไ ด้
ทั้ง นี้ เ นื่ อง จากค รู ขา ด ค วา ม รู้ ค ว า มเ ข้าใ จ รวมทั้ง ทัก ษะ ใ น กา รพัฒ น าห ลั ก สู ต ร
ข า ด ก า ร ส นั บ ส นุ น จ า ก ผู้ บ ริ ห า ร แ ล ะ ข า ด ก า ร มีส่ ว น ร่ ว ม ข อ ง ค น ใ น ท้ อ ง ถิ่ น
การจัดการเรียนการสอนส่วนใหญ่เน้นครูเป็ นศูนย์กลาง เน้นการท่องจามากกว่าปฏิบัติจริง
ดังนั้นการเปลี่ยนบทบาทของโรงเรียนจากการเป็นผู้ใช้หลักสูตรที่มีผู้จัดทาให้มาเป็นการพัฒนาหลักสูตรด้ว
ย ต น เ อ ง จ า เ ป็ น ต้ อ ง มี ก า ร ฝึ ก อ บ ร ม ใ ห้ บุ ค ล า ก ร ใ น โ ร ง เ รี ย น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนหรือรู้แบบการพัฒนาหลักสูตรและมีความสามา
รถเพียงพอที่จะนาความรู้ไปใช้พัฒนาหลักสูตรด้วยตนเองได้ ทั้งนี้โดยหวังว่าหลักสูตรที่โรงเรียนพัฒนาขึ้น
จ ะ ท า ใ ห้ นั ก เ รี ย น ไ ด้ เ รี ย น รู้ เ รื่ อ ง ร า ว ที่ เ ป็ น จ ริ ง
ส า มา ร ถ น า ค ว า มรู้ ที่ ไ ด้รั บ จ า ก โ ร ง เ รี ย น มา ใ ช้ป ร ะ โ ย ช น์ ใ น ชี วิต ป ร ะ จ า วัน
เล็งเห็นความเชื่อมโยงระหว่างการเรียนรู้กับการนาไปใช้ ก่อให้เกิดความรัก ผูกพันกับชุมชนที่อยู่อาศัย
น อกจากนั้ น ยัง เ ป็ น จุ ดเ ริ่ ม ต้น ที่ ดี ของ ค ว า ม สั มพัน ธ์ ระ ห ว่าง ชุม ช น กับโ รง เ รี ย น
เ นื่ อ ง จ า ก ห ลั ก ส า คั ญ ข อ ง ก า ร พั ฒ น า ห ลั ก สู ต ร โ ร ง เ รี ย น ก็ คื อ
การให้บุคลากรในโรงเรียนและชุมชนร่วมกันตัดสินใจเกี่ยวกับการดาเนินทางหลักสูตร ซึ่งมีทั้งการร่วมคิด
ร่วมทา ร่วมประเมินผล เพื่อให้การศึกษาของเยาวชนเป็นไปตามความต้องการของครอบครัว ชุมชน
สั ง ค ม แ ล ะ ป ร ะ เ ท ศ ช า ติ
สมดังเจตนารมณ์ของการจัดการศึกษาดังที่กาหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
1. ความจาเป็นของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
ข้อกฎหมายที่สถานศึกษาต้องไปดาเนินการให้สถานศึกษาหรือโรงเรียนสามารถพัฒนาหลักสูตรไ
ด้ เ อ ง ภ า ย ใ ต้ ก ร อ บ ข อ ง ห ลั ก สู ต ร แ ก น ก ล า ง เ ป็ น เ รื่ อ ง ที่ จ ะ ต้ อ ง มี
การเตรียมการให้พร้อมเพื่อตอบสนองการประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
ไ ด้ ก า ห น ด แ น ว ก า ร จั ด ก า ร ศึ ก ษ า ใ น ม า ต ร า 22
ว่าการจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมี
ความสาคัญที่สุดกระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศั
กยภาพ และในมาตรา 23กาหนดการจัดการศึกษา ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ
และการศึกษาตามอัธยาศัย ต้องเน้นความสามารถทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้
และบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละระดับการศึกษา ในเรื่องต่อไปนี้
1. ความรู้เรื่องเกี่ยวกับตนเอง และความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคม ได้แก่ครอบครัว ชุมชน ชาติ
แ ล ะ สั ง ค ม โ ล ก
รวมถึงความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคมไทยและระบบการเมืองการปกครองในระบอบป
ระชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2. ค ว า ม รู้ แ ล ะ ทั ก ษ ะ ด้ า น วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ แ ล ะ เ ท ค โ น โ ล ยี
รวมทั้ง ความรู้และ ความเ ข้าใ จและ ประ สบการณ์เ รื่ อง การจัดการ การบารุ ง รักษา
การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลยั่งยืน
3. ความรู้เกี่ยวกับศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปัญญาไทย และการประยุกต์ใช้
ภูมิปัญญา
4. ความรู้และทักษะด้านคณิตศาสตร์และด้านภาษา เน้นการใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง
5. ส่งเสริมการสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อม สื่อการเรียน
แ ล ะ อ า น ว ย ค ว า ม ส ะ ด ว ก เ พื่ อ ใ ห้ ผู้เ รี ย น เ กิด ก า ร เ รี ย น รู้ แ ล ะ มี ค ว า ม ร อ บ รู้
ร ว ม ทั้ ง ส า ม า ร ถ ใ ช้ ใ น ก า ร วิ จั ย เ ป็ น ส่ ว น ห นึ่ ง ข อ ง ก ร ะ บ ว น ก า ร เ รี ย น รู้
ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอน และแหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ
6. จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดา มารดา
ผู้ปกครองและบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ
จากข้อกาหนดจากมาตรา 22, 23, 24 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2524
นาไปสู่การกาหนดคุณภาพมาตรฐานของผู้จบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งที่ผ่านมาในอดีต
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2544: 4) กาหนดไว้ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544
ดังนี้ คือ
1. เ ห็ น คุ ณ ค่ า ข อ ง ต น เ อ ง มี วิ นั ย ใ น ต น เ อ ง
ป ฏิ บัติ ต น ต า มห ลัก ธ ร ร มข อ ง พุท ธ ศ า ส น า ห รื อ ศ า ส น า ที่ ต น นั บ ถื อ มีคุณ ธ ร ร ม
จริยธรรมและค่านิยมอันพึงประสงค์
2. ความคิดสร้างสรรค์ ใฝ่รู้ใฝ่เรียน รักการอ่าน รักการเรียน และรักการค้นคว้า
3. มีความรู้อันเป็นสากล ที่เท่าทันการเปลี่ยนแปลงและความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการ
มี ทั ก ษ ะ แ ล ะ ศั ก ย ภ า พ ใ น ก า ร จั ด ก า ร ก า ร สื่ อ ส า ร แ ล ะ เ ท ค โ น โ ล ยี
ปรับวิธีการคิดวิธีการทางานได้เหมาะสมกับสถานการณ์
4. มีทักษะและกระบวนการ โดยเฉพาะทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ทักษะการคิดและ
การสร้างปัญญา และทักษะในการดาเนินชีวิต
5. รักการออกกาลังกาย ดูแลตนเองให้มีสุขภาพและบุคลิกภาพที่ดี
6. มีประสิทธิภาพในการผลิตและการบริโภค มีค่านิยมเป็นผู้ผลิตมากกว่าผู้บริโภค
7. เข้าใจในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ภูมิใจในความเป็ นไทย เป็ นพลเมือง ดี
ยึดมั่นในวิถีและการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
8. มีจิตสานึ กใ น การ อนุ รั กษ์ภ า ษา ไ ทย ศิลปะ วัฒน ธรรม ประ เ พ ณี กีฬ า
ภูมิปัญญาไทยทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาสิ่งแวดล้อม
9. รักประเทศชาติและท้องถิ่น มุ่งทาประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามให้สังคม
2. ความหมายของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
สกิลเบ็ก (Skilbeck, 1984: 2) ได้ให้ความหมายของการพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนไว้ว่า หมายถึง
ก า ร ว า ง แ ผ น ก า ร อ อ ก แ บ บ ก า ร น า ไ ป ใ ช้ แ ล ะ ก า ร ป ร ะ เ มิ น ผ ล
ก า ร ก า ห น ด ก า ร เ รี ย น รู้ ข อ ง นั ก เ รี ย น ด า เ นิ น ก า ร โ ด ย ส ถ า น ศึ ก ษ า
เน้นการตัดสินใจร่วมกันระหว่างบุคลากรภายในสถานศึกษา ไม่ใช่กาหนดจากบุคคลภายนอก
แฮร์ริสัน (Marshandothers.1990: 48) ให้ความหมายการพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนว่า 1.
เ ป็ น แ ผ น ง า น ที่ ส า ม า ร ถ ป รั บ เ ป ลี่ ย น ไ ด้ 2.
เ ป็ น สิ่ ง ที่ น า ไ ป ป ฏิ บั ติ ไ ด้ จ ริ ง แ ล ะ มี ผ ล เ กิ ด ขึ้ น กับ บุ ค ค ล ที่ เ กี่ย ว ข้ อ ง จ ริ ง 3.
เ ป็ น ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง ไ ด้ รั บ ท ร า บ ทั้ ง 3 ข้ อ มี ค ว า ม เ กี่ ย ว ข้ อ ง กัน
เพื่อให้หลักสูตรได้รับการพัฒนาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของผู้เรียนมากขึ้น
เอ็กเกิลสตัน (Eggleston, 1980: 7) ได้ให้ความหมายการพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนว่า
เป็นการพัฒนาหลักสูตรให้มีความสอดคล้องกับสภาพและความต้องการของนักเรียนในแต่ละโรงเรียน
โดยมีการวางแผนนาไปใช้ และประเมินร่วมกัน มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและชุมชน เช่น บุคลากร
อาคารสถาน ที่ วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เ ป็ น พัน ธกิจร่วมกัน ระ หว่าง โรง เรี ยน และชุมชน
ค รู ไ ด้แ ส ด ง ศัก ย ภ า พ อ ย่า ง เ ต็ มที่ เ ป็ น ห ลัก สู ต ร ที่ โ ร ง เ รี ย น ไ ด้ รั บ ป ร ะ โ ย ช น์
โรงเรียนเป็นผู้ทาให้เกิดสัมฤทธิ์ผลมากกว่าเป็นเพียงเจ้าของหลักสูตร
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2544:28-29) ได้กล่าวถึงการพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนว่า
คือพันธกิจหรือภาระหน้าที่ที่สถานศึกษาและชุมชนร่วมกันในการพัฒนาผู้เรียนให้เหมาะสมกับยุคสมัย
โดยกาหนดเป็นวิสัยทัศน์ เป้าหมาย มาตรฐานการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
เพื่อให้ครูทุกคนนาไปออกแบบการเรียนการสอนมีการวางแผนร่วมกันทั้งสถานศึกษาเป็นหลักสูตรที่ครอบ
คลุมภาระงานการจัดการศึกษาทุกด้านของสถานศึกษา
สรุป การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาในความหมายต่างๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้นสรุ ปว่า
ก า ร พั ฒ น า ห ลั ก สู ต ร คื อ
แผนประสบการณ์หรือแผนการจัดการเรียนการสอนที่เกิดจากการตัดสินใจร่วมกันระหว่างบุคลากรทั้งภายใ
น แ ล ะ ภ า ย น อ ก ข อ ง โ ร ง เ รี ย น เ พื่ อ ก า ห น ด ก า ร เ รี ย น รู้ ข อ ง นั ก เ รี ย น
มีการวางแผนนาไปใช้และประเมินผลร่วมกัน
3. แนวคิดการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา เป็ นแนวคิดภายใต้พื้นฐานของการ
บ ริ ห า ร ง า น ที่ ใ ช้ โ ร ง เ รี ย น เ ป็ น ฐ า น ( School- Based Management - SBM)
ซึ่งเป็นแนวคิดที่มุ่งให้สถานศึกษามีอิสระและมีความคล่องตัวในการบริหารงานด้านวิชาการ ด้านการเงิน
ด้ า น ก า ร บ ริ ห า ร ง า น บุ ค ค ล แ ล ะ ก า ร บ ริ ห า ร ทั่ ว ไ ป
เปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจโดยมีความเชื่อว่าการตัดสินใจที่ดีที่สุดจากการตัดสินใจของ
คณะบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดและ มีส่วนเกี่ยวข้องกับนักเรียน มากที่สุด ( Wohlsletter, 1995:22-25)
แนวคิดนี้เริ่มในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีแบบของบริหารจัดการแตกต่างกันไปตามมลรัฐ และในระหว่าง
พ . ศ . 2503- 2522
วงการศึกษาของสหรัฐอเมริกาได้มีการปรับปรุงการดาเนินงานทางการศึกษาเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้
น
โดยนาความคิดจากความสาเร็จของการพัฒนาองค์การทางอุตสาหกรรมที่ทาองค์การให้มีประสิทธิภาพในก
ารทางาน ส่งผลให้การปฏิบัติงานมีคุณภาพ สร้างผลกาไรและสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าและผู้เกี่ยวข้อง
ดัง นั้ น แน วทาง ที่จะ ทาใ ห้คุณภ าพ การศึกษาดีขึ้ น ต้อง ปรับปรุ ง และ พัฒน าองค์การ
ก า ร บ ริ ห า ร โ ร ง เ รี ย น เ สี ย ใ ห ม่
มีการกระจายอานาจการบริหารและการจัดการศึกษาไปยังโรงเรียนให้มากขึ้นมีการนาวิชาการบริหารงบประ
มาณด้วนตนเอง (Self-Budgeting School) การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา (School-Based Curriculum
Development) การพัฒนาบุคลากรโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Student Counseling) เข้ามาใช้
(สานักคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ,2543:12)
เซ็น (Chen, H.L.S., 2000:3) กล่าวว่า โดยพื้นฐานแล้วความคิดในการจัดทาหลักสูตรโรงเรียนก็คือ
โรงเรียนเป็นที่ที่ดีที่สุดในการออกแบบหลักสูตร เพราะเป็นสถานที่ผู้เรียนและครูมีปฏิสัมพันธ์กัน
เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการกระทา และมีผลโดยตรงต่อโรงเรียนและมีส่วนร่วมในการนานวัตกรรมใหม่ๆ
มาใช้ในการศึกษา เพราะเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าการใช้หลักสูตรแกนกลางเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม
เพราะไม่ได้คานึงถึงความแตกต่างของโรงเรียนนโยบายที่จะให้โรงเรียนพัฒนาหลักสูตร
เ ป็ น การเ ปลี่ยน จากการสั่ง การจากห น่ว ยง าน กลาง มายัง ห น่ว ยปฏิ บัติ ( Top- Down)
ม า เ ป็ น ก า ร จั ด ท า จ า ก ห น่ ว ย ป ฏิ บั ติ ขึ้ น ไ ป ( Bottom- Up)
ซึ่งเป็นความคิดเช่นเดียวกับการให้โรงเรียนบริหารการจัดการเอง (School-Based Management)
แ ล ะ เ ป็ น ค ว า ม คิ ด ที่ น า ม า จ า ก ป ร ะ เ ท ศ ท า ง ต ะ วั น ต ก ดั ง นั้ น
การนามาใช้จะต้องนามาปรับให้เหมาะสมด้วยหวังว่าทุกโรงเรียนจะเป็นแกนในการปฏิรูปการศึกษา
ค รู ทุ ก ค น เ ป็ น นั ก อ อ ก แ บ บ ห ลั ก สู ต ร ( Curriculum Designer)
และทุกห้องเรียนเป็นห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับหลักสูตรใหม่ๆ
สาหรับประ เ ทศ ไ ท ยเ อง แน วคิดใ น กา รพัฒน าห ลัก สู ต ร ส ถาน ศึ ก ษ า คื อ
ต้อง การกระ จายอาน าจใ ห้กับโรง เ รี ยน สามารถตัดสิ น ใ จเ กี่ยวกับห ลักสู ตรไ ด้เ อ ง
เพราะเท่าที่ผ่านมามีปัญหาเกิดขึ้นจากการรวมอานาจการบริหารการศึกษาไว้ที่ส่วนกลางคือที่กระทรวงศึกษ
าธิการ ดังที่คณะกรรมการปฏิบัติระบบบริหารการศึกษาในกระทรวงศึกษาธิการกล่าวไว้ว่า
ลักษณะเช่นนี้ก่อให้เกิดปัญหาดังนี้
1. ปัญหาการรวมอานาจไว้ที่ส่วนกลางทาให้เกิดปัญหาคือ
1.1 ก่อให้เกิดความล่าช้าในการอนุมัติ อนุญาต
1. 2 ข า ด ค ว า ม เ ป็ น อิ ส ร ะ ใ น ก า ร คิ ด ก า ร ตั ด สิ น ใ จ ใ น ร ะ ดั บ ล่า ง
และระดับปฏิบัติของหน่วยงานในพื้นที่และสถานศึกษา
1.3 การบริ หารและ การตัดสิ น ใ จของ หน่วยง าน ระ ดับล่าง ไ ม่อา จ ท า ไ ด้
ไ ม่ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ ค ว า ม จ า เ ป็ น แ ล ะ ค ว า ม เ ร่ ง ด่ ว น ใ น ก า ร แ ก้ ไ ข ปั ญ ห า
และตอบสนองตามความต้องการของนักเรียนและประชาชน หรือชุมชนในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม
1. 4 ท า ใ ห้ สิ้ น เ ป ลื อ ง ง บ ป ร ะ ม า ณ แ ล ะ ท รั พ ย า ก ร
เนื่องจากการจัดสรรที่ไม่สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการที่แท้จริง
ก า ร ม อ บ อ า น า จ ห รื อ แ บ่ ง อ า น า จ
ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการบริหารงานตามระเบียบแบบแผนการบริหารการเงิน และการบริหารงานบุคคล
ส่วนการมอบอานาจในเรื่องของนโยบายแผนงาน และวิชาการมีเป็นส่วนน้อยคือเพียงร้อยละ 0.4
ของลักษณะงานที่มอบอานาจไปทั้งหมด
2. ปัญหาด้านหลักสูตรและการเรียนการสอน ก็มีการกาหนดและควบคุมจากส่วนการสูงมาก
แม้มีความพ ยายามใ ห้สถาน ศึกษาและ ห น่วยง านใน พื้น ที่พัฒนาห ลักสู ตรใน ท้องถิ่น
ก็ไม่เกิดผลเท่าที่ควรทั้งนี้เนื่องจาก
2. 1 ก ร อ บ ห ลั ก สู ต ร แ ล ะ ก า ร ป ร ะ เ มิ น ผ ล
เป็นสาเหตุสาคัญในการสกัดกั้นการตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตร
2. 2 ค ว า ม วิ ต ก กั ง ว ล ข อ ง ส ถ า น ศึ ก ษ า แ ล ะ ค รู ผู้ ส อ น
ที่เกรงว่าจะไม่สามารถดาเนินการได้ครบตามระเบียบและกฎเกณฑ์ดังกล่าว
2.3 รูปแบบการจัดการเรียนการสอนของครูที่ยังยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ส่งเสริมศักยภาพ
และความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียน
2.4 ระบบรวมศูนย์ในเรื่องการจัดสรรทรัพยากรเพื่อการเรียนการสอน รวมทั้งการควบคุม
จัดสรรและกาหนดคุณลักษณะจากส่วนกลางก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทาให้สถานศึกษามิอาจจัดรายวิชาที่สนองควา
มต้องการของนักเรียนและความต้องการชุมชนได้
3. ปัญหาจากการใช้หลักสูตรเดียวกันทั่วประเทศ ก่อให้เกิดผลต่อผู้ปฏิบัติตามหลักสูตร
3.1 ผู้บริหารโรงเรียนบางส่วนขาดความรู้ ความเข้าใจในหลักสูตร
3.2 ครูไม้เข้าใจหลักการ จุดมุ่งหมายของหลักสูตร
3.3 เนื้อหาวิชามีความยาก ไม่สอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น
3.4 ครูไม่เข้าใจวิธีการจัดการเรียนการสอน จึงจัดการเรียนการสอนที่ยึดครูเป็นศูนย์กลาง
3.5 การจัดส่งเอกสารประกอบหลักสูตรไปยังโรงเรียนมีความล่าช้า ไม่ทันเปิดภาคการศึกษา
จานวนที่จัดส่งไปให้ไม่เพียงพอ
4. ปัญหาในการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นก็คือ
4.1 การขาดบุคลากร
4.2 ขาดความร่วมมือและสนับสนุน
4.3 ขาดวิทยากร
4.4 ขาดความรู้
4.5 ขาดการเก็บรวบรวมข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน
4.6 ครูไม่ปรับหลักสูตรสอนตามหลักสูตรแกนกลาง
4.7 ไม่ปรับปรุงสื่อ เอกสาร
4.8 ครูไม่มีความรู้และขาดทักษะในการดาเนินการ
จากรายงานการวิจัยและพัฒนาระบบการประเมินผลภายในของสถานศึกษาพบว่าสถานศึกษาที่มี
หลักสูตรและเนื้อหาสาระ ที่เหมาะ สมกับท้อง ถิ่น และ ผู้เรี ยน มีเพียงร้อยละ 27 เท่านั้น
ผลที่เกิดขึ้นกับนักเรียนคือ
1.
นักเรียนได้เรียนรู้ในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเองและชุมชนและตัวเองอาศัยอยู่น้อยหรืออาจไม่เกี่ยวข้อง
2. ทาให้การเรียนรู้เป็นเรื่องไม่สนุก เพราะประโยชน์ในการนาไปใช้ในชีวิตประจาวันมีไม่มาก
ไ ม่ส อ ด ค ล้ อ ง กับ ท ฤ ษ ฎี ก า ร เ รี ย น รู้ เ ช่น ท ฤ ษ ฎี ก า ร เ รี ย น รู้ ปั ญ ญ า นิ ย ม
ที่เชื่อว่าการรู้เกิดจากการที่ผู้เรียนเป็นผู้ริเริ่มเป็นผู้กระทาที่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งเร้าผู้เรียนต้องเป็นผู้ลงมือกระ
ทา
การพัฒนาหลักสูตรระดับชาติ เป็ นหน้าที่ของกรมวิชา การ กระทรวงศึกษาธิการ
ส่วน การพัฒน าหลัก สู ตร สถ าน ศึ ก ษา เ ป็ น หน้าที่ของ โรง เ รี ยน ที่ต้อง ดาเ นิ น ก า ร
เงื่อนไขสาคัญที่ทาให้การจัดทาหลักสูตรสถานศึกษาประสบความสาเร็จมีดังนี้ (Cohen, 1985:1158)
1. ต้องมีการมอบอานาจส่วนกลางไปยังระดับโรงเรียนในท้องถิ่นในลักษณะการกระจายอานาจ
2.
บุคลากรในโรงเรียนมีความยินดีในการมีส่วนร่วมตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตรสถานศึกษาและบุคคลเหล่านั้น
มีทักษะในการวินิจฉัยความจาเป็นของนักเรียน
3. บุคลากรมีความสามารถเพียงพอในการรับผิดชอบงานและตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตร
เงื่อนไขดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการที่กาหนดให้มี
การกระจายอานาจการบริหารไปยังสถานศึกษา ให้สถานศึกษามีอานาจในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ
ได้เองซึ่งแนวทางที่กาหนดไว้มีดังนี้ (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2543:3)
1. ยึดโรง เ รี ยน เ ป็ น ศูน ย์กลาง ใ น การตัดสิ น ใ น ( School- Based Decision Making)
เ ป็ น แ น ว คิ ด ที่ มุ่ง ใ ห้ โ ร ง เ รี ย น มี อิ ส ร ะ ใ น ก า ร ตั ด สิ น ใ จ ด้ ว ย ตั ว เ อ ง
โดยยึดประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้เรียนเป็นสาคัญ
2. ก า ร มีส่ว น ร่ว ม แ ล ะ ก า ร ร่ ว ม คิ ด ร่ ว ม ท า ( Participation and Collaboration)
การศึกษาเป็นเรื่องของสาธารณชน มิใช่การรับผิดชอบของใครแต่ฝ่ายเดียวอีกต่อไป
3. การกระจายอานาจ (Decentralization) เป็นการคืนอานาจการจัดการศึกษาให้กับผู้ใกล้ชิดเด็ก
ไ ด้ แ ก่ โ ร ง เ รี ย น ผู้ บ ริ ห า ร ก า ร ศึ ก ษ า ค รู ชุ ม ช น
เป็นความเชื่อว่าผู้มีส่วนได้เสียต่อการศึกษาหรือผู้ที่อยู่ใกล้เด็กสามารถจัดการศึกษาได้ดีที่สุ ด
ตรงตามความต้องการของผู้เรียนและชุมชน อานาจการตัดสินใจควรอยู่ในระดับปฏิบัติคือสถานศึกษา
4. ภ า ร กิ จ ที่ ต ร ว จ ส อ บ ไ ด้ ( Accountability) ต้ อ ง มี ก า ร ก า ห น ด ห น้ า ที่
ความรับผิดชอบและภารกิจของผู้บริหาร ครู อาจารย์ บุคลากรทางการศึกษาและชุมชนอย่างชัดเจน
แ ล ะ ภ า ร กิ จ เ ห ล่ า นี้ ต้ อ ง ส า ม า ร ถ ต ร ว จ ส อ บ ค ว า ม ส า เ ร็ จ ไ ด้
เพื่อเป็นหลักประกันคุณภาพการศึกษาให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
4. ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่จะนามาใช้ดาเนินการการนาแนวคิดและรูปแบบจากพร
ะราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ในมาตรา 27 วรรคสองที่กาหนดให้สถานศึกษา
ขั้นพื้นฐานมีหน้าที่จัดทาสาระของหลักสูตรที่สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพปัญห
าในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะอันพึ่งประสงค์ เพื่อเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน
สังคม และประเทศชาติ รวมทั้งแนวคิดและรูปแบบของนักพัฒนาหลักสูตร เช่น ไทเลอร์ ทาบา
เซย์เลอร์อเล็กซานเดอร์และเลวิส โอลิวา สกิลเบ็กมาร์ช และคณะ เอ็กเกิลสตัน วอล์คเกอร์
และรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของไทย องกรมวิชาการ และ กรมการศึกษานอกโรงเรียน
มากาหนดเป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่กาหนดขึ้น เป็นการพัฒนาหลักสูตรครบวงจรคือ
เริ่มตั้งแต่การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน การร่างหลักสูตร การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร
ก า ร น า ห ลัก สู ต ร ไ ป ใ ช้ใ น ส ถ า น ก า ร ณ์ จ ริ ง ร ว ม ทั้ ง ก า ร ป ร ะ เ มิน ผ ล ห ลัก สู ต ร
โดยหวังว่าขั้น ตอน การพัฒนาห ลักสู ตรที่สม บูรณ์ทาให้ได้ห ลักสู ตรที่มีประ สิ ทธิ ภ าพ
กล่าวโดยสรุปขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ประกอบด้วยขั้นตอนที่สาคัญ 5 ขั้นตอน ดังนี้คือ
ขั้นที่1การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานในด้านต่างๆ ได้แก่
1.1 ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพและความต้องการของชุมชน
1.2 การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียน
1.3 การวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง
ขั้นที่2การร่างหลักสูตร
2.1 การกาหนดจุดประสงค์ของหลักสูตร
2.2 การกาหนดเนื้อหาสาระ
2.3 การจัดการเรียนการสอน กิจกรรมและสื่อต่างๆ
2.4 การกาหนดวิธีวัดและประเมินผลผู้เรียน
ขั้นที่3การตรวจสอบคุณภาพหลักสูตร
ขั้นที่4การนาหลักสูตรไปใช้
ขั้นที่5การประเมินผลหลักสูตร
รายละเอียดในแต่ละขั้นตอนมีดังนี้
ขั้ น ที่ 1 ก า ร ศึ ก ษ า แ ล ะ วิ เ ค ร า ะ ห์ ข้ อ มู ล พื้ น ฐ า น
ใ น การพัฒน าหลักสู ตรจาเ ป็ น ต้อง ศึกษาและ วิเ คราะ ห์ ข้อมูลพื้น ฐาน ใ น ด้าน ต่า ง ๆ
เพื่อใช้ในการกาหนดองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตรซึ่งได้แก่ วัตถุประสงค์ของหลักสูตร เนื้อหาสาระ
กิ จ ก ร ร ม ใ น ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น / สื่ อ
การวัดและประเมินผลผู้เรียนซึ่งข้อมูลพื้นฐานที่ได้จากการศึกษาช่วยในการกาหนดวัตถุประสงค์หรือการกา
หนดสิ่งที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ วัตถุประสงค์จะเป็นตัวกาหนดเนื้อหาสาระที่ควรจัดให้ผู้เรียน
ซึ่งอยู่ในลักษณะรายวิชา หลังจากนั้นจึงนามากาหนดกิจกรรมในการจัดการเรียนการสอน
สื่อการเรียนรู้ต่างๆ รวมทั้งการกาหนดวิธีการวัดและประเมินผลผู้เรียนว่าจะใช้วิธีการอย่าง ไร
ซึ่งการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรควรประกอบด้วย
1.1 การศึกษาสภาพและความต้องการของชุมชน เนื่องจากโรงเรียนที่มีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้
ทัก ษ ะ แ ล ะ วัฒ น ธ ร ร ม ข อ ง ชุ ม ช น ช่ว ย เ ต รี ย ม ค น ใ ห้ กับ ชุ มช น แ ล ะ สั ง ค ม
ดังนั้นการพัฒนาหลักสูตรเพื่อให้ผู้เรี ยนเป็ นผู้มีความรู้ความสามารถและประ สบ กา รณ์
มีค ว า ม คิ ด ริ เ ริ่ ม ส ร้ า ง ส ร ร ค์ คิ ด เ ป็ น ท า เ ป็ น แ ล ะ เ ป็ น ส ม า ชิ ก ที่ ดี ข อ ง สั ง ค ม
จาเป็นต้องทราบข้อมูลเกี่ยวกับสภาพและความต้องการของชุมชนหรือสังคมที่โรงเ รียน ตั้งอยู่
เพื่อให้หลักสู ตรที่พัฒน าขึ้ น มีความทันสมัยเห มาะ สมกับการเ ปลี่ยนแปลงของ ชุมช น
การศึกษาสภาพและความต้องการของชุมชนมีการศึกษาในหลายด้าน เช่น การศึกษา สาธารณูปโภค
สิ่งแวดล้อม การประกอบอาชีพ ในปัจจุบันและแนวโน้มของอาชีพในอนาคต สุขภาพอนามัย
ขน บธรรมเ นี ยมประ เ พ ณี วัฒน ธรรม ค่านิ ยม ทรัพ ยากรต่าง ๆ ปั ญหาของ ชุมช น
ข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนอาจศึกษาจากการสารวจสอบถามสัมภาษณ์บุคคลในชุมชน และศึกษาจากเอกสาร
รายงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกาหนดแนวทางในการตอบสนองความต้องการของชุมชนในพื้นที่ได้
ข้อมูลของชุมชนที่สาคัญมีดังต่อไปนี้
1. ข้อมูลสภาพทั่วไปของชุมชน แผนที่ชุมชน แสดงที่ตั้งของสถานที่ต่างๆ เช่น
สิ่งสาคัญในชุมชน เช่น วัด โรงเรียน เทศบาล ธนาคาร ฯลฯ รวมทั้งลักษณะการตั้งบ้านเรือนภายในชุมชน
ประวัติความเป็นมาและสภาพของชุมชน จานวนประชากร แยกตามเพศ อายุ จานวนครัวเรือน ศาสนา
สถานที่ท่องเที่ยว เป็นต้น
2. ข้อมูลด้านการศึกษา จานวนผู้จบการศึกษาในระดับต่างๆ จานวนนักเรียนในระดับต่างๆ
เช่น ประถม มัธยม ฯลฯ จานวนครูที่สอนในระดับต่างๆ จานวนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษา เช่น
ศึกษานิเทศก์ ฯลฯ
3. ข้อมูลศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของชุมชน ภาษาท้องถิ่น โบราณสถาน
โบราณวัตถุภายในชุมชน ดนตรี เพลง การแสดงพื้นบ้านของชุมชน วรรณกรรม ตานานพื้นบ้านของชุมชน
4. ข้อมูลพื้น ฐาน ทางเศรษฐกิจ อาชีพ /รายได้ของคนใน ชุมชน ปฏิทิน
การปฏิบัติงานของชุมชน เช่น ช่วงเดือนการเก็บเกี่ยวข้าว ช่วงเวลาการเก็บเงาะ การตัดยาง เป็นต้น
รวมทั้งทรัพยากรที่มีในชุมชน เช่น ป่าไม้ แร่ธาตุ แหล่งน้า และพืชเศรษฐกิจหลักของชุมชน
5. ภูมิปัญญาท้องถิ่น ทาเนียบชื่อ ที่อยู่ ความรู้ความสามารถ ความชานาญของ
แต่ละบุคคลปัญหาชุมชน
6. ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในชุมชน เช่น ยาเสพติด พืชผลราคาตก โจรผู้ร้ายชุกชุม
น อ ก จ า ก า ร ศึ ก ษ า แ ล ะ ส า ร ว จ ส ภ า พ แ ล ะ ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ข อ ง ชุมช น
รวมทั้งข้อมูลที่สาคัญของชุมชนแล้ว ต้องมีการสารวจสภาพและความต้องการของผู้เรียน ทั้งด้านร่างกาย
อารมณ์ สังคม ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถได้จากครูในโรงเรียน ผู้ปกครอง และตัวนักเรียนเอง
วิธีการศึกษาชุมชน สามารถดาเนินการได้ดังนี้
1. ศึ ก ษ า จ า ก เ อ ก ส า ร ต่า ง ๆ จัด เ ป็ น ข้อ มูล ทุ ติ ย ภู มิ ( Secondary Data)
ซึ่ ง เ ป็ น ข้อ มูล ที่ มีผู้ จั ด พิ มพ์ ห รื อ ร ว บ ร ว มไ ว้อ ยู่ใ น รู ป เ อ ก ส า ร สิ่ ง พิ ม พ์ ต่า ง ๆ
เอกสารเหล่านี้สามารถค้นคว้าศึกษาได้จากห้องสมุดจากหน่วยงานต่างๆ ที่รวบรวมจัดเก็บไว้
2. ศึกษาจาก ก าร ส าร ว จชุมช น จัดเ ป็ น ข้อ มูล ป ฐ มภู มิ ( Primary Data)
ซึ่งผู้ต้องการใช้ข้อมูลเป็นผู้เก็บรวบรวมข้อมูลโดยตรงจากชุมชน ทาให้ได้เห็นสภาพที่แท้ จริง
และสร้างความสัมพันธ์ อันดีกับชุมชนด้วย ซึ่งการสารวจชุมชนต้องใช้วิธี การต่างๆ กัน
เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง วิธีการต่างๆได้แก่ การสัมภาษณ์ การสอบถาม
และการสังเกตเป็นต้น
จ า ก ก า ร ศึ ก ษ า ส ภ า พ แ ล ะ ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ข อ ง ชุ ม ช น
นาข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาจัดลาดับความสาคัญ โดยกาหนดเป็นหัวเรื่องที่ต้องการให้นักเรียนได้เรียนรู้ เช่น
ในชุมชนมีปัญหายาเสพติด สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ภาวะโลกร้อน มีการทาลายทรัพยากรธรรมชาติ
เ ห ล่ า นี้ เ ป็ น ต้ น
หรืออาจเป็นเรื่องที่ชุมชนต้องการถ่ายทอดวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนให้กับนักเรียนได้เรียนรู้สิ่งเ
หล่านี้ จัดแยกเ ป็ น หมวดหมู่ใ ห้ชัดเ จน ว่า อะ ไรเ ป็ น ปั ญหาเ ร่ง ด่วน ที่ต้อง การแก้ไข
หรืออะไรเป็นสิ่งที่ต้องการให้นักเรียนรู้เพื่อสืบทอดวัฒนธรรมของชุมชนในการดาเนินงานขั้นตอนนี้มีความ
สาคัญที่ต้องให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชุมชน เช่น ผู้ปกครอง กรรมการโรงเรียน คนในชุมชน
รวมทั้งนักเรียนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นร่วมกับครู ผู้บริหารโรงเรียน
เพื่อนาไปสู่ข้อสรุปของการจัดลาดับความสาคัญของปัญหา หรือเรื่องราวที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้
1. 2 ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ ศั ก ย ภ า พ ข อ ง โ ร ง เ รี ย น
การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียนเป็นการศึกษาสภาพทั่วไปของโรงเรียนในด้านต่างๆ เช่น บุคลากร
ง บ ป ร ะ ม า ณ อุ ป ก ร ณ์ แ ล ะ สื่ อ ต่ า ง ๆ อ า ค า ร ส ถ า น ที่ ห้ อ ง เ รี ย น
ปัญหาที่เกิดจากการใช้หลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอน ความร่วมมือระหว่างโรงเรียนกับชุมชน
ข้ อ มู ล เ ห ล่า นี้ จ ะ ช่ ว ย ใ น ก า ร พิ จ า ร ณ า ว่า โ ร ง เ รี ย น มี ค ว า ม พ ร้ อ ม ห รื อ ไ ม่
มีผลต่อการตัดสินใจว่าจะเลือกแนวทางการพัฒนาหลักสูตรอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับศักยภาพของโรงเรียน
มากที่สุด ข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ ได้จากเ อกสาร รายงานต่างๆ เช่น สถิติของโรง เ รี ยน
รายงานการประเมินคุณภาพของโรงเรียน การสารวจภายในโรงเรียน เป็นต้น
1. 3 ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ ห ลั ก สู ต ร แ ก น ก ล า ง
เนื่องจากปัจจุบันเป็นระยะเวลาที่เราผ่านการใช้หลักสูตรมาหลายครั้งจนปัจจุบันกาลังจะนาหลักสูตรการศึก
ษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มาใช้กับโรงเรียนนาร่องจานวน 555 แห่ง ในปีการศึกษา 2552
แ ล ะ ค า ด ว่า จ ะ น า ม า ใ ช้ ค ร บ ทุ ก ชั้ น ใ น ปี ก า ร ศึ ก ษ า 2 5 5 3 ดั ง นั้ น
การวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางใช้แนวทางการวิเคราะห์ดังนี้
1. หลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533) ให้พิจารณาจาก
1.1 จุดมุ่งหมายของหลักสูตร
1.2 จุดประสงค์รายวิชา (ความมุ่งหวังที่ต้องการ)
1.3 เนื้อหาสาระ (โครงสร้างหลักสูตร)
1.4 กิจกรรมการจัดการเรียนการสอนและการประเมินผลการเรียนรู้
2. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ให้พิจารณาจาก
2.1 มาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตร
2.2 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้แต่ละช่วงชั้น
- 8 กลุ่มสาระ
- กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
2.3 การจัดการเรียนรู้
2.4 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
ซึ่งสถานศึกษาแต่ละแห่งควรนาข้อมูลการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานที่ประกอบด้วยการศึก
ษ า ส ภ า พ แ ล ะ ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ข อ ง ชุ ม ช น
การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียนและการวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง สรุปได้ดังนี้
1.1 การศึกษาและความต้องการของชุมชน
- สภาพทั่วไปของชุมชน
- การศึกษา
- ศิลปวัฒนธรรม - หัวเรื่อง
- หัวเรื่อง
- จัดลาดับ
- เศรษฐกิจ
- ภูมิปัญญาท้องถิ่น
- ปัญหาของชุมชน
1.2 การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียน
- บุคลากร
- งบประมาณ
- อุปกรณ์/สื่อต่างๆ
- อาคารสถานที่
- ความร่วมมือระหว่างโรงเรียนกับชุมชน
1.3 การวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง
1. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช2544
ให้พิจารณาจากมาตรฐานการ เรียนรู้ของหลักสูตร
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้แต่ละช่วงชั้น
- 8 กลุ่มวิชา
- กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
การจัดการเรียนรู้
การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้
2. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ให้พิจารณาจาก
ปรับมาตรฐานการเรียนรู้จากหลักสูตรการศึกษา
ขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้แต่ละช่วงชั้น
- 8 กลุ่มวิชา (เท่าเดิม)
- วิสัยทัศน์
- พันธกิจ
- คุณลักษณะอันพึงประสงค์
- สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน
- กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
- กิจกรรมสาธารณประโยชน์
การตัดสินใจพัฒน
าหลักสูตรในเรื่อง
ใด
ข้อกาหนดใ
นการร่างห
ลักสูตร
ข้อกาหนดใ
นการร่างหลั
กสูตร
การจัดการเรียนรู้
การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้
ขั้นที่ 2 การร่างหลักสูตร เป็นการกาหนดแผนการจัดประสบการณ์ หรือการกาหนด
แนวทางการจัดการเรียนการสอนให้แก่ผู้เรียน ซึ่งประกอบด้วยจุดประสงค์ เนื้อหาสาระ
กิจกรรมและวิธี วัดและ ประเมิน ผลผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถ ทักษะ
และทัศนคติตามเป้าหมายที่กาหนดไว้
ในการร่างหลักสูตรสถานศึกษาจะต้องนาข้อมูลที่ได้จากการศึกษาในขั้นที่ 1 คือ
ข้อมูลพื้นฐานที่จาเป็ น ได้แก่ สภาพและความต้องการของชุมชน ศักยภาพของโรงเรียน
หลักสูตรแกนกลางที่กาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้วิชาที่ต้องการพัฒนา ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ คือ
2.1 การกาหนดจุดประสงค์ของหลักสูตร ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ
1. จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ทั่ ว ไ ป
เ ป้าห มายห รื อสิ่ ง ที่มุ่ง ห วัง ใ ห้เ กิดกับผู้เรี ยน หลัง จากที่ผู้เรี ยน ได้เรี ยน รู้สิ่ ง นั้น ๆ แล้ว
ต้อง น าข้อมูลที่ได้จากการเ ก็บรวบรวมใ น ขั้น ที่ 1 มากาห น ดเ ป็ น จุดประ สง ค์ทั่วไป
ต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลาง การกาหนดจุดประสงค์ต้องเขียนด้วยภาษาที่ชัดเจน
เข้าใจง่ายและสามารถนาไปปฏิบัติได้จริงภายใต้ศักยภาพของแต่ละสถานศึกษา
ตัวอย่าง การกาหนดจุดประสงค์ทั่วไปของหลักสูตร “การทาผลไม้แปรรูป คือ
ให้นักเรียนมีความรู้และทักษะในการทาผลไม้แปรรูป”
2. จุดประสงค์การเรียนรู้
- บอกความหมายของ “ผลไม้แปรรูป” ได้
- สามารถทาผลไม้แปรรูปได้
- มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพการทาผลไม้แปรรูป
- สามารถบรรจุหีบห่อที่สวยงามได้
- สามารถตั้งราคาขายที่เหมาะสมได้
ฯลฯ
2.2 การกาหนดเนื้อหาสาระ เนื้อหาสาระเป็นองค์ประกอบที่สาคัญในการพัฒนาหลักสูตร
ทั้งนี้เนื่องจากเนื้อหาสาระเป็นเครื่องมือหรือสื่อกลางที่จะพาผู้เรียนไปยังวัตถุประสงค์ที่ วางไว้
การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาใช้เนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องกับชุมชนที่เป็นบริบทของโรงเรียนให้สอดคล้องกั
บ จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ที่ ว า ง ไ ว้
มีความยากง่ายสอดคล้องเหมาะสมกับวัยหรือลาดับขั้นของการพัฒนาการทั้งทางร่างกายและจิตใจ
รวมทั้งประสบการณ์เดิมของผู้เรียน มีประโยชน์ต่อผู้เรียนที่จะนาไปใช้ในชีวิตประจาวัน
เนื้อหาที่เลือกมาสามารถจัดให้ผู้เรียนได้โดยพิจารณาถึงความพร้อม ศักยภาพของโรงเรียน
บุคลากรที่เป็นผู้สอน วัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ ตัวอย่างการพัฒนาหลักสูตร “การทาผลไม้แปรรู ป”
ประกอบด้วยเนื้อหาสาระดังนี้
- ลักษณะและชนิดของผลไม้ที่นามาแปรรูป
- ขั้นตอนการทาผลไม้แปรรูป
- การทาความสะอาดเครื่องใช้
- การบรรจุหีบห่อ
- การตั้งราคาขาย
ฯลฯ
2.3 การจัดการเรียนการสอน กิจกรรมและสื่อการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนการสอน คือ
กิจกรรมที่ทั้งผู้เรียนเป็นผู้กระทา และกิจกรรมที่ผู้สอนเป็นผู้กระทา มีการใช้สื่อการเรียนการสอนต่างๆ
เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้กิจกรรมในการจัดการเรียนการสอน การบรรยาย การสาธิต
ผู้เรียนมีการซักถามโต้ตอบ การลงมือปฏิบัติ ซึ่งสอดคล้องกับจุดประสงค์และเนื้อหาสาระที่กาหนดขึ้น
ค รู ต้ อ ง ค า นึ ง ถึ ง พื้ น ฐ า น แ ล ะ ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ เ ดิ ม ข อ ง ผู้ เ รี ย น
การกาหนดกิจกรรมการเ รียน การสอน ต้อง สอดคล้อง กับประ สบการณ์เ ดิมของผู้เ รี ยน
ซึ่ ง อ า จ มีก า ร น า สื่ อ ทั้ ง ใ น ด้า น วัส ดุ อุ ป ก ร ณ์ แ ล ะ บุ ค ค ล ส ถ า น ที่ ที่ อ ยู่ใ น ชุมช น
เ ข้ามากาหน ดเ ป็ น กิจกรรมที่เ ป็ น รู ปธรร ม เ พื่อใ ห้การเ รี ยน รู้เ ชื่อมโยง กับชุมช น
ส่งผลต่อการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้เรียนอันเนื่องมาจากการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่กาหนดไว้ได้
กิจกรรมการเรียนการสอน ได้แก่ กิจกรรมในลักษณะต่อไปนี้คือ ศึกษา ทดลอง สารวจ
ฝึ กปฏิบัติ วิเคราะห์ อภิปราย สัมมนา ระดมความคิด ฯลฯ ตัวอย่างกิจกรรม “ศึกษา” ได้แก่
(กรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ , 2539: 9)
- ฟังคาอธิบายจากครู
- ค้นคว้าจากห้องสมุดของโรงเรียน
- ค้นคว้าจากแหล่งวิทยาการอื่นๆ
- เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในท้องถิ่นมาบรรยาย
- ออกไปสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เกี่ยวข้องในท้องถิ่น
- ออกไปสารวจดูสภาพจริงในพื้นที่
- สังเกตสิ่งแวดล้อมรอบข้าง
- ออกไปทัศน์ศึกษา
- รวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ
- นาหรือพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้
ฯลฯ
น อ ก จ า ก ก า ร จั ด กิ จ ก ร ร ม ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ ล้ ว
ครูยังสามารถจัดทาสื่อการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์ที่กาหนดไว้โดยการจัดสื่อต่างๆ
เพื่อใช้ประกอบการจัดการเรียนการสอนได้ดังนี้ (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ , 2539: 17-18)
1. หนังสือเรียน เป็ นหนังสือที่กระทรวงศึกษาธิการกาหนดให้ใช้สาหรับการเรียน
มีสาระตรงตามที่ระบุไว้ในหลักสูตรอย่างถูกต้อง อาจมีลักษณะเป็นเล่ม เป็นแผ่นหรือเป็นชุดก็ได้
2. คู่ มื อ ค รู แ ผ น ก า ร ส อ น แ น ว ก า ร ส อ น ห รื อ เ อ ก ส า ร อื่ น ๆ
ที่จัดทาขึ้นเพื่อช่วยครูในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแต่ละรายวิชาให้เป็นไปตามจุดประสงค์ของหลัก
สูตร
3. ห นั ง สื อ เ ส ริ ม ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์
เป็ นหนังสือที่จัดทาขึ้น โดยคานึ งถึง ประ โยชน์ใน ด้าน การศึกษาห าความรู้ของ ตน เ อง
ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ความซาบซึ้งในคุณค่าของภาษา การเสริมสร้างทักษะและนิสัยรักการอ่าน
การเ พิ่มพูน ค ว า ม รู้ ความเ ข้าใ จใ น สิ่ ง ที่ เ รี ยน รู้ ตา ม ห ลักสู ต รใ ห้ ก ว้าง ข ว า ง ขึ้ น
ห นั ง สื อ ป ร ะ เ ภ ท นี้ โ ร ง เ รี ย น ค ว ร จัด ห า ไ ว้บ ริ ก า ร ค รู แ ล ะ นัก เ รี ย น ใ น โ รง เ รี ยน
หนังสือเสริมประสบการณ์จาแนกออกเป็น 4 ประเภท คือ
3. 1 ห นั ง สื อ อ่ า น น อ ก เ ว ล า
เป็นหนังสือที่กระทรวงศึกษาธิการกาหนดให้ใช้ในการเรียนวิชาใดวิชาหนึ่งตามหลักสูตรนอกเหนือจากหนั
ง สื อ เ รี ย น ส า ห รั บ ใ ห้ นั ก เ รี ย น อ่ า น น อ ก เ ว ล า เ รี ย น
โดยถือว่าเป็นกิจกรรรมการเรียนเกี่ยวกับหนังสือนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนตามหลักสูตร
3. 2 ห นั ง สื อ อ่ า น เ พิ่ ม เ ติ ม เ ป็ น ห นั ง สื อ ที่ มี ส า ร ะ
ส า ห รั บ ใ ห้ นั ก เ รี ย น อ่ า น เ พื่ อ ศึ ก ษ า ห า ค ว า ม รู้ เ พิ่ ม เ ติ ม ด้ ว ย ต น เ อ ง
ต า มค ว า มเ ห ม า ะ ส มกับ วัย แ ล ะ ค ว า มส า มา ร ถ ใ น ก า ร อ่า น ข อ ง แ ต่ล ะ บุ ค ค ล
หนังสือประเภทนี้เคยเรียกว่าหนังสืออ่านประกอบ
3. 3 ห นั ง สื อ อุ เ ท ศ
เป็นหนังสือใช้ค้นคว้าสาหรับอ้างอิงเกี่ยวกับการเรียนโดยมีการเรียบเรียงเชิงวิชาการ
3. 4 ห นั ง สื อ ส่ ง เ ส ริ ม ก า ร อ่ า น
เป็นหนังสือที่จัดทาขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เน้นไปในทางส่งเสริมให้ผู้อ่านเกิดทักษะในการอ่าน
และ มีนิ สัยรักการอ่าน มาก ยิ่ง ขึ้ น อาจเ ป็ น ห นัง สื อสารคดี น วนิ ยาย นิ ทาน ฯล ฯ
ที่มีลักษณะไม่ขัดต่อวัฒนธรรม ประเพณีและศีลธรรมอันดีงาม ให้ความรู้ มีคติและสารประโยชน์
4. แบบฝึกหัด เป็นสื่อการเรียนสาหรับให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ เพื่อช่วยเสริมให้เกิดทักษะ
และความแตกฉานในบทเรียน
5. สื่อการเรียนการสอนอื่นๆ เช่น สื่อประสม วีดีทัศน์ แถบบันทึกเสียง ภาพพลิก แผ่นภาพ เป็นต้น
สื่ อการเ รี ยน การสอน ดังกล่าวข้างต้น โรง เ รี ยน สามารถเลือกใช้ ปรับปรุ ง
หรือจัดทาขึ้นเพื่อใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ตามความเหมาะสม
2.4 การกาหน ดวิธี วัดและ ประเมิน ผลผู้เรียน เ นื่ องจากการพัฒนาหลักสูตร
จุดประสงค์ชัดเจนที่กาหนดความคาดหวังในคุณลักษะต่างๆ ที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน
ร ว ม ทั้ ง วิ ธี ก า ร ด า เ นิ น ก า ร เ พื่ อ ใ ห้ บ ร ร ลุ จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ที่ ก า ห น ด ไ ว้
การที่ผู้ใช้หลักสูตรหรือครูทราบว่าผลที่เกิดจากการจัดการเรียนการสอนเป็นอย่างไร มีส่งใดที่ต้องปรับปรุง
แ ก้ไ ข ผู้ เ รี ย น ไ ด้ บ ร ร ลุ ต า ม จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ที่ ตั้ ง ไ ว้ห รื อ ไ ม่เ พี ย ง ใ ด นั้ น
ต้องมีวิธีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน รวมทั้งเครื่องมือที่ใช้วัดและประเ มิน ผล
ซึ่งการวัดและประเมินต่อผู้สอนที่ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของผู้เรียนรวมทั้งตัวผู้สอนเองช่วยให้ผู้สอนทราบคุ
ณ ภ า พ ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น ซึ่ ง ร ว ม ถึ ง คุ ณ ภ า พ ข อ ง ห ลั ก สู ต ร
น า ไ ป สู่ ก า ร ป รั บ ป รุ ง ห ลั ก สู ต ร ใ ห้ เ ห ม า ะ ส ม ยิ่ ง ขึ้ น
ซึ่ ง ก า ร วัด แ ล ะ ป ร ะ เ มิ น ผ ล ผู้ เ รี ย น มี ทั้ ง ก่อ น ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น
ระหว่างและสิ้นสุดการจัดการเรียนการสอน แล้วแต่ความเหมาะสม
ขั้นที่ 3 การตรวจสอบคุณภาพข องหลักสู ตร เมื่อร่างหลักสู ตรเรี ยบร้อย แ ล้ว
ก่อนที่จะนาไปใช้กับนักเรี ยน จาเป็ นต้องมีการตรวจสอบคุณภาพ ของ หลักสู ต รก่อน
เ พื่ อ ห า ข้ อ บ ก พ ร่ อ ง แ ล ะ ป รั บ ป รุ ง แ ก้ไ ข ใ ห้ เ ห ม า ะ ส ม แ ล ะ ส ม บู ร ณ์ ที่ สุ ด
สิ่งที่ต้องพิจารณาในการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรคือ ความสอดคล้องขององค์ประกอบต่างๆ ได้แก่
จุดประสงค์ เนื้อหาสาระ การจัดการเรียนการสอน กิจกรรมและสื่อการเรียนรู้ วิธีวัดและประเมินผลผู้เรียน
ซึ่งวิธีการตรวจสอบกระทาได้โดย
1. คณะทางานร่างหลักสูตร เป็ นกลุ่มบุคคลที่พัฒนาหลักสูตรขึ้นมา เช่น คณะครู
ผู้บริหารผู้ปกครอง คนในชุมชน เป็นผู้ให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
2. ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น ด้านเนื้อหาสาระ ด้านสื่อการเรียนรู้
ด้านหลักสูตรและการสอน เป็นผู้ให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
3. การรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจอยู่ในลักษณะของการจัดประชุม/สัมมนา
เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อนาสู่การปรับปรุงหลักสูตร
ขั้ น ที่ 4 ก า ร น า ห ลั ก สู ต ร ไ ป ใ ช้
หลังจากที่มีการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรละปรับปรุงแก้ไขหลักสูตรที่ร่างขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว
ขั้ น ต่อ ไ ป คื อ ก า ร น า ห ลัก สู ต ร ไ ป ใ ช้ ซึ่ ง เ ป็ น ขั้ น ต อ น ที่ มี ค ว า ม ส า คั ญ ม า ก
ค รู ที่ เ ป็ น ผู้ป ฏิ บั ติ ก า ร ห ลัก ใ น ก า ร พัฒ น า ห ลั ก สู ต ร เ ป็ น ผู้น า ห ลัก สู ต ร ไ ป ใ ช้
ด้วยการแ ปล ง ห ลัก สู ต รไ ป สู่กา ร สอ น ครู กาหน ดวิธี กา ร จัดก า รเ รี ยน กา ร ส อ น
กาห น ดรายละ เ อียดกิจกรรมใ น แต่ละ คาบ พ ร้อมทั้ง จัดเ ตรี ยมวัส ดุอุ ปกร ณ์ ต่า ง ๆ
ก า ร ป ร ะ ส า น ง า น กับ บุ ค ค ล ที่ จ ะ เ ข้ า ม า ช่ว ย ใ ห้ ผู้ เ รี ย น เ กิ ด ก า ร เ รี ย น รู้
รวมทั้งการจัดเตรียมสื่อการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสภาพของชุมชน ภาพประกอบ 26สรุปดังนี้
ภาพประกอบ 26 สรุปขั้นตอนการนาหลักสูตรไปใช้
จากภาพสรุปข้างต้นพบว่า การนาหลักสูตรไปใช้ สิ่งที่ต้องคานึงถึงสิ่งแรกคือ
จุดประสงค์ของหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมากาหนดไว้ว่าอย่างไรหลังจากนั้นจึงพิจารณาจุดประสงค์เชิงพฤติกรร
มที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนนามาสู่การจัดการเรียนการสอน/กิจกรรมในแต่ละคาบและในการจัดกิจกรร
มจาเป็นต้องคานึงถึงสื่อที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ซึ่งสื่อการเรียนรู้ได้แก่
เอกสาร/ตารา แบบฝึกหัด โสตทัศนูปกรณ์ ต่างๆ นอกจากนั้นยังสามารถเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ เช่น
จากบุคคลได้แก่ ครู วิทยากรในและนอกชุมชน สถาบันทางสังคม ได้แก่ โรงเรียน กลุ่มโรงเรียน
สมาคมต่างๆ ธนาคาร/มูลนิธิ ฯลฯ หรือเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่อยู่ตามธรรมชาติ ได้แก่ ป่าไม้ แม่น้า
ลาคลอง ทะเล ภูเขา เหล่านั้นเป็นต้น
เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการจัดการเรียนการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ . ศ . 2542 ต า มมา ต ร า 22 ซึ่ ง บัญ ญัติ ไ ว้ว่า “ ก า ร จัด ก า ร ศึ ก ษ า ต้อ ง ยึ ด หลัง ว่า
วิธีและประเมินผลผู้เรียน
สื่อการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้
จุดประสงค์ของหลักสูตร
จุดประสงค์พฤติกรรมหลัก
สูตร
แผนการเรียนรู้/
กิจกรรมแต่ละคาบ -
ระหว่างการจัดการเรียนก
ารสอน
-
สิ้นสุดการจัดการเรียนกา
รสอน
เอกสาร/
ตารา
แบบฝึกหัด โสตทัศนูปกรณ์ บุคคล
- ครู
- วิทยากร
ชุมชน
- วิทยากร
นอกชุมชน
สถาบันทางสังคม
- โรงเรียน
กลุ่มโรงเรียน
- สมาคมต่างๆ
- ธนาคาร/มูลนิธิ
ฯลฯ
สิ่งเกิดเองตาม
ธรรมชาติ
- ป่าไม้
- แม่น้า/ลาคลอง
- ทะเล
- ภูเขา
ฯลฯ
ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุ ด
กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ”
การนาหลักสูตรไปใช้จัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ซึ่งในที่นี้ การเรียนรู้ หมายถึง
การปรับเ ปลี่ยน ไปใ น ทาง ที่ดีขึ้ น ( สานักง านคณะ กรรมการศึกษาแห่ง ชาติ ,2542 : 7)
การจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ มีดังนี้
(สานักงานคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ,2542 : 9-15)
1 . ก า ร เ รี ย น รู้ โ ด ย ส ร้ า ง อ ง ค์ ค ว า ม รู้ ด้ ว ย ต น เ อ ง ห ม า ย ถึ ง
ก า ร เ รี ย น รู้ ที่ เ ป็ น ก ร ะ บ ว น ก า ร ส ร้ า ง ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ แ ล ะ สิ่ ง ต่ า ง ๆ
ใ ห้ มี ค ว า ม ห ม า ย ต่ อ ต น เ อ ง จ า ก ป ฏิ สั ม พั น ธ์ กั บ สิ่ ง แ ว ด ล้ อ ม
โ ด ย ก า ร ใ ช้ก ร ะ บ ว น ก า ร คิ ด แ ล ะ แ ส ว ง ห า ค ว า มรู้ ค ว บ คู่ไ ป กับ ก า ร ป ฏิ บั ติ จ ริ ง
ให้ผู้เรียนค้นพบข้อความรู้และประสบการณ์ด้วยตนเอง ครูเป็นผู้อานวยการเรียนรู้ จัดโอกาส
จัดบรรยากาศสิ่งแวดล้อมและแหล่งวิทยาการ ให้เอื้อต่อการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการเรียนรู้
ข อ บ เ ข ต เ นื้ อ ห า ข อ ง ก า ร เ รี ย น รู้ โ ด ย ส ร้ า ง อ ง ค์ ค ว า มรู้ ด้ว ย ต น เ อ ง คื อ
การฝึกทักษะกระบวนการคิดวิเคราะห์ การสร้างแรงจูงใจให้เกิดการใฝ่รู้ใฝ่เรียน
กลยุทธ์และเครื่องมือการเรียนรู้ เช่น การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม(participatory learning : pl)
กระบวนทางปัญญา 10 ขั้น ของ ศ. นพ.ประเวศ วะสี ซึ่งได้แก่การสังเกต การบันทึก การนาเสนอ การฟัง
การถาม-ตอบ การตั้งสมมติฐาน การค้นหาคาตอบ การวิจัย การเชื่อมโยง การบูรณาการ และการเรียบเรียง
2. ก า ร เ รี ย น รู้ เ รื่ อ ง ข อ งต น เ อ ง ธ ร ร ม ช า ติ แ ล ะ สิ่ ง แ ว ด ล้ อม ห มา ย ถึ ง
ก า ร เ รี ย น รู้ เ พื่ อ เ ชื่อ มโ ย ง ค ว า มสั มพัน ธ์ ร ะ หว่า ง ร่า ง ก า ย แ ล ะ จิ ต ใ จ ข อ ง ตน เ อง
การรับรู้และตระหนังในตนเองสามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมให้สอดคล้องกับค่านิยมที่ดีงาม
ยึ ด มั่น ใ น คุ ณ ธ ร ร ม จ ริ ย ธ ร ร ม มี ค ว า ม เ พี ย ร พ ย า ย า ม ใ น ก า ร ท า ค ว า ม ดี
ก า ร เ ส ริ ม ส ร้ า ง ลั ก ษ ณ ะ นิ สั ย แ ล ะ สุ น ท รี ย ภ า พ ค ว า ม ดี ง า ม ใ น ต น เ อ ง
การเรียนรู้เพื่อให้สามารถดารงชีวิตอยู่ได้อย่างสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม การตระหนักถึงคุณค่า
และ พัฒน าคุณภ าพ ของ ธรร มช า ติ สิ่ ง แว ด ล้อ ม อย่าง ยั่ง ยืน ข อบเ ข ตเ นื้ อห า ได้แ ก่
การเรียนรู้เรื่องตนเองทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ การเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม
และเรื่องศิลปวัฒนธรรมกลยุทธ์และเครื่องมือการเรียนรู้ เช่น การเรียนรู้ในสถานการณ์จริง การฝึกปฏิบัติ
(learning by doing) การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การฝึกทักษะกระบวนการคิด
3. การเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาทักษะการดารงชีวิตและการประกอบอาชีพ
3. 1 ก า ร เ รี ย น รู้ ที่ มุ่ง พั ฒ น า ทั ก ษ ะ ก า ร ด า ร ง ชี วิ ต ห ม า ย ถึ ง
การเรียนรู้ที่ทาให้ผู้เรียนมีทักษะชีวิตที่สาคัญจาเป็นคือ การรู้จักคิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีความคิดสร้างสรรค์
บทที่ 7
บทที่ 7
บทที่ 7
บทที่ 7
บทที่ 7
บทที่ 7
บทที่ 7
บทที่ 7
บทที่ 7

More Related Content

What's hot

ข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วยภาค ข วิชาฟิสิกส์ ชุดที่6
ข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วยภาค ข วิชาฟิสิกส์ ชุดที่6ข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วยภาค ข วิชาฟิสิกส์ ชุดที่6
ข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วยภาค ข วิชาฟิสิกส์ ชุดที่6Anukun Khaiochaaum
 
รายงานอบรม Ict innovation at korea
รายงานอบรม Ict innovation at  koreaรายงานอบรม Ict innovation at  korea
รายงานอบรม Ict innovation at koreaKobwit Piriyawat
 
R บทที่ 1
R บทที่  1R บทที่  1
R บทที่ 1khuwawa
 
คู่มือบริหารจัดการเวลาเรียน (ปรับปรุงใหม่)
คู่มือบริหารจัดการเวลาเรียน (ปรับปรุงใหม่)คู่มือบริหารจัดการเวลาเรียน (ปรับปรุงใหม่)
คู่มือบริหารจัดการเวลาเรียน (ปรับปรุงใหม่)kroofon fon
 

What's hot (9)

นโยบาย กระทรวงศึกษา 58
นโยบาย กระทรวงศึกษา 58นโยบาย กระทรวงศึกษา 58
นโยบาย กระทรวงศึกษา 58
 
บทที่ 2++77
บทที่  2++77บทที่  2++77
บทที่ 2++77
 
ข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วยภาค ข วิชาฟิสิกส์ ชุดที่6
ข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วยภาค ข วิชาฟิสิกส์ ชุดที่6ข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วยภาค ข วิชาฟิสิกส์ ชุดที่6
ข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วยภาค ข วิชาฟิสิกส์ ชุดที่6
 
รายงานอบรม Ict innovation at korea
รายงานอบรม Ict innovation at  koreaรายงานอบรม Ict innovation at  korea
รายงานอบรม Ict innovation at korea
 
R บทที่ 1
R บทที่  1R บทที่  1
R บทที่ 1
 
1.best practice วิธีสอนศิลปะ 3 สาระด้วย ict
1.best practice วิธีสอนศิลปะ 3 สาระด้วย ict1.best practice วิธีสอนศิลปะ 3 สาระด้วย ict
1.best practice วิธีสอนศิลปะ 3 สาระด้วย ict
 
4 ตอน4 sar57
4 ตอน4 sar574 ตอน4 sar57
4 ตอน4 sar57
 
คู่มือบริหารจัดการเวลาเรียน (ปรับปรุงใหม่)
คู่มือบริหารจัดการเวลาเรียน (ปรับปรุงใหม่)คู่มือบริหารจัดการเวลาเรียน (ปรับปรุงใหม่)
คู่มือบริหารจัดการเวลาเรียน (ปรับปรุงใหม่)
 
ยุทธศาสตร์ กศน ปี 2560
ยุทธศาสตร์ กศน ปี 2560ยุทธศาสตร์ กศน ปี 2560
ยุทธศาสตร์ กศน ปี 2560
 

Similar to บทที่ 7

Similar to บทที่ 7 (20)

7 170819173524
7 1708191735247 170819173524
7 170819173524
 
7 170819173524
7 1708191735247 170819173524
7 170819173524
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
7 170819173524
7 1708191735247 170819173524
7 170819173524
 
7 170819173524
7 1708191735247 170819173524
7 170819173524
 
7 170819173524
7 1708191735247 170819173524
7 170819173524
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
7 170819173524
7 1708191735247 170819173524
7 170819173524
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 
หลักสูตรและวิชาพิเศษลูกเสือ
หลักสูตรและวิชาพิเศษลูกเสือหลักสูตรและวิชาพิเศษลูกเสือ
หลักสูตรและวิชาพิเศษลูกเสือ
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 
หลักสูตรแกนกลาง
หลักสูตรแกนกลางหลักสูตรแกนกลาง
หลักสูตรแกนกลาง
 
B2
B2B2
B2
 

More from kanwan0429

บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11kanwan0429
 
บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10kanwan0429
 
บทที่ 9
บทที่ 9บทที่ 9
บทที่ 9kanwan0429
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7kanwan0429
 
บทที่ 6
บทที่ 6บทที่ 6
บทที่ 6kanwan0429
 
บทที่ 5
บทที่ 5บทที่ 5
บทที่ 5kanwan0429
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4kanwan0429
 
บทที่ 3
บทที่ 3บทที่ 3
บทที่ 3kanwan0429
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2kanwan0429
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1kanwan0429
 
บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10kanwan0429
 
บทที่ 6
บทที่ 6บทที่ 6
บทที่ 6kanwan0429
 
บทที่ 5
บทที่ 5บทที่ 5
บทที่ 5kanwan0429
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4kanwan0429
 
บทที่ 3
บทที่ 3บทที่ 3
บทที่ 3kanwan0429
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2kanwan0429
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1kanwan0429
 

More from kanwan0429 (17)

บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10
 
บทที่ 9
บทที่ 9บทที่ 9
บทที่ 9
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
บทที่ 6
บทที่ 6บทที่ 6
บทที่ 6
 
บทที่ 5
บทที่ 5บทที่ 5
บทที่ 5
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
บทที่ 3
บทที่ 3บทที่ 3
บทที่ 3
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10
 
บทที่ 6
บทที่ 6บทที่ 6
บทที่ 6
 
บทที่ 5
บทที่ 5บทที่ 5
บทที่ 5
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
บทที่ 3
บทที่ 3บทที่ 3
บทที่ 3
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 

บทที่ 7

  • 1. บทที่ 7 การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา มโนทัศน์(Concept) ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่กาหนดขึ้นเป็นการพัฒนาหลักสูตรครบวงจรคือ เริ่มตั้งแต่การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน การร่างหลักสูตร การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร ก า ร น า ห ลัก สู ต ร ไ ป ใ ช้ใ น ส ถ า น ก า ร ณ์ จ ริ ง ร ว ม ทั้ ง ก า ร ป ร ะ เ มิน ผ ล ห ลัก สู ต ร โดยหวังว่าขั้นตอนการพัฒนาห ลักสู ตรที่สมบรู ณ์ที่จะ ทาให้ได้หลักสู ตรมีประสิ ทธิ ภ าพ ซึ่งขั้นตอนในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ประกอบด้วยขั้นตอนสาคัญ 5 ขั้นตอนที่สาคัญ คือ 1. ก า ร ศึ ก ษ า แ ล ะ วิเ ค ร า ะ ห์ ข้อ มูล พื้ น ฐ า น ใ น ด้า น ต่า ง ๆ 2. ก า ร ร่า ง ห ลัก สู ต ร 3. การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร 4. การนาหลักสูตรไปใช้ และ 5. การประเมินผลหลักสูตร ผลการเรียนรู้(Learning Outcome) 1. มีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับหลักสูตรสถานศึกษา 2. สามารถนาความรู้มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาได้อย่างถูกต้อง สาระเนื้อหา(Content) การจัดการศึกษาเท่าที่ผ่านมา โรงเรียนส่วนใหญ่ที่ใช้ตารา เอกสาร รวมทั้งสื่อต่างๆ ที่ จั ด พิ ม พ์ จ า ก ห น่ ว ย ง า น ก ล า ง เ ป็ น ห ลั ก ใ น ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น ถึ ง แ ม้ ว่ า ส ภ า พ บ ริ บ ท แ ล ะ แ ว ด ล้ อ ม โ ร ง เ รี ย น จ ะ แ ต ก ต่ า ง กั น แ ต่เ นื้ อ ห า ส า ร ะ ใ น ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น ก ลั บ เ ห มื อ น กัน ทั่ ว ป ร ะ เ ท ศ อย่าง ไรก็ตามได้มีความพ ยายามใ ห้โรง เ รียน พัฒนาหลักสู ตรดังที่กาหนดไว้ใ นคู่มือ เปิ ดโอกาสให้โรงเ รียน สามารถพัฒนาห ลักสู ตรให้สอดคล้อง กับสภาพ ของท้อง ถิ่น ไ ด้ ทั้ง นี้ เ นื่ อง จากค รู ขา ด ค วา ม รู้ ค ว า มเ ข้าใ จ รวมทั้ง ทัก ษะ ใ น กา รพัฒ น าห ลั ก สู ต ร ข า ด ก า ร ส นั บ ส นุ น จ า ก ผู้ บ ริ ห า ร แ ล ะ ข า ด ก า ร มีส่ ว น ร่ ว ม ข อ ง ค น ใ น ท้ อ ง ถิ่ น การจัดการเรียนการสอนส่วนใหญ่เน้นครูเป็ นศูนย์กลาง เน้นการท่องจามากกว่าปฏิบัติจริง ดังนั้นการเปลี่ยนบทบาทของโรงเรียนจากการเป็นผู้ใช้หลักสูตรที่มีผู้จัดทาให้มาเป็นการพัฒนาหลักสูตรด้ว ย ต น เ อ ง จ า เ ป็ น ต้ อ ง มี ก า ร ฝึ ก อ บ ร ม ใ ห้ บุ ค ล า ก ร ใ น โ ร ง เ รี ย น โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนหรือรู้แบบการพัฒนาหลักสูตรและมีความสามา
  • 2. รถเพียงพอที่จะนาความรู้ไปใช้พัฒนาหลักสูตรด้วยตนเองได้ ทั้งนี้โดยหวังว่าหลักสูตรที่โรงเรียนพัฒนาขึ้น จ ะ ท า ใ ห้ นั ก เ รี ย น ไ ด้ เ รี ย น รู้ เ รื่ อ ง ร า ว ที่ เ ป็ น จ ริ ง ส า มา ร ถ น า ค ว า มรู้ ที่ ไ ด้รั บ จ า ก โ ร ง เ รี ย น มา ใ ช้ป ร ะ โ ย ช น์ ใ น ชี วิต ป ร ะ จ า วัน เล็งเห็นความเชื่อมโยงระหว่างการเรียนรู้กับการนาไปใช้ ก่อให้เกิดความรัก ผูกพันกับชุมชนที่อยู่อาศัย น อกจากนั้ น ยัง เ ป็ น จุ ดเ ริ่ ม ต้น ที่ ดี ของ ค ว า ม สั มพัน ธ์ ระ ห ว่าง ชุม ช น กับโ รง เ รี ย น เ นื่ อ ง จ า ก ห ลั ก ส า คั ญ ข อ ง ก า ร พั ฒ น า ห ลั ก สู ต ร โ ร ง เ รี ย น ก็ คื อ การให้บุคลากรในโรงเรียนและชุมชนร่วมกันตัดสินใจเกี่ยวกับการดาเนินทางหลักสูตร ซึ่งมีทั้งการร่วมคิด ร่วมทา ร่วมประเมินผล เพื่อให้การศึกษาของเยาวชนเป็นไปตามความต้องการของครอบครัว ชุมชน สั ง ค ม แ ล ะ ป ร ะ เ ท ศ ช า ติ สมดังเจตนารมณ์ของการจัดการศึกษาดังที่กาหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 1. ความจาเป็นของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ข้อกฎหมายที่สถานศึกษาต้องไปดาเนินการให้สถานศึกษาหรือโรงเรียนสามารถพัฒนาหลักสูตรไ ด้ เ อ ง ภ า ย ใ ต้ ก ร อ บ ข อ ง ห ลั ก สู ต ร แ ก น ก ล า ง เ ป็ น เ รื่ อ ง ที่ จ ะ ต้ อ ง มี การเตรียมการให้พร้อมเพื่อตอบสนองการประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ไ ด้ ก า ห น ด แ น ว ก า ร จั ด ก า ร ศึ ก ษ า ใ น ม า ต ร า 22 ว่าการจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมี ความสาคัญที่สุดกระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศั กยภาพ และในมาตรา 23กาหนดการจัดการศึกษา ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ต้องเน้นความสามารถทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละระดับการศึกษา ในเรื่องต่อไปนี้ 1. ความรู้เรื่องเกี่ยวกับตนเอง และความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคม ได้แก่ครอบครัว ชุมชน ชาติ แ ล ะ สั ง ค ม โ ล ก รวมถึงความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคมไทยและระบบการเมืองการปกครองในระบอบป ระชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2. ค ว า ม รู้ แ ล ะ ทั ก ษ ะ ด้ า น วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ แ ล ะ เ ท ค โ น โ ล ยี รวมทั้ง ความรู้และ ความเ ข้าใ จและ ประ สบการณ์เ รื่ อง การจัดการ การบารุ ง รักษา การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลยั่งยืน 3. ความรู้เกี่ยวกับศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปัญญาไทย และการประยุกต์ใช้ ภูมิปัญญา 4. ความรู้และทักษะด้านคณิตศาสตร์และด้านภาษา เน้นการใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง 5. ส่งเสริมการสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อม สื่อการเรียน แ ล ะ อ า น ว ย ค ว า ม ส ะ ด ว ก เ พื่ อ ใ ห้ ผู้เ รี ย น เ กิด ก า ร เ รี ย น รู้ แ ล ะ มี ค ว า ม ร อ บ รู้
  • 3. ร ว ม ทั้ ง ส า ม า ร ถ ใ ช้ ใ น ก า ร วิ จั ย เ ป็ น ส่ ว น ห นึ่ ง ข อ ง ก ร ะ บ ว น ก า ร เ รี ย น รู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอน และแหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ 6. จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดา มารดา ผู้ปกครองและบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ จากข้อกาหนดจากมาตรา 22, 23, 24 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2524 นาไปสู่การกาหนดคุณภาพมาตรฐานของผู้จบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งที่ผ่านมาในอดีต กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2544: 4) กาหนดไว้ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 ดังนี้ คือ 1. เ ห็ น คุ ณ ค่ า ข อ ง ต น เ อ ง มี วิ นั ย ใ น ต น เ อ ง ป ฏิ บัติ ต น ต า มห ลัก ธ ร ร มข อ ง พุท ธ ศ า ส น า ห รื อ ศ า ส น า ที่ ต น นั บ ถื อ มีคุณ ธ ร ร ม จริยธรรมและค่านิยมอันพึงประสงค์ 2. ความคิดสร้างสรรค์ ใฝ่รู้ใฝ่เรียน รักการอ่าน รักการเรียน และรักการค้นคว้า 3. มีความรู้อันเป็นสากล ที่เท่าทันการเปลี่ยนแปลงและความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการ มี ทั ก ษ ะ แ ล ะ ศั ก ย ภ า พ ใ น ก า ร จั ด ก า ร ก า ร สื่ อ ส า ร แ ล ะ เ ท ค โ น โ ล ยี ปรับวิธีการคิดวิธีการทางานได้เหมาะสมกับสถานการณ์ 4. มีทักษะและกระบวนการ โดยเฉพาะทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ทักษะการคิดและ การสร้างปัญญา และทักษะในการดาเนินชีวิต 5. รักการออกกาลังกาย ดูแลตนเองให้มีสุขภาพและบุคลิกภาพที่ดี 6. มีประสิทธิภาพในการผลิตและการบริโภค มีค่านิยมเป็นผู้ผลิตมากกว่าผู้บริโภค 7. เข้าใจในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ภูมิใจในความเป็ นไทย เป็ นพลเมือง ดี ยึดมั่นในวิถีและการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 8. มีจิตสานึ กใ น การ อนุ รั กษ์ภ า ษา ไ ทย ศิลปะ วัฒน ธรรม ประ เ พ ณี กีฬ า ภูมิปัญญาไทยทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาสิ่งแวดล้อม 9. รักประเทศชาติและท้องถิ่น มุ่งทาประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามให้สังคม 2. ความหมายของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา สกิลเบ็ก (Skilbeck, 1984: 2) ได้ให้ความหมายของการพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนไว้ว่า หมายถึง ก า ร ว า ง แ ผ น ก า ร อ อ ก แ บ บ ก า ร น า ไ ป ใ ช้ แ ล ะ ก า ร ป ร ะ เ มิ น ผ ล ก า ร ก า ห น ด ก า ร เ รี ย น รู้ ข อ ง นั ก เ รี ย น ด า เ นิ น ก า ร โ ด ย ส ถ า น ศึ ก ษ า เน้นการตัดสินใจร่วมกันระหว่างบุคลากรภายในสถานศึกษา ไม่ใช่กาหนดจากบุคคลภายนอก แฮร์ริสัน (Marshandothers.1990: 48) ให้ความหมายการพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนว่า 1. เ ป็ น แ ผ น ง า น ที่ ส า ม า ร ถ ป รั บ เ ป ลี่ ย น ไ ด้ 2.
  • 4. เ ป็ น สิ่ ง ที่ น า ไ ป ป ฏิ บั ติ ไ ด้ จ ริ ง แ ล ะ มี ผ ล เ กิ ด ขึ้ น กับ บุ ค ค ล ที่ เ กี่ย ว ข้ อ ง จ ริ ง 3. เ ป็ น ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง ไ ด้ รั บ ท ร า บ ทั้ ง 3 ข้ อ มี ค ว า ม เ กี่ ย ว ข้ อ ง กัน เพื่อให้หลักสูตรได้รับการพัฒนาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของผู้เรียนมากขึ้น เอ็กเกิลสตัน (Eggleston, 1980: 7) ได้ให้ความหมายการพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนว่า เป็นการพัฒนาหลักสูตรให้มีความสอดคล้องกับสภาพและความต้องการของนักเรียนในแต่ละโรงเรียน โดยมีการวางแผนนาไปใช้ และประเมินร่วมกัน มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและชุมชน เช่น บุคลากร อาคารสถาน ที่ วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เ ป็ น พัน ธกิจร่วมกัน ระ หว่าง โรง เรี ยน และชุมชน ค รู ไ ด้แ ส ด ง ศัก ย ภ า พ อ ย่า ง เ ต็ มที่ เ ป็ น ห ลัก สู ต ร ที่ โ ร ง เ รี ย น ไ ด้ รั บ ป ร ะ โ ย ช น์ โรงเรียนเป็นผู้ทาให้เกิดสัมฤทธิ์ผลมากกว่าเป็นเพียงเจ้าของหลักสูตร กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2544:28-29) ได้กล่าวถึงการพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนว่า คือพันธกิจหรือภาระหน้าที่ที่สถานศึกษาและชุมชนร่วมกันในการพัฒนาผู้เรียนให้เหมาะสมกับยุคสมัย โดยกาหนดเป็นวิสัยทัศน์ เป้าหมาย มาตรฐานการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เพื่อให้ครูทุกคนนาไปออกแบบการเรียนการสอนมีการวางแผนร่วมกันทั้งสถานศึกษาเป็นหลักสูตรที่ครอบ คลุมภาระงานการจัดการศึกษาทุกด้านของสถานศึกษา สรุป การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาในความหมายต่างๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้นสรุ ปว่า ก า ร พั ฒ น า ห ลั ก สู ต ร คื อ แผนประสบการณ์หรือแผนการจัดการเรียนการสอนที่เกิดจากการตัดสินใจร่วมกันระหว่างบุคลากรทั้งภายใ น แ ล ะ ภ า ย น อ ก ข อ ง โ ร ง เ รี ย น เ พื่ อ ก า ห น ด ก า ร เ รี ย น รู้ ข อ ง นั ก เ รี ย น มีการวางแผนนาไปใช้และประเมินผลร่วมกัน 3. แนวคิดการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา เป็ นแนวคิดภายใต้พื้นฐานของการ บ ริ ห า ร ง า น ที่ ใ ช้ โ ร ง เ รี ย น เ ป็ น ฐ า น ( School- Based Management - SBM) ซึ่งเป็นแนวคิดที่มุ่งให้สถานศึกษามีอิสระและมีความคล่องตัวในการบริหารงานด้านวิชาการ ด้านการเงิน ด้ า น ก า ร บ ริ ห า ร ง า น บุ ค ค ล แ ล ะ ก า ร บ ริ ห า ร ทั่ ว ไ ป เปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจโดยมีความเชื่อว่าการตัดสินใจที่ดีที่สุดจากการตัดสินใจของ คณะบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดและ มีส่วนเกี่ยวข้องกับนักเรียน มากที่สุด ( Wohlsletter, 1995:22-25) แนวคิดนี้เริ่มในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีแบบของบริหารจัดการแตกต่างกันไปตามมลรัฐ และในระหว่าง พ . ศ . 2503- 2522 วงการศึกษาของสหรัฐอเมริกาได้มีการปรับปรุงการดาเนินงานทางการศึกษาเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้ น โดยนาความคิดจากความสาเร็จของการพัฒนาองค์การทางอุตสาหกรรมที่ทาองค์การให้มีประสิทธิภาพในก
  • 5. ารทางาน ส่งผลให้การปฏิบัติงานมีคุณภาพ สร้างผลกาไรและสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าและผู้เกี่ยวข้อง ดัง นั้ น แน วทาง ที่จะ ทาใ ห้คุณภ าพ การศึกษาดีขึ้ น ต้อง ปรับปรุ ง และ พัฒน าองค์การ ก า ร บ ริ ห า ร โ ร ง เ รี ย น เ สี ย ใ ห ม่ มีการกระจายอานาจการบริหารและการจัดการศึกษาไปยังโรงเรียนให้มากขึ้นมีการนาวิชาการบริหารงบประ มาณด้วนตนเอง (Self-Budgeting School) การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา (School-Based Curriculum Development) การพัฒนาบุคลากรโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Student Counseling) เข้ามาใช้ (สานักคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ,2543:12) เซ็น (Chen, H.L.S., 2000:3) กล่าวว่า โดยพื้นฐานแล้วความคิดในการจัดทาหลักสูตรโรงเรียนก็คือ โรงเรียนเป็นที่ที่ดีที่สุดในการออกแบบหลักสูตร เพราะเป็นสถานที่ผู้เรียนและครูมีปฏิสัมพันธ์กัน เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการกระทา และมีผลโดยตรงต่อโรงเรียนและมีส่วนร่วมในการนานวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการศึกษา เพราะเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าการใช้หลักสูตรแกนกลางเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม เพราะไม่ได้คานึงถึงความแตกต่างของโรงเรียนนโยบายที่จะให้โรงเรียนพัฒนาหลักสูตร เ ป็ น การเ ปลี่ยน จากการสั่ง การจากห น่ว ยง าน กลาง มายัง ห น่ว ยปฏิ บัติ ( Top- Down) ม า เ ป็ น ก า ร จั ด ท า จ า ก ห น่ ว ย ป ฏิ บั ติ ขึ้ น ไ ป ( Bottom- Up) ซึ่งเป็นความคิดเช่นเดียวกับการให้โรงเรียนบริหารการจัดการเอง (School-Based Management) แ ล ะ เ ป็ น ค ว า ม คิ ด ที่ น า ม า จ า ก ป ร ะ เ ท ศ ท า ง ต ะ วั น ต ก ดั ง นั้ น การนามาใช้จะต้องนามาปรับให้เหมาะสมด้วยหวังว่าทุกโรงเรียนจะเป็นแกนในการปฏิรูปการศึกษา ค รู ทุ ก ค น เ ป็ น นั ก อ อ ก แ บ บ ห ลั ก สู ต ร ( Curriculum Designer) และทุกห้องเรียนเป็นห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับหลักสูตรใหม่ๆ สาหรับประ เ ทศ ไ ท ยเ อง แน วคิดใ น กา รพัฒน าห ลัก สู ต ร ส ถาน ศึ ก ษ า คื อ ต้อง การกระ จายอาน าจใ ห้กับโรง เ รี ยน สามารถตัดสิ น ใ จเ กี่ยวกับห ลักสู ตรไ ด้เ อ ง เพราะเท่าที่ผ่านมามีปัญหาเกิดขึ้นจากการรวมอานาจการบริหารการศึกษาไว้ที่ส่วนกลางคือที่กระทรวงศึกษ าธิการ ดังที่คณะกรรมการปฏิบัติระบบบริหารการศึกษาในกระทรวงศึกษาธิการกล่าวไว้ว่า ลักษณะเช่นนี้ก่อให้เกิดปัญหาดังนี้ 1. ปัญหาการรวมอานาจไว้ที่ส่วนกลางทาให้เกิดปัญหาคือ 1.1 ก่อให้เกิดความล่าช้าในการอนุมัติ อนุญาต 1. 2 ข า ด ค ว า ม เ ป็ น อิ ส ร ะ ใ น ก า ร คิ ด ก า ร ตั ด สิ น ใ จ ใ น ร ะ ดั บ ล่า ง และระดับปฏิบัติของหน่วยงานในพื้นที่และสถานศึกษา 1.3 การบริ หารและ การตัดสิ น ใ จของ หน่วยง าน ระ ดับล่าง ไ ม่อา จ ท า ไ ด้ ไ ม่ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ ค ว า ม จ า เ ป็ น แ ล ะ ค ว า ม เ ร่ ง ด่ ว น ใ น ก า ร แ ก้ ไ ข ปั ญ ห า และตอบสนองตามความต้องการของนักเรียนและประชาชน หรือชุมชนในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม
  • 6. 1. 4 ท า ใ ห้ สิ้ น เ ป ลื อ ง ง บ ป ร ะ ม า ณ แ ล ะ ท รั พ ย า ก ร เนื่องจากการจัดสรรที่ไม่สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการที่แท้จริง ก า ร ม อ บ อ า น า จ ห รื อ แ บ่ ง อ า น า จ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการบริหารงานตามระเบียบแบบแผนการบริหารการเงิน และการบริหารงานบุคคล ส่วนการมอบอานาจในเรื่องของนโยบายแผนงาน และวิชาการมีเป็นส่วนน้อยคือเพียงร้อยละ 0.4 ของลักษณะงานที่มอบอานาจไปทั้งหมด 2. ปัญหาด้านหลักสูตรและการเรียนการสอน ก็มีการกาหนดและควบคุมจากส่วนการสูงมาก แม้มีความพ ยายามใ ห้สถาน ศึกษาและ ห น่วยง านใน พื้น ที่พัฒนาห ลักสู ตรใน ท้องถิ่น ก็ไม่เกิดผลเท่าที่ควรทั้งนี้เนื่องจาก 2. 1 ก ร อ บ ห ลั ก สู ต ร แ ล ะ ก า ร ป ร ะ เ มิ น ผ ล เป็นสาเหตุสาคัญในการสกัดกั้นการตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตร 2. 2 ค ว า ม วิ ต ก กั ง ว ล ข อ ง ส ถ า น ศึ ก ษ า แ ล ะ ค รู ผู้ ส อ น ที่เกรงว่าจะไม่สามารถดาเนินการได้ครบตามระเบียบและกฎเกณฑ์ดังกล่าว 2.3 รูปแบบการจัดการเรียนการสอนของครูที่ยังยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ส่งเสริมศักยภาพ และความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียน 2.4 ระบบรวมศูนย์ในเรื่องการจัดสรรทรัพยากรเพื่อการเรียนการสอน รวมทั้งการควบคุม จัดสรรและกาหนดคุณลักษณะจากส่วนกลางก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทาให้สถานศึกษามิอาจจัดรายวิชาที่สนองควา มต้องการของนักเรียนและความต้องการชุมชนได้ 3. ปัญหาจากการใช้หลักสูตรเดียวกันทั่วประเทศ ก่อให้เกิดผลต่อผู้ปฏิบัติตามหลักสูตร 3.1 ผู้บริหารโรงเรียนบางส่วนขาดความรู้ ความเข้าใจในหลักสูตร 3.2 ครูไม้เข้าใจหลักการ จุดมุ่งหมายของหลักสูตร 3.3 เนื้อหาวิชามีความยาก ไม่สอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น 3.4 ครูไม่เข้าใจวิธีการจัดการเรียนการสอน จึงจัดการเรียนการสอนที่ยึดครูเป็นศูนย์กลาง 3.5 การจัดส่งเอกสารประกอบหลักสูตรไปยังโรงเรียนมีความล่าช้า ไม่ทันเปิดภาคการศึกษา จานวนที่จัดส่งไปให้ไม่เพียงพอ 4. ปัญหาในการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นก็คือ 4.1 การขาดบุคลากร 4.2 ขาดความร่วมมือและสนับสนุน 4.3 ขาดวิทยากร 4.4 ขาดความรู้ 4.5 ขาดการเก็บรวบรวมข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน 4.6 ครูไม่ปรับหลักสูตรสอนตามหลักสูตรแกนกลาง
  • 7. 4.7 ไม่ปรับปรุงสื่อ เอกสาร 4.8 ครูไม่มีความรู้และขาดทักษะในการดาเนินการ จากรายงานการวิจัยและพัฒนาระบบการประเมินผลภายในของสถานศึกษาพบว่าสถานศึกษาที่มี หลักสูตรและเนื้อหาสาระ ที่เหมาะ สมกับท้อง ถิ่น และ ผู้เรี ยน มีเพียงร้อยละ 27 เท่านั้น ผลที่เกิดขึ้นกับนักเรียนคือ 1. นักเรียนได้เรียนรู้ในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเองและชุมชนและตัวเองอาศัยอยู่น้อยหรืออาจไม่เกี่ยวข้อง 2. ทาให้การเรียนรู้เป็นเรื่องไม่สนุก เพราะประโยชน์ในการนาไปใช้ในชีวิตประจาวันมีไม่มาก ไ ม่ส อ ด ค ล้ อ ง กับ ท ฤ ษ ฎี ก า ร เ รี ย น รู้ เ ช่น ท ฤ ษ ฎี ก า ร เ รี ย น รู้ ปั ญ ญ า นิ ย ม ที่เชื่อว่าการรู้เกิดจากการที่ผู้เรียนเป็นผู้ริเริ่มเป็นผู้กระทาที่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งเร้าผู้เรียนต้องเป็นผู้ลงมือกระ ทา การพัฒนาหลักสูตรระดับชาติ เป็ นหน้าที่ของกรมวิชา การ กระทรวงศึกษาธิการ ส่วน การพัฒน าหลัก สู ตร สถ าน ศึ ก ษา เ ป็ น หน้าที่ของ โรง เ รี ยน ที่ต้อง ดาเ นิ น ก า ร เงื่อนไขสาคัญที่ทาให้การจัดทาหลักสูตรสถานศึกษาประสบความสาเร็จมีดังนี้ (Cohen, 1985:1158) 1. ต้องมีการมอบอานาจส่วนกลางไปยังระดับโรงเรียนในท้องถิ่นในลักษณะการกระจายอานาจ 2. บุคลากรในโรงเรียนมีความยินดีในการมีส่วนร่วมตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตรสถานศึกษาและบุคคลเหล่านั้น มีทักษะในการวินิจฉัยความจาเป็นของนักเรียน 3. บุคลากรมีความสามารถเพียงพอในการรับผิดชอบงานและตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตร เงื่อนไขดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการที่กาหนดให้มี การกระจายอานาจการบริหารไปยังสถานศึกษา ให้สถานศึกษามีอานาจในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้เองซึ่งแนวทางที่กาหนดไว้มีดังนี้ (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2543:3) 1. ยึดโรง เ รี ยน เ ป็ น ศูน ย์กลาง ใ น การตัดสิ น ใ น ( School- Based Decision Making) เ ป็ น แ น ว คิ ด ที่ มุ่ง ใ ห้ โ ร ง เ รี ย น มี อิ ส ร ะ ใ น ก า ร ตั ด สิ น ใ จ ด้ ว ย ตั ว เ อ ง โดยยึดประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้เรียนเป็นสาคัญ 2. ก า ร มีส่ว น ร่ว ม แ ล ะ ก า ร ร่ ว ม คิ ด ร่ ว ม ท า ( Participation and Collaboration) การศึกษาเป็นเรื่องของสาธารณชน มิใช่การรับผิดชอบของใครแต่ฝ่ายเดียวอีกต่อไป 3. การกระจายอานาจ (Decentralization) เป็นการคืนอานาจการจัดการศึกษาให้กับผู้ใกล้ชิดเด็ก ไ ด้ แ ก่ โ ร ง เ รี ย น ผู้ บ ริ ห า ร ก า ร ศึ ก ษ า ค รู ชุ ม ช น เป็นความเชื่อว่าผู้มีส่วนได้เสียต่อการศึกษาหรือผู้ที่อยู่ใกล้เด็กสามารถจัดการศึกษาได้ดีที่สุ ด ตรงตามความต้องการของผู้เรียนและชุมชน อานาจการตัดสินใจควรอยู่ในระดับปฏิบัติคือสถานศึกษา
  • 8. 4. ภ า ร กิ จ ที่ ต ร ว จ ส อ บ ไ ด้ ( Accountability) ต้ อ ง มี ก า ร ก า ห น ด ห น้ า ที่ ความรับผิดชอบและภารกิจของผู้บริหาร ครู อาจารย์ บุคลากรทางการศึกษาและชุมชนอย่างชัดเจน แ ล ะ ภ า ร กิ จ เ ห ล่ า นี้ ต้ อ ง ส า ม า ร ถ ต ร ว จ ส อ บ ค ว า ม ส า เ ร็ จ ไ ด้ เพื่อเป็นหลักประกันคุณภาพการศึกษาให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง 4. ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่จะนามาใช้ดาเนินการการนาแนวคิดและรูปแบบจากพร ะราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ในมาตรา 27 วรรคสองที่กาหนดให้สถานศึกษา ขั้นพื้นฐานมีหน้าที่จัดทาสาระของหลักสูตรที่สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพปัญห าในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะอันพึ่งประสงค์ เพื่อเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ รวมทั้งแนวคิดและรูปแบบของนักพัฒนาหลักสูตร เช่น ไทเลอร์ ทาบา เซย์เลอร์อเล็กซานเดอร์และเลวิส โอลิวา สกิลเบ็กมาร์ช และคณะ เอ็กเกิลสตัน วอล์คเกอร์ และรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของไทย องกรมวิชาการ และ กรมการศึกษานอกโรงเรียน มากาหนดเป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่กาหนดขึ้น เป็นการพัฒนาหลักสูตรครบวงจรคือ เริ่มตั้งแต่การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน การร่างหลักสูตร การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร ก า ร น า ห ลัก สู ต ร ไ ป ใ ช้ใ น ส ถ า น ก า ร ณ์ จ ริ ง ร ว ม ทั้ ง ก า ร ป ร ะ เ มิน ผ ล ห ลัก สู ต ร โดยหวังว่าขั้น ตอน การพัฒนาห ลักสู ตรที่สม บูรณ์ทาให้ได้ห ลักสู ตรที่มีประ สิ ทธิ ภ าพ กล่าวโดยสรุปขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ประกอบด้วยขั้นตอนที่สาคัญ 5 ขั้นตอน ดังนี้คือ ขั้นที่1การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานในด้านต่างๆ ได้แก่ 1.1 ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพและความต้องการของชุมชน 1.2 การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียน 1.3 การวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง ขั้นที่2การร่างหลักสูตร 2.1 การกาหนดจุดประสงค์ของหลักสูตร 2.2 การกาหนดเนื้อหาสาระ 2.3 การจัดการเรียนการสอน กิจกรรมและสื่อต่างๆ 2.4 การกาหนดวิธีวัดและประเมินผลผู้เรียน ขั้นที่3การตรวจสอบคุณภาพหลักสูตร ขั้นที่4การนาหลักสูตรไปใช้ ขั้นที่5การประเมินผลหลักสูตร รายละเอียดในแต่ละขั้นตอนมีดังนี้
  • 9. ขั้ น ที่ 1 ก า ร ศึ ก ษ า แ ล ะ วิ เ ค ร า ะ ห์ ข้ อ มู ล พื้ น ฐ า น ใ น การพัฒน าหลักสู ตรจาเ ป็ น ต้อง ศึกษาและ วิเ คราะ ห์ ข้อมูลพื้น ฐาน ใ น ด้าน ต่า ง ๆ เพื่อใช้ในการกาหนดองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตรซึ่งได้แก่ วัตถุประสงค์ของหลักสูตร เนื้อหาสาระ กิ จ ก ร ร ม ใ น ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น / สื่ อ การวัดและประเมินผลผู้เรียนซึ่งข้อมูลพื้นฐานที่ได้จากการศึกษาช่วยในการกาหนดวัตถุประสงค์หรือการกา หนดสิ่งที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ วัตถุประสงค์จะเป็นตัวกาหนดเนื้อหาสาระที่ควรจัดให้ผู้เรียน ซึ่งอยู่ในลักษณะรายวิชา หลังจากนั้นจึงนามากาหนดกิจกรรมในการจัดการเรียนการสอน สื่อการเรียนรู้ต่างๆ รวมทั้งการกาหนดวิธีการวัดและประเมินผลผู้เรียนว่าจะใช้วิธีการอย่าง ไร ซึ่งการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรควรประกอบด้วย 1.1 การศึกษาสภาพและความต้องการของชุมชน เนื่องจากโรงเรียนที่มีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ ทัก ษ ะ แ ล ะ วัฒ น ธ ร ร ม ข อ ง ชุ ม ช น ช่ว ย เ ต รี ย ม ค น ใ ห้ กับ ชุ มช น แ ล ะ สั ง ค ม ดังนั้นการพัฒนาหลักสูตรเพื่อให้ผู้เรี ยนเป็ นผู้มีความรู้ความสามารถและประ สบ กา รณ์ มีค ว า ม คิ ด ริ เ ริ่ ม ส ร้ า ง ส ร ร ค์ คิ ด เ ป็ น ท า เ ป็ น แ ล ะ เ ป็ น ส ม า ชิ ก ที่ ดี ข อ ง สั ง ค ม จาเป็นต้องทราบข้อมูลเกี่ยวกับสภาพและความต้องการของชุมชนหรือสังคมที่โรงเ รียน ตั้งอยู่ เพื่อให้หลักสู ตรที่พัฒน าขึ้ น มีความทันสมัยเห มาะ สมกับการเ ปลี่ยนแปลงของ ชุมช น การศึกษาสภาพและความต้องการของชุมชนมีการศึกษาในหลายด้าน เช่น การศึกษา สาธารณูปโภค สิ่งแวดล้อม การประกอบอาชีพ ในปัจจุบันและแนวโน้มของอาชีพในอนาคต สุขภาพอนามัย ขน บธรรมเ นี ยมประ เ พ ณี วัฒน ธรรม ค่านิ ยม ทรัพ ยากรต่าง ๆ ปั ญหาของ ชุมช น ข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนอาจศึกษาจากการสารวจสอบถามสัมภาษณ์บุคคลในชุมชน และศึกษาจากเอกสาร รายงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกาหนดแนวทางในการตอบสนองความต้องการของชุมชนในพื้นที่ได้ ข้อมูลของชุมชนที่สาคัญมีดังต่อไปนี้ 1. ข้อมูลสภาพทั่วไปของชุมชน แผนที่ชุมชน แสดงที่ตั้งของสถานที่ต่างๆ เช่น สิ่งสาคัญในชุมชน เช่น วัด โรงเรียน เทศบาล ธนาคาร ฯลฯ รวมทั้งลักษณะการตั้งบ้านเรือนภายในชุมชน ประวัติความเป็นมาและสภาพของชุมชน จานวนประชากร แยกตามเพศ อายุ จานวนครัวเรือน ศาสนา สถานที่ท่องเที่ยว เป็นต้น 2. ข้อมูลด้านการศึกษา จานวนผู้จบการศึกษาในระดับต่างๆ จานวนนักเรียนในระดับต่างๆ เช่น ประถม มัธยม ฯลฯ จานวนครูที่สอนในระดับต่างๆ จานวนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษา เช่น ศึกษานิเทศก์ ฯลฯ 3. ข้อมูลศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของชุมชน ภาษาท้องถิ่น โบราณสถาน โบราณวัตถุภายในชุมชน ดนตรี เพลง การแสดงพื้นบ้านของชุมชน วรรณกรรม ตานานพื้นบ้านของชุมชน
  • 10. 4. ข้อมูลพื้น ฐาน ทางเศรษฐกิจ อาชีพ /รายได้ของคนใน ชุมชน ปฏิทิน การปฏิบัติงานของชุมชน เช่น ช่วงเดือนการเก็บเกี่ยวข้าว ช่วงเวลาการเก็บเงาะ การตัดยาง เป็นต้น รวมทั้งทรัพยากรที่มีในชุมชน เช่น ป่าไม้ แร่ธาตุ แหล่งน้า และพืชเศรษฐกิจหลักของชุมชน 5. ภูมิปัญญาท้องถิ่น ทาเนียบชื่อ ที่อยู่ ความรู้ความสามารถ ความชานาญของ แต่ละบุคคลปัญหาชุมชน 6. ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในชุมชน เช่น ยาเสพติด พืชผลราคาตก โจรผู้ร้ายชุกชุม น อ ก จ า ก า ร ศึ ก ษ า แ ล ะ ส า ร ว จ ส ภ า พ แ ล ะ ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ข อ ง ชุมช น รวมทั้งข้อมูลที่สาคัญของชุมชนแล้ว ต้องมีการสารวจสภาพและความต้องการของผู้เรียน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถได้จากครูในโรงเรียน ผู้ปกครอง และตัวนักเรียนเอง วิธีการศึกษาชุมชน สามารถดาเนินการได้ดังนี้ 1. ศึ ก ษ า จ า ก เ อ ก ส า ร ต่า ง ๆ จัด เ ป็ น ข้อ มูล ทุ ติ ย ภู มิ ( Secondary Data) ซึ่ ง เ ป็ น ข้อ มูล ที่ มีผู้ จั ด พิ มพ์ ห รื อ ร ว บ ร ว มไ ว้อ ยู่ใ น รู ป เ อ ก ส า ร สิ่ ง พิ ม พ์ ต่า ง ๆ เอกสารเหล่านี้สามารถค้นคว้าศึกษาได้จากห้องสมุดจากหน่วยงานต่างๆ ที่รวบรวมจัดเก็บไว้ 2. ศึกษาจาก ก าร ส าร ว จชุมช น จัดเ ป็ น ข้อ มูล ป ฐ มภู มิ ( Primary Data) ซึ่งผู้ต้องการใช้ข้อมูลเป็นผู้เก็บรวบรวมข้อมูลโดยตรงจากชุมชน ทาให้ได้เห็นสภาพที่แท้ จริง และสร้างความสัมพันธ์ อันดีกับชุมชนด้วย ซึ่งการสารวจชุมชนต้องใช้วิธี การต่างๆ กัน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง วิธีการต่างๆได้แก่ การสัมภาษณ์ การสอบถาม และการสังเกตเป็นต้น จ า ก ก า ร ศึ ก ษ า ส ภ า พ แ ล ะ ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ข อ ง ชุ ม ช น นาข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาจัดลาดับความสาคัญ โดยกาหนดเป็นหัวเรื่องที่ต้องการให้นักเรียนได้เรียนรู้ เช่น ในชุมชนมีปัญหายาเสพติด สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ภาวะโลกร้อน มีการทาลายทรัพยากรธรรมชาติ เ ห ล่ า นี้ เ ป็ น ต้ น หรืออาจเป็นเรื่องที่ชุมชนต้องการถ่ายทอดวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนให้กับนักเรียนได้เรียนรู้สิ่งเ หล่านี้ จัดแยกเ ป็ น หมวดหมู่ใ ห้ชัดเ จน ว่า อะ ไรเ ป็ น ปั ญหาเ ร่ง ด่วน ที่ต้อง การแก้ไข หรืออะไรเป็นสิ่งที่ต้องการให้นักเรียนรู้เพื่อสืบทอดวัฒนธรรมของชุมชนในการดาเนินงานขั้นตอนนี้มีความ สาคัญที่ต้องให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชุมชน เช่น ผู้ปกครอง กรรมการโรงเรียน คนในชุมชน รวมทั้งนักเรียนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นร่วมกับครู ผู้บริหารโรงเรียน เพื่อนาไปสู่ข้อสรุปของการจัดลาดับความสาคัญของปัญหา หรือเรื่องราวที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้ 1. 2 ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ ศั ก ย ภ า พ ข อ ง โ ร ง เ รี ย น การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียนเป็นการศึกษาสภาพทั่วไปของโรงเรียนในด้านต่างๆ เช่น บุคลากร ง บ ป ร ะ ม า ณ อุ ป ก ร ณ์ แ ล ะ สื่ อ ต่ า ง ๆ อ า ค า ร ส ถ า น ที่ ห้ อ ง เ รี ย น ปัญหาที่เกิดจากการใช้หลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอน ความร่วมมือระหว่างโรงเรียนกับชุมชน
  • 11. ข้ อ มู ล เ ห ล่า นี้ จ ะ ช่ ว ย ใ น ก า ร พิ จ า ร ณ า ว่า โ ร ง เ รี ย น มี ค ว า ม พ ร้ อ ม ห รื อ ไ ม่ มีผลต่อการตัดสินใจว่าจะเลือกแนวทางการพัฒนาหลักสูตรอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับศักยภาพของโรงเรียน มากที่สุด ข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ ได้จากเ อกสาร รายงานต่างๆ เช่น สถิติของโรง เ รี ยน รายงานการประเมินคุณภาพของโรงเรียน การสารวจภายในโรงเรียน เป็นต้น 1. 3 ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ ห ลั ก สู ต ร แ ก น ก ล า ง เนื่องจากปัจจุบันเป็นระยะเวลาที่เราผ่านการใช้หลักสูตรมาหลายครั้งจนปัจจุบันกาลังจะนาหลักสูตรการศึก ษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มาใช้กับโรงเรียนนาร่องจานวน 555 แห่ง ในปีการศึกษา 2552 แ ล ะ ค า ด ว่า จ ะ น า ม า ใ ช้ ค ร บ ทุ ก ชั้ น ใ น ปี ก า ร ศึ ก ษ า 2 5 5 3 ดั ง นั้ น การวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางใช้แนวทางการวิเคราะห์ดังนี้ 1. หลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533) ให้พิจารณาจาก 1.1 จุดมุ่งหมายของหลักสูตร 1.2 จุดประสงค์รายวิชา (ความมุ่งหวังที่ต้องการ) 1.3 เนื้อหาสาระ (โครงสร้างหลักสูตร) 1.4 กิจกรรมการจัดการเรียนการสอนและการประเมินผลการเรียนรู้ 2. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ให้พิจารณาจาก 2.1 มาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตร 2.2 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้แต่ละช่วงชั้น - 8 กลุ่มสาระ - กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 2.3 การจัดการเรียนรู้ 2.4 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ซึ่งสถานศึกษาแต่ละแห่งควรนาข้อมูลการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานที่ประกอบด้วยการศึก ษ า ส ภ า พ แ ล ะ ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ข อ ง ชุ ม ช น การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียนและการวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง สรุปได้ดังนี้ 1.1 การศึกษาและความต้องการของชุมชน - สภาพทั่วไปของชุมชน - การศึกษา - ศิลปวัฒนธรรม - หัวเรื่อง - หัวเรื่อง - จัดลาดับ
  • 12. - เศรษฐกิจ - ภูมิปัญญาท้องถิ่น - ปัญหาของชุมชน 1.2 การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียน - บุคลากร - งบประมาณ - อุปกรณ์/สื่อต่างๆ - อาคารสถานที่ - ความร่วมมือระหว่างโรงเรียนกับชุมชน 1.3 การวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง 1. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช2544 ให้พิจารณาจากมาตรฐานการ เรียนรู้ของหลักสูตร สาระและมาตรฐานการเรียนรู้แต่ละช่วงชั้น - 8 กลุ่มวิชา - กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน การจัดการเรียนรู้ การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ 2. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ให้พิจารณาจาก ปรับมาตรฐานการเรียนรู้จากหลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้แต่ละช่วงชั้น - 8 กลุ่มวิชา (เท่าเดิม) - วิสัยทัศน์ - พันธกิจ - คุณลักษณะอันพึงประสงค์ - สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน - กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน - กิจกรรมสาธารณประโยชน์ การตัดสินใจพัฒน าหลักสูตรในเรื่อง ใด ข้อกาหนดใ นการร่างห ลักสูตร ข้อกาหนดใ นการร่างหลั กสูตร
  • 13. การจัดการเรียนรู้ การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ ขั้นที่ 2 การร่างหลักสูตร เป็นการกาหนดแผนการจัดประสบการณ์ หรือการกาหนด แนวทางการจัดการเรียนการสอนให้แก่ผู้เรียน ซึ่งประกอบด้วยจุดประสงค์ เนื้อหาสาระ กิจกรรมและวิธี วัดและ ประเมิน ผลผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถ ทักษะ และทัศนคติตามเป้าหมายที่กาหนดไว้ ในการร่างหลักสูตรสถานศึกษาจะต้องนาข้อมูลที่ได้จากการศึกษาในขั้นที่ 1 คือ ข้อมูลพื้นฐานที่จาเป็ น ได้แก่ สภาพและความต้องการของชุมชน ศักยภาพของโรงเรียน หลักสูตรแกนกลางที่กาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้วิชาที่ต้องการพัฒนา ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ คือ 2.1 การกาหนดจุดประสงค์ของหลักสูตร ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ 1. จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ทั่ ว ไ ป เ ป้าห มายห รื อสิ่ ง ที่มุ่ง ห วัง ใ ห้เ กิดกับผู้เรี ยน หลัง จากที่ผู้เรี ยน ได้เรี ยน รู้สิ่ ง นั้น ๆ แล้ว ต้อง น าข้อมูลที่ได้จากการเ ก็บรวบรวมใ น ขั้น ที่ 1 มากาห น ดเ ป็ น จุดประ สง ค์ทั่วไป ต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลาง การกาหนดจุดประสงค์ต้องเขียนด้วยภาษาที่ชัดเจน เข้าใจง่ายและสามารถนาไปปฏิบัติได้จริงภายใต้ศักยภาพของแต่ละสถานศึกษา ตัวอย่าง การกาหนดจุดประสงค์ทั่วไปของหลักสูตร “การทาผลไม้แปรรูป คือ ให้นักเรียนมีความรู้และทักษะในการทาผลไม้แปรรูป” 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ - บอกความหมายของ “ผลไม้แปรรูป” ได้ - สามารถทาผลไม้แปรรูปได้ - มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพการทาผลไม้แปรรูป - สามารถบรรจุหีบห่อที่สวยงามได้ - สามารถตั้งราคาขายที่เหมาะสมได้ ฯลฯ 2.2 การกาหนดเนื้อหาสาระ เนื้อหาสาระเป็นองค์ประกอบที่สาคัญในการพัฒนาหลักสูตร ทั้งนี้เนื่องจากเนื้อหาสาระเป็นเครื่องมือหรือสื่อกลางที่จะพาผู้เรียนไปยังวัตถุประสงค์ที่ วางไว้ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาใช้เนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องกับชุมชนที่เป็นบริบทของโรงเรียนให้สอดคล้องกั บ จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ที่ ว า ง ไ ว้ มีความยากง่ายสอดคล้องเหมาะสมกับวัยหรือลาดับขั้นของการพัฒนาการทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมทั้งประสบการณ์เดิมของผู้เรียน มีประโยชน์ต่อผู้เรียนที่จะนาไปใช้ในชีวิตประจาวัน เนื้อหาที่เลือกมาสามารถจัดให้ผู้เรียนได้โดยพิจารณาถึงความพร้อม ศักยภาพของโรงเรียน
  • 14. บุคลากรที่เป็นผู้สอน วัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ ตัวอย่างการพัฒนาหลักสูตร “การทาผลไม้แปรรู ป” ประกอบด้วยเนื้อหาสาระดังนี้ - ลักษณะและชนิดของผลไม้ที่นามาแปรรูป - ขั้นตอนการทาผลไม้แปรรูป - การทาความสะอาดเครื่องใช้ - การบรรจุหีบห่อ - การตั้งราคาขาย ฯลฯ 2.3 การจัดการเรียนการสอน กิจกรรมและสื่อการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนการสอน คือ กิจกรรมที่ทั้งผู้เรียนเป็นผู้กระทา และกิจกรรมที่ผู้สอนเป็นผู้กระทา มีการใช้สื่อการเรียนการสอนต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้กิจกรรมในการจัดการเรียนการสอน การบรรยาย การสาธิต ผู้เรียนมีการซักถามโต้ตอบ การลงมือปฏิบัติ ซึ่งสอดคล้องกับจุดประสงค์และเนื้อหาสาระที่กาหนดขึ้น ค รู ต้ อ ง ค า นึ ง ถึ ง พื้ น ฐ า น แ ล ะ ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ เ ดิ ม ข อ ง ผู้ เ รี ย น การกาหนดกิจกรรมการเ รียน การสอน ต้อง สอดคล้อง กับประ สบการณ์เ ดิมของผู้เ รี ยน ซึ่ ง อ า จ มีก า ร น า สื่ อ ทั้ ง ใ น ด้า น วัส ดุ อุ ป ก ร ณ์ แ ล ะ บุ ค ค ล ส ถ า น ที่ ที่ อ ยู่ใ น ชุมช น เ ข้ามากาหน ดเ ป็ น กิจกรรมที่เ ป็ น รู ปธรร ม เ พื่อใ ห้การเ รี ยน รู้เ ชื่อมโยง กับชุมช น ส่งผลต่อการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้เรียนอันเนื่องมาจากการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่กาหนดไว้ได้ กิจกรรมการเรียนการสอน ได้แก่ กิจกรรมในลักษณะต่อไปนี้คือ ศึกษา ทดลอง สารวจ ฝึ กปฏิบัติ วิเคราะห์ อภิปราย สัมมนา ระดมความคิด ฯลฯ ตัวอย่างกิจกรรม “ศึกษา” ได้แก่ (กรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ , 2539: 9) - ฟังคาอธิบายจากครู - ค้นคว้าจากห้องสมุดของโรงเรียน - ค้นคว้าจากแหล่งวิทยาการอื่นๆ - เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในท้องถิ่นมาบรรยาย - ออกไปสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เกี่ยวข้องในท้องถิ่น - ออกไปสารวจดูสภาพจริงในพื้นที่ - สังเกตสิ่งแวดล้อมรอบข้าง - ออกไปทัศน์ศึกษา - รวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ - นาหรือพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ ฯลฯ
  • 15. น อ ก จ า ก ก า ร จั ด กิ จ ก ร ร ม ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ ล้ ว ครูยังสามารถจัดทาสื่อการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์ที่กาหนดไว้โดยการจัดสื่อต่างๆ เพื่อใช้ประกอบการจัดการเรียนการสอนได้ดังนี้ (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ , 2539: 17-18) 1. หนังสือเรียน เป็ นหนังสือที่กระทรวงศึกษาธิการกาหนดให้ใช้สาหรับการเรียน มีสาระตรงตามที่ระบุไว้ในหลักสูตรอย่างถูกต้อง อาจมีลักษณะเป็นเล่ม เป็นแผ่นหรือเป็นชุดก็ได้ 2. คู่ มื อ ค รู แ ผ น ก า ร ส อ น แ น ว ก า ร ส อ น ห รื อ เ อ ก ส า ร อื่ น ๆ ที่จัดทาขึ้นเพื่อช่วยครูในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแต่ละรายวิชาให้เป็นไปตามจุดประสงค์ของหลัก สูตร 3. ห นั ง สื อ เ ส ริ ม ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ เป็ นหนังสือที่จัดทาขึ้น โดยคานึ งถึง ประ โยชน์ใน ด้าน การศึกษาห าความรู้ของ ตน เ อง ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ความซาบซึ้งในคุณค่าของภาษา การเสริมสร้างทักษะและนิสัยรักการอ่าน การเ พิ่มพูน ค ว า ม รู้ ความเ ข้าใ จใ น สิ่ ง ที่ เ รี ยน รู้ ตา ม ห ลักสู ต รใ ห้ ก ว้าง ข ว า ง ขึ้ น ห นั ง สื อ ป ร ะ เ ภ ท นี้ โ ร ง เ รี ย น ค ว ร จัด ห า ไ ว้บ ริ ก า ร ค รู แ ล ะ นัก เ รี ย น ใ น โ รง เ รี ยน หนังสือเสริมประสบการณ์จาแนกออกเป็น 4 ประเภท คือ 3. 1 ห นั ง สื อ อ่ า น น อ ก เ ว ล า เป็นหนังสือที่กระทรวงศึกษาธิการกาหนดให้ใช้ในการเรียนวิชาใดวิชาหนึ่งตามหลักสูตรนอกเหนือจากหนั ง สื อ เ รี ย น ส า ห รั บ ใ ห้ นั ก เ รี ย น อ่ า น น อ ก เ ว ล า เ รี ย น โดยถือว่าเป็นกิจกรรรมการเรียนเกี่ยวกับหนังสือนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนตามหลักสูตร 3. 2 ห นั ง สื อ อ่ า น เ พิ่ ม เ ติ ม เ ป็ น ห นั ง สื อ ที่ มี ส า ร ะ ส า ห รั บ ใ ห้ นั ก เ รี ย น อ่ า น เ พื่ อ ศึ ก ษ า ห า ค ว า ม รู้ เ พิ่ ม เ ติ ม ด้ ว ย ต น เ อ ง ต า มค ว า มเ ห ม า ะ ส มกับ วัย แ ล ะ ค ว า มส า มา ร ถ ใ น ก า ร อ่า น ข อ ง แ ต่ล ะ บุ ค ค ล หนังสือประเภทนี้เคยเรียกว่าหนังสืออ่านประกอบ 3. 3 ห นั ง สื อ อุ เ ท ศ เป็นหนังสือใช้ค้นคว้าสาหรับอ้างอิงเกี่ยวกับการเรียนโดยมีการเรียบเรียงเชิงวิชาการ 3. 4 ห นั ง สื อ ส่ ง เ ส ริ ม ก า ร อ่ า น เป็นหนังสือที่จัดทาขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เน้นไปในทางส่งเสริมให้ผู้อ่านเกิดทักษะในการอ่าน และ มีนิ สัยรักการอ่าน มาก ยิ่ง ขึ้ น อาจเ ป็ น ห นัง สื อสารคดี น วนิ ยาย นิ ทาน ฯล ฯ ที่มีลักษณะไม่ขัดต่อวัฒนธรรม ประเพณีและศีลธรรมอันดีงาม ให้ความรู้ มีคติและสารประโยชน์ 4. แบบฝึกหัด เป็นสื่อการเรียนสาหรับให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ เพื่อช่วยเสริมให้เกิดทักษะ และความแตกฉานในบทเรียน 5. สื่อการเรียนการสอนอื่นๆ เช่น สื่อประสม วีดีทัศน์ แถบบันทึกเสียง ภาพพลิก แผ่นภาพ เป็นต้น
  • 16. สื่ อการเ รี ยน การสอน ดังกล่าวข้างต้น โรง เ รี ยน สามารถเลือกใช้ ปรับปรุ ง หรือจัดทาขึ้นเพื่อใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ตามความเหมาะสม 2.4 การกาหน ดวิธี วัดและ ประเมิน ผลผู้เรียน เ นื่ องจากการพัฒนาหลักสูตร จุดประสงค์ชัดเจนที่กาหนดความคาดหวังในคุณลักษะต่างๆ ที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน ร ว ม ทั้ ง วิ ธี ก า ร ด า เ นิ น ก า ร เ พื่ อ ใ ห้ บ ร ร ลุ จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ที่ ก า ห น ด ไ ว้ การที่ผู้ใช้หลักสูตรหรือครูทราบว่าผลที่เกิดจากการจัดการเรียนการสอนเป็นอย่างไร มีส่งใดที่ต้องปรับปรุง แ ก้ไ ข ผู้ เ รี ย น ไ ด้ บ ร ร ลุ ต า ม จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ที่ ตั้ ง ไ ว้ห รื อ ไ ม่เ พี ย ง ใ ด นั้ น ต้องมีวิธีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน รวมทั้งเครื่องมือที่ใช้วัดและประเ มิน ผล ซึ่งการวัดและประเมินต่อผู้สอนที่ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของผู้เรียนรวมทั้งตัวผู้สอนเองช่วยให้ผู้สอนทราบคุ ณ ภ า พ ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น ซึ่ ง ร ว ม ถึ ง คุ ณ ภ า พ ข อ ง ห ลั ก สู ต ร น า ไ ป สู่ ก า ร ป รั บ ป รุ ง ห ลั ก สู ต ร ใ ห้ เ ห ม า ะ ส ม ยิ่ ง ขึ้ น ซึ่ ง ก า ร วัด แ ล ะ ป ร ะ เ มิ น ผ ล ผู้ เ รี ย น มี ทั้ ง ก่อ น ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น ระหว่างและสิ้นสุดการจัดการเรียนการสอน แล้วแต่ความเหมาะสม ขั้นที่ 3 การตรวจสอบคุณภาพข องหลักสู ตร เมื่อร่างหลักสู ตรเรี ยบร้อย แ ล้ว ก่อนที่จะนาไปใช้กับนักเรี ยน จาเป็ นต้องมีการตรวจสอบคุณภาพ ของ หลักสู ต รก่อน เ พื่ อ ห า ข้ อ บ ก พ ร่ อ ง แ ล ะ ป รั บ ป รุ ง แ ก้ไ ข ใ ห้ เ ห ม า ะ ส ม แ ล ะ ส ม บู ร ณ์ ที่ สุ ด สิ่งที่ต้องพิจารณาในการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรคือ ความสอดคล้องขององค์ประกอบต่างๆ ได้แก่ จุดประสงค์ เนื้อหาสาระ การจัดการเรียนการสอน กิจกรรมและสื่อการเรียนรู้ วิธีวัดและประเมินผลผู้เรียน ซึ่งวิธีการตรวจสอบกระทาได้โดย 1. คณะทางานร่างหลักสูตร เป็ นกลุ่มบุคคลที่พัฒนาหลักสูตรขึ้นมา เช่น คณะครู ผู้บริหารผู้ปกครอง คนในชุมชน เป็นผู้ให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ 2. ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น ด้านเนื้อหาสาระ ด้านสื่อการเรียนรู้ ด้านหลักสูตรและการสอน เป็นผู้ให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ 3. การรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจอยู่ในลักษณะของการจัดประชุม/สัมมนา เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อนาสู่การปรับปรุงหลักสูตร ขั้ น ที่ 4 ก า ร น า ห ลั ก สู ต ร ไ ป ใ ช้ หลังจากที่มีการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรละปรับปรุงแก้ไขหลักสูตรที่ร่างขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว ขั้ น ต่อ ไ ป คื อ ก า ร น า ห ลัก สู ต ร ไ ป ใ ช้ ซึ่ ง เ ป็ น ขั้ น ต อ น ที่ มี ค ว า ม ส า คั ญ ม า ก ค รู ที่ เ ป็ น ผู้ป ฏิ บั ติ ก า ร ห ลัก ใ น ก า ร พัฒ น า ห ลั ก สู ต ร เ ป็ น ผู้น า ห ลัก สู ต ร ไ ป ใ ช้ ด้วยการแ ปล ง ห ลัก สู ต รไ ป สู่กา ร สอ น ครู กาหน ดวิธี กา ร จัดก า รเ รี ยน กา ร ส อ น กาห น ดรายละ เ อียดกิจกรรมใ น แต่ละ คาบ พ ร้อมทั้ง จัดเ ตรี ยมวัส ดุอุ ปกร ณ์ ต่า ง ๆ
  • 17. ก า ร ป ร ะ ส า น ง า น กับ บุ ค ค ล ที่ จ ะ เ ข้ า ม า ช่ว ย ใ ห้ ผู้ เ รี ย น เ กิ ด ก า ร เ รี ย น รู้ รวมทั้งการจัดเตรียมสื่อการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสภาพของชุมชน ภาพประกอบ 26สรุปดังนี้ ภาพประกอบ 26 สรุปขั้นตอนการนาหลักสูตรไปใช้ จากภาพสรุปข้างต้นพบว่า การนาหลักสูตรไปใช้ สิ่งที่ต้องคานึงถึงสิ่งแรกคือ จุดประสงค์ของหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมากาหนดไว้ว่าอย่างไรหลังจากนั้นจึงพิจารณาจุดประสงค์เชิงพฤติกรร มที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนนามาสู่การจัดการเรียนการสอน/กิจกรรมในแต่ละคาบและในการจัดกิจกรร มจาเป็นต้องคานึงถึงสื่อที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ซึ่งสื่อการเรียนรู้ได้แก่ เอกสาร/ตารา แบบฝึกหัด โสตทัศนูปกรณ์ ต่างๆ นอกจากนั้นยังสามารถเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ เช่น จากบุคคลได้แก่ ครู วิทยากรในและนอกชุมชน สถาบันทางสังคม ได้แก่ โรงเรียน กลุ่มโรงเรียน สมาคมต่างๆ ธนาคาร/มูลนิธิ ฯลฯ หรือเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่อยู่ตามธรรมชาติ ได้แก่ ป่าไม้ แม่น้า ลาคลอง ทะเล ภูเขา เหล่านั้นเป็นต้น เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการจัดการเรียนการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ . ศ . 2542 ต า มมา ต ร า 22 ซึ่ ง บัญ ญัติ ไ ว้ว่า “ ก า ร จัด ก า ร ศึ ก ษ า ต้อ ง ยึ ด หลัง ว่า วิธีและประเมินผลผู้เรียน สื่อการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ จุดประสงค์ของหลักสูตร จุดประสงค์พฤติกรรมหลัก สูตร แผนการเรียนรู้/ กิจกรรมแต่ละคาบ - ระหว่างการจัดการเรียนก ารสอน - สิ้นสุดการจัดการเรียนกา รสอน เอกสาร/ ตารา แบบฝึกหัด โสตทัศนูปกรณ์ บุคคล - ครู - วิทยากร ชุมชน - วิทยากร นอกชุมชน สถาบันทางสังคม - โรงเรียน กลุ่มโรงเรียน - สมาคมต่างๆ - ธนาคาร/มูลนิธิ ฯลฯ สิ่งเกิดเองตาม ธรรมชาติ - ป่าไม้ - แม่น้า/ลาคลอง - ทะเล - ภูเขา ฯลฯ
  • 18. ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุ ด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ” การนาหลักสูตรไปใช้จัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ซึ่งในที่นี้ การเรียนรู้ หมายถึง การปรับเ ปลี่ยน ไปใ น ทาง ที่ดีขึ้ น ( สานักง านคณะ กรรมการศึกษาแห่ง ชาติ ,2542 : 7) การจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ มีดังนี้ (สานักงานคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ,2542 : 9-15) 1 . ก า ร เ รี ย น รู้ โ ด ย ส ร้ า ง อ ง ค์ ค ว า ม รู้ ด้ ว ย ต น เ อ ง ห ม า ย ถึ ง ก า ร เ รี ย น รู้ ที่ เ ป็ น ก ร ะ บ ว น ก า ร ส ร้ า ง ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ แ ล ะ สิ่ ง ต่ า ง ๆ ใ ห้ มี ค ว า ม ห ม า ย ต่ อ ต น เ อ ง จ า ก ป ฏิ สั ม พั น ธ์ กั บ สิ่ ง แ ว ด ล้ อ ม โ ด ย ก า ร ใ ช้ก ร ะ บ ว น ก า ร คิ ด แ ล ะ แ ส ว ง ห า ค ว า มรู้ ค ว บ คู่ไ ป กับ ก า ร ป ฏิ บั ติ จ ริ ง ให้ผู้เรียนค้นพบข้อความรู้และประสบการณ์ด้วยตนเอง ครูเป็นผู้อานวยการเรียนรู้ จัดโอกาส จัดบรรยากาศสิ่งแวดล้อมและแหล่งวิทยาการ ให้เอื้อต่อการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการเรียนรู้ ข อ บ เ ข ต เ นื้ อ ห า ข อ ง ก า ร เ รี ย น รู้ โ ด ย ส ร้ า ง อ ง ค์ ค ว า มรู้ ด้ว ย ต น เ อ ง คื อ การฝึกทักษะกระบวนการคิดวิเคราะห์ การสร้างแรงจูงใจให้เกิดการใฝ่รู้ใฝ่เรียน กลยุทธ์และเครื่องมือการเรียนรู้ เช่น การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม(participatory learning : pl) กระบวนทางปัญญา 10 ขั้น ของ ศ. นพ.ประเวศ วะสี ซึ่งได้แก่การสังเกต การบันทึก การนาเสนอ การฟัง การถาม-ตอบ การตั้งสมมติฐาน การค้นหาคาตอบ การวิจัย การเชื่อมโยง การบูรณาการ และการเรียบเรียง 2. ก า ร เ รี ย น รู้ เ รื่ อ ง ข อ งต น เ อ ง ธ ร ร ม ช า ติ แ ล ะ สิ่ ง แ ว ด ล้ อม ห มา ย ถึ ง ก า ร เ รี ย น รู้ เ พื่ อ เ ชื่อ มโ ย ง ค ว า มสั มพัน ธ์ ร ะ หว่า ง ร่า ง ก า ย แ ล ะ จิ ต ใ จ ข อ ง ตน เ อง การรับรู้และตระหนังในตนเองสามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมให้สอดคล้องกับค่านิยมที่ดีงาม ยึ ด มั่น ใ น คุ ณ ธ ร ร ม จ ริ ย ธ ร ร ม มี ค ว า ม เ พี ย ร พ ย า ย า ม ใ น ก า ร ท า ค ว า ม ดี ก า ร เ ส ริ ม ส ร้ า ง ลั ก ษ ณ ะ นิ สั ย แ ล ะ สุ น ท รี ย ภ า พ ค ว า ม ดี ง า ม ใ น ต น เ อ ง การเรียนรู้เพื่อให้สามารถดารงชีวิตอยู่ได้อย่างสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม การตระหนักถึงคุณค่า และ พัฒน าคุณภ าพ ของ ธรร มช า ติ สิ่ ง แว ด ล้อ ม อย่าง ยั่ง ยืน ข อบเ ข ตเ นื้ อห า ได้แ ก่ การเรียนรู้เรื่องตนเองทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ การเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และเรื่องศิลปวัฒนธรรมกลยุทธ์และเครื่องมือการเรียนรู้ เช่น การเรียนรู้ในสถานการณ์จริง การฝึกปฏิบัติ (learning by doing) การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การฝึกทักษะกระบวนการคิด 3. การเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาทักษะการดารงชีวิตและการประกอบอาชีพ 3. 1 ก า ร เ รี ย น รู้ ที่ มุ่ง พั ฒ น า ทั ก ษ ะ ก า ร ด า ร ง ชี วิ ต ห ม า ย ถึ ง การเรียนรู้ที่ทาให้ผู้เรียนมีทักษะชีวิตที่สาคัญจาเป็นคือ การรู้จักคิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีความคิดสร้างสรรค์