More Related Content More from Muttakeen Che-leah
More from Muttakeen Che-leah (17) แนวทางของนักปราชญ์ในการพิจารณาตัวบทฮะดีษ1. 1
แนวทางของนักปราชญ์(มุฮดดิ ซีน) ในการพิ จารณาตัวบทฮะดีษ
ั
บทนา
ฮะดีษในนิยามของนักปราชญ์ทางฮะดีษ (มุฮดดิซน) คือสิงทีพาดพิงถึงท่านนบี ในทุกๆด้าน เช่น คาพูด การ
ั ี ่ ่
กระทา การยอมรับ ในคุณลักษณะทังในด้านสรีระ และจริย ตลอดจนชีวประวัตของท่าน ทังก่อนและหลังการได้รบการแต่งตัง
้ ิ ้ ั ้
ให้เป็ นนบี *( ดูมสตอฟา อัสซิบาอีย์ : “อัซซุนนะห์วะมากานะตุฮา” หน้า 47 ) ฮะดีษมีองค์ประกอบสาคัญอยู่สองส่วน คือตัวบท
ุ
(มะตัน ٓ ) ِرและสายรายงาน (สะนัด )سٕذ
ฮะดีษในยุคของท่านนบี เป็ นเพียงตัวบททีเหล่าสาวก (ซอฮาบะห์) ได้รายงานและจดบันทึกไว้ ครันต่อมาไม่
่ ้
นานนักก็ได้มการกาหนดสายรายงานสาหรับการรายงานทุกๆฮะดีษ ทังนี้เพือป้องกันการแอบอ้างและกล่าวเท็จต่อท่านนบี
ี ้ ่
สายรายงาน (สะนัด) จึงเป็ นส่วนสาคัญต่อการพิจารณาตัวบทฮะดีษว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้องอย่างไร
ท่านอิบนุ ซรน *(ซอฮีฮฺ มุสลิม 1/15 บางรายงานระบุว่า เป็ นรายงานของท่านอับดุลลฮฺ บินนุ มุบาร็อก ฮ.ศ.181)
ีี
(สินชีวตเมือ ฮ.ศ.ที่ 110) กล่าวว่า :
้ ิ ่
สายรายงาน (อิสนาด) นับเป็ นส่วนหนึ่งของศาสนา (อิสลาม) หากไม่มสายรายงานแล้ว บุคคลก็สามารถพูดในสิงที่
ี ่
ตัวเองอยากพูด
ตัวบทและสายรายงานฮะดีษได้รบความสนใจอย่างกว้างขวาง จากเหล่านักปราชญ์ทางด้านฮะดีษ (มุฮดดิซน) ทัง
ั ั ี ้
ในแง่ของการบันทึก การรวบรวม การกลันกรอง การวิพากษ์วจารณ์ และการอรรถาธิบายในแง่มมต่างๆ
่ ิ ุ
ใน ส่วนของสายรายงานนัน นักปราชญ์ (มุฮดดิซน) ได้วางมาตรฐานและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาไว้อย่างละเอียด
้ ั ี
และพิสดารยิง จนสามารถกล่าวได้ว่ามุสลิมเป็ นประชาชาติเดียวทีสามารถรักษาตัวบททีถ่ายทอด จากท่านนบี ด้วยระบบ
่ ่ ่
สายสืบและวิธการกลันกรองทีไม่เคยมีประชาชาติใดเคยกระทามาก่อน
ี ่ ่
ศาสตร์ ต่างๆของฮะดีษเช่น วิชาทีว่าด้วยทฤษฎีและการหลักในการพิจารณาฮะดีษ (อัลมุสฏอละฮ์) วิชาทีวาด้วยการประเมิน
่ ่่
คุณสมบัตของผูรายงาน (อัลญัรฮฺวตตะอฺดล) วิชาทีว่าด้วยไวรัสของฮะดีษ (อัลอิลล) ศาสตร์เหล่านี้ลวนเป็ นศาสตร์อน
ิ ้ ั ี ่ ั ้ ั
ละเอียดอ่อน ทีเหล่านักปราชญ์ทางด้านฮะดีษ (มุฮดดิซน) ในอดีตคิดขึนมาเพือกลันกรองฮะดีษ และส่วนใหญ่กจะเกียวข้อง
่ ั ี ้ ่ ่ ็ ่
กับเรื่องของสายรายงานอันประกอบด้วยบุคคล ผูรายงาน กระบวนการรายงาน และสานวนทีใช่ในการรายงาน จนทาให้ดู
้ ่
ประหนึ่งว่านักปราชญ์ทางด้านฮะดีษ(มุฮดดิซนนัน)นัน สนใจในการพิจารณาสายรายงานแต่เพียงด้านเดียว ไม่สนใจพิจารณา
ั ี ้ ้
ในส่วนของตัวบท (มะตัน) ซึงก็หมายความว่า ฮะดีษทีใช้ได้นน คือ ฮะดีษทีมสายรายงานถูกต้องเพียงอย่างเดียว ส่วนตัวบท
่ ่ ั้ ่ ี
2. 2
จะเป็ นอย่างไรไม่พจารณา ความเข้าใจดังกล่าวเป็ นความเข้าใจที่ คลาดเคลือนและไม่ถูกต้อง *(เป็ นความเข้าใจของ
ิ ่
ั
นักปราชญ์ตะวันตก Orientalist และของ ด.ร. อะห์หมัด อะมีน ในหนังสือ “ฟจญรุลอิสลาม” หน้า 217,218 (ดูอซซุนนะห์ ก็อบ
ั
ลัดตัดวีน หน้า 254) เนื่องจากนักปราชญ์ทางด้านฮะดีษ (มุฮดดิซน) มีแนวทางทีชดเจนในการพิจารณาตัวบทฮะดีษ และได้
ั ี ่ ั
ให้ความสาคัญต่อตัวบทไม่แตกต่างจากสายรายงานแต่อย่างใด
บทความนี้จงขอมีสวนในการให้ความกระจ่างต่อประเด็นดังกล่าว เพือความเข้าใจทีถูกต้อง ดังรายละเอียดทีจะกล่าว
ึ ่ ่ ่ ่
ต่อไป (ْ) وهللا اٌّسرعا
ขันตอนของนักปราชญ์ทางด้านฮะดีษ (มุฮดดิ ซีน) ในการพิ จารณาตัวบทฮะดีษ
้ ั
มีขอเท็จจริงสองประการทีนักปราชญ์มฮดดิซนเห็นตรงกัน คือ :
้ ่ ุ ั ี
1. ฮะดีษทีซอฮีฮฺนน จะต้องซอฮีฮฺ ทังสายสืบ (สะนัด) และตัวบท (มะตัน)
่ ั้ ้
สายสืบซอเฮียะ หมายถึง สายสืบทีตดต่อกันไม่ขาดตอนและผูรายงานทังหมดต้องมีคณธรรมและความจาเป็ นเลิศ
๊ ่ ิ ้ ้ ุ
ส่วน ตัวบททีซอฮีฮฺ หมายถึง ไม่ขดแย้งกับสายอื่นทีน่าเชื่อถือมมากกว่า หรือมีจานวนมากกว่า หรือทีรกนในหมู่
่ ั ่ ่ ู้ ั
นักวิชาการว่า “ชูซู๊ซ” และไม่มขอบกพร่องทีซ่อนเร้นอยู่ (ไวรัส) หรือทีรจกกันในหมูนักวิชาการว่า “อิลละห์”
ี้ ่ ่ ู้ ั ่
2. สายสืบทีซอฮีฮฺ ไม่จาเป็ นว่าตัวบทจะต้องซอฮีฮฺเสมอไป เนื่องจากตัวบทอาจมีลกษณะชูซู๊ซ หรือมีอลละห์ และ
่ ั ิ
เช่นเดียวกัน ตัวบททีซอฮีฮฺกไม่จาเป็ นว่าสายสืบจะซอฮีฮฺเสมอไป เพราะบางครังพบว่า ฮะดีษหลายบทมีสายรายงานทีไม่ซอฮี
่ ็ ้ ่
ฮฺ เนื่องจากขาดเงือนไขหนึ่งเงือนไขใดของความเป็ นซอฮีฮฺ แต่ตวบทกลับเป็ นตัวบททีซอฮีฮฺ เนื่องจากมีสายรายงานอื่นๆที่
่ ่ ั ่
ซอฮีฮฺรายงานตัวบทนันๆ ้
อย่างไรก็ตามอาจกล่าวได้ว่าฮะดีษส่วนใหญ่ได้รบการประเมินโดยพิจารณาสายสืบ เป็ นสาคัญ เนื่องจากความ
ั
น่ าเชื่อถือของผูรายงาน (สายสืบ) แสดงถึงความน่ าเชือถือของข้อมูล (ตัวบท) ยกเว้นในบางกรณีทจาเป็ นต้องพิจารณาข้อมูล
้ ่ ่ี
ทีรายงาน(ตัวบท) เนื่องจากมีกรณีแวดล้อมบ่งบอกถึงความไม่น่าเชื่อถือ
่
ท่านอิมามชาฟีอย์ (สินชีวตในปี ฮ.ศ.ที่ 204) ได้อธิบายเรืองดังกล่าวด้วยสานวนวิชาการว่า :
ี ้ ิ ่
“ความ น่ าเชื่อถือ และไม่น่าเชื่อถือของฮะดีษส่วนใหญ่นน ขึนอยู่กบความน่ าเชื่อถือ และไม่น่าเชื่อถือของผูรายงาน
ั้ ้ ั ้
และมีฮะดีษอยู่จานวนน้อยทีความน่ าเชือถือ และไม่น่าเชื่อถือขึนอยู่กบตัวบท เช่นเป็ นตัวบททีไม่น่าจะเป็ นฮะดีษจากท่านน
่ ่ ้ ั ่
บี หรือเป็ นตัวบททีขดแย้งกับหลักฐานต่างๆทีชดเจน” *(ท่านอัลบัยฮะกีย์ ได้รายงานคาพูดนี้ในหนังสือของท่านทีมช่อว่า
่ ั ่ ั ่ ีื
“มะอฺรฟะตุซซุนัน วัลอาซ๊าร” หน้า 50)
ิ
จากข้อความข้างต้นนันพอสรุปได้ว่า นักปราชญ์ทางด้านฮะดีษ (มุฮดดิซน) มีแนวทางในการพิจารณาฮะดีษอยู่สอง
้ ั ี
แนวทางคือ
1. พิจารณาความน่ าเชื่อถือของผูรายงานเป็ นเกณฑ์ทใช้กบฮะดีษโดยส่วน ใหญ่ และเป็ นเกณฑ์ธรรมชาติทบคคล
้ ่ี ั ่ี ุ
ทัวไปนาไปใช้ในการพิสจน์ความน่ าเชือถือของ ข้อมูลข่าวสาร
่ ู ่
2. พิจารณาตัวบท เมือมีกรณีแวดล้อมเบียงเบนความน่ าเชื่อถือ
่ ่
นักปราชญ์วชาอัลมุสฏอละห์ ได้กาหนดกรอบไว้อย่างชัดเจนในการพิจารณาตัวบทฮะดีษ กรอบดังกล่าวได้แก่สงที่
ิ ิ่
ถูกระบุไว้ในเงือนไขของการพิจารณาฮะดีษซอฮีฮฺสอง ประการคือ หนึ่ง : ลักษณะทีเรียกว่า “ชูซซ” และสอง :คือลักษณะที่
่ ่ ู๊
3. 3
เรียกว่า “อิ ลละห์” สองลักษณะดังกล่าวนี้นับเป็ นสาเหตุสาคัญทีทาให้ตวบทไม่น่าเชื่อถือ (ฏ่ออีฟ) ทังๆทีสายรายงานมีความ
่ ั ้ ่
น่ าเชื่อถือ
และต่อไปนี้คอรายละเอียดของขันตอนการพิจารณาในเรืองดังกล่าว
ื ้ ่
ขันตอนที่ หนึ่ ง : การพิ จารณา “ชูซซ” และรูปแบบต่างๆของชูซซ
้ ู๊ ู๊
ความหมายของ “ชูซซ” ในตัวบท
ู๊
ชูซู๊ซ คือการทีรายงานของผูเชือถือได้คนหนึ่งไปขัดแย้งกับรายงานของผูทมความ น่ าเชื่อถือมากกว่า หรือขัดแย้ง
่ ้ ่ ้ ่ี ี
กับรายงานของผูทมความน่ าเชือถือจานวนมากกว่า ด้วยการเพิม หรือสับเปลียน หรือทาให้สบสน หรือเปลียนรูปคา หรือ
้ ่ี ี ่ ่ ่ ั ่
แทรกถ้อยคา การขัดแย้งดังกล่าวอาจเกิดจากสาเหตุของความผิดพลาด หรือความเข้าใจผิดของผูรายงานก็ได้
้
นักปราชญ์ (มุฮดดิซน) มีวธคนพบชูซู๊ซ สองวิธคอ
ั ี ิี ้ ี ื
ก. รวบรวมสายรายงานและสานวนของฮะดีษเพือเปรียบเทียบว่าสานวนของแต่ละสายมีความสอดคล้องกันหรือขัดแย้งกัน
่
อย่างไร
ข. ค้นหาทัศนะของผูเชียวชาญจากหนังสือ “อิลลฮะดีษ” หรือหนังสืออธิบายฮะดีษ หรือหนังสืออื่นๆ
้ ่ ั
รูปแบบต่างๆของชูซซในตัวบท
ู๊
1. การเพิ่ มในตัวบท ()السيبدحفي الوتي
คือ การทีผรายงานคนหนึ่งรายงานตัวบทเพิมจากผูรายงานคนอื่นๆ ทีรายงานฮะดีษเดียวกัน ในเรืองนี้นักปราชญ์
่ ู้ ่ ้ ่ ่
ั ั ิ ั ู ิ
ทางวิชาฮะดีษ (มุฮดดิซน) มีทศนะแตกต่างกัน*(ดูอลฮากิม : “มะอฺรฟต อูลมลฮะดีษ” หน้า 130 และอิบนุ ศอลาห์ มูกอดดิมะห์
ั ี ็
หน้า 185) ทัศนะทีชดเจนทีสดคือ ทัศนะของ อิบนุ ศอลาห์ (สินชีวตในปี ฮ.ศ.643) โดยท่านได้แบ่งการเพิมในตัวบทออกเป็ น
่ ั ุ่ ้ ิ ่
สามประเภทคือ
ประเภทที หนึ ง : การเพิมทีขดแย้งกับรายงานต่างๆของผูรายงานทีเชื่อถือได้ (อัซซิกอต ) اٌثماخการเพิม
่ ่ ่ ่ ั ้ ่ ็ ่
ประเภทนี้ไม่เป็ นทียอมรับ
่
ตัวอย่าง : ฮะดีษทีรายงานโดยอิมามบุคอรีย์ ด้วยสายสืบดังนี้ :
่
จากอับดุลเลาะห์กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามท่านนบี ว่า : การกระทาอย่างไหนเป็ นทีรกยิงสาหรับอัลเลาะห์ ?
่ั ่
ท่านนบีตอบว่า : “การละหมาดในเวลาของมัน” *(อัลบุอคอรีย์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมานเลข 527)
ท่านอัลฮาฟิซอิบนุหะญัร กล่าวว่า : ลูกศิษย์ทงหมดของ ชุอฺบะห์ ( )ضعثحรายงานฮะดีษบทนี้ตรงกันด้วย
ั้
สานวน “ ”اٌصالجعًٍ ولرهاยกเว้นอะลี อิบนุ ฮัฟซฺ ( )عًٍ تٓ حفصเพียงคนเดียวทีรายงานด้วยสานวน ่
“ ”اٌصالجفً أوي ولرهاซึงมีความหมายว่า “การละหมาดในตอนเริมของเข้าเวลา” *(อัล ฮากิม : อัลมุสตัดร็อก เล่ม 1
่ ่
หน้า 188-189 อัลฮากิมถือว่าฮะดีษนี้ซอฮีฮฺ และอัซซะฮะบีย์ เห็นด้วย และอัดดารุกุฏนียได้รายงานไว้ในหนังสืออัสสุนัน เล่ม 1
์
4. 4
หน้า 246 )
อัดดารุกุฏนียได้วจารณ์ว่า : ข้าพเจ้าไม่คดว่าท่านอาลี จะจดจาฮะดีษนี้ดพอ เนื่องจากเขาอายุมาก และความจาของ
์ ิ ิ ี
ั ้
เขาเปลียนแปลง *(อิบนุ ฮะญัร : ฟตฮุลบารีย์ เล่ม 2 หน้า 10 )
่
ในทีน้จะสังเกตได้อย่างชัดเจนว่า การเพิมในตัวบททีสองทีรายงานโดยอาลีนัน ขัดแย้งกับตัวบททีหนึ่งทีรายงาน
่ ี ่ ่ ่ ้ ่ ่
โดยผูรายงานส่วนใหญ่ ด้วยเหตุน้ทานอิมาม อันนะวะวีย์ (สินชีวตในป ั ฮ.ศ.676) และนักฮะดีษท่านอื่นๆจึงได้ตดสิน (ฮุกม)
้ ี ่ ้ ิ ั ่
ตัวบททีสองว่าเป็ นรายงานฏ่ออีฟ (อ่อน) *(ดูอนนะวะวีย์ : อัลมุจญ์มอฺ เล่ม 3 หน้า 51)
่ ๊ ั ู๊
ประเภทที สอง : การเพิมทีไม่ขดแย้งกับรายงานของผูอน การเพิมประเภทนี้ได้รบการยอมรับ
่ ่ ่ ั ้ ่ื ่ ั
ตัวอย่าง : ฮะดีษทีผรายงานจานวนหนึ่งรายงานจาก อัลอะอฺมช ( ) األعّصจากอะบีรอซีน (َٓ) اتً سص
่ ู้ ั
และ อะบีซอและห์ ( ) اتً صاٌحและอบีฮุรอยเราะห์ ( ) اتً هشَشجจากท่านนบี กล่าวว่า :
““ ”ادا وٌغ اٌىٍة فً أاءأخذوُ فٍُغسٍه سثع ِشاخเมื่อสุนัขเลียในภาชนะของท่าน ท่ านจงล้างมัน
เจ็ดครัง”
้
*(อัลบุคอรีย์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 172 , มุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 729 และมาลิก : อัลมูวฏเฏาะห์ ฮะดีษ
ั
หมายเลข 35)
ลูกศิษย์ของอัลอะฮฺมชทังหมดรายงานด้วยสานวนนี้ตรงกัน ยกเว้นอาลี อิบนุ มุสฮิร () عًٍ تٓ ِسهش
ั ้
เพียงคนเดียวทีรายงานฮะดีษนี้โดยเพิมคาว่า “ ”فٍُشلهแปลว่า “จงเทมันทิงไป” ก่อนคาคาว่า “(* ”فٍُغسٍهมุสลิม อัซ
่ ่ ้
ซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 279 และอันนะซาอีย์ : อัสสุนัน เล่ม 1 หน้า 22,63) การ เพิมในตัวบททังสองนี้ไม่ถอว่าขัดแย้งกับตัว
่ ้ ื
บททีหนึ่งแต่ประการใด การเพิมดังกล่าวจึงไม่ถอว่าฎ่ออีฟ ตราบใดทีผรายงานเป็ นผูเชื่อถือได้ (ซิเกาะห์ )ثمح
่ ่ ื ่ ู้ ้
ประเภททีสาม : การเพิมทีมลกษณะก้ากึงระหว่างประเภทที่หนึ่งและประเภททีสอง คือมีความเหมือนกับประเภท
่ ่ ่ ีั ่ ่
ทีหนึ่งในด้านหนึ่ง และมีความเหมือนกับประเภททีสองในอีกด้านหนึ่ง
่ ่
ตัวอย่างเช่น : ฮะดีษทีรายงานโดยอบูมาลิก อัลอัชญะอีย์ จากริบอีย์ จากฮุซยฟะห์ จากท่านนบี
่ ั ได้กล่าวว่า
وجعٍد ٌٕااألسض وٍهاِسجذ وجعٍد ذشترهإٌاطهىسا
“และเขาได้ให้พื้นดิ นทังหมดเป็ นมัสยิด (ที่ ละหมาด) แก่เรา และเขาได้ให้ดินฝุ่ นของมันสะอาดแก่เรา”
้
ิ ั
*(มุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 522 อะห์หมัด : อัลมุสนัด เล่ม 5 หน้า 383 และอัลบัยฮะกีย์ “มะอฺรฟต อัสสุนันวัลอา
ซ๊าร” เล่ม 1 หน้า 213)
ฮะดีษบทนี้มอบูมาลิกเพียงคนเดียวทีรายงานโดยเพิมคาว่า ( )ذشترهاในขณะทีผรายงานคนอื่นๆไม่ม ี
ี ่ ่ ่ ู้
5. 5
สาหรับความก้ ากึงของตัวอย่างดังกล่าวอธิบายได้ดงนี้ คือ :
่ ั
ก. ่ ่ ่ ่ ่
การเพิมคาว่า ( )ذشترهاเหมือนการเพิมในประเภททีหนึ่ง กล่าวคือ คาว่า ( )ذشتحซึงมีความหมายว่าดินฝุน
แตกต่างจากคาว่า ( )األسضซึงแปลว่าพืนดินทัวไป ดังนัน ตัวบททีมเี พิมคาว่า ( )ذشتحจึงมีความหมายว่าให้ทาความสะอาด
่ ้ ่ ้ ่ ่
(ตะยัมมุม) ด้วยดินฝุ่น ในขณะทีตวบททีผูรายงานส่วนใหญ่รายงานมีความหมายว่า ให้ทาความสะอาด (ตะยัมมุม) ด้วยทุก
่ ั ่ ้
้ ่
ส่วนของพืนดิน ไม่ว่าจะเป็ นดินฝุนหรืออืนๆก็ตาม
่
ข. การเพิมคาว่า ( )ذشترهاเหมือนการเพิมในประเภททีสอง กล่าวคือ ไม่มการขัดแย้งกันระหว่างสองความหมาย
่ ่ ่ ี
เพราะดินฝุ่นก็มาจากพืนดิน หรือเป็ นส่วนหนึ่งของพืนดิน ท่านอิบนุ ซซอลาห์ มิได้ชชดถึงฮุก่มการเพิมในประเภททีสามนี้ ว่า
้ ้ ้ี ั ่ ่
รับได้หรือไม่อย่างไร บรรดานักปราชญ์กมทศนะแตกต่างกัน เช่น ท่านอิมามมาลิก และท่านอิมามชาฟิอย์ มีทศนะยอมรับ
็ ี ั ี ั
ส่วนท่านอีมามอบูฮะนีฟะห์ และผูทเี่ ห็นด้วยกลับไม่ยอมรับ ดังนันในตัวอย่างข้างต้น ท่านอิมามมาลิก และท่านอิมามชาฟีอย์
้ ้ ี
จึงอนุ ญาตให้ตะยัมมุมด้วยฝุ่นดินเท่านัน ในขณะทีท่านอิมามอบูฮานีฟะห์ อนุ ญาตให้ตะยัมมุมด้วยทราย หิน ก้อนกรวด หรือ
้ ่
อื่นๆทีมาจากพืนดิน
่ ้
จากการแบ่งข้างต้นทาให้ทราบอย่างชัดเจนว่า การเพิมในตัวบททีเข้าข่ายชูซู๊ซ คือการเพิมในประเภททีหนึ่งเท่านัน
่ ่ ่ ่ ้
2. การเปลี่ยนตัวบท ()القلت في الوتي
คือการสับเปลียนคาในตัวบทฮะดีษ *(ดู อิบนุ ศอลาห์ : อัลมุกอดดิมะห์ หน้า 216 , อิบนุ กาซีร : อิคติศอรอูลมลฮะ
่ ็ ู ิ
ดีษ หน้า 87 และอัสซูยฏย์ : อัตตัดรีบ เล่ม 1 หน้า 219 )
ู ี
ตัวอย่างเช่น : ฮะดีษทีรายงานโดยมุสลิม จากอะบีฮุรอยเราะห์ในเรืองเกียวกับคนเจ็ดประเภททีจะได้อยู่ใต้ร่มเงา
่ ่ ่ ่
ของ อัลเลาะห์ในวันกิยามะห์ หนึ่งในเจ็ดคนนัน ท่านนบี บอกว่า :
้
“คือชายคนหนึ่ งที่ เขาบริ จาคทาน และเขาปกปิ ดการบริจาคจนกระทังมือขวาของเขาไม่รสิ่งที่ มือซ้ายได้บริ จาค”
่ ู้
ٍُِاأفمد َُّٕه وسجً ذصذق تصذلح فاخفاها حرً الذع
ضّاٌها
*(มุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 1031)
ท่านยะห์ยา อิบนุ ซะอีด อัลก็อฏฏอน ได้รายงานตัวบทนี้ โดยสับเปลียนคาทีขดเส้นใต้ เพราะรายงานทีถูกต้องคือ
๊ ่ ่ ี ่
“จนกระทังมือซ้ายของเขาไม่ร้สิ่งที่ มือขวาของเขาบริ จาค”
่ ู
حرً الذعٍُ ضّاٌه ِاذٕفك َُّٕه
*(อัลบุคอรีย์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 1423 ฮะดีษสานวนดังกล่าวมีรายงานหลายกระแส)
อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ ฮะดีษของอบูฮุรอยเราะห์ รายงานจากท่านนบี ว่า : เมื่อท่ านจะสุญด ท่านอย่าคุกเข่า
ู
เหมือนอูฐ ท่ านจงวางมือทังสองก่อนหัวเข่าทังสอง
้ ้
6. 6
سوثرُٓ لثً َذَه اداسخذ أحذوُ فالَثشن اٌثعُش وٌُصع
*(อบูดาวูด : อัซสุนัน ฮะดีษหมายเลข 840 อันนะซาอีย์ : อัซสุนัน เล่ม 1 หน้า 149 และ อัดดารีมย์ : อัซสุนัน เล่ม 1 หน้า
ี
303)
อิบนุ ลกอยยิม (สินชีวตในปี ฮ.ศ.ที่ 751) กล่าวว่า :
้ ิ
"ฮะดีษบทนี้มการสับเปลียนคาทีมขดเส้นใต้ รายงานทีน่าจะถูกต้องคือ “จงวางหัวเข่าทังสองก่อนวางมือ”
ี ่ ่ ีี ่ ้
وٌُصع سوثرُه لثً َذَه *(ดูอบนุ ลกอยยิม : ซาดุลมาอ๊าด เล่ม 1 หน้า 57)
ิ
อย่างไรก็ตาม ตัวบททีนักปราชญ์ทางวิชาฮะดีษ (มุฮดดิซน) พบว่ามีการสับเปลียน ถือว่าเป็ นตัวบททีอ่อน (ฏ่อ
่ ั ี ่ ่
อีฟ) เพราะการสับเปลียนย่อมเกิดขึนจากความจาทีบกพร่องของผูรายงาน
่ ้ ่ ้
3. การสับสนในตัวบท ()االضطراة في الوتي
หมายถึง ตัวบททีรายงานขัดแย้งกันโดยไม่สามารถประสานกันได้ และแต่ละสายรายงานมีความเท่าเทียมกันใน
่
สถานภาพ *( ดู อัสสูยฏย์ : อัตตัดรีบ เล่ม 1 หน้า 262 และอิบนุ สซอลาห์ : “อัลมูกอดดิมะห์” หน้า 204)
ู ี ็
จากนิยามข้างต้น การสับสน( )اضطشابจะเกิดขึ้นได้ดวยสองเงือนไข คือ :
้ ่
ก. รายงานต่างๆทีขดแย้งกันนันมีความเท่าเทียมกันในสถานภาพ โดยทีไม่สามารถให้น้ าหนัก (ตัรญีฮฺ ) ذشجُحกระแส
่ ั ้ ่
หนึ่งกระแสใดได้
ข. ไม่สามารถประสานรวมกันได้ (ญัมอฺ ) جّعในระหว่างสายรายงานต่างๆ
หากไม่สามารถให้น้ าหนักได้ หรือประสานกันได้ดวยวิธการทีถูกต้อง การสับสน( )اضطشابก็ไม่เกิดขึน การ
้ ี ่ ้
สับสนในตัวบทฮะดีษทาให้ฮะดีษอยู่ในสถานภาพอ่อน (ฏ่ออีฟ) เพราะแสดงว่าผูรายงานไม่มความจาทีมนคง
้ ี ่ ั่
ตัวอย่าง : ฮะดีษทีรายงานโดยอิบนิอบบาส กล่าวว่า *(ดูอบนุ อับดิลบัร : อัตตัมฮีด เล่ม 9 หน้า 26) :
่ ั ิ
มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี และกล่าวว่า
ชายคนหนึ่ง : ฉันมีแม่ทเี่ สียชีวตแล้ว แม่ฉนขาดการถือศีลอด ฉันจะถือศีลอดให้แม่ของฉันได้หรือไม่
ิ ั
ท่านนบี : เธอจงตอบฉันซิ ว่า หากแม่ของเธอมีหนี้ สินติ ดอยู่ เธอจะใช้แทนให้หรือไม่?
ชายคนหนึ่ง : ครับ ฉันจะใช้แทนให้
ท่านนบี : หนี้ ของอัลเลาะห์มีสิทธิ์ ยิ่ง (กว่าหนี้ ของมนุษย์ ) ในการชดใช้
7. 7
ฮะดีษบทนี้รายงานจากท่าน อัลอะอฺมช( ) األعّصด้วยตัวบททีขดแย้งกันดังนี้
ั ่ ั
1. ผูรายงานหนึ่งรายงานด้วยสานวนว่า : มีหญิงคนหนึ่งมาหาท่านนบี และกล่าวว่า : แท้จริ งพี่สาวของฉันได้
้
เสียชีวิตไป และเธอได้ขาดการถือศีลอด
ั
*(อิบนุ อบดิลบัร : “อัตตัมฮีด” เล่ม 9 หน้า 26 และอิบนุ ฮะญัร : ฟตฮุลบารีย์ เล่ม 4 หน้า 195 ฮะดีษหมายเลข 1953)
ั
2. ผูรายงานอีกส่วนหนึ่งรายงานว่า : มีหญิงคนหนึ่งมาหาท่านนบีและกล่าวว่า : แท้จริ งมาราดาของเธอขาดถือศีล
้
อด ฉันจะถือศีลอดแทนเธอให้ได้หรือไม่?
*(อบูดาวูด : อัซสุนัน ฮะดีษหมายเลข 3310)
3. อีกรายงานหนึ่งบอกว่า ท่านสะอีด อิบนุ อุบาดะห์ ได้ถามท่านนบีว่า : มารดาของฉันได้เสียชีวต และเธอได้บนไว้
๊ ิ
ว่าจะถือศีลอด โดยยังไม่ได้ชดใช้ ท่านนบีกล่าวว่า : “เธอจงชดใช้ให้มารดาของเธอ”
*(อัลบุคอรีย์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 6698)
4. อีกรายงานหนึ่ง เป็ นรายงานของมาลิก จากอิบนุ อับบาส รายงานว่า : ท่านสอัด อิบนุ อุบาดะห์ ได้กล่าวถามท่านน
๊
บีว่า : โอ้ท่านรอซูลลลอฮ์ จะมีประโยชน์ไหมทีฉนจะบริจาคทานให้มารดาของฉันทีเสียชีวตไปแล้ว ?
ุ ่ ั ่ ิ
ท่านนบีตอบว่า : มี
ท่านสอัดถามว่า : แล้วท่านจะใช้ให้ฉนทาอะไรบ้าง ?
๊ ั
ท่านนบีตอบว่า : จงให้น้าดื่มแก่คนทังหลาย
้
*(อับนุ อบดิลบัร : อัตตัมฮีด เล่ม 9 หน้า 24 และดูอชเชากานีย์ : “นัยลุลเอาฏ๊อร” เล่ม 8 หน้า 264)
ั ั
จะสังเกตได้ว่ารายงานทังหมดนี้มความขัดแย้งกัน และรายงานจากซอฮาบะห์คนเดียวกันคือ อิบนุ อับบ๊าซ แต่ละ
้ ี
สายรายงานก็มสถานภาพไม่แตกต่างกัน ลักษณะดังกล่าวทาให้ฮะดีษเป็ นมุฏฏอริบได้
ี
อย่างไรก็ตาม ผูเขียนเห็นว่าเงือนไขของนักปราชญ์ทางวิชาฮะดีษ (มุฮดดิซน) ทีว่า “ไม่สามารถให้น้ าหนักและไม่
้ ่ ั ี ่
สามารถประสานระหว่างรายงานต่างๆ” นันเป็ นเงือนไขทีเกิดขึนยากในความเป็ นจริง เนื่องจากไม่พบฮะดีษบทใดทีนักปราชญ์
้ ่ ่ ้ ่
(มุฮดดิซน) มีทศนะตรงกันว่าเป็ นฮะดีษมุฏฏอริบ แม้แต่ตวอย่างข้างต้น กล่าวคือ ท่านอิบนุ อับดิลบัร (สินชีวตในปี ฮ.ศ.463)
ั ี ั ั ้ ิ
มีทศนะว่าเป็ นมุฏฏอริบ *(อิบนุ อับดิลบัร : อัตตัมฮีด เล่ม9 หน้ 27) ในขณะทีท่านอิบนุ ฮะญัร (สินชีวตในปี ฮ.ศ. 852) มีทศนะ
ั ่ ้ ิ ั
ั
ว่าไม่เป็ น เนื่องจากสามารถหาทางประสานกันได้*(อิบนุ ฮะญัร : ฟตฮุลบารีย์ เล่ม7 หน้า 65 อธิบายฮะดีษหมายเลข 1852
และ 1953) และไม่มฮะดีษบทใดทีขดแย้งกันนอกจากนักปราชญ์ (อุละมาอฺ) จะหาทางในการประสานความหมายหรือให้
ี ่ ั
น้ าหนัก ด้วยเหตุน้ี นักปราชญ์ทางวิชาฮะดีษบางคนจึงเห็นว่า ควรเปลียนข้อความในเงือนไขใหม่จากคาว่า “ไม่สามารถ” เป็ น
่ ่
คาว่า “ยาก” เพือจะได้มตวอย่างของฮะดีษในเรื่องดังกล่าว *(ดูอดดะมีนีย์ : มากอยีซ นักดฺมตูนิสซุนนะห์ หน้า 142-145)
่ ี ั ั ู
รูปแบบต่างๆของชูซซในตัวบท หมายถึงการเปลียนแปลงถ้อยคาในตัวบทฮะดีษจากรูปเดิมทีทราบกันดี เป็ นรูปอื่น
ู๊ ่ ่
*(ด.ร.นูรดดีน อะดัร : มันฮะญุลนักดฺ ฟี อูลูมิลหะอีซ หน้ า 44)
ุ
4. การเปลี่ยนแปลงถ้อยคาในตัวบท ()التصحيف فى الوتي
8. 8
ั ิ ั
สาหรับสาเหตุของการตัซฮีฟ นันเกิดขึนจากการเขียนผิด หรือฟงผิด *(อัลบัยฮะกีย์ : “มะอฺรฟต อัสซุนัน วัลอาซ๊าร”
้ ้
เล่ม 1 หน้า 56) ซึง สองประการต่อไปนี้ หากเกิดขึนกับผูรายงานบ่อยครัง เขาจะถูกตาหนิและกลายเป็ นผูรายงานทีอ่อน (ฎอ
่ ้ ้ ้ ้ ่
อีฟ) ได้ แต่ถาเกิดขึนเป็ นบางครังก็ไม่ทาให้สถานภาพของเขาเสียหายแต่อย่างใด เพราะถือว่าความผิดพลาดเป็ นเรืองปกติ
้ ้ ้ ่
ของมนุ ษย์ อย่างไรก็ตาม รายงานของเขาทีมตซฮีฟถือเป็ นรายงานทีออนใช้ไม่ได้
่ ี ั ่่
ตัวอย่าง :
ٍاحوذعي شيخَ اسحبق ثي عيسى ثٌباثي لِيئخ قبل : كتت الي هْسى هبرّا
عي ثسر ثي سعيذعي زيذ ثي ثبثت اى رسْل هللا صلى هللا ثي عقجخيججرًى
الوسج عليَ ّسلن احتجن فى
ฮะดีษรายงานโดยอะห์หมัด จากอิสหาก จากอิบนุ ลฮยอะห์ ว่า : แท้จริง ท่านรอซูลลลอฮ์ ได้รบการกรอกเลือดในมัสยิด
ุ ั ุ ั
*(อะห์หมัด : “อัลมุสนัด” เล่ม 5 หน้า 185 และดูอสสูยูฎย์ : อัตตัดรีบ เล่ม 2 หน้า 193)
ั ี
คาว่า “ُ”احرجซึงแปลว่า “รับการกรอกเลือด” เป็ นคาที่ อิบนุ ลฮยอะห์รายงานผิดพลาด เพราะคาเดิมทีถกต้อง
่ ุ ั ู่
คือ “ ”احرجشซึงแปลว่า ทาเป็ นห้อง หรือกันเป็ นห้อง คาสองคานี้เขียนเหมือนกัน ต่างกันเพียงอักษรสุดท้าย ซึงทีถูกต้องคือ
่ ้ ่ ่
อักษร “( سรออฺ)” แต่ อิบนุ ลุฮยอะห์ เขียนผิดเป็ นอักษร “َ (มีม)” ความหมายจึงเปลียนไป
ั ่
การตัซฮีฟในลักษณะดังกล่าวมักเกิดขึนบ่อย ในการรายงานฮะดีษยุคหลังทีนยมคัดลอกต่อๆกันมา แต่กสามารถ
้ ่ ิ ็
ตรวจสอบได้งายโดยวิธกลับไปดูตวบทเดิม สาหรับวิธทวไปของนักปราชญ์ทางวิชาฮะดีษ มุฮดดิซน ในการตรวจสอบนัน จะ
่ ี ั ี ั่ ั ี ้
ใช้วธนาสายรายงานต่างๆของฮะดีษมาเปรียบเทียบ เช่นเดียวกับวิธการหาอิลละห์ และจะต้องใช้ความรูเกียวกับภาษา และ
ิี ี ้ ่
การใช้ภาษาอีกด้วย
สาหรับตัวอย่างข้างต้นนัน พบว่า สายรายงานต่าง ๆทีรายงานมา ทังของท่านอิมามอะห์หมัด ท่านอิมามบุคอรีย์
้ ่ ้
และท่านอิมามมุสลิม นัน รายงานจากคนเดียวกันคือ บิสรฺ อิบนฺ สะอีด จากซัยดฺ อิบนุ ซาบิต ดังนี้
้ ๊
*(อะห์หมัด : อัลมุสนัด เล่ม 5 หน้ า 187 และอัลบุคอรีย ์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 6113)
اى رسْل هللا صلى هللا عليَ ّسلن احتجر فى الوسجذحجرح
และบางรายงานมีตวบทดังนี้
ั
*(อะห์หมัด : อัลมุสนัด เล่ม 5 หน้ า 182 ,อัลบุคอรีย ์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 731 และมุสลิ ม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษ
หมายเลข 781)
اى الٌجى هللا صلى هللا عليَ ّسلن اتخذحجرحفى الوسجذهي حصير
ความว่า : ท่ านนบีได้ทาห้องในมัสยิ ด จากเสื่อ
9. 9
5. การแทรกในตัวบท ()االدراج فى الوتي
หมายถึง การทีผรายงานได้นาส่วนทีไม่ใช่ฮะดีษมาแทรกในฮะดีษ โดยไม่ได้แยกออกจากกันอย่างชัดเจน ทาให้
่ ู้ ่
เข้าใจว่าสานวนทังหมดเป็ นฮะดีษ
้
*(ดู อัลฮากิ ม : มะอฺริฟัต อูลูมิลฮะดีษ” 39-41 และ 135-140 อิ บนุสศอลาห์ : อัลมูกอดดีมะห์ หน้ า 208 และอัสสุยฎีย ์ :
็ ู
อัตตัดรีบ เล่ม 1 หน้ า 268-274)
การแทรกในตัวบทฮะดีษนันมีสาเหตุมาจากหลายประการ เช่น :
้
้ ่ี ้ ั
ก. การ อธิบายศัพท์ กล่าวคือ ผูรายงานต้องการอธิบายศัพท์ทปรากฏในตัวบทฮะดีษ แต่ผูฟงบางคนเข้าใจว่าเป็ นฮะดีษและ
เล่าต่อยังผูอ่นในฐานะเป็ นฮะดีษ
้ื
ตัวอย่าง :
ฮะดีษของท่านหญิงอาอีชะห์ในเรื่องการเริมต้นของวะหฺยู โดยท่านหญิงอาอิชะห์เล่าว่า :
่
وهىاٌرعثذاٌٍُاًٌ دواخ اٌعذداٌحذَث وواْ صًٍ هللا عٍُه وسٍُ َخٍىتغاسحشاءفُرحٕث
คา ว่า “ ”وهىاٌرعثذมิใช่เป็ นคาพูดของท่านหญิงอาอิชะห์ แต่เป็ นคาพูดของอัซซุฮฺรย์ (ผูรายงานฮะดีษคนหนึ่ง) ทีนามา
ี ้ ่
แทรกเพืออธิบายความหมายคาว่า “”فُرحٕث
่
*(ดูอลบุคอรีย ์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 3)
ั
ข. การกล่าวถึงข้อบัญญัตศาสนาทีเกียวข้องกับฮะดีษแล้วรายงานฮะดีษโดยไม่ได้แยกออกจากกัน
ิ ่ ่
ตัวอย่าง :
ฮะดีษของอบูฮรอยเราะห์รายงานจากท่านนบีว่า :
ุ
أسثغىااٌىضىءوًَ ٌأل عماب ِٓ إٌاس
ความว่า : ท่ านทังหลายจงอาบน้าละหมาดให้สมบูรณ์ ความวิ บติจากไฟนรกได้ประสบกับส้นเท้า (ที่ล้างไม่ทวถึง)
้ ั ั่
*(อัล คอฏีบ ได้รายงานจากอบีกอฎอนและชะมามะห์ จากชุอฺบะห์ จากมุฮมหมัด อับนุ ซียาด จากอบูฮุรอยเราะห์
ั
ดูอสศูยูฎีย ์ : อัตตัดรีบ เล่ม 1 หน้ า 271)
ั
คาว่า “ ”أسثغىااٌىضىءมิใช่เป็ นคาพูดของท่านนบี แต่เป็ นคาพูดของท่านอบูฮุรอยเราะห์ทตองการบอกถึง
่ี ้
ข้อบัญญัตของฮะดีษ เพราะในรายงานของท่านอิมามบุคอรียทรายงานจากอาดัม (َ )آدจากชัวอฺบะห์ ( )ضعثحจากมุฮม
ิ ์ ่ี ั
หมัด อิบนุ ซยาด ( )ِحّذ تٓ صَادจากอบูฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่า :
ิ
أسجغْاالْضْء فبى أثب القبسن صلى هللا عليَ ّسلن قبل : ّيل لأل عقبة هي
الٌبر
10. 10
ความว่า : ท่ านอบูฮุรอยเราะห์ กล่าวว่า : ท่านทังหลายจงอาบน้าละหมาดให้สมบูรณ์ เพราะท่ านอบุล กอเซ็ม
้
(หมายถึงท่ านนบี ) ได้กล่าวว่า : ความวิ บติจากไฟนรกจะประสบกับส้นเท้ า (ที่ ลางไม่ทวถึง)
ั ้ ั่
*(อัลบุคอรีย ์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 165)
ค. การรายงานฮะดีษแล้วกล่าวถึงข้อบัญญัต ิ หรือข้อวินิจฉัยของฮะดีษหลังจากนัน โดยไม่ได้แยกออกจากกัน
้
ตัวอย่าง :
ฮะดีษทีรายงานจากอับดุลเลาะห์ อิบนุ มัสอูด ว่า ท่านนบีได้จบมือเขา และได้สอนเขาอ่านตะชะห์ฮด ในตอนท้ายของฮะดีษมี
่ ๊ ั ุ
ข้อความว่า :
اداقلت ُذافقذقضيت صالتك اى شئت أى تقْم فقن ّاى شئت اى تقعذفبقعذ
มีความหมายว่า : เมื่อท่ านอ่านเสร็จก็เท่ ากับท่ านได้ละหมาดเสร็จ หากท่ านจะยืนก็จงยืน และหากท่ านจะนังก็จงนัง
่ ่
ท่าน อิมามนะวะวีย์ (สินชีวตในปี ฮ.ศ.676) ได้กล่าวว่า : นักปราชญ์วชาฮะดีษ (มุฮดดิซน) ระดับฮุฟฟ๊าซ เห็นตรงกัน
้ ิ ิ ั ี
ว่า ข้อความดังกล่าวมิใช่เป็ นคาพูดของท่านนบี แต่เป็ นคาของอับดุลเลาะห์ อิบนุ มัสอู๊ด ทีแทรกเข้ามา เพราะมีสายรายงาน
่
อื่นๆทีระบุไว้ชดเจนเช่นนัน
่ ั ้
ขันตอนที่ สอง : การพิ จารณาอิ ลละห์ และรูปแบบต่างๆของอิ ลละห์
้
ความหมายของอิลละห์ในตัวบท อิลละห์ในตัวบทคือ สาเหตุทซ่อนเร้นอยู่ในตัวบทของฮะดีษและทาให้บกพร่อง
่ี
ต่อสถานภาพซอฮีฮฺของฮะ ดีษ
อิลละห์ในตัวบทมีรูปแบบหมายรูปแบบ เช่น :
1. ตัวบทขัดกับอัลกุรอาน
2. ตัวบทขัดกับฮะดีษซอฮีฮฺ ทีได้รบการปฏิบต ิ
่ ั ั
3. ตัวบทขัดกับประวัตศาสตร์ทชดเจน
ิ ่ี ั
ั
4. ตัวบทขัดกับสติปญญาทีบริสทธิ ์
่ ุ
5. ตัวบทขัดกับความรูสก้ ึ
6. ตัวบทมีความหมายในแง่ของการตอบแทนผลบุญ และการลงโทษเกินความจริง
7. ตัวบทมีความหมายทีออนไม่สมกับการเป็ นฮะดีษ
่่
รูปแบบของอิลละห์ทงหมดนี้ นักปราชญ์ทางวิชาฮะดีษ (มุฮดดิซน) ได้ใช้เป็ นบรรทัดฐานในการพิจารณาฮะดีษ
ั้ ั ี
โดยทัวไป กล่าวคือ ฮะดีษใดก็ตามที่ พบตัวบทมี “อิ ลละห์” ถึงแม้ว่าสายสืบจะซอฮีฮฺ แต่ฮะดีษนันจะถูกวิ จารณ์ และจะ
่ ้
ไม่ได้รบการยอมรับ
ั
อย่างไรก็ตาม พบว่าในหมูนักปราชญ์ (มุฮดดิซน) นัน มีท่านอิมามอิบนุ ลเญาว์ซย์ (สินชีวตใน ฮ.ศ. 597) เจ้าของ
่ ั ี ้ ี ้ ิ
หนังสือชื่อ อัลเมาว์ฎอ๊าต ( )اٌّىضىعاخได้ใช้บรรทัดฐานนี้เฉพาะในกรณีฮะดีษมีสายสืบฎออีฟ หรือ เมาว์ฎอฺเท่านัน ส่วน
ู ู๊ ้
ฮะดีษทีมสายสืบซอฮีฮฺ ท่านไม่กล้าหาญทีจะใช้บรรทัดฐานดังกล่าว ซึงต่างกับท่านอิมาม อิบนุ ลกอยยิม (สินชีวตในปี ฮ.ศ.
่ ี ่ ่ ้ ิ
751) ทีกล้าใช้บรรทัดฐานนี้กบฮะดีษหลายบททีมสายสืบซอฮีฮฺ ในหนังสือของท่านทีมชอว่า “อัลมะนารุลมุนีฟฟิสซอฮีฮฺวฎฎอ
่ ั ่ ี ่ ี ่ื ั
11. 11
อีฟ” ()إٌّاسإٌُّف فً اٌصحُح واٌضعُف
และต่อไปนี้คอรายละเอียดทีเกียวกับรูปแบบต่างๆของอิลละห์ และตัวอย่าง
ื ่ ่
1. การขัดแย้งกับอัลกุรอาน
การทีตวบทขัดแย้งกับอัลกุรอานถือเป็ นอิลละห์เพียงพอในการไม่ยอมรับฮะดีษ เพราะโดยหลักการแล้ว อัลกุรอาน
่ ั
กับอัลฮะดีษจะไม่ขดแย้งกัน มีซอฮาบะห์หลายท่านทีใช้หลักเกณฑ์น้ในการไม่ยอมรับฮะดีษ เช่น ท่านหญิงอาอีชะห์
ั ่ ี ไม่
ยอมรับฮะดีษดังต่อไปนี้
" اْ اٌُّد َعزب تثىاء أهٍه عٍُهคนตายจะถูกทรมานเพราะครอบครัวของเขาร้องไห้ "
*(อัลบุคอรีย์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 1286-1288 และมุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 79,80)
และฮะดีษ
وٌذ اٌضٔا ضشاٌثالثح "คนที่ เป็ นลูกซิ นา (นอกสมรส) เป็ นคนที่ ชวที่ สดในสามคน"
ั่ ุ
*(อัลฮากิม : อัลมุสตัดร็อก เล่ม 4 หน้า 100)
เพราะฮะดีษนี้ขดกับอัลกุรอานที่ อัลเลาะห์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ตรัสว่า
ั
وال ذَضِ ُ واصِس ُ وِص ُ أخشي
َ ْ س َ َج ْ س
َ َ
"และไม่มีผแบกภาระใดที่จะแบกภาระของผู้อื่นได้" (หมายถึงแบกความผิดหรือโทษ) (อัลอิสรออฺ : 15)
ู้
และได้ปฏิเสธฮะดีษทีรายงานว่า ท่านนบี ได้พดกับคนตายในสงครามบัดรฺ
่ ู
*(อัลบุคอรีย์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 3976 และหมายเลข 3978-3981 และอันนะซาอีย์ : อัสสุนัน เล่ม 4 หน้า 110 )
เพราะฮะดีษดังกล่าวขัดแย้งกับอัลกุรอานทีอลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า
่ั
ْ َ ْ ْ ِع
ًَإَِّٔ ُ ال ذسّ ُ اٌّىذ
ه
َ
“แท้ จริง เจ้า (มุฮมหมัด) จะไม่ทาให้คนตายได้ยิน” (อันนัมลฺ : 80)
ั
และท่านอุมรอิบนุ ลค๊อฏฏอบ ได้ปฏิเสธฮะดีษของท่านฟาฏิมะห์ บินตฺ ก็อยซฺ ทีรายงานว่า :
ั ่
“ท่ านนบีไม่ได้ตดสิ นให้ค่าเลี้ยงดูและที่ อยู่อาศัยแก่นาง เมื่อนางถูกหย่าจากสามีครังสุดท้าย”
ั ้
*(มุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 46)
12. 12
โดยท่านอุมรกล่าวว่า : เราจะไม่ทิ้งอัลกุรอาน และอัซซุนนะห์ เพียงเพราะคาพูดของหญิงคนหนึ่ งซึ่งเราไม่รู้
ั
ว่าเธอมีความจาหรือหลงลืม
อัลกุรอานทีท่านอุมรพูดถึง คือพระดารัสของอัลเลาะหฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทีว่า :
่ ั ่
ُ ُِّ ُال ذخشِجىهَُّٓ ُِْٓ تُىذِهَُّٓ وال ََخشجَُٓ إِال أَُْْ ََأذَُُِٓ تِفاحط ُ ِث
َ ِ َ ح َ ِٕح
َ ْ ْ ْ َ ِ ِ ْ
“พวกเจ้าอย่าได้ขบไล่พวกนางออกไปจากบ้านของพวกนาง และพวกนางจะต้องไม่ออกไป นอกจากเมื่อพวก
ั
นางได้นามาซึ่งความชัวอันชัดแจ้ง” (อัฏฏอล๊าก : 1)
่
นักปราชญ์ทางวิชาฮะดีษ (มุฮดดิซน) กลุมหนึ่งได้ใช้หลักเกณฑ์ดงกล่าวนี้ตดสินฮะดีษหลายบทว่าเป็ นฮะดีษฎออีฟ
ั ี ่ ั ั
ทังๆทีสายสืบของฮะดีษนันซอฮีฮฺ ในทีน้ขอยกตัวอย่างเพียงตัวอย่างเดียว คือ
้ ่ ้ ่ ี
ฮะดีษของท่านอบูฮรอยเราะห์ รายงานว่า : ท่านนบี
ุ ได้จบมือข้าพเจ้าและกล่าวว่า :
ั
อัลเลาะห์ทรงสร้างดินในวันเสาร์ สร้างภูเขาในวันอาทิตย์ สร้างต้นไม้ในวันจันทร์ สร้างสิงทีน่ารังเกียจในวันอังคาร
่ ่
สร้างแสงสว่างในวันพุธ สร้างสิงสาราสัตว์ให้กระจัดกระจายในผืนแผ่นดินในวันพฤหัสบดี และสร้าง อาดัม อะลัยฮิสลาม ตอน
หลังเวลาอัศรฺ (สายัณห์) ของวันศุกร์
*(มุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 2789)
นัยของฮะดีษบทนี้ชชดว่า อัลเลาะห์ ซุบฮานะฮุวะตะอาลา ทรงสร้างสรรค์พสิงทังหลายในเจ็ดวัน นัยดังกล่าวขัดแย้ง
้ี ั ่ ้
กับพระดารัสแห่งอัลเลาะห์ ตะอาลาทีว่า :
่
ُِ اٌٍَّ ُ اٌَّزٌ خٍَكَُ اٌسّاوا ُ واألسضَُ فٍِ سر ُ أََ ُ ث ُ اسرىي عًٍَ اٌعش
ْ َ ْش َ َ َ ْ ُ َِ َّح َّا
َّ ِ ْ َ َّ َ َ خ
ِ َ ِ ه
“อัลเลาะห์ผทรงสร้างบรรดาชันฟ้ าและแผ่นดิ นภายในหกวัน แล้วทรงสถิ ตอยู่บนบัลลังก์” (อัลอะอฺรอฟ : 54)
ู้ ้
ด้วยเหตุน้นักปราชญ์ทางวิชาฮะดีษหลายคน จึงวิจารณ์และปฏิเสธฮะดีษดังกล่าว เช่น ท่านอิมามบุคอรีย์ (สินชีวตใน
ี ้ ิ
ปี ฮ.ศ.256) *(ดู อัลบุคอรีย์ : อัตตารีคลกะบีร หน้า 412 อัลบุคอรียวจารณ์ว่าเป็ นคาพูดของท่านกะอ์บฺ อัลอะฮฺบาร และดู อิบนุ
ุ้ ๊ ์ิ
ลกอยยิม : อัลมานารุลมุนีฟ หน้า 84)
และท่านอิบนุ กะซีร (สินชีวตในปี ฮ.ศ. 774) *(ดู อิบนุ กะซีร : ตัฟซีรกุรอานนิลอะซีม เล่ม 2 หน้า 220)
้ ิ
2.ขัดแย้งกับฮะดีษซอฮีฮฺ ที่ ได้รบการปฏิ บติ
ั ั
ท่านหญิงอาอิชะห์ ได้ปฏิเสธฮะดีษหลายบทเนื่องจากไปขัดแย้งกับฮะดีษทีซอฮีฮฺและได้รบการปฏิบต ิ เช่น
่ ั ั
ปฏิเสธฮะดีษทีรายงานว่า : ผู้หญิ ง ลา และสุนข เมื่อเดิ นผ่านผู้ละหมาดจะทาให้เสียละหมาด
่ ั
เพราะท่านหญิงอาอีชะห์เองเคยนอนขวางหน้าท่านนบี ขณะท่าน นบี กาลังละหมาด
*(อัลบุคอรีย์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 514 และมุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 269)
13. 13
และปฏิเสธฮะดีษทีบอกว่า ““ ”اٌّاءِٓ اٌّاءน้ านันจากน้ า” หมายถึงต้องอาบน้ าเมือมีการหลังน้ าอสุจ ิ
่ ้ ่ ่
*(อัซซัรกะซีย์ : อัลอิยาบะห์ หน้า 145)
เพราะขัดกับฮะดีษอีกบทหนึ่งทีบอกว่า
่
ًاراجاوصاٌخراْ فمذ وجة اٌغس
“เมื่อองคชาติ ของชายล่วงลาของหญิงก็จาเป็ นต้องอาบน้า” หมายถึงไม่จาเป็ นต้องมีการหลัง่
้
*(มุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 349)
การใช้หลักเกณฑ์ดงกล่าวในการปฏิเสธฮะดีษ เป็ นสิงทีงายสาหรับซอฮาบะห์อย่างท่านหญิงอาอีชะห์ หรือคนอืนๆ ที่
ั ่ ่่ ่
ั ั ่ ่ ั
เคยได้ยนได้ฟงฮะดีษโดยตรงจากท่านนบีมาแล้ว แล้วมาได้ฟงในสิงทีขดแย้งกันจากซอฮาบะห์ แต่สาหรับนักปราชญ์ (มูฮด
ิ ั
ดิซน) แล้วเป็ นสิงทีไม่งายเลย ด้วยเหตุน้เราจึงได้เห็นทัศนะต่างๆทีขดแย้งกันในการใช้เงือนไขดังกล่าว เพือปฏิเสธหรือ
ี ่ ่ ่ ี ่ ั ่ ่
ยอมรับฮะดีษ ดังตัวอย่างสองตัวอย่างต่อไปนี้คอ ื
ตัวอย่างทีหนึง : ฮะดีษของท่านอิบนุ อับบาส รายงานว่า ท่ านนบีได้ตดสิ นคดีด้วยการสาบานและพยานหนึ่ ง
่ ่ ั
คน
*(ฮะ ดีษหมายเลข 1712 ฮะดีษบทนี้อตติรมีซยได้รายงานจากอบีฮุรอยเราะห์ สะอีด อิบนุ อุบาดะห์ และญาบิร ฮะดีษหมายเลข
ั ี์ ๊
1343 และ 1344 อัตติรมิซย์ วิจารณ์ว่า เป็ นฮะดีษฮะซัน ฆอรีบ)
ี
ท่านอิมามมาลิก (สินชีวตในปี ฮ.ศ.ที่ 179) ท่านอิมามชาฟิอย์ (สินชีวตในปี ฮ.ศ.ที่ 204) และท่านอิมามอะห์หมัด
้ ิ ี ้ ิ
(สินชีวตในปี ฮ.ศ. 241) ได้ยดถือฮะดีษบทนี้ แต่อบูฮะนีฟะห์ (สินชีวตในปี ฮ.ศ.150) ได้ปฏิเสธ เนื่องจากไปขัดกับฮะดีษของ
้ ิ ึ ้ ิ
ท่านอัลอัชอัต อิบนุ ก็อยซฺ (ٓ )لُس األضعد تทีรายงานว่า ท่านนบี ได้ตดสินกรณีพพาทเรืองบ่อน้ า โดยกล่าวว่า :
่ ั ิ ่
พยานสองคน (สาหรับโจทก์) หรือ (ให้จาเลย) สาบาน
*(อัล บุคอรีย์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 2516 และมุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 220 อีกรายงานหนึ่งของมุสลิมมี
สานวนเพิม ความว่า “ไม่อนุ ญาตแก่เจ้านอกเหนือจากนัน” ดูฮะดีษหมายเลข 223)
่ ้
ตัวอย่างทีสอง : ฮะดีษของท่านรอฟิอฺ อิบนุ คอดีจ ( )سافع تٓ خذَجได้เล่าว่า : ฉันได้ยินท่ านนบี กล่าวถึง
่
รายได้ที่เลวที่ สด และหนึ่ งในนันคือ รายได้ของผู้มีอาชีพกรอกเลือด (َ)وسة اٌحجا
ุ ้
*(มุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 1568)
อีกรายงานหนึ่ง ท่านนบี กล่าวว่า “รายได้ของผู้มีอาชีพกรอกเลือดเป็ นสิ่ งที่ เลว” ()ووسة اٌحجاَ خثُث