SlideShare a Scribd company logo
1 of 64
LOGO
“ Add your company slogan ”
หน่วยที่ 7
ข้อมูลและการจัดการข้อมูล
7.1 การจัดการกับไฟล์ (File Management)
 ไฟล์(File) เป็นหน่วยในการเก็บข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ซึ่ง
อาจจะเก็บอยู่ในสื่อเก็บบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เช่น ฟล็อปปี้ ดิสก์ ,
ฮาร์ดดิสก์หรือซีดีรอม เป็นต้น และจะอ้างอิงถึงได้โดยระบุชื่อไฟล์และ
ส่วนขยายตามกติกา
ชื่อไฟล์(file name) ในระบบปฏิบัติการยุคแรก ๆ นั้น ชื่อไฟล์ตั้ง
ได้ไม่เกิน 8 อักขระเท่านั้น แต่การใช้งานกับระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ ๆ
เช่น Windows สามารถตั้งชื่อไฟล์ได้มากถึง 256 อักขระ
โดยมากจะนิยมตั้งชื่อโดยไม่ให้มีช่องว่าง (blank) ระหว่างชื่อไฟล์
หากจาเป็นต้องมีจะใช้เครื่องหมายขีดล่างแทน เช่น
computer_list, business_sheet,
marketing_profile เป็นต้น
 ส่วนขยาย (extensions) เป็นส่วนที่ช่วยให้
ระบบปฏิบัติการเข้าใจรูปแบบหรือชนิดของไฟล์ได้ง่ายมาก
ยิ่งขึ้น ประกอบด้วยอักขระประมาณ 3-4 ตัว เขียนเพิ่มต่อจาก
ชื่อไฟล์ คั่นด้วยเครื่องหมายจุด(.) เทียบได้กับ “นามสกุล
ของไฟล์” บางระบบปฏิบัติการ เช่น Windows
XP จะซ่อนส่วนขยายนี้ไว้ ถ้าจะดูต้องไปตั้งการทางานเพิ่ม
 โดยทั่วไปไฟล์จะมีชื่อซ้ากันได้ถ้าคนละส่วนขยาย แต่จะซ้า
ทั้งสองอย่างไม่ได้ เช่นเดียวกับคนซึ่งไม่ควรมีทั้งชื่อและ
นามสกุลซ้ากัน
ตัวอย่าง
 index.htm
 ไฟล์ที่เรียกชื่อว่า index ซึ่งเป็นกลุ่มชนิดไฟล์ที่เขียนขึ้นด้วยภาษา
HTML เพื่อนาไปใช้กับการแสดงผลบนอินเทอร์เน็ต
 Computer.doc
 ไฟล์ที่เรียกชื่อว่า computer เป็นไฟล์ที่สร้างจากโปรแกรม
Microsoft Word ซึ่งจะแสดงผลลัพธ์ออกมาในรูปของเอกสาร
(document)
 Introduction.ppt
 ไฟล์ที่เรียกชื่อว่า introduction เป็นไฟล์ที่สร้างจากโปรแกรมนาเสนอ
งานที่ชื่อว่า Microsoft PowerPoint ซึ่งแสดงผลลัพธ์ออกมาเป็น
เอกสารหรือสไลด์เพื่อการนาเสนองานโดยเฉพาะ
7.2 ข้อมูลและการจัดการข้อมูล

 ข้อมูล คือข้อเท็จจริงที่มีการรวบรวมไว้และมีความหมาย
อาจเกี่ยวข้องกับคน สิ่งของ หรือเหตุการณ์อื่น ๆ ในการ
ประมวลผลของคอมพิวเตอร์ นิยมใช้เป็นส่วนนาเข้าพื้นฐาน
เพื่อให้ได้สารสนเทศสาหรับการช่วยตัดสินใจและนาเอาไปใช้
ประโยชน์อื่น ๆ อีกได้ตามต้องการ
ข้อมูลที่ถูกจัดเรียงใหม่ให้น่าใช้ขึ้นกว่าเดิม
 รายการสินค้าที่สั่ง
วันที่สั่ง จานวนที่สั่ง ราคา/หน่วย (บาท)
11/08/46 5 50.00
05/11/46 20 25.00
20/01/47 10 5.00
12/05/47 3 150.00
29/06/47 8 75.00
30/09/47 13 15.00
05/10/47 22 250.00



110846 5 50 00
051146 20 25 00
200147 10 5 00
120547 3 150 00
290647 8 75 00
300947 13 15 00
051047 22 250 00
7.3 แหล่งข้อมูล
 ข้อมูลถือได้ว่าเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สาคัญสาหรับการ
ประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ในยุคโลกาภิวัตน์
(globalization) ที่การติดต่อสื่อสารแบบไร้พรมแดน
เกิดขึ้นอย่างมากมาย ทาให้ข้อมูลถูกเผยแพร่และกระจายการใช้
งานกันได้อย่างทั่วถึง โดยปกติแล้วข้อมูลสาหรับการนามา
ประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ มาจากแหล่งที่มา 2 ประเภท
ด้วยกันคือ แหล่งข้อมูลภายใน และ แหล่งข้อมูลภายนอก
แหล่งข้อมูลภายใน
 เป็นแหล่งกาเนิดของข้อมูลที่อยู่ภายในองค์การทั่วไป ข้อมูลที่ได้มา
 นั้นอาจมาจากพนักงานหรือมีอยู่แล้วในองค์กร เช่น ยอดขาย
ประจาปี ข้อมูลผู้ถือหุ้น รายงานกาไรขาดทุน รายชื่อพนักงานข้อมูล
เหล่านี้จะให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงต่าง ๆ ภายในองค์กรแต่เพียง
อย่างเดียว อาจเป็นข้อมูลที่เปิดเผยให้กับบุคคลภายนอกทราบหรือไม่ก็
ได้ หากข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดาเนินงานหลัก
ขององค์กรและมีความสาคัญมาก เช่น ข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่จะออกสู่ตลาด
ใหม่ ข้อมูลการทดลองการแปรรูปสินค้า หน่วยงานนั้นอาจมีการ
ปกปิดไว้เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลได้
แหล่งข้อมูลภายนอก
 เป็นแหล่งกาเนิดข้อมูลที่มีอยู่ภายนอกองค์กร โดยทั่วไปแล้ว
สามารถนาข้อมูลต่าง ๆ เหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ในองค์กรหรือนามาใช้
กับการประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ได้ระบบงานที่สมบูรณ์ขึ้น
ได้ ข้อมูลเหล่านี้ เช่น ข้อมูลลูกค้า เจ้าหนี้ อัตราดอกเบี้ยสถาบันการเงิน
กฎหมายและอัตราภาษีของรัฐบาล หรืออาจรวมถึงข้อมูลบริษัทคู่แข่ง
ด้วย ซึ่งไม่ใช่ข้อมูลที่มีอยู่ภายในบริษัทหรือองค์กรแต่อย่างใด
เราสามารถหาข้อมูลจากแหล่งภายนอกนี้ได้จากบริษัทผู้ให้บริการข้อมูล
หรือจากหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ หรือสื่ออื่น ๆ ได้ทั่วไป
7.4 คุณสมบัติของข้อมูลที่ดี
 ข้อมูลที่จะนามาใช้ประมวลผลเพื่อให้ได้สารสนเทศที่
ต้องการนั้น อาจได้มาจากทั้งแหล่งข้อมูลภายในหรือภายนอก
องค์กร ซึ่งหากได้ข้อมูลที่ดีย่อมหมายถึง ความได้เปรียบในการ
ดาเนินการตามไปด้วย ซึ่งจาเป็นต้องมีคุณสมบัติขั้นพื้นฐาน ดังนี้
ความถูกต้อง (Accuracy)
 ข้อมูลที่ดีต้องมีความถูกต้องเพื่อให้สามารถนาเอาไปใช้ประโยชน์
ได้ ข้อมูลที่ไม่เป็นจริงและมีความคลาดเคลื่อนอยู่มาก อาจก่อให้เกิด
ความเสียหายต่อการเอาข้อมูลนั้นไปใช้ได้ต่ออีกได้ การคัดเลือกข้อมูลที่
นามาใช้จึงต้องพิจารณาประเด็นนี้ประกอบด้วย เพราะการประมวลผล
ด้วยคอมพิวเตอร์จะประมวลผลตามกระบวนการป้อนข้อมูลเข้า เมื่อใดที่
ป้อนข้อมูลเข้ามาแบบผิด ๆ ผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลก็จะผิดตาม
ไปด้วยเหมือนสานวนที่ว่า
 “ใส่ขยะเข้าไปก็จะได้ขยะกลับออกมา”
 หรือ “Garbage In Garbage Out (GIGO)”
มีความเป็นปัจจุบัน (Update)
 ข้อมูลที่ดีจาเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้มีความเป็น
ปัจจุบันอยู่เสมอเนื่องจากปกติข้อมูลจะมีลักษณะคงที่ เว้นแต่ว่า
จะมีผู้มาแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลนั้นเสียใหม่ อีกทั้งเหตุการณ์
ต่าง ๆ มักเกิดขึ้นใหม่อยู่ตลอดเวลา ข้อมูลเกี่ยวกับจานวน
ประชากรผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในสมัยก่อนอาจไม่นามาใช้เป็นข้อมูล
เพื่อประกอบการวางแผนการเลือกตั้งในยุคสมัยปัจจุบันได้
 ดังนั้นจาเป็นต้องมีการปรับใหม่ให้เป็นปัจจุบันมากขึ้น หาก
ล้าสมัยหรือไม่มีการปรับปรุงใด ๆ การนาไปใช้ประโยชน์ก็จะ
ได้ผลลัพธ์ที่คลาดเคลื่อนหรือเกิดความผิดพลาดได้
ตรงตามความต้องการ (Relevance)
 ควรมีการสารวจเกี่ยวกับขอบเขตของข้อมูลที่จะนามาใช้ให้
สอดคล้องและตรงกับความต้องการของหน่วยงานให้มากที่สุด
ข้อมูลนั้นถึงแม้จะถูกต้องมากแค่ไหน แต่หากไม่สอดคล้องกับ
ความต้องการ ก็ไม่สามารถนาไปใช้ประโยชน์หรือช่วยในการ
ตัดสินใจใด ๆ ได้
ความสมบูรณ์ (Complete)
 การนาเอาข้อมูลมาใช้ประโยชน์นั้นจะต้องมีความสมบูรณ์ของ
ข้อมูล มากพอ จึงจะทาให้การนาเอาไปใช้นั้นเกิดประโยชน์อย่างเต็มที่
การเก็บรวบรวมข้อมูลสามารถทาได้มากกว่าหนึ่งครั้งเพื่อให้ได้ข้อมูลที่
สมบูรณ์จริง ๆ เช่น การเก็บข้อมูลเชิงสถิติ หรือวัดค่าเฉลี่ย อาจต้องเก็บ
รวบรวมข้อมูลโดยการกรอกแบบสอบถามรอบแรก เรียกว่าข้อมูลปฐม
ภูมิ (primary data) จากนั้นจึงเอามาหาค่าที่ต้องการจริง ๆ
เรียกว่า ข้อมูลทุติยภูมิ (secondary data) จึงนาไปใช้
ประโยชน์ต่ออีกได้
ตรวจสอบได้ (Verifiable)
 ข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันอาจหามาได้จากแหล่งข้อมูลหลาย
แหล่งด้วยกัน ซึ่งอาจมีทั้งข้อมูลที่เชื่อถือได้ หรือข้อมูลซึ่งเป็น
กลลวงของคู่แข่งขัน ดังนั้นหากต้องการนามาประมวลผลจึง
ควรเลือกข้อมูลที่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มา หรือแหล่งที่มี
หลักฐานอ้างอิงต่าง ๆ ได้เพื่อป้องกันข้อมูลที่ไม่เกิดประโยชน์
และอาจนาผลเสียหายมาให้นั่นเอง
7.5 การแบ่งลาดับชั้นของการจัดการข้อมูล
(Hierarchy of Data)
 โครงสร้างข้อมูลมีรูปแบบเป็นลาดับชั้นโดยเริ่มด้วยหน่วยที่
เล็กที่สุดคือ บิต(Bit) ไบต์ (Byte) เขตข้อมูล
(Field) ระเบียนข้อมูล (Record) และไฟล์ (File)
ในการจัดการข้อมูล จะมีการจัดแบ่งข้อมูลออกมาเป็นลาดับชั้น
เพื่อง่ายต่อการเรียกใช้และประมวลผล ซึ่งอธิบายเกี่ยวกับลาดับ
ชั้นข้อมูลพื้นฐาน ดังนี้
ลาดับชั้นของการจัดการข้อมูล
 บิต (Bit – Binary Digit)
 เป็นลาดับชั้นของหน่วยข้อมูลที่เล็กที่สุด ข้อมูลที่จะทางานร่วมกับ
คอมพิวเตอร์ได้นั้นจะต้องเอามาแปลงให้อยู่ในรูปของเลขฐานสอง
เสียก่อน คอมพิวเตอร์ถึงจะเข้าใจและทางานตามที่ต้องการได้
 เมื่อแปลงแล้วจะได้ตัวเลขแทนสถานะเปิดและปิดของ
สัญญาณไฟฟ้าที่เรียกว่า บิต เพียง 2 ค่าเท่านั้นคือ บิต 0 และ บิต 1
 ไบต์(Byte)
 เมื่อนาบิตมารวมกันหลาย ๆ บิต จะได้หน่วยข้อมูลกลุ่มใหม่ที่
เรียกว่า ไบต์(Byte) ซึ่งจานวนของบิตที่ได้ในแต่ละกลุ่มอาจมีมาก
หรือน้อยบ้าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของรหัสที่ใช้เก็บ แต่โดยปกติกับการ
ใช้งานในรหัสแอสกี (ASCII) ทั่วไปจะได้กลุ่มของบิตจานวน 8
บิตด้วยกัน ซึ่งนิยมนามาแทนเป็นรหัสของตัวอักษร บางครั้งจึงนิยม
เรียก ข้อมูล 1ไบต์ว่าเป็น 1 ตัวอักษร
 ฟิลด์ หรือขอบเขตของข้อมูล (Field)
 ประกอบด้วยกลุ่มของตัวอักษรหรือไบต์ตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไปมา
ประกอบกันเป็นหน่วยข้อมูลที่ใหญ่ขึ้นแล้วแสดงลักษณะหรือ
ความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง
 ตัวอย่างเขตข้อมูลเกี่ยวกับพนักงาน เช่น
 รหัสพนักงาน ชื่อ นามสกุล เงินเดือน ตาแหน่ง
เป็นต้น
 เรคอร์ด (Record)
 เป็นกลุ่มของเขตข้อมูลหรือฟิลด์ที่มีความสัมพันธ์กัน และนามา
จัดเก็บรวมกันเป็นหน่วยใหม่ที่ใหญ่ขึ้นเพียงหน่วยเดียว ปกติในการ
จัดการข้อมูลใดมักประกอบด้วยเรคอร์ดหลาย ๆ เรคอร์ด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
ขนาดของข้อมูลเป็นหลัก
 ไฟล์หรือแฟ้มตารางข้อมูล (File)
 ไฟล์หรือแฟ้มตารางข้อมูล เป็นการนาเอาข้อมูลทั้งหมดหลาย ๆ เร
คอร์ดที่ต้องการจัดเก็บมาเรียงอยู่ในรูปแบบของแฟ้มตารางข้อมูล
เดียวกัน เช่น แฟ้มตารางข้อมูลเกี่ยวกับคะแนนนักศึกษาวิชาคอมพิวเตอร์
 อาจประกอบด้วยเรคอร์ดของนักศึกษาหลาย ๆ คนที่เก็บข้อมูล
เกี่ยวกับ รหัสนักศึกษา ชื่อ นามสกุล และคะแนนที่ได้เป็นต้น
แฟ้มตารางข้อมูลคะแนนนักศึกษาวิชาคอมพิวเตอร์
 ฟิลด์ใด ๆ ที่ไม่มีข้อมูลซ้ากันเลย เราเรียกว่า คีย์ฟิลด์
(key field) ซึ่งจะใช้เป็นตัวอ้างอิงแต่ละเรคอร์ด
จากตัวอย่างข้อมูลในตารางดังกล่าว
 ดังนั้นเพื่อให้ง่ายต่อการจัดการข้อมูลที่ต้องการนาเอาแฟ้มมา
จัดเก็บไว้อยู่ในที่เดียวกัน จึงควรกาหนดให้มีคีย์ฟีลด์ดังกล่าวไว้
ด้วยเพื่ออ้างอิงหรือระบุข้อมูลให้เรียกใช้ได้โดยง่าย สะดวกและ
มีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง มีคีย์ฟิลด์คือ รหัสนักศึกษา ซึ่งไม่
มีข้อมูลซ้ากันเลย
7.6 ฐานข้อมูล (Database)
 ฐานข้อมูลเกิดจากการรวบรวมเอาแฟ้มตารางข้อมูลหลาย ๆ
แฟ้มที่มีความสัมพันธ์กันนั้นมาเก็บรวมกันไว้ที่เดียว โดยจะมี
การเก็บคาอธิบายเกี่ยวกับโครงสร้างฐานข้อมูลหรือที่เรียกว่า
พจนานุกรมข้อมูล (data dictionary) ซึ่งจะใช้อธิบาย
ลักษณะของข้อมูลที่เก็บไว้ เป็นต้นว่าโครงสร้างของแต่ละ
ตารางเป็นอย่างไร ประกอบด้วยฟิลด์อะไรบ้าง คุณลักษณะของ
แต่ละฟิลด์และความสัมพันธ์ของแต่ละแฟ้มเป็นอย่างไร ซึ่ง
ข้อมูลเหล่านี้ถือว่ามีความจาเป็นมากและจะถูกเรียกใช้ใน
ระหว่างที่มีการประมวลผลฐานข้อมูล
แสดงตัวอย่างโครงสร้างของฐานข้อมูล
ฐานข้อมูลแบบเชิงสหสัมพันธ์
(Relational Database)

เป็นการเก็บข้อมูลไว้ในลักษณะของตาราง2 มิติ (Table)
โดยแบ่งเป็นแถว (Row แทน Record) และ คอลัมน์
(Column แทนฟิลด์หรือ Attribute) ฐานข้อมูลเชิง
สหสัมพันธ์จึงประกอบไปด้วยกลุ่มของตารางข้อมูลหลายตาราง แต่ละ
ตารางมีความสัมพันธ์กันด้วย Attribute ใด Attribute หนึ่ง จึง
เรียกข้อมูลแต่ละตารางว่า “Relation” หรือ “Table” เช่น
Table “ลูกค้า” , “สั่งซื้อสินค้า” เป็น Table ข้อมูลที่มี
ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันในกระบวนการสั่งซื้อสินค้า เป็นต้น
ฐานข้อมูลแบบเชิงสหสัมพันธ์
(Relational Database)
ฐานข้อมูลเชิงวัตถุ
(Object-Oriented Database)
 ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์จะจัดเก็บเฉพาะข้อมูลไว้ในฐานข้อมูล
ส่วนชุดคาสั่งที่ใช้ในการดาเนินการกับฐานข้อมูลจะจัดเก็บไว้ใน
ซอฟต์แวร์ DBMS แยกต่างหาก แต่มีฐานข้อมูลชนิดหนึ่งที่จัดเก็บ
ทั้งข้อมูลและชุดคาสั่งไว้ด้วยกัน ซึ่งการรวมข้อมูลและคาสั่งไว้ในการ
ดาเนินการใด ๆ เข้าด้วยกัน จะเรียกสิ่งนั้นว่า “วัตถุ (Object)” และ
ฐานข้อมูลที่จะนามาจัดการกับObject ก็จะถูกเรียกว่า
 “ฐานข้อมูลเชิงวัตถุ (Object – oriented Database)”
รูปแสดง Object ในฐานข้อมูล
 สาหรับซอฟต์แวร์ระบบการจัดการฐานข้อมูลชนิดนี้ จะเรียกว่า
“OODBMS” ถึงแม้ว่าฐานข้อมูลชนิดนี้จะมีประสิทธิภาพในการ
จัดเก็บและจัดการ แต่ก็พบว่ายังไม่มีการนามาใช้งานอย่างแพร่หลาย
เท่ากับฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ที่พบก็เพียงการนาแนวคิดเชิงวัตถุมา
ผสมผสานการทางานกับแนวคิดฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ จึงเรียก
ฐานข้อมูลชนิดนี้ว่า “Object-relational Database” ที่
ผู้ดูแลฐานข้อมูลสามารถใช้ภาษาระบบจัดการฐานข้อมูลชนิดเดียวกับที่
ใช้กับฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ได้ ดังนั้นจึงสามารถจัดหาDBMS ได้
เช่นเดียวกับฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ เช่น Oracle , DB2 ,
SyBase เป็นต้น
ฐานข้อมูลมักเกี่ยวข้องกับการดารงชีวิตประจาวันของเรา
ยกตัวอย่างเช่น
 ฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ จัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวกับประชากรใน
ประเทศไทยทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการเกิด การตาย การ
ย้ายหรือเปลี่ยนแปลงที่อยู่ รวมถึงข้อมูลอื่นๆ เช่น ข้อมูลคู่
สมรส บุตร เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้จะถูกจัดเก็บไว้ในหน่วยงาน
กลาง เช่น กระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ผู้ที่ต้องการใช้ข้อมูล
สามารถเรียกใช้ได้โดยง่าย หากไม่มีการจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
กันนี้รวมเป็นฐานข้อมูล การเรียกใช้ก็อาจทาได้ไม่ง่ายนัก เพราะ
ข้อมูลจะมีอยู่กระจัดกระจายไปทั่วประเทศ
7.7 การจัดการโครงสร้างของแฟ้มข้อมูล
(File Organization)

 โดยปกติแฟ้มข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในหน่วยความจาสารอง
(secondary storage) เช่น ฮาร์ดดิสก์ เนื่องจากมี
ความจุข้อมูลสูง และสามารถเก็บได้ถาวรแม้จะปิดเครื่องไป
การจัดเก็บจะต้องมีวิธีกาหนดโครงสร้าง โดยมีวัตถุประสงค์
เพื่อให้การจัดเก็บและเข้าถึงข้อมูลมีความรวดเร็ว ถูกต้อง และ
เหมาะสมกับความต้องการ การเข้าถึงและค้นคืนข้อมูลจะอาศัย
คีย์ฟิลด์ในการเรียกค้นด้วยเสมอ การจัดโครงสร้างข้อมูลอาจ
แบ่งได้3 ลักษณะ คือ
7.7.1 โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลาดับ
(Sequential File Structure)

 เป็นโครงสร้างของแฟ้มข้อมูลชนิดพื้นฐานที่สามารถใช้งานได้ง่าย
ที่สุด เนื่องจากมีลักษณะการจัดเก็บข้อมูลแบบเรียงลาดับเรคอร์ด
ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ การอ่านหรือค้นคืนข้อมูลจะข้ามลาดับไปอ่านตรง
ตาแหน่งใด ๆ ที่ต้องการโดยตรงไม่ได้เมื่อต้องการอ่านข้อมูลที่เรคอร์ด
ใด ๆ โปรแกรมจะเริ่มอ่านตั้งแต่เรคอร์ดแรกไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะพบเร
คอร์ดที่ต้องการ ก็จะเรียกค้นคืนเรคอร์ดนั้นขึ้นมา
แฟ้มข้อมูลแบบเรียงลาดับ
7.7.2 โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลแบบสุ่ม
(Direct/Random File Structure)


 เป็นลักษณะของโครงสร้างแฟ้มข้อมูลที่เข้าได้โดยตรง เมื่อ
ต้องการอ่านค่าเรคอร์ดใด ๆ สามารถทาการเลือกหรืออ่านค่านั้นได้ทันที
ไม่จาเป็นต้องผ่านเรคอร์ดแรก ๆ เหมือนกับแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลาดับ
ซึ่งทาให้การเข้าถึงข้อมูลทาได้รวดเร็วกว่า ปกติจะมีการจัดเก็บในสื่อที่มี
ลักษณะการเข้าถึงได้โดยตรงประเภทจานแม่เหล็ก เช่นดิสเก็ตต์
ฮาร์ดดิสก์ หรือ CD-ROM เป็นต้น โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลแบบ
สุ่ม แบ่งตามลักษณะการทางานออกได้เป็น2 ประเภทคือ
แบบแฮชไฟล์ (Hash File)

 เป็นลักษณะโครงสร้างที่มีการเข้าถึงแบบสุ่มซึ่งอาศัยอัลกอริทึมที่เรียกว่า
แฮชชิ่ง (hashing) ในการคานวณหาค่าคีย์ฟิลด์ให้เป็นตาแหน่งที่
ใช้จัดเก็บข้อมูล ในบางกรณีที่ข้อมูลมีปริมาณมาก ๆ ผลลัพธ์จากการ
แปลงค่าตาแหน่งผ่านอัลกอริทึมแบบแฮชชิ่งนี้อาจเกิดการชนกัน
(collision) ได้คือแปลงตาแหน่งแล้วไปตกที่เดียวกัน ซึ่งก็ต้องมี
การกาหนดอัลกอริทึมนี้ในการแก้ไขต่อไป เพื่อให้สามารถแบ่งแยก
ข้อมูลได้ว่า ตาแหน่งจริง ๆ แล้วคือตาแหน่งใด เช่นถ้าอะไรที่มาตกที่
เดียวกันให้เก็บเรียงลาดับกันไป มาก่อนอยู่ต้น มาหลังไปต่อท้าย เป็น
ต้น
การทางานกับแฟ้มข้อมูลสุ่มแบบแฮชไฟล์
แบบดรรชนี (Indexed File)

 โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลชนิดนี้จะใช้วิธีเข้าถึงข้อมูลโดยมีการ
สร้างแฟ้มดรรชนี (index) ขึ้นเพื่อช่วยในการค้นหาหรือ
เข้าถึงข้อมูลโดยตรงให้รวดเร็วและสะดวกขึ้น
 แฟ้มดรรชนีนี้จะประกอบด้วยข้อมูล 2 ตัวคือ
• คีย์ของข้อมูล
• ตาแหน่งที่เก็บข้อมูล (address) ในสื่อบันทึก เพื่อที่จะสามารถ
ระบุได้ว่าข้อมูลนั้นๆ เก็บอยู่ที่ตาแหน่งใดของสื่อเก็บบันทึกข้อมูล
การทางานกับแฟ้มข้อมูลสุ่มแบบดรรชนี
7.7.3 โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลแบบลาดับเชิงดรรชนี
(Index Sequential File
Structure)
 เป็นลักษณะของโครงสร้างแฟ้มข้อมูลที่อาศัยกระบวนการที่เรียกว่า
ISAM (Index Sequential Access Method) ซึ่งจะรวม
เอาความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลแบบสุ่มและแบบเรียงตามลาดับเข้าไว้ด้วยกัน
การจัดโครงสร้างแฟ้มข้อมูลวิธีนี้ ข้อมูลจะถูกจัดเก็บเรียงกันตามลาดับไว้บนสื่อ
แบบสุ่ม เช่น ฮาร์ดดิสก์ และการเข้าถึงข้อมูลจะทาผ่านแฟ้มข้อมูลลาดับเชิงดรรชนี
(indexed sequential file) ซึ่งทาหน้าที่ช่วยชี้และค้นหาข้อมูลที่
ต้องการได้ สามารถทางานได้ยืดหยุ่นกว่าวิธีอื่น ๆ โดยเฉพาะกับกรณีที่ข้อมูลใน
การประมวลผลมีจานวนมาก ๆ
แฟ้มข้อมูลแบบลาดับเชิงดรรชนี
7.8 เปรียบเทียบโครงสร้างแฟ้มข้อมูลแต่ละประเภท
 การจัดการเกี่ยวกับโครงสร้างของแฟ้มข้อมูล ควรคานึงถึง
ความสามารถด้านเวลาในการเข้าถึงข้อมูล (access time) ของ
อุปกรณ์ที่ใช้จัดเก็บด้วย เพราะหน่วยเก็บข้อมูลสารองจะเข้าถึงข้อมูลได้
ช้ากว่าหน่วยความจาหลักมาก ดังนั้นการเลือกจัดโครงสร้างแฟ้มข้อมูล
แบบใดๆ ก็ตาม ควรพิจารณาให้เหมาะสมกับความต้องการรวมถึง
ความถี่ในการปรับปรุงและการดึงข้อมูลเพื่อเรียกใช้ด้วย การจัดการ
เกี่ยวกับโครงสร้างของแฟ้มข้อมูลอาจเปรียบได้กับการเลือกค้นหรืออ่าน
เนื้อหาข้อมูลในหนังสือที่ย่อมขึ้นอยู่กับความต้องการและความสะดวก
ของผู้ใช้เป็นหลัก หากหนังสือจัดเก็บเรียงกันเป็นชั้น ๆ ตามลาดับ
(ต่อ)
 การเลือกอ่านหรือหยิบเอกสารแผ่นใดขึ้นมาก็ต้องหยิบแผ่นแรก ๆ
ที่วางบนสุด ให้ผ่านไปเสียก่อน จึงจะอ่านแผ่นหรือเนื้อหาส่วนอื่น ๆ อีก
ได้(โครงสร้างแบบเรียงลาดับ) แต่ถ้าต้องการความรวดเร็วและหยิบ
จับสะดวกได้ดีกว่า อาจเลือกวางหนังสือเหล่านั้นโดยไม่ต้องจัดวางเรียง
กันเป็นลาดับก็ได้ อยากหยิบหรือเลือกใช้เล่มไหนก็สุ่มเลือกได้เอง
(โครงสร้างแบบสุ่ม) แต่ถึงแม้จะเลือกได้เร็วก็ตาม การจัดวางแบบนี้
อาจทาให้สิ้นเปลืองเนื้อที่โดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นหากยังต้องการใช้
ประโยชน์ของพื้นที่เก็บหรือวางหนังสื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและ
หยิบจับแบบเรียงลาดับแต่ต้องค้นหาง่ายด้วย(โครงสร้างแบบเรียงลาดับ
ดรรชนี) มาคั่นไว้ก็จะช่วยแก้ปัญหาได้เป็นต้น
ตัวอย่าง
การเปรียบเทียบโครงสร้างแฟ้มข้อมูลแต่ละประเภทกับการจัดเก็บหนังสือ
7.9 ประเภทของแฟ้มข้อมูล (Master file)
 แฟ้มหลัก เป็นแฟ้มข้อมูลที่มีความถี่ของการเปลี่ยนแปลงข้อมูล
บ่อย มากนัก โดยอาศัยข้อมูลจากแฟ้มข้อมูลรายการเปลี่ยนแปลงเข้ามา
ทาให้มีความทันสมัย (up to date) หรือแก้ไขแฟ้มหลักนั้นโดย
ทันทีก็ได้ ตัวอย่างของแฟ้มหลัก เช่น แฟ้มหลักลูกค้าธนาคารซึ่งจะเก็บ
ข้อมูลของลูกค้า เช่น ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขบัญชี ยอดเงินคงเหลือในบัญชี
แฟ้มหลักสินค้าที่เก็บข้อมูลของสินค้าและยอดขาย หรือแฟ้มหลัก
พนักงานที่เก็บชื่อ ที่อยู่และชั่วโมงการทางาน เป็นต้น
7.10 การประมวลผลแบบแฟ้มข้อมูลกับระบบฐานข้อมูล
(File Processing VS Database
Systems)
• การประมวลผลแบบแฟ้มข้อมูล (File Processing)
การประมวลผลแบบแฟ้มข้อมูล (File
Processing)
 แฟ้มข้อมูลต่าง ๆ เช่น แฟ้มข้อมูลลูกค้า แฟ้มข้อมูลสินค้า แฟ้มข้อมูลพนักงาน สามารถ
นาเอามาประมวลผลเพื่อนาไปใช้งานอื่น ๆ ได้แต่มีข้อเสียคือทาให้ข้อมูลมีความซ้าซ้อนกัน
(data redundancy) โดยเฉพาะในหน่วยงานที่มักจัดเก็บข้อมูลแยกกันไว้ต่างหาก
และมีการจัดการข้อมูลกันเอง เช่น แฟ้มข้อมูลลูกค้าของฝ่ายบัญชีที่เก็บข้อมูลลูกค้า เช่น ชื่อ ที่
อยู่ของลูกค้าแต่ละรายไว้อาจไม่ตรงกันกับแฟ้มข้อมูลลูกค้าของฝ่ายขาย ซึ่งทาการจัดเก็บแยก
ต่างหากโดยไม่ได้ใช้ข้อมูลเดียวกันกับข้อมูลลูกค้าของฝ่ายบัญชีเพราะคิดว่าการจัดการข้อมูล
กันเอง จะทาให้เปลี่ยนหรือแก้ไขข้อมูลได้ง่ายกว่า เมื่อใดก็ตามที่ลูกค้าแจ้งเปลี่ยนแปลงที่อยู่
ให้กับฝ่ายขาย ข้อมูลที่อยู่ของลูกค้า ซึ่งจัดเก็บไว้ที่ฝ่ายบัญชีจะยังคงเป็นข้อมูลเดิมซึ่งไม่ได้มีการ
เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย (ฝ่ายบัญชีไม่ทราบเลยว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น) เพราะต่างฝ่าย
ต่างจัดเก็บแยกกันนั่นเอง จึงอาจส่งผลให้การติดต่อลูกค้า เช่น การเรียกเก็บเงินหรือวางบิล
สินค้ามีปัญหาขึ้นมาได้ (อาจมีการจัดส่งใบวางบิลหรือเรียกเก็บเงินผิดที่) นอกจากนั้น
แฟ้มข้อมูลต่าง ๆ ก็มีอยู่อย่างกระจัดกระจาย หากจะเรียกใช้ข้อมูลแล้วอาจจะทาได้ยาก เพราะ
แต่ละฝ่ายก็จัดเก็บแยกกันไว้เฉพาะเป็นของตนเอง การแบ่งปันและเรียกใช้ข้อมูลจึงไม่สะดวก
มากนัก
การประมวลผลแบบแฟ้มข้อมูล (File Processing)
ที่จัดเก็บข้อมูลแยกกันต่างหาก
7.11 ระบบฐานข้อมูล
(Database Systems)
 จากปัญหาของการประมวลผลแบบแฟ้มข้อมูลข้างต้น แนวคิดของ
การแก้ปัญหาดังกล่าวจะใช้วิธีการจัดเก็บรวบรวมแฟ้มข้อมูลที่มี
ความสัมพันธ์กัน นามาจัดเรียงรวมกันเสียใหม่อย่างเป็นระบบเพื่อให้
สะดวกต่อการค้นหาและเรียกใช้ข้อมูลร่วมกัน โดยจัดทาเป็นระบบ
ฐานข้อมูล
 ระบบฐานข้อมูล สามารถใช้งานได้ทั้งกับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว
(stand alone) เช่น ระบบฐานข้อมูลสินค้าคงคลังสาหรับองค์กรขนาดเล็กที่
ต้องการจัดเก็บฐานข้อมูลสินค้าไว้เฉพาะในคอมพิวเตอร์เครื่องที่พนักงานบัญชีใช้เพียง
เครื่องเดียว หรือจะประยุกต์ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบแม่ข่าย (server) ผ่าน
ระบบ LAN หรืออินเทอร์เน็ตก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของงานที่ต้องการเป็น
หลัก ตัวอย่างของการใช้งานระบบฐานข้อมูลกับเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย เช่น การ
ประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลบนเว็บ (web database) สาหรับการเก็บข้อมูลสินค้า
ข้อมูลการสั่งซื้อ ข้อมูลยอดขาย ข้อมูลเกี่ยวกับการเรียน หรือข้อมูลอื่น ๆ ที่ยินยอม
ให้ผู้ใช้เรียกดูข้อมูลเหล่านี้ได้ โดยผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลาย
ในปัจจุบัน
 การนาเอาระบบฐานข้อมูลมาใช้งานนั้นจะช่วยให้การทางานมีความสะดวกมาก
ยิ่งขึ้น หากต่างคนต่างเก็บข้อมูลเอง ไม่ได้นามาเก็บรวบรวมกันเป็นฐานข้อมูลกลาง
อาจส่งผลให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาอีกได้ เช่น ความซ้าซ้อนของการจัดเก็บข้อมูล
หรือปัญหาของข้อมูลที่ไม่
แนวคิดของการใช้ฐานข้อมูล
7.12 เครื่องมือสาหรับการจัดการฐานข้อมูล
(DBMS)
 โดยปกติในการจัดการฐานข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์นั้นจะมีโปรแกรมที่
เรียกว่า ระบบการจัดการฐานข้อมูลหรือ DBMS (Database
Management Systems) ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นผู้จัดการ
ฐานข้อมูล โปรแกรมประเภทนี้มีการผลิตออกมาหลายระบบด้วยกัน ที่
ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักกันดี คือระบบการจัดการฐานข้อมูลเชิง
สัมพันธ์ หรือ RDBMS (Relational Database
Management Systems) เช่น Oracle , Sybase
, Microsoft SQL Server , Microsoft Access ,
MySQL หรือ DB2 เป็นต้น
ลักษณะของ DBMS
 ระบบการจัดการฐานข้อมูลหรือ DBMS จะอานวยความสะดวกกับผู้ใช้คือสามารถใช้
งานได้โดยที่ไม่จาเป็นต้องทราบถึงโครงสร้างทางกายภาพของข้อมูลในระดับที่ลึกมาก
เหมือนกับการเขียนโปรแกรมของโปรแกรมเมอร์ระบบดังกล่าวจะยอมให้ผู้ใช้กาหนดโครงสร้าง
และดูแลรักษาฐานข้อมูลได้เป็นอย่างดี และยังสามารถควบคุมการเข้าถึงของข้อมูลในส่วนต่าง
ๆ ตามระดับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนด้วย เราอาจพบเห็นการใช้งาน DBMS สาหรับการ
จัดการฐานข้อมูลได้ในองค์กรธุรกิจโดยทั่วไป เช่น ระบบข้อมูลลูกค้า ระบบสินค้าคงคลัง
ระบบงานลงทะเบียน ระบบงานธุรกรรมออนไลน์ เป็นต้น
 DBMS เป็นเหมือนตัวกลางที่ยอมให้ผู้ใช้เข้าค้นคืนข้อมูลได้โดยมีเครื่องมือสาคัญคือ
ภาษาที่ใช้จัดการกับข้อมูลโดยเฉพาะเรียกว่า ภาษาเรียกค้นข้อมูล หรือภาษาคิวรี่ (query
language) ซึ่งประกอบด้วยคาสั่งสาหรับเรียกใช้ข้อมูล แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือลบข้อมูล
และยังสามารถนาไปใช้ร่วมกับการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ทางด้านฐานข้อมูลได้เป็นอย่างดี
ภาษาคิวรี่ (Query language)
 ภาษาคิวรี่ เป็นภาษาที่ใช้สาหรับสอบถามหรือจัดการกับข้อมูลใน DBMS โดยภาษานี้
ที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ ภาษา SQL (Structure Query Language)
คิดค้นโดยนักวิทยาศาสตร์ของไอบีเอ็มในทศตวรรษที่ 1970 มีรูปแบบคาสั่งที่คล้ายกับ
ประโยคในภาษาอังกฤษมาก ซึ่งปัจจุบันองค์กร ANSI (American National
Standard Institute) ได้ประกาศให้ SQL เป็นภาษามาตรฐานสาหรับระบบการ
จัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database Management
System หรือ RDBMS)
 ระบบการจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ทุกระบบจะใช้คาสั่งพื้นฐานของภาษา SQL ได้
เหมือน ๆ กัน แต่อาจมีคาสั่งพิเศษที่แตกต่างกันบ้าง เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตแต่ละรายก็พยายามที่
จะพัฒนา RDBMS ของตนเองให้มีลักษณะที่เด่นกว่าระบบอื่นโดยเพิ่มคุณสมบัติที่เกิน
ข้อกาหนดของ ANSI ซึ่งคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้เข้าไป
ความสามารถของระบบการจัดการฐานข้อมูล
สร้างฐานข้อมูล (create database)
 โดยปกติแล้วผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบฐานข้อมูลก่อนจะออกแบบได้ก็
อาจมีการเก็บข้อมูลหรือขั้นตอนการทางานของระบบที่จะพัฒนาเสียก่อน โดยต้องมีการ
สัมภาษณ์หรือวิเคราะห์ค่ารายการต่าง ๆ จากแบบฟอร์มเอกสารหรือระบบงานเดิมซึ่งจะ
ทาให้ทราบได้ว่าต้องใช้ข้อมูลอะไรบ้าง มีกี่ตารางที่จะจัดเก็บ มีคุณสมบัติของตาราง
เป็นอย่างไร ประกอบด้วยฟิลด์กี่ฟิลด์ นอกจากนั้นเพื่อให้ทางานได้ง่ายขึ้นอาจใช้เทคนิค
ที่เรียกว่า การทา normalization ซึ่งจะช่วยลดความซ้าซ้อนของข้อมูลและโอกาส
ที่จะทาให้เกิดความผิดพลาดจากการประมวลผลในฐานข้อมูลมีน้อยลง ขั้นตอนต่อมา
อาจมีการกาหนดความสัมพันธ์ต่าง ๆ ของแต่ละตารางที่เกี่ยวข้องโดยใช้เครื่องมือที่
เรียกว่า E-R diagram (Entity-Relationship diagram) ซึ่งเป็น
เครื่องมือออกแบบฐานข้อมูลที่อยู่ในรูปผังงาน หลังจากนั้นจึงนาข้อมูลที่อยู่ใน E-R
diagram มาสร้างฐานข้อมูลในระบบ DBMS ทั่วไป โดยผ่านเครื่องมือที่มีอยู่ใน
โปรแกรมซึ่งอาศัยภาษา SQL อีกทีหนึ่ง
เพิ่ม เปลี่ยนแปลงแก้ไขและลบข้อมูล
(add, change and delete data)

 ฐานข้อมูลที่จัดสร้างด้วยเครื่องมือของ DBMS นั้นสามารถจะเพิ่ม
รายการต่าง ๆ เข้าไปได้ตลอดเวลา โดยเข้าไปจัดการที่ตัวของ DBMS
โดยตรง เช่น การเพิ่มข้อมูลของบางเรคอร์ดที่ตกหล่นในระหว่างการบันทึกข้อมูล
ตรงกันข้ามเมื่อข้อมูลใดในฐานข้อมูลไม่มีความจาเป็นต้องใช้อีกและอาจทาให้
เปลืองเนื้อที่ในการเก็บ
 เช่น
 เรคอร์ดของนักศึกษาบางคนที่ลาออกไปแล้ว ก็สามารถลบข้อมูลของนักศึกษา
รายนี้ออกจากระบบได้ นอกจากนั้นเมื่อใดก็ตามที่ข้อมูลเปลี่ยนแปลง เช่น ที่อยู่
ลูกค้าเปลี่ยนหรือเบอร์โทรศัพท์ถูกยกเลิก เครื่องมือใน DBMS ก็สามารถช่วย
ให้การแก้ไขค่าเหล่านี้ทาได้โดยง่ายเช่นกัน
จัดเรียงและค้นหาข้อมูล
(sort and retrieve data)

 DBMS ยังช่วยให้การเรียกค้นดูข้อมูลง่ายและสะดวก โดยเรา
สามารถเตรียมข้อมูลและเลือกได้ว่าจะให้DBMS จัดเรียงแบบใด
เช่น เรียงข้อมูลจากค่าน้อยไปหาค่ามาก หรือจะเรียงจากค่ามากไปหา
ค่าน้อย รวมถึงการเรียกดูข้อมูลตามลาดับวัน เวลา เป็นต้น นอกจากนั้น
การค้นหาข้อมูลที่มีอยู่มากมายในฐานข้อมูลนั้น หากผู้ใช้ระบบค่าเพียง
บางส่วนแล้วส่งคาสั่งนั้นผ่านการทางานของ DBMS ก็สามารถเลือก
หรือค้นข้อมูลดังกล่าวได้ง่าย เช่น ข้อมูลของชื่อพนักงานที่ขึ้นต้นด้วย
ก. ไก่ หรือข้อมูลของสินค้าที่มีราคามากกว่า 5,000 บาท เป็นต้น
สร้างรูปแบบและรายงาน
(create form and report)
 คุณสมบัติของ DBMS ที่นอกเหนือจากการค้นและเรียกดูข้อมูล
ต่าง ๆ แล้ว ยังสามารถสร้างรูปแบบการแสดงผลบนหน้าจอ (form)
และพิมพ์ผลลัพธ์รายการออกมาเป็นรายงาน (report) เพื่อให้
ผู้ใช้งานที่เกี่ยวข้องกับฐานข้อมูลดังกล่าว สามารถตรวจสอบ หรือแก้ไข
รายการที่มีอยู่นั้นได้โดยง่าย หรือช่วยในเรื่องการตัดสินใจของผู้บริหาร
องค์กร และนาไปวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้
โดยสรุป
 ข้อมูลสาหรับการประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์นั้น อาจ
ได้มาจากแหล่งข้อมูลภายในหรือภายนอกองค์กร ซึ่งควรมี
คุณสมบัติพื้นฐานประกอบด้วย ความถูกต้อง มีความเป็น
ปัจจุบัน ตรงตามความต้องการ มีความสมบูรณ์และ
สามารถตรวจสอบได้ ทั้งนี้ในการจัดการกับข้อมูลด้วย
คอมพิวเตอร์ จะมีการจัดแบ่งข้อมูลออกเป็นลาดับชั้นเพื่อง่ายต่อ
การเรียกใช้เช่น บิต ไบต์ ฟิลด์ เรคอร์ ไฟล์


 โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลที่จัดเก็บไว้บนสื่อบันทึกข้อมูล
สารองมีอยู่ 3 ลักษณะคือ แบบเรียงลาดับ แบบสุ่ม และแบบ
ลาดับเชิงดรรชนี การเลือกใช้ต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับการ
ใช้งาน สาหรับแฟ้มข้อมูลโดยทั่วไปนั้นจะแบ่งออกได้เป็น 2
ประเภทคือ แฟ้มหลัก ซึ่งเป็นแฟ้มข้อมูลที่มีความถี่ของการ
เปลี่ยนแปลงข้อมูลไม่บ่อยมากนัก และอีกประเภทคือ แฟ้ม
รายการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นแฟ้มที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไข
รายการข้อมูลภายในค่อนข้างบ่อยและทาแบบประจาต่อเนื่อง
หรือเกิดขึ้นทุกวัน
 ข้อมูลจานวนมากที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน จะถูกเก็บรวบรวม
ไว้ที่เดียวกัน เรียกว่า ฐานข้อมูล ซึ่งช่วยให้การประมวลผลมี
ความสะดวกและง่ายยิ่งขึ้น โดยมีแนวคิดที่จะจัดการกับข้อมูล
เพื่อลดความซ้าซ้อน ลดความขัดแย้งรักษาความคงสภาพ
อานวยความสะดวกในการใช้ข้อมูลร่วมกัน ง่ายต่อการเข้าถึง
และ ลดระยะเวลาพัฒนาระบบงาน เครื่องมือสาหรับการ
จัดการฐานข้อมูลนั้น เรียกว่า DBMS ซึ่งเป็นเสมือนผู้จัดการ
ฐานข้อมูลที่จะดูแลและอานวยความสะดวกให้กับผู้ใช้โดยไม่
จาเป็นต้องทราบถึงโครงสร้างทางกายภาพของข้อมูลในระดับที่
ลึกมากแต่อย่างใด
LOGO
“ Add your company slogan ”
จบการนาเสนอ
www.animationfactory.com

More Related Content

What's hot

001 Revolution - 01
001 Revolution - 01001 Revolution - 01
001 Revolution - 01Arcee327
 
Zs 0408 teks viler - istrazivaci zlata (scanturion & jock81 & quare...
Zs 0408   teks viler - istrazivaci zlata (scanturion & jock81 & quare...Zs 0408   teks viler - istrazivaci zlata (scanturion & jock81 & quare...
Zs 0408 teks viler - istrazivaci zlata (scanturion & jock81 & quare...zoran radovic
 
Zagor.korijeni.lib.004(corpz.bas tard)
Zagor.korijeni.lib.004(corpz.bas tard)Zagor.korijeni.lib.004(corpz.bas tard)
Zagor.korijeni.lib.004(corpz.bas tard)zoran radovic
 
834 maskirani osvetnici
834  maskirani osvetnici834  maskirani osvetnici
834 maskirani osvetniciMilenko Gavric
 
η ζωή μετά αιωνιότητα είναι θα περάσει
η ζωή μετά   αιωνιότητα είναι θα περάσειη ζωή μετά   αιωνιότητα είναι θα περάσει
η ζωή μετά αιωνιότητα είναι θα περάσειpinnokio.gr
 
english.advanced.vocabulary.and.structure.practice
 english.advanced.vocabulary.and.structure.practice english.advanced.vocabulary.and.structure.practice
english.advanced.vocabulary.and.structure.practiceMhmd AbdSamad
 
DDBMS_ Chap 9 Distributed Deadlock & Recovery Deadlock concept
DDBMS_ Chap 9 Distributed Deadlock & Recovery Deadlock conceptDDBMS_ Chap 9 Distributed Deadlock & Recovery Deadlock concept
DDBMS_ Chap 9 Distributed Deadlock & Recovery Deadlock conceptKhushali Kathiriya
 
Zagor Ludens 233 - Žezlo Tin-Hinan
Zagor Ludens 233 - Žezlo Tin-HinanZagor Ludens 233 - Žezlo Tin-Hinan
Zagor Ludens 233 - Žezlo Tin-HinanStripovizijacom
 
English vocab in use
English vocab in useEnglish vocab in use
English vocab in useHieu Dao
 
Zs 0943 komandant mark - opasnost nad ontarijem (dejko & kutsak & e...
Zs 0943   komandant mark - opasnost nad ontarijem (dejko & kutsak & e...Zs 0943   komandant mark - opasnost nad ontarijem (dejko & kutsak & e...
Zs 0943 komandant mark - opasnost nad ontarijem (dejko & kutsak & e...zoran radovic
 
030. Bradati pljačkašI
030. Bradati pljačkašI030. Bradati pljačkašI
030. Bradati pljačkašITompa *
 
Asterix In Corsica
Asterix In CorsicaAsterix In Corsica
Asterix In CorsicaDino dino
 
056 Tri Brata Rock
056  Tri Brata Rock056  Tri Brata Rock
056 Tri Brata RockTompa *
 

What's hot (20)

Hizb 17
Hizb 17Hizb 17
Hizb 17
 
WD - Unit - 6 - Database Connectivity using PHP
WD - Unit - 6 - Database Connectivity using PHPWD - Unit - 6 - Database Connectivity using PHP
WD - Unit - 6 - Database Connectivity using PHP
 
DC Unit - 1 - Introduction
DC Unit - 1 - IntroductionDC Unit - 1 - Introduction
DC Unit - 1 - Introduction
 
Vajat erp 119
Vajat erp 119Vajat erp 119
Vajat erp 119
 
001 Revolution - 01
001 Revolution - 01001 Revolution - 01
001 Revolution - 01
 
Zs 0408 teks viler - istrazivaci zlata (scanturion & jock81 & quare...
Zs 0408   teks viler - istrazivaci zlata (scanturion & jock81 & quare...Zs 0408   teks viler - istrazivaci zlata (scanturion & jock81 & quare...
Zs 0408 teks viler - istrazivaci zlata (scanturion & jock81 & quare...
 
Zagor.korijeni.lib.004(corpz.bas tard)
Zagor.korijeni.lib.004(corpz.bas tard)Zagor.korijeni.lib.004(corpz.bas tard)
Zagor.korijeni.lib.004(corpz.bas tard)
 
Hizb 23
Hizb 23Hizb 23
Hizb 23
 
834 maskirani osvetnici
834  maskirani osvetnici834  maskirani osvetnici
834 maskirani osvetnici
 
η ζωή μετά αιωνιότητα είναι θα περάσει
η ζωή μετά   αιωνιότητα είναι θα περάσειη ζωή μετά   αιωνιότητα είναι θα περάσει
η ζωή μετά αιωνιότητα είναι θα περάσει
 
english.advanced.vocabulary.and.structure.practice
 english.advanced.vocabulary.and.structure.practice english.advanced.vocabulary.and.structure.practice
english.advanced.vocabulary.and.structure.practice
 
DDBMS_ Chap 9 Distributed Deadlock & Recovery Deadlock concept
DDBMS_ Chap 9 Distributed Deadlock & Recovery Deadlock conceptDDBMS_ Chap 9 Distributed Deadlock & Recovery Deadlock concept
DDBMS_ Chap 9 Distributed Deadlock & Recovery Deadlock concept
 
Zagor Ludens 233 - Žezlo Tin-Hinan
Zagor Ludens 233 - Žezlo Tin-HinanZagor Ludens 233 - Žezlo Tin-Hinan
Zagor Ludens 233 - Žezlo Tin-Hinan
 
English vocab in use
English vocab in useEnglish vocab in use
English vocab in use
 
Zs 0943 komandant mark - opasnost nad ontarijem (dejko & kutsak & e...
Zs 0943   komandant mark - opasnost nad ontarijem (dejko & kutsak & e...Zs 0943   komandant mark - opasnost nad ontarijem (dejko & kutsak & e...
Zs 0943 komandant mark - opasnost nad ontarijem (dejko & kutsak & e...
 
Madhyamik marksheet
Madhyamik marksheetMadhyamik marksheet
Madhyamik marksheet
 
030. Bradati pljačkašI
030. Bradati pljačkašI030. Bradati pljačkašI
030. Bradati pljačkašI
 
Hizb 18
Hizb 18Hizb 18
Hizb 18
 
Asterix In Corsica
Asterix In CorsicaAsterix In Corsica
Asterix In Corsica
 
056 Tri Brata Rock
056  Tri Brata Rock056  Tri Brata Rock
056 Tri Brata Rock
 

Similar to ข้อมูลและการจัดการข้อมูล

ข้อมูลและการจัดการข้อมูล
ข้อมูลและการจัดการข้อมูลข้อมูลและการจัดการข้อมูล
ข้อมูลและการจัดการข้อมูลssuseraa96d2
 
ธันยพร นกศิริ ม409 เลขที่2
ธันยพร นกศิริ ม409 เลขที่2ธันยพร นกศิริ ม409 เลขที่2
ธันยพร นกศิริ ม409 เลขที่2Hitsuji12
 
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูลความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูลสุจิตรา แสงเรือง
 
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูลความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูลสุจิตรา แสงเรือง
 
ระบบฐานข้อมูล
ระบบฐานข้อมูลระบบฐานข้อมูล
ระบบฐานข้อมูลchanoot29
 
หน่วยที่ 1เรื่อง การจัดการข้อมูล ธนพงษ์ น่านกร ม.5
หน่วยที่ 1เรื่อง การจัดการข้อมูล ธนพงษ์  น่านกร ม.5หน่วยที่ 1เรื่อง การจัดการข้อมูล ธนพงษ์  น่านกร ม.5
หน่วยที่ 1เรื่อง การจัดการข้อมูล ธนพงษ์ น่านกร ม.5palmyZommanow
 
หน่วยที่ 1
หน่วยที่ 1หน่วยที่ 1
หน่วยที่ 1palmyZommanow
 
Introduction to Database
Introduction to DatabaseIntroduction to Database
Introduction to DatabaseOpas Kaewtai
 
Introduction to Database
Introduction to DatabaseIntroduction to Database
Introduction to DatabaseOpas Kaewtai
 
การจัดการข้อมูลด้วยระบบการจัดการฐานข้อมูล
การจัดการข้อมูลด้วยระบบการจัดการฐานข้อมูลการจัดการข้อมูลด้วยระบบการจัดการฐานข้อมูล
การจัดการข้อมูลด้วยระบบการจัดการฐานข้อมูลchanoot29
 
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา ปาโจด ม.5
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา  ปาโจด ม.5หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา  ปาโจด ม.5
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา ปาโจด ม.5สิรินยา ปาโจด
 
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา ปาโจด ม.5
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา  ปาโจด ม.5หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา  ปาโจด ม.5
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา ปาโจด ม.5สิรินยา ปาโจด
 
การจัดเก็บข้อมูล
การจัดเก็บข้อมูลการจัดเก็บข้อมูล
การจัดเก็บข้อมูลsa
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1nunzaza
 
งานนำเสนอ การจัดการฐานข้อมุล
งานนำเสนอ การจัดการฐานข้อมุลงานนำเสนอ การจัดการฐานข้อมุล
งานนำเสนอ การจัดการฐานข้อมุลchanoot29
 

Similar to ข้อมูลและการจัดการข้อมูล (20)

ข้อมูลและการจัดการข้อมูล
ข้อมูลและการจัดการข้อมูลข้อมูลและการจัดการข้อมูล
ข้อมูลและการจัดการข้อมูล
 
Lesson 1
Lesson 1Lesson 1
Lesson 1
 
ธันยพร นกศิริ ม409 เลขที่2
ธันยพร นกศิริ ม409 เลขที่2ธันยพร นกศิริ ม409 เลขที่2
ธันยพร นกศิริ ม409 เลขที่2
 
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูลความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
 
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูลความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
 
บทที่่ 1
บทที่่ 1บทที่่ 1
บทที่่ 1
 
Slide Chapter1
Slide Chapter1Slide Chapter1
Slide Chapter1
 
ระบบฐานข้อมูล
ระบบฐานข้อมูลระบบฐานข้อมูล
ระบบฐานข้อมูล
 
หน่วยที่ 1เรื่อง การจัดการข้อมูล ธนพงษ์ น่านกร ม.5
หน่วยที่ 1เรื่อง การจัดการข้อมูล ธนพงษ์  น่านกร ม.5หน่วยที่ 1เรื่อง การจัดการข้อมูล ธนพงษ์  น่านกร ม.5
หน่วยที่ 1เรื่อง การจัดการข้อมูล ธนพงษ์ น่านกร ม.5
 
หน่วยที่ 1
หน่วยที่ 1หน่วยที่ 1
หน่วยที่ 1
 
Introduction to Database
Introduction to DatabaseIntroduction to Database
Introduction to Database
 
Introduction to Database
Introduction to DatabaseIntroduction to Database
Introduction to Database
 
การจัดการข้อมูลด้วยระบบการจัดการฐานข้อมูล
การจัดการข้อมูลด้วยระบบการจัดการฐานข้อมูลการจัดการข้อมูลด้วยระบบการจัดการฐานข้อมูล
การจัดการข้อมูลด้วยระบบการจัดการฐานข้อมูล
 
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา ปาโจด ม.5
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา  ปาโจด ม.5หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา  ปาโจด ม.5
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา ปาโจด ม.5
 
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา ปาโจด ม.5
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา  ปาโจด ม.5หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา  ปาโจด ม.5
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา ปาโจด ม.5
 
การจัดเก็บข้อมูล
การจัดเก็บข้อมูลการจัดเก็บข้อมูล
การจัดเก็บข้อมูล
 
Db1
Db1Db1
Db1
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
it-06-50
it-06-50it-06-50
it-06-50
 
งานนำเสนอ การจัดการฐานข้อมุล
งานนำเสนอ การจัดการฐานข้อมุลงานนำเสนอ การจัดการฐานข้อมุล
งานนำเสนอ การจัดการฐานข้อมุล
 

More from ssuseraa96d2

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศssuseraa96d2
 
ความปลอดภัยและจริยธรรมทางด้านคอมพิวเตอร์
ความปลอดภัยและจริยธรรมทางด้านคอมพิวเตอร์ความปลอดภัยและจริยธรรมทางด้านคอมพิวเตอร์
ความปลอดภัยและจริยธรรมทางด้านคอมพิวเตอร์ssuseraa96d2
 
ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตssuseraa96d2
 
ระบบปฏิบัติการ Linux
ระบบปฏิบัติการ Linuxระบบปฏิบัติการ Linux
ระบบปฏิบัติการ Linuxssuseraa96d2
 
ระบบปฏิบัติการ MS-DOS
ระบบปฏิบัติการ MS-DOSระบบปฏิบัติการ MS-DOS
ระบบปฏิบัติการ MS-DOSssuseraa96d2
 
ข้อมูลและการจัดการข้อมูล
ข้อมูลและการจัดการข้อมูลข้อมูลและการจัดการข้อมูล
ข้อมูลและการจัดการข้อมูลssuseraa96d2
 
ความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ssuseraa96d2
 
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตssuseraa96d2
 
การกำหนดสไตล์ให้กับเอกสาร
การกำหนดสไตล์ให้กับเอกสารการกำหนดสไตล์ให้กับเอกสาร
การกำหนดสไตล์ให้กับเอกสารssuseraa96d2
 
การเชื่อมโยงเอกสาร
การเชื่อมโยงเอกสารการเชื่อมโยงเอกสาร
การเชื่อมโยงเอกสารssuseraa96d2
 
การสร้างฟอร์ม
การสร้างฟอร์มการสร้างฟอร์ม
การสร้างฟอร์มssuseraa96d2
 
การสร้างเฟรม
การสร้างเฟรมการสร้างเฟรม
การสร้างเฟรมssuseraa96d2
 
การสร้างตาราง
การสร้างตารางการสร้างตาราง
การสร้างตารางssuseraa96d2
 
การแทรกรูปภาพ
การแทรกรูปภาพการแทรกรูปภาพ
การแทรกรูปภาพssuseraa96d2
 
การกำหนดให้ข้อความอยู่ในรูปของรายการ
การกำหนดให้ข้อความอยู่ในรูปของรายการการกำหนดให้ข้อความอยู่ในรูปของรายการ
การกำหนดให้ข้อความอยู่ในรูปของรายการssuseraa96d2
 
การตกแต่งเอกสาร
การตกแต่งเอกสารการตกแต่งเอกสาร
การตกแต่งเอกสารssuseraa96d2
 
เริ่มต้นสร้างเอกสาร HTML
เริ่มต้นสร้างเอกสาร HTMLเริ่มต้นสร้างเอกสาร HTML
เริ่มต้นสร้างเอกสาร HTMLssuseraa96d2
 
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษา HTML
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษา HTMLความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษา HTML
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษา HTMLssuseraa96d2
 
ฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อื่นๆ
ฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อื่นๆฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อื่นๆ
ฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อื่นๆssuseraa96d2
 
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศssuseraa96d2
 

More from ssuseraa96d2 (20)

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
 
ความปลอดภัยและจริยธรรมทางด้านคอมพิวเตอร์
ความปลอดภัยและจริยธรรมทางด้านคอมพิวเตอร์ความปลอดภัยและจริยธรรมทางด้านคอมพิวเตอร์
ความปลอดภัยและจริยธรรมทางด้านคอมพิวเตอร์
 
ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
 
ระบบปฏิบัติการ Linux
ระบบปฏิบัติการ Linuxระบบปฏิบัติการ Linux
ระบบปฏิบัติการ Linux
 
ระบบปฏิบัติการ MS-DOS
ระบบปฏิบัติการ MS-DOSระบบปฏิบัติการ MS-DOS
ระบบปฏิบัติการ MS-DOS
 
ข้อมูลและการจัดการข้อมูล
ข้อมูลและการจัดการข้อมูลข้อมูลและการจัดการข้อมูล
ข้อมูลและการจัดการข้อมูล
 
ความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
 
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต
 
การกำหนดสไตล์ให้กับเอกสาร
การกำหนดสไตล์ให้กับเอกสารการกำหนดสไตล์ให้กับเอกสาร
การกำหนดสไตล์ให้กับเอกสาร
 
การเชื่อมโยงเอกสาร
การเชื่อมโยงเอกสารการเชื่อมโยงเอกสาร
การเชื่อมโยงเอกสาร
 
การสร้างฟอร์ม
การสร้างฟอร์มการสร้างฟอร์ม
การสร้างฟอร์ม
 
การสร้างเฟรม
การสร้างเฟรมการสร้างเฟรม
การสร้างเฟรม
 
การสร้างตาราง
การสร้างตารางการสร้างตาราง
การสร้างตาราง
 
การแทรกรูปภาพ
การแทรกรูปภาพการแทรกรูปภาพ
การแทรกรูปภาพ
 
การกำหนดให้ข้อความอยู่ในรูปของรายการ
การกำหนดให้ข้อความอยู่ในรูปของรายการการกำหนดให้ข้อความอยู่ในรูปของรายการ
การกำหนดให้ข้อความอยู่ในรูปของรายการ
 
การตกแต่งเอกสาร
การตกแต่งเอกสารการตกแต่งเอกสาร
การตกแต่งเอกสาร
 
เริ่มต้นสร้างเอกสาร HTML
เริ่มต้นสร้างเอกสาร HTMLเริ่มต้นสร้างเอกสาร HTML
เริ่มต้นสร้างเอกสาร HTML
 
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษา HTML
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษา HTMLความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษา HTML
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษา HTML
 
ฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อื่นๆ
ฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อื่นๆฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อื่นๆ
ฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อื่นๆ
 
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
 

ข้อมูลและการจัดการข้อมูล

  • 1. LOGO “ Add your company slogan ” หน่วยที่ 7 ข้อมูลและการจัดการข้อมูล
  • 2. 7.1 การจัดการกับไฟล์ (File Management)  ไฟล์(File) เป็นหน่วยในการเก็บข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ซึ่ง อาจจะเก็บอยู่ในสื่อเก็บบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เช่น ฟล็อปปี้ ดิสก์ , ฮาร์ดดิสก์หรือซีดีรอม เป็นต้น และจะอ้างอิงถึงได้โดยระบุชื่อไฟล์และ ส่วนขยายตามกติกา ชื่อไฟล์(file name) ในระบบปฏิบัติการยุคแรก ๆ นั้น ชื่อไฟล์ตั้ง ได้ไม่เกิน 8 อักขระเท่านั้น แต่การใช้งานกับระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ ๆ เช่น Windows สามารถตั้งชื่อไฟล์ได้มากถึง 256 อักขระ โดยมากจะนิยมตั้งชื่อโดยไม่ให้มีช่องว่าง (blank) ระหว่างชื่อไฟล์ หากจาเป็นต้องมีจะใช้เครื่องหมายขีดล่างแทน เช่น computer_list, business_sheet, marketing_profile เป็นต้น
  • 3.  ส่วนขยาย (extensions) เป็นส่วนที่ช่วยให้ ระบบปฏิบัติการเข้าใจรูปแบบหรือชนิดของไฟล์ได้ง่ายมาก ยิ่งขึ้น ประกอบด้วยอักขระประมาณ 3-4 ตัว เขียนเพิ่มต่อจาก ชื่อไฟล์ คั่นด้วยเครื่องหมายจุด(.) เทียบได้กับ “นามสกุล ของไฟล์” บางระบบปฏิบัติการ เช่น Windows XP จะซ่อนส่วนขยายนี้ไว้ ถ้าจะดูต้องไปตั้งการทางานเพิ่ม  โดยทั่วไปไฟล์จะมีชื่อซ้ากันได้ถ้าคนละส่วนขยาย แต่จะซ้า ทั้งสองอย่างไม่ได้ เช่นเดียวกับคนซึ่งไม่ควรมีทั้งชื่อและ นามสกุลซ้ากัน
  • 4. ตัวอย่าง  index.htm  ไฟล์ที่เรียกชื่อว่า index ซึ่งเป็นกลุ่มชนิดไฟล์ที่เขียนขึ้นด้วยภาษา HTML เพื่อนาไปใช้กับการแสดงผลบนอินเทอร์เน็ต  Computer.doc  ไฟล์ที่เรียกชื่อว่า computer เป็นไฟล์ที่สร้างจากโปรแกรม Microsoft Word ซึ่งจะแสดงผลลัพธ์ออกมาในรูปของเอกสาร (document)  Introduction.ppt  ไฟล์ที่เรียกชื่อว่า introduction เป็นไฟล์ที่สร้างจากโปรแกรมนาเสนอ งานที่ชื่อว่า Microsoft PowerPoint ซึ่งแสดงผลลัพธ์ออกมาเป็น เอกสารหรือสไลด์เพื่อการนาเสนองานโดยเฉพาะ
  • 5. 7.2 ข้อมูลและการจัดการข้อมูล   ข้อมูล คือข้อเท็จจริงที่มีการรวบรวมไว้และมีความหมาย อาจเกี่ยวข้องกับคน สิ่งของ หรือเหตุการณ์อื่น ๆ ในการ ประมวลผลของคอมพิวเตอร์ นิยมใช้เป็นส่วนนาเข้าพื้นฐาน เพื่อให้ได้สารสนเทศสาหรับการช่วยตัดสินใจและนาเอาไปใช้ ประโยชน์อื่น ๆ อีกได้ตามต้องการ
  • 6. ข้อมูลที่ถูกจัดเรียงใหม่ให้น่าใช้ขึ้นกว่าเดิม  รายการสินค้าที่สั่ง วันที่สั่ง จานวนที่สั่ง ราคา/หน่วย (บาท) 11/08/46 5 50.00 05/11/46 20 25.00 20/01/47 10 5.00 12/05/47 3 150.00 29/06/47 8 75.00 30/09/47 13 15.00 05/10/47 22 250.00    110846 5 50 00 051146 20 25 00 200147 10 5 00 120547 3 150 00 290647 8 75 00 300947 13 15 00 051047 22 250 00
  • 7. 7.3 แหล่งข้อมูล  ข้อมูลถือได้ว่าเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สาคัญสาหรับการ ประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ในยุคโลกาภิวัตน์ (globalization) ที่การติดต่อสื่อสารแบบไร้พรมแดน เกิดขึ้นอย่างมากมาย ทาให้ข้อมูลถูกเผยแพร่และกระจายการใช้ งานกันได้อย่างทั่วถึง โดยปกติแล้วข้อมูลสาหรับการนามา ประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ มาจากแหล่งที่มา 2 ประเภท ด้วยกันคือ แหล่งข้อมูลภายใน และ แหล่งข้อมูลภายนอก
  • 8. แหล่งข้อมูลภายใน  เป็นแหล่งกาเนิดของข้อมูลที่อยู่ภายในองค์การทั่วไป ข้อมูลที่ได้มา  นั้นอาจมาจากพนักงานหรือมีอยู่แล้วในองค์กร เช่น ยอดขาย ประจาปี ข้อมูลผู้ถือหุ้น รายงานกาไรขาดทุน รายชื่อพนักงานข้อมูล เหล่านี้จะให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงต่าง ๆ ภายในองค์กรแต่เพียง อย่างเดียว อาจเป็นข้อมูลที่เปิดเผยให้กับบุคคลภายนอกทราบหรือไม่ก็ ได้ หากข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดาเนินงานหลัก ขององค์กรและมีความสาคัญมาก เช่น ข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่จะออกสู่ตลาด ใหม่ ข้อมูลการทดลองการแปรรูปสินค้า หน่วยงานนั้นอาจมีการ ปกปิดไว้เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลได้
  • 9. แหล่งข้อมูลภายนอก  เป็นแหล่งกาเนิดข้อมูลที่มีอยู่ภายนอกองค์กร โดยทั่วไปแล้ว สามารถนาข้อมูลต่าง ๆ เหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ในองค์กรหรือนามาใช้ กับการประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ได้ระบบงานที่สมบูรณ์ขึ้น ได้ ข้อมูลเหล่านี้ เช่น ข้อมูลลูกค้า เจ้าหนี้ อัตราดอกเบี้ยสถาบันการเงิน กฎหมายและอัตราภาษีของรัฐบาล หรืออาจรวมถึงข้อมูลบริษัทคู่แข่ง ด้วย ซึ่งไม่ใช่ข้อมูลที่มีอยู่ภายในบริษัทหรือองค์กรแต่อย่างใด เราสามารถหาข้อมูลจากแหล่งภายนอกนี้ได้จากบริษัทผู้ให้บริการข้อมูล หรือจากหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ หรือสื่ออื่น ๆ ได้ทั่วไป
  • 10. 7.4 คุณสมบัติของข้อมูลที่ดี  ข้อมูลที่จะนามาใช้ประมวลผลเพื่อให้ได้สารสนเทศที่ ต้องการนั้น อาจได้มาจากทั้งแหล่งข้อมูลภายในหรือภายนอก องค์กร ซึ่งหากได้ข้อมูลที่ดีย่อมหมายถึง ความได้เปรียบในการ ดาเนินการตามไปด้วย ซึ่งจาเป็นต้องมีคุณสมบัติขั้นพื้นฐาน ดังนี้
  • 11. ความถูกต้อง (Accuracy)  ข้อมูลที่ดีต้องมีความถูกต้องเพื่อให้สามารถนาเอาไปใช้ประโยชน์ ได้ ข้อมูลที่ไม่เป็นจริงและมีความคลาดเคลื่อนอยู่มาก อาจก่อให้เกิด ความเสียหายต่อการเอาข้อมูลนั้นไปใช้ได้ต่ออีกได้ การคัดเลือกข้อมูลที่ นามาใช้จึงต้องพิจารณาประเด็นนี้ประกอบด้วย เพราะการประมวลผล ด้วยคอมพิวเตอร์จะประมวลผลตามกระบวนการป้อนข้อมูลเข้า เมื่อใดที่ ป้อนข้อมูลเข้ามาแบบผิด ๆ ผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลก็จะผิดตาม ไปด้วยเหมือนสานวนที่ว่า  “ใส่ขยะเข้าไปก็จะได้ขยะกลับออกมา”  หรือ “Garbage In Garbage Out (GIGO)”
  • 12. มีความเป็นปัจจุบัน (Update)  ข้อมูลที่ดีจาเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้มีความเป็น ปัจจุบันอยู่เสมอเนื่องจากปกติข้อมูลจะมีลักษณะคงที่ เว้นแต่ว่า จะมีผู้มาแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลนั้นเสียใหม่ อีกทั้งเหตุการณ์ ต่าง ๆ มักเกิดขึ้นใหม่อยู่ตลอดเวลา ข้อมูลเกี่ยวกับจานวน ประชากรผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในสมัยก่อนอาจไม่นามาใช้เป็นข้อมูล เพื่อประกอบการวางแผนการเลือกตั้งในยุคสมัยปัจจุบันได้  ดังนั้นจาเป็นต้องมีการปรับใหม่ให้เป็นปัจจุบันมากขึ้น หาก ล้าสมัยหรือไม่มีการปรับปรุงใด ๆ การนาไปใช้ประโยชน์ก็จะ ได้ผลลัพธ์ที่คลาดเคลื่อนหรือเกิดความผิดพลาดได้
  • 14. ความสมบูรณ์ (Complete)  การนาเอาข้อมูลมาใช้ประโยชน์นั้นจะต้องมีความสมบูรณ์ของ ข้อมูล มากพอ จึงจะทาให้การนาเอาไปใช้นั้นเกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ การเก็บรวบรวมข้อมูลสามารถทาได้มากกว่าหนึ่งครั้งเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ สมบูรณ์จริง ๆ เช่น การเก็บข้อมูลเชิงสถิติ หรือวัดค่าเฉลี่ย อาจต้องเก็บ รวบรวมข้อมูลโดยการกรอกแบบสอบถามรอบแรก เรียกว่าข้อมูลปฐม ภูมิ (primary data) จากนั้นจึงเอามาหาค่าที่ต้องการจริง ๆ เรียกว่า ข้อมูลทุติยภูมิ (secondary data) จึงนาไปใช้ ประโยชน์ต่ออีกได้
  • 15. ตรวจสอบได้ (Verifiable)  ข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันอาจหามาได้จากแหล่งข้อมูลหลาย แหล่งด้วยกัน ซึ่งอาจมีทั้งข้อมูลที่เชื่อถือได้ หรือข้อมูลซึ่งเป็น กลลวงของคู่แข่งขัน ดังนั้นหากต้องการนามาประมวลผลจึง ควรเลือกข้อมูลที่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มา หรือแหล่งที่มี หลักฐานอ้างอิงต่าง ๆ ได้เพื่อป้องกันข้อมูลที่ไม่เกิดประโยชน์ และอาจนาผลเสียหายมาให้นั่นเอง
  • 16. 7.5 การแบ่งลาดับชั้นของการจัดการข้อมูล (Hierarchy of Data)  โครงสร้างข้อมูลมีรูปแบบเป็นลาดับชั้นโดยเริ่มด้วยหน่วยที่ เล็กที่สุดคือ บิต(Bit) ไบต์ (Byte) เขตข้อมูล (Field) ระเบียนข้อมูล (Record) และไฟล์ (File) ในการจัดการข้อมูล จะมีการจัดแบ่งข้อมูลออกมาเป็นลาดับชั้น เพื่อง่ายต่อการเรียกใช้และประมวลผล ซึ่งอธิบายเกี่ยวกับลาดับ ชั้นข้อมูลพื้นฐาน ดังนี้
  • 18.  บิต (Bit – Binary Digit)  เป็นลาดับชั้นของหน่วยข้อมูลที่เล็กที่สุด ข้อมูลที่จะทางานร่วมกับ คอมพิวเตอร์ได้นั้นจะต้องเอามาแปลงให้อยู่ในรูปของเลขฐานสอง เสียก่อน คอมพิวเตอร์ถึงจะเข้าใจและทางานตามที่ต้องการได้  เมื่อแปลงแล้วจะได้ตัวเลขแทนสถานะเปิดและปิดของ สัญญาณไฟฟ้าที่เรียกว่า บิต เพียง 2 ค่าเท่านั้นคือ บิต 0 และ บิต 1
  • 19.  ไบต์(Byte)  เมื่อนาบิตมารวมกันหลาย ๆ บิต จะได้หน่วยข้อมูลกลุ่มใหม่ที่ เรียกว่า ไบต์(Byte) ซึ่งจานวนของบิตที่ได้ในแต่ละกลุ่มอาจมีมาก หรือน้อยบ้าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของรหัสที่ใช้เก็บ แต่โดยปกติกับการ ใช้งานในรหัสแอสกี (ASCII) ทั่วไปจะได้กลุ่มของบิตจานวน 8 บิตด้วยกัน ซึ่งนิยมนามาแทนเป็นรหัสของตัวอักษร บางครั้งจึงนิยม เรียก ข้อมูล 1ไบต์ว่าเป็น 1 ตัวอักษร
  • 20.  ฟิลด์ หรือขอบเขตของข้อมูล (Field)  ประกอบด้วยกลุ่มของตัวอักษรหรือไบต์ตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไปมา ประกอบกันเป็นหน่วยข้อมูลที่ใหญ่ขึ้นแล้วแสดงลักษณะหรือ ความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง  ตัวอย่างเขตข้อมูลเกี่ยวกับพนักงาน เช่น  รหัสพนักงาน ชื่อ นามสกุล เงินเดือน ตาแหน่ง เป็นต้น
  • 21.  เรคอร์ด (Record)  เป็นกลุ่มของเขตข้อมูลหรือฟิลด์ที่มีความสัมพันธ์กัน และนามา จัดเก็บรวมกันเป็นหน่วยใหม่ที่ใหญ่ขึ้นเพียงหน่วยเดียว ปกติในการ จัดการข้อมูลใดมักประกอบด้วยเรคอร์ดหลาย ๆ เรคอร์ด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ขนาดของข้อมูลเป็นหลัก
  • 22.  ไฟล์หรือแฟ้มตารางข้อมูล (File)  ไฟล์หรือแฟ้มตารางข้อมูล เป็นการนาเอาข้อมูลทั้งหมดหลาย ๆ เร คอร์ดที่ต้องการจัดเก็บมาเรียงอยู่ในรูปแบบของแฟ้มตารางข้อมูล เดียวกัน เช่น แฟ้มตารางข้อมูลเกี่ยวกับคะแนนนักศึกษาวิชาคอมพิวเตอร์  อาจประกอบด้วยเรคอร์ดของนักศึกษาหลาย ๆ คนที่เก็บข้อมูล เกี่ยวกับ รหัสนักศึกษา ชื่อ นามสกุล และคะแนนที่ได้เป็นต้น
  • 24.  ฟิลด์ใด ๆ ที่ไม่มีข้อมูลซ้ากันเลย เราเรียกว่า คีย์ฟิลด์ (key field) ซึ่งจะใช้เป็นตัวอ้างอิงแต่ละเรคอร์ด จากตัวอย่างข้อมูลในตารางดังกล่าว  ดังนั้นเพื่อให้ง่ายต่อการจัดการข้อมูลที่ต้องการนาเอาแฟ้มมา จัดเก็บไว้อยู่ในที่เดียวกัน จึงควรกาหนดให้มีคีย์ฟีลด์ดังกล่าวไว้ ด้วยเพื่ออ้างอิงหรือระบุข้อมูลให้เรียกใช้ได้โดยง่าย สะดวกและ มีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง มีคีย์ฟิลด์คือ รหัสนักศึกษา ซึ่งไม่ มีข้อมูลซ้ากันเลย
  • 25. 7.6 ฐานข้อมูล (Database)  ฐานข้อมูลเกิดจากการรวบรวมเอาแฟ้มตารางข้อมูลหลาย ๆ แฟ้มที่มีความสัมพันธ์กันนั้นมาเก็บรวมกันไว้ที่เดียว โดยจะมี การเก็บคาอธิบายเกี่ยวกับโครงสร้างฐานข้อมูลหรือที่เรียกว่า พจนานุกรมข้อมูล (data dictionary) ซึ่งจะใช้อธิบาย ลักษณะของข้อมูลที่เก็บไว้ เป็นต้นว่าโครงสร้างของแต่ละ ตารางเป็นอย่างไร ประกอบด้วยฟิลด์อะไรบ้าง คุณลักษณะของ แต่ละฟิลด์และความสัมพันธ์ของแต่ละแฟ้มเป็นอย่างไร ซึ่ง ข้อมูลเหล่านี้ถือว่ามีความจาเป็นมากและจะถูกเรียกใช้ใน ระหว่างที่มีการประมวลผลฐานข้อมูล
  • 27. ฐานข้อมูลแบบเชิงสหสัมพันธ์ (Relational Database)  เป็นการเก็บข้อมูลไว้ในลักษณะของตาราง2 มิติ (Table) โดยแบ่งเป็นแถว (Row แทน Record) และ คอลัมน์ (Column แทนฟิลด์หรือ Attribute) ฐานข้อมูลเชิง สหสัมพันธ์จึงประกอบไปด้วยกลุ่มของตารางข้อมูลหลายตาราง แต่ละ ตารางมีความสัมพันธ์กันด้วย Attribute ใด Attribute หนึ่ง จึง เรียกข้อมูลแต่ละตารางว่า “Relation” หรือ “Table” เช่น Table “ลูกค้า” , “สั่งซื้อสินค้า” เป็น Table ข้อมูลที่มี ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันในกระบวนการสั่งซื้อสินค้า เป็นต้น
  • 29. ฐานข้อมูลเชิงวัตถุ (Object-Oriented Database)  ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์จะจัดเก็บเฉพาะข้อมูลไว้ในฐานข้อมูล ส่วนชุดคาสั่งที่ใช้ในการดาเนินการกับฐานข้อมูลจะจัดเก็บไว้ใน ซอฟต์แวร์ DBMS แยกต่างหาก แต่มีฐานข้อมูลชนิดหนึ่งที่จัดเก็บ ทั้งข้อมูลและชุดคาสั่งไว้ด้วยกัน ซึ่งการรวมข้อมูลและคาสั่งไว้ในการ ดาเนินการใด ๆ เข้าด้วยกัน จะเรียกสิ่งนั้นว่า “วัตถุ (Object)” และ ฐานข้อมูลที่จะนามาจัดการกับObject ก็จะถูกเรียกว่า  “ฐานข้อมูลเชิงวัตถุ (Object – oriented Database)”
  • 31.  สาหรับซอฟต์แวร์ระบบการจัดการฐานข้อมูลชนิดนี้ จะเรียกว่า “OODBMS” ถึงแม้ว่าฐานข้อมูลชนิดนี้จะมีประสิทธิภาพในการ จัดเก็บและจัดการ แต่ก็พบว่ายังไม่มีการนามาใช้งานอย่างแพร่หลาย เท่ากับฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ที่พบก็เพียงการนาแนวคิดเชิงวัตถุมา ผสมผสานการทางานกับแนวคิดฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ จึงเรียก ฐานข้อมูลชนิดนี้ว่า “Object-relational Database” ที่ ผู้ดูแลฐานข้อมูลสามารถใช้ภาษาระบบจัดการฐานข้อมูลชนิดเดียวกับที่ ใช้กับฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ได้ ดังนั้นจึงสามารถจัดหาDBMS ได้ เช่นเดียวกับฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ เช่น Oracle , DB2 , SyBase เป็นต้น
  • 32. ฐานข้อมูลมักเกี่ยวข้องกับการดารงชีวิตประจาวันของเรา ยกตัวอย่างเช่น  ฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ จัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวกับประชากรใน ประเทศไทยทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการเกิด การตาย การ ย้ายหรือเปลี่ยนแปลงที่อยู่ รวมถึงข้อมูลอื่นๆ เช่น ข้อมูลคู่ สมรส บุตร เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้จะถูกจัดเก็บไว้ในหน่วยงาน กลาง เช่น กระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ผู้ที่ต้องการใช้ข้อมูล สามารถเรียกใช้ได้โดยง่าย หากไม่มีการจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้อง กันนี้รวมเป็นฐานข้อมูล การเรียกใช้ก็อาจทาได้ไม่ง่ายนัก เพราะ ข้อมูลจะมีอยู่กระจัดกระจายไปทั่วประเทศ
  • 33. 7.7 การจัดการโครงสร้างของแฟ้มข้อมูล (File Organization)   โดยปกติแฟ้มข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในหน่วยความจาสารอง (secondary storage) เช่น ฮาร์ดดิสก์ เนื่องจากมี ความจุข้อมูลสูง และสามารถเก็บได้ถาวรแม้จะปิดเครื่องไป การจัดเก็บจะต้องมีวิธีกาหนดโครงสร้าง โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้การจัดเก็บและเข้าถึงข้อมูลมีความรวดเร็ว ถูกต้อง และ เหมาะสมกับความต้องการ การเข้าถึงและค้นคืนข้อมูลจะอาศัย คีย์ฟิลด์ในการเรียกค้นด้วยเสมอ การจัดโครงสร้างข้อมูลอาจ แบ่งได้3 ลักษณะ คือ
  • 34. 7.7.1 โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลาดับ (Sequential File Structure)   เป็นโครงสร้างของแฟ้มข้อมูลชนิดพื้นฐานที่สามารถใช้งานได้ง่าย ที่สุด เนื่องจากมีลักษณะการจัดเก็บข้อมูลแบบเรียงลาดับเรคอร์ด ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ การอ่านหรือค้นคืนข้อมูลจะข้ามลาดับไปอ่านตรง ตาแหน่งใด ๆ ที่ต้องการโดยตรงไม่ได้เมื่อต้องการอ่านข้อมูลที่เรคอร์ด ใด ๆ โปรแกรมจะเริ่มอ่านตั้งแต่เรคอร์ดแรกไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะพบเร คอร์ดที่ต้องการ ก็จะเรียกค้นคืนเรคอร์ดนั้นขึ้นมา
  • 36. 7.7.2 โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลแบบสุ่ม (Direct/Random File Structure)    เป็นลักษณะของโครงสร้างแฟ้มข้อมูลที่เข้าได้โดยตรง เมื่อ ต้องการอ่านค่าเรคอร์ดใด ๆ สามารถทาการเลือกหรืออ่านค่านั้นได้ทันที ไม่จาเป็นต้องผ่านเรคอร์ดแรก ๆ เหมือนกับแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลาดับ ซึ่งทาให้การเข้าถึงข้อมูลทาได้รวดเร็วกว่า ปกติจะมีการจัดเก็บในสื่อที่มี ลักษณะการเข้าถึงได้โดยตรงประเภทจานแม่เหล็ก เช่นดิสเก็ตต์ ฮาร์ดดิสก์ หรือ CD-ROM เป็นต้น โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลแบบ สุ่ม แบ่งตามลักษณะการทางานออกได้เป็น2 ประเภทคือ
  • 37. แบบแฮชไฟล์ (Hash File)   เป็นลักษณะโครงสร้างที่มีการเข้าถึงแบบสุ่มซึ่งอาศัยอัลกอริทึมที่เรียกว่า แฮชชิ่ง (hashing) ในการคานวณหาค่าคีย์ฟิลด์ให้เป็นตาแหน่งที่ ใช้จัดเก็บข้อมูล ในบางกรณีที่ข้อมูลมีปริมาณมาก ๆ ผลลัพธ์จากการ แปลงค่าตาแหน่งผ่านอัลกอริทึมแบบแฮชชิ่งนี้อาจเกิดการชนกัน (collision) ได้คือแปลงตาแหน่งแล้วไปตกที่เดียวกัน ซึ่งก็ต้องมี การกาหนดอัลกอริทึมนี้ในการแก้ไขต่อไป เพื่อให้สามารถแบ่งแยก ข้อมูลได้ว่า ตาแหน่งจริง ๆ แล้วคือตาแหน่งใด เช่นถ้าอะไรที่มาตกที่ เดียวกันให้เก็บเรียงลาดับกันไป มาก่อนอยู่ต้น มาหลังไปต่อท้าย เป็น ต้น
  • 39. แบบดรรชนี (Indexed File)   โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลชนิดนี้จะใช้วิธีเข้าถึงข้อมูลโดยมีการ สร้างแฟ้มดรรชนี (index) ขึ้นเพื่อช่วยในการค้นหาหรือ เข้าถึงข้อมูลโดยตรงให้รวดเร็วและสะดวกขึ้น  แฟ้มดรรชนีนี้จะประกอบด้วยข้อมูล 2 ตัวคือ • คีย์ของข้อมูล • ตาแหน่งที่เก็บข้อมูล (address) ในสื่อบันทึก เพื่อที่จะสามารถ ระบุได้ว่าข้อมูลนั้นๆ เก็บอยู่ที่ตาแหน่งใดของสื่อเก็บบันทึกข้อมูล
  • 41. 7.7.3 โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลแบบลาดับเชิงดรรชนี (Index Sequential File Structure)  เป็นลักษณะของโครงสร้างแฟ้มข้อมูลที่อาศัยกระบวนการที่เรียกว่า ISAM (Index Sequential Access Method) ซึ่งจะรวม เอาความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลแบบสุ่มและแบบเรียงตามลาดับเข้าไว้ด้วยกัน การจัดโครงสร้างแฟ้มข้อมูลวิธีนี้ ข้อมูลจะถูกจัดเก็บเรียงกันตามลาดับไว้บนสื่อ แบบสุ่ม เช่น ฮาร์ดดิสก์ และการเข้าถึงข้อมูลจะทาผ่านแฟ้มข้อมูลลาดับเชิงดรรชนี (indexed sequential file) ซึ่งทาหน้าที่ช่วยชี้และค้นหาข้อมูลที่ ต้องการได้ สามารถทางานได้ยืดหยุ่นกว่าวิธีอื่น ๆ โดยเฉพาะกับกรณีที่ข้อมูลใน การประมวลผลมีจานวนมาก ๆ
  • 43. 7.8 เปรียบเทียบโครงสร้างแฟ้มข้อมูลแต่ละประเภท  การจัดการเกี่ยวกับโครงสร้างของแฟ้มข้อมูล ควรคานึงถึง ความสามารถด้านเวลาในการเข้าถึงข้อมูล (access time) ของ อุปกรณ์ที่ใช้จัดเก็บด้วย เพราะหน่วยเก็บข้อมูลสารองจะเข้าถึงข้อมูลได้ ช้ากว่าหน่วยความจาหลักมาก ดังนั้นการเลือกจัดโครงสร้างแฟ้มข้อมูล แบบใดๆ ก็ตาม ควรพิจารณาให้เหมาะสมกับความต้องการรวมถึง ความถี่ในการปรับปรุงและการดึงข้อมูลเพื่อเรียกใช้ด้วย การจัดการ เกี่ยวกับโครงสร้างของแฟ้มข้อมูลอาจเปรียบได้กับการเลือกค้นหรืออ่าน เนื้อหาข้อมูลในหนังสือที่ย่อมขึ้นอยู่กับความต้องการและความสะดวก ของผู้ใช้เป็นหลัก หากหนังสือจัดเก็บเรียงกันเป็นชั้น ๆ ตามลาดับ
  • 44. (ต่อ)  การเลือกอ่านหรือหยิบเอกสารแผ่นใดขึ้นมาก็ต้องหยิบแผ่นแรก ๆ ที่วางบนสุด ให้ผ่านไปเสียก่อน จึงจะอ่านแผ่นหรือเนื้อหาส่วนอื่น ๆ อีก ได้(โครงสร้างแบบเรียงลาดับ) แต่ถ้าต้องการความรวดเร็วและหยิบ จับสะดวกได้ดีกว่า อาจเลือกวางหนังสือเหล่านั้นโดยไม่ต้องจัดวางเรียง กันเป็นลาดับก็ได้ อยากหยิบหรือเลือกใช้เล่มไหนก็สุ่มเลือกได้เอง (โครงสร้างแบบสุ่ม) แต่ถึงแม้จะเลือกได้เร็วก็ตาม การจัดวางแบบนี้ อาจทาให้สิ้นเปลืองเนื้อที่โดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นหากยังต้องการใช้ ประโยชน์ของพื้นที่เก็บหรือวางหนังสื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและ หยิบจับแบบเรียงลาดับแต่ต้องค้นหาง่ายด้วย(โครงสร้างแบบเรียงลาดับ ดรรชนี) มาคั่นไว้ก็จะช่วยแก้ปัญหาได้เป็นต้น
  • 46. 7.9 ประเภทของแฟ้มข้อมูล (Master file)  แฟ้มหลัก เป็นแฟ้มข้อมูลที่มีความถี่ของการเปลี่ยนแปลงข้อมูล บ่อย มากนัก โดยอาศัยข้อมูลจากแฟ้มข้อมูลรายการเปลี่ยนแปลงเข้ามา ทาให้มีความทันสมัย (up to date) หรือแก้ไขแฟ้มหลักนั้นโดย ทันทีก็ได้ ตัวอย่างของแฟ้มหลัก เช่น แฟ้มหลักลูกค้าธนาคารซึ่งจะเก็บ ข้อมูลของลูกค้า เช่น ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขบัญชี ยอดเงินคงเหลือในบัญชี แฟ้มหลักสินค้าที่เก็บข้อมูลของสินค้าและยอดขาย หรือแฟ้มหลัก พนักงานที่เก็บชื่อ ที่อยู่และชั่วโมงการทางาน เป็นต้น
  • 47. 7.10 การประมวลผลแบบแฟ้มข้อมูลกับระบบฐานข้อมูล (File Processing VS Database Systems) • การประมวลผลแบบแฟ้มข้อมูล (File Processing)
  • 48. การประมวลผลแบบแฟ้มข้อมูล (File Processing)  แฟ้มข้อมูลต่าง ๆ เช่น แฟ้มข้อมูลลูกค้า แฟ้มข้อมูลสินค้า แฟ้มข้อมูลพนักงาน สามารถ นาเอามาประมวลผลเพื่อนาไปใช้งานอื่น ๆ ได้แต่มีข้อเสียคือทาให้ข้อมูลมีความซ้าซ้อนกัน (data redundancy) โดยเฉพาะในหน่วยงานที่มักจัดเก็บข้อมูลแยกกันไว้ต่างหาก และมีการจัดการข้อมูลกันเอง เช่น แฟ้มข้อมูลลูกค้าของฝ่ายบัญชีที่เก็บข้อมูลลูกค้า เช่น ชื่อ ที่ อยู่ของลูกค้าแต่ละรายไว้อาจไม่ตรงกันกับแฟ้มข้อมูลลูกค้าของฝ่ายขาย ซึ่งทาการจัดเก็บแยก ต่างหากโดยไม่ได้ใช้ข้อมูลเดียวกันกับข้อมูลลูกค้าของฝ่ายบัญชีเพราะคิดว่าการจัดการข้อมูล กันเอง จะทาให้เปลี่ยนหรือแก้ไขข้อมูลได้ง่ายกว่า เมื่อใดก็ตามที่ลูกค้าแจ้งเปลี่ยนแปลงที่อยู่ ให้กับฝ่ายขาย ข้อมูลที่อยู่ของลูกค้า ซึ่งจัดเก็บไว้ที่ฝ่ายบัญชีจะยังคงเป็นข้อมูลเดิมซึ่งไม่ได้มีการ เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย (ฝ่ายบัญชีไม่ทราบเลยว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น) เพราะต่างฝ่าย ต่างจัดเก็บแยกกันนั่นเอง จึงอาจส่งผลให้การติดต่อลูกค้า เช่น การเรียกเก็บเงินหรือวางบิล สินค้ามีปัญหาขึ้นมาได้ (อาจมีการจัดส่งใบวางบิลหรือเรียกเก็บเงินผิดที่) นอกจากนั้น แฟ้มข้อมูลต่าง ๆ ก็มีอยู่อย่างกระจัดกระจาย หากจะเรียกใช้ข้อมูลแล้วอาจจะทาได้ยาก เพราะ แต่ละฝ่ายก็จัดเก็บแยกกันไว้เฉพาะเป็นของตนเอง การแบ่งปันและเรียกใช้ข้อมูลจึงไม่สะดวก มากนัก
  • 50. 7.11 ระบบฐานข้อมูล (Database Systems)  จากปัญหาของการประมวลผลแบบแฟ้มข้อมูลข้างต้น แนวคิดของ การแก้ปัญหาดังกล่าวจะใช้วิธีการจัดเก็บรวบรวมแฟ้มข้อมูลที่มี ความสัมพันธ์กัน นามาจัดเรียงรวมกันเสียใหม่อย่างเป็นระบบเพื่อให้ สะดวกต่อการค้นหาและเรียกใช้ข้อมูลร่วมกัน โดยจัดทาเป็นระบบ ฐานข้อมูล
  • 51.  ระบบฐานข้อมูล สามารถใช้งานได้ทั้งกับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว (stand alone) เช่น ระบบฐานข้อมูลสินค้าคงคลังสาหรับองค์กรขนาดเล็กที่ ต้องการจัดเก็บฐานข้อมูลสินค้าไว้เฉพาะในคอมพิวเตอร์เครื่องที่พนักงานบัญชีใช้เพียง เครื่องเดียว หรือจะประยุกต์ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบแม่ข่าย (server) ผ่าน ระบบ LAN หรืออินเทอร์เน็ตก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของงานที่ต้องการเป็น หลัก ตัวอย่างของการใช้งานระบบฐานข้อมูลกับเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย เช่น การ ประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลบนเว็บ (web database) สาหรับการเก็บข้อมูลสินค้า ข้อมูลการสั่งซื้อ ข้อมูลยอดขาย ข้อมูลเกี่ยวกับการเรียน หรือข้อมูลอื่น ๆ ที่ยินยอม ให้ผู้ใช้เรียกดูข้อมูลเหล่านี้ได้ โดยผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลาย ในปัจจุบัน  การนาเอาระบบฐานข้อมูลมาใช้งานนั้นจะช่วยให้การทางานมีความสะดวกมาก ยิ่งขึ้น หากต่างคนต่างเก็บข้อมูลเอง ไม่ได้นามาเก็บรวบรวมกันเป็นฐานข้อมูลกลาง อาจส่งผลให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาอีกได้ เช่น ความซ้าซ้อนของการจัดเก็บข้อมูล หรือปัญหาของข้อมูลที่ไม่
  • 53. 7.12 เครื่องมือสาหรับการจัดการฐานข้อมูล (DBMS)  โดยปกติในการจัดการฐานข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์นั้นจะมีโปรแกรมที่ เรียกว่า ระบบการจัดการฐานข้อมูลหรือ DBMS (Database Management Systems) ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นผู้จัดการ ฐานข้อมูล โปรแกรมประเภทนี้มีการผลิตออกมาหลายระบบด้วยกัน ที่ ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักกันดี คือระบบการจัดการฐานข้อมูลเชิง สัมพันธ์ หรือ RDBMS (Relational Database Management Systems) เช่น Oracle , Sybase , Microsoft SQL Server , Microsoft Access , MySQL หรือ DB2 เป็นต้น
  • 54. ลักษณะของ DBMS  ระบบการจัดการฐานข้อมูลหรือ DBMS จะอานวยความสะดวกกับผู้ใช้คือสามารถใช้ งานได้โดยที่ไม่จาเป็นต้องทราบถึงโครงสร้างทางกายภาพของข้อมูลในระดับที่ลึกมาก เหมือนกับการเขียนโปรแกรมของโปรแกรมเมอร์ระบบดังกล่าวจะยอมให้ผู้ใช้กาหนดโครงสร้าง และดูแลรักษาฐานข้อมูลได้เป็นอย่างดี และยังสามารถควบคุมการเข้าถึงของข้อมูลในส่วนต่าง ๆ ตามระดับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนด้วย เราอาจพบเห็นการใช้งาน DBMS สาหรับการ จัดการฐานข้อมูลได้ในองค์กรธุรกิจโดยทั่วไป เช่น ระบบข้อมูลลูกค้า ระบบสินค้าคงคลัง ระบบงานลงทะเบียน ระบบงานธุรกรรมออนไลน์ เป็นต้น  DBMS เป็นเหมือนตัวกลางที่ยอมให้ผู้ใช้เข้าค้นคืนข้อมูลได้โดยมีเครื่องมือสาคัญคือ ภาษาที่ใช้จัดการกับข้อมูลโดยเฉพาะเรียกว่า ภาษาเรียกค้นข้อมูล หรือภาษาคิวรี่ (query language) ซึ่งประกอบด้วยคาสั่งสาหรับเรียกใช้ข้อมูล แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือลบข้อมูล และยังสามารถนาไปใช้ร่วมกับการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ทางด้านฐานข้อมูลได้เป็นอย่างดี
  • 55. ภาษาคิวรี่ (Query language)  ภาษาคิวรี่ เป็นภาษาที่ใช้สาหรับสอบถามหรือจัดการกับข้อมูลใน DBMS โดยภาษานี้ ที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ ภาษา SQL (Structure Query Language) คิดค้นโดยนักวิทยาศาสตร์ของไอบีเอ็มในทศตวรรษที่ 1970 มีรูปแบบคาสั่งที่คล้ายกับ ประโยคในภาษาอังกฤษมาก ซึ่งปัจจุบันองค์กร ANSI (American National Standard Institute) ได้ประกาศให้ SQL เป็นภาษามาตรฐานสาหรับระบบการ จัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database Management System หรือ RDBMS)  ระบบการจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ทุกระบบจะใช้คาสั่งพื้นฐานของภาษา SQL ได้ เหมือน ๆ กัน แต่อาจมีคาสั่งพิเศษที่แตกต่างกันบ้าง เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตแต่ละรายก็พยายามที่ จะพัฒนา RDBMS ของตนเองให้มีลักษณะที่เด่นกว่าระบบอื่นโดยเพิ่มคุณสมบัติที่เกิน ข้อกาหนดของ ANSI ซึ่งคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้เข้าไป
  • 57. สร้างฐานข้อมูล (create database)  โดยปกติแล้วผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบฐานข้อมูลก่อนจะออกแบบได้ก็ อาจมีการเก็บข้อมูลหรือขั้นตอนการทางานของระบบที่จะพัฒนาเสียก่อน โดยต้องมีการ สัมภาษณ์หรือวิเคราะห์ค่ารายการต่าง ๆ จากแบบฟอร์มเอกสารหรือระบบงานเดิมซึ่งจะ ทาให้ทราบได้ว่าต้องใช้ข้อมูลอะไรบ้าง มีกี่ตารางที่จะจัดเก็บ มีคุณสมบัติของตาราง เป็นอย่างไร ประกอบด้วยฟิลด์กี่ฟิลด์ นอกจากนั้นเพื่อให้ทางานได้ง่ายขึ้นอาจใช้เทคนิค ที่เรียกว่า การทา normalization ซึ่งจะช่วยลดความซ้าซ้อนของข้อมูลและโอกาส ที่จะทาให้เกิดความผิดพลาดจากการประมวลผลในฐานข้อมูลมีน้อยลง ขั้นตอนต่อมา อาจมีการกาหนดความสัมพันธ์ต่าง ๆ ของแต่ละตารางที่เกี่ยวข้องโดยใช้เครื่องมือที่ เรียกว่า E-R diagram (Entity-Relationship diagram) ซึ่งเป็น เครื่องมือออกแบบฐานข้อมูลที่อยู่ในรูปผังงาน หลังจากนั้นจึงนาข้อมูลที่อยู่ใน E-R diagram มาสร้างฐานข้อมูลในระบบ DBMS ทั่วไป โดยผ่านเครื่องมือที่มีอยู่ใน โปรแกรมซึ่งอาศัยภาษา SQL อีกทีหนึ่ง
  • 58. เพิ่ม เปลี่ยนแปลงแก้ไขและลบข้อมูล (add, change and delete data)   ฐานข้อมูลที่จัดสร้างด้วยเครื่องมือของ DBMS นั้นสามารถจะเพิ่ม รายการต่าง ๆ เข้าไปได้ตลอดเวลา โดยเข้าไปจัดการที่ตัวของ DBMS โดยตรง เช่น การเพิ่มข้อมูลของบางเรคอร์ดที่ตกหล่นในระหว่างการบันทึกข้อมูล ตรงกันข้ามเมื่อข้อมูลใดในฐานข้อมูลไม่มีความจาเป็นต้องใช้อีกและอาจทาให้ เปลืองเนื้อที่ในการเก็บ  เช่น  เรคอร์ดของนักศึกษาบางคนที่ลาออกไปแล้ว ก็สามารถลบข้อมูลของนักศึกษา รายนี้ออกจากระบบได้ นอกจากนั้นเมื่อใดก็ตามที่ข้อมูลเปลี่ยนแปลง เช่น ที่อยู่ ลูกค้าเปลี่ยนหรือเบอร์โทรศัพท์ถูกยกเลิก เครื่องมือใน DBMS ก็สามารถช่วย ให้การแก้ไขค่าเหล่านี้ทาได้โดยง่ายเช่นกัน
  • 59. จัดเรียงและค้นหาข้อมูล (sort and retrieve data)   DBMS ยังช่วยให้การเรียกค้นดูข้อมูลง่ายและสะดวก โดยเรา สามารถเตรียมข้อมูลและเลือกได้ว่าจะให้DBMS จัดเรียงแบบใด เช่น เรียงข้อมูลจากค่าน้อยไปหาค่ามาก หรือจะเรียงจากค่ามากไปหา ค่าน้อย รวมถึงการเรียกดูข้อมูลตามลาดับวัน เวลา เป็นต้น นอกจากนั้น การค้นหาข้อมูลที่มีอยู่มากมายในฐานข้อมูลนั้น หากผู้ใช้ระบบค่าเพียง บางส่วนแล้วส่งคาสั่งนั้นผ่านการทางานของ DBMS ก็สามารถเลือก หรือค้นข้อมูลดังกล่าวได้ง่าย เช่น ข้อมูลของชื่อพนักงานที่ขึ้นต้นด้วย ก. ไก่ หรือข้อมูลของสินค้าที่มีราคามากกว่า 5,000 บาท เป็นต้น
  • 60. สร้างรูปแบบและรายงาน (create form and report)  คุณสมบัติของ DBMS ที่นอกเหนือจากการค้นและเรียกดูข้อมูล ต่าง ๆ แล้ว ยังสามารถสร้างรูปแบบการแสดงผลบนหน้าจอ (form) และพิมพ์ผลลัพธ์รายการออกมาเป็นรายงาน (report) เพื่อให้ ผู้ใช้งานที่เกี่ยวข้องกับฐานข้อมูลดังกล่าว สามารถตรวจสอบ หรือแก้ไข รายการที่มีอยู่นั้นได้โดยง่าย หรือช่วยในเรื่องการตัดสินใจของผู้บริหาร องค์กร และนาไปวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้
  • 61. โดยสรุป  ข้อมูลสาหรับการประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์นั้น อาจ ได้มาจากแหล่งข้อมูลภายในหรือภายนอกองค์กร ซึ่งควรมี คุณสมบัติพื้นฐานประกอบด้วย ความถูกต้อง มีความเป็น ปัจจุบัน ตรงตามความต้องการ มีความสมบูรณ์และ สามารถตรวจสอบได้ ทั้งนี้ในการจัดการกับข้อมูลด้วย คอมพิวเตอร์ จะมีการจัดแบ่งข้อมูลออกเป็นลาดับชั้นเพื่อง่ายต่อ การเรียกใช้เช่น บิต ไบต์ ฟิลด์ เรคอร์ ไฟล์  
  • 62.  โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลที่จัดเก็บไว้บนสื่อบันทึกข้อมูล สารองมีอยู่ 3 ลักษณะคือ แบบเรียงลาดับ แบบสุ่ม และแบบ ลาดับเชิงดรรชนี การเลือกใช้ต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับการ ใช้งาน สาหรับแฟ้มข้อมูลโดยทั่วไปนั้นจะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ แฟ้มหลัก ซึ่งเป็นแฟ้มข้อมูลที่มีความถี่ของการ เปลี่ยนแปลงข้อมูลไม่บ่อยมากนัก และอีกประเภทคือ แฟ้ม รายการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นแฟ้มที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไข รายการข้อมูลภายในค่อนข้างบ่อยและทาแบบประจาต่อเนื่อง หรือเกิดขึ้นทุกวัน
  • 63.  ข้อมูลจานวนมากที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน จะถูกเก็บรวบรวม ไว้ที่เดียวกัน เรียกว่า ฐานข้อมูล ซึ่งช่วยให้การประมวลผลมี ความสะดวกและง่ายยิ่งขึ้น โดยมีแนวคิดที่จะจัดการกับข้อมูล เพื่อลดความซ้าซ้อน ลดความขัดแย้งรักษาความคงสภาพ อานวยความสะดวกในการใช้ข้อมูลร่วมกัน ง่ายต่อการเข้าถึง และ ลดระยะเวลาพัฒนาระบบงาน เครื่องมือสาหรับการ จัดการฐานข้อมูลนั้น เรียกว่า DBMS ซึ่งเป็นเสมือนผู้จัดการ ฐานข้อมูลที่จะดูแลและอานวยความสะดวกให้กับผู้ใช้โดยไม่ จาเป็นต้องทราบถึงโครงสร้างทางกายภาพของข้อมูลในระดับที่ ลึกมากแต่อย่างใด
  • 64. LOGO “ Add your company slogan ” จบการนาเสนอ www.animationfactory.com

Editor's Notes

  1. วิธีคิดอย่างเป็นระบบในการแก้ปัญหาหรือที่รู้จักกันดีในชื่อเรียกว่า อัลกอริทึ่ม (Algorithm) กระบวนการคิด ขั้นตอนวิธี อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในทางคณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ อัลกอริทึ่มคือตัวตัดสินการมองโจทย์ปัญหา อัลกอริทึ่มที่ดีรวดเร็ว แม่นยำ แน่นอน และปลอดภัย
  2. redundancy (รีดัน-แด็นซิ)เหลือเฟือ มากเกินไป เกิน คำพูดซ้ำซาก
  3. Query จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา query (ควีรี หรือ นิยมอ่านในไทยว่า คิวรี่) อาจหมายถึง ภาษาสอบถาม (Query language) ภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในฐานข้อมูล เจควีรี (jQuery) จาวาสคริปต์ขนาดเล็ก ที่ใช้ในการทำงานร่วมกับ HTML