More Related Content Similar to Macro Economics c5 นโยบายการเงิน Similar to Macro Economics c5 นโยบายการเงิน (20) More from Ornkapat Bualom More from Ornkapat Bualom (7) Macro Economics c5 นโยบายการเงิน2. ไม่พบส่วนของรูปที่มี ID ความสัมพันธ์ rId3 ในไฟล์นี้
นโยบายการเงิน
การเงิน
1.วิวัฒนาการของเงิน
2.อุปสงค์อุปทานและดุลยภาพของเงิน
ตลาด
การเงิน
1.บทบาทและความสําคัญ
ของตลาดการเงิน
2.สถาบันการเงิน
นโยบาย
การเงิน
1.ความหมายของนโยบาย
การเงิน
2.เครื่องมือนโยบายการเงิน
การประยุกต์ใช้
นโยบายการเงิน
1.นโยบายการเงินที่ส่งผล
กระทบต่อระบบเศรษฐกิจ
4. “เงิน” ถือเป็ นสื่อกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกัน และเป็ นที่ยอมรับใน
การชําระหนี้ได้ตามกฎหมาย
หน้าที่ของเงิน
◦ เป็ นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
◦ เป็ นเครื่องวัดมูลค่า
◦ เป็ นมาตรฐานในการชําระหนี้ในอนาคต
◦ เป็ นเครื่องสะสมมูลค่า
ชนิดของเงิน
1. เงินเหรียญกษาปณ์ ทําจากโลหะหลายชนิดเช่น ทองคํา โลหะเงิน ดีบุก นิเกิ้ล เป็ นต้น ออก
โดยกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง
2. เงินกระดาษ ทําจากวัสดุที่เป็ นกระดาษ ออกโดยธนาคารกลาง
3. เงินฝากในระบบบัญชีธนาคาร เงินฝากในระบบบัญชีธนาคารเป็ นการสัญญาว่าผู้มีอํานาจ
เต็มของธนาคาร
5. วิวัฒนาการของเงิน
◦ ปี 6000 B.C. : ระบบการแลกเปลี่ยนแบบของต่อของ (barter
system) คือ การแลกเปลี่ยนของตามที่ตกลงกัน
◦ ปี 1000 B.C. :เหรียญโลหะ (metal coins) และ หอยเบี้ย (shell
money)
◦ ปี 806 : เงินกระดาษ และ ธนบัตร (paper money)
◦ ปี 1816 : อังกฤษเป็ นประเทศแรกที่ได้รับมาตรฐานทองคําอย่างเป็ น
ทางการในปี 1816 และต่อมาสหรัฐอเมริกาได้ประกาศใช ้มาตรฐาน
ทองคํา ในปี 1900
◦ ปี 1950 :บัตรเครดิต (นาย แฟรงค์แมคนามารา ได้ร่วมมือกับ
ทนายความ นาย ราล์ฟ ชไนเดอร ์สร ้างบัตร ไดเนอร ์สคลับ เพื่อใช ้ซื้อ
สินค้าและบริการแทนการชําระเงินสด ภายหลังได้มีบริษัท American
Express และ Visa เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวที่
จะต้องเดินทางไปต่างประเทศ โดยไม่ต้องพกเงินสดจํานวนมาก)
◦ ปี 1994 : ธนาคารต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา ได้เริ่มมีการศึกษาในระบบ
online banking
◦ ปี 2009 : บิทคอยน์ (Bitcoin: BTC) คือสกุลเงินดิจิทัลตัวแรกที่ถูก
สร ้างขึ้นในปี 2009 โดยผู้ที่ไม่ประสงค์ออกนามหรือกลุ่มคนที่ไม่
ประสงค์ออกนาม โดยใช ้นามแฝงว่า ซาโตชิ นากาโมโตะ
6. ค่าของเงิน
ค่าของเงิน หมายถึง ความสามารถหรืออํานาจซื้อ(Purchasing
Power) ของเงินแต่ละหน่วยที่จะนําออกมาเพื่อจับจ่ายใช ้สอยสําหรับการซื้อ
สินค้าและบริการ (Good and Services) ในระบบเศรษฐกิจ
“ค่าของเงินเปลี่ยนแปลงเป็ นส่วนสัมพันธ์โดยตรงกับอํานาจซื้อ”
ค่าของเงิน สามารถแบ่งออกได้เป็ น 2 ชนิด
1. ค่าของเงินภายใน(Internal Value)
2. ค่าของเงินภายนอก(External Value)
7. ปริมาณเงิน หรือ อุปทานของเงิน
(Supply of Money: Ms)
1. ปริมาณเงินในความหมายแคบ (Norrow : M1)
◦ ปริมาณเงินทั้งหมด หมายถึง ปริมาณของเหรียญกษาปณ์ ธนบัตร และเงินฝากกระแส
รายวัน ซึ่งอยู่ในมือของมหาชน(ประชาชน และองค์กรธุรกิจ) ในขณะใดขณะหนึ่ง
2. ปริมาณเงินในความหมายกว้าง (Broad Money : M2)
◦ ปริมาณเงินทั้งหมด หมายถึง ปริมาณของเหรียญกษาปณ์ ธนบัตร เงินฝากกระแสรายวัน
เงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจําในระบบธนาคารพาณิชย์รวมกันทั้งหมดที่ออกมา
ใช ้หมุนเวียนอยู่ในมือประชาชนในขณะใดขณะหนึ่ง
◦ ปริมาณเงินทั้งหมด (M3) หมายถึง ปริมาณของเหรียญกษาปณ์ ธนบัตร เงินฝากกระแส
รายวัน เงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจําในระบบธนาคารพาณิชย์เงินฝากประจําใน
สถาบันการเงินทุกประเภท เงินฝากที่เป็นเงินตราต่างประเทศ และตั๋วสัญญาใช ้เงินของ
บริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่รวมกันออกใช ้ในท้องตลาดในขณะใดขณะหนึ่ง
8. ◦ ปริมาณเงิน ( ก.พ. 2563 / หน่วย: ล้านบาท)
ปริมาณเงินความหมายกว้าง (1+2) (หน่วย: ล้านบาท)
1. ปริมาณเงินความหมายแคบ (1.1+1.2) 2,225,133
1.1 เงินสดที่ไม่อยู่ในมือสถาบันรับฝากเงินและรัฐบาล 1,608,614
1.2 เงินรับฝากกระแสรายวันที่สถาบันรับฝากเงิน 616,518
2. เงินรับฝากที่มีสภาพคล่องสูงกึ่งเงินสด (2.1+2.2) 18,703,620
2.1 เงินรับฝากประเภทอื่นที่สถาบันรับฝากเงิน 18,644,145
2.2 ตราสารหนี้ 59,475
ที่มา:ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ:
1/ ธปท.ได้ revised ข้อมูลปริมาณเงินความหมายกว้างตามนิยามใหม่โดยรวมตั๋วแลกเงินที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ เงินรับฝากของสหกรณ์ออม
ทรัพย์ และมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนรวมตลาดเงิน
2/ เพิ่มข้อมูลของบริษัทเครดิตฟองซิเอร ์(บค.) ตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 เป็ นต้นไป
https://www.bot.or.th/App/BTWS_STAT/statistics/ReportPage.aspx?reportID=7&language=th
9. 1. ปริมาณเงินความหมายแคบ 2,225,133
1.1 เงินสดที่ไม่อยู่ในมือสถาบันรับฝากเงินและรัฐบาล 1,608,614
ธนบัตรที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 1,832,884
เหรียญกษาปณ์ที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 77,891
หัก: เงินสดในมือรัฐบาล 1,546
หัก: เงินสดในมือสถาบันรับฝากเงิน 300,615
ในมือธนาคารพาณิชย์ 254,352
ในมือบริษัทเงินทุน 1
ในมือธนาคารเฉพาะกิจ 45,928
ในมือสหกรณ์ออมทรัพย์ 334
ในมือกองทุนรวมตลาดเงิน (MMMFs) 0
ปริมาณเงิน ( ก.พ. 2563 / หน่วย: ล้านบาท)
10. การหมุนเวียนของเงิน และ การกําหนดปริมาณเงิน
การหมุนเวียนของเงิน คือ การที่เงินถูกใช ้จ่ายเปลี่ยนมือกันไปเรื่อยๆ
การหมุนเวียนของเงินมีผลกับปริมาณเงินที่ออกใช ้ คือ ทําให้เกิดการใช ้จ่าย
เกินกว่าปริมาณเงินที่ออกใช ้หลายเท่า ถ้ามีการหมุนเวียนของเงินเร็วกว่าการ
ขยายตัวของระบบเศรษฐกิจอาจทําให้เกิดเงินเฟ้ อได้
ตลาดเงินมีความสัมพันธ์กับตลาดผลผลิตในการขยายความเจริญทาง
เศรษฐกิจ ด้วยการขยายการลงทุนและการจ้างงาน ดังนั้น ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยต้องดูแลปริมาณเงินให้มีขนาดที่เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจใน
ขณะนั้น โดยการควบคุมอัตราการขยายตัวของปริมาณเงิน
11. ทฤษฎีปริมาณเงิน (The Quantity Theory of Money)
ทฤษฎีปริมาณเงินถูกสร ้างขึ้นมาเพื่ออธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่าง
ปริมาณเงินกับระดับราคา
ทฤษฎีปริมาณเงินในรูปแบบของสมการการแลกเปลี่ยน(The
Equation of Exchange )โดย เออวิงฟิชเชอร ์ เป็ นทฤษฎีปริมาณเงินที่
ดัดแปลงมาจากทฤษฎีปริมาณเงินแบบดั้งเดิมโดยเพิ่มอัตราหมุนเวียน และ
ปริมาณของสินค้าในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆ
12. “ยอดรายจ่ายของผู้ซื้อจะเท่ากับยอดรายรับของผู้ขายเสมอ”
MV = PT หรือ P = MV/T
โดยมี
M = ปริมาณเงินหมุนเวียน
V = อัตราความเร็วในการหมุนเวียนของเงิน (คงที่)
(จํานวนครั้งที่เงินแต่ละหน่วยโดยเฉลี่ยแล้วถูกนําไปใช ้ในรายการ
แลกเปลี่ยนทุกชนิดในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง )
P = ระดับราคาสินค้า
T = ปริมาณของสินค้าซึ่งขายกันในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆ(คงที่)
14. ความต้องการถือเงิน หรือ อุปสงค์ของเงิน
(Demand for Money :Md)
จํานวนของความมั่งคั่งที่ทุกๆคนในระบบเศรษฐกิจต้องการถือครอง
เอาไว้ในรูปของ “เงิน” เรียกว่า อุปสงค์ของเงิน
บุคคลจะจัดสรรการถือสินทรัพย์ของตนออกเป็ น 2 ส่วนคือ
(1) การถือเงิน (Money) ซึ่งไม่ได้รับผลตอบแทน แต่ไม่ขาดทุนจากราคา
ลดลง (ยกเว้น กรณีเกิดเงินเฟ้ อ)
(2) พันธบัตร (Bond) ซึ่งเป็ นสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทน แต่อาจขาดทุน
จากราคาสินทรัพย์นั้นลดลง
15. ความต้องการถือเงิน
ความต้องการถือเงิน/แรงจูงใจการถือเงิน แบ่งออกเป็ น 3 ประเภทคือ
(1) ความต้องการถือเงินเพื่อจับจ่ายใช้สอย (Transaction Demand for Money)
(2) ความต้องการถือเงินเพื่อใช้จ่ายในยามฉุกเฉิน (Precautionary Demand for Money)
(3) ความต้องการถือเงินเพื่อการเก็งกําไร (Speculative Demand for Money)
ความต้องการถือเงิน รายได้ Y อัตราดอกเบี้ย r
เพื่อใช ้จ่ายในชีวิตประจําวัน L1 Y เพิ่ม L1 เพิ่ม rเพิ่ม L1 ลด
เพื่อใช ้จ่ายยามฉุกเฉิน L2 Y เพิ่ม L2 เพิ่ม rเพิ่ม L2 ลด
เพื่อเก็งกําไร Ls Y เพิ่ม Ls เพิ่ม rเพิ่ม Ls ลด
18. ภาวะเงินเฟ้ อ (Inflation)
ภาวะเงินเฟ้อ หมายถึง การที่ระดับของราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไป (General Price Level )
เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว (High Price ) และต่อเนื่อง
ระดับราคาสินค้าโดยทั่วไปเปลี่ยนแปลงอย่างไรวัดได้โดยดัชนีราคา ซึ่งดัชนีราคามี 3 ประเภท คือ
◦ ดัชนีราคาขายส่ง
◦ ดัชนีราคาผู้ผลิต
◦ ดัชนีราคาผู้บริโภค (ดัชนีราคาขายปลีก)
นักเศรษฐศาสตร ์มักใช ้ดัชนีราคาผู้บริโภคเป็ นตัววัดภาวะเงินเฟ้ อ เพราะดัชนีราคาผู้บริโภคสะท้อน
ให้เห็นอํานาจซื้อ
อัตราเงินเฟ้อปีที่ต้องการทราบ=
𝐶𝐶𝐶𝐶𝐶𝐶 ปีที่ต้องการ −𝐶𝐶𝐶𝐶𝐶𝐶 ปีก่อน ×100
𝐶𝐶𝐶𝐶𝐶𝐶 ปีก่อน
19. ลักษณะเงินเฟ้ อ
◦ เงินเฟ้ ออย่างอ่อน ระดับราคาสินค้าโดยทั่วไปสูงขึ้นไม่มากนัก ประมาณ 1-5 % ต่อปี
เงินเฟ้ อระดับนี้เป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการมีความมั่นใจเพราะระบบ
เศรษฐกิจมีกําลังซื้อ การบริโภคขยายตัว
◦ เงินเฟ้ อปานกลาง ระดับราคาสินค้าโดยทั่วไปขึ้นสูงประมาณ 6-20 %ต่อปี ทําให้
เกิดความเดือดร ้อนแก่ประชาชน ถ้ารัฐบาลไม่ใช ้มาตราการทางด้านการเงินการคลัง
แก้ไขปัญหาอาจทําให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจในอนาคต
◦ เงินเฟ้ อรุนแรง ระดับราคาสินค้าโดยทั่วไปขึ้นสูงเกิน 20 %ต่อปี การสูงขึ้นของระดับ
ราคาสินค้าจะรวดเร็วมาก เป็นผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจ เงินจะไม่สามารถทําหน้าที่
ของเงินทั้งสี่ประการอีกต่อไป
20. สาเหตุการเกิดเงินเฟ้ อ
1. ภาวะเงินเฟ
้ อที่เกิดจากแรงดึงของอุปสงค์(Demand Pull Inflation )
หมายถึง ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น เนื่องมาจากความต้องการซื้อรวม มีปริมาณ
มากกว่าจํานวนสินค้าและบริการที่เสนอขายรวม
◦ อุปสงค์มวลรวมเพิ่มขึ้น
◦ ปริมาณเงินเพิ่มขึ้น จากการพิมพ์ธนบัตร แลพเหรียญเพิ่มขึ้น
AD > AS(สินค้าขาดแคลน) P สูงขึ้นเรื่อยๆ (เงินเฟ้อ)
21. สาเหตุการเกิดเงินเฟ้ อ
2. ภาวะเงินเฟ
้ อที่เกิดจากแรงผลักดันของอุปทาน (Cost Push Infation )
หมายถึง ถาวะเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบทําให้ระดับของราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไป
เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมีสาเหตุจาก
◦ ค่าจ้างเพิ่ม
◦ ต้องการกําไรเพิ่ม
AD คงที่ ต้นทุน สูงขึ้น AS ลดลง(สินค้าขาดแคลน) P สูงขึ้นเรื่อยๆ (เงินเฟ้อ)
22. สาเหตุการเกิดเงินเฟ้ อ
3. ภาวะเงินเฟ
้ อจากสาเหตุอื่น
◦ โครงสร ้างอุปสงค์เปลี่ยนแปลง
◦ การค้าระหว่างประเทศ
• การนําเข้าสินค้าที่มีผลต่อต้นทุนการผลิต เช่น นํ้ามัน
• การส่งออกสินค้าที่มีผลทําให้สินค้าในประเทศขาดแคลน เช่น นํ้าตาลทราย
23. ผลของการเกิดภาวะเงินเฟ้ อ
• รัฐมีรายได้สูงขึ้น จากการเก็บภาษีได้มากขึ้น
ด้านการคลัง
• มีผลต่อระดับการผลิตและการลงทุน
• การกระจายรายได้
• อํานาจซื้อของผู้บริโภคลดลง
ด้านเศรษฐกิจและสังคม
• ส่งผลให้เกิดการขาดดุลการค้าและดุลการชําระเงินของประเทศ
ด้านการค้าระหว่างประเทศ
27. ตลาดการเงิน
ตลาดการเงิน (Financial Market) หมายถึง ตลาดที่ทําหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างผู้
มีเงินออมกับผู้ที่ต้องการเงิน เป็ นการเปลี่ยนเงินออมไปเป็ นการลงทุน ทั้งในระบบของการให้
สินเชื่อและการพัฒนาหลักทรัพย์หลัก นอกจากนี้ยังทําหน้าที่ในการซื้อขายหรือ
แลกเปลี่ยนเงินตราด้วย
30. สถาบันการเงิน
1. ธนาคาร
1.1 ธนาคารกลาง เป็นสถาบันทางการเงินของรัฐซึ่งมีอํานาจหน้าที่ควบคุมปริมาณเงินและเครดิต
ของประเทศ ให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมภายใต้นโยบายของรัฐบาล
1.2 ธนาคารพาณิชย์ เป็นธนาคารที่ประกอบธุรกิจประเภทรับฝากเงินที่ต้องจ่ายเงินคืนเมื่อต้องทวง
ถาม หรือเมื่อสิ้นระยะเวลาที่กําหนดไว้ รวมทั้งให้กู้ยืมหรือสินเชื่อแก่ประชาชน ให้บริการซื้อขายตั๋วแลก
เงิน หรือซื้อขายเงินตราต่างประเทศ
1.3 ธนาคารที่มีวัตถุประสงค์เป็นพิเศษ ได้แก่
1) ธนาคารออมสิน เป็นธนาคารของรัฐบาล มีหน้าที่รับฝากเงินจากประชาชนทั่วไป ปล่อยเงินกู้
ให้ผู้มีรายได้น้อยในวงเงินตํ่า คนทั่วไปจึงเรียกว่า ธนาคารคนจน
2) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เป็นธนาคารของรัฐบาล มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความอนุเคราะห์แก่
ประชาชนเกี่ยวกับการกู้ยืม เพื่อนําไปซื้อที่ดินหรืออาคารสิ่งปลูกสร ้าง หรือซ่อมแซมต่อเติม ไถ่ถอนการ
จํานองที่ดินและอาคาร หรือเพื่อการลงทุนในกิจการการเคหะ พร ้อมกับรับฝากเงินของประชาชนทั่วไปด้วย
3) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สังกัดกระทรวงการคลัง ตั้งขึ้นเพื่อ
ช่วยเหลือด้านการเงินแก่
31. สถาบันการเงิน
2. สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร
2.1 บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์จํากัด มีวัตถุประสงค์คล้ายกับธนาคารพาณิชย์มากที่สุด คือ ระดมเงินออมโดย
ออกตราสารเครดิตหรือตั๋วแลกเงินเพื่อเป็ นหลักฐานในการกู้เงินจากประชาชน
2.2 บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่กิจการ
อุตสาหกรรมเอกชน
2.3 บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่อุตสาหกรรม
ขนาดย่อมและอุตสาหกรรมครัวเรือน
2.4 บริษัทเครดิตฟองซิเอร ์ มีวัตถุประสงค์ในการกู้ยืมเงินเพื่อการซื้อที่ดิน สร ้างบ้านหรือผ่อนส่ง
2.5 บริษัทประกันภัยและบริษัทประกันชีวิต
2.6 สหกรณ์ออมทรัพย์ จัดทําขึ้นเพื่อออมทรัพย์และจัดทําหน่วยธุรกิจของกลุ่มตนเอง หรือชุมชน
2.7 โรงรับจํานํา เป็ นสถาบันการเงินขนาดย่อม มี 3 ประเภท คือ โรงรับจํานําเอกชน โรงรับจํานําของกรม
ประชาสงคราะห์ โรงรับจํานําของเทศบาล ซึ่งได้ให้บริการกู้ยืมเงินแก่บุคคลทั่วไป โดยรับจํานําสิ่งของเครื่องใช ้ต่าง ๆ
33. บริการของธนาคารพาณิชย์
1. การรับฝากเงินทั้งระยะสั้นและระยะยาว
2. การให้สินเชื่อ
◦ การให้กู้ยืมแก่ผู้ประกอบธุรกิจ
◦ การให้กู้ยืมแก่ผู้บริโภค
3. การเบิกเงินบัญชี
4. การรับซื้อลดเช็ค หรือตั๋วเงิน หรือตราสารเปลี่ยนมืออื่นๆ
5. การคํ้าประกัน เช่น การรับอาวัลตั๋วเงิน ,การรับรองตั๋วเงิน ,การออกเล็ตเตอร ์ออฟเครดิต
6. การโอนเงินและการเรียกเก็บเงิน
7. การซื้อขายเงินปริวรรตต่างประเทศ
8. บริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจธนาคารพาณิชย์เช่น การออกเช็คของขวัญ การบริการให้เช่าตู้นิรภัย
เป็นต้น การจ่ายค่าสาธารณูปโภค
36. การสร ้างเงินฝากของธนาคารพาณิชย์
ธนาคาร เงินฝากที่เพิ่มขึ้น เงินสดสํารองตาม
กฎหมาย
เงินให้กู้
A 1*100 100 10 90
B 0.9*100 90 9 81
C (0.9)^2*100 81 8.1 72.9
D (0.9)^3*100 72.9 7.29 65.61
…
รวม 1,000 100 900
ปริมาณการสร ้างเงินฝากของธนาคาร (D)
เงินฝากขั้นปฐม (P)
อัตราเงินสดสํารองตามกฎหมาย (R)
ตัวทวีการสร ้างเงินฝาก (K)
D =
𝑃𝑃
𝑅𝑅
, D = PK
K =
100
10
= 10
D =
100
10%
= 1,000
เงินฝากเพิ่มขึ้น 10 เท่าของเงินฝากขั้นแรก
38. ธนาคารกลาง หรือ ธนาคารแห่งประเทศไทย
◦ เป็ นนายธนาคารของรัฐบาล
◦ เป็ นนายธนาคารของธนาคารพาณิชย์
◦ ออกธนบัตร
◦ รักษาเงินทุนสํารองระหว่างประเทศ
◦ ควบคุมปริมาณเงินสดและเครดิต
◦ ควบคุมธนาคารพาณิชย์
◦ เป็ นแหล่งให้กู้แหล่งสุดท้าย
◦ เป็ นตัวแทนในการร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ
42. 1. การควบคุมทางปริมาณหรือโดยทั่วไป (Quantitative or general control)
1) การซื้อขายหลักทรัพย์โดยเปิดเผย (Open-market operations)
2) การเปลี่ยนแปลงอัตราเงินสํารองตามกฎหมาย (Changing reserve requirement)
3) การเปลี่ยนแปลงอัตรารับช่วงซื้อลด (Changing the rediscount rate)
4) การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (Changing the bank rate)
44. 2) Changing reserve requirement
เดิม R = 20%
ใหม่ R = 10%
สํารองส่วนเกิน
เพิ่มขึ้น
ธนาคารพาณิชย์
ให้กู้ยืมเพิ่มขึ้น
ปริมาณเงิน
ในระบบเพิ่มขึ้น
R = 25%
สํารองส่วนเกิน
ลดลง
ธนาคารพาณิชย์
ให้กู้ยืมลดลง
ปริมาณเงิน
ในระบบลดลง
45. 2)Changing reserve requirement (ต่อ)
เดิม R = 20% และ P = 100 บาท
ใหม่
R = 10% R = 25%
D = 1
R
x P = 1
0.2
x 100 = 500
D = 1
0.1
x 100
= 1,000 (D เพิ่มขึ้น)
D = 1
0.25
x 100
= 400 (D ลดลง)
46. 3) Changing the
rediscount rate นาย ก. มีตั๋วเงินมูลค่า 100 บาท
นาย ก. ได้เงิน 90 บาท
ธ.พาณิชย์คิด
อัตราส่วนลด
(Discount Rate)
10%
ธ.พาณิชย์ขายตั๋วเงินให้ธ.กลาง
นาย ก. ขายตั๋วเงินให้ธ.พาณิชย์
ธ.กลางคิด
อัตรารับช่วงซื้อลด
(Rediscount Rate)
5%
ธ.พาณิชย์ได้เงิน 95 บาท
ธ.พาณิชย์นําเงินไปปล่อยกู้ได้
47. 3) Changing the rediscount rate (ต่อ)
Discount Rate Rediscount Rate
>
ส่วนต่าง คือ กําไรของธนาคารพาณิชย์
48. 3) Changing the rediscount rate (ต่อ)
เดิม Rediscount Rate = 5% , Discount Rate = 10%
ใหม่ Rediscount Rate = 8% (เพิ่มขึ้น)
ธ.พาณิชย์ลดการขาย
ตั๋วเงินให้ ธ.กลาง
ปริมาณเงินให้กู้ลดลง
D ลดลง
ธ.พาณิชย์เพิ่ม
Discount Rate
ลูกค้านําตั๋วเงินมาขายลดลง
D ลดลง
49. 4) Changing the bank rate
อัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (bank rate)
• อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางคิดจาก
ธนาคารพาณิชย์
50. 4) Changing the bank rate (ต่อ)
ธ.กลางลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน
ธ.พาณิชย์กู้ได้มากขึ้น
ธ.พาณิชย์ปล่อยกู้หรือให้สินเชื่อมากขึ้น
D เพิ่มขึ้น
• ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของธนาคารพาณิชย์
57. เศรษฐกิจขยายตัวมาก เศรษฐกิจตกตํ่ามาก
นโยบายการเงิน
: ลดปริมาณเงิน
: แบบเข้มงวด
นโยบายการเงิน
: เพิ่มปริมาณเงิน
: แบบผ่อนคลาย
เชิงปริมาณ เชิงปริมาณ
1. ธ.กลางขายหลักทรัพย์ 1. ธ.กลางรับซื้อหลักทรัพย์
2. เพิ่มอัตราเงินสดสํารอง
ตามกฏหมาย
2. ลดอัตราเงินสดสํารอง
ตามกฏหมาย
3. เพิ่มอัตรารับช่วงซื้อลด 3. ลดอัตรารับช่วงซื้อลด
4. เพิ่มอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน 4. ลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน
เชิงคุณภาพ เชิงคุณภาพ
1. เพิ่มเงินดาวน์ + ลดปีผ่อน 1. ลดเงินดาวน์ + เพิ่มปีผ่อน
2. เพิ่ม Margin 2. ลด Margin
59. งานกลุ่ม
◦ แบ่งเป็ น 4 กลุ่ม (ห้องละ 2 กลุ่ม)
◦ ค้นหาข้อมูลการใช ้นโยบายการเงินที่ผ่านมาของรัฐบาลไทย มา 1 เหตุการณ์
◦ นําเสนอ หัวข้อ “นโยบายการเงินที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ” โดย
ตัวแทนกลุ่ม หน้าชั้นเรียน พร ้อมตอบข้อสักถามของอาจารย์และเพื่อนๆ ใน
คาบต่อไป