More Related Content
More from Thanaporn Singsuk (14)
9.1 9.10
- 3. Executable Exe, Com, Bin
Object Obj, O ,
Source Code C, P, Pas, 177, Asm, A Source Code
Batch Bat, Sh
Text Txt, Doc
Word Processor Wp, Tex, Rrf
Library Lib, A Library Routine
Print or View Ps, Dvi, Gif, Jpg ASCII 2
Archive Arc, Zip, Rar
การตั้งชื่อแฟ้ มข้อมูล จะเขียนส่วนของชื่อ และนามสกุลต่อกัน
โดยมีเครื่องหมายจุด (.) เป็น ตัวคั่น เช่น EXAMPLE.DOC
- 5. คุณลักษณะของแฟ้ มข้อมูล (File Attributes)
1.ชื่อ (Name)
ชื่อแฟ้ มข้อมูล คือ สัญลักษณ์ (สารสนเทศ) ที่เก็บไว้ในรูปแบบที่
สามารถอ่านได้
2.ชนิด (Type)
ส่วนนี้จาเป็นสาหรับระบบซึ่งสนับสนุนชนิดของข้อมูลหลาย ๆ ชนิด
3.ตาแหน่ง (Location)
เป็นตัวชี้ไปยังอุปกรณ์และตาแหน่งของแฟ้ มข้อมูลบนอุปกรณ์นั้น
4.ขนาด (Size)
ขนาดของแฟ้ มข้อมูลในปัจจุบัน (ไบต์ คา หรือบล็อก)
- 8. การดาเนินการเกี่ยวกับแฟ้ มข้อมูล (File Operation)
การดาเนินการเกี่ยวกับแฟ้ มข้อมูล มีดังนี้
1.การสร้างแฟ้ มข้อมูล (Creating a File)
2.การเขียนแฟ้ มข้อมูล (Writing a File)
3.การอ่านแฟ้ มข้อมูล (Reading a File)
4.การย้ายตาแหน่งภายในแฟ้ มข้อมูล (Repositioning Within a File)
5.การลบแฟ้ มข้อมูล (Deleting a File)
6.การตัดแฟ้ มข้อมูลให้สั้นลง (Truncating a File)
นอกจากการดาเนินการทั้ง 6 ข้อนี้แล้ว ยังมีการทางานอย่างอื่นอีก เช่น การ
นาข้อมูลไปต่อท้าย (Append) การเปลี่ยนชื่อแฟ้ มข้อมูล (Rename) การ
คัดลอก (Copy) แฟ้ มข้อมูล เป็นต้น
- 9. การสร้างแฟ้ มข้อมูล (Creating a File)
การสร้างแฟ้ มข้อมูล มีขั้นตอนดังนี้
* หาที่ว่างในระบบแฟ้ มข้อมูลของอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล
* กาหนดช่องว่างของแฟ้ มข้อมูลใหม่ในไดเร็กทอรี่ ซึ่งไดเร็กทอรี่จะ
บันทึกชื่อแฟ้ มข้อมูล และตาแหน่งในระบบแฟ้ มข้อมูล
การเขียนแฟ้ มข้อมูล (Writing a File)
การเขียนข้อมูลหรือสารสนเทศลงในแฟ้ มข้อมูล ทาได้โดยระบบจะ
ค้นหาในไดเร็กทอรี่ เพื่อหตาแหน่งของแฟ้ มข้อมูลที่ต้องการ ซึ่งระบบต้องเก็บ
Write Pointer เพื่อระบุตาแหน่งถัดไปที่จะต้องเขียนข้อมูล
- 10. การอ่านแฟ้ มข้อมูล (Reading a File)
การอ่านข้อมูลหรือสารสนเทศจากแฟ้ มข้อมูล ทาได้โดยระบบจะ
ค้นหาในไดเร็กทอรี่ เพื่อหา ตาแหน่งของแฟ้ มข้อมูลที่ต้องการ ซึ่งระบบจะ
เก็บ Read Pointer เพื่อระบุตาแหน่งถัดไปที่ต้องอ่าน โดยทั่วๆ ไป
แฟ้ มข้อมูลที่ถูกอ่านหรือเขียน ระบบจะเก็บตัวชี้หรือพอยน์เตอร์ (Pointer)
ไว้ตัวเดียว ที่ใช้ทั้งอ่านและเขียนเรียกว่า “ตัวชี้ตาแหน่งปัจจุบัน” (Current-
file-position Pointer) เพื่อ ประหยัดพื้นที่ และลดความซ้าซ้อนของระบบ
- 11. การย้ายตาแหน่งภายในแฟ้ มข้อมูล (Repositioning Within a File)
เริ่มจากการค้นหาไดเร็กทอรี่ เพื่อหาตาแหน่งของแฟ้ มข้อมูลที่
ต้องการ และกาหนดค่าให้ตัว ชี้ตาแหน่งปัจจุบัน การย้ายตาแหน่งภายใน
แฟ้ มข้อมูลไม่จาเป็นต้องเกี่ยวข้องกับ I/O จริงๆ ซึ่งการ ทางานของ
แฟ้ มข้อมูลลักษณะนี้เรียกว่า การค้นหาข้อมูล
การลบแฟ้ มข้อมูล (Deleting a File)
เริ่มจากการค้นหาไดเร็กทอรี่ เพื่อหาตาแหน่งของแฟ้ มข้อมูลที่
ต้องการ เมื่อพบแล้วทาการ คืนที่ว่างทั้งหมดของแฟ้ มข้อมูลนั้นให้ระบบ
และลบรายละเอียดของแฟ้ มข้อมูลนั้นในไดเร็กทอรี่ด้วย
- 12. การตัดแฟ้ มข้อมูลให้สั้นลง (Truncating a File)
เมื่อผู้ใช้ต้องการให้แฟ้ มข้อมูลมีลักษณะเหมือนเดิม แต่ต้องการลบ
เนื้อหาของแฟ้ มข้อมูล แทนที่จะลบแฟ้ มข้อมูลและสร้างใหม่ สามารถใช้
ฟังก์ชั่นนี้เพื่อให้คุณลักษณะต่าง ๆ ของแฟ้ มข้อมูล ยังคงอยู่
- 14. โครงสร้างของแฟ้ มข้อมูล
แฟ้ มข้อมูลต้องมีโครงสร้างที่ระบบปฏิบัติการสามารถเข้าใจได้ เช่น
ในระบบแฟ้ มข้อมูลของ ระบบปฏิบัติการ UNIX เป็นการเรียงสาดับกันของ
บิตทีละ 8 บิต วิธีนี้มีความยืดหยุ่นมากที่สุด แต่มีระบบการทางานที่
สนับสนุนน้อย โดยมากแล้วแฟ้ มข้อมูลที่สร้างขึ้นโดยโปรแกรมสาเร็จรูปต่าง
ๆ จะมีการใส่รหัสของตัวเองลงไปด้วย เพื่อแปลแฟ้ มข้อมูลนาเข้าให้เป็น
โครงสร้างที่ต้องการ แต่อย่างน้อยระบบปฏิบัติการจะต้องรู้จักโครงสร้างของ
แฟ้ มข้อมูลแบบ Executable เพื่อที่จะสามารถประมวลผลได้
- 15. ซึ่งแฟ้ มข้อมูลทั่ว ๆ ไปมีส่วนประกอบ 2 ส่วน คือข้อมูลทั่ว ๆ ไปมี
ส่วนประกอบ 2 ส่วน คือ
1.Resource Fork
เป็นส่วนที่เก็บสารสนเทศที่ผู้ใช้สนใจ เช่น ตัวสลากบนปุ่มที่แสดงโดย
โปรแกรมผู้ใช้ ต่างประเทศ อาจจะต้องการเปลี่ยนแปลงฉลากนั้นเป็นภาษาของ
เขาเอง ซึ่งเครื่องแมคอินทอช สนับสนุนเครื่องมือให้ปรับปรุงข้อมูลใน Resource
Fork ได้
2. Data Fork
เป็นส่วนที่เก็บโปรแกรม รหัสโปรแกรม (Code) หรือเนื้อหาของ
แฟ้ มข้อมูลทั่วไป
- 17. วิธีการเข้าถึงแฟ้ มข้อมูล (Access Method)
การเข้าถึงแฟ้ มข้อมูล สามารถทาได้หลายวิธี ดังนี้
1.การเข้าถึงข้อมูลแบบเรียงลาดับ (SequentialAccess)
2.การเข้าถึงแฟ้ มข้อมูลโดยตรง (Direct Access)
3.การเข้าถึงแฟ้ มข้อมูลแบบอื่น
- 20. การเข้าถึงแฟ้ มข้อมูลโดยตรง (Direct Access)
การเข้าถึงแฟ้ มข้อมูลโดยตรง หรือการเข้าถึงแฟ้ มข้อมูลแบบสัมพันธ์
(Related Access) แฟ้ ม ข้อมูลถูกสร้างขึ้นเป็น Logical Record ที่มีความ
ยาวคงที่ ซึ่งอนุญาตให้โปรแกรมอ่าน และเขียน ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มี
ลาดับการเข้าถึงแฟ้ มข้อมูลโดยตรงเป็นพื้นฐานของดิสก์ ซึ่งดิสก์อนุญาตให้
เข้าถึงบล็อกของแฟ้ มข้อมูลแบบสุ่ม สาหรับการเข้าถึงแฟ้ มข้อมูลโดยตรง
แฟ้ มข้อมูลจะ ถูกมองเป็นจานวนของบล็อก หรือระเบียน ดังนั้นเราอาจอ่าน
บล็อก 20 แล้วข้ามไปอ่านบล็อก 50 และ ข้ามไปเขียนบล็อก 15 ได้
- 21. การเข้าถึงแฟ้ มข้อมูลแบบอื่น
การเข้าถึงแฟ้ มข้อมูลแบบอื่นๆ เช่น การสร้างดัชนี (Index) ให้
แฟ้ มข้อมูล ดัชนีนี้บรรจุตัวชี้บล็อกในการหาระเบียนในแฟ้ มข้อมูล ขั้นแรกเรา
ต้องค้นหาดัชนี แล้วใช้ตัวชี้ในการเข้าถึงแฟ้ มข้อมูล โดยตรงและหาระเบียนที่
ต้องการ เช่น แฟ้ มข้อมูลจัดเก็บราคาสินค้า แต่ละระเบียนประกอบด้วย รหัส
สินค้า 8 หลัก ราคา 8 หลัก รวมเป็น 16 ไบต์ ถ้าดิสก์ของเรามี 1,024 ไบต์/
บล็อก เราจะสามารถ เก็บข้อมูลได้ 64 ระเบียน/บล็อก ซึ่งเราจะมีดัชนี 64 ตัว
สาหรับชี้ระเบียนแต่ละระเบียน เวลาที่ ต้องการค้นหาเราจะมาค้นหาที่ดัชนี โดย
ไม่ต้องไปค้นหาทีละระเบียน ซึ่งการค้นหาดัชนีจะใช้เวลา เร็วกว่า
- 24. 4.แสดงไดเร็กทอรี่ (List a Directory)
เป็นการแสดงชื่อและคุณลักษณะของแฟ้ มข้อมูลในไดเร็กทอรี่
5.เปลี่ยนชื่อแฟ้ มข้อมูล (Rename a File)
เป็นการเปลี่ยนชื่อแฟ้ มข้อมูล เพื่อให้สื่อความหมายตามที่ผู้ใช้
ต้องการ
6.การข้ามระบบแฟ้ มข้อมูล (Traverse the File System)
เป็นการย้าย หรือคัดลอกข้อมูลไปไว้ในอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลชนิดอื่น
เช่น การบันทึกข้อมูล จากดิสก์ลงไปในเทปแม่เหล็ก เพื่อใช้ในการ
สารอง (Backup) ข้อมูล
- 26. ชนิดของไดเร็กทอรี่
ไดเร็กทอรี่แบ่งได้เป็น 5 ชนิด ดังนี้
1.ไดเร็กทอรี่ระดับเดียว (Single-Level Directory)
2.ไดเร็กทอรี 2 ระดับ (Two-Level Directory)
3.ไดเร็กทอรี่ที่มีโครงสร้างแบบต้นไม้ (Tree-Structured
Directory)
4.ไดเร็กทอรี่ที่มีโครงสร้างกราฟแบบไม่เป็นวงจร (Acyclic-
Graph Directory)
5.ไดเร็กทอรี่ที่มีโครงสร้างแบบกราฟทั่วไป (General Graph
Directory)
- 28. ไดเร็กทอรี่ 2 ระดับ (Two-LevelDirectory)
เป็นการสร้างไดเร็กทอรี่ย่อยซ้อนขึ้นมา โดยมีข้อดีกว่าไดเร็กทอรี่
ระดับเดียว คือสามารถมีแฟ้ มข้อมูลชื่อเดียวกันได้หากแฟ้ มข้อมูลนั้นอยู่ต่าง
ไดเร็กทอรี่กัน และหากมีผู้ใช้งานหลายคน ระบบจะจัดแบ่งให้ผู้ใช้งานแต่ละ
คนทางานอยู่เฉพาะในไดเร็กทอรี่ที่กาหนดให้เท่านั้น ทาให้การใช้ข้อมูลไม่
เกิดการชนกัน
รูปแสดงไดเร็กทอรี่ 2 ระดับ
- 30. ไดเร็กทอรี่ที่มีโครงสร้างกราฟแบบไม่เป็ นวงจร (Acyclic-Graph
Directory)
จากที่กล่าวมา การสร้างไดเร็กทอรี่เป็นการเชื่อมไดเร็กทอรี่ย่อยๆ
ออกมา โดยที่ไม่มีการเชื่อมไปยังไดเร็กทอรี่ที่มีการเชื่อมโยงอยู่แล้ว แต่ใน
บางครั้งมีงานที่ต้องการใช้ข้อมูลร่วมกัน ดังนั้นจึงเกิดการเชื่อมไดเร็กทอรี่เข้า
ด้วยกันเพื่อให้สามารถทางาน หรือใช้ข้อมูลร่วมกันได้ ทาให้เกิดไดเร็กทอรี่ที่มี
ลักษณะเป็นกราฟ
รูปแสดงไดเร็กทอรี่ที่มีโครงสร้างแบบไม่เป็นวงจร
- 31. ไดเร็กทอรี่ที่มีโครงสร้างแบบกราฟทั่วไป (General Graph Directory)
สาหรับไดเร็กทอรี่กราฟแบบไม่เป็นวงจรนั้น การเชื่อมไดเร็กทอรี่จะ
เป็นการเชื่อมไดเร็กทอรี่ ย่อยของไดเร็กทอรี่เข้าด้วยกัน แต่ไม่มีการเชื่อมไดเร็ก
ทอรี่ย่อยย้อนกลับไปหาไดเร็กทอรี่หลัก ส่วนไดเร็กทอรี่แบบกราฟทั่วไป
สามารถเชื่อมย้อนกลับไปมาระหว่างไดเร็กทอรี่ย่อยกับไดเร็กทอรี่หลัก
รูปแสดงไดเร็กทอรี่ที่มีโครงสร้างแบบทั่วไป
- 33. การป้ องกันแฟ้ มข้อมูล (File Protection)
การป้ องกันเป็นกลไกที่จัดเตรียมไว้เพื่อควบคุมการเข้าถึง
แฟ้ มข้อมูล โดยจากัดชนิดของการ เข้าถึงแฟ้ มข้อมูลที่สามารถทาได้ การ
เข้าถึงจะทาได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ชนิดของการร้อง
ขอเข้าถึงแฟ้ มข้อมูล
- 34. ชนิดของการเข้าถึงแฟ้ มข้อมูล (Types ofAccess)
1.Read เป็นการอ่านข้อมูล
2.Write เป็นการเขียนหรือแก้ไขข้อมูลในแฟ้ มข้อมูล
3.Execute เป็นการสั่งให้แฟ้ มข้อมูลประมวลผล หรือทางานตามที่
กาหนดไว้
4.Append เป็นการเพิ่มข้อมูลลงในแฟ้ มข้อมูล โดยเป็นการเพิ่ม
ข้อมูลต่อท้ายแฟ้ มข้อมูล
5.Delete เป็นการลบแฟ้ มข้อมูลนั้น
6. List เป็นการแสดงชื่อ และคุณลักษณะของแฟ้ ม
- 35. รายการเข้าถึงแฟ้ มข้อมูลและกลุ่ม (Access Lists and Group)
ผู้ใช้งานสามารถแบ่งตามลักษณะการเข้าถึงแฟ้ มข้อมูลได้ 3 ประเภท คือ
1.เจ้าของ (Owner)
เป็นกลุ่มเจ้าของไดเร็กทอรี่นั้น ๆ โดยมากจะกาหนดสิทธิในการ
เข้าถึงข้อมูลได้เต็มที่
2.กลุ่ม (Group)
เป็นกลุ่มผู้ใช้บริการที่มีไดเร็กทอรี่ของตัวเองใน Server
เช่นเดียวกัน แต่ไม่ใช่เจ้าของไดเร็กทอรี่ บางครั้งจะให้สิทธิในการเข้าถึงข้อมูล
ในไดเร็กทอรี่ต่างๆ ด้วย เช่น สามารถเข้าไปดู ข้อมูลในไดเร็กทอรี่ของคนอื่น
ได้ (ยกเว้นเจ้าของจะไม่อนุญาต) แต่จะไม่มีสิทธิในการแก้ไขข้อมูลของคน
อื่น
- 36. 3.คนอื่น (Universe หรือ Other)
เป็นผู้ใช้บริการที่เป็นคนนอกที่ไม่มีไดเร็กทอรี่เป็นของตนเอง
ผู้ใช้บริการเหล่านี้มักจะถูก กาหนดสิทธิไว้ต่าสุด คืออาจจะอ่านข้อมูลได้อย่าง
เดียว หรืออาจอ่านและประมวลผลได้ แต่ไม่อนุญาตให้แก้ไขข้อมูลได้