SlideShare a Scribd company logo
ชีวิตใหม่
ท่านนักศึกษาและครูบาอาจารย์ทั้งหลายอาตมาขอแสดงความยินดีเป็นสิ่งแรก
ยินดีในการมาของท่านทั้งหลาย ในลักษณะอย่างนี้ คือเพื่อการศึกษาหาความรู้ ที่ควรแก่
ความเป็นมนุษย์เพื่อประโยชน์แก่ความเป็นความมนุษย์ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป แล้วขอแสดงความ
ยินดีที่ได้มานั่งกันในลักษณะอย่างคือ คือ นั่งกลางคืน
จะขอร้องให้มีความรู้สึกระลึกนึกถึงเรื่องนี้ทุกครั้งไปว่า เมื่อได้นั่งกลางดินแล้วจะ
ได้ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน
นิพพานกลางดิน จะเป็นพุทธานุสสติอย่างยิ่ง แล้วก็จะมีจิตใจเหมาะสมที่จะฟังด้วย เคย
นั่งกันแต่ในอาคารหรูหราสวยงาม ราคาแสนราคาล้าน เดี๋ยวนี้มานั่งกลางดิน ซึ่งใครๆ ก็
ต้องถือว่าไม่มีการตีราคา แต่ถ้าสําหรับพวกเราพุทธบริษัท มีการตีราคามากกว่าอาคาร
เรือนแสนเรือนล้านเหล่านั้น เพราะว่าคืนนี้เป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ สอน อยู่ และนิพพาน
ของพระพุทธเจ้า ขอให้ทําในใจให้สําเร็จประโยชน์คุ้มกันกับการที่ได้มานั่งกลางดินซึ่ง
นานๆ จะมีโอกาสสักครั้งหนึ่ง
มีอีกประการหนึ่ง ก็อยากจะขอให้พยายามอย่างยิ่ง ที่จะให้ได้รับประโยชน์จาก
การมาหรือการฟัง ถ้าไม่ได้รับประโยชน์คุ้มกัน คือไม่ได้รับประโยชน์คุ้มกันกับเวลาที่เสีย
ไป เงินทองที่เสียไป ความเหน็ดเหนื่อยที่เสียไป เรี่ยวแรงเสียไป ไม่ได้ประโยชน์อะไรคุ้ม
กันแล้ว อาจารย์ก็ต้องทะเลาะกันยมบาล เพราะยมบาลเขาไม่ยอมให้ใครใช้เวลา ใช้เงิน
ใช้ของ อย่างไม่คุ้มค่า ถ้าเกิดไม่คุ้มค่าขึ้นมา เขาก็ต้องต่อว่าหรือจะเอาผิดเพื่อให้ไม่ต้องมี
เรื่องอย่างนี้ ก็ขอให้ผู้ฟังหรือนักศึกษาทุกคนพยายามฟังให้ดี ให้ได้รับประโยชน์คุ้มค่า
คุ้มค่าที่มา คุ้มค่าเวลา คุ้มค่าการใช้จ่าย คุ้มค่าเรี่ยวแรง คุ้มค่าอะไรทุกอย่าง แล้วเรื่องก็
จะเรียบร้อย มิฉะนั้นก็จะมีปัญหาเรื่องใช้เวลาเงินทองอย่างไม่คุ้มค่า
ที่นี้ก็จะได้พูดต่อไปถึงว่า ทําอย่างไรมันจึงจะคุ้มค่า ?
เรื่องที่จะพูดนี้มันคุ้มค่าไหม ?
อาตมาขอยืนยันว่า มันเป็นเรื่องที่คุ้มที่คุ้มค่า ถ้าเข้าใจรับเอาไปได้ ปฏิบัติให้เป็น
ประโยชน์ได้มันก็จะกลายเป็นเรื่องที่เกินค่า แต่ถ้าไม่สนใจฟังให้ดี ไม่เข้าใจ เอาไปใช้ให้
เป็นประโยชน์ไม่ได้มันก็ไม่คุ้มค่าจริงเหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันอยู่ที่ผู้ฟัง จะทําให้สําเร็จ
ประโยชน์ได้หรือไม่
ที่ว่าได้อะไรคุ้มค่านี้ มันก็จะต้องรู้ว่าได้อะไร?
คือมันจะต้องรู้ว่า...
พระธรรมพระศาสนาจะให้อะไรแก่เรา หรือเราจะได้รับประโยชน์อะไรจากพระ
ธรรม ?
ถ้าเรารู้ชัดแน่นอนว่า เราจะได้ประโยชน์อะไรจากพระธรรม นั่นแหละคือเรารู้จัก
ว่าพระธรรมคืออะไร พระศาสนาก็เหมือนกันแหละเป็นคําที่ใช้แทนกันได้ การที่จะรู้ว่า
พระพุทธศาสนาคืออะไร มันก็ต้องรู้ชัดในข้อที่ว่า พระพุทธศาสนาจะให้อะไรแก่เราได้
และก็รู้ว่าสิงที่จะให้อะไรแก่เราได้อย่างไรนั่นแหละคือพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นขอให้
มีความสนใจในข้อแรกที่จะศึกษาให้รู้ว่า พระพุทธศาสนาจะให้อะไรแก่เรา แล้วค่อยไป
พิจารณาดูว่า มันจะสําเร็จประโยชน์ไหม จะมีค่าจริงไหม ?
ปฏิบัติตามพุทธศาสนาแล้วจะได้ชีวิตใหม่
สําหรับในวันนี้ อาตมาก็อยากจะพูดโดยสรุปว่า เราจะพูดกันเรื่องชีวิตใหม่ ชีวิต
ใหม่ พุทธศาสนาที่ปฏิบัติแล้วจะให้ชีวิตใหม่แก่ผู้นั้น คือ ผู้ปฏิบัติ
คําว่า “ชีวิตใหม่” นี้ ฟังดูมันเป็นคําประหลาดๆ หรือเป็นคําโลกๆ เป็นคํา
สมัยใหม่เป็นคํานักประพันธ์อะไรอยู่บ้าง ก็ขออย่าไปสนใจในแง่นั้นเลย ขอรวบรัดว่า ใช้
คํานี้ก็เพื่อให้ฟังกันง่ายๆ ฟังกันสะดวกฟังได้เร็วในเวลาอันสั้น
คําว่า ชีวิตใหม่ ชีวิตใหม่ มันก็มีปัญหาว่ามันเป็นชีวิตใหม่มาจากไหน มันก็คือชีวิต
เก่า แต่ว่าพัฒนาให้ดีขึ้น ให้มากขึ้น คือทําให้มันเจริญขึ้นมา ในลักษณะเหมือนกับว่ามัน
ตรงข้ามกับของเดิม เขาเรียกว่าชีวิตใหม่ มันเหมือนกับการเกิดใหม่ เกิดใหม่โดยไม่ต้อง
ตาย อย่างนี้มีใช้พูดอยู่ในพระคัมภีร์ แม้การมาบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนานี้ เราก็
เรียกว่าการเกิดใหม่เหมือนกัน เพราะมันเปลี่ยนจิตใจหรือเปลี่ยนอะไรใหม่หมด เรียกว่า
เกิดใหม่โดยอริยชาติ เกิดในโลกใหม่ของพระอริยเจ้า
ฉะนั้น เราถึงแม้จะไม่ได้บวช อยู่ที่บ้านมันก็บวชได้ โดยการทําให้มีผลเหมือนกับ
ว่าชีวิตใหม่หรือการเกิดใหม่ คือการปฏิบัติธรรมะให้สมบูรณ์แล้วก็ได้รับผลชนิดที่ไม่เคย
ได้รับมาแต่ก่อน ดังนั้นจึงเรียกว่า ชีวิตใหม่ เป็นคําโลกๆ เป็นคํานักประพันธ์อ่านเล่นอยู่
มาก แต่ไม่เป็นไรดอก ขอให้ใช้คํานี้แหละ มันง่ายดี
เดิมๆ ที่เราเป็นมา เป็นชีวิตเก่าอย่างไร ขอให้สนใจให้ดี ถ้าไม่รู้จักไม่สนใจให้ดี
แล้วก็ไม่มีทางที่จะรู้จักชีวิตใหม่ เพราะมันไม่มีอะไรจะเปรียบเทียบ ในลักษณะที่ตรงกัน
ข้าม แม้ที่เป็นอยู่ตามธรรมดาแต่ก่อน ก็ไม่รู้สึกว่ามันยังใช้ไม่ได้ มันยังไม่ดับทุกข์ มันยัง
ระคนอยู่ด้วยความทุกข์ ถ้าว่ามันเป็นชีวิตใหม่ มันก็ต้องแปลกอย่างตรงกันข้าม คือไม่
ระคนอยู่ด้วยความทุกข์นั่นเอง ถ้าคนผู้นั้นไม่มองเห็นว่า คนมีชีวิตที่ระคนอยู่ด้วยความ
ทุกข์ มันก็ไม่อยากจะเปลี่ยนแปลง มันก็ไม่ต้องการอะไรใหม่อีก มันก็ปล่อยไปตามกรรม
เรื่องชีวิตใหม่จึงเป็นเรื่องของสติปัญญาของบุคคลผู้มีสติปัญญา
ชีวิตเก่าอยู่ใต้อานาจบีบคั้นของกิเลส
ทีนี้ก็จะพูดถึงชีวิตเก่า คือ ชีวิตตามธรรมดาที่เป็นกันมา หรือเป็นกันอยู่โดยมาก
ตามปรกตินั้น มันเป็นอย่างไร จะพูดให้ชัดลงไปก็จะพูดว่าชีวิตแบบนั้น มันไม่เป็นอิสระ
จากการบีบคั้นของสัญชาตญาณ และไม่พ้นจากการบีบคั้นของกิเลสสัญชาตญาณ คือ
ความรู้สึกที่มีมาเสร็จหรือรู้ได้เองสําหรับสิ่งที่มีชีวิต ซึ่งเข้าใจว่านักศึกษาครูบาอาจารย์
ทั้งหลายคงจะได้ศึกษาได้ยินได้ฟังเรื่องนี้กันมามากแล้ว คือสิ่งที่เรียกว่าสัญชาตญาณหรือ
instinct ทีนี้สัญชาตญาณที่บังคับควบคุมไว้ไม่ได้นั่นแหละคือ “กิเลส”
เรายังอยู่ใต้อิทธิพลของสัญชาตญาณบ้างอยู่ใต้อิทธิพลของกิเลสบ้าง มันจึงเรียกว่า
เป็นที่ทนทรมาน ชีวิตที่ถูกกักขัง ชีวิตที่อยู่ในความมืด ความบอด หรือว่าจะแก้ไขกัน
อย่างไร ถ้ามันมากเกินไป ขออภัยคือว่ามันโง่มากเกินไป มันก็จะไม่รู้สึกในเรื่องนี้เอา
เสียเลย คือจะไม่รู้สึกว่าอยู่ใต้อํานาจการบีบคั้นของกิเลสหรือสัญชาตญาณ ถ้าโง่มากไป
กว่านั้นอีก ก็กลับเห็นเป็นการสนุกสนานไปเสียเลย
สัญชาตญาณใหญ่ ทาให้เกิดสัญชาตญาณน้อยๆ อีกมาก
นี่ขอพูดกันถึงเรื่องนี้พอสมควรว่า เรามีสัญชาตญาณอันใหญ่ที่สุด เป็นประธาน
แห่งสัญชาตญาณทั้งหลาย ก็คือสัญชาตญาณแห่งความรู้สึกว่ามีตัวตน มีตัวตน มีของตน
ถ้าเดือดจัดขึ้นมา ก็มีตัวกู มีของกู ยอมใครไม่ได้ มันก็เกิดสัญชาตญาณน้อยๆ ออกมาจาก
สัญชาตญาณนี้ เป็นสัญชาตญาณแห่งการรักตน เห็นแก่ตน มีสัญชาตญาณแห่งการกิน
อาหาร แสวงหาอาหาร การต่อสู้ การหนีภัย กระทั่งการสืบพันธุ์ แล้วก็ต้องการจะมี
อะไรๆ มาบํารุงบําเรอตนแล้วก็ต้องการจะอวดตน นี่คิดดูสิ
เราตกอยู่ใต้อํานาจของสัญชาตญาณนี้ ที่บังคับมันไม่ได้ ก็ได้ชื่อว่ากิเลส ลําพัง
สัญชาตญาณล้วนๆ ก็ไม่ใช่เล่นอยู่แล้ว ทีนี้ถ้าบังคับไม่ได้ กลายเป็นกิเลสขึ้นมามันก็ยิ่ง
หนักขึ้นไปอีก เช่นว่าการเห็นแก่ตน มันก็เกิดปัญหามากมายหลายอย่างหลายประการ
มันมองแต่จะหาประโยชน์ให้แก่ตน ด้วยการได้เปรียบผู้อื่น แล้วมันก็เดือดร้อนกระวน
กระวายอีกหลายๆ อย่าง เนื่องจากความเห็นแก่ตน
ถ้าจะแยกออกว่า สัญชาตญาณแห่งการต้องกินอาหารอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันก็มีปัญหา
ที่ว่ามันควบคุมไม่ได้ มันก็ต้องการจะกินอาหารให้ดีที่สุด ให้อร่อยที่สุด ให้มากที่สุด มันก็
เลยมีปัญหาหนัก เพราะสัญชาตญาณแห่งการต้องการอาหาร
สัญชาตญาณแห่งการอวดสวยอวดงาม นี้แม้แต่สัตว์ก็ทําเป็น นี้คนก็มี
สัญชาตญาณอันนี้ มันก็ต้องการจะอวดสวยอวดงามเกินขอบเขต มันจึงหมดเปลืองมาก
ใครที่รักสวยรักงามใช้เงินเป็นอันมากเพราะเรื่องนี้ ก็จะต้องรู้จักดี เราควบคุมไว้ไม่ได้ คือ
ไม่ให้เป็นไปแต่พอดี มันก็กลายเป็นเรื่องอวดสวย มันก็เลยมีปัญหา ก็ต้องทนทุกข์ทรมาน
เพราะปัญหาเหล่านั้น
สัญชาตญาณแห่งการต้องการสิ่งบารุงบาเรอ สิ่งประเล้าประโลม นี้ถ้ามันพอดีก็
ไม่เป็นไร แต่ถ้ามันเกินพอดี มันก็คือกิเลสอย่างยิ่งต้องการการประเล้าประโลมทุกอย่าง
ทุกทาง ในที่สุดก็นําไปสู่สิ่งมึนเมาทั้งหลาย ที่เรียกว่าอบายมุข จะต้องดื่มน้ําเมาหรือสิ่ง
มึนเมา จะต้องเล่นการพนัน ให้มีความรู้สึกชนิดที่บํารุงบําเรอใจ เป็นสิ่งประเล้าประโลม
ใจ ต้องเที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทําการงาน
น่าหัวที่ว่าเกียจคร้านทําการงานมันก็เพื่อประเล้าประโลมใจอย่างหนึ่งไม่บังคับให้ไป
ทํางาน ให้นอนเสีย แล้วก็มีปัญหาเกิดขึ้นเพราะการไม่ทํางาน
นี่ขอให้แจกดูเป็นอย่างๆ เถอะ ถ้าควบคุมไม่ได้ แล้วมีปัญหาทั้งนั้น
สัญชาตญาณแห่งการต่อสู้ มันก็ไม่รู้จักต่อสู้กับสิ่งที่ควรต่อสู้ ไปต่อสู้กับสิ่งที่ไม่
ต้องต่อสู้ เกิดเป็นปัญหากันทั้งบ้าน ทั้งเมือง ทั้งโลก
ในที่สุด สัญชาตญาณแห่งการสืบพันธุ์ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของมนุษย์ เพราะ
สัญชาตญาณแห่งการสืบพันธุ์นั้นมันรุนแรง แล้วก็มีของปิดความร้ายกาจอันนี้ไว้ คือ
“กามารมณ์”
ธรรมชาติให้เรื่องกามารมณ์มา สําหรับหลอกล่อหรือจ้างให้สัตว์ที่โง่เขล่าทําการ
สืบพันธุ์ซึ่งเจ็บปวด ซึ่งลําบาก ซึ่งสกปรก ซึ่งอะไรต่างๆ นานา แต่ธรรมชาติมันเหนือกว่า
มันก็ให้ส่วนที่เรียกว่า กามารมณ์ คือความเพลิดเพลินเอร็ดอร่อย ทางตา ทางหู ทางจมูก
ทางลิ้น ทางกาย อะไรเหล่านี้ ที่รวมเรียกว่า กามารมณ์ มาเป็นค่าจ้าง ล่อให้สัตว์ทั้งหลาย
ทําการสืบพันธุ์ แล้วมันยุ่งยากสักเท่าไร ใครๆ เห็นว่าการสืบพันธุ์นี้เป็นเรื่องสูงสุดของ
มนุษย์ ก็ดูสิ ลงทุนกันเป็นการใหญ่โต เพื่อประโยชน์แก่การสืบพันธ์ชนิดที่ธรรมดาก็ไม่
อยากทํา
ถ้าไม่มีกามารมณ์มาปะหน้าเข้าไว้ ก็ไม่มีสัตว์ชนิดไหนอยากจะสืบพันธ์ แม้แต่สัตว์
เดรัจฉาน แม้แต่ต้นไม้ด้วยซ้ําไป มันมีกามารมณ์ซึ่งมีรสสูงสุดปะหน้าการสืบพันธุ์เอาไว้
เพื่อจะจ้าหรือบังคับ ให้สิ่งมีชีวิตทําการสืบพันธุ์ นี่เป็นปัญหาใหญ่โดยเฉพาะของมนุษย์
คิดดูให้ดีๆ บางทีอุตส่าห์เล่าเรียน อุตส่าห์สะสมเงินไว้เป็นอันมากก็เพื่อการสมรสอันมี
เกียรติ มันก็ไม่ดีอะไรนัก เพราะว่าสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์มันยิ่งไปกว่านั้น
เดี๋ยวนี้เราก็ต้องมีการพ่ายแพ้แก่สัญชาตญาณ ต้องทนทําไปตามสัญชาตญาณ ไม่มี
ความรู้พอที่จะบังคับสัญชาตญาณ ให้เป็นไปอย่างถูกต้องหรือพอดี
ดังนั้นจึงขอบอกเสียเลยว่า ธรรมะ พระธรรม หรือพระศาสนานี้ คือ ความรู้หรือ
การปฏิบัติ เพื่อควบคุมสัญชาตญาณไว้ในสภาพที่ถูกต้องและไม่มีความทุกข์เลย นี่คือ
ประโยชน์ของพระธรรม ทว่าควบคุมไว้ไม่ได้ มันก็มากกว่าธรรมดามาก มันก็เกิดกิเลส
เป็นความโลภ เป็นความโกรธ เป็นความหลงขึ้นมา แล้วก็มีอีกเรื่องที่จะต้องหม่นหมอง
ทรมานเป็นของประจําไปเลย
เรายุ่งยากลําบากด้วยปัญหาของความรัก ยุ่งยากลําบากด้วยปัญหาของความ
เกลียด มันทนไม่ได้ มันต้องเกลียดสิ่งที่มายั่วให้เกลียด ลําบากด้วยปัญหาของความโกรธ
มันทนไม่ได้ มันต้องโกรธ เมื่อมันมีสิ่งที่ยั่วให้โกรธ แม้ไม่อยากจะโกรธมันก็ยังบังคับไว้
ไม่ได้ ยุ่งยากลําบากเพราะปัญหาของความกลัว
มันโง่มาตั้งแต่เล็ก มันกลัวสิ่งที่ไม่ควรกลัวมาตั้งแต่เล็ก มันก็กลัวมากกว่าความ
จําเป็น หรือแม้ที่มีความจําเป็น ถ้ามีธรรมะมันก็ไม่กลัว มันก็สบายดี
เรามีปัญหาเกี่ยวกับความวิตกกังวล วิตกกังวลนี้ฟังดูให้ดี เด็กๆ ไม่ค่อยมีแต่พอโต
ขึ้นก็เริ่มมี คนแก่ก็มีมาก ความวิตกกังวลอาลัยอาวรณ์นั้น ขอให้สังเกตดูดีๆ ว่ามันมีพิษ
สงอย่างไร ทรมานจิตใจเท่าไร ถ้าไม่มีมันจะดีสักเท่าไร
เรายังมีปัญหายุ่งยากลําบากด้วยการอิจฉาริษยา สัญชาตญาณที่มันอยากจะดีกว่า
คนอื่นหรือไม่อยากให้คนอื่นดีเท่าตัว มันก็เกิดความอิจฉาริษยาขึ้นมาได้โดยง่าย โดย
ธรรมชาติ โดยไม่น่าจะมี ขอให้ไปดูตัวเองให้ดี สังเกตดูตัวเองให้ดีว่า
มันมีความอิจฉาริษยาใครไหม ? แล้วทาไมมันจึงมีมา ?
ซึ่งมันไม่น่าจะมีมา มันไม่ควรจะมีมา เราควรจะรักคนทุกคน แต่เดี๋ยวนี้แทนที่จะ
รักกันทุกคน มันกลับอิจฉาริษยากันทุกคน เรียกว่าปัญหาที่ทรมานพออิจฉาริษยาใคร คน
ที่ถูกอิจฉาริษยานั้นยังไม่รู้ไม่ชี้เลย แต่คนที่อิจฉาริษยาเขานี้ ตกนรกทั้งเป็นอยู่แล้ว ตก
นรกทันทีที่มีความรู้สึกอิจฉาริษยาใคร ไม่ต้องรอต่อตายแล้วคือ ความอิจฉาริษยานั้นมัน
กัดหัวใจ ความรู้สึกชนิดนี้มันเป็นเรื่องของกิเลส คือ สัญชาตญาณที่บังคับไว้ไม่ได้
ตลอดถึงความหึงความหวง ซึ่งเต็มไปหมดในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ว่า เรื่องผัวเรื่อง
เมียนิดเดียวก็ฆ่า ฆ่ากันตาย ฆ่าตัวเองตาย ฆ่าภรรยาตาย ฆ่าลูกตาย ซึ่งสัตว์เดรัจฉานมัน
ยังไม่ทําเลย แต่มนุษย์นี้ทํากันมากขึ้น เห็นได้จากหน้าหนังสือพิมพ์ ความหวงหรือความ
หึงเป็นไปแรงกล้า เป็นเรื่องของความโง่สุดขีด มันก็ทรมาน มันก็ทําให้เกิดความเดือดร้อน
นี้เรียกว่า มันไม่เป็นอิสระจากสัญชาตญาณความคิดนึกรู้สึกขึ้นมาได้เอง และเป็น
เรื่องของกิเลส คือสัญชาตญาณที่บังคับไว้ไม่ได้ เลยขอบเขตของสัญชาตญาณไปอีก เป็น
กิเลสของคน ถ้าอย่างนี้มีเป็นประจา ก็เป็นชีวิตเก่า
ชีวิตใหม่ต้องไม่มีแม้แต่ ... นิวรณ์
เราต้องการชีวิตใหม่ก็หมายความว่า ไม่ต้องมีสิ่งเหล่านี้ แม้แต่สิ่งที่เรียกกันทั่วๆ ไป
ว่านิวรณ์ นิวรณ์ ๕ ประการนั้น ถ้าใครไม่รู้จักนิวรณ์ ๕ ประการ ก็ขออภัยที่ต้องพูดว่า
มันโง่เต็มที มันโง่สุดเหวี่ยง นิวรณ์ ๕ ประการเกิดอยู่เป็นประจําทุกวันและทุกคน
ความคิดที่ไม่รุนแรงแล้วไม่มีเหตุปัจจัยอะไรมายั่ว มาอะไรนัก มันก็กรุ่นขึ้นมาได้เองจาก
สัญชาตญาณ
คือน้อมไปในทางกามารมณ์ทางเพศบ้าง ก็กวนใจ น้อมไปทางความอึดอัดขัดใจ
ไม่ชอบนั่น ไม่ชอบนี่ขึ้นมาเฉยๆ อย่างนั้นแหละ ยังไม่ถึงขนาดลุกขึ้นมาฆ่าฟันใคร อย่างนี้
ก็รบกวนใจ ทีนี้ความที่จิตละเหี่ยละห้อยหุบแฟบลงไป ไม่เบิกบานในบางคราว แม้แต่ง่วง
นอนนี่ก็รบกวนใจ แล้วบางคราวก็ฟุ้งซ่าน ฟุ้งเฟ้อ ฟุ้งซ่าน ตรงกันข้ามมันก็รบกวนใจ ถ้า
จิตฟุ้งซ่านแล้วมันทําอะไรไม่ได้ ขอให้สังเกตดูให้ดี
ทีนี้ตัวสุดท้ายเรียกว่า “วิจิกิจฉา” คือความไม่แน่ใจในสิ่งที่มีอยู่ หรือกระทําอยู่
ไม่แน่ใจนี้มันก็เป็นเรื่องของความไม่รู้ ไม่รู้ว่าจะทําอย่างไรดี แม้ส่วนที่มันรู้มันก็ไม่แน่ใจว่า
จะทําได้ มันไม่แน่ใจในความสามารถของตัวเองว่าจะทําได้ไหม จะสอบไล่ได้ไหม จะทํา
อะไรได้ไหม มันไม่แน่ใจในความปลอดภัยทางสุขภาพอนามัย ไม่แน่ใจทางเศรษฐกิจ ไม่
แน่ใจไปหมด สรุปแล้วไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กําลังทํากําลังมีอยู่นี้ ถูกต้องสมบูรณ์แล้วปลอดภัย
แล้วหรือหาไม่? มันก็เป็นห่วงวิตกกังวลอยู่ลึกๆ แต่ว่ากรุ่นออกมาให้รู้สึก
อย่างนี้เรียกว่านิวรณ์ มีแก่ทุกคนแล้วจะมีทุกวัน เดี๋ยวอันนั้นเดี๋ยวอันนี้ ถ้าไม่รู้จักก็
นับว่าไม่มีปัญหา แต่แล้วมันก็หลีกไม่พ้นที่ต้องทนทรมาน เพราะสิ่งที่เรียกว่านิวรณ์ มันไม่
มีเสียดีกว่า
นี่ควรจะรู้จัก ว่าแม้แต่ธรรมดาๆ ไม่ได้ทําบาปหยาบช้าอะไรนัก มันก็มีนิวรณ์
รบกวนโดยเฉพาะอย่างยิ่งความไม่แน่ใจในชีวิต ในการงาน ในสิ่งที่กําลังกระทําอยู่ เช่น
จะลังเลอยู่ว่าจะสอบไล่ตกอยู่เสมอไป คือสิ่งที่หวัง หวังนั้นมันไม่ได้ คนไหนหวังเก่ง คน
นั้นมันก็มีนิวรณ์ข้อนี้รบกวนมากที่สุด แล้วมันจะไม่ได้ตามที่หวัง เพราะมันโง่ เพราะมัน
ไปหวัง ที่จริงมันไม่ต้องหวังทําไปอย่างดีที่สุดแล้วไม่ต้องหวังให้มันเป็นนิวรณ์รบกวน
เพียงแต่ปราศจากนิวรณ์ ๕ ประการนี้รบกวน มันก็เป็นเรื่องประเสริฐที่สุดเสียแล้ว
คือ เป็นชีวิตที่แจ่มใสเยือกเย็น เย็นอกเย็นใจ อยู่ด้วยความสบายใจ เป็นสุขในชีวิตนั้นเอง
ถ้าไม่รู้จักมันก็ไม่ต้องการหรือต้องการไม่ถูก แม้ชีวิตที่ปราศจากนิวรณ์นี้ก็แสนจะ
ประเสริฐแล้ว นี้ถ้าชีวิตที่ปราศจากกิเลส ก็ยิ่งไปกว่านั้นอีก ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ
รบกวน ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้น เป็นไฟเผาให้เร่าร้อนให้มืดมัวให้กลัดกลุ้มนั้น มันเต็มที่
ถ้าเป็นนิวรณ์มันเพลาๆ มันไม่ต้องมีเจตนามันออกมากจากสัญชาตญาณหรือจะ
เรียกว่าออกมาจากอนุสัย ในภาษาวัดนี้ก็ได้ ภาษาชาวบ้านนี้ก็เรียนกว่ามันออกมาจาก
สัญชาตญาณ ซึ่งมันจะมี ๕ อย่างนี้ ไปคํานวณดู ถ้าไม่มีนิวรณ์ ๕ ประการนี้ ชีวิตนี้
แจ่มใส สดใส เยือกเย็นสงบเย็นสักเท่าไร แล้วเราเคยต้องการหรือไม่ ก็เพราะว่าเราไม่รู้
ว่ามันมีอยู่
ชีวิตเก่าอยู่ได้กิเลสเพราะไม่เรียนเรื่องของจิตใจ
การศึกษาของเรามันเรียนแค่หนังสือกับเรียนวิชาชีพ ไม่ได้เรียนชีวิตจิตใจ ไม่ได้
เรียนว่าจะเป็นมนุษย์กันอย่างไร จึงจะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ดังนั้นให้เรียน
มาปริญญายาวเป็นหางมันก็ไม่รู้เรื่องนี้ คือไม่รู้เรื่องชีวิต ไม่รู้เรื่องว่าจะเป็นมนุษย์กัน
อย่างไร จึงจะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ มันก็หยุดอยู่แค่ว่า ทําอาชีพได้ดีเงินมาก
แล้วก็เป็นสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ใช้คําว่า
อร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย รวมกามารมณ์ทุกชนิด
นี่ขอให้คิดดูให้ดีว่า เรากาลังเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า?
ที่เราเรียนนี้เพียงเพื่อต้องการเงินมากๆ แล้วมาซื้อหาปัจจัยเหล่านี้ มาบํารุงชีวิตให้
เต็มไปด้วยความเอร็ดอร่อยทุกทางอย่างนี้ แต่เรื่องของธรรมะนั้นเป็นตรงกันข้าม มันไม่
มุ่งหมายจะเป็นทางของความเอร็ดอร่อยเหล่านั้น หรือว่าเป็นทางของกามารมณ์ มันจะ
มองไปในแง่ว่า ความเอร็ดอร่อยทั้งหลายมันเป็นเรื่องบ้าวูบเดียว ความเอร็ดอร่อยทางตา
ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง อะไรที่บูชากันนักนั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องบ้าวูบเดียว
เท่าที่ความโง่มันต้องการ เป็นการกระตุ้นระบบประสาทให้สูงสุด รู้สึกเป็นความ
เอร็ดอร่อยสูงสุด แล้วก็วูบเดียวๆ คนก็ยังบูชากันอย่างสุดชีวิตจิตใจ บูชาความบ้าวูบเดียว
ทั้งโลกเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เฉพาะแต่ว่าคนไทย
เมื่อยังไม่มีความรู้ทางจิตใจ ก็ต้องเป็นทาสของกิเลส ของกามารมณ์ทางเพศ แล้วก็
เป็นเหตุให้ทําผิดต่อไปอีกหลายขั้นตอน มาจากความเห็นแก่ตัวเพราะเรื่องนี้ก็ได้ทํา
สงครามกัน เป็นมหาสงครามยืดเยื้อไม่มีสิ้นสุดในโลกนี้ ก็เพราะว่าบูชาความสุขทางวัตถุ
ทางเนื้อทางหนัง ไม่มีความรู้เรื่องทางจิตทางวิญญาณ นั่นแหละเรียกว่าชีวิตเก่า ชีวิตเก่า
ตามธรรมดาของปุถุชน ผู้ตกอยู่ใต้อิทธิพลของสัญชาตญาณตามปรกติ และตกอยู่ภายใต้
อิทธิพลของสัญชาตญาณที่บังคับไม่ได้ มันยิ่งขึ้นไปเป็นกิเลส
นี่เราอยู่ภายใต้การบีบคั้นของสัญชาตญาณตามธรรมดา ก็จะเหลือทนอยู่แล้ว แล้ว
ตกอยู่ใต้อํานาจบังคับของกิเลส คือ สัญชาตญาณที่บังคับไว้ไม่ได้แล้วมันเลยเถิด เรื่องกิน
เรื่องนอน เรื่องอยู่ เรื่องต่อสู้ แล้วเรื่องหนีภัย เรื่องแต่งเนื้อแต่ตัว เรื่องอะไรก็ตาม มันเลย
เถิดจนกลายเป็นกิเลสมันก็บีบคั้นมากขึ้นไปอีก แล้วก็เป็นอย่างนี้กันจนตาย ไม่ได้เกิดใน
โลกใหม่ของพระอริยเจ้าซึ่งเป็นโลกที่สดใสไม่มีสิ่งเหล่านี้รบกวน อาตมาใช้คําว่า “โลก
ใหม่” ก็ได้ ใช้คําว่า “ชีวิตใหม่” ก็ดีกว่า
เราจะต้องศึกษาให้รู้จักความร้อน ความทนทุกข์ทรมาน ที่เป็นอยู่จริง จนรังเกียจ
เกลียดชังอยากจะพ้นไปเสีย แล้วก็แสวงหาหนทางที่จะพ้นไปเสีย นั่นแหละคือการไป
แสวงหาธรรมะ หรือมาแสวงหาธรรมะเพื่อจะได้สภาพจิตใจชนิดใหม่ชนิดที่อยู่เหนือความ
ทุกข์ เหนือปัญหา เหนือกิเลส เหนือการบีบบังคับของสัญชาตญาณ ถ้าเรามาสู่พุทธ
ศาสนา มีธรรมะ เราก็มีวิธีจะบังคับควบคุมสัญชาตญาณ
สัญชาตญาณนี้เป็นเรื่องยากเหลือประมาณที่จะไปบังคับควบคุมมัน เพราะมันเป็น
นิสัย เป็นสันดานเกิดมาพร้อมกับชีวิต คู่กันกับชีวิต ฉะนั้น มันจึงเป็นการยาก เมื่อยัง
บังคับไม่ได้ทั้งหมด ก็ควบคุมให้ได้ตามสมควร ถ้าฉลาดกว่านั้น ก็เปลี่ยนกระแสของมัน
เสีย
มีคําๆ หนึ่งในภาษาอังกฤษคือคําว่า sublimate
sublimate คํานี้ควรอย่างยิ่งที่จะเอามาใช้กับสิ่งที่เรียกว่า instinct ถ้าเราบีบบัง
ครับสมบูรณ์ไม่ได้ หรือ ตัดมันไม่ได้ก็ sublimate คือเอาไปใช้ในทางที่ดีกว่าเสีย เหมือน
กําลังใจที่มากๆ แม้ที่สุดในทางกาม ทางเพศนั้น เปลี่ยนกระแสให้มาใช้ในการงาน
การศึกษาเล่าเรียนเสีย เพราะมันมีกําลังมาก ถ้าเปลี่ยนน้ําที่ไหล มันท่วมพังทลายเป็น
อุทกภัยให้ตายก็ได้ แต่ถ้า sublimate มาใช้แรงของมันหมุนเครื่องไฟฟ้าเสีย เราก็ไม่
ต้องได้รับอันตราย กลับได้รับประโยชน์หรือเหมือนช้างที่มันตกมัน คนที่ฉลาดเขาบังคับ
ได้ เขาก็ใช้งานเสียอย่างมากมายเลย เพราะมันมีฤทธิ์ มีแรงมากช้างตกมันใช้งานได้
มากมายมหาศาล ถ้าไม่อย่างนั้นมันเป็นอันตราย หรือมันไปทําให้เสียหายหมด แต่นี่
เปลี่ยนมาใช้ในทางที่มันตรงข้ามกันเสีย
ฉะนั้นกําลังที่รุนแรง ที่เกิดอยู่ตามสัญชาตญาณ ถ้าบังคับควบคุมไม่ได้ก็เปลี่ยน
กระแส คือ เอามาใช้ในทางที่ถูกเสีย กําลังมากๆ กําลังบ้าระห่ําอย่างนี้ เปลี่ยนมาใช้
ในทางที่ถูกทางเสียแทนที่จะไปในทางเกเร ก็เอามาใช้ในทางการงานการศึกษาเล่าเรียน
เสีย อย่างนี้มันก็ได้ประโยชน์แต่มันก็ว่าไม่ใช่ทําง่าย ปากนี้มันพูดกันก็ง่าย แต่ว่าจะทํากัน
จริงมันไม่ใช่ง่าย แต่มันก็เป็นสิ่งที่ทําได้ ถ้าเรามีความรู้เรื่องนี้อย่างเพียงพอ
ควบคุมสัญชาตญาณได้ จะมีชีวิตใหม่ในโลกใหม่
สําหรับสิ่งทีเรียกว่า “สัญชาตญาณ” เข้าใจว่า คงจะเคยศึกษาเล่าเรียนมา ในเรื่อง
วิทยาศาสตร์เรื่อง biology อะไรกันมาแล้ว พอจะรู้เรื่อง แต่จะไม่ได้ศึกษาถึงข้อที่วาจะ
จัดการกับมันอย่างไร
ทางธรรมะนี้ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรอื่น เป็นวิชาความรู้ที่บังคับ ควบคุม สัญชาตญาณ
นั้นเอง ให้มันกลายเป็นสิ่งที่ไม่เป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง ทว่าตัดความรู้สึกที่เป็น
สัญชาตญาณได้ มันก็เป็นพระอรหันต์เท่านั้นแหละ อย่าเพิ่งพูดถึงเลย มันยังอยู่ไกลไป ไม่
ต้องพูดถึงการตัดสัญชาตญาณเด็ดขาดเป็นพระอรหันต์ เอาแต่ว่าบังคับได้ควบคุมได้
เปลี่ยนกระแสของมันเสียให้เป็นประโยชน์ได้ ก็ประเสริฐถมไปแล้ว
วิชาธรรมะคือวิชานี้ คือวิชาที่จะควบคุมบังคับ คือจะเปลี่ยนกระแสของ
สัญชาตญาณอันร้ายกาจ ให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีโทษ ให้มีประโยชน์ยิ่งๆ ขึ้นไป ถ้าได้อย่าง
นี้มันพอหรือไม่พอ ในการจะเสียเวลา เสียเงินเสียอะไรมาศึกษาธรรมะ มาหาความรู้เรื่อง
ธรรมะ อาตมาคิดว่าเกินพอ ถ้าได้วิชาความรู้เหล่านี้จริง ไปใช้ประโยชน์ได้จริงควบคุม
สัญชาตญาณได้จริง มันก็สบายกว่านี้ชีวิตสดใสเยือกเย็นในความหมายแห่งคําว่านิพพาน
ไม่มีนิวรณ์ ๕ รบกวน มันสดชื่นแจ่มใสสักเท่าไร ไม่มีความรู้สึกทางเพศรบกวน ไม่
มีความรู้สึกทางความเกลียดรบกวน ไม่มีความรู้สึกห่อเหี่ยวหรือฟุ้งซ่านรบกวน ไม่มีความ
ลังเลในชีวิตรบกวน มันสดชื่นเยือกเย็นสักเท่าไรเพียงไม่มี มีนิวรณ์ทั้ง ๕ นี่พอเสียแล้ว ถ้า
ควบคุมโลภะ โทสะ โมหะได้มันก็ยิ่งวิเศษยิ่งขึ้นไปอีก คือ ไฟมันไม่ลุกขึ้นมาในจิตใจ
นี้ก็เลยเหมือนกับว่าโลกใหม่ ชีวิตใหม่ในโลกใหม่ในโลกของพระอริยเจ้า ที่มีแต่
ความสะอาด สว่าง สงบ มีความเยือกเย็น มีความเป็นอิสระ มีความโล่งโถง ไม่มีอะไรบีบ
คั้นหุ้มห่อ
มันก็ควรใหม่ที่ว่าจะเรียกว่ามันเป็นชีวิตใหม่ ?
มันก็ชีวิตเดิมนั่นแหละแต่มันถูกทําให้เป็นของแปลกออกไป จากที่ปล่อยไปตาม
ธรรมชาติของสัญชาตญาณ มันก็ได้ผลตรงกันข้ามคือว่า เดี๋ยวนี้เราอยู่เหนือการบีบบังคับ
ของสัญชาตญาณ ซึ่งอยู่ในระดับสัญชาตญาณล้วนๆ หรืออยู่ในระดับที่เป็นกิเลสอันร้าย
กาจก็ตาม มันก็ได้ชีวิตเย็น ในความหมายของคําว่า “นิพพาน”
เข้าใจความหมายของนิพพานให้ถูกต้อง
คําว่า “นิพพาน นิพพาน” นิพพานนี้ยังเข้าใจผิดกันอยู่หลายอย่างหรือไม่เข้าใจ
ความหมายอันถูกต้องของนิพพาน ก็เลยไม่ต้องการนิพพาน แล้วคําสอนที่พูดกันสอนๆ
กันก็อยู่ไกลสุดเอื้อมจนเห็นว่าเหลือวิสัยจะทําได้ นั้นมันเป็นคําพูดของใครก็ไม่รู้ ต้องขอ
อภัยที่จะใช้ว่า คําพูดของคนไม่รู้จักนิพพาน เป็นคําพูดของคนโง่ต่อพระนิพพาน จึงพูด
อย่างนั้น
ถ้าพูดกันให้ตรงความจริง ตามธรรมชาติที่เป็นอยู่จริง คําว่า นิพพาน ก็คือชีวิตใหม่
อย่างที่ว่าหลุดรอดออกมาได้จากการบีบคั้นของสัญชาตญาณและกิเลสทั้งหลาย มามีชีวิต
ใหม่อย่างนี้ ก็เรียกว่านิพพาน คือเย็น ชีวิตเย็น อย่าตีความหมายอะไรให้มันไกลสุดโต่งไป
นัก ขอให้ถือเอาความหมายของคําว่านิพพาน นิพพานนี้ว่า เย็นไว้ก่อน
ในพระบาลีมีเรื่องราวมากเหลือเกิน ที่แสดงให้เห็นว่า คําว่า “นิพพาน” นั้น
หมายถึงความเย็นแห่งชีวิต แล้วที่นี่ และเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอตอนตายแล้ว เมื่อไรกิเลสหรือ
ความรู้สึกที่ผิด ที่เลวร้าย ไม่ครอบงําจิตใจ จิตใจมันก็เย็น แต่เดี๋ยวนี้มันจะมาครอบงําเสีย
เรื่อย จนเห็นเป็นร้อนเสียเรื่อย หรือว่ามันจะเว้นระยะบ้างไม่ครอบงํา เราก็ไม่สนใจเวลาที่
ว่างจากกิเลส ว่างจากสัญชาตญาณเลวร้ายครอบงําก็มีอยู่บ้าง ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเสียเลย
ถ้าจะสนใจข้อนี้ ก็ตั้งปัญหาถามตัวเองว่าเมื่อไรนะที่เรารู้สึกว่า สบายอกสบายใจ
โปร่งใจสดใสเยือกเย็นที่สุด เมื่อไรนะ คอยเฝ้าดูสิ คอยจ้องดู ก็จะพบทันทีว่า เมื่อไม่มี
กิเลสรบกวน ไม่มีนิวรณ์ ไม่มีกิเลส หรือไม่มีอํานาจของสัญชาตญาณชนิดเลวร้ายรบกวน
มันก็มีอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็เป็นบ้าหมดแล้ว คือมันถูกกิเลสเผาผลาญไม่มี
เวลาว่างเสียเลย มันเป็นบ้าตายหมดแล้ว
เดี๋ยวนี้มันยังมีเวลาที่ว่างบ้าง ธรรมชาติมันก็จัดให้พอสมควร คือว่านอนหลับ เวลา
นอนหลับมันก็ไม่ถูกสิ่งเหล่านี้รบกวน มันก็ชดเชยกัน เวลาที่นอนหลับมันเพียงพอ มันก็
ชดเชยกับที่เวลาที่ตื่นอยู่ด้วยความเผาลนของกิเลส มันจึงพอดีๆ ที่จะอยู่ในลักษณะที่
อย่างนี้ คือ เป็นคนทนทุรนทุรายทนทุกข์ไปบ้าง แต่ไม่มากจนถึงกับตาย ไม่มากจนถึงเป็น
บ้า
แต่เดี๋ยวนี้มันก็ปรากฏว่า ในโลกนี้คนเป็นโรคประสาทและเป็นบ้าวิกลจริตมากขึ้น
ทุกที หมอเขาว่าอย่างนั้นเขารายงานออกมาอย่างนั้นเป็น neurosis เป็นโรคประสาทกัน
มากขึ้น จนกลายเป็น psychosis เป็นโรคบ้าไปเลยมากขึ้น แล้วมันจะมากหรือยิ่งขึ้นไป
อีก เพราะว่าความผันแปรในโลก หรือเป็นอย่างนั้น คือว่าโลกมันเป็นไปตามอํานาจของ
กิเลส มันเดินผิดทางของธรรมะ มันก็ต้องมีความผันแปรมากและมากยิ่งขึ้นๆ
ฉะนั้นต่อไปคนจะเป็นโรคประสาทหรือเป็นบ้ามากขึ้นกว่าที่แล้วมา เมื่อเทียบ
จํานวนโดยเปอร์เซ็นต์ คนในโลกมันเพิ่มมากขึ้นจริง แต่คิดแล้วเปอร์เซ็นต์มันสูงกว่าเมื่อ
โลกยังมีคนน้อย คือมีแต่คนป่า
คนป่านั่นแหละ ดูให้ดีเถอะ เกือบจะไม่รู้จักกับโรคประสาทเหมือนคนสมัยนี้ คน
ป่านั่นแหละดูให้ดีเถอะ มันจะไม่เป็นโรคบ้า ไม่เป็นโรคประสาท ไม่มีอะไรวิปลาสเหมือน
คนสมัยนี้ ไม่มีเรื่องฆ่าฟันกันมากเหมือนคนสมัยนี้ ซึ่งมันไม่น่าเชื่อยิ่งขึ้นทุกที มีเรื่องผิดใจ
นิดหนึ่ง แฟนเขาไม่ซื่อหน่อยมันก็ไปกินยาตาย ถ้าเป็นคนป่ามันไม่ต้องนั่นดอก มัน
หัวเราะเยาะหรือว่ามันเปลี่ยนได้ มันแก้ปัญหาของมันได้ คนที่มีการศึกษาแล้วกลับไปกิน
ยาตาย ในระดับนักศึกษา นิสิตนักศึกษาของมหาวิทยาลัย ก็มีพบอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์
บ่อยๆ นี่มันเพราะเหตุอะไรกัน เพราะว่ามันไม่รู้จักไอ้ชีวิตหรือตัวเองเอาเสียเลย มันก็ไม่
เย็น มันเต็มไปด้วยชีวิตร้อน มันโง่มากเข้า มันกลัดกลุ้มหนักเข้า มันก็มืดบอดไปหมด ก็
ทําสิ่งที่ไม่ต้องการทําหือไม่ควรจะทํา
นี่ขอให้สนใจว่า มนุษย์กําลังเป็นอย่างไร มนุษย์ยุคปัจจุบันเป็นอย่างไร และมนุษย์
ในอนาคตจะมีปัญหาอะไรเพิ่มขึ้น เราก็จะต้องรู้ไว้และจะต้องจัดให้ชีวิตของเราชาติหนึ่งนี้
ได้รับสิ่งที่ควรจะได้รับ ที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ซึ่งจะเรียกว่า “ชีวิตเย็น”
“ชีวิตเย็น ชีวิตที่เป็นนิพพาน”
คําว่า นิพพาน นี้ สอนกันมากมายหลายความหมาย แต่ว่าความหมายที่แท้จริง ที่
ถูกต้องที่ค้นคว้าทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น แปลว่าเย็น อาหารร้อน ต้องรอให้นิพพานเสียก่อนจึง
จะกินได้ อย่างนี้เป็นต้น แล้วเขาใช้กันอยู่ในภาษาธรรมดา คนพูดธรรมดาในหมู่ชาวบ้าน
ประชาชนทั่วไป ไม่ใช่ว่าใช้แต่ที่วัด หรือเรื่องนักบวชบรรพชิตชั้นสูงไม่ใช่
เขาใช้คําว่า นิพฺพุตา นิพฺพุโต คือ นิพพานแล้ว นิพพานแล้ว นี่กับเรื่องของ
ชาวบ้าน คล้ายๆ จะพูดว่า บ้านนี้นิพพาน ก็หมายความว่าครอบครัวนี้เยือกเย็น ไม่มี
ความผิด หรือกิเลสตัณหาอะไรรบกวน
เล่าเรื่องที่ควรจะเล่าบ่อยๆ สักเรื่องหนึ่งว่าเมื่อวันที่เขาประกวดสตรี ให้
พระสิทธัตถะเลือกเพื่อการสมรส ในวันนั้นพระสิทธัตถะเดินมาสู่ที่ชุมนุม หญิงสามใน
ตระกูลศากยะคนหนึ่งร้องตามหลังมาว่า “บุรุษนี้เป็นลูกของผู้ใด แม่ของเขาก็จะ
นิพพาน บุรุษนี้เป็นลูกของผู้ใด พ่อของเราก็จะนิพพาน บุรุษนี้เป็นภัสดา ของหญิงใด
หญิงนั้นก็จะนิพพาน” ใช้คําว่า นิพฺพุตา เป็นคํากริยา แปลว่า เย็นแล้ว หรือนิพพานแล้ว
นี่พูดกันเป็นภาษาธรรมดา ชาวบ้านพูดกลางบ้านนิพพานแล้วๆ คือเย็นแล้วๆ เป็น
ครอบครัวที่เย็น ไม่มีความทุกข์ ความร้อน มันอยู่กันอย่างถูกต้อง ถูกต้องตามสมควรที่จะ
อยู่กันในโลกอย่างไม่มีความเดือดร้อน ไม่ได้หมายถึงว่าสิ้นกิเลสทั้งปวงเป็นพระอรหันต์
ดอก นั่นมันเป็นอีกความหมายหนึ่ง เป็นความหมายสูงสุด ความหมายธรรมดานิพพานๆ
โดยปริยายนี่ก็คือเย็น
อะไรเป็นของร้อน ก็คือสิ่งที่ว่าโดยเฉพาะคือ กิเลส ราคะ โทสะ โมหะ นี่ร้อน แล้ว
ก็ลองไล่ดู สิ่งที่เรามีกันอยู่เป็นผลของกิเลส ร้อนหรือไม่ร้อน ความรักร้อนหรือไม่ร้อน
ความโกรธร้อนหรือไม่ร้อน ความเกลียดร้อนหรือไม่ร้อน ความกลัวร้อนหรือไม่ร้อน ความ
วิตกกังวลร้อนหรือไม่ร้อน ความอาลัยอาวรณ์ร้อนหรือไม่ร้อน ความอิจฉาริษยาร้อน
หรือไม่ร้อน ความหึงความหวงร้อนหรือไม่ร้อน นี่ก็เป็นตัวอย่างที่พอแล้วว่าจะดูชีวิตได้ว่า
มันร้อนหรือมันเย็น ถ้ามันไม่มีสิ่งเหล่านี้ มันก็ไม่มีร้อนหรอก
ขอให้รู้จักความหมายของคําว่า นิพพานหรือวิมุตติ หลุดพ้นกันให้ถูกต้อง เดี๋ยวนี้
ไม่รู้จักคํานี้อย่างถูกต้อง แต่ก็ปรารถนากันมากเหมือนกัน แต่ก็นั่นแหละมันเป็นความ
ปรารถนาตามธรรมเนียม ตามประเพณี เป็นการกรวดน้ํา เป็นการอุทิศ พอทําบุญทํากุศล
เสร็จแล้วก็ว่าให้ได้นิพพาน ทั้งที่ไม่รู้ว่านิพพานคืออะไร ทั้งที่ความจริงนั้น นิพพานเป็นสิ่ง
ที่ต้องได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ คือได้ชีวิตเย็น เย็นเพราะว่า เราควบคุมสัญชาตญาณได้ เรา
ควบคุมกิเลส คือสัญชาตญาณที่ควบคุมไม่ได้ นั้นได้ ก็เลยเย็น ชีวิตนี้เย็น แม้แต่สัตว์
เดรัจฉานที่ฝึกดีแล้วไม่มีอันตราย ก็ยังเรียกว่าเป็นนิพพาน
นิพพานอย่างสัตว์เดรัจฉานมันก็คือเย็น ไม่ได้หมายความว่ามันสิ้นกิเลส แต่
หมายความว่ามันหมดปัญหา ชีวิตนี้มันไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้มันเต็มไปด้วยปัญหารัก โกรธ
เกลียด กลัว วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หึงหวง ซึ่งล้วนแต่เป็นเครื่องทรมาน
จิตใจทั้งนั้น พูดเอาเองก็แล้วกันว่าชีวิตที่ปราศขากสิ่งทรมานโดยประการทั้งปวง นั่น
แหละคือนิพพาน ชีวิตที่มีความหมายเป็นนิพพานในระดับนี้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ซึ่งคนทุกคน
มีความเหมาะสม หรือว่ามีสิทธิก็ตามใจ ที่จะได้รับ ที่จะมีและต้องรู้จัก แล้วจะต้องดํารง
ตนให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ คือ “รู้ธรรมะ”
รู้จักธรรมะ ๔ ความหมาย จะเข้าใจเรื่องตัวตน-ของตนได้
ธรรมะนี้มี ๔ ความหมาย เราต้องรู้จักธรรมชาติ นี้ความหมายหนึ่ง เราต้องรู้จัก
กฎเกณฑ์ของธรรมชาติ นี้ความหมายหนึ่ง เราต้องรู้จักหน้าที่ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ
นี้ความหมายหนึ่ง เราจะต้องรู้จักผลที่ควรจะได้รับอย่างถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของ
ธรรมชาติ
ถ้าเรารู้ ๔ ประการนี้เราก็รู้ธรรมะ ก็ลองคิดดูเถอะว่า มันไม่มีทางที่จะอะไรผิด
เพราะรู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติอย่างถูกต้องครบถ้วนในทุกแง่ทุกมุม ก็ไม่มีทําอะไรผิด
และจะมีความรู้สูงสุดถึงขนาดที่ว่า มันจะไม่ยึดถืออะไรให้เป็นตัวตน ที่หมายมั่นด้วย
ความเป็นตัวตน แล้วก็มีความหนักเพราะยึดถือไว้ว่าตัวตน
ขอยอมรับว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก แต่ว่ามันคงจะไม่เกินไปสําหรับนักศึกษา
ถ้ามีความรู้สึกเป็นตัวตนอะไรอยู่ มันก็จะหนัก เพราะว่ามันต้องเห็นแก่ตน มันต้องเป็น
ผลดีแก่ตน มันก็เป็นเรื่องวิตกกังวล เป็นเรื่องหนักอกหนักใจ เดี๋ยวนี้เรารู้สึกว่าเรามีชีวิต
อยู่ด้วยความรู้สึกคิดนึกที่เป็นตัวตนตลอดเวลา จิตใจของเราจะมีความคิดประเภทที่เป็น
ตนเป็นของตนอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ว่างจากความรู้สึกชนิดนี้ มันมีความคิด แต่ว่ามันมี
ความหมายแห่งตัวตนอยู่ในความคิด มันก็หนักอยู่ในความคิด แม้จะมีความคิด แต่ถ้า
ความคิดไม่มีความหมายแห่งตัวตนอยู่ในความคิด มันก็ไม่หนัก มันก็เป็นของเบา
เดี๋ยวนี้เราปุถุชน มันอยู่ด้วยความคิดประเภทที่มีตัวตนอยู่ตลอดเวลา แล้วมีตัวตน
มันก็เห็นแก่ตนเป็นธรรมดา ตามหลักของสัญชาตญาณมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ เมื่อมี
สัญชาตญาณแห่งความมีตัวตน มันก็ต้องเห็นแก่ตน แล้วมันก็ต้องมีความรู้สึกว่า จะเป็น
ผลดีหรือผลร้ายแต่ตน ความรู้สึกอันนี้มันระแวงสงสัยอยู่ตลอดเวลา จิตใจไม่ว่างจาก
ความรู้สึกชนิดนี้ ถ้าว่างจากความรู้สึกชนิดนี้ ก็เป็นพระอรหันต์อีกนั่นแหละ พระอรหันต์
ก็มีความรู้สึกคิดนึกตามปรกติทั่วๆ ไป แต่ไม่มีความรู้สึกประเภทตัวตนหรือของตน
จะเอาเรื่องของพระพุทธเจ้ามาเล่าให้ฟังก็ได้ว่า เพราะว่าพระองค์ตรัสประกาศ
ทํานองท้าทายประกาศก้องไปว่า “ตถาคตอยู่ด้วยปรมานุตตรสุญญตา” ความรู้สึกว่าง
อย่างสูงสุด ว่างอย่างสูงสุด เมื่อมีผู้มาหาเป็นพวกพระราชาบ้าง จิตก็ยังว่างจากตัวตน ผู้
มาหาเป็นประชาชนเศรษฐีบ้าง ก็ยังว่างจากตัวตน ผู้มาหาเป็นเจ้าลัทธิเดียรถีย์อื่น คู่
แข่งขันมา จิตก็ยังว่างจากตัวตน มันเป็นว่างจากตัวตนไปทั้งหมด ไม่ว่าอะไรมา
นี้ถ้าว่าเป็นพระธรรมดาเป็นพระปุถุชน พออะไรมามันก็มีความคิดชนิดที่ไม่ว่าง
จากตัวตน ถ้าพระราชามา ก็รู้สึกว่าเป็นเกียรติแก่กู กูคงจะได้อะไรบ้าง จิตมันก็ไม่ว่างเสีย
แล้ว ถ้าเศรษฐีมามันก็คิดว่าจะต้องได้อะไรบ้า ถ้าขอทานมา มันก็ไม่ไหวแล้ว สั่นหัวแล้ว
มันคิดว่าจะไม่ได้อะไรเลย ถ้าคู่ปรปักษ์มา ก็คิดว่ามันจะต้องมีการชนะหรือการพ่ายแพ้
แล้ว นี่มีศัตรูมา มีปรปักษ์มา มันก็คิดไปทํานองนั้น ถ้ามิตรสหายมา มันก็อิ่มอกอิ่มใจว่า
จะต้องได้อะไร จะต้องสบายใจหรือต้องอะไรแก่กู นี่ความรู้สึกเป็นความหมายแห่งตัวตน
หรือของตนมันมีอยู่อย่างนี้
ที่นี้มาพูดถึงคนธรรมดาสามัญอย่างพวกท่านทั้งหลายบ้าง นี่อยากจะท้าเลยว่าพอ
เห็นบุรุษไปรษณีย์เดินข้ามาในบ้านเท่านั้นแหละ จิตปกติอยู่ตามเดิมไหม มันจะต้องนึกว่า
มันจะมีข่าวดีหรือข่าวร้าย การได้หรือการเสีย มันจึงเปิดจดหมายด้วยมือที่สั่นใช่ไหม นี่ถ้า
มันไม่ว่างมันเป็นอย่างนี้ จิตมันปรกติไหม ลูกหนี้มามันก็ยังไม่ปรกติ เพราะมันทวงหนี้
ไม่ได้ ถ้าตํารวจถือกุญแจมือมา จิตมันปรกติไหม
นี่คิดดูให้ดีสิว่าชีวิตแต่ละวัน ที่มีอะไรเกิดขึ้นเกี่ยวข้องนั่น มันทําให้จิตเกิด
ความรู้สึกประเภทตัวกูของกู จะได้จะเสีย จะแพ้จะชนะ จะสุขจะทุกข์ จะได้เปรียบจะ
เสียเปรียบอะไรขึ้นมาเต็มไปในจิตใจ นี้เรียกว่าคนธรรมดาไม่ได้อยู่ด้วยจิตใจของปรมา
นุตตรสุญญตา อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส “ตถาคตอยู่ด้วยปรมานุตตรสุญญตาความ
ว่างอันสูงสุด” ต้องรับแขกทั้งวันเหมือนกันเดี๋ยวคณะราชามา เดี๋ยวคณะอํามาตย์มา
เดี๋ยวคณะเศรษฐีมา เดี๋ยวคณะบุคคลพลเรือนมา เดี๋ยวคณะเดียรถีย์มา อะไรมา ก็ไม่มี
อะไรที่จะเกิดความรู้สึกหวั่นไหวว่ามันจะได้อะไรหรือจะเสียอะไร มันเลยปกติ ปกติไม่ว่า
พวกไหนจะมา พวกยักษ์พวกมารอะไรจะมา พวกอะไรจะมา เทวดาอะไรจะมาก็ตาม มัน
ก็ไม่เปลี่ยนจากความปกติ
แต่ถ้าคนธรรมดามันไม่เป็นอย่างนั้น แล้วก็ไม่ต้องไปถามใครดอก สังเกตดูเอาเอง
จากในใจของคนที่มีความรู้สึกอยู่จริงๆ วันหนึ่งๆ มันเกิดความรู้สึกทํานองนี้กันถี่มากน้อย
บางทีมันจะเกือบทั้งหมด แม้จะทําการงานอยู่มันอดวิตกกังวลไม่ได้ จะเรียนหนังสืออยู่
มันก็อดวิตกกังวลไม่ได้ เรื่องได้เรื่องเสีย เรื่องแพ้เรื่องชนะ ได้เปรียบเสียเปรียบของตัวกู
มันอดคิดไม่ได้ นั่นคือไฟชนิดที่เผา เผาโพลงๆ ในบางคราว เผากรุ่นๆ อยู่บางคราว หรือ
อัดควันอยู่ในบางคราว ชีวิตเป็นอย่างนี้
ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้จะเป็นอย่างไร เราจะเรียกว่าจิตที่มันเกลี้ยง ชีวิตที่มันเกลี้ยงนั่น
แหละคือ อิสรภาพ เสรีภาพ นั่นนะคือวิมุตติความหลุดพ้น ตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา
เมื่อวิมุตติหลุดพ้นจากสิ่งบีบคั้นเหล่านนี้แล้ว มันก็เย็นเป็นนิพพาน เป็นความเย็น แม้ยัง
ไม่สิ้นกิเลส แต่ถ้ากิเลสไม่เกิดขึ้นรบกวน มันก็เย็นเป็นนิพพานโดยเท่ากัน ถ้านิพพาน
สมบูรณ์ของพระอรหันต์นั่น มันไม่อาจจะเกิดกิเลสได้อีก ทีนี้เรายังมีกิเลส แต่ถ้าเราทํา
ชนิดที่กิเลสไม่เกิดขึ้นเผาลน มันก็ยังมีความเย็นไปตามแบบเดียวกันนั่นแหละ เรียกว่า
นิพพานโดยปริยาย อย่างธรรมดาสามัญ ถ้าไปทําลายรากเหง้าของกิเลสหมดจดสิ้นเชิงไม่
อาจจะเกิดอีกแล้ว มันก็เป็นนิพพานสมบูรณ์ของพระอรหันต์
คนธรรมดาควรจะศึกษาเรื่องนิพพาน เพื่อชีวิตจักเย็น
ฉะนั้นนิพพานจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้อง หรือควรจะเกี่ยวข้อง แม้แต่ปุถุชนธรรมดา
สามัญทั่วไป มิฉะนั้นมันจะเป็นชีวิตร้อน โลกมันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะให้เกิดชีวิต
ร้อนยิ่งขึ้นๆ ฉะนั้นเตรียมตัวไว้ให้ดี ศึกษาธรรมะไว้ให้พอเพื่อจะอยู่ในโลกที่มันไม่น่าอยู่นี่
ยิ่งขึ้นๆ พูดง่ายๆ ว่าเตรียมตัวสําหรับอยู่ร่วมโลกกับคนบ้า ไม่ใช่อวดดีอะไร ว่ามันจะต้อง
เตรียมตัวสําหรับจะอยู่ร่วมโลกกับคนบ้า ซึ่งมันจะมีคนบ้าเพราะกิเลสมากขึ้นทุกที มาก
ขึ้นทุกที เพราะการศึกษามันเป็นการศึกษาหมาหางด้วน
ทั้งโลก มันมีการศึกษาชนิดหมาหางด้วน ขออภัยใช้คําตรงๆ เพื่อประหยัดเวลา
มันเป็นคําหยาบคายหน่อย คือให้เรียนกันแต่หนังสือ ให้เรียนกันแต่วิชาชีพ ส่วนจะบังคับ
จิตใจกันอย่างไร จะเป็นมนุษย์กันอย่างไรให้เยือกเย็นนั้นไม่ได้เรียน โรงเรียนไหน
มหาวิทยาลัยไหน ประเทศไหน อะไรก็ตามมันไม่ได้เรียน มันมุ่งแต่ให้รู้หนังสือเพื่อจะ
ฉลาด แล้วก็เรียนวิชาชีพให้สูงสุด ให้ได้เปรียบมากยิ่งขึ้นไป แล้วก็มุ่งจะทํางานพัฒนา
ตัวเอง พัฒนาสังคม พัฒนาประเทศชาติ ด้วยสิ่งชนิดที่เป็นปัจจัยแก่กิเลสทั้งนั้น ดังนั้นทั้ง
โลกมันจึงเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว
ความเห็นแก่ตัวมันเป็นเรื่องให้เกิดกิเลสทุกอย่างทุกประการขึ้นมา เรียกว่าเราต้อง
อยู่ร่วมโลกกับคนบ้า ถ้าเราไม่มีความรู้ที่เพียงพอเราก็จะเดือดร้อน ไม่ต้องพูดที่ไหน เอาที่
กรุงเทพฯ นั่นแหละอันธพาลมันจะมากขึ้น แล้วเราจะอยู่ในบ้านเมืองที่อันธพาลมันมาก
ขึ้นได้อย่างไร ถ้าเราไม่รู้จักปรับปรุงจิตใจภายในของเราให้เหมาะสมที่จะอยู่ร่วมโลกกับ
อันธพาลเหล่านั้น ซึ่งมันจะต้องมากขึ้นเพราะการศึกษามันไม่ถูกต้อง เพราะเหตุการณ์ใน
โลกมันบีบบังคับ เพราะความผันแปรของหมู่มนุษย์มันไปผิดทาง คือมันเป็นทาสของ
กิเลสมากขึ้น หรือเป็นทาสของสัญชาตญาณมากขึ้น ทั้งที่เรียนเรื่องสัญชาตญาณ แต่ก็ไม่
รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ หรือไม่เรียนกันในแง่ที่มันใช้ให้เป็นประโยชน์ มันก็รู้จากเรื่อง
สัญชาตญาณ สักว่าเป็นหลักวิชาล้วนๆ เอาประยุกต์อะไรไม่ได้
นี่ขอให้เราใช้วิชาทุกอย่างที่มีอยู่เรียนอยู่นั้นเอามาประยุกต์ใช้ให้ได้ในการที่จะ
แก้ปัญหาทุกอย่างทุกประการของชีวิตจิตใจ เพื่อว่าจะได้มีชีวิตเย็น เพื่อจะได้มีชีวิตเย็น นี่
จึงเรียกว่าเราจะต้องนึกถึงแล้ว คือชีวิตใหม่หรือการเกิดใหม่ ไม่ต้องตาย เกิดโดยไม่ต้อง
ตาย เกิดโดยการปรับปรุงจิตใจเสียใหม่ ให้มีความรู้ความเฉลียวฉลาดพอที่จะต่อสู้กับสิ่ง
เหล่านี้ได้
ศึกษาให้เข้าใจพระรัตนตรัย เพื่อคุ้มครองตน
ถ้าจะพูดก็คือให้มีธรรมะคุ้มครองให้มากขึ้น พูดให้ศักดิ์สิทธิ์กว่านั้นหน่อยก็พูดว่า
ให้มีพระรัตนตรัยคุ้มครองมากขึ้น แต่ก็น่าสังเวช น่าสงสารที่ว่าไม่รู้จัก ว่าพระรัตนตรัย
นั้นคืออะไร ไม่รู้จักขออภัยแม้ที่นั่งอยู่นี้รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถึงที่สุดแล้ว
หรือยัง กลังว่าจะรู้จักแต่เพียงชื่อ รู้จักแต่เพียงบทบัญญัติ บทนิยามคําเหล่านั้น มันก็
กลายเป็นเรื่องพูดได้หรือจําได้ แต่ไม่มีตัวจริง
มีพระพุทธเจ้าคือผู้ตรัสรู้แล้วสอน พระธรรมคือคําสอน พระสงฆ์คือผู้ปฏิบัติได้
อย่างนี้ มันก็ไม่รู้จักตัวจริง รู้จักเท่าที่เขาบอก แล้วก็รับทําพิธี พุทธังสรณัง คัจฉามิ
ธัมมังสรณัง คัจฉามิ ซึ่งนกแล้วนกขุนทองมันก็ว่าได้ถ้าเอามาฝึกมาสอน
เดี๋ยวนี้น่าห่วงที่สุด ที่เอาเด็กมาทําพิธีพุทธมามกะที่นี่ ตามระเบียบราชการ
อาตมาก็ทําตามระเบียบที่เขาจดมาเขียนมาให้ ทําอย่างไรบ้าง เด็กเขาว่าอย่างนั้นเราก็ให้
พร นึกละอายตัวเองอยู่เหมือนกัน ที่ว่าเด็กนั้น เขาไม่รู้เลยว่าพระพุทธเจ้าคืออะไร ?
พระธรรมคืออะไร ? พระสงฆ์คืออะไร ?
แล้วจะเอามาให้ว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ หรือว่าปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะถือ
พระรัตนตรัย แล้วก็กลับไป ทีนี้ดูถึงคนผู้ใหญ่ใตๆ แล้วบ้าง เข้ายังอยู่ในสภาพอย่างนี้หรือ
เปล่า มันยังอยู่ในสภาพอย่างนี้หรือเปล่า มันยังอยู่ในสภาพเหมือนกับเด็กอย่างเหล่านี้
หรือเปล่า
ข้อนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เรื่อง พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เท่าที่มี
ปรากฏอยู่ในพระบาลีทั้งหมดทั้งสิ้นนะ คําๆ นี้เขาจะพูดออกมาโดยบุคคลที่เข้าใจธรรมะ
มองเห็นว่าเป็นที่พึ่งได้จริงแล้วเท่านั้นเขาจึงจะพูดออกมาเอง โดยพระพุทธเจ้าไม่ต้อง
บอก ไม่ต้องนํา ไปอ่านดูในสูตรทั้งหลายสิ ถ้าเขาได้ฟังธรรมะสนทนากับพระพุทธเจ้า
ซักไซ้ไล่เรียงจนเห็นชัดลงไปว่าธรรมะนี้ดับทุกข์ได้จริง เห็นชัดประจักษ์แล้ว จึงร้อง
ออกมาเองว่า ข้าพเจ้าขอถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ คําว่า พุทธัง สรณัง
คัจฉามิ มันเป็นคําพูดของคนที่เห็นธรรมะโดยประจักษ์ชัดว่า ดับทุกข์ได้จริงแล้วพูด
ออกมา
เดี๋ยวนี้เรามาใช้เป็นคําร้องของผู้ที่ไม่รู้จัก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เลย แล้วก็
ให้เขาร้องออกมา แล้วก็เป็นอันว่าเสร็จพิธีเป็นพุทธบริษัทอย่างนกแก้วนกขุนทอง
ฉะนั้นจงมองดูเห็นว่า มันแยกกันอยู่เป็น ๒ ชนิด คือ การถือสรณคมน์ด้วยปัญญา
เห็นชัดแล้วว่าดับทุกข์ได้จริง จึงถือสรณคมม์ด้วยปัญญานี้อย่างหนึ่ง ทีนี้อีกอย่างหนึ่งถือ
สรณคมน์ตามธรรมเนียม ไม่รู้ ไม่ได้รู้ ไม่ได้รู้สึก แต่เขามีพิธี มีประเพณี มีธรรมเนียมให้ว่า
ก็ว่าไป อย่างมากก็แค่ศรัทธาอย่างงมงายเสียด้วย ศรัทธาที่ไม่มีปัญญา มันเป็นอย่างนั้น
ฉะนั้นขอบอกว่าไม่พอดอก ที่พวกนักเรียนนักศึกษาทั้งหลายเคยทําพิธี
พุทธมามกะมาแล้วนั้นมันไม่พอ มันถือสรณคมน์นกแก้วนกขุนทองเป็นพิธีรีตอง แล้วไม่
เคยมีในครั้งพุทธกาล เอาสิถ้าในครั้งพุทธกาลมันจะมีแต่สรณคมน์ของผู้ที่เห็นธรรมะ
แล้วร้องตะโกนออกมา เขาไม่มีพิธีให้รับก่อนกันอย่างนี้ ไปฟังเทศน์ก็ฟัง ถ้าใครฟังเข้าใจ
พอใจ รับเอาไว้ในจิตใจจึงจะร้องตะโกนออกมาว่าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็น
สรณะจนตลอดชีวิต
นี่คิดดูให้ดีสิว่า เรื่องมันยังมีปัญหามาก แม้กระทั่งการศึกษา หรือขนบธรรมเนียม
ประเพณีที่มันยังไม่เกื้อกูล แก่การที่จะทําให้มนุษย์นี่มีความรู้ที่ควรจะรู้ คือ เรื่องธรรมะ
สําหรับจะไปควบคุมสัญชาตญาณของเขา ให้ดําเนินมาอย่างถูกต้องเหมือนกับชีวิตใหม่
หรือมีการเกิดใหม่
ดังนั้นในวันนี้เราจะไม่พูดเรื่องอะไรมากไปกว่าเรื่องว่า จะต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่าชีวิต
ใหม่หรือการเกิดใหม่ที่พระพุทธศาสนาจะมีให้เราคือ ระบบธรรมะสําหรับเรียน สําหรับ
ปฏิบัติ จนเกิดผลขึ้นมา แล้วก็จะปรากฏเป็นชีวิตใหม่ หรือการเกิดใหม่ขึ้นมา คุ้มค่าไหม
ตัดสินดูเอาเองว่า ถ้าได้สิ่งนี้ ชีวิตใหม่เกิดใหม่ที่เยือกเย็นนี่คุ้มค่าไหนที่มาสวนโมกข์ เสีย
ค่ารถเท่าไร เสียเวลาเท่าไร เหนื่อยเท่าไร ถ้าคุ้มค่าก็ดีไป อาจารย์ไม่ต้องทะเลาะกับ
ชีวิตใหม่
ชีวิตใหม่
ชีวิตใหม่
ชีวิตใหม่
ชีวิตใหม่

More Related Content

What's hot

5 youngawakening leader camps words
5 youngawakening leader camps words5 youngawakening leader camps words
5 youngawakening leader camps words
Anurak Menrum
 
ความรู้ทั่วไปเบื้องต้นเกี่ยวกับผีและบทละครความรักระหว่างคนกับผี
ความรู้ทั่วไปเบื้องต้นเกี่ยวกับผีและบทละครความรักระหว่างคนกับผีความรู้ทั่วไปเบื้องต้นเกี่ยวกับผีและบทละครความรักระหว่างคนกับผี
ความรู้ทั่วไปเบื้องต้นเกี่ยวกับผีและบทละครความรักระหว่างคนกับผี
thanyapat pichayakul
 
พระพุทธศาสนากับป่าไม้
พระพุทธศาสนากับป่าไม้พระพุทธศาสนากับป่าไม้
พระพุทธศาสนากับป่าไม้Kasetsart University
 
วิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาเม่งจื๊อ
วิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาเม่งจื๊อวิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาเม่งจื๊อ
วิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาเม่งจื๊อ
Padvee Academy
 
กลอนพระมหาทองสมุทร
กลอนพระมหาทองสมุทรกลอนพระมหาทองสมุทร
กลอนพระมหาทองสมุทร
Tongsamut vorasan
 
ชวิตนี้มีแต่สุข_อ.เฉลิมชัย
ชวิตนี้มีแต่สุข_อ.เฉลิมชัยชวิตนี้มีแต่สุข_อ.เฉลิมชัย
ชวิตนี้มีแต่สุข_อ.เฉลิมชัยAchara Sritavarit
 
รวมบทกลอนสำหรับงานค่าย1
รวมบทกลอนสำหรับงานค่าย1รวมบทกลอนสำหรับงานค่าย1
รวมบทกลอนสำหรับงานค่าย1
niralai
 
พระพุทธม.6 SW603
พระพุทธม.6 SW603พระพุทธม.6 SW603
พระพุทธม.6 SW603
satriwitthaya
 
อมรา สินทวีวงศ์ ธรรมะดัดสันดาน
อมรา สินทวีวงศ์   ธรรมะดัดสันดานอมรา สินทวีวงศ์   ธรรมะดัดสันดาน
อมรา สินทวีวงศ์ ธรรมะดัดสันดานTongsamut vorasan
 
040 buddhataspoetry
040 buddhataspoetry040 buddhataspoetry
040 buddhataspoetry
niralai
 
Healed body healed_mind
Healed body healed_mindHealed body healed_mind
Healed body healed_mind
Aimmary
 
คำคมคารมธรรม
คำคมคารมธรรมคำคมคารมธรรม
คำคมคารมธรรม
niralai
 
Osho Way
Osho WayOsho Way
กลอนมงคล๓๘ ประการ
กลอนมงคล๓๘ ประการกลอนมงคล๓๘ ประการ
กลอนมงคล๓๘ ประการ
niralai
 
590819 shi27
590819 shi27590819 shi27
590819 shi27
Shi27
 
Kamnamtham 5
Kamnamtham 5Kamnamtham 5
Kamnamtham 5
Songsarid Ruecha
 
พิธีจุดเทียนแด่แม่ร่วมกับจุดเทียนอุดมการณ์(ฉากสุดท้ายของชีวิต)
พิธีจุดเทียนแด่แม่ร่วมกับจุดเทียนอุดมการณ์(ฉากสุดท้ายของชีวิต)พิธีจุดเทียนแด่แม่ร่วมกับจุดเทียนอุดมการณ์(ฉากสุดท้ายของชีวิต)
พิธีจุดเทียนแด่แม่ร่วมกับจุดเทียนอุดมการณ์(ฉากสุดท้ายของชีวิต)
niralai
 
กลอนเทียนปัญญา
กลอนเทียนปัญญากลอนเทียนปัญญา
กลอนเทียนปัญญา
niralai
 
คู่มือโฆษกเสียงทอง
คู่มือโฆษกเสียงทองคู่มือโฆษกเสียงทอง
คู่มือโฆษกเสียงทองniralai
 
ตัวคนเดียว(เปลี่ยวแต่ไม่เหงา) by Peter chay
ตัวคนเดียว(เปลี่ยวแต่ไม่เหงา) by Peter chayตัวคนเดียว(เปลี่ยวแต่ไม่เหงา) by Peter chay
ตัวคนเดียว(เปลี่ยวแต่ไม่เหงา) by Peter chay
Peter Chay
 

What's hot (20)

5 youngawakening leader camps words
5 youngawakening leader camps words5 youngawakening leader camps words
5 youngawakening leader camps words
 
ความรู้ทั่วไปเบื้องต้นเกี่ยวกับผีและบทละครความรักระหว่างคนกับผี
ความรู้ทั่วไปเบื้องต้นเกี่ยวกับผีและบทละครความรักระหว่างคนกับผีความรู้ทั่วไปเบื้องต้นเกี่ยวกับผีและบทละครความรักระหว่างคนกับผี
ความรู้ทั่วไปเบื้องต้นเกี่ยวกับผีและบทละครความรักระหว่างคนกับผี
 
พระพุทธศาสนากับป่าไม้
พระพุทธศาสนากับป่าไม้พระพุทธศาสนากับป่าไม้
พระพุทธศาสนากับป่าไม้
 
วิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาเม่งจื๊อ
วิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาเม่งจื๊อวิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาเม่งจื๊อ
วิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาเม่งจื๊อ
 
กลอนพระมหาทองสมุทร
กลอนพระมหาทองสมุทรกลอนพระมหาทองสมุทร
กลอนพระมหาทองสมุทร
 
ชวิตนี้มีแต่สุข_อ.เฉลิมชัย
ชวิตนี้มีแต่สุข_อ.เฉลิมชัยชวิตนี้มีแต่สุข_อ.เฉลิมชัย
ชวิตนี้มีแต่สุข_อ.เฉลิมชัย
 
รวมบทกลอนสำหรับงานค่าย1
รวมบทกลอนสำหรับงานค่าย1รวมบทกลอนสำหรับงานค่าย1
รวมบทกลอนสำหรับงานค่าย1
 
พระพุทธม.6 SW603
พระพุทธม.6 SW603พระพุทธม.6 SW603
พระพุทธม.6 SW603
 
อมรา สินทวีวงศ์ ธรรมะดัดสันดาน
อมรา สินทวีวงศ์   ธรรมะดัดสันดานอมรา สินทวีวงศ์   ธรรมะดัดสันดาน
อมรา สินทวีวงศ์ ธรรมะดัดสันดาน
 
040 buddhataspoetry
040 buddhataspoetry040 buddhataspoetry
040 buddhataspoetry
 
Healed body healed_mind
Healed body healed_mindHealed body healed_mind
Healed body healed_mind
 
คำคมคารมธรรม
คำคมคารมธรรมคำคมคารมธรรม
คำคมคารมธรรม
 
Osho Way
Osho WayOsho Way
Osho Way
 
กลอนมงคล๓๘ ประการ
กลอนมงคล๓๘ ประการกลอนมงคล๓๘ ประการ
กลอนมงคล๓๘ ประการ
 
590819 shi27
590819 shi27590819 shi27
590819 shi27
 
Kamnamtham 5
Kamnamtham 5Kamnamtham 5
Kamnamtham 5
 
พิธีจุดเทียนแด่แม่ร่วมกับจุดเทียนอุดมการณ์(ฉากสุดท้ายของชีวิต)
พิธีจุดเทียนแด่แม่ร่วมกับจุดเทียนอุดมการณ์(ฉากสุดท้ายของชีวิต)พิธีจุดเทียนแด่แม่ร่วมกับจุดเทียนอุดมการณ์(ฉากสุดท้ายของชีวิต)
พิธีจุดเทียนแด่แม่ร่วมกับจุดเทียนอุดมการณ์(ฉากสุดท้ายของชีวิต)
 
กลอนเทียนปัญญา
กลอนเทียนปัญญากลอนเทียนปัญญา
กลอนเทียนปัญญา
 
คู่มือโฆษกเสียงทอง
คู่มือโฆษกเสียงทองคู่มือโฆษกเสียงทอง
คู่มือโฆษกเสียงทอง
 
ตัวคนเดียว(เปลี่ยวแต่ไม่เหงา) by Peter chay
ตัวคนเดียว(เปลี่ยวแต่ไม่เหงา) by Peter chayตัวคนเดียว(เปลี่ยวแต่ไม่เหงา) by Peter chay
ตัวคนเดียว(เปลี่ยวแต่ไม่เหงา) by Peter chay
 

Similar to ชีวิตใหม่

โอวาทพระอาจารย์
โอวาทพระอาจารย์โอวาทพระอาจารย์
โอวาทพระอาจารย์
YajokZ
 
Dhamma core
Dhamma coreDhamma core
Dhamma coreYajokZ
 
โอวาทพระอาจารย์
โอวาทพระอาจารย์โอวาทพระอาจารย์
โอวาทพระอาจารย์guest3650b2
 
คำนำทำ1
คำนำทำ1คำนำทำ1
คำนำทำ1
Songsarid Ruecha
 
ครูมิใช่ช่างปั้นอันวิจิตร
ครูมิใช่ช่างปั้นอันวิจิตรครูมิใช่ช่างปั้นอันวิจิตร
ครูมิใช่ช่างปั้นอันวิจิตร
niralai
 
ธรรมะเสวนา หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ธรรมะเสวนา หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตธรรมะเสวนา หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ธรรมะเสวนา หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตTaweedham Dhamtawee
 
คำนำทำ 4
คำนำทำ 4คำนำทำ 4
คำนำทำ 4
Songsarid Ruecha
 
คำนำทำ 2 (ตามดูรู้จิต)
คำนำทำ 2 (ตามดูรู้จิต)คำนำทำ 2 (ตามดูรู้จิต)
คำนำทำ 2 (ตามดูรู้จิต)
Songsarid Ruecha
 
โวหารในการเขียน
โวหารในการเขียนโวหารในการเขียน
โวหารในการเขียนkrubuatoom
 
คำอริยะถึงในหลวง
คำอริยะถึงในหลวงคำอริยะถึงในหลวง
คำอริยะถึงในหลวงSongsarid Ruecha
 
อาจเคยมองข้าม
อาจเคยมองข้ามอาจเคยมองข้าม
อาจเคยมองข้าม
niralai
 
สำนักปฏิบัติธรรมสุธัมมสถาน มงคลสามสิบแปด
สำนักปฏิบัติธรรมสุธัมมสถาน   มงคลสามสิบแปดสำนักปฏิบัติธรรมสุธัมมสถาน   มงคลสามสิบแปด
สำนักปฏิบัติธรรมสุธัมมสถาน มงคลสามสิบแปดTongsamut vorasan
 
การวางแผนเลือกคู่ชีวิต
การวางแผนเลือกคู่ชีวิตการวางแผนเลือกคู่ชีวิต
การวางแผนเลือกคู่ชีวิตSarid Tojaroon
 
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสารหลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสารguestf16531
 
มนุษย์กับการสร้างสรรค์
มนุษย์กับการสร้างสรรค์มนุษย์กับการสร้างสรรค์
มนุษย์กับการสร้างสรรค์
กรูรู้ กรูไม่รู้อะไรจะดีกว่า
 
เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์
เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์
เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์Panda Jing
 

Similar to ชีวิตใหม่ (20)

กลอน
กลอนกลอน
กลอน
 
โอวาทพระอาจารย์
โอวาทพระอาจารย์โอวาทพระอาจารย์
โอวาทพระอาจารย์
 
Dhamma core
Dhamma coreDhamma core
Dhamma core
 
โอวาทพระอาจารย์
โอวาทพระอาจารย์โอวาทพระอาจารย์
โอวาทพระอาจารย์
 
คำนำทำ1
คำนำทำ1คำนำทำ1
คำนำทำ1
 
ครูมิใช่ช่างปั้นอันวิจิตร
ครูมิใช่ช่างปั้นอันวิจิตรครูมิใช่ช่างปั้นอันวิจิตร
ครูมิใช่ช่างปั้นอันวิจิตร
 
ธรรมะเสวนา หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ธรรมะเสวนา หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตธรรมะเสวนา หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ธรรมะเสวนา หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
 
คำนำทำ 4
คำนำทำ 4คำนำทำ 4
คำนำทำ 4
 
Lion
LionLion
Lion
 
คำนำทำ 2 (ตามดูรู้จิต)
คำนำทำ 2 (ตามดูรู้จิต)คำนำทำ 2 (ตามดูรู้จิต)
คำนำทำ 2 (ตามดูรู้จิต)
 
โวหารในการเขียน
โวหารในการเขียนโวหารในการเขียน
โวหารในการเขียน
 
คำอริยะถึงในหลวง
คำอริยะถึงในหลวงคำอริยะถึงในหลวง
คำอริยะถึงในหลวง
 
อาจเคยมองข้าม
อาจเคยมองข้ามอาจเคยมองข้าม
อาจเคยมองข้าม
 
การใช้โวหารในภาษาไทย
การใช้โวหารในภาษาไทยการใช้โวหารในภาษาไทย
การใช้โวหารในภาษาไทย
 
สำนักปฏิบัติธรรมสุธัมมสถาน มงคลสามสิบแปด
สำนักปฏิบัติธรรมสุธัมมสถาน   มงคลสามสิบแปดสำนักปฏิบัติธรรมสุธัมมสถาน   มงคลสามสิบแปด
สำนักปฏิบัติธรรมสุธัมมสถาน มงคลสามสิบแปด
 
การวางแผนเลือกคู่ชีวิต
การวางแผนเลือกคู่ชีวิตการวางแผนเลือกคู่ชีวิต
การวางแผนเลือกคู่ชีวิต
 
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสารหลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
 
ภาษาไทย สำนวนไทย
ภาษาไทย สำนวนไทยภาษาไทย สำนวนไทย
ภาษาไทย สำนวนไทย
 
มนุษย์กับการสร้างสรรค์
มนุษย์กับการสร้างสรรค์มนุษย์กับการสร้างสรรค์
มนุษย์กับการสร้างสรรค์
 
เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์
เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์
เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์
 

ชีวิตใหม่

  • 1.
  • 2.
  • 3. ชีวิตใหม่ ท่านนักศึกษาและครูบาอาจารย์ทั้งหลายอาตมาขอแสดงความยินดีเป็นสิ่งแรก ยินดีในการมาของท่านทั้งหลาย ในลักษณะอย่างนี้ คือเพื่อการศึกษาหาความรู้ ที่ควรแก่ ความเป็นมนุษย์เพื่อประโยชน์แก่ความเป็นความมนุษย์ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป แล้วขอแสดงความ ยินดีที่ได้มานั่งกันในลักษณะอย่างคือ คือ นั่งกลางคืน จะขอร้องให้มีความรู้สึกระลึกนึกถึงเรื่องนี้ทุกครั้งไปว่า เมื่อได้นั่งกลางดินแล้วจะ ได้ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน นิพพานกลางดิน จะเป็นพุทธานุสสติอย่างยิ่ง แล้วก็จะมีจิตใจเหมาะสมที่จะฟังด้วย เคย นั่งกันแต่ในอาคารหรูหราสวยงาม ราคาแสนราคาล้าน เดี๋ยวนี้มานั่งกลางดิน ซึ่งใครๆ ก็ ต้องถือว่าไม่มีการตีราคา แต่ถ้าสําหรับพวกเราพุทธบริษัท มีการตีราคามากกว่าอาคาร เรือนแสนเรือนล้านเหล่านั้น เพราะว่าคืนนี้เป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ สอน อยู่ และนิพพาน ของพระพุทธเจ้า ขอให้ทําในใจให้สําเร็จประโยชน์คุ้มกันกับการที่ได้มานั่งกลางดินซึ่ง นานๆ จะมีโอกาสสักครั้งหนึ่ง มีอีกประการหนึ่ง ก็อยากจะขอให้พยายามอย่างยิ่ง ที่จะให้ได้รับประโยชน์จาก การมาหรือการฟัง ถ้าไม่ได้รับประโยชน์คุ้มกัน คือไม่ได้รับประโยชน์คุ้มกันกับเวลาที่เสีย ไป เงินทองที่เสียไป ความเหน็ดเหนื่อยที่เสียไป เรี่ยวแรงเสียไป ไม่ได้ประโยชน์อะไรคุ้ม กันแล้ว อาจารย์ก็ต้องทะเลาะกันยมบาล เพราะยมบาลเขาไม่ยอมให้ใครใช้เวลา ใช้เงิน ใช้ของ อย่างไม่คุ้มค่า ถ้าเกิดไม่คุ้มค่าขึ้นมา เขาก็ต้องต่อว่าหรือจะเอาผิดเพื่อให้ไม่ต้องมี เรื่องอย่างนี้ ก็ขอให้ผู้ฟังหรือนักศึกษาทุกคนพยายามฟังให้ดี ให้ได้รับประโยชน์คุ้มค่า คุ้มค่าที่มา คุ้มค่าเวลา คุ้มค่าการใช้จ่าย คุ้มค่าเรี่ยวแรง คุ้มค่าอะไรทุกอย่าง แล้วเรื่องก็ จะเรียบร้อย มิฉะนั้นก็จะมีปัญหาเรื่องใช้เวลาเงินทองอย่างไม่คุ้มค่า ที่นี้ก็จะได้พูดต่อไปถึงว่า ทําอย่างไรมันจึงจะคุ้มค่า ? เรื่องที่จะพูดนี้มันคุ้มค่าไหม ?
  • 4. อาตมาขอยืนยันว่า มันเป็นเรื่องที่คุ้มที่คุ้มค่า ถ้าเข้าใจรับเอาไปได้ ปฏิบัติให้เป็น ประโยชน์ได้มันก็จะกลายเป็นเรื่องที่เกินค่า แต่ถ้าไม่สนใจฟังให้ดี ไม่เข้าใจ เอาไปใช้ให้ เป็นประโยชน์ไม่ได้มันก็ไม่คุ้มค่าจริงเหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันอยู่ที่ผู้ฟัง จะทําให้สําเร็จ ประโยชน์ได้หรือไม่ ที่ว่าได้อะไรคุ้มค่านี้ มันก็จะต้องรู้ว่าได้อะไร? คือมันจะต้องรู้ว่า... พระธรรมพระศาสนาจะให้อะไรแก่เรา หรือเราจะได้รับประโยชน์อะไรจากพระ ธรรม ? ถ้าเรารู้ชัดแน่นอนว่า เราจะได้ประโยชน์อะไรจากพระธรรม นั่นแหละคือเรารู้จัก ว่าพระธรรมคืออะไร พระศาสนาก็เหมือนกันแหละเป็นคําที่ใช้แทนกันได้ การที่จะรู้ว่า พระพุทธศาสนาคืออะไร มันก็ต้องรู้ชัดในข้อที่ว่า พระพุทธศาสนาจะให้อะไรแก่เราได้ และก็รู้ว่าสิงที่จะให้อะไรแก่เราได้อย่างไรนั่นแหละคือพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นขอให้ มีความสนใจในข้อแรกที่จะศึกษาให้รู้ว่า พระพุทธศาสนาจะให้อะไรแก่เรา แล้วค่อยไป พิจารณาดูว่า มันจะสําเร็จประโยชน์ไหม จะมีค่าจริงไหม ? ปฏิบัติตามพุทธศาสนาแล้วจะได้ชีวิตใหม่ สําหรับในวันนี้ อาตมาก็อยากจะพูดโดยสรุปว่า เราจะพูดกันเรื่องชีวิตใหม่ ชีวิต ใหม่ พุทธศาสนาที่ปฏิบัติแล้วจะให้ชีวิตใหม่แก่ผู้นั้น คือ ผู้ปฏิบัติ คําว่า “ชีวิตใหม่” นี้ ฟังดูมันเป็นคําประหลาดๆ หรือเป็นคําโลกๆ เป็นคํา สมัยใหม่เป็นคํานักประพันธ์อะไรอยู่บ้าง ก็ขออย่าไปสนใจในแง่นั้นเลย ขอรวบรัดว่า ใช้ คํานี้ก็เพื่อให้ฟังกันง่ายๆ ฟังกันสะดวกฟังได้เร็วในเวลาอันสั้น คําว่า ชีวิตใหม่ ชีวิตใหม่ มันก็มีปัญหาว่ามันเป็นชีวิตใหม่มาจากไหน มันก็คือชีวิต เก่า แต่ว่าพัฒนาให้ดีขึ้น ให้มากขึ้น คือทําให้มันเจริญขึ้นมา ในลักษณะเหมือนกับว่ามัน ตรงข้ามกับของเดิม เขาเรียกว่าชีวิตใหม่ มันเหมือนกับการเกิดใหม่ เกิดใหม่โดยไม่ต้อง
  • 5. ตาย อย่างนี้มีใช้พูดอยู่ในพระคัมภีร์ แม้การมาบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนานี้ เราก็ เรียกว่าการเกิดใหม่เหมือนกัน เพราะมันเปลี่ยนจิตใจหรือเปลี่ยนอะไรใหม่หมด เรียกว่า เกิดใหม่โดยอริยชาติ เกิดในโลกใหม่ของพระอริยเจ้า ฉะนั้น เราถึงแม้จะไม่ได้บวช อยู่ที่บ้านมันก็บวชได้ โดยการทําให้มีผลเหมือนกับ ว่าชีวิตใหม่หรือการเกิดใหม่ คือการปฏิบัติธรรมะให้สมบูรณ์แล้วก็ได้รับผลชนิดที่ไม่เคย ได้รับมาแต่ก่อน ดังนั้นจึงเรียกว่า ชีวิตใหม่ เป็นคําโลกๆ เป็นคํานักประพันธ์อ่านเล่นอยู่ มาก แต่ไม่เป็นไรดอก ขอให้ใช้คํานี้แหละ มันง่ายดี เดิมๆ ที่เราเป็นมา เป็นชีวิตเก่าอย่างไร ขอให้สนใจให้ดี ถ้าไม่รู้จักไม่สนใจให้ดี แล้วก็ไม่มีทางที่จะรู้จักชีวิตใหม่ เพราะมันไม่มีอะไรจะเปรียบเทียบ ในลักษณะที่ตรงกัน ข้าม แม้ที่เป็นอยู่ตามธรรมดาแต่ก่อน ก็ไม่รู้สึกว่ามันยังใช้ไม่ได้ มันยังไม่ดับทุกข์ มันยัง ระคนอยู่ด้วยความทุกข์ ถ้าว่ามันเป็นชีวิตใหม่ มันก็ต้องแปลกอย่างตรงกันข้าม คือไม่ ระคนอยู่ด้วยความทุกข์นั่นเอง ถ้าคนผู้นั้นไม่มองเห็นว่า คนมีชีวิตที่ระคนอยู่ด้วยความ ทุกข์ มันก็ไม่อยากจะเปลี่ยนแปลง มันก็ไม่ต้องการอะไรใหม่อีก มันก็ปล่อยไปตามกรรม เรื่องชีวิตใหม่จึงเป็นเรื่องของสติปัญญาของบุคคลผู้มีสติปัญญา ชีวิตเก่าอยู่ใต้อานาจบีบคั้นของกิเลส ทีนี้ก็จะพูดถึงชีวิตเก่า คือ ชีวิตตามธรรมดาที่เป็นกันมา หรือเป็นกันอยู่โดยมาก ตามปรกตินั้น มันเป็นอย่างไร จะพูดให้ชัดลงไปก็จะพูดว่าชีวิตแบบนั้น มันไม่เป็นอิสระ จากการบีบคั้นของสัญชาตญาณ และไม่พ้นจากการบีบคั้นของกิเลสสัญชาตญาณ คือ ความรู้สึกที่มีมาเสร็จหรือรู้ได้เองสําหรับสิ่งที่มีชีวิต ซึ่งเข้าใจว่านักศึกษาครูบาอาจารย์ ทั้งหลายคงจะได้ศึกษาได้ยินได้ฟังเรื่องนี้กันมามากแล้ว คือสิ่งที่เรียกว่าสัญชาตญาณหรือ instinct ทีนี้สัญชาตญาณที่บังคับควบคุมไว้ไม่ได้นั่นแหละคือ “กิเลส” เรายังอยู่ใต้อิทธิพลของสัญชาตญาณบ้างอยู่ใต้อิทธิพลของกิเลสบ้าง มันจึงเรียกว่า เป็นที่ทนทรมาน ชีวิตที่ถูกกักขัง ชีวิตที่อยู่ในความมืด ความบอด หรือว่าจะแก้ไขกัน อย่างไร ถ้ามันมากเกินไป ขออภัยคือว่ามันโง่มากเกินไป มันก็จะไม่รู้สึกในเรื่องนี้เอา
  • 6. เสียเลย คือจะไม่รู้สึกว่าอยู่ใต้อํานาจการบีบคั้นของกิเลสหรือสัญชาตญาณ ถ้าโง่มากไป กว่านั้นอีก ก็กลับเห็นเป็นการสนุกสนานไปเสียเลย สัญชาตญาณใหญ่ ทาให้เกิดสัญชาตญาณน้อยๆ อีกมาก นี่ขอพูดกันถึงเรื่องนี้พอสมควรว่า เรามีสัญชาตญาณอันใหญ่ที่สุด เป็นประธาน แห่งสัญชาตญาณทั้งหลาย ก็คือสัญชาตญาณแห่งความรู้สึกว่ามีตัวตน มีตัวตน มีของตน ถ้าเดือดจัดขึ้นมา ก็มีตัวกู มีของกู ยอมใครไม่ได้ มันก็เกิดสัญชาตญาณน้อยๆ ออกมาจาก สัญชาตญาณนี้ เป็นสัญชาตญาณแห่งการรักตน เห็นแก่ตน มีสัญชาตญาณแห่งการกิน อาหาร แสวงหาอาหาร การต่อสู้ การหนีภัย กระทั่งการสืบพันธุ์ แล้วก็ต้องการจะมี อะไรๆ มาบํารุงบําเรอตนแล้วก็ต้องการจะอวดตน นี่คิดดูสิ เราตกอยู่ใต้อํานาจของสัญชาตญาณนี้ ที่บังคับมันไม่ได้ ก็ได้ชื่อว่ากิเลส ลําพัง สัญชาตญาณล้วนๆ ก็ไม่ใช่เล่นอยู่แล้ว ทีนี้ถ้าบังคับไม่ได้ กลายเป็นกิเลสขึ้นมามันก็ยิ่ง หนักขึ้นไปอีก เช่นว่าการเห็นแก่ตน มันก็เกิดปัญหามากมายหลายอย่างหลายประการ มันมองแต่จะหาประโยชน์ให้แก่ตน ด้วยการได้เปรียบผู้อื่น แล้วมันก็เดือดร้อนกระวน กระวายอีกหลายๆ อย่าง เนื่องจากความเห็นแก่ตน ถ้าจะแยกออกว่า สัญชาตญาณแห่งการต้องกินอาหารอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันก็มีปัญหา ที่ว่ามันควบคุมไม่ได้ มันก็ต้องการจะกินอาหารให้ดีที่สุด ให้อร่อยที่สุด ให้มากที่สุด มันก็ เลยมีปัญหาหนัก เพราะสัญชาตญาณแห่งการต้องการอาหาร สัญชาตญาณแห่งการอวดสวยอวดงาม นี้แม้แต่สัตว์ก็ทําเป็น นี้คนก็มี สัญชาตญาณอันนี้ มันก็ต้องการจะอวดสวยอวดงามเกินขอบเขต มันจึงหมดเปลืองมาก ใครที่รักสวยรักงามใช้เงินเป็นอันมากเพราะเรื่องนี้ ก็จะต้องรู้จักดี เราควบคุมไว้ไม่ได้ คือ ไม่ให้เป็นไปแต่พอดี มันก็กลายเป็นเรื่องอวดสวย มันก็เลยมีปัญหา ก็ต้องทนทุกข์ทรมาน เพราะปัญหาเหล่านั้น สัญชาตญาณแห่งการต้องการสิ่งบารุงบาเรอ สิ่งประเล้าประโลม นี้ถ้ามันพอดีก็ ไม่เป็นไร แต่ถ้ามันเกินพอดี มันก็คือกิเลสอย่างยิ่งต้องการการประเล้าประโลมทุกอย่าง
  • 7. ทุกทาง ในที่สุดก็นําไปสู่สิ่งมึนเมาทั้งหลาย ที่เรียกว่าอบายมุข จะต้องดื่มน้ําเมาหรือสิ่ง มึนเมา จะต้องเล่นการพนัน ให้มีความรู้สึกชนิดที่บํารุงบําเรอใจ เป็นสิ่งประเล้าประโลม ใจ ต้องเที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทําการงาน น่าหัวที่ว่าเกียจคร้านทําการงานมันก็เพื่อประเล้าประโลมใจอย่างหนึ่งไม่บังคับให้ไป ทํางาน ให้นอนเสีย แล้วก็มีปัญหาเกิดขึ้นเพราะการไม่ทํางาน นี่ขอให้แจกดูเป็นอย่างๆ เถอะ ถ้าควบคุมไม่ได้ แล้วมีปัญหาทั้งนั้น สัญชาตญาณแห่งการต่อสู้ มันก็ไม่รู้จักต่อสู้กับสิ่งที่ควรต่อสู้ ไปต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ ต้องต่อสู้ เกิดเป็นปัญหากันทั้งบ้าน ทั้งเมือง ทั้งโลก ในที่สุด สัญชาตญาณแห่งการสืบพันธุ์ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของมนุษย์ เพราะ สัญชาตญาณแห่งการสืบพันธุ์นั้นมันรุนแรง แล้วก็มีของปิดความร้ายกาจอันนี้ไว้ คือ “กามารมณ์” ธรรมชาติให้เรื่องกามารมณ์มา สําหรับหลอกล่อหรือจ้างให้สัตว์ที่โง่เขล่าทําการ สืบพันธุ์ซึ่งเจ็บปวด ซึ่งลําบาก ซึ่งสกปรก ซึ่งอะไรต่างๆ นานา แต่ธรรมชาติมันเหนือกว่า มันก็ให้ส่วนที่เรียกว่า กามารมณ์ คือความเพลิดเพลินเอร็ดอร่อย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย อะไรเหล่านี้ ที่รวมเรียกว่า กามารมณ์ มาเป็นค่าจ้าง ล่อให้สัตว์ทั้งหลาย ทําการสืบพันธุ์ แล้วมันยุ่งยากสักเท่าไร ใครๆ เห็นว่าการสืบพันธุ์นี้เป็นเรื่องสูงสุดของ มนุษย์ ก็ดูสิ ลงทุนกันเป็นการใหญ่โต เพื่อประโยชน์แก่การสืบพันธ์ชนิดที่ธรรมดาก็ไม่ อยากทํา ถ้าไม่มีกามารมณ์มาปะหน้าเข้าไว้ ก็ไม่มีสัตว์ชนิดไหนอยากจะสืบพันธ์ แม้แต่สัตว์ เดรัจฉาน แม้แต่ต้นไม้ด้วยซ้ําไป มันมีกามารมณ์ซึ่งมีรสสูงสุดปะหน้าการสืบพันธุ์เอาไว้ เพื่อจะจ้าหรือบังคับ ให้สิ่งมีชีวิตทําการสืบพันธุ์ นี่เป็นปัญหาใหญ่โดยเฉพาะของมนุษย์ คิดดูให้ดีๆ บางทีอุตส่าห์เล่าเรียน อุตส่าห์สะสมเงินไว้เป็นอันมากก็เพื่อการสมรสอันมี เกียรติ มันก็ไม่ดีอะไรนัก เพราะว่าสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์มันยิ่งไปกว่านั้น
  • 8. เดี๋ยวนี้เราก็ต้องมีการพ่ายแพ้แก่สัญชาตญาณ ต้องทนทําไปตามสัญชาตญาณ ไม่มี ความรู้พอที่จะบังคับสัญชาตญาณ ให้เป็นไปอย่างถูกต้องหรือพอดี ดังนั้นจึงขอบอกเสียเลยว่า ธรรมะ พระธรรม หรือพระศาสนานี้ คือ ความรู้หรือ การปฏิบัติ เพื่อควบคุมสัญชาตญาณไว้ในสภาพที่ถูกต้องและไม่มีความทุกข์เลย นี่คือ ประโยชน์ของพระธรรม ทว่าควบคุมไว้ไม่ได้ มันก็มากกว่าธรรมดามาก มันก็เกิดกิเลส เป็นความโลภ เป็นความโกรธ เป็นความหลงขึ้นมา แล้วก็มีอีกเรื่องที่จะต้องหม่นหมอง ทรมานเป็นของประจําไปเลย เรายุ่งยากลําบากด้วยปัญหาของความรัก ยุ่งยากลําบากด้วยปัญหาของความ เกลียด มันทนไม่ได้ มันต้องเกลียดสิ่งที่มายั่วให้เกลียด ลําบากด้วยปัญหาของความโกรธ มันทนไม่ได้ มันต้องโกรธ เมื่อมันมีสิ่งที่ยั่วให้โกรธ แม้ไม่อยากจะโกรธมันก็ยังบังคับไว้ ไม่ได้ ยุ่งยากลําบากเพราะปัญหาของความกลัว มันโง่มาตั้งแต่เล็ก มันกลัวสิ่งที่ไม่ควรกลัวมาตั้งแต่เล็ก มันก็กลัวมากกว่าความ จําเป็น หรือแม้ที่มีความจําเป็น ถ้ามีธรรมะมันก็ไม่กลัว มันก็สบายดี เรามีปัญหาเกี่ยวกับความวิตกกังวล วิตกกังวลนี้ฟังดูให้ดี เด็กๆ ไม่ค่อยมีแต่พอโต ขึ้นก็เริ่มมี คนแก่ก็มีมาก ความวิตกกังวลอาลัยอาวรณ์นั้น ขอให้สังเกตดูดีๆ ว่ามันมีพิษ สงอย่างไร ทรมานจิตใจเท่าไร ถ้าไม่มีมันจะดีสักเท่าไร เรายังมีปัญหายุ่งยากลําบากด้วยการอิจฉาริษยา สัญชาตญาณที่มันอยากจะดีกว่า คนอื่นหรือไม่อยากให้คนอื่นดีเท่าตัว มันก็เกิดความอิจฉาริษยาขึ้นมาได้โดยง่าย โดย ธรรมชาติ โดยไม่น่าจะมี ขอให้ไปดูตัวเองให้ดี สังเกตดูตัวเองให้ดีว่า มันมีความอิจฉาริษยาใครไหม ? แล้วทาไมมันจึงมีมา ? ซึ่งมันไม่น่าจะมีมา มันไม่ควรจะมีมา เราควรจะรักคนทุกคน แต่เดี๋ยวนี้แทนที่จะ รักกันทุกคน มันกลับอิจฉาริษยากันทุกคน เรียกว่าปัญหาที่ทรมานพออิจฉาริษยาใคร คน ที่ถูกอิจฉาริษยานั้นยังไม่รู้ไม่ชี้เลย แต่คนที่อิจฉาริษยาเขานี้ ตกนรกทั้งเป็นอยู่แล้ว ตก
  • 9. นรกทันทีที่มีความรู้สึกอิจฉาริษยาใคร ไม่ต้องรอต่อตายแล้วคือ ความอิจฉาริษยานั้นมัน กัดหัวใจ ความรู้สึกชนิดนี้มันเป็นเรื่องของกิเลส คือ สัญชาตญาณที่บังคับไว้ไม่ได้ ตลอดถึงความหึงความหวง ซึ่งเต็มไปหมดในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ว่า เรื่องผัวเรื่อง เมียนิดเดียวก็ฆ่า ฆ่ากันตาย ฆ่าตัวเองตาย ฆ่าภรรยาตาย ฆ่าลูกตาย ซึ่งสัตว์เดรัจฉานมัน ยังไม่ทําเลย แต่มนุษย์นี้ทํากันมากขึ้น เห็นได้จากหน้าหนังสือพิมพ์ ความหวงหรือความ หึงเป็นไปแรงกล้า เป็นเรื่องของความโง่สุดขีด มันก็ทรมาน มันก็ทําให้เกิดความเดือดร้อน นี้เรียกว่า มันไม่เป็นอิสระจากสัญชาตญาณความคิดนึกรู้สึกขึ้นมาได้เอง และเป็น เรื่องของกิเลส คือสัญชาตญาณที่บังคับไว้ไม่ได้ เลยขอบเขตของสัญชาตญาณไปอีก เป็น กิเลสของคน ถ้าอย่างนี้มีเป็นประจา ก็เป็นชีวิตเก่า ชีวิตใหม่ต้องไม่มีแม้แต่ ... นิวรณ์ เราต้องการชีวิตใหม่ก็หมายความว่า ไม่ต้องมีสิ่งเหล่านี้ แม้แต่สิ่งที่เรียกกันทั่วๆ ไป ว่านิวรณ์ นิวรณ์ ๕ ประการนั้น ถ้าใครไม่รู้จักนิวรณ์ ๕ ประการ ก็ขออภัยที่ต้องพูดว่า มันโง่เต็มที มันโง่สุดเหวี่ยง นิวรณ์ ๕ ประการเกิดอยู่เป็นประจําทุกวันและทุกคน ความคิดที่ไม่รุนแรงแล้วไม่มีเหตุปัจจัยอะไรมายั่ว มาอะไรนัก มันก็กรุ่นขึ้นมาได้เองจาก สัญชาตญาณ คือน้อมไปในทางกามารมณ์ทางเพศบ้าง ก็กวนใจ น้อมไปทางความอึดอัดขัดใจ ไม่ชอบนั่น ไม่ชอบนี่ขึ้นมาเฉยๆ อย่างนั้นแหละ ยังไม่ถึงขนาดลุกขึ้นมาฆ่าฟันใคร อย่างนี้ ก็รบกวนใจ ทีนี้ความที่จิตละเหี่ยละห้อยหุบแฟบลงไป ไม่เบิกบานในบางคราว แม้แต่ง่วง นอนนี่ก็รบกวนใจ แล้วบางคราวก็ฟุ้งซ่าน ฟุ้งเฟ้อ ฟุ้งซ่าน ตรงกันข้ามมันก็รบกวนใจ ถ้า จิตฟุ้งซ่านแล้วมันทําอะไรไม่ได้ ขอให้สังเกตดูให้ดี ทีนี้ตัวสุดท้ายเรียกว่า “วิจิกิจฉา” คือความไม่แน่ใจในสิ่งที่มีอยู่ หรือกระทําอยู่ ไม่แน่ใจนี้มันก็เป็นเรื่องของความไม่รู้ ไม่รู้ว่าจะทําอย่างไรดี แม้ส่วนที่มันรู้มันก็ไม่แน่ใจว่า จะทําได้ มันไม่แน่ใจในความสามารถของตัวเองว่าจะทําได้ไหม จะสอบไล่ได้ไหม จะทํา อะไรได้ไหม มันไม่แน่ใจในความปลอดภัยทางสุขภาพอนามัย ไม่แน่ใจทางเศรษฐกิจ ไม่
  • 10. แน่ใจไปหมด สรุปแล้วไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กําลังทํากําลังมีอยู่นี้ ถูกต้องสมบูรณ์แล้วปลอดภัย แล้วหรือหาไม่? มันก็เป็นห่วงวิตกกังวลอยู่ลึกๆ แต่ว่ากรุ่นออกมาให้รู้สึก อย่างนี้เรียกว่านิวรณ์ มีแก่ทุกคนแล้วจะมีทุกวัน เดี๋ยวอันนั้นเดี๋ยวอันนี้ ถ้าไม่รู้จักก็ นับว่าไม่มีปัญหา แต่แล้วมันก็หลีกไม่พ้นที่ต้องทนทรมาน เพราะสิ่งที่เรียกว่านิวรณ์ มันไม่ มีเสียดีกว่า นี่ควรจะรู้จัก ว่าแม้แต่ธรรมดาๆ ไม่ได้ทําบาปหยาบช้าอะไรนัก มันก็มีนิวรณ์ รบกวนโดยเฉพาะอย่างยิ่งความไม่แน่ใจในชีวิต ในการงาน ในสิ่งที่กําลังกระทําอยู่ เช่น จะลังเลอยู่ว่าจะสอบไล่ตกอยู่เสมอไป คือสิ่งที่หวัง หวังนั้นมันไม่ได้ คนไหนหวังเก่ง คน นั้นมันก็มีนิวรณ์ข้อนี้รบกวนมากที่สุด แล้วมันจะไม่ได้ตามที่หวัง เพราะมันโง่ เพราะมัน ไปหวัง ที่จริงมันไม่ต้องหวังทําไปอย่างดีที่สุดแล้วไม่ต้องหวังให้มันเป็นนิวรณ์รบกวน เพียงแต่ปราศจากนิวรณ์ ๕ ประการนี้รบกวน มันก็เป็นเรื่องประเสริฐที่สุดเสียแล้ว คือ เป็นชีวิตที่แจ่มใสเยือกเย็น เย็นอกเย็นใจ อยู่ด้วยความสบายใจ เป็นสุขในชีวิตนั้นเอง ถ้าไม่รู้จักมันก็ไม่ต้องการหรือต้องการไม่ถูก แม้ชีวิตที่ปราศจากนิวรณ์นี้ก็แสนจะ ประเสริฐแล้ว นี้ถ้าชีวิตที่ปราศจากกิเลส ก็ยิ่งไปกว่านั้นอีก ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ รบกวน ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้น เป็นไฟเผาให้เร่าร้อนให้มืดมัวให้กลัดกลุ้มนั้น มันเต็มที่ ถ้าเป็นนิวรณ์มันเพลาๆ มันไม่ต้องมีเจตนามันออกมากจากสัญชาตญาณหรือจะ เรียกว่าออกมาจากอนุสัย ในภาษาวัดนี้ก็ได้ ภาษาชาวบ้านนี้ก็เรียนกว่ามันออกมาจาก สัญชาตญาณ ซึ่งมันจะมี ๕ อย่างนี้ ไปคํานวณดู ถ้าไม่มีนิวรณ์ ๕ ประการนี้ ชีวิตนี้ แจ่มใส สดใส เยือกเย็นสงบเย็นสักเท่าไร แล้วเราเคยต้องการหรือไม่ ก็เพราะว่าเราไม่รู้ ว่ามันมีอยู่ ชีวิตเก่าอยู่ได้กิเลสเพราะไม่เรียนเรื่องของจิตใจ การศึกษาของเรามันเรียนแค่หนังสือกับเรียนวิชาชีพ ไม่ได้เรียนชีวิตจิตใจ ไม่ได้ เรียนว่าจะเป็นมนุษย์กันอย่างไร จึงจะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ดังนั้นให้เรียน มาปริญญายาวเป็นหางมันก็ไม่รู้เรื่องนี้ คือไม่รู้เรื่องชีวิต ไม่รู้เรื่องว่าจะเป็นมนุษย์กัน
  • 11. อย่างไร จึงจะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ มันก็หยุดอยู่แค่ว่า ทําอาชีพได้ดีเงินมาก แล้วก็เป็นสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ใช้คําว่า อร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย รวมกามารมณ์ทุกชนิด นี่ขอให้คิดดูให้ดีว่า เรากาลังเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า? ที่เราเรียนนี้เพียงเพื่อต้องการเงินมากๆ แล้วมาซื้อหาปัจจัยเหล่านี้ มาบํารุงชีวิตให้ เต็มไปด้วยความเอร็ดอร่อยทุกทางอย่างนี้ แต่เรื่องของธรรมะนั้นเป็นตรงกันข้าม มันไม่ มุ่งหมายจะเป็นทางของความเอร็ดอร่อยเหล่านั้น หรือว่าเป็นทางของกามารมณ์ มันจะ มองไปในแง่ว่า ความเอร็ดอร่อยทั้งหลายมันเป็นเรื่องบ้าวูบเดียว ความเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง อะไรที่บูชากันนักนั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องบ้าวูบเดียว เท่าที่ความโง่มันต้องการ เป็นการกระตุ้นระบบประสาทให้สูงสุด รู้สึกเป็นความ เอร็ดอร่อยสูงสุด แล้วก็วูบเดียวๆ คนก็ยังบูชากันอย่างสุดชีวิตจิตใจ บูชาความบ้าวูบเดียว ทั้งโลกเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เฉพาะแต่ว่าคนไทย เมื่อยังไม่มีความรู้ทางจิตใจ ก็ต้องเป็นทาสของกิเลส ของกามารมณ์ทางเพศ แล้วก็ เป็นเหตุให้ทําผิดต่อไปอีกหลายขั้นตอน มาจากความเห็นแก่ตัวเพราะเรื่องนี้ก็ได้ทํา สงครามกัน เป็นมหาสงครามยืดเยื้อไม่มีสิ้นสุดในโลกนี้ ก็เพราะว่าบูชาความสุขทางวัตถุ ทางเนื้อทางหนัง ไม่มีความรู้เรื่องทางจิตทางวิญญาณ นั่นแหละเรียกว่าชีวิตเก่า ชีวิตเก่า ตามธรรมดาของปุถุชน ผู้ตกอยู่ใต้อิทธิพลของสัญชาตญาณตามปรกติ และตกอยู่ภายใต้ อิทธิพลของสัญชาตญาณที่บังคับไม่ได้ มันยิ่งขึ้นไปเป็นกิเลส นี่เราอยู่ภายใต้การบีบคั้นของสัญชาตญาณตามธรรมดา ก็จะเหลือทนอยู่แล้ว แล้ว ตกอยู่ใต้อํานาจบังคับของกิเลส คือ สัญชาตญาณที่บังคับไว้ไม่ได้แล้วมันเลยเถิด เรื่องกิน เรื่องนอน เรื่องอยู่ เรื่องต่อสู้ แล้วเรื่องหนีภัย เรื่องแต่งเนื้อแต่ตัว เรื่องอะไรก็ตาม มันเลย เถิดจนกลายเป็นกิเลสมันก็บีบคั้นมากขึ้นไปอีก แล้วก็เป็นอย่างนี้กันจนตาย ไม่ได้เกิดใน โลกใหม่ของพระอริยเจ้าซึ่งเป็นโลกที่สดใสไม่มีสิ่งเหล่านี้รบกวน อาตมาใช้คําว่า “โลก ใหม่” ก็ได้ ใช้คําว่า “ชีวิตใหม่” ก็ดีกว่า
  • 12. เราจะต้องศึกษาให้รู้จักความร้อน ความทนทุกข์ทรมาน ที่เป็นอยู่จริง จนรังเกียจ เกลียดชังอยากจะพ้นไปเสีย แล้วก็แสวงหาหนทางที่จะพ้นไปเสีย นั่นแหละคือการไป แสวงหาธรรมะ หรือมาแสวงหาธรรมะเพื่อจะได้สภาพจิตใจชนิดใหม่ชนิดที่อยู่เหนือความ ทุกข์ เหนือปัญหา เหนือกิเลส เหนือการบีบบังคับของสัญชาตญาณ ถ้าเรามาสู่พุทธ ศาสนา มีธรรมะ เราก็มีวิธีจะบังคับควบคุมสัญชาตญาณ สัญชาตญาณนี้เป็นเรื่องยากเหลือประมาณที่จะไปบังคับควบคุมมัน เพราะมันเป็น นิสัย เป็นสันดานเกิดมาพร้อมกับชีวิต คู่กันกับชีวิต ฉะนั้น มันจึงเป็นการยาก เมื่อยัง บังคับไม่ได้ทั้งหมด ก็ควบคุมให้ได้ตามสมควร ถ้าฉลาดกว่านั้น ก็เปลี่ยนกระแสของมัน เสีย มีคําๆ หนึ่งในภาษาอังกฤษคือคําว่า sublimate sublimate คํานี้ควรอย่างยิ่งที่จะเอามาใช้กับสิ่งที่เรียกว่า instinct ถ้าเราบีบบัง ครับสมบูรณ์ไม่ได้ หรือ ตัดมันไม่ได้ก็ sublimate คือเอาไปใช้ในทางที่ดีกว่าเสีย เหมือน กําลังใจที่มากๆ แม้ที่สุดในทางกาม ทางเพศนั้น เปลี่ยนกระแสให้มาใช้ในการงาน การศึกษาเล่าเรียนเสีย เพราะมันมีกําลังมาก ถ้าเปลี่ยนน้ําที่ไหล มันท่วมพังทลายเป็น อุทกภัยให้ตายก็ได้ แต่ถ้า sublimate มาใช้แรงของมันหมุนเครื่องไฟฟ้าเสีย เราก็ไม่ ต้องได้รับอันตราย กลับได้รับประโยชน์หรือเหมือนช้างที่มันตกมัน คนที่ฉลาดเขาบังคับ ได้ เขาก็ใช้งานเสียอย่างมากมายเลย เพราะมันมีฤทธิ์ มีแรงมากช้างตกมันใช้งานได้ มากมายมหาศาล ถ้าไม่อย่างนั้นมันเป็นอันตราย หรือมันไปทําให้เสียหายหมด แต่นี่ เปลี่ยนมาใช้ในทางที่มันตรงข้ามกันเสีย ฉะนั้นกําลังที่รุนแรง ที่เกิดอยู่ตามสัญชาตญาณ ถ้าบังคับควบคุมไม่ได้ก็เปลี่ยน กระแส คือ เอามาใช้ในทางที่ถูกเสีย กําลังมากๆ กําลังบ้าระห่ําอย่างนี้ เปลี่ยนมาใช้ ในทางที่ถูกทางเสียแทนที่จะไปในทางเกเร ก็เอามาใช้ในทางการงานการศึกษาเล่าเรียน เสีย อย่างนี้มันก็ได้ประโยชน์แต่มันก็ว่าไม่ใช่ทําง่าย ปากนี้มันพูดกันก็ง่าย แต่ว่าจะทํากัน จริงมันไม่ใช่ง่าย แต่มันก็เป็นสิ่งที่ทําได้ ถ้าเรามีความรู้เรื่องนี้อย่างเพียงพอ ควบคุมสัญชาตญาณได้ จะมีชีวิตใหม่ในโลกใหม่
  • 13. สําหรับสิ่งทีเรียกว่า “สัญชาตญาณ” เข้าใจว่า คงจะเคยศึกษาเล่าเรียนมา ในเรื่อง วิทยาศาสตร์เรื่อง biology อะไรกันมาแล้ว พอจะรู้เรื่อง แต่จะไม่ได้ศึกษาถึงข้อที่วาจะ จัดการกับมันอย่างไร ทางธรรมะนี้ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรอื่น เป็นวิชาความรู้ที่บังคับ ควบคุม สัญชาตญาณ นั้นเอง ให้มันกลายเป็นสิ่งที่ไม่เป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง ทว่าตัดความรู้สึกที่เป็น สัญชาตญาณได้ มันก็เป็นพระอรหันต์เท่านั้นแหละ อย่าเพิ่งพูดถึงเลย มันยังอยู่ไกลไป ไม่ ต้องพูดถึงการตัดสัญชาตญาณเด็ดขาดเป็นพระอรหันต์ เอาแต่ว่าบังคับได้ควบคุมได้ เปลี่ยนกระแสของมันเสียให้เป็นประโยชน์ได้ ก็ประเสริฐถมไปแล้ว วิชาธรรมะคือวิชานี้ คือวิชาที่จะควบคุมบังคับ คือจะเปลี่ยนกระแสของ สัญชาตญาณอันร้ายกาจ ให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีโทษ ให้มีประโยชน์ยิ่งๆ ขึ้นไป ถ้าได้อย่าง นี้มันพอหรือไม่พอ ในการจะเสียเวลา เสียเงินเสียอะไรมาศึกษาธรรมะ มาหาความรู้เรื่อง ธรรมะ อาตมาคิดว่าเกินพอ ถ้าได้วิชาความรู้เหล่านี้จริง ไปใช้ประโยชน์ได้จริงควบคุม สัญชาตญาณได้จริง มันก็สบายกว่านี้ชีวิตสดใสเยือกเย็นในความหมายแห่งคําว่านิพพาน ไม่มีนิวรณ์ ๕ รบกวน มันสดชื่นแจ่มใสสักเท่าไร ไม่มีความรู้สึกทางเพศรบกวน ไม่ มีความรู้สึกทางความเกลียดรบกวน ไม่มีความรู้สึกห่อเหี่ยวหรือฟุ้งซ่านรบกวน ไม่มีความ ลังเลในชีวิตรบกวน มันสดชื่นเยือกเย็นสักเท่าไรเพียงไม่มี มีนิวรณ์ทั้ง ๕ นี่พอเสียแล้ว ถ้า ควบคุมโลภะ โทสะ โมหะได้มันก็ยิ่งวิเศษยิ่งขึ้นไปอีก คือ ไฟมันไม่ลุกขึ้นมาในจิตใจ นี้ก็เลยเหมือนกับว่าโลกใหม่ ชีวิตใหม่ในโลกใหม่ในโลกของพระอริยเจ้า ที่มีแต่ ความสะอาด สว่าง สงบ มีความเยือกเย็น มีความเป็นอิสระ มีความโล่งโถง ไม่มีอะไรบีบ คั้นหุ้มห่อ มันก็ควรใหม่ที่ว่าจะเรียกว่ามันเป็นชีวิตใหม่ ? มันก็ชีวิตเดิมนั่นแหละแต่มันถูกทําให้เป็นของแปลกออกไป จากที่ปล่อยไปตาม ธรรมชาติของสัญชาตญาณ มันก็ได้ผลตรงกันข้ามคือว่า เดี๋ยวนี้เราอยู่เหนือการบีบบังคับ
  • 14. ของสัญชาตญาณ ซึ่งอยู่ในระดับสัญชาตญาณล้วนๆ หรืออยู่ในระดับที่เป็นกิเลสอันร้าย กาจก็ตาม มันก็ได้ชีวิตเย็น ในความหมายของคําว่า “นิพพาน” เข้าใจความหมายของนิพพานให้ถูกต้อง คําว่า “นิพพาน นิพพาน” นิพพานนี้ยังเข้าใจผิดกันอยู่หลายอย่างหรือไม่เข้าใจ ความหมายอันถูกต้องของนิพพาน ก็เลยไม่ต้องการนิพพาน แล้วคําสอนที่พูดกันสอนๆ กันก็อยู่ไกลสุดเอื้อมจนเห็นว่าเหลือวิสัยจะทําได้ นั้นมันเป็นคําพูดของใครก็ไม่รู้ ต้องขอ อภัยที่จะใช้ว่า คําพูดของคนไม่รู้จักนิพพาน เป็นคําพูดของคนโง่ต่อพระนิพพาน จึงพูด อย่างนั้น ถ้าพูดกันให้ตรงความจริง ตามธรรมชาติที่เป็นอยู่จริง คําว่า นิพพาน ก็คือชีวิตใหม่ อย่างที่ว่าหลุดรอดออกมาได้จากการบีบคั้นของสัญชาตญาณและกิเลสทั้งหลาย มามีชีวิต ใหม่อย่างนี้ ก็เรียกว่านิพพาน คือเย็น ชีวิตเย็น อย่าตีความหมายอะไรให้มันไกลสุดโต่งไป นัก ขอให้ถือเอาความหมายของคําว่านิพพาน นิพพานนี้ว่า เย็นไว้ก่อน ในพระบาลีมีเรื่องราวมากเหลือเกิน ที่แสดงให้เห็นว่า คําว่า “นิพพาน” นั้น หมายถึงความเย็นแห่งชีวิต แล้วที่นี่ และเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอตอนตายแล้ว เมื่อไรกิเลสหรือ ความรู้สึกที่ผิด ที่เลวร้าย ไม่ครอบงําจิตใจ จิตใจมันก็เย็น แต่เดี๋ยวนี้มันจะมาครอบงําเสีย เรื่อย จนเห็นเป็นร้อนเสียเรื่อย หรือว่ามันจะเว้นระยะบ้างไม่ครอบงํา เราก็ไม่สนใจเวลาที่ ว่างจากกิเลส ว่างจากสัญชาตญาณเลวร้ายครอบงําก็มีอยู่บ้าง ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเสียเลย ถ้าจะสนใจข้อนี้ ก็ตั้งปัญหาถามตัวเองว่าเมื่อไรนะที่เรารู้สึกว่า สบายอกสบายใจ โปร่งใจสดใสเยือกเย็นที่สุด เมื่อไรนะ คอยเฝ้าดูสิ คอยจ้องดู ก็จะพบทันทีว่า เมื่อไม่มี กิเลสรบกวน ไม่มีนิวรณ์ ไม่มีกิเลส หรือไม่มีอํานาจของสัญชาตญาณชนิดเลวร้ายรบกวน มันก็มีอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็เป็นบ้าหมดแล้ว คือมันถูกกิเลสเผาผลาญไม่มี เวลาว่างเสียเลย มันเป็นบ้าตายหมดแล้ว เดี๋ยวนี้มันยังมีเวลาที่ว่างบ้าง ธรรมชาติมันก็จัดให้พอสมควร คือว่านอนหลับ เวลา นอนหลับมันก็ไม่ถูกสิ่งเหล่านี้รบกวน มันก็ชดเชยกัน เวลาที่นอนหลับมันเพียงพอ มันก็
  • 15. ชดเชยกับที่เวลาที่ตื่นอยู่ด้วยความเผาลนของกิเลส มันจึงพอดีๆ ที่จะอยู่ในลักษณะที่ อย่างนี้ คือ เป็นคนทนทุรนทุรายทนทุกข์ไปบ้าง แต่ไม่มากจนถึงกับตาย ไม่มากจนถึงเป็น บ้า แต่เดี๋ยวนี้มันก็ปรากฏว่า ในโลกนี้คนเป็นโรคประสาทและเป็นบ้าวิกลจริตมากขึ้น ทุกที หมอเขาว่าอย่างนั้นเขารายงานออกมาอย่างนั้นเป็น neurosis เป็นโรคประสาทกัน มากขึ้น จนกลายเป็น psychosis เป็นโรคบ้าไปเลยมากขึ้น แล้วมันจะมากหรือยิ่งขึ้นไป อีก เพราะว่าความผันแปรในโลก หรือเป็นอย่างนั้น คือว่าโลกมันเป็นไปตามอํานาจของ กิเลส มันเดินผิดทางของธรรมะ มันก็ต้องมีความผันแปรมากและมากยิ่งขึ้นๆ ฉะนั้นต่อไปคนจะเป็นโรคประสาทหรือเป็นบ้ามากขึ้นกว่าที่แล้วมา เมื่อเทียบ จํานวนโดยเปอร์เซ็นต์ คนในโลกมันเพิ่มมากขึ้นจริง แต่คิดแล้วเปอร์เซ็นต์มันสูงกว่าเมื่อ โลกยังมีคนน้อย คือมีแต่คนป่า คนป่านั่นแหละ ดูให้ดีเถอะ เกือบจะไม่รู้จักกับโรคประสาทเหมือนคนสมัยนี้ คน ป่านั่นแหละดูให้ดีเถอะ มันจะไม่เป็นโรคบ้า ไม่เป็นโรคประสาท ไม่มีอะไรวิปลาสเหมือน คนสมัยนี้ ไม่มีเรื่องฆ่าฟันกันมากเหมือนคนสมัยนี้ ซึ่งมันไม่น่าเชื่อยิ่งขึ้นทุกที มีเรื่องผิดใจ นิดหนึ่ง แฟนเขาไม่ซื่อหน่อยมันก็ไปกินยาตาย ถ้าเป็นคนป่ามันไม่ต้องนั่นดอก มัน หัวเราะเยาะหรือว่ามันเปลี่ยนได้ มันแก้ปัญหาของมันได้ คนที่มีการศึกษาแล้วกลับไปกิน ยาตาย ในระดับนักศึกษา นิสิตนักศึกษาของมหาวิทยาลัย ก็มีพบอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ บ่อยๆ นี่มันเพราะเหตุอะไรกัน เพราะว่ามันไม่รู้จักไอ้ชีวิตหรือตัวเองเอาเสียเลย มันก็ไม่ เย็น มันเต็มไปด้วยชีวิตร้อน มันโง่มากเข้า มันกลัดกลุ้มหนักเข้า มันก็มืดบอดไปหมด ก็ ทําสิ่งที่ไม่ต้องการทําหือไม่ควรจะทํา นี่ขอให้สนใจว่า มนุษย์กําลังเป็นอย่างไร มนุษย์ยุคปัจจุบันเป็นอย่างไร และมนุษย์ ในอนาคตจะมีปัญหาอะไรเพิ่มขึ้น เราก็จะต้องรู้ไว้และจะต้องจัดให้ชีวิตของเราชาติหนึ่งนี้ ได้รับสิ่งที่ควรจะได้รับ ที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ซึ่งจะเรียกว่า “ชีวิตเย็น” “ชีวิตเย็น ชีวิตที่เป็นนิพพาน”
  • 16. คําว่า นิพพาน นี้ สอนกันมากมายหลายความหมาย แต่ว่าความหมายที่แท้จริง ที่ ถูกต้องที่ค้นคว้าทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น แปลว่าเย็น อาหารร้อน ต้องรอให้นิพพานเสียก่อนจึง จะกินได้ อย่างนี้เป็นต้น แล้วเขาใช้กันอยู่ในภาษาธรรมดา คนพูดธรรมดาในหมู่ชาวบ้าน ประชาชนทั่วไป ไม่ใช่ว่าใช้แต่ที่วัด หรือเรื่องนักบวชบรรพชิตชั้นสูงไม่ใช่ เขาใช้คําว่า นิพฺพุตา นิพฺพุโต คือ นิพพานแล้ว นิพพานแล้ว นี่กับเรื่องของ ชาวบ้าน คล้ายๆ จะพูดว่า บ้านนี้นิพพาน ก็หมายความว่าครอบครัวนี้เยือกเย็น ไม่มี ความผิด หรือกิเลสตัณหาอะไรรบกวน เล่าเรื่องที่ควรจะเล่าบ่อยๆ สักเรื่องหนึ่งว่าเมื่อวันที่เขาประกวดสตรี ให้ พระสิทธัตถะเลือกเพื่อการสมรส ในวันนั้นพระสิทธัตถะเดินมาสู่ที่ชุมนุม หญิงสามใน ตระกูลศากยะคนหนึ่งร้องตามหลังมาว่า “บุรุษนี้เป็นลูกของผู้ใด แม่ของเขาก็จะ นิพพาน บุรุษนี้เป็นลูกของผู้ใด พ่อของเราก็จะนิพพาน บุรุษนี้เป็นภัสดา ของหญิงใด หญิงนั้นก็จะนิพพาน” ใช้คําว่า นิพฺพุตา เป็นคํากริยา แปลว่า เย็นแล้ว หรือนิพพานแล้ว นี่พูดกันเป็นภาษาธรรมดา ชาวบ้านพูดกลางบ้านนิพพานแล้วๆ คือเย็นแล้วๆ เป็น ครอบครัวที่เย็น ไม่มีความทุกข์ ความร้อน มันอยู่กันอย่างถูกต้อง ถูกต้องตามสมควรที่จะ อยู่กันในโลกอย่างไม่มีความเดือดร้อน ไม่ได้หมายถึงว่าสิ้นกิเลสทั้งปวงเป็นพระอรหันต์ ดอก นั่นมันเป็นอีกความหมายหนึ่ง เป็นความหมายสูงสุด ความหมายธรรมดานิพพานๆ โดยปริยายนี่ก็คือเย็น อะไรเป็นของร้อน ก็คือสิ่งที่ว่าโดยเฉพาะคือ กิเลส ราคะ โทสะ โมหะ นี่ร้อน แล้ว ก็ลองไล่ดู สิ่งที่เรามีกันอยู่เป็นผลของกิเลส ร้อนหรือไม่ร้อน ความรักร้อนหรือไม่ร้อน ความโกรธร้อนหรือไม่ร้อน ความเกลียดร้อนหรือไม่ร้อน ความกลัวร้อนหรือไม่ร้อน ความ วิตกกังวลร้อนหรือไม่ร้อน ความอาลัยอาวรณ์ร้อนหรือไม่ร้อน ความอิจฉาริษยาร้อน หรือไม่ร้อน ความหึงความหวงร้อนหรือไม่ร้อน นี่ก็เป็นตัวอย่างที่พอแล้วว่าจะดูชีวิตได้ว่า มันร้อนหรือมันเย็น ถ้ามันไม่มีสิ่งเหล่านี้ มันก็ไม่มีร้อนหรอก ขอให้รู้จักความหมายของคําว่า นิพพานหรือวิมุตติ หลุดพ้นกันให้ถูกต้อง เดี๋ยวนี้ ไม่รู้จักคํานี้อย่างถูกต้อง แต่ก็ปรารถนากันมากเหมือนกัน แต่ก็นั่นแหละมันเป็นความ
  • 17. ปรารถนาตามธรรมเนียม ตามประเพณี เป็นการกรวดน้ํา เป็นการอุทิศ พอทําบุญทํากุศล เสร็จแล้วก็ว่าให้ได้นิพพาน ทั้งที่ไม่รู้ว่านิพพานคืออะไร ทั้งที่ความจริงนั้น นิพพานเป็นสิ่ง ที่ต้องได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ คือได้ชีวิตเย็น เย็นเพราะว่า เราควบคุมสัญชาตญาณได้ เรา ควบคุมกิเลส คือสัญชาตญาณที่ควบคุมไม่ได้ นั้นได้ ก็เลยเย็น ชีวิตนี้เย็น แม้แต่สัตว์ เดรัจฉานที่ฝึกดีแล้วไม่มีอันตราย ก็ยังเรียกว่าเป็นนิพพาน นิพพานอย่างสัตว์เดรัจฉานมันก็คือเย็น ไม่ได้หมายความว่ามันสิ้นกิเลส แต่ หมายความว่ามันหมดปัญหา ชีวิตนี้มันไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้มันเต็มไปด้วยปัญหารัก โกรธ เกลียด กลัว วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หึงหวง ซึ่งล้วนแต่เป็นเครื่องทรมาน จิตใจทั้งนั้น พูดเอาเองก็แล้วกันว่าชีวิตที่ปราศขากสิ่งทรมานโดยประการทั้งปวง นั่น แหละคือนิพพาน ชีวิตที่มีความหมายเป็นนิพพานในระดับนี้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ซึ่งคนทุกคน มีความเหมาะสม หรือว่ามีสิทธิก็ตามใจ ที่จะได้รับ ที่จะมีและต้องรู้จัก แล้วจะต้องดํารง ตนให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ คือ “รู้ธรรมะ” รู้จักธรรมะ ๔ ความหมาย จะเข้าใจเรื่องตัวตน-ของตนได้ ธรรมะนี้มี ๔ ความหมาย เราต้องรู้จักธรรมชาติ นี้ความหมายหนึ่ง เราต้องรู้จัก กฎเกณฑ์ของธรรมชาติ นี้ความหมายหนึ่ง เราต้องรู้จักหน้าที่ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ นี้ความหมายหนึ่ง เราจะต้องรู้จักผลที่ควรจะได้รับอย่างถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของ ธรรมชาติ ถ้าเรารู้ ๔ ประการนี้เราก็รู้ธรรมะ ก็ลองคิดดูเถอะว่า มันไม่มีทางที่จะอะไรผิด เพราะรู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติอย่างถูกต้องครบถ้วนในทุกแง่ทุกมุม ก็ไม่มีทําอะไรผิด และจะมีความรู้สูงสุดถึงขนาดที่ว่า มันจะไม่ยึดถืออะไรให้เป็นตัวตน ที่หมายมั่นด้วย ความเป็นตัวตน แล้วก็มีความหนักเพราะยึดถือไว้ว่าตัวตน ขอยอมรับว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก แต่ว่ามันคงจะไม่เกินไปสําหรับนักศึกษา ถ้ามีความรู้สึกเป็นตัวตนอะไรอยู่ มันก็จะหนัก เพราะว่ามันต้องเห็นแก่ตน มันต้องเป็น ผลดีแก่ตน มันก็เป็นเรื่องวิตกกังวล เป็นเรื่องหนักอกหนักใจ เดี๋ยวนี้เรารู้สึกว่าเรามีชีวิต
  • 18. อยู่ด้วยความรู้สึกคิดนึกที่เป็นตัวตนตลอดเวลา จิตใจของเราจะมีความคิดประเภทที่เป็น ตนเป็นของตนอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ว่างจากความรู้สึกชนิดนี้ มันมีความคิด แต่ว่ามันมี ความหมายแห่งตัวตนอยู่ในความคิด มันก็หนักอยู่ในความคิด แม้จะมีความคิด แต่ถ้า ความคิดไม่มีความหมายแห่งตัวตนอยู่ในความคิด มันก็ไม่หนัก มันก็เป็นของเบา เดี๋ยวนี้เราปุถุชน มันอยู่ด้วยความคิดประเภทที่มีตัวตนอยู่ตลอดเวลา แล้วมีตัวตน มันก็เห็นแก่ตนเป็นธรรมดา ตามหลักของสัญชาตญาณมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ เมื่อมี สัญชาตญาณแห่งความมีตัวตน มันก็ต้องเห็นแก่ตน แล้วมันก็ต้องมีความรู้สึกว่า จะเป็น ผลดีหรือผลร้ายแต่ตน ความรู้สึกอันนี้มันระแวงสงสัยอยู่ตลอดเวลา จิตใจไม่ว่างจาก ความรู้สึกชนิดนี้ ถ้าว่างจากความรู้สึกชนิดนี้ ก็เป็นพระอรหันต์อีกนั่นแหละ พระอรหันต์ ก็มีความรู้สึกคิดนึกตามปรกติทั่วๆ ไป แต่ไม่มีความรู้สึกประเภทตัวตนหรือของตน จะเอาเรื่องของพระพุทธเจ้ามาเล่าให้ฟังก็ได้ว่า เพราะว่าพระองค์ตรัสประกาศ ทํานองท้าทายประกาศก้องไปว่า “ตถาคตอยู่ด้วยปรมานุตตรสุญญตา” ความรู้สึกว่าง อย่างสูงสุด ว่างอย่างสูงสุด เมื่อมีผู้มาหาเป็นพวกพระราชาบ้าง จิตก็ยังว่างจากตัวตน ผู้ มาหาเป็นประชาชนเศรษฐีบ้าง ก็ยังว่างจากตัวตน ผู้มาหาเป็นเจ้าลัทธิเดียรถีย์อื่น คู่ แข่งขันมา จิตก็ยังว่างจากตัวตน มันเป็นว่างจากตัวตนไปทั้งหมด ไม่ว่าอะไรมา นี้ถ้าว่าเป็นพระธรรมดาเป็นพระปุถุชน พออะไรมามันก็มีความคิดชนิดที่ไม่ว่าง จากตัวตน ถ้าพระราชามา ก็รู้สึกว่าเป็นเกียรติแก่กู กูคงจะได้อะไรบ้าง จิตมันก็ไม่ว่างเสีย แล้ว ถ้าเศรษฐีมามันก็คิดว่าจะต้องได้อะไรบ้า ถ้าขอทานมา มันก็ไม่ไหวแล้ว สั่นหัวแล้ว มันคิดว่าจะไม่ได้อะไรเลย ถ้าคู่ปรปักษ์มา ก็คิดว่ามันจะต้องมีการชนะหรือการพ่ายแพ้ แล้ว นี่มีศัตรูมา มีปรปักษ์มา มันก็คิดไปทํานองนั้น ถ้ามิตรสหายมา มันก็อิ่มอกอิ่มใจว่า จะต้องได้อะไร จะต้องสบายใจหรือต้องอะไรแก่กู นี่ความรู้สึกเป็นความหมายแห่งตัวตน หรือของตนมันมีอยู่อย่างนี้ ที่นี้มาพูดถึงคนธรรมดาสามัญอย่างพวกท่านทั้งหลายบ้าง นี่อยากจะท้าเลยว่าพอ เห็นบุรุษไปรษณีย์เดินข้ามาในบ้านเท่านั้นแหละ จิตปกติอยู่ตามเดิมไหม มันจะต้องนึกว่า มันจะมีข่าวดีหรือข่าวร้าย การได้หรือการเสีย มันจึงเปิดจดหมายด้วยมือที่สั่นใช่ไหม นี่ถ้า
  • 19. มันไม่ว่างมันเป็นอย่างนี้ จิตมันปรกติไหม ลูกหนี้มามันก็ยังไม่ปรกติ เพราะมันทวงหนี้ ไม่ได้ ถ้าตํารวจถือกุญแจมือมา จิตมันปรกติไหม นี่คิดดูให้ดีสิว่าชีวิตแต่ละวัน ที่มีอะไรเกิดขึ้นเกี่ยวข้องนั่น มันทําให้จิตเกิด ความรู้สึกประเภทตัวกูของกู จะได้จะเสีย จะแพ้จะชนะ จะสุขจะทุกข์ จะได้เปรียบจะ เสียเปรียบอะไรขึ้นมาเต็มไปในจิตใจ นี้เรียกว่าคนธรรมดาไม่ได้อยู่ด้วยจิตใจของปรมา นุตตรสุญญตา อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส “ตถาคตอยู่ด้วยปรมานุตตรสุญญตาความ ว่างอันสูงสุด” ต้องรับแขกทั้งวันเหมือนกันเดี๋ยวคณะราชามา เดี๋ยวคณะอํามาตย์มา เดี๋ยวคณะเศรษฐีมา เดี๋ยวคณะบุคคลพลเรือนมา เดี๋ยวคณะเดียรถีย์มา อะไรมา ก็ไม่มี อะไรที่จะเกิดความรู้สึกหวั่นไหวว่ามันจะได้อะไรหรือจะเสียอะไร มันเลยปกติ ปกติไม่ว่า พวกไหนจะมา พวกยักษ์พวกมารอะไรจะมา พวกอะไรจะมา เทวดาอะไรจะมาก็ตาม มัน ก็ไม่เปลี่ยนจากความปกติ แต่ถ้าคนธรรมดามันไม่เป็นอย่างนั้น แล้วก็ไม่ต้องไปถามใครดอก สังเกตดูเอาเอง จากในใจของคนที่มีความรู้สึกอยู่จริงๆ วันหนึ่งๆ มันเกิดความรู้สึกทํานองนี้กันถี่มากน้อย บางทีมันจะเกือบทั้งหมด แม้จะทําการงานอยู่มันอดวิตกกังวลไม่ได้ จะเรียนหนังสืออยู่ มันก็อดวิตกกังวลไม่ได้ เรื่องได้เรื่องเสีย เรื่องแพ้เรื่องชนะ ได้เปรียบเสียเปรียบของตัวกู มันอดคิดไม่ได้ นั่นคือไฟชนิดที่เผา เผาโพลงๆ ในบางคราว เผากรุ่นๆ อยู่บางคราว หรือ อัดควันอยู่ในบางคราว ชีวิตเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้จะเป็นอย่างไร เราจะเรียกว่าจิตที่มันเกลี้ยง ชีวิตที่มันเกลี้ยงนั่น แหละคือ อิสรภาพ เสรีภาพ นั่นนะคือวิมุตติความหลุดพ้น ตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา เมื่อวิมุตติหลุดพ้นจากสิ่งบีบคั้นเหล่านนี้แล้ว มันก็เย็นเป็นนิพพาน เป็นความเย็น แม้ยัง ไม่สิ้นกิเลส แต่ถ้ากิเลสไม่เกิดขึ้นรบกวน มันก็เย็นเป็นนิพพานโดยเท่ากัน ถ้านิพพาน สมบูรณ์ของพระอรหันต์นั่น มันไม่อาจจะเกิดกิเลสได้อีก ทีนี้เรายังมีกิเลส แต่ถ้าเราทํา ชนิดที่กิเลสไม่เกิดขึ้นเผาลน มันก็ยังมีความเย็นไปตามแบบเดียวกันนั่นแหละ เรียกว่า นิพพานโดยปริยาย อย่างธรรมดาสามัญ ถ้าไปทําลายรากเหง้าของกิเลสหมดจดสิ้นเชิงไม่ อาจจะเกิดอีกแล้ว มันก็เป็นนิพพานสมบูรณ์ของพระอรหันต์
  • 20. คนธรรมดาควรจะศึกษาเรื่องนิพพาน เพื่อชีวิตจักเย็น ฉะนั้นนิพพานจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้อง หรือควรจะเกี่ยวข้อง แม้แต่ปุถุชนธรรมดา สามัญทั่วไป มิฉะนั้นมันจะเป็นชีวิตร้อน โลกมันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะให้เกิดชีวิต ร้อนยิ่งขึ้นๆ ฉะนั้นเตรียมตัวไว้ให้ดี ศึกษาธรรมะไว้ให้พอเพื่อจะอยู่ในโลกที่มันไม่น่าอยู่นี่ ยิ่งขึ้นๆ พูดง่ายๆ ว่าเตรียมตัวสําหรับอยู่ร่วมโลกกับคนบ้า ไม่ใช่อวดดีอะไร ว่ามันจะต้อง เตรียมตัวสําหรับจะอยู่ร่วมโลกกับคนบ้า ซึ่งมันจะมีคนบ้าเพราะกิเลสมากขึ้นทุกที มาก ขึ้นทุกที เพราะการศึกษามันเป็นการศึกษาหมาหางด้วน ทั้งโลก มันมีการศึกษาชนิดหมาหางด้วน ขออภัยใช้คําตรงๆ เพื่อประหยัดเวลา มันเป็นคําหยาบคายหน่อย คือให้เรียนกันแต่หนังสือ ให้เรียนกันแต่วิชาชีพ ส่วนจะบังคับ จิตใจกันอย่างไร จะเป็นมนุษย์กันอย่างไรให้เยือกเย็นนั้นไม่ได้เรียน โรงเรียนไหน มหาวิทยาลัยไหน ประเทศไหน อะไรก็ตามมันไม่ได้เรียน มันมุ่งแต่ให้รู้หนังสือเพื่อจะ ฉลาด แล้วก็เรียนวิชาชีพให้สูงสุด ให้ได้เปรียบมากยิ่งขึ้นไป แล้วก็มุ่งจะทํางานพัฒนา ตัวเอง พัฒนาสังคม พัฒนาประเทศชาติ ด้วยสิ่งชนิดที่เป็นปัจจัยแก่กิเลสทั้งนั้น ดังนั้นทั้ง โลกมันจึงเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมันเป็นเรื่องให้เกิดกิเลสทุกอย่างทุกประการขึ้นมา เรียกว่าเราต้อง อยู่ร่วมโลกกับคนบ้า ถ้าเราไม่มีความรู้ที่เพียงพอเราก็จะเดือดร้อน ไม่ต้องพูดที่ไหน เอาที่ กรุงเทพฯ นั่นแหละอันธพาลมันจะมากขึ้น แล้วเราจะอยู่ในบ้านเมืองที่อันธพาลมันมาก ขึ้นได้อย่างไร ถ้าเราไม่รู้จักปรับปรุงจิตใจภายในของเราให้เหมาะสมที่จะอยู่ร่วมโลกกับ อันธพาลเหล่านั้น ซึ่งมันจะต้องมากขึ้นเพราะการศึกษามันไม่ถูกต้อง เพราะเหตุการณ์ใน โลกมันบีบบังคับ เพราะความผันแปรของหมู่มนุษย์มันไปผิดทาง คือมันเป็นทาสของ กิเลสมากขึ้น หรือเป็นทาสของสัญชาตญาณมากขึ้น ทั้งที่เรียนเรื่องสัญชาตญาณ แต่ก็ไม่ รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ หรือไม่เรียนกันในแง่ที่มันใช้ให้เป็นประโยชน์ มันก็รู้จากเรื่อง สัญชาตญาณ สักว่าเป็นหลักวิชาล้วนๆ เอาประยุกต์อะไรไม่ได้ นี่ขอให้เราใช้วิชาทุกอย่างที่มีอยู่เรียนอยู่นั้นเอามาประยุกต์ใช้ให้ได้ในการที่จะ แก้ปัญหาทุกอย่างทุกประการของชีวิตจิตใจ เพื่อว่าจะได้มีชีวิตเย็น เพื่อจะได้มีชีวิตเย็น นี่
  • 21. จึงเรียกว่าเราจะต้องนึกถึงแล้ว คือชีวิตใหม่หรือการเกิดใหม่ ไม่ต้องตาย เกิดโดยไม่ต้อง ตาย เกิดโดยการปรับปรุงจิตใจเสียใหม่ ให้มีความรู้ความเฉลียวฉลาดพอที่จะต่อสู้กับสิ่ง เหล่านี้ได้ ศึกษาให้เข้าใจพระรัตนตรัย เพื่อคุ้มครองตน ถ้าจะพูดก็คือให้มีธรรมะคุ้มครองให้มากขึ้น พูดให้ศักดิ์สิทธิ์กว่านั้นหน่อยก็พูดว่า ให้มีพระรัตนตรัยคุ้มครองมากขึ้น แต่ก็น่าสังเวช น่าสงสารที่ว่าไม่รู้จัก ว่าพระรัตนตรัย นั้นคืออะไร ไม่รู้จักขออภัยแม้ที่นั่งอยู่นี้รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถึงที่สุดแล้ว หรือยัง กลังว่าจะรู้จักแต่เพียงชื่อ รู้จักแต่เพียงบทบัญญัติ บทนิยามคําเหล่านั้น มันก็ กลายเป็นเรื่องพูดได้หรือจําได้ แต่ไม่มีตัวจริง มีพระพุทธเจ้าคือผู้ตรัสรู้แล้วสอน พระธรรมคือคําสอน พระสงฆ์คือผู้ปฏิบัติได้ อย่างนี้ มันก็ไม่รู้จักตัวจริง รู้จักเท่าที่เขาบอก แล้วก็รับทําพิธี พุทธังสรณัง คัจฉามิ ธัมมังสรณัง คัจฉามิ ซึ่งนกแล้วนกขุนทองมันก็ว่าได้ถ้าเอามาฝึกมาสอน เดี๋ยวนี้น่าห่วงที่สุด ที่เอาเด็กมาทําพิธีพุทธมามกะที่นี่ ตามระเบียบราชการ อาตมาก็ทําตามระเบียบที่เขาจดมาเขียนมาให้ ทําอย่างไรบ้าง เด็กเขาว่าอย่างนั้นเราก็ให้ พร นึกละอายตัวเองอยู่เหมือนกัน ที่ว่าเด็กนั้น เขาไม่รู้เลยว่าพระพุทธเจ้าคืออะไร ? พระธรรมคืออะไร ? พระสงฆ์คืออะไร ? แล้วจะเอามาให้ว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ หรือว่าปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะถือ พระรัตนตรัย แล้วก็กลับไป ทีนี้ดูถึงคนผู้ใหญ่ใตๆ แล้วบ้าง เข้ายังอยู่ในสภาพอย่างนี้หรือ เปล่า มันยังอยู่ในสภาพอย่างนี้หรือเปล่า มันยังอยู่ในสภาพเหมือนกับเด็กอย่างเหล่านี้ หรือเปล่า ข้อนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เรื่อง พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เท่าที่มี ปรากฏอยู่ในพระบาลีทั้งหมดทั้งสิ้นนะ คําๆ นี้เขาจะพูดออกมาโดยบุคคลที่เข้าใจธรรมะ มองเห็นว่าเป็นที่พึ่งได้จริงแล้วเท่านั้นเขาจึงจะพูดออกมาเอง โดยพระพุทธเจ้าไม่ต้อง บอก ไม่ต้องนํา ไปอ่านดูในสูตรทั้งหลายสิ ถ้าเขาได้ฟังธรรมะสนทนากับพระพุทธเจ้า
  • 22. ซักไซ้ไล่เรียงจนเห็นชัดลงไปว่าธรรมะนี้ดับทุกข์ได้จริง เห็นชัดประจักษ์แล้ว จึงร้อง ออกมาเองว่า ข้าพเจ้าขอถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ คําว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ มันเป็นคําพูดของคนที่เห็นธรรมะโดยประจักษ์ชัดว่า ดับทุกข์ได้จริงแล้วพูด ออกมา เดี๋ยวนี้เรามาใช้เป็นคําร้องของผู้ที่ไม่รู้จัก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เลย แล้วก็ ให้เขาร้องออกมา แล้วก็เป็นอันว่าเสร็จพิธีเป็นพุทธบริษัทอย่างนกแก้วนกขุนทอง ฉะนั้นจงมองดูเห็นว่า มันแยกกันอยู่เป็น ๒ ชนิด คือ การถือสรณคมน์ด้วยปัญญา เห็นชัดแล้วว่าดับทุกข์ได้จริง จึงถือสรณคมม์ด้วยปัญญานี้อย่างหนึ่ง ทีนี้อีกอย่างหนึ่งถือ สรณคมน์ตามธรรมเนียม ไม่รู้ ไม่ได้รู้ ไม่ได้รู้สึก แต่เขามีพิธี มีประเพณี มีธรรมเนียมให้ว่า ก็ว่าไป อย่างมากก็แค่ศรัทธาอย่างงมงายเสียด้วย ศรัทธาที่ไม่มีปัญญา มันเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นขอบอกว่าไม่พอดอก ที่พวกนักเรียนนักศึกษาทั้งหลายเคยทําพิธี พุทธมามกะมาแล้วนั้นมันไม่พอ มันถือสรณคมน์นกแก้วนกขุนทองเป็นพิธีรีตอง แล้วไม่ เคยมีในครั้งพุทธกาล เอาสิถ้าในครั้งพุทธกาลมันจะมีแต่สรณคมน์ของผู้ที่เห็นธรรมะ แล้วร้องตะโกนออกมา เขาไม่มีพิธีให้รับก่อนกันอย่างนี้ ไปฟังเทศน์ก็ฟัง ถ้าใครฟังเข้าใจ พอใจ รับเอาไว้ในจิตใจจึงจะร้องตะโกนออกมาว่าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็น สรณะจนตลอดชีวิต นี่คิดดูให้ดีสิว่า เรื่องมันยังมีปัญหามาก แม้กระทั่งการศึกษา หรือขนบธรรมเนียม ประเพณีที่มันยังไม่เกื้อกูล แก่การที่จะทําให้มนุษย์นี่มีความรู้ที่ควรจะรู้ คือ เรื่องธรรมะ สําหรับจะไปควบคุมสัญชาตญาณของเขา ให้ดําเนินมาอย่างถูกต้องเหมือนกับชีวิตใหม่ หรือมีการเกิดใหม่ ดังนั้นในวันนี้เราจะไม่พูดเรื่องอะไรมากไปกว่าเรื่องว่า จะต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ใหม่หรือการเกิดใหม่ที่พระพุทธศาสนาจะมีให้เราคือ ระบบธรรมะสําหรับเรียน สําหรับ ปฏิบัติ จนเกิดผลขึ้นมา แล้วก็จะปรากฏเป็นชีวิตใหม่ หรือการเกิดใหม่ขึ้นมา คุ้มค่าไหม ตัดสินดูเอาเองว่า ถ้าได้สิ่งนี้ ชีวิตใหม่เกิดใหม่ที่เยือกเย็นนี่คุ้มค่าไหนที่มาสวนโมกข์ เสีย ค่ารถเท่าไร เสียเวลาเท่าไร เหนื่อยเท่าไร ถ้าคุ้มค่าก็ดีไป อาจารย์ไม่ต้องทะเลาะกับ