๑
    การทําตามพิธีกรรมมากเกินไป ทําใหพระวินัยเปนเพียงรูปแบบที่ถูกอางขึ้นจริงหรือ

                                                เกริ่นนํา
         พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ คําวา “พิธีกรรม” เปนคํานาม
หมายถึง การบูชา, แบบอยาง หรือแบบแผนตาง ๆ ที่ปฏิบัติในทางศาสนา 1
          เมื่อพูดถึงคําวา “พิธีกรรม” ความเขาใจของคนโดยทั่วไปจะหมายถึงพิธีทางศาสนา
(ศาสนพิธ) หรือพิธีที่กระทําทางไสยศาสตรประเภทตาง ๆ ตามความเชื่อของกลุมชนนั้น ๆ ซึ่งโดย
              ี
สวนมากจะเนนไปที่ความขลังหรือศักดิ์สิทธิ์ คือพิธที่กระทําขึ้นนี้ตองเปนไปเพื่อใหมีความขลังและ
                                                       ี
ศักดิ์สิทธิเ์ สมอ           แตตามหลักฐานในทางพระพุทธศาสนาจะไมพบวามีการใชคําทั้งสองที่มี
ความหมายในลักษณะนี้ แตจะใชคําวามงคลแทน
         พิธีกรรมที่กลาวถึงนี้ จะมุงไปที่พิธกรรมทีกระทํากันในแวดวงพุทธบริษทฝายในซึ่งถือวา
                                                 ี       ่                         ั
เปนกําลังหลักในการจรรโลงพระพุทธศาสนานันคือภิกษุบริษัท โดยสถานภาพแลวพระภิกษุสงฆ
                                                   ่
ถือวาเปนศาสนทายาทผูสบตออายุพระพุทธศาสนาอยางแทจริง ดังทีทานกลาวไววา “กุลบุตร
                             ื                                          ่
บวชในพระพุทธศาสนาเพียงคนเดียว ก็ชื่อวาดํารงพระศาสนาไวใหยืนนานได” 2 ฉะนั้น พระภิกษุ
สงฆจึงถือวาเปนกําลังหลักและเปนผูนําที่สําคัญในการการเผยแผพระศาสนา การประพฤติปฏิบัติ
ใด ๆ ของพระภิกษุสงฆจึงดูมีคณคาและมีน้ําหนักพอในอันที่จะยังศรัทธาปสาทะใหเกิดแกพุทธ
                                      ุ
บริษัทเหลาอื่น และตามหลักฐานที่ปรากฏตามที่ไดศึกษามา                       พิธีกรรมหรือแบบแผนที่
พระพุทธเจาบัญญัตเิ พื่อเปนระเบียบปฏิบติในครั้งพุทธกาลนั้นมีเพียงพิธทําบุญอันไดแก การให
                                              ั                           ี
ทาน การรักษาศีล และการอบรมจิตใจใหผองใสในทางกุศลเทานั้น ตอมาภายหลังเมื่อ
พระพุทธเจาเสด็จดับขันธปรินพพานแลว เหลาสาวกก็ตงพิธีกรรมขึ้นสมทบกับที่พระพุทธองคทรง
                                 ิ                         ั้
บัญญัติไวอีก จึงเกิดมีพิธีกรรมขึ้นมามากมาย พิธีกรรมใดเปนทีนิยมและยอมรับปฏิบัติสืบ ๆ กัน
                                                                 ่
มาจนเปนประเพณี พิธีกรรมอันนันก็กลายเปนศาสนพิธี และศาสนพิธีในทางพระพุทธศาสนา
                                    ้
นั้นมีมาก แตกพอจัดเปนประเภท ๆ ได ๔ ประเภท คือ
                  ็
                    ๑. กุศลพิธี พิธีแหงการบําเพ็ญกุศล
                    ๒. บุญพิธี        พิธีแหงการทําบุญ
                    ๓. ทานพิธี พิธีแหงการใหทาน
                    ๔. ปกิณณกพิธี พิธีเบ็ดเตล็ด 3
…………………………
1
    พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒
2
    พระเทพวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณโณ) “อานิสงสการออกบวช” หนา ๔๗
3
    ศาสนพิธี เลม ๑ ฉบับมาตรฐาน หนา ๒
๒
           - กุศลพิธี คือพิธีกรรมอันเนื่องดวยการอบรมความดีงามทางพุทธศาสนาเฉพาะตัว ที่
พุทธบริษทพึงปฏิบัตในเบื้องตนที่ที่สําคัญ ๓ อยาง คือ พิธีแสดงตนเปนพุทธมามกะ พิธเี วียน
            ั             ิ
เทียนในวันสําคัญ ๆ พิธีรักษาอุโบสถ และพิธีทางสงฆทพึงปฏิบัติเพื่อความดีงามในพระธรรมวินัย
                                                            ี่
ทั้งที่เปนสวนตัวและหมูคณะไดแก พิธีเขาพรรษา พิธีถอนิสสัย พิธีทําสามีจกรรม
                                                          ื                     ิ
พิธีทําสังฆอุโบสถ พิธีออกพรรษา เปนตน
           - บุญพิธี หมายถึงพิธีทําบุญเนื่องดวยประเพณีในครอบครัว ซึ่งเปนประเพณีเกี่ยวกับ
การดําเนินชีวิตของคนทั่วไปมี ๒ ประเภท คือ
                       ๑. การทําบุญงานมงคล ไดแกการทําบุญเลี้ยงพระ เพื่อความสุขทางใน โดย
ปรารภเหตุที่ดีแลวทําบุญ เชน งานฉลองทุกอยาง หรือทําเพื่อใหสําเร็จตามความปรารถนาดีของ
ชีวิตสืบไป เชนการทําบุญขึนบานใหม, งานแตงงาน การทอดผาปา การทอดกฐิน เปนตน
                                ้
                       ๒. การทําบุญงานอวมงคล ไดแก การทําบุญเลียงพระเพื่อประโยชนเกื้อกูลและ
                                                                      ้
ความสุข โดยปรารภเหตุที่ไมสูดีมีการตายเปนตน หรือทําบุญเพื่ออุทิศสวนกุศลใหแกผูที่ลวงลับ
ไปแลว และเพื่อเปนมิ่งขวัญแกผูทยังมีชีวิตอยู เชน งานฌาปนกิจศพ, การทําบุญงานศพ
                                        ี่
๗ วัน, ๕๐ วัน, ๑๐๐ วัน, งานครบรอบวันตาย, งานทําบุญอัฐิ เปนตน
           - ทานพิธี คือพิธีถวายทานแดพระสงฆ การถวายทานคือ การถวายวัตถุทควรใหเปน  ี่
ทาน เรียกวัตถุทควรใหเปนทานนี้วา “ทานวัตถุ” มี ๑๐ อยาง คือ
                    ี่
           ๑. ภัตตาหาร คืออาหารคาวหวาน
           ๒. น้ํา รวมทั้งเครื่องดื่มอันควรแกสมณบริโภค
           ๓. ผา เครื่องนุงหม (ไตรจีวร)
           ๔. ยานพาหนะ รวมทั้งคาโดยสารดวย
           ๕. มาลัยและดอกไมเครื่องบูชาชนิดตาง ๆ
           ๖. ของหอม หมายถึงธูปเทียนบูชาพระ
           ๗. เครื่องลูบไล หมายถึง เครื่องสุขภัณฑสําหรับชําระรายกายมี สบู ยาสีฟน เปนตน
           ๘. ที่นอนอันควรแกสมณะ
           ๙. ที่อยูอาศัย มีกุฎิเครื่องใชสอย เชน เตียง ตู โตะ เกาอี้ เปนตน
           ๑๐. เครื่องตามประทีป มีเทียน ตะเกียง ไฟฟา เปนตน
การถวายทานมี ๒ อยางอคือ
           ๑. การถวายเจาะจงแกภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เรียกวา ปาฎิปุคคลิกทาน
           ๒. การถวายไมเจาะจง มอบใหเปนของสวนรวม เฉลียกันใช เรียกวา “สังฆทาน”
                                                                  ่
การถวายทานวัตถุทั้ง ๑๐ อยางนั้น แยกถวายเปนพวก ๆ ตามปจจัย ๔ ของบรรพชิต คือ จีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสัช และมีการถวายเปน ๒ แบบ คือ
๑. กาลทาน ถวายไดในกาลที่ควรถวาย เชน กฐิน ทอดไดในชวงออกพรรษเพียง ๑ เดือนเทานั้น
๓
          ๒. อกาลทาน การถวายไมเนื่องดวยกาล คือ ถวายไดตลอดไปทั้งป เชน ผาปา ทอด
ไดทั้งปตลอดกาล เปนตน
          - ปกิณณกพิธี คือพิธีเบ็ดเตล็ด ไดแก พิธตาง ๆ ซึ่งไมนับเขาในพิธทั้งสามขางตน สวน
                                                    ี                       ี
ใหญจะเปนมารยาทและระเบียบพิธี เชน วิธีแสดงความเคารพพระ วิธประเคนพระ วิธีอาราธนา
                                                                       ี
และทําใบปวารณา วิธีอาราธนาศีล วิธีอาราธนาพระปริตร วิธีอาราธนาธรรม วิธีกรวดน้ํา วิธีจับ
ดายสายสิญจน วิธีตั้งโตะหมูบูชา พิธีบังสุกุล พิธีบอกศักราชในการแสดงพระธรรมเทศนา เปน
                                  
ตน 4
          ตามที่ยกมานี้จะเห็นไดวา พิธีกรรมทั้ง ๔ หมวด สวนมากมีความสําคัญและเกี่ยวของตอ
พุทธศาสนิกชนทั้งสิ้น อีกอยางหนึ่ง พิธีกรรมตาง ๆ ที่กลาวมา ลวนมีพระสงฆเกียวของเสมอ
                                                                                 ่
ดวยเหตุนี้ จึงเปนสาเหตุชี้ไดวา การประพฤติปฏิบัติตาง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องดวยศาสนพิธี หรือ
                                                          
พิธีกรรมทางศาสนา พระภิกษุสงฆจงเปนเครื่องจักรสําคัญในอันทีจะทําใหพระธรรมวินยเสื่อม
                                          ึ                          ่                    ั
หรือเจริญได ผูเขียนขอยกตัวอยางพิธีกรรมซึ่งเกี่ยวของกับพระสงฆโดยเฉพาะมาพิจารณา คือพิธี
กรานกฐิน ทีเ่ หลาพระสงฆถือปฏิบัติมาแตครังพุทธกาลจนกระทั้งปจจุบันวา มีพิธีและรูปแบบใน
                                               ้
การปฏิบัติเปนอยางไร
                       เรื่องวิธีกรานกฐินและญัตติทุติยกรรมวาจาสําหรับกรานกฐิน
          ภิกษุทั้งหลาย สงฆพึงกรานกฐินอยางนี้ คือ ภิกษุผฉลาดสามารถพึงประกาศใหสงฆ
                                                                ู
ทราบดวยญัตติทุตยกรรมวาจาวา
                     ิ
          (๓๐๗) ทานผูเจริญ ขอสงฆจงฟงขาพเจา ผากฐินนี้เกิดแลวแกสงฆ ถาสงฆพรอมกันแลว
พึงใหกรานกฐินแกภิกษุชื่อนีเ้ พื่อกรานกฐิน นี่เปนญัตติ
         ทานผูเ จริญ ขอสงฆจงฟงขาพเจา ผากฐินนี้เกิดแลวแกสงฆ ถาสงฆพรอมกันแลว พึงให
กรานกฐินแกภิกษุชอนี้เพื่อกรานกฐิน ทานรูปใดเห็นดวยกับการใหผากฐินนี้แกภิกษุชอนี้เพือกรานกฐิน
                     ื่                                                               ื่ ่
ทานรูปนั้นพึงนิง ทานรูปใดไมเห็นดวย ทานรูปนั้นพึงทักทวง
                 ่
         ผากฐินนี้อันสงฆใหแลวแกภิกษุชื่อนีเ้ พื่อกรานกฐิน สงฆเห็นดวย เพราะเหตุนนจึงนิง ขาพเจา
                                                                                        ั้  ่
ขอถือความนิ่งนั้นเปนมติอยางนี้ 5
         นี่คือวิธีกรานกฐินที่ถูกตองตามพุทธบัญญัติ จะเห็นวา วิธีกรานกฐินนี้ พระพุทธองคทรงมอบ
ความเปนใหญแกพระสงฆในการพิจารณาตัดสินในการคัดเลือกพระภิกษุขึ้นมารูปหนึ่งที่มีคุณสมบัติครบ
ตามพระธรรมวินัย เพื่อจะไดเปนผูครองผากฐินตอไป พูดอีกอยางหนึ่งก็คอ พระพุทธเจาทรงมอบ
                                                                              ื
ประชาธิปไตยไวแลว โดยใหพระภิกษุสงฆเปนใหญในการจัดการเรื่องนั้น ๆ ได และตามพุทธบัญญัติ
ในแตละเรื่องก็เปนเชนนั้นดวย
ดูตัวอยางการอปโลกนกฐินที่พระสงฆปฏิบัติกนในปจจุบนวา มีรูปแบบวิธีปฏิบัติเปนยางไร
                                          ั        ั
……………………………………………..

4
    สถิตย ศิลปชัย “เทศกาลและพิธีกรรมพระพุทธศาสนา” หนา ๒ - ๓
5
    วินัย. กฐินขันธกะ กฐินานุชานนา ๕ / ๓๗๐
๔
                                               คําอปโลกนกฐิน
                                                  แบบ ๒ รูป
รูปที่ ๑
          ผากฐินทานกับทั้งผาอานิสังสบริวารทั้งปวงนี้         เปนของ………..พรอมดวย……..ผู
ประกอบดวยศรัทธา อุตสาหะพรอมเพรียงกันนํามาถวาย แกพระภิกษุสงฆผูอยูจําพรรษาถวน
ไตรมาสในอาวาสนี้
          ก็แลผากฐินทานนี้เปนของบริสุทธิ์ ดุจเลื่อนลอยมาโดยนภากาศ แลวแลตกงในที่ประชุม
สงฆ จะไดจําเพาะเจาะจงลงวา เปนของพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งก็หามิได มีพระบรมพุทะานุญาต
ไววา ใหพระสงฆทั้งปวงยอมอนุญาตใหแกภิกษุรูปหนึ่ง เพื่อจะทําซีงกฐินนัตถารกิจ ตามพระ
บรมพุทธานุญาต และมีคําพระอรรถกถาจารยผูรูพระบรมพุทธาธิบายสังวรรณนาไววา ภิกษุรูป
ใดประกอบดวยศีลสุตาธิคณ มีสติปญญาสามารถ รูธรรม ๘ ประการ มีบุพกิจ เปนตน กิกษุ
                              ุ
รูปนั้นจึงสมควร เพื่อจะกระทํากฐินนัตถารกิจ ตามพระบรมพุทธานุญาตได
          บัดนี้ พระสงฆทั้งปวง จะเห็นสมควรแกภิกษุรูปใด จงพรอมกันยอมอนุญาตใหภิกษุรูป
นั้น เทอญ          (ไมตองสาธุ)
รูปที่ ๒
          ผากฐินทานกับทั้งผาอานิสังสบริวารทั้งปวงนี้ ขาพเจาพิจารณาเห็นสมควรแก…………...
เปนผูมีสติปญญาสามารถ เพื่อกระทํากฐินนัตถารกิจใหถูกตองตามพระบรมพุทธานุญาตได ถา
พระภิกษุรูปใดเห็นไมสมควรจงทักทวงขึนในทามกลางระหวางสงฆ (หยุดนิดหนึ่ง) ถาเห็นสมควร
                                       ้
แลวไซร จงใหสททสัญญาสาธุการขึ้นใหพรอมกัน เทอญ (สาธุ) 6
                 ั
          จะเห็นไดวา วิธีการอปโลกนกฐินนี้ ก็มีรูปแบบเหมือนวิธกรานกฐินทีกลาวกอนหนานี้ คือ
                                                                  ี          ่
จะมีความเปนประชาธิปไตยตามรูปแบบทีเ่ กิดขึนในหมูพระสงฆอยางมาก บางวัด (วัดของ
                                                ้
ผูเขียนเอง) พิธีกรรมเกียวกับการกรานกฐิน การอปโลกนกฐิน หรืออีกหลาย ๆ พิธี ที่กระทํากัน
                          ่
ในปจจุบน จะเปดโอกาสใหพุทธศาสนิกชนเขามาดูพิธีได แตจะอยูคนละสวนหางกัน และมี
          ั
ความเปนไปไดวา นาจะมีในลักษณะเชนนี้อกจํานวนไมนอย
                                             ี               
          ถาพิจารณาเพียงผิวเผินก็จะเห็นวา เปนเรื่องดีที่บรรดาพุทธศาสนิกชนจะไดประโยชน
เพราะจะไดมีโอกาสเห็นรูปแบบตาง ๆ ที่พระสงฆกระทํากัน               แตในความเปนจริง     การ
ปฏิบัติของพระสงฆนน หาไดมีความชอบธรรมตามพระวินัยไม เพราะในทางปฏิบัตจริง ๆ แลว
                       ั้                                                          ิ
การพิจารณาวา ใหพระสงฆเลือกพระภิกษุรูปหนึ่งทีมีคุณสมบัติครบตามพุทธบัญญัตเิ พื่อจะเปนผู
                                                     ่
สมควรครองผากฐินนั้นนัน ความเปนจริงคือ พระภิกษุทถูกคิดเลือกขึ้นมานัน ไดมีการระบุหรือรู
                            ้                             ี่               ้
กันโดยทั่วกันลวงหนาในอาวาสนั้น ๆ วา
…………………………………………..

6
    พระครูอรุณธรรมรังษี เอี่ยม สิริวัณโณ) “มนตพิธี” หนา ๒๒๐ - ๒๒๒
๕
คือใคร และโดยมากก็จะเปนสมภารเจาอาวาสนั่นเอง ทั้งวัดราษฏและพระอารามหลวงจะมี
ลักษณะเหมือนกันโดยสวนมาก และในแตละปที่มีการทอดกฐิน ก็จะเปนเชนนีเ้ สมอ


                                          สรุปวิเคราะห
          พิธีกรรมที่กลาวมานี้ รวมทั้งพิธกรรมอื่น ๆ อีกหลายอยางที่มิไดกลาวถึง ซึ่งโดยมากจะ
                                          ี
เกี่ยวกับพระสงฆแทบทั้งสิ้น และในพิธีกรรมตาง ๆ เหลานั้น ถาพูดถึงรูปแบบหรือระเบียบปฏิบัติ
ที่ถูกตองตามพระวินัยนันจะเห็นวา มีความละเอียดถีถวน ชัดเจนในประเด็นทุกขั้นตอน มีความ
                          ้                              ่
เปนประชาธิปไตยมาก             ( และหลักความเปนประชาธิปไตยนีเ่ อง ถาศึกษาใหดจะพบวา  ี
พระพุทธเจาเปนผูมอบไวใหปฏิบัติมานานแลวแกพระสาวกของพระองค ) แตในการปฏิบัติของ
พระสงฆแมจะกลาววาปฏิบัติตามรูปแบบที่ถกตองตามพระวินัยก็จริง ซึงในความเปนจริงแลว หา
                                             ู                         ่
เปนเชนนันไม หลักประชาธิปไตยเปนเพียงหลักที่ถกวางไว โดยพระภิกษุที่อยูรวมสังฆกรรมรูปอืน
           ้                                       ู                                         ่
ๆ ไมมีโอกาสไดแสดงสิทธิเพื่อคัดคานใด ๆ เลย มีสิทธิ์เพียงนั่งนิ่ง คือแสดงตนเพื่อบงบอกวา
เห็นดวยทุกอยางทุกประการ แมในใจลึก ๆ ของพระภิกษุรูปนั้น ๆ มีความตองการที่อยากจะคิด
คาน แตในทางปฏิบัติแลวถือวา กระทําไมได คือไมสามารถใชสทธิตามหนาที่ที่ตนมีนี้โดยชอบ
                                                                  ิ
ธรรมได ฝายพุทธศาสนิกชนที่มีโอกาสเห็นพิธกรรมตาง ๆ ที่พระสงฆกระทํากันในลักษณะนี้ ถา
                                               ี
มองดูโดยสวนรวมจะเห็นวา รูปแบบที่พระสงฆปฏิบติตามที่กลาวมานี้ มีความเปนระเบียบแบบ
                                                       ั
แผนดีงาม และบางครั้งจะดูวาพิธีลักษณะนีดูขลังและศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง นํามาซึ่งศรัทธาปสาทะแกผู
                                                 ้
พบเห็น ทั้งนีเ้ ปนเพราะวา พุทธศาสนิกชนโดยสวนมากจะไมไดใสใจในการศึกษาใหเขาใจในพระ
ธรรมวินัยนั่นเอง จึงทําใหมองวา พิธีกรรมตาง ๆ เหลานั้น พระสงฆทานทําถูกแลวดีแลว คือเห็น
ดีเห็นงามไปกับพระสงฆหมดทุกเรื่อง ถึงขนาดมีความเขาใจวา พระพุทธศาสนานี้ พระสงฆ
สามเณรเทานันเปนผูรับผิดชอบทั้งหมด โดยหารูไมวา ความจริงแลวพระพุทธศาสนาจะเจริญ
                ้
หรือเสื่อมไปมากนอยเพียงใดนัน ขึ้นอยูกับบริษัททั้งสี่นนคือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และ
                                ้                            ั่
อุบาสิกา นั่นเอง
          เมื่อความจริงเปนเชนนี้ คงจะไมเปนการกลาวรุนแรงเกินไปกระมังวา การทําตามพิธีกรร
มากเกินไป ทําใหพระวินยเปนเพียงรูปแบบที่ถูกอางขึน และยังมีประเด็นเกี่ยวกับพระธรรมวินัย
                            ั                              ้
อีกมากที่เปนไปในลักษณะเดียวกันนี้ที่พุทธบริษัทฝายในคือพระสงฆเอง ยังคงปฏิบัติโดยอางพระ
ธรรมวินัย แตในความเปนจริงในทางปฏิบัติพระวินยที่ถูกอางขึ้นนันเปนแตเพียงรูปแบบ หาได
                                                     ั              ้
ปฏิบัติกันตรงตามพุทธประสงคไม ควรอยางยิ่งที่บริษัททุกฝายจะเอาใจใสโดยการศึกษาพระธรรม
วินัยใหเขาใจและปฏิบัติใหบังเกิดผลอยางจริงจัง จักไดชวยกันจรรโลงพระพุทธศาสนาใหอยูคูโลก
                                                                                          
คูสังคมตลอดไป

                                   ………………………………….
๖

วิจารณ์การศึกษาไทย

  • 1.
    การทําตามพิธีกรรมมากเกินไป ทําใหพระวินัยเปนเพียงรูปแบบที่ถูกอางขึ้นจริงหรือ เกริ่นนํา พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ คําวา “พิธีกรรม” เปนคํานาม หมายถึง การบูชา, แบบอยาง หรือแบบแผนตาง ๆ ที่ปฏิบัติในทางศาสนา 1 เมื่อพูดถึงคําวา “พิธีกรรม” ความเขาใจของคนโดยทั่วไปจะหมายถึงพิธีทางศาสนา (ศาสนพิธ) หรือพิธีที่กระทําทางไสยศาสตรประเภทตาง ๆ ตามความเชื่อของกลุมชนนั้น ๆ ซึ่งโดย ี สวนมากจะเนนไปที่ความขลังหรือศักดิ์สิทธิ์ คือพิธที่กระทําขึ้นนี้ตองเปนไปเพื่อใหมีความขลังและ ี ศักดิ์สิทธิเ์ สมอ แตตามหลักฐานในทางพระพุทธศาสนาจะไมพบวามีการใชคําทั้งสองที่มี ความหมายในลักษณะนี้ แตจะใชคําวามงคลแทน พิธีกรรมที่กลาวถึงนี้ จะมุงไปที่พิธกรรมทีกระทํากันในแวดวงพุทธบริษทฝายในซึ่งถือวา ี ่ ั เปนกําลังหลักในการจรรโลงพระพุทธศาสนานันคือภิกษุบริษัท โดยสถานภาพแลวพระภิกษุสงฆ ่ ถือวาเปนศาสนทายาทผูสบตออายุพระพุทธศาสนาอยางแทจริง ดังทีทานกลาวไววา “กุลบุตร ื ่ บวชในพระพุทธศาสนาเพียงคนเดียว ก็ชื่อวาดํารงพระศาสนาไวใหยืนนานได” 2 ฉะนั้น พระภิกษุ สงฆจึงถือวาเปนกําลังหลักและเปนผูนําที่สําคัญในการการเผยแผพระศาสนา การประพฤติปฏิบัติ ใด ๆ ของพระภิกษุสงฆจึงดูมีคณคาและมีน้ําหนักพอในอันที่จะยังศรัทธาปสาทะใหเกิดแกพุทธ ุ บริษัทเหลาอื่น และตามหลักฐานที่ปรากฏตามที่ไดศึกษามา พิธีกรรมหรือแบบแผนที่ พระพุทธเจาบัญญัตเิ พื่อเปนระเบียบปฏิบติในครั้งพุทธกาลนั้นมีเพียงพิธทําบุญอันไดแก การให ั ี ทาน การรักษาศีล และการอบรมจิตใจใหผองใสในทางกุศลเทานั้น ตอมาภายหลังเมื่อ พระพุทธเจาเสด็จดับขันธปรินพพานแลว เหลาสาวกก็ตงพิธีกรรมขึ้นสมทบกับที่พระพุทธองคทรง ิ ั้ บัญญัติไวอีก จึงเกิดมีพิธีกรรมขึ้นมามากมาย พิธีกรรมใดเปนทีนิยมและยอมรับปฏิบัติสืบ ๆ กัน ่ มาจนเปนประเพณี พิธีกรรมอันนันก็กลายเปนศาสนพิธี และศาสนพิธีในทางพระพุทธศาสนา ้ นั้นมีมาก แตกพอจัดเปนประเภท ๆ ได ๔ ประเภท คือ ็ ๑. กุศลพิธี พิธีแหงการบําเพ็ญกุศล ๒. บุญพิธี พิธีแหงการทําบุญ ๓. ทานพิธี พิธีแหงการใหทาน ๔. ปกิณณกพิธี พิธีเบ็ดเตล็ด 3 ………………………… 1 พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ 2 พระเทพวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณโณ) “อานิสงสการออกบวช” หนา ๔๗ 3 ศาสนพิธี เลม ๑ ฉบับมาตรฐาน หนา ๒
  • 2.
    - กุศลพิธี คือพิธีกรรมอันเนื่องดวยการอบรมความดีงามทางพุทธศาสนาเฉพาะตัว ที่ พุทธบริษทพึงปฏิบัตในเบื้องตนที่ที่สําคัญ ๓ อยาง คือ พิธีแสดงตนเปนพุทธมามกะ พิธเี วียน ั ิ เทียนในวันสําคัญ ๆ พิธีรักษาอุโบสถ และพิธีทางสงฆทพึงปฏิบัติเพื่อความดีงามในพระธรรมวินัย ี่ ทั้งที่เปนสวนตัวและหมูคณะไดแก พิธีเขาพรรษา พิธีถอนิสสัย พิธีทําสามีจกรรม ื ิ พิธีทําสังฆอุโบสถ พิธีออกพรรษา เปนตน - บุญพิธี หมายถึงพิธีทําบุญเนื่องดวยประเพณีในครอบครัว ซึ่งเปนประเพณีเกี่ยวกับ การดําเนินชีวิตของคนทั่วไปมี ๒ ประเภท คือ ๑. การทําบุญงานมงคล ไดแกการทําบุญเลี้ยงพระ เพื่อความสุขทางใน โดย ปรารภเหตุที่ดีแลวทําบุญ เชน งานฉลองทุกอยาง หรือทําเพื่อใหสําเร็จตามความปรารถนาดีของ ชีวิตสืบไป เชนการทําบุญขึนบานใหม, งานแตงงาน การทอดผาปา การทอดกฐิน เปนตน ้ ๒. การทําบุญงานอวมงคล ไดแก การทําบุญเลียงพระเพื่อประโยชนเกื้อกูลและ ้ ความสุข โดยปรารภเหตุที่ไมสูดีมีการตายเปนตน หรือทําบุญเพื่ออุทิศสวนกุศลใหแกผูที่ลวงลับ ไปแลว และเพื่อเปนมิ่งขวัญแกผูทยังมีชีวิตอยู เชน งานฌาปนกิจศพ, การทําบุญงานศพ ี่ ๗ วัน, ๕๐ วัน, ๑๐๐ วัน, งานครบรอบวันตาย, งานทําบุญอัฐิ เปนตน - ทานพิธี คือพิธีถวายทานแดพระสงฆ การถวายทานคือ การถวายวัตถุทควรใหเปน ี่ ทาน เรียกวัตถุทควรใหเปนทานนี้วา “ทานวัตถุ” มี ๑๐ อยาง คือ ี่ ๑. ภัตตาหาร คืออาหารคาวหวาน ๒. น้ํา รวมทั้งเครื่องดื่มอันควรแกสมณบริโภค ๓. ผา เครื่องนุงหม (ไตรจีวร) ๔. ยานพาหนะ รวมทั้งคาโดยสารดวย ๕. มาลัยและดอกไมเครื่องบูชาชนิดตาง ๆ ๖. ของหอม หมายถึงธูปเทียนบูชาพระ ๗. เครื่องลูบไล หมายถึง เครื่องสุขภัณฑสําหรับชําระรายกายมี สบู ยาสีฟน เปนตน ๘. ที่นอนอันควรแกสมณะ ๙. ที่อยูอาศัย มีกุฎิเครื่องใชสอย เชน เตียง ตู โตะ เกาอี้ เปนตน ๑๐. เครื่องตามประทีป มีเทียน ตะเกียง ไฟฟา เปนตน การถวายทานมี ๒ อยางอคือ ๑. การถวายเจาะจงแกภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เรียกวา ปาฎิปุคคลิกทาน ๒. การถวายไมเจาะจง มอบใหเปนของสวนรวม เฉลียกันใช เรียกวา “สังฆทาน” ่ การถวายทานวัตถุทั้ง ๑๐ อยางนั้น แยกถวายเปนพวก ๆ ตามปจจัย ๔ ของบรรพชิต คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสัช และมีการถวายเปน ๒ แบบ คือ ๑. กาลทาน ถวายไดในกาลที่ควรถวาย เชน กฐิน ทอดไดในชวงออกพรรษเพียง ๑ เดือนเทานั้น
  • 3.
    ๒. อกาลทาน การถวายไมเนื่องดวยกาล คือ ถวายไดตลอดไปทั้งป เชน ผาปา ทอด ไดทั้งปตลอดกาล เปนตน - ปกิณณกพิธี คือพิธีเบ็ดเตล็ด ไดแก พิธตาง ๆ ซึ่งไมนับเขาในพิธทั้งสามขางตน สวน ี ี ใหญจะเปนมารยาทและระเบียบพิธี เชน วิธีแสดงความเคารพพระ วิธประเคนพระ วิธีอาราธนา ี และทําใบปวารณา วิธีอาราธนาศีล วิธีอาราธนาพระปริตร วิธีอาราธนาธรรม วิธีกรวดน้ํา วิธีจับ ดายสายสิญจน วิธีตั้งโตะหมูบูชา พิธีบังสุกุล พิธีบอกศักราชในการแสดงพระธรรมเทศนา เปน  ตน 4 ตามที่ยกมานี้จะเห็นไดวา พิธีกรรมทั้ง ๔ หมวด สวนมากมีความสําคัญและเกี่ยวของตอ พุทธศาสนิกชนทั้งสิ้น อีกอยางหนึ่ง พิธีกรรมตาง ๆ ที่กลาวมา ลวนมีพระสงฆเกียวของเสมอ ่ ดวยเหตุนี้ จึงเปนสาเหตุชี้ไดวา การประพฤติปฏิบัติตาง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องดวยศาสนพิธี หรือ  พิธีกรรมทางศาสนา พระภิกษุสงฆจงเปนเครื่องจักรสําคัญในอันทีจะทําใหพระธรรมวินยเสื่อม ึ ่ ั หรือเจริญได ผูเขียนขอยกตัวอยางพิธีกรรมซึ่งเกี่ยวของกับพระสงฆโดยเฉพาะมาพิจารณา คือพิธี กรานกฐิน ทีเ่ หลาพระสงฆถือปฏิบัติมาแตครังพุทธกาลจนกระทั้งปจจุบันวา มีพิธีและรูปแบบใน ้ การปฏิบัติเปนอยางไร เรื่องวิธีกรานกฐินและญัตติทุติยกรรมวาจาสําหรับกรานกฐิน ภิกษุทั้งหลาย สงฆพึงกรานกฐินอยางนี้ คือ ภิกษุผฉลาดสามารถพึงประกาศใหสงฆ ู ทราบดวยญัตติทุตยกรรมวาจาวา ิ (๓๐๗) ทานผูเจริญ ขอสงฆจงฟงขาพเจา ผากฐินนี้เกิดแลวแกสงฆ ถาสงฆพรอมกันแลว พึงใหกรานกฐินแกภิกษุชื่อนีเ้ พื่อกรานกฐิน นี่เปนญัตติ ทานผูเ จริญ ขอสงฆจงฟงขาพเจา ผากฐินนี้เกิดแลวแกสงฆ ถาสงฆพรอมกันแลว พึงให กรานกฐินแกภิกษุชอนี้เพื่อกรานกฐิน ทานรูปใดเห็นดวยกับการใหผากฐินนี้แกภิกษุชอนี้เพือกรานกฐิน ื่ ื่ ่ ทานรูปนั้นพึงนิง ทานรูปใดไมเห็นดวย ทานรูปนั้นพึงทักทวง ่ ผากฐินนี้อันสงฆใหแลวแกภิกษุชื่อนีเ้ พื่อกรานกฐิน สงฆเห็นดวย เพราะเหตุนนจึงนิง ขาพเจา ั้ ่ ขอถือความนิ่งนั้นเปนมติอยางนี้ 5 นี่คือวิธีกรานกฐินที่ถูกตองตามพุทธบัญญัติ จะเห็นวา วิธีกรานกฐินนี้ พระพุทธองคทรงมอบ ความเปนใหญแกพระสงฆในการพิจารณาตัดสินในการคัดเลือกพระภิกษุขึ้นมารูปหนึ่งที่มีคุณสมบัติครบ ตามพระธรรมวินัย เพื่อจะไดเปนผูครองผากฐินตอไป พูดอีกอยางหนึ่งก็คอ พระพุทธเจาทรงมอบ ื ประชาธิปไตยไวแลว โดยใหพระภิกษุสงฆเปนใหญในการจัดการเรื่องนั้น ๆ ได และตามพุทธบัญญัติ ในแตละเรื่องก็เปนเชนนั้นดวย ดูตัวอยางการอปโลกนกฐินที่พระสงฆปฏิบัติกนในปจจุบนวา มีรูปแบบวิธีปฏิบัติเปนยางไร ั ั …………………………………………….. 4 สถิตย ศิลปชัย “เทศกาลและพิธีกรรมพระพุทธศาสนา” หนา ๒ - ๓ 5 วินัย. กฐินขันธกะ กฐินานุชานนา ๕ / ๓๗๐
  • 4.
    คําอปโลกนกฐิน แบบ ๒ รูป รูปที่ ๑ ผากฐินทานกับทั้งผาอานิสังสบริวารทั้งปวงนี้ เปนของ………..พรอมดวย……..ผู ประกอบดวยศรัทธา อุตสาหะพรอมเพรียงกันนํามาถวาย แกพระภิกษุสงฆผูอยูจําพรรษาถวน ไตรมาสในอาวาสนี้ ก็แลผากฐินทานนี้เปนของบริสุทธิ์ ดุจเลื่อนลอยมาโดยนภากาศ แลวแลตกงในที่ประชุม สงฆ จะไดจําเพาะเจาะจงลงวา เปนของพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งก็หามิได มีพระบรมพุทะานุญาต ไววา ใหพระสงฆทั้งปวงยอมอนุญาตใหแกภิกษุรูปหนึ่ง เพื่อจะทําซีงกฐินนัตถารกิจ ตามพระ บรมพุทธานุญาต และมีคําพระอรรถกถาจารยผูรูพระบรมพุทธาธิบายสังวรรณนาไววา ภิกษุรูป ใดประกอบดวยศีลสุตาธิคณ มีสติปญญาสามารถ รูธรรม ๘ ประการ มีบุพกิจ เปนตน กิกษุ ุ รูปนั้นจึงสมควร เพื่อจะกระทํากฐินนัตถารกิจ ตามพระบรมพุทธานุญาตได บัดนี้ พระสงฆทั้งปวง จะเห็นสมควรแกภิกษุรูปใด จงพรอมกันยอมอนุญาตใหภิกษุรูป นั้น เทอญ (ไมตองสาธุ) รูปที่ ๒ ผากฐินทานกับทั้งผาอานิสังสบริวารทั้งปวงนี้ ขาพเจาพิจารณาเห็นสมควรแก…………... เปนผูมีสติปญญาสามารถ เพื่อกระทํากฐินนัตถารกิจใหถูกตองตามพระบรมพุทธานุญาตได ถา พระภิกษุรูปใดเห็นไมสมควรจงทักทวงขึนในทามกลางระหวางสงฆ (หยุดนิดหนึ่ง) ถาเห็นสมควร ้ แลวไซร จงใหสททสัญญาสาธุการขึ้นใหพรอมกัน เทอญ (สาธุ) 6 ั จะเห็นไดวา วิธีการอปโลกนกฐินนี้ ก็มีรูปแบบเหมือนวิธกรานกฐินทีกลาวกอนหนานี้ คือ ี ่ จะมีความเปนประชาธิปไตยตามรูปแบบทีเ่ กิดขึนในหมูพระสงฆอยางมาก บางวัด (วัดของ ้ ผูเขียนเอง) พิธีกรรมเกียวกับการกรานกฐิน การอปโลกนกฐิน หรืออีกหลาย ๆ พิธี ที่กระทํากัน ่ ในปจจุบน จะเปดโอกาสใหพุทธศาสนิกชนเขามาดูพิธีได แตจะอยูคนละสวนหางกัน และมี ั ความเปนไปไดวา นาจะมีในลักษณะเชนนี้อกจํานวนไมนอย ี  ถาพิจารณาเพียงผิวเผินก็จะเห็นวา เปนเรื่องดีที่บรรดาพุทธศาสนิกชนจะไดประโยชน เพราะจะไดมีโอกาสเห็นรูปแบบตาง ๆ ที่พระสงฆกระทํากัน แตในความเปนจริง การ ปฏิบัติของพระสงฆนน หาไดมีความชอบธรรมตามพระวินัยไม เพราะในทางปฏิบัตจริง ๆ แลว ั้ ิ การพิจารณาวา ใหพระสงฆเลือกพระภิกษุรูปหนึ่งทีมีคุณสมบัติครบตามพุทธบัญญัตเิ พื่อจะเปนผู ่ สมควรครองผากฐินนั้นนัน ความเปนจริงคือ พระภิกษุทถูกคิดเลือกขึ้นมานัน ไดมีการระบุหรือรู ้ ี่ ้ กันโดยทั่วกันลวงหนาในอาวาสนั้น ๆ วา ………………………………………….. 6 พระครูอรุณธรรมรังษี เอี่ยม สิริวัณโณ) “มนตพิธี” หนา ๒๒๐ - ๒๒๒
  • 5.
    ๕ คือใคร และโดยมากก็จะเปนสมภารเจาอาวาสนั่นเอง ทั้งวัดราษฏและพระอารามหลวงจะมี ลักษณะเหมือนกันโดยสวนมากและในแตละปที่มีการทอดกฐิน ก็จะเปนเชนนีเ้ สมอ สรุปวิเคราะห พิธีกรรมที่กลาวมานี้ รวมทั้งพิธกรรมอื่น ๆ อีกหลายอยางที่มิไดกลาวถึง ซึ่งโดยมากจะ ี เกี่ยวกับพระสงฆแทบทั้งสิ้น และในพิธีกรรมตาง ๆ เหลานั้น ถาพูดถึงรูปแบบหรือระเบียบปฏิบัติ ที่ถูกตองตามพระวินัยนันจะเห็นวา มีความละเอียดถีถวน ชัดเจนในประเด็นทุกขั้นตอน มีความ ้ ่ เปนประชาธิปไตยมาก ( และหลักความเปนประชาธิปไตยนีเ่ อง ถาศึกษาใหดจะพบวา ี พระพุทธเจาเปนผูมอบไวใหปฏิบัติมานานแลวแกพระสาวกของพระองค ) แตในการปฏิบัติของ พระสงฆแมจะกลาววาปฏิบัติตามรูปแบบที่ถกตองตามพระวินัยก็จริง ซึงในความเปนจริงแลว หา ู ่ เปนเชนนันไม หลักประชาธิปไตยเปนเพียงหลักที่ถกวางไว โดยพระภิกษุที่อยูรวมสังฆกรรมรูปอืน ้ ู ่ ๆ ไมมีโอกาสไดแสดงสิทธิเพื่อคัดคานใด ๆ เลย มีสิทธิ์เพียงนั่งนิ่ง คือแสดงตนเพื่อบงบอกวา เห็นดวยทุกอยางทุกประการ แมในใจลึก ๆ ของพระภิกษุรูปนั้น ๆ มีความตองการที่อยากจะคิด คาน แตในทางปฏิบัติแลวถือวา กระทําไมได คือไมสามารถใชสทธิตามหนาที่ที่ตนมีนี้โดยชอบ ิ ธรรมได ฝายพุทธศาสนิกชนที่มีโอกาสเห็นพิธกรรมตาง ๆ ที่พระสงฆกระทํากันในลักษณะนี้ ถา ี มองดูโดยสวนรวมจะเห็นวา รูปแบบที่พระสงฆปฏิบติตามที่กลาวมานี้ มีความเปนระเบียบแบบ ั แผนดีงาม และบางครั้งจะดูวาพิธีลักษณะนีดูขลังและศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง นํามาซึ่งศรัทธาปสาทะแกผู ้ พบเห็น ทั้งนีเ้ ปนเพราะวา พุทธศาสนิกชนโดยสวนมากจะไมไดใสใจในการศึกษาใหเขาใจในพระ ธรรมวินัยนั่นเอง จึงทําใหมองวา พิธีกรรมตาง ๆ เหลานั้น พระสงฆทานทําถูกแลวดีแลว คือเห็น ดีเห็นงามไปกับพระสงฆหมดทุกเรื่อง ถึงขนาดมีความเขาใจวา พระพุทธศาสนานี้ พระสงฆ สามเณรเทานันเปนผูรับผิดชอบทั้งหมด โดยหารูไมวา ความจริงแลวพระพุทธศาสนาจะเจริญ ้ หรือเสื่อมไปมากนอยเพียงใดนัน ขึ้นอยูกับบริษัททั้งสี่นนคือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และ ้ ั่ อุบาสิกา นั่นเอง เมื่อความจริงเปนเชนนี้ คงจะไมเปนการกลาวรุนแรงเกินไปกระมังวา การทําตามพิธีกรร มากเกินไป ทําใหพระวินยเปนเพียงรูปแบบที่ถูกอางขึน และยังมีประเด็นเกี่ยวกับพระธรรมวินัย ั ้ อีกมากที่เปนไปในลักษณะเดียวกันนี้ที่พุทธบริษัทฝายในคือพระสงฆเอง ยังคงปฏิบัติโดยอางพระ ธรรมวินัย แตในความเปนจริงในทางปฏิบัติพระวินยที่ถูกอางขึ้นนันเปนแตเพียงรูปแบบ หาได ั ้ ปฏิบัติกันตรงตามพุทธประสงคไม ควรอยางยิ่งที่บริษัททุกฝายจะเอาใจใสโดยการศึกษาพระธรรม วินัยใหเขาใจและปฏิบัติใหบังเกิดผลอยางจริงจัง จักไดชวยกันจรรโลงพระพุทธศาสนาใหอยูคูโลก  คูสังคมตลอดไป ………………………………….
  • 6.