SlideShare a Scribd company logo
1




                          แนวทางของนักปราชญ์(มุฮดดิ ซีน) ในการพิ จารณาตัวบทฮะดีษ
                                                ั

บทนา

             ฮะดีษในนิยามของนักปราชญ์ทางฮะดีษ (มุฮดดิซน) คือสิงทีพาดพิงถึงท่านนบี ในทุกๆด้าน เช่น คาพูด การ
                                                      ั ี        ่ ่
กระทา การยอมรับ ในคุณลักษณะทังในด้านสรีระ และจริย ตลอดจนชีวประวัตของท่าน ทังก่อนและหลังการได้รบการแต่งตัง
                                    ้                                     ิ          ้                ั           ้
ให้เป็ นนบี *( ดูมสตอฟา อัสซิบาอีย์ : “อัซซุนนะห์วะมากานะตุฮา” หน้า 47 ) ฮะดีษมีองค์ประกอบสาคัญอยู่สองส่วน คือตัวบท
                  ุ
(มะตัน ٓ‫ ) ِر‬และสายรายงาน (สะนัด ‫)سٕذ‬

         ฮะดีษในยุคของท่านนบี เป็ นเพียงตัวบททีเหล่าสาวก (ซอฮาบะห์) ได้รายงานและจดบันทึกไว้ ครันต่อมาไม่
                                                  ่                                            ้
นานนักก็ได้มการกาหนดสายรายงานสาหรับการรายงานทุกๆฮะดีษ ทังนี้เพือป้องกันการแอบอ้างและกล่าวเท็จต่อท่านนบี
            ี                                                 ้ ่
สายรายงาน (สะนัด) จึงเป็ นส่วนสาคัญต่อการพิจารณาตัวบทฮะดีษว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้องอย่างไร

          ท่านอิบนุ ซรน *(ซอฮีฮฺ มุสลิม 1/15 บางรายงานระบุว่า เป็ นรายงานของท่านอับดุลลฮฺ บินนุ มุบาร็อก ฮ.ศ.181)
                      ีี
(สินชีวตเมือ ฮ.ศ.ที่ 110) กล่าวว่า :
   ้ ิ ่
           สายรายงาน (อิสนาด) นับเป็ นส่วนหนึ่งของศาสนา (อิสลาม) หากไม่มสายรายงานแล้ว บุคคลก็สามารถพูดในสิงที่
                                                                           ี                                      ่
ตัวเองอยากพูด

         ตัวบทและสายรายงานฮะดีษได้รบความสนใจอย่างกว้างขวาง จากเหล่านักปราชญ์ทางด้านฮะดีษ (มุฮดดิซน) ทัง
                                    ั                                                        ั ี ้
ในแง่ของการบันทึก การรวบรวม การกลันกรอง การวิพากษ์วจารณ์ และการอรรถาธิบายในแง่มมต่างๆ
                                  ่                ิ                           ุ


        ใน ส่วนของสายรายงานนัน นักปราชญ์ (มุฮดดิซน) ได้วางมาตรฐานและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาไว้อย่างละเอียด
                                ้               ั ี
และพิสดารยิง จนสามารถกล่าวได้ว่ามุสลิมเป็ นประชาชาติเดียวทีสามารถรักษาตัวบททีถ่ายทอด จากท่านนบี ด้วยระบบ
           ่                                               ่                 ่
สายสืบและวิธการกลันกรองทีไม่เคยมีประชาชาติใดเคยกระทามาก่อน
             ี    ่      ่

ศาสตร์ ต่างๆของฮะดีษเช่น วิชาทีว่าด้วยทฤษฎีและการหลักในการพิจารณาฮะดีษ (อัลมุสฏอละฮ์) วิชาทีวาด้วยการประเมิน
                               ่                                                                 ่่
คุณสมบัตของผูรายงาน (อัลญัรฮฺวตตะอฺดล) วิชาทีว่าด้วยไวรัสของฮะดีษ (อัลอิลล) ศาสตร์เหล่านี้ลวนเป็ นศาสตร์อน
          ิ     ้                ั     ี       ่                         ั                 ้             ั
ละเอียดอ่อน ทีเหล่านักปราชญ์ทางด้านฮะดีษ (มุฮดดิซน) ในอดีตคิดขึนมาเพือกลันกรองฮะดีษ และส่วนใหญ่กจะเกียวข้อง
              ่                               ั ี              ้       ่ ่                           ็ ่
กับเรื่องของสายรายงานอันประกอบด้วยบุคคล ผูรายงาน กระบวนการรายงาน และสานวนทีใช่ในการรายงาน จนทาให้ดู
                                            ้                                       ่
ประหนึ่งว่านักปราชญ์ทางด้านฮะดีษ(มุฮดดิซนนัน)นัน สนใจในการพิจารณาสายรายงานแต่เพียงด้านเดียว ไม่สนใจพิจารณา
                                      ั ี ้ ้
ในส่วนของตัวบท (มะตัน) ซึงก็หมายความว่า ฮะดีษทีใช้ได้นน คือ ฮะดีษทีมสายรายงานถูกต้องเพียงอย่างเดียว ส่วนตัวบท
                          ่                      ่     ั้          ่ ี
2

จะเป็ นอย่างไรไม่พจารณา ความเข้าใจดังกล่าวเป็ นความเข้าใจที่ คลาดเคลือนและไม่ถูกต้อง *(เป็ นความเข้าใจของ
                  ิ                                                 ่
                                                                      ั
นักปราชญ์ตะวันตก Orientalist และของ ด.ร. อะห์หมัด อะมีน ในหนังสือ “ฟจญรุลอิสลาม” หน้า 217,218 (ดูอซซุนนะห์ ก็อบ
                                                                                                     ั
ลัดตัดวีน หน้า 254) เนื่องจากนักปราชญ์ทางด้านฮะดีษ (มุฮดดิซน) มีแนวทางทีชดเจนในการพิจารณาตัวบทฮะดีษ และได้
                                                       ั ี               ่ ั
ให้ความสาคัญต่อตัวบทไม่แตกต่างจากสายรายงานแต่อย่างใด

       บทความนี้จงขอมีสวนในการให้ความกระจ่างต่อประเด็นดังกล่าว เพือความเข้าใจทีถูกต้อง ดังรายละเอียดทีจะกล่าว
                 ึ     ่                                         ่             ่                     ่
ต่อไป (ْ‫) وهللا اٌّسرعا‬

ขันตอนของนักปราชญ์ทางด้านฮะดีษ (มุฮดดิ ซีน) ในการพิ จารณาตัวบทฮะดีษ
  ้                                ั

         มีขอเท็จจริงสองประการทีนักปราชญ์มฮดดิซนเห็นตรงกัน คือ :
            ้                   ่         ุ ั ี

    1. ฮะดีษทีซอฮีฮฺนน จะต้องซอฮีฮฺ ทังสายสืบ (สะนัด) และตัวบท (มะตัน)
              ่      ั้               ้

        สายสืบซอเฮียะ หมายถึง สายสืบทีตดต่อกันไม่ขาดตอนและผูรายงานทังหมดต้องมีคณธรรมและความจาเป็ นเลิศ
                       ๊                    ่ ิ                       ้      ้           ุ
        ส่วน ตัวบททีซอฮีฮฺ หมายถึง ไม่ขดแย้งกับสายอื่นทีน่าเชื่อถือมมากกว่า หรือมีจานวนมากกว่า หรือทีรกนในหมู่
                         ่              ั                  ่                                           ่ ู้ ั
นักวิชาการว่า “ชูซู๊ซ” และไม่มขอบกพร่องทีซ่อนเร้นอยู่ (ไวรัส) หรือทีรจกกันในหมูนักวิชาการว่า “อิลละห์”
                              ี้          ่                         ่ ู้ ั     ่

       2. สายสืบทีซอฮีฮฺ ไม่จาเป็ นว่าตัวบทจะต้องซอฮีฮฺเสมอไป เนื่องจากตัวบทอาจมีลกษณะชูซู๊ซ หรือมีอลละห์ และ
                     ่                                                            ั                 ิ
เช่นเดียวกัน ตัวบททีซอฮีฮฺกไม่จาเป็ นว่าสายสืบจะซอฮีฮฺเสมอไป เพราะบางครังพบว่า ฮะดีษหลายบทมีสายรายงานทีไม่ซอฮี
                       ่     ็                                             ้                                 ่
ฮฺ เนื่องจากขาดเงือนไขหนึ่งเงือนไขใดของความเป็ นซอฮีฮฺ แต่ตวบทกลับเป็ นตัวบททีซอฮีฮฺ เนื่องจากมีสายรายงานอื่นๆที่
                   ่           ่                             ั                  ่
ซอฮีฮฺรายงานตัวบทนันๆ    ้
            อย่างไรก็ตามอาจกล่าวได้ว่าฮะดีษส่วนใหญ่ได้รบการประเมินโดยพิจารณาสายสืบ เป็ นสาคัญ เนื่องจากความ
                                                        ั
น่ าเชื่อถือของผูรายงาน (สายสืบ) แสดงถึงความน่ าเชือถือของข้อมูล (ตัวบท) ยกเว้นในบางกรณีทจาเป็ นต้องพิจารณาข้อมูล
                 ้                                 ่                                       ่ี
ทีรายงาน(ตัวบท) เนื่องจากมีกรณีแวดล้อมบ่งบอกถึงความไม่น่าเชื่อถือ
   ่

 ท่านอิมามชาฟีอย์ (สินชีวตในปี ฮ.ศ.ที่ 204) ได้อธิบายเรืองดังกล่าวด้วยสานวนวิชาการว่า :
                ี ้ ิ                                    ่
          “ความ น่ าเชื่อถือ และไม่น่าเชื่อถือของฮะดีษส่วนใหญ่นน ขึนอยู่กบความน่ าเชื่อถือ และไม่น่าเชื่อถือของผูรายงาน
                                                                ั้ ้     ั                                       ้
และมีฮะดีษอยู่จานวนน้อยทีความน่ าเชือถือ และไม่น่าเชื่อถือขึนอยู่กบตัวบท เช่นเป็ นตัวบททีไม่น่าจะเป็ นฮะดีษจากท่านน
                             ่         ่                     ้     ั                      ่
บี หรือเป็ นตัวบททีขดแย้งกับหลักฐานต่างๆทีชดเจน” *(ท่านอัลบัยฮะกีย์ ได้รายงานคาพูดนี้ในหนังสือของท่านทีมช่อว่า
                      ่ ั                        ่ ั                                                            ่ ีื
“มะอฺรฟะตุซซุนัน วัลอาซ๊าร” หน้า 50)
      ิ

    จากข้อความข้างต้นนันพอสรุปได้ว่า นักปราชญ์ทางด้านฮะดีษ (มุฮดดิซน) มีแนวทางในการพิจารณาฮะดีษอยู่สอง
                       ้                                       ั ี
แนวทางคือ

    1. พิจารณาความน่ าเชื่อถือของผูรายงานเป็ นเกณฑ์ทใช้กบฮะดีษโดยส่วน ใหญ่ และเป็ นเกณฑ์ธรรมชาติทบคคล
                                    ้                  ่ี ั                                      ่ี ุ
ทัวไปนาไปใช้ในการพิสจน์ความน่ าเชือถือของ ข้อมูลข่าวสาร
  ่                 ู            ่
    2. พิจารณาตัวบท เมือมีกรณีแวดล้อมเบียงเบนความน่ าเชื่อถือ
                        ่                  ่

           นักปราชญ์วชาอัลมุสฏอละห์ ได้กาหนดกรอบไว้อย่างชัดเจนในการพิจารณาตัวบทฮะดีษ กรอบดังกล่าวได้แก่สงที่
                     ิ                                                                                    ิ่
ถูกระบุไว้ในเงือนไขของการพิจารณาฮะดีษซอฮีฮฺสอง ประการคือ หนึ่ง : ลักษณะทีเรียกว่า “ชูซซ” และสอง :คือลักษณะที่
              ่                                                          ่            ู๊
3

เรียกว่า “อิ ลละห์” สองลักษณะดังกล่าวนี้นับเป็ นสาเหตุสาคัญทีทาให้ตวบทไม่น่าเชื่อถือ (ฏ่ออีฟ) ทังๆทีสายรายงานมีความ
                                                             ่     ั                            ้ ่
น่ าเชื่อถือ

และต่อไปนี้คอรายละเอียดของขันตอนการพิจารณาในเรืองดังกล่าว
            ื               ้                 ่


ขันตอนที่ หนึ่ ง : การพิ จารณา “ชูซซ” และรูปแบบต่างๆของชูซซ
  ้                                ู๊                     ู๊

ความหมายของ “ชูซซ” ในตัวบท
                ู๊

          ชูซู๊ซ คือการทีรายงานของผูเชือถือได้คนหนึ่งไปขัดแย้งกับรายงานของผูทมความ น่ าเชื่อถือมากกว่า หรือขัดแย้ง
                         ่          ้ ่                                     ้ ่ี ี
กับรายงานของผูทมความน่ าเชือถือจานวนมากกว่า ด้วยการเพิม หรือสับเปลียน หรือทาให้สบสน หรือเปลียนรูปคา หรือ
                ้ ่ี ี       ่                            ่           ่            ั             ่
แทรกถ้อยคา การขัดแย้งดังกล่าวอาจเกิดจากสาเหตุของความผิดพลาด หรือความเข้าใจผิดของผูรายงานก็ได้
                                                                                       ้


นักปราชญ์ (มุฮดดิซน) มีวธคนพบชูซู๊ซ สองวิธคอ
              ั ี       ิี ้              ี ื

    ก. รวบรวมสายรายงานและสานวนของฮะดีษเพือเปรียบเทียบว่าสานวนของแต่ละสายมีความสอดคล้องกันหรือขัดแย้งกัน
                                        ่
อย่างไร

   ข. ค้นหาทัศนะของผูเชียวชาญจากหนังสือ “อิลลฮะดีษ” หรือหนังสืออธิบายฮะดีษ หรือหนังสืออื่นๆ
                     ้ ่                    ั

                                          รูปแบบต่างๆของชูซซในตัวบท
                                                           ู๊

1. การเพิ่ มในตัวบท (‫)السيبدحفي الوتي‬

          คือ การทีผรายงานคนหนึ่งรายงานตัวบทเพิมจากผูรายงานคนอื่นๆ ทีรายงานฮะดีษเดียวกัน ในเรืองนี้นักปราชญ์
                    ่ ู้                        ่       ้               ่                        ่
                            ั                ั              ิ ั ู ิ
ทางวิชาฮะดีษ (มุฮดดิซน) มีทศนะแตกต่างกัน*(ดูอลฮากิม : “มะอฺรฟต อูลมลฮะดีษ” หน้า 130 และอิบนุ ศอลาห์ มูกอดดิมะห์
                 ั ี                                                                                   ็
หน้า 185) ทัศนะทีชดเจนทีสดคือ ทัศนะของ อิบนุ ศอลาห์ (สินชีวตในปี ฮ.ศ.643) โดยท่านได้แบ่งการเพิมในตัวบทออกเป็ น
                  ่ ั    ุ่                            ้ ิ                                    ่
สามประเภทคือ

           ประเภทที หนึ ง : การเพิมทีขดแย้งกับรายงานต่างๆของผูรายงานทีเชื่อถือได้ (อัซซิกอต ‫ ) اٌثماخ‬การเพิม
                       ่ ่        ่ ่ ั                        ้      ่                  ็                 ่
ประเภทนี้ไม่เป็ นทียอมรับ
                   ่
ตัวอย่าง : ฮะดีษทีรายงานโดยอิมามบุคอรีย์ ด้วยสายสืบดังนี้ :
                     ่
          จากอับดุลเลาะห์กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามท่านนบี ว่า : การกระทาอย่างไหนเป็ นทีรกยิงสาหรับอัลเลาะห์ ?
                                                                                       ่ั ่
ท่านนบีตอบว่า : “การละหมาดในเวลาของมัน” *(อัลบุอคอรีย์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมานเลข 527)

          ท่านอัลฮาฟิซอิบนุหะญัร กล่าวว่า : ลูกศิษย์ทงหมดของ ชุอฺบะห์ (‫ )ضعثح‬รายงานฮะดีษบทนี้ตรงกันด้วย
                                                     ั้
สานวน “‫ ”اٌصالجعًٍ ولرها‬ยกเว้นอะลี อิบนุ ฮัฟซฺ (‫ )عًٍ تٓ حفص‬เพียงคนเดียวทีรายงานด้วยสานวน  ่
“‫ ”اٌصالجفً أوي ولرها‬ซึงมีความหมายว่า “การละหมาดในตอนเริมของเข้าเวลา” *(อัล ฮากิม : อัลมุสตัดร็อก เล่ม 1
                             ่                                      ่
หน้า 188-189 อัลฮากิมถือว่าฮะดีษนี้ซอฮีฮฺ และอัซซะฮะบีย์ เห็นด้วย และอัดดารุกุฏนียได้รายงานไว้ในหนังสืออัสสุนัน เล่ม 1
                                                                                  ์
4

หน้า 246 )
         อัดดารุกุฏนียได้วจารณ์ว่า : ข้าพเจ้าไม่คดว่าท่านอาลี จะจดจาฮะดีษนี้ดพอ เนื่องจากเขาอายุมาก และความจาของ
                      ์ ิ                        ิ                           ี
                               ั ้
เขาเปลียนแปลง *(อิบนุ ฮะญัร : ฟตฮุลบารีย์ เล่ม 2 หน้า 10 )
       ่

         ในทีน้จะสังเกตได้อย่างชัดเจนว่า การเพิมในตัวบททีสองทีรายงานโดยอาลีนัน ขัดแย้งกับตัวบททีหนึ่งทีรายงาน
              ่ ี                              ่             ่     ่               ้               ่     ่
โดยผูรายงานส่วนใหญ่ ด้วยเหตุน้ทานอิมาม อันนะวะวีย์ (สินชีวตในป ั ฮ.ศ.676) และนักฮะดีษท่านอื่นๆจึงได้ตดสิน (ฮุกม)
     ้                         ี ่                       ้ ิ                                         ั        ่
ตัวบททีสองว่าเป็ นรายงานฏ่ออีฟ (อ่อน) *(ดูอนนะวะวีย์ : อัลมุจญ์มอฺ เล่ม 3 หน้า 51)
       ่                     ๊             ั                    ู๊


          ประเภทที สอง : การเพิมทีไม่ขดแย้งกับรายงานของผูอน การเพิมประเภทนี้ได้รบการยอมรับ
                     ่           ่ ่ ั                   ้ ่ื     ่             ั
          ตัวอย่าง : ฮะดีษทีผรายงานจานวนหนึ่งรายงานจาก อัลอะอฺมช (‫ ) األعّص‬จากอะบีรอซีน (َٓ‫) اتً سص‬
                            ่ ู้                               ั
และ อะบีซอและห์ (‫ ) اتً صاٌح‬และอบีฮุรอยเราะห์ (‫ ) اتً هشَشج‬จากท่านนบี กล่าวว่า :


“‫“ ”ادا وٌغ اٌىٍة فً أاءأخذوُ فٍُغسٍه سثع ِشاخ‬เมื่อสุนัขเลียในภาชนะของท่าน ท่ านจงล้างมัน
เจ็ดครัง”
       ้

*(อัลบุคอรีย์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 172 , มุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 729 และมาลิก : อัลมูวฏเฏาะห์ ฮะดีษ
                                                                                                  ั
หมายเลข 35)

            ลูกศิษย์ของอัลอะฮฺมชทังหมดรายงานด้วยสานวนนี้ตรงกัน ยกเว้นอาลี อิบนุ มุสฮิร (‫) عًٍ تٓ ِسهش‬
                               ั ้
เพียงคนเดียวทีรายงานฮะดีษนี้โดยเพิมคาว่า “‫ ”فٍُشله‬แปลว่า “จงเทมันทิงไป” ก่อนคาคาว่า “‫(* ”فٍُغسٍه‬มุสลิม อัซ
               ่                   ่                                 ้
ซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 279 และอันนะซาอีย์ : อัสสุนัน เล่ม 1 หน้า 22,63) การ เพิมในตัวบททังสองนี้ไม่ถอว่าขัดแย้งกับตัว
                                                                            ่            ้         ื
บททีหนึ่งแต่ประการใด การเพิมดังกล่าวจึงไม่ถอว่าฎ่ออีฟ ตราบใดทีผรายงานเป็ นผูเชื่อถือได้ (ซิเกาะห์ ‫)ثمح‬
     ่                       ่             ื                   ่ ู้           ้


            ประเภททีสาม : การเพิมทีมลกษณะก้ากึงระหว่างประเภทที่หนึ่งและประเภททีสอง คือมีความเหมือนกับประเภท
                      ่          ่ ่ ีั        ่                               ่
ทีหนึ่งในด้านหนึ่ง และมีความเหมือนกับประเภททีสองในอีกด้านหนึ่ง
  ่                                          ่


           ตัวอย่างเช่น : ฮะดีษทีรายงานโดยอบูมาลิก อัลอัชญะอีย์ จากริบอีย์ จากฮุซยฟะห์ จากท่านนบี
                                 ่                                               ั                   ได้กล่าวว่า

‫وجعٍد ٌٕااألسض وٍهاِسجذ وجعٍد ذشترهإٌاطهىسا‬

       “และเขาได้ให้พื้นดิ นทังหมดเป็ นมัสยิด (ที่ ละหมาด) แก่เรา และเขาได้ให้ดินฝุ่ นของมันสะอาดแก่เรา”
                              ้

                                                                                                 ิ ั
*(มุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 522 อะห์หมัด : อัลมุสนัด เล่ม 5 หน้า 383 และอัลบัยฮะกีย์ “มะอฺรฟต อัสสุนันวัลอา
ซ๊าร” เล่ม 1 หน้า 213)

         ฮะดีษบทนี้มอบูมาลิกเพียงคนเดียวทีรายงานโดยเพิมคาว่า (‫ )ذشترها‬ในขณะทีผรายงานคนอื่นๆไม่ม ี
                    ี                     ่           ่                      ่ ู้
5

            สาหรับความก้ ากึงของตัวอย่างดังกล่าวอธิบายได้ดงนี้ คือ :
                            ่                             ั
    ก.              ่                             ่              ่                      ่                   ่
              การเพิมคาว่า (‫ )ذشترها‬เหมือนการเพิมในประเภททีหนึ่ง กล่าวคือ คาว่า (‫ )ذشتح‬ซึงมีความหมายว่าดินฝุน
แตกต่างจากคาว่า (‫ )األسض‬ซึงแปลว่าพืนดินทัวไป ดังนัน ตัวบททีมเี พิมคาว่า (‫ )ذشتح‬จึงมีความหมายว่าให้ทาความสะอาด
                               ่           ้   ่       ้           ่ ่
(ตะยัมมุม) ด้วยดินฝุ่น ในขณะทีตวบททีผูรายงานส่วนใหญ่รายงานมีความหมายว่า ให้ทาความสะอาด (ตะยัมมุม) ด้วยทุก
                                 ่ ั   ่ ้
          ้                       ่
ส่วนของพืนดิน ไม่ว่าจะเป็ นดินฝุนหรืออืนๆก็ตาม
                                        ่

     ข.       การเพิมคาว่า (‫ )ذشترها‬เหมือนการเพิมในประเภททีสอง กล่าวคือ ไม่มการขัดแย้งกันระหว่างสองความหมาย
                    ่                               ่          ่                    ี
เพราะดินฝุ่นก็มาจากพืนดิน หรือเป็ นส่วนหนึ่งของพืนดิน ท่านอิบนุ ซซอลาห์ มิได้ชชดถึงฮุก่มการเพิมในประเภททีสามนี้ ว่า
                      ้                           ้                            ้ี ั           ่           ่
รับได้หรือไม่อย่างไร บรรดานักปราชญ์กมทศนะแตกต่างกัน เช่น ท่านอิมามมาลิก และท่านอิมามชาฟิอย์ มีทศนะยอมรับ
                                        ็ ี ั                                                   ี    ั
ส่วนท่านอีมามอบูฮะนีฟะห์ และผูทเี่ ห็นด้วยกลับไม่ยอมรับ ดังนันในตัวอย่างข้างต้น ท่านอิมามมาลิก และท่านอิมามชาฟีอย์
                                 ้                           ้                                                   ี
จึงอนุ ญาตให้ตะยัมมุมด้วยฝุ่นดินเท่านัน ในขณะทีท่านอิมามอบูฮานีฟะห์ อนุ ญาตให้ตะยัมมุมด้วยทราย หิน ก้อนกรวด หรือ
                                      ้        ่
อื่นๆทีมาจากพืนดิน
        ่      ้

         จากการแบ่งข้างต้นทาให้ทราบอย่างชัดเจนว่า การเพิมในตัวบททีเข้าข่ายชูซู๊ซ คือการเพิมในประเภททีหนึ่งเท่านัน
                                                        ่         ่                       ่          ่          ้


2. การเปลี่ยนตัวบท (‫)القلت في الوتي‬

          คือการสับเปลียนคาในตัวบทฮะดีษ *(ดู อิบนุ ศอลาห์ : อัลมุกอดดิมะห์ หน้า 216 , อิบนุ กาซีร : อิคติศอรอูลมลฮะ
                         ่                                        ็                                            ู ิ
ดีษ หน้า 87 และอัสซูยฏย์ : อัตตัดรีบ เล่ม 1 หน้า 219 )
                     ู ี

         ตัวอย่างเช่น : ฮะดีษทีรายงานโดยมุสลิม จากอะบีฮุรอยเราะห์ในเรืองเกียวกับคนเจ็ดประเภททีจะได้อยู่ใต้ร่มเงา
                               ่                                     ่ ่                      ่
ของ อัลเลาะห์ในวันกิยามะห์ หนึ่งในเจ็ดคนนัน ท่านนบี บอกว่า :
                                          ้

“คือชายคนหนึ่ งที่ เขาบริ จาคทาน และเขาปกปิ ดการบริจาคจนกระทังมือขวาของเขาไม่รสิ่งที่ มือซ้ายได้บริ จาค”
                                                             ่                ู้

                             ٍُ‫ِاأفمد َُّٕه وسجً ذصذق تصذلح فاخفاها حرً الذع‬
‫ضّاٌها‬
*(มุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 1031)

          ท่านยะห์ยา อิบนุ ซะอีด อัลก็อฏฏอน ได้รายงานตัวบทนี้ โดยสับเปลียนคาทีขดเส้นใต้ เพราะรายงานทีถูกต้องคือ
                                ๊                                       ่     ่ ี                    ่
“จนกระทังมือซ้ายของเขาไม่ร้สิ่งที่ มือขวาของเขาบริ จาค”
        ่                     ู


‫حرً الذعٍُ ضّاٌه ِاذٕفك َُّٕه‬

*(อัลบุคอรีย์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 1423 ฮะดีษสานวนดังกล่าวมีรายงานหลายกระแส)

          อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ ฮะดีษของอบูฮุรอยเราะห์ รายงานจากท่านนบี ว่า : เมื่อท่ านจะสุญด ท่านอย่าคุกเข่า
                                                                                            ู
เหมือนอูฐ ท่ านจงวางมือทังสองก่อนหัวเข่าทังสอง
                            ้                 ้
6

‫سوثرُٓ لثً َذَه اداسخذ أحذوُ فالَثشن اٌثعُش وٌُصع‬


*(อบูดาวูด : อัซสุนัน ฮะดีษหมายเลข 840 อันนะซาอีย์ : อัซสุนัน เล่ม 1 หน้า 149 และ อัดดารีมย์ : อัซสุนัน เล่ม 1 หน้า
                                                                                          ี
303)

อิบนุ ลกอยยิม (สินชีวตในปี ฮ.ศ.ที่ 751) กล่าวว่า :
                 ้ ิ


          "ฮะดีษบทนี้มการสับเปลียนคาทีมขดเส้นใต้ รายงานทีน่าจะถูกต้องคือ “จงวางหัวเข่าทังสองก่อนวางมือ”
                      ี         ่     ่ ีี               ่                              ้


‫وٌُصع سوثرُه لثً َذَه‬                *(ดูอบนุ ลกอยยิม : ซาดุลมาอ๊าด เล่ม 1 หน้า 57)
                                          ิ

          อย่างไรก็ตาม ตัวบททีนักปราชญ์ทางวิชาฮะดีษ (มุฮดดิซน) พบว่ามีการสับเปลียน ถือว่าเป็ นตัวบททีอ่อน (ฏ่อ
                              ่                         ั ี                     ่                    ่
อีฟ) เพราะการสับเปลียนย่อมเกิดขึนจากความจาทีบกพร่องของผูรายงาน
                    ่           ้            ่           ้


3. การสับสนในตัวบท (‫)االضطراة في الوتي‬

        หมายถึง ตัวบททีรายงานขัดแย้งกันโดยไม่สามารถประสานกันได้ และแต่ละสายรายงานมีความเท่าเทียมกันใน
                           ่
สถานภาพ *( ดู อัสสูยฏย์ : อัตตัดรีบ เล่ม 1 หน้า 262 และอิบนุ สซอลาห์ : “อัลมูกอดดิมะห์” หน้า 204)
                    ู ี                                                       ็

          จากนิยามข้างต้น การสับสน(‫ )اضطشاب‬จะเกิดขึ้นได้ดวยสองเงือนไข คือ :
                                                         ้       ่


     ก. รายงานต่างๆทีขดแย้งกันนันมีความเท่าเทียมกันในสถานภาพ โดยทีไม่สามารถให้น้ าหนัก (ตัรญีฮฺ ‫ ) ذشجُح‬กระแส
                     ่ ั        ้                                 ่
หนึ่งกระแสใดได้

   ข. ไม่สามารถประสานรวมกันได้ (ญัมอฺ ‫ ) جّع‬ในระหว่างสายรายงานต่างๆ

          หากไม่สามารถให้น้ าหนักได้ หรือประสานกันได้ดวยวิธการทีถูกต้อง การสับสน(‫ )اضطشاب‬ก็ไม่เกิดขึน การ
                                                      ้    ี    ่                                   ้
สับสนในตัวบทฮะดีษทาให้ฮะดีษอยู่ในสถานภาพอ่อน (ฏ่ออีฟ) เพราะแสดงว่าผูรายงานไม่มความจาทีมนคง
                                                                       ้         ี    ่ ั่

ตัวอย่าง : ฮะดีษทีรายงานโดยอิบนิอบบาส กล่าวว่า *(ดูอบนุ อับดิลบัร : อัตตัมฮีด เล่ม 9 หน้า 26) :
                  ่              ั                  ิ

มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี และกล่าวว่า
ชายคนหนึ่ง : ฉันมีแม่ทเี่ สียชีวตแล้ว แม่ฉนขาดการถือศีลอด ฉันจะถือศีลอดให้แม่ของฉันได้หรือไม่
                                ิ          ั
ท่านนบี : เธอจงตอบฉันซิ ว่า หากแม่ของเธอมีหนี้ สินติ ดอยู่ เธอจะใช้แทนให้หรือไม่?
ชายคนหนึ่ง : ครับ ฉันจะใช้แทนให้
ท่านนบี : หนี้ ของอัลเลาะห์มีสิทธิ์ ยิ่ง (กว่าหนี้ ของมนุษย์ ) ในการชดใช้
7

ฮะดีษบทนี้รายงานจากท่าน อัลอะอฺมช(‫ ) األعّص‬ด้วยตัวบททีขดแย้งกันดังนี้
                                ั                     ่ ั

 1.       ผูรายงานหนึ่งรายงานด้วยสานวนว่า : มีหญิงคนหนึ่งมาหาท่านนบี และกล่าวว่า : แท้จริ งพี่สาวของฉันได้
            ้
เสียชีวิตไป และเธอได้ขาดการถือศีลอด

                                                                ั
*(อิบนุ อบดิลบัร : “อัตตัมฮีด” เล่ม 9 หน้า 26 และอิบนุ ฮะญัร : ฟตฮุลบารีย์ เล่ม 4 หน้า 195 ฮะดีษหมายเลข 1953)
         ั

2.      ผูรายงานอีกส่วนหนึ่งรายงานว่า : มีหญิงคนหนึ่งมาหาท่านนบีและกล่าวว่า : แท้จริ งมาราดาของเธอขาดถือศีล
          ้
อด ฉันจะถือศีลอดแทนเธอให้ได้หรือไม่?

*(อบูดาวูด : อัซสุนัน ฮะดีษหมายเลข 3310)

3.         อีกรายงานหนึ่งบอกว่า ท่านสะอีด อิบนุ อุบาดะห์ ได้ถามท่านนบีว่า : มารดาของฉันได้เสียชีวต และเธอได้บนไว้
                                        ๊                                                        ิ
ว่าจะถือศีลอด โดยยังไม่ได้ชดใช้ ท่านนบีกล่าวว่า : “เธอจงชดใช้ให้มารดาของเธอ”

*(อัลบุคอรีย์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 6698)

4.           อีกรายงานหนึ่ง เป็ นรายงานของมาลิก จากอิบนุ อับบาส รายงานว่า : ท่านสอัด อิบนุ อุบาดะห์ ได้กล่าวถามท่านน
                                                                                    ๊
บีว่า : โอ้ท่านรอซูลลลอฮ์ จะมีประโยชน์ไหมทีฉนจะบริจาคทานให้มารดาของฉันทีเสียชีวตไปแล้ว ?
                    ุ                       ่ ั                             ่     ิ
ท่านนบีตอบว่า : มี
ท่านสอัดถามว่า : แล้วท่านจะใช้ให้ฉนทาอะไรบ้าง ?
         ๊                           ั
ท่านนบีตอบว่า : จงให้น้าดื่มแก่คนทังหลาย
                                       ้

*(อับนุ อบดิลบัร : อัตตัมฮีด เล่ม 9 หน้า 24 และดูอชเชากานีย์ : “นัยลุลเอาฏ๊อร” เล่ม 8 หน้า 264)
         ั                                        ั

        จะสังเกตได้ว่ารายงานทังหมดนี้มความขัดแย้งกัน และรายงานจากซอฮาบะห์คนเดียวกันคือ อิบนุ อับบ๊าซ แต่ละ
                              ้       ี
สายรายงานก็มสถานภาพไม่แตกต่างกัน ลักษณะดังกล่าวทาให้ฮะดีษเป็ นมุฏฏอริบได้
             ี

            อย่างไรก็ตาม ผูเขียนเห็นว่าเงือนไขของนักปราชญ์ทางวิชาฮะดีษ (มุฮดดิซน) ทีว่า “ไม่สามารถให้น้ าหนักและไม่
                             ้           ่                                    ั ี ่
สามารถประสานระหว่างรายงานต่างๆ” นันเป็ นเงือนไขทีเกิดขึนยากในความเป็ นจริง เนื่องจากไม่พบฮะดีษบทใดทีนักปราชญ์
                                           ้     ่       ่ ้                                                  ่
(มุฮดดิซน) มีทศนะตรงกันว่าเป็ นฮะดีษมุฏฏอริบ แม้แต่ตวอย่างข้างต้น กล่าวคือ ท่านอิบนุ อับดิลบัร (สินชีวตในปี ฮ.ศ.463)
      ั ี         ั                                       ั                                         ้ ิ
มีทศนะว่าเป็ นมุฏฏอริบ *(อิบนุ อับดิลบัร : อัตตัมฮีด เล่ม9 หน้ 27) ในขณะทีท่านอิบนุ ฮะญัร (สินชีวตในปี ฮ.ศ. 852) มีทศนะ
    ั                                                                     ่                  ้ ิ                    ั
                                                                 ั
ว่าไม่เป็ น เนื่องจากสามารถหาทางประสานกันได้*(อิบนุ ฮะญัร : ฟตฮุลบารีย์ เล่ม7 หน้า 65 อธิบายฮะดีษหมายเลข 1852
และ 1953) และไม่มฮะดีษบทใดทีขดแย้งกันนอกจากนักปราชญ์ (อุละมาอฺ) จะหาทางในการประสานความหมายหรือให้
                      ี           ่ ั
น้ าหนัก ด้วยเหตุน้ี นักปราชญ์ทางวิชาฮะดีษบางคนจึงเห็นว่า ควรเปลียนข้อความในเงือนไขใหม่จากคาว่า “ไม่สามารถ” เป็ น
                                                                     ่              ่
คาว่า “ยาก” เพือจะได้มตวอย่างของฮะดีษในเรื่องดังกล่าว *(ดูอดดะมีนีย์ : มากอยีซ นักดฺมตูนิสซุนนะห์ หน้า 142-145)
                    ่    ี ั                                   ั                         ู

รูปแบบต่างๆของชูซซในตัวบท หมายถึงการเปลียนแปลงถ้อยคาในตัวบทฮะดีษจากรูปเดิมทีทราบกันดี เป็ นรูปอื่น
                     ู๊                         ่                           ่
*(ด.ร.นูรดดีน อะดัร : มันฮะญุลนักดฺ ฟี อูลูมิลหะอีซ หน้ า 44)
         ุ

4. การเปลี่ยนแปลงถ้อยคาในตัวบท (‫)التصحيف فى الوتي‬
8




                                                                    ั                        ิ ั
          สาหรับสาเหตุของการตัซฮีฟ นันเกิดขึนจากการเขียนผิด หรือฟงผิด *(อัลบัยฮะกีย์ : “มะอฺรฟต อัสซุนัน วัลอาซ๊าร”
                                         ้       ้
เล่ม 1 หน้า 56) ซึง สองประการต่อไปนี้ หากเกิดขึนกับผูรายงานบ่อยครัง เขาจะถูกตาหนิและกลายเป็ นผูรายงานทีอ่อน (ฎอ
                  ่                                ้ ้            ้                              ้         ่
อีฟ) ได้ แต่ถาเกิดขึนเป็ นบางครังก็ไม่ทาให้สถานภาพของเขาเสียหายแต่อย่างใด เพราะถือว่าความผิดพลาดเป็ นเรืองปกติ
             ้      ้           ้                                                                        ่
ของมนุ ษย์ อย่างไรก็ตาม รายงานของเขาทีมตซฮีฟถือเป็ นรายงานทีออนใช้ไม่ได้
                                           ่ ี ั              ่่

ตัวอย่าง :
ٍ‫احوذعي شيخَ اسحبق ثي عيسى ثٌباثي لِيئخ قبل : كتت الي هْسى هبرّا‬
‫عي ثسر ثي سعيذعي زيذ ثي ثبثت اى رسْل هللا صلى هللا ثي عقجخيججرًى‬
‫الوسج عليَ ّسلن احتجن فى‬

ฮะดีษรายงานโดยอะห์หมัด จากอิสหาก จากอิบนุ ลฮยอะห์ ว่า : แท้จริง ท่านรอซูลลลอฮ์ ได้รบการกรอกเลือดในมัสยิด
                                                 ุ ั                             ุ   ั
*(อะห์หมัด : “อัลมุสนัด” เล่ม 5 หน้า 185 และดูอสสูยูฎย์ : อัตตัดรีบ เล่ม 2 หน้า 193)
                                               ั     ี

           คาว่า “ُ‫”احرج‬ซึงแปลว่า “รับการกรอกเลือด” เป็ นคาที่ อิบนุ ลฮยอะห์รายงานผิดพลาด เพราะคาเดิมทีถกต้อง
                                ่                                        ุ ั                                 ู่
คือ “‫ ”احرجش‬ซึงแปลว่า ทาเป็ นห้อง หรือกันเป็ นห้อง คาสองคานี้เขียนเหมือนกัน ต่างกันเพียงอักษรสุดท้าย ซึงทีถูกต้องคือ
                 ่                          ้                                                          ่ ่
อักษร “‫( س‬รออฺ)” แต่ อิบนุ ลุฮยอะห์ เขียนผิดเป็ นอักษร “َ (มีม)” ความหมายจึงเปลียนไป
                              ั                                                 ่

         การตัซฮีฟในลักษณะดังกล่าวมักเกิดขึนบ่อย ในการรายงานฮะดีษยุคหลังทีนยมคัดลอกต่อๆกันมา แต่กสามารถ
                                           ้                              ่ ิ                      ็
ตรวจสอบได้งายโดยวิธกลับไปดูตวบทเดิม สาหรับวิธทวไปของนักปราชญ์ทางวิชาฮะดีษ มุฮดดิซน ในการตรวจสอบนัน จะ
           ่       ี        ั                  ี ั่                            ั ี                    ้
ใช้วธนาสายรายงานต่างๆของฮะดีษมาเปรียบเทียบ เช่นเดียวกับวิธการหาอิลละห์ และจะต้องใช้ความรูเกียวกับภาษา และ
    ิี                                                    ี                              ้ ่
การใช้ภาษาอีกด้วย

         สาหรับตัวอย่างข้างต้นนัน พบว่า สายรายงานต่าง ๆทีรายงานมา ทังของท่านอิมามอะห์หมัด ท่านอิมามบุคอรีย์
                                ้                             ่          ้
และท่านอิมามมุสลิม นัน รายงานจากคนเดียวกันคือ บิสรฺ อิบนฺ สะอีด จากซัยดฺ อิบนุ ซาบิต ดังนี้
                     ้                                          ๊
*(อะห์หมัด : อัลมุสนัด เล่ม 5 หน้ า 187 และอัลบุคอรีย ์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 6113)

‫اى رسْل هللا صلى هللا عليَ ّسلن احتجر فى الوسجذحجرح‬

และบางรายงานมีตวบทดังนี้
                  ั
*(อะห์หมัด : อัลมุสนัด เล่ม 5 หน้ า 182 ,อัลบุคอรีย ์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 731 และมุสลิ ม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษ
หมายเลข 781)

‫اى الٌجى هللا صلى هللا عليَ ّسلن اتخذحجرحفى الوسجذهي حصير‬

ความว่า : ท่ านนบีได้ทาห้องในมัสยิ ด จากเสื่อ
9

5. การแทรกในตัวบท (‫)االدراج فى الوتي‬

           หมายถึง การทีผรายงานได้นาส่วนทีไม่ใช่ฮะดีษมาแทรกในฮะดีษ โดยไม่ได้แยกออกจากกันอย่างชัดเจน ทาให้
                           ่ ู้               ่
เข้าใจว่าสานวนทังหมดเป็ นฮะดีษ
                  ้
*(ดู อัลฮากิ ม : มะอฺริฟัต อูลูมิลฮะดีษ” 39-41 และ 135-140 อิ บนุสศอลาห์ : อัลมูกอดดีมะห์ หน้ า 208 และอัสสุยฎีย ์ :
                                                                                 ็                           ู
อัตตัดรีบ เล่ม 1 หน้ า 268-274)

การแทรกในตัวบทฮะดีษนันมีสาเหตุมาจากหลายประการ เช่น :
                     ้

                               ้                       ่ี                     ้ ั
ก. การ อธิบายศัพท์ กล่าวคือ ผูรายงานต้องการอธิบายศัพท์ทปรากฏในตัวบทฮะดีษ แต่ผูฟงบางคนเข้าใจว่าเป็ นฮะดีษและ
เล่าต่อยังผูอ่นในฐานะเป็ นฮะดีษ
            ้ื

ตัวอย่าง :
ฮะดีษของท่านหญิงอาอีชะห์ในเรื่องการเริมต้นของวะหฺยู โดยท่านหญิงอาอิชะห์เล่าว่า :
                                      ่

‫وهىاٌرعثذاٌٍُاًٌ دواخ اٌعذداٌحذَث وواْ صًٍ هللا عٍُه وسٍُ َخٍىتغاسحشاءفُرحٕث‬

คา ว่า “‫ ”وهىاٌرعثذ‬มิใช่เป็ นคาพูดของท่านหญิงอาอิชะห์ แต่เป็ นคาพูดของอัซซุฮฺรย์ (ผูรายงานฮะดีษคนหนึ่ง) ทีนามา
                                                                              ี ้                         ่
แทรกเพืออธิบายความหมายคาว่า “‫”فُرحٕث‬
        ่
*(ดูอลบุคอรีย ์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 3)
     ั

ข. การกล่าวถึงข้อบัญญัตศาสนาทีเกียวข้องกับฮะดีษแล้วรายงานฮะดีษโดยไม่ได้แยกออกจากกัน
                       ิ      ่ ่

ตัวอย่าง :
ฮะดีษของอบูฮรอยเราะห์รายงานจากท่านนบีว่า :
            ุ

‫أسثغىااٌىضىءوًَ ٌأل عماب ِٓ إٌاس‬

ความว่า : ท่ านทังหลายจงอาบน้าละหมาดให้สมบูรณ์ ความวิ บติจากไฟนรกได้ประสบกับส้นเท้า (ที่ล้างไม่ทวถึง)
                   ้                                   ั                                        ั่
*(อัล คอฏีบ ได้รายงานจากอบีกอฎอนและชะมามะห์ จากชุอฺบะห์ จากมุฮมหมัด อับนุ ซียาด จากอบูฮุรอยเราะห์
                                                               ั
ดูอสศูยูฎีย ์ : อัตตัดรีบ เล่ม 1 หน้ า 271)
    ั

        คาว่า “‫ ”أسثغىااٌىضىء‬มิใช่เป็ นคาพูดของท่านนบี แต่เป็ นคาพูดของท่านอบูฮุรอยเราะห์ทตองการบอกถึง
                                                                                          ่ี ้
ข้อบัญญัตของฮะดีษ เพราะในรายงานของท่านอิมามบุคอรียทรายงานจากอาดัม (َ‫ )آد‬จากชัวอฺบะห์ (‫ )ضعثح‬จากมุฮม
           ิ                                      ์ ่ี                                               ั
หมัด อิบนุ ซยาด (‫ )ِحّذ تٓ صَاد‬จากอบูฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่า :
             ิ

‫أسجغْاالْضْء فبى أثب القبسن صلى هللا عليَ ّسلن قبل : ّيل لأل عقبة هي‬
‫الٌبر‬
10

ความว่า : ท่ านอบูฮุรอยเราะห์ กล่าวว่า : ท่านทังหลายจงอาบน้าละหมาดให้สมบูรณ์ เพราะท่ านอบุล กอเซ็ม
                                               ้
(หมายถึงท่ านนบี ) ได้กล่าวว่า : ความวิ บติจากไฟนรกจะประสบกับส้นเท้ า (ที่ ลางไม่ทวถึง)
                                            ั                               ้     ั่
*(อัลบุคอรีย ์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 165)

ค. การรายงานฮะดีษแล้วกล่าวถึงข้อบัญญัต ิ หรือข้อวินิจฉัยของฮะดีษหลังจากนัน โดยไม่ได้แยกออกจากกัน
                                                                         ้

ตัวอย่าง :
ฮะดีษทีรายงานจากอับดุลเลาะห์ อิบนุ มัสอูด ว่า ท่านนบีได้จบมือเขา และได้สอนเขาอ่านตะชะห์ฮด ในตอนท้ายของฮะดีษมี
        ่                               ๊                ั                              ุ
ข้อความว่า :

‫اداقلت ُذافقذقضيت صالتك اى شئت أى تقْم فقن ّاى شئت اى تقعذفبقعذ‬

มีความหมายว่า : เมื่อท่ านอ่านเสร็จก็เท่ ากับท่ านได้ละหมาดเสร็จ หากท่ านจะยืนก็จงยืน และหากท่ านจะนังก็จงนัง
                                                                                                     ่      ่

         ท่าน อิมามนะวะวีย์ (สินชีวตในปี ฮ.ศ.676) ได้กล่าวว่า : นักปราชญ์วชาฮะดีษ (มุฮดดิซน) ระดับฮุฟฟ๊าซ เห็นตรงกัน
                               ้ ิ                                        ิ              ั ี
ว่า ข้อความดังกล่าวมิใช่เป็ นคาพูดของท่านนบี แต่เป็ นคาของอับดุลเลาะห์ อิบนุ มัสอู๊ด ทีแทรกเข้ามา เพราะมีสายรายงาน
                                                                                       ่
อื่นๆทีระบุไว้ชดเจนเช่นนัน
       ่        ั        ้

ขันตอนที่ สอง : การพิ จารณาอิ ลละห์ และรูปแบบต่างๆของอิ ลละห์
  ้

         ความหมายของอิลละห์ในตัวบท อิลละห์ในตัวบทคือ สาเหตุทซ่อนเร้นอยู่ในตัวบทของฮะดีษและทาให้บกพร่อง
                                                            ่ี
ต่อสถานภาพซอฮีฮฺของฮะ ดีษ

         อิลละห์ในตัวบทมีรูปแบบหมายรูปแบบ เช่น :
1. ตัวบทขัดกับอัลกุรอาน
2. ตัวบทขัดกับฮะดีษซอฮีฮฺ ทีได้รบการปฏิบต ิ
                               ่ ั      ั
3. ตัวบทขัดกับประวัตศาสตร์ทชดเจน
                       ิ        ่ี ั
                    ั
4. ตัวบทขัดกับสติปญญาทีบริสทธิ ์
                             ่ ุ
5. ตัวบทขัดกับความรูสก้ ึ
6. ตัวบทมีความหมายในแง่ของการตอบแทนผลบุญ และการลงโทษเกินความจริง
7. ตัวบทมีความหมายทีออนไม่สมกับการเป็ นฮะดีษ
                          ่่

          รูปแบบของอิลละห์ทงหมดนี้ นักปราชญ์ทางวิชาฮะดีษ (มุฮดดิซน) ได้ใช้เป็ นบรรทัดฐานในการพิจารณาฮะดีษ
                           ั้                                  ั ี
โดยทัวไป กล่าวคือ ฮะดีษใดก็ตามที่ พบตัวบทมี “อิ ลละห์” ถึงแม้ว่าสายสืบจะซอฮีฮฺ แต่ฮะดีษนันจะถูกวิ จารณ์ และจะ
      ่                                                                                   ้
ไม่ได้รบการยอมรับ
        ั

             อย่างไรก็ตาม พบว่าในหมูนักปราชญ์ (มุฮดดิซน) นัน มีท่านอิมามอิบนุ ลเญาว์ซย์ (สินชีวตใน ฮ.ศ. 597) เจ้าของ
                                    ่             ั ี ้                                ี ้ ิ
หนังสือชื่อ อัลเมาว์ฎอ๊าต (‫ )اٌّىضىعاخ‬ได้ใช้บรรทัดฐานนี้เฉพาะในกรณีฮะดีษมีสายสืบฎออีฟ หรือ เมาว์ฎอฺเท่านัน ส่วน
                       ู                                                                                 ู๊      ้
ฮะดีษทีมสายสืบซอฮีฮฺ ท่านไม่กล้าหาญทีจะใช้บรรทัดฐานดังกล่าว ซึงต่างกับท่านอิมาม อิบนุ ลกอยยิม (สินชีวตในปี ฮ.ศ.
         ่ ี                            ่                         ่                                 ้ ิ
751) ทีกล้าใช้บรรทัดฐานนี้กบฮะดีษหลายบททีมสายสืบซอฮีฮฺ ในหนังสือของท่านทีมชอว่า “อัลมะนารุลมุนีฟฟิสซอฮีฮฺวฎฎอ
       ่                    ั               ่ ี                                 ่ ี ่ื                             ั
11

อีฟ” (‫)إٌّاسإٌُّف فً اٌصحُح واٌضعُف‬
และต่อไปนี้คอรายละเอียดทีเกียวกับรูปแบบต่างๆของอิลละห์ และตัวอย่าง
            ื            ่ ่

1. การขัดแย้งกับอัลกุรอาน
         การทีตวบทขัดแย้งกับอัลกุรอานถือเป็ นอิลละห์เพียงพอในการไม่ยอมรับฮะดีษ เพราะโดยหลักการแล้ว อัลกุรอาน
              ่ ั
กับอัลฮะดีษจะไม่ขดแย้งกัน มีซอฮาบะห์หลายท่านทีใช้หลักเกณฑ์น้ในการไม่ยอมรับฮะดีษ เช่น ท่านหญิงอาอีชะห์
                 ั                            ่             ี                                                  ไม่
ยอมรับฮะดีษดังต่อไปนี้


‫" اْ اٌُّد َعزب تثىاء أهٍه عٍُه‬คนตายจะถูกทรมานเพราะครอบครัวของเขาร้องไห้ "

*(อัลบุคอรีย์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 1286-1288 และมุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 79,80)

และฮะดีษ

‫وٌذ اٌضٔا ضشاٌثالثح‬             "คนที่ เป็ นลูกซิ นา (นอกสมรส) เป็ นคนที่ ชวที่ สดในสามคน"
                                                                           ั่ ุ

*(อัลฮากิม : อัลมุสตัดร็อก เล่ม 4 หน้า 100)

เพราะฮะดีษนี้ขดกับอัลกุรอานที่ อัลเลาะห์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ตรัสว่า
              ั


‫وال ذَضِ ُ واصِس ُ وِص ُ أخشي‬
 َ ْ ‫س َ َج ْ س‬
     َ                      َ
"และไม่มีผแบกภาระใดที่จะแบกภาระของผู้อื่นได้" (หมายถึงแบกความผิดหรือโทษ) (อัลอิสรออฺ : 15)
          ู้

 และได้ปฏิเสธฮะดีษทีรายงานว่า ท่านนบี ได้พดกับคนตายในสงครามบัดรฺ
                       ่                      ู
*(อัลบุคอรีย์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 3976 และหมายเลข 3978-3981 และอันนะซาอีย์ : อัสสุนัน เล่ม 4 หน้า 110 )

เพราะฮะดีษดังกล่าวขัดแย้งกับอัลกุรอานทีอลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า
                                       ่ั

   ْ َ ْ ‫ْ ِع‬
ًَ‫إَِّٔ ُ ال ذسّ ُ اٌّىذ‬
                 ‫ه‬
                 َ
“แท้ จริง เจ้า (มุฮมหมัด) จะไม่ทาให้คนตายได้ยิน” (อันนัมลฺ : 80)
                   ั

         และท่านอุมรอิบนุ ลค๊อฏฏอบ ได้ปฏิเสธฮะดีษของท่านฟาฏิมะห์ บินตฺ ก็อยซฺ ทีรายงานว่า :
                   ั                                                            ่

“ท่ านนบีไม่ได้ตดสิ นให้ค่าเลี้ยงดูและที่ อยู่อาศัยแก่นาง เมื่อนางถูกหย่าจากสามีครังสุดท้าย”
                ั                                                                  ้

*(มุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 46)
12

         โดยท่านอุมรกล่าวว่า : เราจะไม่ทิ้งอัลกุรอาน และอัซซุนนะห์ เพียงเพราะคาพูดของหญิงคนหนึ่ งซึ่งเราไม่รู้
                   ั
ว่าเธอมีความจาหรือหลงลืม

อัลกุรอานทีท่านอุมรพูดถึง คือพระดารัสของอัลเลาะหฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทีว่า :
           ่      ั                                                   ่

ُ ُِّ ُ‫ال ذخشِجىهَُّٓ ُِْٓ تُىذِهَُّٓ وال ََخشجَُٓ إِال أَُْْ ََأذَُُِٓ تِفاحط ُ ِث‬
‫َ ِ َ ح َ ِٕح‬
  َ                      ْ                 ْ ْ     َ ِ             ِ          ْ
      “พวกเจ้าอย่าได้ขบไล่พวกนางออกไปจากบ้านของพวกนาง และพวกนางจะต้องไม่ออกไป นอกจากเมื่อพวก
                      ั
นางได้นามาซึ่งความชัวอันชัดแจ้ง” (อัฏฏอล๊าก : 1)
                    ่

       นักปราชญ์ทางวิชาฮะดีษ (มุฮดดิซน) กลุมหนึ่งได้ใช้หลักเกณฑ์ดงกล่าวนี้ตดสินฮะดีษหลายบทว่าเป็ นฮะดีษฎออีฟ
                                 ั ี       ่                      ั        ั
ทังๆทีสายสืบของฮะดีษนันซอฮีฮฺ ในทีน้ขอยกตัวอย่างเพียงตัวอย่างเดียว คือ
  ้ ่                 ้           ่ ี

ฮะดีษของท่านอบูฮรอยเราะห์ รายงานว่า : ท่านนบี
                ุ                                     ได้จบมือข้าพเจ้าและกล่าวว่า :
                                                          ั

          อัลเลาะห์ทรงสร้างดินในวันเสาร์ สร้างภูเขาในวันอาทิตย์ สร้างต้นไม้ในวันจันทร์ สร้างสิงทีน่ารังเกียจในวันอังคาร
                                                                                              ่ ่
สร้างแสงสว่างในวันพุธ สร้างสิงสาราสัตว์ให้กระจัดกระจายในผืนแผ่นดินในวันพฤหัสบดี และสร้าง อาดัม อะลัยฮิสลาม ตอน
หลังเวลาอัศรฺ (สายัณห์) ของวันศุกร์
*(มุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 2789)

      นัยของฮะดีษบทนี้ชชดว่า อัลเลาะห์ ซุบฮานะฮุวะตะอาลา ทรงสร้างสรรค์พสิงทังหลายในเจ็ดวัน นัยดังกล่าวขัดแย้ง
                          ้ี ั                                           ่ ้
กับพระดารัสแห่งอัลเลาะห์ ตะอาลาทีว่า :
                                 ่

ُِ ‫اٌٍَّ ُ اٌَّزٌ خٍَكَُ اٌسّاوا ُ واألسضَُ فٍِ سر ُ أََ ُ ث ُ اسرىي عًٍَ اٌعش‬
 ‫ْ َ ْش‬    َ  َ َ ْ ُ َ‫ِ َّح َّا‬
                    َّ       ِ           ْ َ ‫َّ َ َ خ‬
                                               ِ              َ  ِ ‫ه‬
“อัลเลาะห์ผทรงสร้างบรรดาชันฟ้ าและแผ่นดิ นภายในหกวัน แล้วทรงสถิ ตอยู่บนบัลลังก์” (อัลอะอฺรอฟ : 54)
           ู้             ้

        ด้วยเหตุน้นักปราชญ์ทางวิชาฮะดีษหลายคน จึงวิจารณ์และปฏิเสธฮะดีษดังกล่าว เช่น ท่านอิมามบุคอรีย์ (สินชีวตใน
                   ี                                                                                          ้ ิ
ปี ฮ.ศ.256) *(ดู อัลบุคอรีย์ : อัตตารีคลกะบีร หน้า 412 อัลบุคอรียวจารณ์ว่าเป็ นคาพูดของท่านกะอ์บฺ อัลอะฮฺบาร และดู อิบนุ
                                       ุ้   ๊                    ์ิ
ลกอยยิม : อัลมานารุลมุนีฟ หน้า 84)

และท่านอิบนุ กะซีร (สินชีวตในปี ฮ.ศ. 774) *(ดู อิบนุ กะซีร : ตัฟซีรกุรอานนิลอะซีม เล่ม 2 หน้า 220)
                      ้ ิ

2.ขัดแย้งกับฮะดีษซอฮีฮฺ ที่ ได้รบการปฏิ บติ
                                ั        ั

        ท่านหญิงอาอิชะห์ ได้ปฏิเสธฮะดีษหลายบทเนื่องจากไปขัดแย้งกับฮะดีษทีซอฮีฮฺและได้รบการปฏิบต ิ เช่น
                                                                                ่     ั       ั
ปฏิเสธฮะดีษทีรายงานว่า : ผู้หญิ ง ลา และสุนข เมื่อเดิ นผ่านผู้ละหมาดจะทาให้เสียละหมาด
             ่                             ั


เพราะท่านหญิงอาอีชะห์เองเคยนอนขวางหน้าท่านนบี ขณะท่าน นบี กาลังละหมาด
*(อัลบุคอรีย์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 514 และมุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 269)
13

        และปฏิเสธฮะดีษทีบอกว่า “‫“ ”اٌّاءِٓ اٌّاء‬น้ านันจากน้ า” หมายถึงต้องอาบน้ าเมือมีการหลังน้ าอสุจ ิ
                           ่                          ้                             ่         ่
*(อัซซัรกะซีย์ : อัลอิยาบะห์ หน้า 145)


เพราะขัดกับฮะดีษอีกบทหนึ่งทีบอกว่า
                            ่

ً‫اراجاوصاٌخراْ فمذ وجة اٌغس‬
“เมื่อองคชาติ ของชายล่วงลาของหญิงก็จาเป็ นต้องอาบน้า” หมายถึงไม่จาเป็ นต้องมีการหลัง่
                             ้
*(มุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 349)

         การใช้หลักเกณฑ์ดงกล่าวในการปฏิเสธฮะดีษ เป็ นสิงทีงายสาหรับซอฮาบะห์อย่างท่านหญิงอาอีชะห์ หรือคนอืนๆ ที่
                            ั                               ่ ่่                                                 ่
               ั                                             ั ่ ่ ั
เคยได้ยนได้ฟงฮะดีษโดยตรงจากท่านนบีมาแล้ว แล้วมาได้ฟงในสิงทีขดแย้งกันจากซอฮาบะห์ แต่สาหรับนักปราชญ์ (มูฮด
       ิ                                                                                                           ั
ดิซน) แล้วเป็ นสิงทีไม่งายเลย ด้วยเหตุน้เราจึงได้เห็นทัศนะต่างๆทีขดแย้งกันในการใช้เงือนไขดังกล่าว เพือปฏิเสธหรือ
   ี             ่ ่ ่                  ี                        ่ ั                ่               ่
ยอมรับฮะดีษ ดังตัวอย่างสองตัวอย่างต่อไปนี้คอ   ื

         ตัวอย่างทีหนึง : ฮะดีษของท่านอิบนุ อับบาส รายงานว่า ท่ านนบีได้ตดสิ นคดีด้วยการสาบานและพยานหนึ่ ง
                   ่ ่                                                   ั
คน

*(ฮะ ดีษหมายเลข 1712 ฮะดีษบทนี้อตติรมีซยได้รายงานจากอบีฮุรอยเราะห์ สะอีด อิบนุ อุบาดะห์ และญาบิร ฮะดีษหมายเลข
                                    ั      ี์                          ๊
1343 และ 1344 อัตติรมิซย์ วิจารณ์ว่า เป็ นฮะดีษฮะซัน ฆอรีบ)
                       ี

          ท่านอิมามมาลิก (สินชีวตในปี ฮ.ศ.ที่ 179) ท่านอิมามชาฟิอย์ (สินชีวตในปี ฮ.ศ.ที่ 204) และท่านอิมามอะห์หมัด
                              ้ ิ                                ี ้ ิ
(สินชีวตในปี ฮ.ศ. 241) ได้ยดถือฮะดีษบทนี้ แต่อบูฮะนีฟะห์ (สินชีวตในปี ฮ.ศ.150) ได้ปฏิเสธ เนื่องจากไปขัดกับฮะดีษของ
   ้ ิ                      ึ                               ้ ิ
ท่านอัลอัชอัต อิบนุ ก็อยซฺ (ٓ‫ )لُس األضعد ت‬ทีรายงานว่า ท่านนบี ได้ตดสินกรณีพพาทเรืองบ่อน้ า โดยกล่าวว่า :
                                                      ่                        ั           ิ     ่
พยานสองคน (สาหรับโจทก์) หรือ (ให้จาเลย) สาบาน

*(อัล บุคอรีย์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 2516 และมุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 220 อีกรายงานหนึ่งของมุสลิมมี
สานวนเพิม ความว่า “ไม่อนุ ญาตแก่เจ้านอกเหนือจากนัน” ดูฮะดีษหมายเลข 223)
          ่                                        ้

         ตัวอย่างทีสอง : ฮะดีษของท่านรอฟิอฺ อิบนุ คอดีจ (‫ )سافع تٓ خذَج‬ได้เล่าว่า : ฉันได้ยินท่ านนบี กล่าวถึง
                    ่
รายได้ที่เลวที่ สด และหนึ่ งในนันคือ รายได้ของผู้มีอาชีพกรอกเลือด (َ‫)وسة اٌحجا‬
                 ุ              ้

*(มุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 1568)


อีกรายงานหนึ่ง ท่านนบี    กล่าวว่า “รายได้ของผู้มีอาชีพกรอกเลือดเป็ นสิ่ งที่ เลว” (‫)ووسة اٌحجاَ خثُث‬

More Related Content

What's hot

ผลกระทบของลัทธิการเมืองกับพระพุทธศาสนา
ผลกระทบของลัทธิการเมืองกับพระพุทธศาสนาผลกระทบของลัทธิการเมืองกับพระพุทธศาสนา
ผลกระทบของลัทธิการเมืองกับพระพุทธศาสนา
Padvee Academy
 
ศาสนาสากล โดย ครูอัมพร
ศาสนาสากล                โดย ครูอัมพรศาสนาสากล                โดย ครูอัมพร
ศาสนาสากล โดย ครูอัมพรampy48
 
ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู
ศาสนาพราหมณ์ ฮินดูศาสนาพราหมณ์ ฮินดู
ศาสนาพราหมณ์ ฮินดูJani Kp
 
ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู
ศาสนาพราหมณ์ ฮินดูศาสนาพราหมณ์ ฮินดู
ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู
Padvee Academy
 
Random 140802073902-phpapp02
Random 140802073902-phpapp02Random 140802073902-phpapp02
Random 140802073902-phpapp02Jupiter Jringni
 
การเข้ามาและพัฒนาการพุทธศาสนาในประเทศไทย
การเข้ามาและพัฒนาการพุทธศาสนาในประเทศไทยการเข้ามาและพัฒนาการพุทธศาสนาในประเทศไทย
การเข้ามาและพัฒนาการพุทธศาสนาในประเทศไทย
Padvee Academy
 
ชีวิตและผลงานของพระอนุรุทธะ
ชีวิตและผลงานของพระอนุรุทธะชีวิตและผลงานของพระอนุรุทธะ
ชีวิตและผลงานของพระอนุรุทธะ
Padvee Academy
 
ความรู้พื้นฐานและบ่อเกิดพุทธศาสนามหายาน
ความรู้พื้นฐานและบ่อเกิดพุทธศาสนามหายานความรู้พื้นฐานและบ่อเกิดพุทธศาสนามหายาน
ความรู้พื้นฐานและบ่อเกิดพุทธศาสนามหายาน
Padvee Academy
 
พุทธศาสนามหายานในไทย
พุทธศาสนามหายานในไทยพุทธศาสนามหายานในไทย
พุทธศาสนามหายานในไทย
Padvee Academy
 
เปรียบเทียบพุทธปรัชญาและปรัชญาลัทธิครูทั้ง ๖
เปรียบเทียบพุทธปรัชญาและปรัชญาลัทธิครูทั้ง ๖เปรียบเทียบพุทธปรัชญาและปรัชญาลัทธิครูทั้ง ๖
เปรียบเทียบพุทธปรัชญาและปรัชญาลัทธิครูทั้ง ๖Anchalee BuddhaBucha
 
วิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาเล่าจื๊อ
วิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาเล่าจื๊อวิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาเล่าจื๊อ
วิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาเล่าจื๊อ
Padvee Academy
 
ศาสนาพราหมณ์ บจ.๕
ศาสนาพราหมณ์ บจ.๕ศาสนาพราหมณ์ บจ.๕
ศาสนาพราหมณ์ บจ.๕
Namon Bob
 
ปรัชญาเบื้องต้น บทที่ ๖ ปรัชญาตะวันออก
ปรัชญาเบื้องต้น บทที่ ๖ ปรัชญาตะวันออกปรัชญาเบื้องต้น บทที่ ๖ ปรัชญาตะวันออก
ปรัชญาเบื้องต้น บทที่ ๖ ปรัชญาตะวันออก
Padvee Academy
 
พระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนาพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนา
Padvee Academy
 

What's hot (15)

ผลกระทบของลัทธิการเมืองกับพระพุทธศาสนา
ผลกระทบของลัทธิการเมืองกับพระพุทธศาสนาผลกระทบของลัทธิการเมืองกับพระพุทธศาสนา
ผลกระทบของลัทธิการเมืองกับพระพุทธศาสนา
 
ศาสนาสากล โดย ครูอัมพร
ศาสนาสากล                โดย ครูอัมพรศาสนาสากล                โดย ครูอัมพร
ศาสนาสากล โดย ครูอัมพร
 
ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู
ศาสนาพราหมณ์ ฮินดูศาสนาพราหมณ์ ฮินดู
ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู
 
ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู
ศาสนาพราหมณ์ ฮินดูศาสนาพราหมณ์ ฮินดู
ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู
 
Random 140802073902-phpapp02
Random 140802073902-phpapp02Random 140802073902-phpapp02
Random 140802073902-phpapp02
 
การเข้ามาและพัฒนาการพุทธศาสนาในประเทศไทย
การเข้ามาและพัฒนาการพุทธศาสนาในประเทศไทยการเข้ามาและพัฒนาการพุทธศาสนาในประเทศไทย
การเข้ามาและพัฒนาการพุทธศาสนาในประเทศไทย
 
ชีวิตและผลงานของพระอนุรุทธะ
ชีวิตและผลงานของพระอนุรุทธะชีวิตและผลงานของพระอนุรุทธะ
ชีวิตและผลงานของพระอนุรุทธะ
 
ความรู้พื้นฐานและบ่อเกิดพุทธศาสนามหายาน
ความรู้พื้นฐานและบ่อเกิดพุทธศาสนามหายานความรู้พื้นฐานและบ่อเกิดพุทธศาสนามหายาน
ความรู้พื้นฐานและบ่อเกิดพุทธศาสนามหายาน
 
พุทธศาสนามหายานในไทย
พุทธศาสนามหายานในไทยพุทธศาสนามหายานในไทย
พุทธศาสนามหายานในไทย
 
เปรียบเทียบพุทธปรัชญาและปรัชญาลัทธิครูทั้ง ๖
เปรียบเทียบพุทธปรัชญาและปรัชญาลัทธิครูทั้ง ๖เปรียบเทียบพุทธปรัชญาและปรัชญาลัทธิครูทั้ง ๖
เปรียบเทียบพุทธปรัชญาและปรัชญาลัทธิครูทั้ง ๖
 
วิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาเล่าจื๊อ
วิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาเล่าจื๊อวิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาเล่าจื๊อ
วิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาเล่าจื๊อ
 
ศาสนาพราหมณ์ บจ.๕
ศาสนาพราหมณ์ บจ.๕ศาสนาพราหมณ์ บจ.๕
ศาสนาพราหมณ์ บจ.๕
 
ปรัชญาเบื้องต้น บทที่ ๖ ปรัชญาตะวันออก
ปรัชญาเบื้องต้น บทที่ ๖ ปรัชญาตะวันออกปรัชญาเบื้องต้น บทที่ ๖ ปรัชญาตะวันออก
ปรัชญาเบื้องต้น บทที่ ๖ ปรัชญาตะวันออก
 
พระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนาพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนา
 
สส
 

Viewers also liked

วิจารณ์เวียนว่ายตายเิกด
วิจารณ์เวียนว่ายตายเิกดวิจารณ์เวียนว่ายตายเิกด
วิจารณ์เวียนว่ายตายเิกดMuttakeen Che-leah
 
THE SUN CITY MINH SƠN, QUẬN 9
THE SUN CITY MINH SƠN, QUẬN 9THE SUN CITY MINH SƠN, QUẬN 9
THE SUN CITY MINH SƠN, QUẬN 9
Reland Hau
 
ลัทธิภาคีนิยมในรั้วมหาวิทยาลัย
ลัทธิภาคีนิยมในรั้วมหาวิทยาลัยลัทธิภาคีนิยมในรั้วมหาวิทยาลัย
ลัทธิภาคีนิยมในรั้วมหาวิทยาลัยMuttakeen Che-leah
 
Poverty
PovertyPoverty
Book wahabi
Book wahabiBook wahabi
Book wahabi
Muttakeen Che-leah
 
แผนที่ตรรกะ
แผนที่ตรรกะแผนที่ตรรกะ
แผนที่ตรรกะMuttakeen Che-leah
 
New patani by anond.
New patani by anond.New patani by anond.
New patani by anond.
Muttakeen Che-leah
 
ตรรกเอาความเป็นรูปธรรม
ตรรกเอาความเป็นรูปธรรมตรรกเอาความเป็นรูปธรรม
ตรรกเอาความเป็นรูปธรรมMuttakeen Che-leah
 
หนทางสสะลาฟียฺ
หนทางสสะลาฟียฺหนทางสสะลาฟียฺ
หนทางสสะลาฟียฺ
Muttakeen Che-leah
 
เดินทางโดยไม่มีมะฮฺรอม.Doc
 เดินทางโดยไม่มีมะฮฺรอม.Doc  เดินทางโดยไม่มีมะฮฺรอม.Doc
เดินทางโดยไม่มีมะฮฺรอม.Doc Muttakeen Che-leah
 
เล่ห์ชัยฏอน
เล่ห์ชัยฏอนเล่ห์ชัยฏอน
เล่ห์ชัยฏอนMuttakeen Che-leah
 
มาตรวจสอบอารมณ์กันก่อนที่จะวิเคราะห์
มาตรวจสอบอารมณ์กันก่อนที่จะวิเคราะห์มาตรวจสอบอารมณ์กันก่อนที่จะวิเคราะห์
มาตรวจสอบอารมณ์กันก่อนที่จะวิเคราะห์Muttakeen Che-leah
 
วิเคราะห์ฮะดีษ
วิเคราะห์ฮะดีษวิเคราะห์ฮะดีษ
วิเคราะห์ฮะดีษMuttakeen Che-leah
 
ถลกหนังไซออนนีส
ถลกหนังไซออนนีสถลกหนังไซออนนีส
ถลกหนังไซออนนีสMuttakeen Che-leah
 

Viewers also liked (18)

วิจารณ์เวียนว่ายตายเิกด
วิจารณ์เวียนว่ายตายเิกดวิจารณ์เวียนว่ายตายเิกด
วิจารณ์เวียนว่ายตายเิกด
 
THE SUN CITY MINH SƠN, QUẬN 9
THE SUN CITY MINH SƠN, QUẬN 9THE SUN CITY MINH SƠN, QUẬN 9
THE SUN CITY MINH SƠN, QUẬN 9
 
ลัทธิภาคีนิยมในรั้วมหาวิทยาลัย
ลัทธิภาคีนิยมในรั้วมหาวิทยาลัยลัทธิภาคีนิยมในรั้วมหาวิทยาลัย
ลัทธิภาคีนิยมในรั้วมหาวิทยาลัย
 
Poverty
PovertyPoverty
Poverty
 
Book wahabi
Book wahabiBook wahabi
Book wahabi
 
Al kafi
Al kafiAl kafi
Al kafi
 
แผนที่ตรรกะ
แผนที่ตรรกะแผนที่ตรรกะ
แผนที่ตรรกะ
 
New patani by anond.
New patani by anond.New patani by anond.
New patani by anond.
 
ตรรกเอาความเป็นรูปธรรม
ตรรกเอาความเป็นรูปธรรมตรรกเอาความเป็นรูปธรรม
ตรรกเอาความเป็นรูปธรรม
 
Pramote tarorveah
Pramote tarorveahPramote tarorveah
Pramote tarorveah
 
หนทางสสะลาฟียฺ
หนทางสสะลาฟียฺหนทางสสะลาฟียฺ
หนทางสสะลาฟียฺ
 
เดินทางโดยไม่มีมะฮฺรอม.Doc
 เดินทางโดยไม่มีมะฮฺรอม.Doc  เดินทางโดยไม่มีมะฮฺรอม.Doc
เดินทางโดยไม่มีมะฮฺรอม.Doc
 
ทุกศาสนา
ทุกศาสนาทุกศาสนา
ทุกศาสนา
 
เล่ห์ชัยฏอน
เล่ห์ชัยฏอนเล่ห์ชัยฏอน
เล่ห์ชัยฏอน
 
มาตรวจสอบอารมณ์กันก่อนที่จะวิเคราะห์
มาตรวจสอบอารมณ์กันก่อนที่จะวิเคราะห์มาตรวจสอบอารมณ์กันก่อนที่จะวิเคราะห์
มาตรวจสอบอารมณ์กันก่อนที่จะวิเคราะห์
 
Names list of_logical_fallacy
Names list of_logical_fallacyNames list of_logical_fallacy
Names list of_logical_fallacy
 
วิเคราะห์ฮะดีษ
วิเคราะห์ฮะดีษวิเคราะห์ฮะดีษ
วิเคราะห์ฮะดีษ
 
ถลกหนังไซออนนีส
ถลกหนังไซออนนีสถลกหนังไซออนนีส
ถลกหนังไซออนนีส
 

More from Muttakeen Che-leah

ถามให้คิดสะกิดใจ Complete
ถามให้คิดสะกิดใจ Completeถามให้คิดสะกิดใจ Complete
ถามให้คิดสะกิดใจ Complete
Muttakeen Che-leah
 
Bidah
BidahBidah
เหตุผลหรือข้ออ้างลับที่ไม่ถูกเปิดเผย
เหตุผลหรือข้ออ้างลับที่ไม่ถูกเปิดเผยเหตุผลหรือข้ออ้างลับที่ไม่ถูกเปิดเผย
เหตุผลหรือข้ออ้างลับที่ไม่ถูกเปิดเผยMuttakeen Che-leah
 
วิเคราะห์ความโอ้อวด
วิเคราะห์ความโอ้อวดวิเคราะห์ความโอ้อวด
วิเคราะห์ความโอ้อวดMuttakeen Che-leah
 
พระเยซูเป็นพระเจ้าไม่ได้อย่างแน่นอน ด้วยเงื่อนไขบังคับและเงื่อนไขจำเป็น
พระเยซูเป็นพระเจ้าไม่ได้อย่างแน่นอน ด้วยเงื่อนไขบังคับและเงื่อนไขจำเป็นพระเยซูเป็นพระเจ้าไม่ได้อย่างแน่นอน ด้วยเงื่อนไขบังคับและเงื่อนไขจำเป็น
พระเยซูเป็นพระเจ้าไม่ได้อย่างแน่นอน ด้วยเงื่อนไขบังคับและเงื่อนไขจำเป็นMuttakeen Che-leah
 
บันทึกย่อที่ไม่ได้จัดหมวดหมู่
บันทึกย่อที่ไม่ได้จัดหมวดหมู่บันทึกย่อที่ไม่ได้จัดหมวดหมู่
บันทึกย่อที่ไม่ได้จัดหมวดหมู่Muttakeen Che-leah
 
ในการสนทนากับชาวต่างศาสนิกนั้น มีหลายครั้งด้วยกันที่อีกฝ่ายจะยกข้อความมายาว ซ...
ในการสนทนากับชาวต่างศาสนิกนั้น มีหลายครั้งด้วยกันที่อีกฝ่ายจะยกข้อความมายาว ซ...ในการสนทนากับชาวต่างศาสนิกนั้น มีหลายครั้งด้วยกันที่อีกฝ่ายจะยกข้อความมายาว ซ...
ในการสนทนากับชาวต่างศาสนิกนั้น มีหลายครั้งด้วยกันที่อีกฝ่ายจะยกข้อความมายาว ซ...Muttakeen Che-leah
 
แนวทางศึกษาอิสลามให้ได้ซึ่งคำสอนที่แท้จริง
แนวทางศึกษาอิสลามให้ได้ซึ่งคำสอนที่แท้จริงแนวทางศึกษาอิสลามให้ได้ซึ่งคำสอนที่แท้จริง
แนวทางศึกษาอิสลามให้ได้ซึ่งคำสอนที่แท้จริงMuttakeen Che-leah
 
ตรรก และ เหตุผลวิบัติ
ตรรก และ เหตุผลวิบัติตรรก และ เหตุผลวิบัติ
ตรรก และ เหตุผลวิบัติMuttakeen Che-leah
 
เดินทางโดยไม่มีมะฮฺรอม
เดินทางโดยไม่มีมะฮฺรอมเดินทางโดยไม่มีมะฮฺรอม
เดินทางโดยไม่มีมะฮฺรอมMuttakeen Che-leah
 
การทำงานศาสนาด้านต่างๆ ในแง่ของการให้ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับอิสลาม
การทำงานศาสนาด้านต่างๆ ในแง่ของการให้ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับอิสลามการทำงานศาสนาด้านต่างๆ ในแง่ของการให้ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับอิสลาม
การทำงานศาสนาด้านต่างๆ ในแง่ของการให้ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับอิสลามMuttakeen Che-leah
 
ผู้ก่อการร้ายจะต้องเป็นมุสลิมเท่านั้นหรือ
ผู้ก่อการร้ายจะต้องเป็นมุสลิมเท่านั้นหรือผู้ก่อการร้ายจะต้องเป็นมุสลิมเท่านั้นหรือ
ผู้ก่อการร้ายจะต้องเป็นมุสลิมเท่านั้นหรือMuttakeen Che-leah
 

More from Muttakeen Che-leah (17)

ถามให้คิดสะกิดใจ Complete
ถามให้คิดสะกิดใจ Completeถามให้คิดสะกิดใจ Complete
ถามให้คิดสะกิดใจ Complete
 
Bidah
BidahBidah
Bidah
 
ค็อฏฏ๊อบ.Doc
 ค็อฏฏ๊อบ.Doc  ค็อฏฏ๊อบ.Doc
ค็อฏฏ๊อบ.Doc
 
เหตุผลหรือข้ออ้างลับที่ไม่ถูกเปิดเผย
เหตุผลหรือข้ออ้างลับที่ไม่ถูกเปิดเผยเหตุผลหรือข้ออ้างลับที่ไม่ถูกเปิดเผย
เหตุผลหรือข้ออ้างลับที่ไม่ถูกเปิดเผย
 
วิเคราะห์ความโอ้อวด
วิเคราะห์ความโอ้อวดวิเคราะห์ความโอ้อวด
วิเคราะห์ความโอ้อวด
 
พระเยซูเป็นพระเจ้าไม่ได้อย่างแน่นอน ด้วยเงื่อนไขบังคับและเงื่อนไขจำเป็น
พระเยซูเป็นพระเจ้าไม่ได้อย่างแน่นอน ด้วยเงื่อนไขบังคับและเงื่อนไขจำเป็นพระเยซูเป็นพระเจ้าไม่ได้อย่างแน่นอน ด้วยเงื่อนไขบังคับและเงื่อนไขจำเป็น
พระเยซูเป็นพระเจ้าไม่ได้อย่างแน่นอน ด้วยเงื่อนไขบังคับและเงื่อนไขจำเป็น
 
บันทึกย่อที่ไม่ได้จัดหมวดหมู่
บันทึกย่อที่ไม่ได้จัดหมวดหมู่บันทึกย่อที่ไม่ได้จัดหมวดหมู่
บันทึกย่อที่ไม่ได้จัดหมวดหมู่
 
ในการสนทนากับชาวต่างศาสนิกนั้น มีหลายครั้งด้วยกันที่อีกฝ่ายจะยกข้อความมายาว ซ...
ในการสนทนากับชาวต่างศาสนิกนั้น มีหลายครั้งด้วยกันที่อีกฝ่ายจะยกข้อความมายาว ซ...ในการสนทนากับชาวต่างศาสนิกนั้น มีหลายครั้งด้วยกันที่อีกฝ่ายจะยกข้อความมายาว ซ...
ในการสนทนากับชาวต่างศาสนิกนั้น มีหลายครั้งด้วยกันที่อีกฝ่ายจะยกข้อความมายาว ซ...
 
แนวทางศึกษาอิสลามให้ได้ซึ่งคำสอนที่แท้จริง
แนวทางศึกษาอิสลามให้ได้ซึ่งคำสอนที่แท้จริงแนวทางศึกษาอิสลามให้ได้ซึ่งคำสอนที่แท้จริง
แนวทางศึกษาอิสลามให้ได้ซึ่งคำสอนที่แท้จริง
 
ตรรก และ เหตุผลวิบัติ
ตรรก และ เหตุผลวิบัติตรรก และ เหตุผลวิบัติ
ตรรก และ เหตุผลวิบัติ
 
เดินทางโดยไม่มีมะฮฺรอม
เดินทางโดยไม่มีมะฮฺรอมเดินทางโดยไม่มีมะฮฺรอม
เดินทางโดยไม่มีมะฮฺรอม
 
การทำงานศาสนาด้านต่างๆ ในแง่ของการให้ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับอิสลาม
การทำงานศาสนาด้านต่างๆ ในแง่ของการให้ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับอิสลามการทำงานศาสนาด้านต่างๆ ในแง่ของการให้ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับอิสลาม
การทำงานศาสนาด้านต่างๆ ในแง่ของการให้ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับอิสลาม
 
Guide of association
Guide of associationGuide of association
Guide of association
 
ผู้ก่อการร้ายจะต้องเป็นมุสลิมเท่านั้นหรือ
ผู้ก่อการร้ายจะต้องเป็นมุสลิมเท่านั้นหรือผู้ก่อการร้ายจะต้องเป็นมุสลิมเท่านั้นหรือ
ผู้ก่อการร้ายจะต้องเป็นมุสลิมเท่านั้นหรือ
 
Pramote maolid
Pramote maolidPramote maolid
Pramote maolid
 
Radd qardjed
Radd qardjedRadd qardjed
Radd qardjed
 
รับน้อง
รับน้องรับน้อง
รับน้อง
 

แนวทางของนักปราชญ์ในการพิจารณาตัวบทฮะดีษ

  • 1. 1 แนวทางของนักปราชญ์(มุฮดดิ ซีน) ในการพิ จารณาตัวบทฮะดีษ ั บทนา ฮะดีษในนิยามของนักปราชญ์ทางฮะดีษ (มุฮดดิซน) คือสิงทีพาดพิงถึงท่านนบี ในทุกๆด้าน เช่น คาพูด การ ั ี ่ ่ กระทา การยอมรับ ในคุณลักษณะทังในด้านสรีระ และจริย ตลอดจนชีวประวัตของท่าน ทังก่อนและหลังการได้รบการแต่งตัง ้ ิ ้ ั ้ ให้เป็ นนบี *( ดูมสตอฟา อัสซิบาอีย์ : “อัซซุนนะห์วะมากานะตุฮา” หน้า 47 ) ฮะดีษมีองค์ประกอบสาคัญอยู่สองส่วน คือตัวบท ุ (มะตัน ٓ‫ ) ِر‬และสายรายงาน (สะนัด ‫)سٕذ‬ ฮะดีษในยุคของท่านนบี เป็ นเพียงตัวบททีเหล่าสาวก (ซอฮาบะห์) ได้รายงานและจดบันทึกไว้ ครันต่อมาไม่ ่ ้ นานนักก็ได้มการกาหนดสายรายงานสาหรับการรายงานทุกๆฮะดีษ ทังนี้เพือป้องกันการแอบอ้างและกล่าวเท็จต่อท่านนบี ี ้ ่ สายรายงาน (สะนัด) จึงเป็ นส่วนสาคัญต่อการพิจารณาตัวบทฮะดีษว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้องอย่างไร ท่านอิบนุ ซรน *(ซอฮีฮฺ มุสลิม 1/15 บางรายงานระบุว่า เป็ นรายงานของท่านอับดุลลฮฺ บินนุ มุบาร็อก ฮ.ศ.181) ีี (สินชีวตเมือ ฮ.ศ.ที่ 110) กล่าวว่า : ้ ิ ่ สายรายงาน (อิสนาด) นับเป็ นส่วนหนึ่งของศาสนา (อิสลาม) หากไม่มสายรายงานแล้ว บุคคลก็สามารถพูดในสิงที่ ี ่ ตัวเองอยากพูด ตัวบทและสายรายงานฮะดีษได้รบความสนใจอย่างกว้างขวาง จากเหล่านักปราชญ์ทางด้านฮะดีษ (มุฮดดิซน) ทัง ั ั ี ้ ในแง่ของการบันทึก การรวบรวม การกลันกรอง การวิพากษ์วจารณ์ และการอรรถาธิบายในแง่มมต่างๆ ่ ิ ุ ใน ส่วนของสายรายงานนัน นักปราชญ์ (มุฮดดิซน) ได้วางมาตรฐานและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาไว้อย่างละเอียด ้ ั ี และพิสดารยิง จนสามารถกล่าวได้ว่ามุสลิมเป็ นประชาชาติเดียวทีสามารถรักษาตัวบททีถ่ายทอด จากท่านนบี ด้วยระบบ ่ ่ ่ สายสืบและวิธการกลันกรองทีไม่เคยมีประชาชาติใดเคยกระทามาก่อน ี ่ ่ ศาสตร์ ต่างๆของฮะดีษเช่น วิชาทีว่าด้วยทฤษฎีและการหลักในการพิจารณาฮะดีษ (อัลมุสฏอละฮ์) วิชาทีวาด้วยการประเมิน ่ ่่ คุณสมบัตของผูรายงาน (อัลญัรฮฺวตตะอฺดล) วิชาทีว่าด้วยไวรัสของฮะดีษ (อัลอิลล) ศาสตร์เหล่านี้ลวนเป็ นศาสตร์อน ิ ้ ั ี ่ ั ้ ั ละเอียดอ่อน ทีเหล่านักปราชญ์ทางด้านฮะดีษ (มุฮดดิซน) ในอดีตคิดขึนมาเพือกลันกรองฮะดีษ และส่วนใหญ่กจะเกียวข้อง ่ ั ี ้ ่ ่ ็ ่ กับเรื่องของสายรายงานอันประกอบด้วยบุคคล ผูรายงาน กระบวนการรายงาน และสานวนทีใช่ในการรายงาน จนทาให้ดู ้ ่ ประหนึ่งว่านักปราชญ์ทางด้านฮะดีษ(มุฮดดิซนนัน)นัน สนใจในการพิจารณาสายรายงานแต่เพียงด้านเดียว ไม่สนใจพิจารณา ั ี ้ ้ ในส่วนของตัวบท (มะตัน) ซึงก็หมายความว่า ฮะดีษทีใช้ได้นน คือ ฮะดีษทีมสายรายงานถูกต้องเพียงอย่างเดียว ส่วนตัวบท ่ ่ ั้ ่ ี
  • 2. 2 จะเป็ นอย่างไรไม่พจารณา ความเข้าใจดังกล่าวเป็ นความเข้าใจที่ คลาดเคลือนและไม่ถูกต้อง *(เป็ นความเข้าใจของ ิ ่ ั นักปราชญ์ตะวันตก Orientalist และของ ด.ร. อะห์หมัด อะมีน ในหนังสือ “ฟจญรุลอิสลาม” หน้า 217,218 (ดูอซซุนนะห์ ก็อบ ั ลัดตัดวีน หน้า 254) เนื่องจากนักปราชญ์ทางด้านฮะดีษ (มุฮดดิซน) มีแนวทางทีชดเจนในการพิจารณาตัวบทฮะดีษ และได้ ั ี ่ ั ให้ความสาคัญต่อตัวบทไม่แตกต่างจากสายรายงานแต่อย่างใด บทความนี้จงขอมีสวนในการให้ความกระจ่างต่อประเด็นดังกล่าว เพือความเข้าใจทีถูกต้อง ดังรายละเอียดทีจะกล่าว ึ ่ ่ ่ ่ ต่อไป (ْ‫) وهللا اٌّسرعا‬ ขันตอนของนักปราชญ์ทางด้านฮะดีษ (มุฮดดิ ซีน) ในการพิ จารณาตัวบทฮะดีษ ้ ั มีขอเท็จจริงสองประการทีนักปราชญ์มฮดดิซนเห็นตรงกัน คือ : ้ ่ ุ ั ี 1. ฮะดีษทีซอฮีฮฺนน จะต้องซอฮีฮฺ ทังสายสืบ (สะนัด) และตัวบท (มะตัน) ่ ั้ ้ สายสืบซอเฮียะ หมายถึง สายสืบทีตดต่อกันไม่ขาดตอนและผูรายงานทังหมดต้องมีคณธรรมและความจาเป็ นเลิศ ๊ ่ ิ ้ ้ ุ ส่วน ตัวบททีซอฮีฮฺ หมายถึง ไม่ขดแย้งกับสายอื่นทีน่าเชื่อถือมมากกว่า หรือมีจานวนมากกว่า หรือทีรกนในหมู่ ่ ั ่ ่ ู้ ั นักวิชาการว่า “ชูซู๊ซ” และไม่มขอบกพร่องทีซ่อนเร้นอยู่ (ไวรัส) หรือทีรจกกันในหมูนักวิชาการว่า “อิลละห์” ี้ ่ ่ ู้ ั ่ 2. สายสืบทีซอฮีฮฺ ไม่จาเป็ นว่าตัวบทจะต้องซอฮีฮฺเสมอไป เนื่องจากตัวบทอาจมีลกษณะชูซู๊ซ หรือมีอลละห์ และ ่ ั ิ เช่นเดียวกัน ตัวบททีซอฮีฮฺกไม่จาเป็ นว่าสายสืบจะซอฮีฮฺเสมอไป เพราะบางครังพบว่า ฮะดีษหลายบทมีสายรายงานทีไม่ซอฮี ่ ็ ้ ่ ฮฺ เนื่องจากขาดเงือนไขหนึ่งเงือนไขใดของความเป็ นซอฮีฮฺ แต่ตวบทกลับเป็ นตัวบททีซอฮีฮฺ เนื่องจากมีสายรายงานอื่นๆที่ ่ ่ ั ่ ซอฮีฮฺรายงานตัวบทนันๆ ้ อย่างไรก็ตามอาจกล่าวได้ว่าฮะดีษส่วนใหญ่ได้รบการประเมินโดยพิจารณาสายสืบ เป็ นสาคัญ เนื่องจากความ ั น่ าเชื่อถือของผูรายงาน (สายสืบ) แสดงถึงความน่ าเชือถือของข้อมูล (ตัวบท) ยกเว้นในบางกรณีทจาเป็ นต้องพิจารณาข้อมูล ้ ่ ่ี ทีรายงาน(ตัวบท) เนื่องจากมีกรณีแวดล้อมบ่งบอกถึงความไม่น่าเชื่อถือ ่ ท่านอิมามชาฟีอย์ (สินชีวตในปี ฮ.ศ.ที่ 204) ได้อธิบายเรืองดังกล่าวด้วยสานวนวิชาการว่า : ี ้ ิ ่ “ความ น่ าเชื่อถือ และไม่น่าเชื่อถือของฮะดีษส่วนใหญ่นน ขึนอยู่กบความน่ าเชื่อถือ และไม่น่าเชื่อถือของผูรายงาน ั้ ้ ั ้ และมีฮะดีษอยู่จานวนน้อยทีความน่ าเชือถือ และไม่น่าเชื่อถือขึนอยู่กบตัวบท เช่นเป็ นตัวบททีไม่น่าจะเป็ นฮะดีษจากท่านน ่ ่ ้ ั ่ บี หรือเป็ นตัวบททีขดแย้งกับหลักฐานต่างๆทีชดเจน” *(ท่านอัลบัยฮะกีย์ ได้รายงานคาพูดนี้ในหนังสือของท่านทีมช่อว่า ่ ั ่ ั ่ ีื “มะอฺรฟะตุซซุนัน วัลอาซ๊าร” หน้า 50) ิ จากข้อความข้างต้นนันพอสรุปได้ว่า นักปราชญ์ทางด้านฮะดีษ (มุฮดดิซน) มีแนวทางในการพิจารณาฮะดีษอยู่สอง ้ ั ี แนวทางคือ 1. พิจารณาความน่ าเชื่อถือของผูรายงานเป็ นเกณฑ์ทใช้กบฮะดีษโดยส่วน ใหญ่ และเป็ นเกณฑ์ธรรมชาติทบคคล ้ ่ี ั ่ี ุ ทัวไปนาไปใช้ในการพิสจน์ความน่ าเชือถือของ ข้อมูลข่าวสาร ่ ู ่ 2. พิจารณาตัวบท เมือมีกรณีแวดล้อมเบียงเบนความน่ าเชื่อถือ ่ ่ นักปราชญ์วชาอัลมุสฏอละห์ ได้กาหนดกรอบไว้อย่างชัดเจนในการพิจารณาตัวบทฮะดีษ กรอบดังกล่าวได้แก่สงที่ ิ ิ่ ถูกระบุไว้ในเงือนไขของการพิจารณาฮะดีษซอฮีฮฺสอง ประการคือ หนึ่ง : ลักษณะทีเรียกว่า “ชูซซ” และสอง :คือลักษณะที่ ่ ่ ู๊
  • 3. 3 เรียกว่า “อิ ลละห์” สองลักษณะดังกล่าวนี้นับเป็ นสาเหตุสาคัญทีทาให้ตวบทไม่น่าเชื่อถือ (ฏ่ออีฟ) ทังๆทีสายรายงานมีความ ่ ั ้ ่ น่ าเชื่อถือ และต่อไปนี้คอรายละเอียดของขันตอนการพิจารณาในเรืองดังกล่าว ื ้ ่ ขันตอนที่ หนึ่ ง : การพิ จารณา “ชูซซ” และรูปแบบต่างๆของชูซซ ้ ู๊ ู๊ ความหมายของ “ชูซซ” ในตัวบท ู๊ ชูซู๊ซ คือการทีรายงานของผูเชือถือได้คนหนึ่งไปขัดแย้งกับรายงานของผูทมความ น่ าเชื่อถือมากกว่า หรือขัดแย้ง ่ ้ ่ ้ ่ี ี กับรายงานของผูทมความน่ าเชือถือจานวนมากกว่า ด้วยการเพิม หรือสับเปลียน หรือทาให้สบสน หรือเปลียนรูปคา หรือ ้ ่ี ี ่ ่ ่ ั ่ แทรกถ้อยคา การขัดแย้งดังกล่าวอาจเกิดจากสาเหตุของความผิดพลาด หรือความเข้าใจผิดของผูรายงานก็ได้ ้ นักปราชญ์ (มุฮดดิซน) มีวธคนพบชูซู๊ซ สองวิธคอ ั ี ิี ้ ี ื ก. รวบรวมสายรายงานและสานวนของฮะดีษเพือเปรียบเทียบว่าสานวนของแต่ละสายมีความสอดคล้องกันหรือขัดแย้งกัน ่ อย่างไร ข. ค้นหาทัศนะของผูเชียวชาญจากหนังสือ “อิลลฮะดีษ” หรือหนังสืออธิบายฮะดีษ หรือหนังสืออื่นๆ ้ ่ ั รูปแบบต่างๆของชูซซในตัวบท ู๊ 1. การเพิ่ มในตัวบท (‫)السيبدحفي الوتي‬ คือ การทีผรายงานคนหนึ่งรายงานตัวบทเพิมจากผูรายงานคนอื่นๆ ทีรายงานฮะดีษเดียวกัน ในเรืองนี้นักปราชญ์ ่ ู้ ่ ้ ่ ่ ั ั ิ ั ู ิ ทางวิชาฮะดีษ (มุฮดดิซน) มีทศนะแตกต่างกัน*(ดูอลฮากิม : “มะอฺรฟต อูลมลฮะดีษ” หน้า 130 และอิบนุ ศอลาห์ มูกอดดิมะห์ ั ี ็ หน้า 185) ทัศนะทีชดเจนทีสดคือ ทัศนะของ อิบนุ ศอลาห์ (สินชีวตในปี ฮ.ศ.643) โดยท่านได้แบ่งการเพิมในตัวบทออกเป็ น ่ ั ุ่ ้ ิ ่ สามประเภทคือ ประเภทที หนึ ง : การเพิมทีขดแย้งกับรายงานต่างๆของผูรายงานทีเชื่อถือได้ (อัซซิกอต ‫ ) اٌثماخ‬การเพิม ่ ่ ่ ่ ั ้ ่ ็ ่ ประเภทนี้ไม่เป็ นทียอมรับ ่ ตัวอย่าง : ฮะดีษทีรายงานโดยอิมามบุคอรีย์ ด้วยสายสืบดังนี้ : ่ จากอับดุลเลาะห์กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามท่านนบี ว่า : การกระทาอย่างไหนเป็ นทีรกยิงสาหรับอัลเลาะห์ ? ่ั ่ ท่านนบีตอบว่า : “การละหมาดในเวลาของมัน” *(อัลบุอคอรีย์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมานเลข 527) ท่านอัลฮาฟิซอิบนุหะญัร กล่าวว่า : ลูกศิษย์ทงหมดของ ชุอฺบะห์ (‫ )ضعثح‬รายงานฮะดีษบทนี้ตรงกันด้วย ั้ สานวน “‫ ”اٌصالجعًٍ ولرها‬ยกเว้นอะลี อิบนุ ฮัฟซฺ (‫ )عًٍ تٓ حفص‬เพียงคนเดียวทีรายงานด้วยสานวน ่ “‫ ”اٌصالجفً أوي ولرها‬ซึงมีความหมายว่า “การละหมาดในตอนเริมของเข้าเวลา” *(อัล ฮากิม : อัลมุสตัดร็อก เล่ม 1 ่ ่ หน้า 188-189 อัลฮากิมถือว่าฮะดีษนี้ซอฮีฮฺ และอัซซะฮะบีย์ เห็นด้วย และอัดดารุกุฏนียได้รายงานไว้ในหนังสืออัสสุนัน เล่ม 1 ์
  • 4. 4 หน้า 246 ) อัดดารุกุฏนียได้วจารณ์ว่า : ข้าพเจ้าไม่คดว่าท่านอาลี จะจดจาฮะดีษนี้ดพอ เนื่องจากเขาอายุมาก และความจาของ ์ ิ ิ ี ั ้ เขาเปลียนแปลง *(อิบนุ ฮะญัร : ฟตฮุลบารีย์ เล่ม 2 หน้า 10 ) ่ ในทีน้จะสังเกตได้อย่างชัดเจนว่า การเพิมในตัวบททีสองทีรายงานโดยอาลีนัน ขัดแย้งกับตัวบททีหนึ่งทีรายงาน ่ ี ่ ่ ่ ้ ่ ่ โดยผูรายงานส่วนใหญ่ ด้วยเหตุน้ทานอิมาม อันนะวะวีย์ (สินชีวตในป ั ฮ.ศ.676) และนักฮะดีษท่านอื่นๆจึงได้ตดสิน (ฮุกม) ้ ี ่ ้ ิ ั ่ ตัวบททีสองว่าเป็ นรายงานฏ่ออีฟ (อ่อน) *(ดูอนนะวะวีย์ : อัลมุจญ์มอฺ เล่ม 3 หน้า 51) ่ ๊ ั ู๊ ประเภทที สอง : การเพิมทีไม่ขดแย้งกับรายงานของผูอน การเพิมประเภทนี้ได้รบการยอมรับ ่ ่ ่ ั ้ ่ื ่ ั ตัวอย่าง : ฮะดีษทีผรายงานจานวนหนึ่งรายงานจาก อัลอะอฺมช (‫ ) األعّص‬จากอะบีรอซีน (َٓ‫) اتً سص‬ ่ ู้ ั และ อะบีซอและห์ (‫ ) اتً صاٌح‬และอบีฮุรอยเราะห์ (‫ ) اتً هشَشج‬จากท่านนบี กล่าวว่า : “‫“ ”ادا وٌغ اٌىٍة فً أاءأخذوُ فٍُغسٍه سثع ِشاخ‬เมื่อสุนัขเลียในภาชนะของท่าน ท่ านจงล้างมัน เจ็ดครัง” ้ *(อัลบุคอรีย์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 172 , มุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 729 และมาลิก : อัลมูวฏเฏาะห์ ฮะดีษ ั หมายเลข 35) ลูกศิษย์ของอัลอะฮฺมชทังหมดรายงานด้วยสานวนนี้ตรงกัน ยกเว้นอาลี อิบนุ มุสฮิร (‫) عًٍ تٓ ِسهش‬ ั ้ เพียงคนเดียวทีรายงานฮะดีษนี้โดยเพิมคาว่า “‫ ”فٍُشله‬แปลว่า “จงเทมันทิงไป” ก่อนคาคาว่า “‫(* ”فٍُغسٍه‬มุสลิม อัซ ่ ่ ้ ซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 279 และอันนะซาอีย์ : อัสสุนัน เล่ม 1 หน้า 22,63) การ เพิมในตัวบททังสองนี้ไม่ถอว่าขัดแย้งกับตัว ่ ้ ื บททีหนึ่งแต่ประการใด การเพิมดังกล่าวจึงไม่ถอว่าฎ่ออีฟ ตราบใดทีผรายงานเป็ นผูเชื่อถือได้ (ซิเกาะห์ ‫)ثمح‬ ่ ่ ื ่ ู้ ้ ประเภททีสาม : การเพิมทีมลกษณะก้ากึงระหว่างประเภทที่หนึ่งและประเภททีสอง คือมีความเหมือนกับประเภท ่ ่ ่ ีั ่ ่ ทีหนึ่งในด้านหนึ่ง และมีความเหมือนกับประเภททีสองในอีกด้านหนึ่ง ่ ่ ตัวอย่างเช่น : ฮะดีษทีรายงานโดยอบูมาลิก อัลอัชญะอีย์ จากริบอีย์ จากฮุซยฟะห์ จากท่านนบี ่ ั ได้กล่าวว่า ‫وجعٍد ٌٕااألسض وٍهاِسجذ وجعٍد ذشترهإٌاطهىسا‬ “และเขาได้ให้พื้นดิ นทังหมดเป็ นมัสยิด (ที่ ละหมาด) แก่เรา และเขาได้ให้ดินฝุ่ นของมันสะอาดแก่เรา” ้ ิ ั *(มุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 522 อะห์หมัด : อัลมุสนัด เล่ม 5 หน้า 383 และอัลบัยฮะกีย์ “มะอฺรฟต อัสสุนันวัลอา ซ๊าร” เล่ม 1 หน้า 213) ฮะดีษบทนี้มอบูมาลิกเพียงคนเดียวทีรายงานโดยเพิมคาว่า (‫ )ذشترها‬ในขณะทีผรายงานคนอื่นๆไม่ม ี ี ่ ่ ่ ู้
  • 5. 5 สาหรับความก้ ากึงของตัวอย่างดังกล่าวอธิบายได้ดงนี้ คือ : ่ ั ก. ่ ่ ่ ่ ่ การเพิมคาว่า (‫ )ذشترها‬เหมือนการเพิมในประเภททีหนึ่ง กล่าวคือ คาว่า (‫ )ذشتح‬ซึงมีความหมายว่าดินฝุน แตกต่างจากคาว่า (‫ )األسض‬ซึงแปลว่าพืนดินทัวไป ดังนัน ตัวบททีมเี พิมคาว่า (‫ )ذشتح‬จึงมีความหมายว่าให้ทาความสะอาด ่ ้ ่ ้ ่ ่ (ตะยัมมุม) ด้วยดินฝุ่น ในขณะทีตวบททีผูรายงานส่วนใหญ่รายงานมีความหมายว่า ให้ทาความสะอาด (ตะยัมมุม) ด้วยทุก ่ ั ่ ้ ้ ่ ส่วนของพืนดิน ไม่ว่าจะเป็ นดินฝุนหรืออืนๆก็ตาม ่ ข. การเพิมคาว่า (‫ )ذشترها‬เหมือนการเพิมในประเภททีสอง กล่าวคือ ไม่มการขัดแย้งกันระหว่างสองความหมาย ่ ่ ่ ี เพราะดินฝุ่นก็มาจากพืนดิน หรือเป็ นส่วนหนึ่งของพืนดิน ท่านอิบนุ ซซอลาห์ มิได้ชชดถึงฮุก่มการเพิมในประเภททีสามนี้ ว่า ้ ้ ้ี ั ่ ่ รับได้หรือไม่อย่างไร บรรดานักปราชญ์กมทศนะแตกต่างกัน เช่น ท่านอิมามมาลิก และท่านอิมามชาฟิอย์ มีทศนะยอมรับ ็ ี ั ี ั ส่วนท่านอีมามอบูฮะนีฟะห์ และผูทเี่ ห็นด้วยกลับไม่ยอมรับ ดังนันในตัวอย่างข้างต้น ท่านอิมามมาลิก และท่านอิมามชาฟีอย์ ้ ้ ี จึงอนุ ญาตให้ตะยัมมุมด้วยฝุ่นดินเท่านัน ในขณะทีท่านอิมามอบูฮานีฟะห์ อนุ ญาตให้ตะยัมมุมด้วยทราย หิน ก้อนกรวด หรือ ้ ่ อื่นๆทีมาจากพืนดิน ่ ้ จากการแบ่งข้างต้นทาให้ทราบอย่างชัดเจนว่า การเพิมในตัวบททีเข้าข่ายชูซู๊ซ คือการเพิมในประเภททีหนึ่งเท่านัน ่ ่ ่ ่ ้ 2. การเปลี่ยนตัวบท (‫)القلت في الوتي‬ คือการสับเปลียนคาในตัวบทฮะดีษ *(ดู อิบนุ ศอลาห์ : อัลมุกอดดิมะห์ หน้า 216 , อิบนุ กาซีร : อิคติศอรอูลมลฮะ ่ ็ ู ิ ดีษ หน้า 87 และอัสซูยฏย์ : อัตตัดรีบ เล่ม 1 หน้า 219 ) ู ี ตัวอย่างเช่น : ฮะดีษทีรายงานโดยมุสลิม จากอะบีฮุรอยเราะห์ในเรืองเกียวกับคนเจ็ดประเภททีจะได้อยู่ใต้ร่มเงา ่ ่ ่ ่ ของ อัลเลาะห์ในวันกิยามะห์ หนึ่งในเจ็ดคนนัน ท่านนบี บอกว่า : ้ “คือชายคนหนึ่ งที่ เขาบริ จาคทาน และเขาปกปิ ดการบริจาคจนกระทังมือขวาของเขาไม่รสิ่งที่ มือซ้ายได้บริ จาค” ่ ู้ ٍُ‫ِاأفمد َُّٕه وسجً ذصذق تصذلح فاخفاها حرً الذع‬ ‫ضّاٌها‬ *(มุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 1031) ท่านยะห์ยา อิบนุ ซะอีด อัลก็อฏฏอน ได้รายงานตัวบทนี้ โดยสับเปลียนคาทีขดเส้นใต้ เพราะรายงานทีถูกต้องคือ ๊ ่ ่ ี ่ “จนกระทังมือซ้ายของเขาไม่ร้สิ่งที่ มือขวาของเขาบริ จาค” ่ ู ‫حرً الذعٍُ ضّاٌه ِاذٕفك َُّٕه‬ *(อัลบุคอรีย์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 1423 ฮะดีษสานวนดังกล่าวมีรายงานหลายกระแส) อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ ฮะดีษของอบูฮุรอยเราะห์ รายงานจากท่านนบี ว่า : เมื่อท่ านจะสุญด ท่านอย่าคุกเข่า ู เหมือนอูฐ ท่ านจงวางมือทังสองก่อนหัวเข่าทังสอง ้ ้
  • 6. 6 ‫سوثرُٓ لثً َذَه اداسخذ أحذوُ فالَثشن اٌثعُش وٌُصع‬ *(อบูดาวูด : อัซสุนัน ฮะดีษหมายเลข 840 อันนะซาอีย์ : อัซสุนัน เล่ม 1 หน้า 149 และ อัดดารีมย์ : อัซสุนัน เล่ม 1 หน้า ี 303) อิบนุ ลกอยยิม (สินชีวตในปี ฮ.ศ.ที่ 751) กล่าวว่า : ้ ิ "ฮะดีษบทนี้มการสับเปลียนคาทีมขดเส้นใต้ รายงานทีน่าจะถูกต้องคือ “จงวางหัวเข่าทังสองก่อนวางมือ” ี ่ ่ ีี ่ ้ ‫وٌُصع سوثرُه لثً َذَه‬ *(ดูอบนุ ลกอยยิม : ซาดุลมาอ๊าด เล่ม 1 หน้า 57) ิ อย่างไรก็ตาม ตัวบททีนักปราชญ์ทางวิชาฮะดีษ (มุฮดดิซน) พบว่ามีการสับเปลียน ถือว่าเป็ นตัวบททีอ่อน (ฏ่อ ่ ั ี ่ ่ อีฟ) เพราะการสับเปลียนย่อมเกิดขึนจากความจาทีบกพร่องของผูรายงาน ่ ้ ่ ้ 3. การสับสนในตัวบท (‫)االضطراة في الوتي‬ หมายถึง ตัวบททีรายงานขัดแย้งกันโดยไม่สามารถประสานกันได้ และแต่ละสายรายงานมีความเท่าเทียมกันใน ่ สถานภาพ *( ดู อัสสูยฏย์ : อัตตัดรีบ เล่ม 1 หน้า 262 และอิบนุ สซอลาห์ : “อัลมูกอดดิมะห์” หน้า 204) ู ี ็ จากนิยามข้างต้น การสับสน(‫ )اضطشاب‬จะเกิดขึ้นได้ดวยสองเงือนไข คือ : ้ ่ ก. รายงานต่างๆทีขดแย้งกันนันมีความเท่าเทียมกันในสถานภาพ โดยทีไม่สามารถให้น้ าหนัก (ตัรญีฮฺ ‫ ) ذشجُح‬กระแส ่ ั ้ ่ หนึ่งกระแสใดได้ ข. ไม่สามารถประสานรวมกันได้ (ญัมอฺ ‫ ) جّع‬ในระหว่างสายรายงานต่างๆ หากไม่สามารถให้น้ าหนักได้ หรือประสานกันได้ดวยวิธการทีถูกต้อง การสับสน(‫ )اضطشاب‬ก็ไม่เกิดขึน การ ้ ี ่ ้ สับสนในตัวบทฮะดีษทาให้ฮะดีษอยู่ในสถานภาพอ่อน (ฏ่ออีฟ) เพราะแสดงว่าผูรายงานไม่มความจาทีมนคง ้ ี ่ ั่ ตัวอย่าง : ฮะดีษทีรายงานโดยอิบนิอบบาส กล่าวว่า *(ดูอบนุ อับดิลบัร : อัตตัมฮีด เล่ม 9 หน้า 26) : ่ ั ิ มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี และกล่าวว่า ชายคนหนึ่ง : ฉันมีแม่ทเี่ สียชีวตแล้ว แม่ฉนขาดการถือศีลอด ฉันจะถือศีลอดให้แม่ของฉันได้หรือไม่ ิ ั ท่านนบี : เธอจงตอบฉันซิ ว่า หากแม่ของเธอมีหนี้ สินติ ดอยู่ เธอจะใช้แทนให้หรือไม่? ชายคนหนึ่ง : ครับ ฉันจะใช้แทนให้ ท่านนบี : หนี้ ของอัลเลาะห์มีสิทธิ์ ยิ่ง (กว่าหนี้ ของมนุษย์ ) ในการชดใช้
  • 7. 7 ฮะดีษบทนี้รายงานจากท่าน อัลอะอฺมช(‫ ) األعّص‬ด้วยตัวบททีขดแย้งกันดังนี้ ั ่ ั 1. ผูรายงานหนึ่งรายงานด้วยสานวนว่า : มีหญิงคนหนึ่งมาหาท่านนบี และกล่าวว่า : แท้จริ งพี่สาวของฉันได้ ้ เสียชีวิตไป และเธอได้ขาดการถือศีลอด ั *(อิบนุ อบดิลบัร : “อัตตัมฮีด” เล่ม 9 หน้า 26 และอิบนุ ฮะญัร : ฟตฮุลบารีย์ เล่ม 4 หน้า 195 ฮะดีษหมายเลข 1953) ั 2. ผูรายงานอีกส่วนหนึ่งรายงานว่า : มีหญิงคนหนึ่งมาหาท่านนบีและกล่าวว่า : แท้จริ งมาราดาของเธอขาดถือศีล ้ อด ฉันจะถือศีลอดแทนเธอให้ได้หรือไม่? *(อบูดาวูด : อัซสุนัน ฮะดีษหมายเลข 3310) 3. อีกรายงานหนึ่งบอกว่า ท่านสะอีด อิบนุ อุบาดะห์ ได้ถามท่านนบีว่า : มารดาของฉันได้เสียชีวต และเธอได้บนไว้ ๊ ิ ว่าจะถือศีลอด โดยยังไม่ได้ชดใช้ ท่านนบีกล่าวว่า : “เธอจงชดใช้ให้มารดาของเธอ” *(อัลบุคอรีย์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 6698) 4. อีกรายงานหนึ่ง เป็ นรายงานของมาลิก จากอิบนุ อับบาส รายงานว่า : ท่านสอัด อิบนุ อุบาดะห์ ได้กล่าวถามท่านน ๊ บีว่า : โอ้ท่านรอซูลลลอฮ์ จะมีประโยชน์ไหมทีฉนจะบริจาคทานให้มารดาของฉันทีเสียชีวตไปแล้ว ? ุ ่ ั ่ ิ ท่านนบีตอบว่า : มี ท่านสอัดถามว่า : แล้วท่านจะใช้ให้ฉนทาอะไรบ้าง ? ๊ ั ท่านนบีตอบว่า : จงให้น้าดื่มแก่คนทังหลาย ้ *(อับนุ อบดิลบัร : อัตตัมฮีด เล่ม 9 หน้า 24 และดูอชเชากานีย์ : “นัยลุลเอาฏ๊อร” เล่ม 8 หน้า 264) ั ั จะสังเกตได้ว่ารายงานทังหมดนี้มความขัดแย้งกัน และรายงานจากซอฮาบะห์คนเดียวกันคือ อิบนุ อับบ๊าซ แต่ละ ้ ี สายรายงานก็มสถานภาพไม่แตกต่างกัน ลักษณะดังกล่าวทาให้ฮะดีษเป็ นมุฏฏอริบได้ ี อย่างไรก็ตาม ผูเขียนเห็นว่าเงือนไขของนักปราชญ์ทางวิชาฮะดีษ (มุฮดดิซน) ทีว่า “ไม่สามารถให้น้ าหนักและไม่ ้ ่ ั ี ่ สามารถประสานระหว่างรายงานต่างๆ” นันเป็ นเงือนไขทีเกิดขึนยากในความเป็ นจริง เนื่องจากไม่พบฮะดีษบทใดทีนักปราชญ์ ้ ่ ่ ้ ่ (มุฮดดิซน) มีทศนะตรงกันว่าเป็ นฮะดีษมุฏฏอริบ แม้แต่ตวอย่างข้างต้น กล่าวคือ ท่านอิบนุ อับดิลบัร (สินชีวตในปี ฮ.ศ.463) ั ี ั ั ้ ิ มีทศนะว่าเป็ นมุฏฏอริบ *(อิบนุ อับดิลบัร : อัตตัมฮีด เล่ม9 หน้ 27) ในขณะทีท่านอิบนุ ฮะญัร (สินชีวตในปี ฮ.ศ. 852) มีทศนะ ั ่ ้ ิ ั ั ว่าไม่เป็ น เนื่องจากสามารถหาทางประสานกันได้*(อิบนุ ฮะญัร : ฟตฮุลบารีย์ เล่ม7 หน้า 65 อธิบายฮะดีษหมายเลข 1852 และ 1953) และไม่มฮะดีษบทใดทีขดแย้งกันนอกจากนักปราชญ์ (อุละมาอฺ) จะหาทางในการประสานความหมายหรือให้ ี ่ ั น้ าหนัก ด้วยเหตุน้ี นักปราชญ์ทางวิชาฮะดีษบางคนจึงเห็นว่า ควรเปลียนข้อความในเงือนไขใหม่จากคาว่า “ไม่สามารถ” เป็ น ่ ่ คาว่า “ยาก” เพือจะได้มตวอย่างของฮะดีษในเรื่องดังกล่าว *(ดูอดดะมีนีย์ : มากอยีซ นักดฺมตูนิสซุนนะห์ หน้า 142-145) ่ ี ั ั ู รูปแบบต่างๆของชูซซในตัวบท หมายถึงการเปลียนแปลงถ้อยคาในตัวบทฮะดีษจากรูปเดิมทีทราบกันดี เป็ นรูปอื่น ู๊ ่ ่ *(ด.ร.นูรดดีน อะดัร : มันฮะญุลนักดฺ ฟี อูลูมิลหะอีซ หน้ า 44) ุ 4. การเปลี่ยนแปลงถ้อยคาในตัวบท (‫)التصحيف فى الوتي‬
  • 8. 8 ั ิ ั สาหรับสาเหตุของการตัซฮีฟ นันเกิดขึนจากการเขียนผิด หรือฟงผิด *(อัลบัยฮะกีย์ : “มะอฺรฟต อัสซุนัน วัลอาซ๊าร” ้ ้ เล่ม 1 หน้า 56) ซึง สองประการต่อไปนี้ หากเกิดขึนกับผูรายงานบ่อยครัง เขาจะถูกตาหนิและกลายเป็ นผูรายงานทีอ่อน (ฎอ ่ ้ ้ ้ ้ ่ อีฟ) ได้ แต่ถาเกิดขึนเป็ นบางครังก็ไม่ทาให้สถานภาพของเขาเสียหายแต่อย่างใด เพราะถือว่าความผิดพลาดเป็ นเรืองปกติ ้ ้ ้ ่ ของมนุ ษย์ อย่างไรก็ตาม รายงานของเขาทีมตซฮีฟถือเป็ นรายงานทีออนใช้ไม่ได้ ่ ี ั ่่ ตัวอย่าง : ٍ‫احوذعي شيخَ اسحبق ثي عيسى ثٌباثي لِيئخ قبل : كتت الي هْسى هبرّا‬ ‫عي ثسر ثي سعيذعي زيذ ثي ثبثت اى رسْل هللا صلى هللا ثي عقجخيججرًى‬ ‫الوسج عليَ ّسلن احتجن فى‬ ฮะดีษรายงานโดยอะห์หมัด จากอิสหาก จากอิบนุ ลฮยอะห์ ว่า : แท้จริง ท่านรอซูลลลอฮ์ ได้รบการกรอกเลือดในมัสยิด ุ ั ุ ั *(อะห์หมัด : “อัลมุสนัด” เล่ม 5 หน้า 185 และดูอสสูยูฎย์ : อัตตัดรีบ เล่ม 2 หน้า 193) ั ี คาว่า “ُ‫”احرج‬ซึงแปลว่า “รับการกรอกเลือด” เป็ นคาที่ อิบนุ ลฮยอะห์รายงานผิดพลาด เพราะคาเดิมทีถกต้อง ่ ุ ั ู่ คือ “‫ ”احرجش‬ซึงแปลว่า ทาเป็ นห้อง หรือกันเป็ นห้อง คาสองคานี้เขียนเหมือนกัน ต่างกันเพียงอักษรสุดท้าย ซึงทีถูกต้องคือ ่ ้ ่ ่ อักษร “‫( س‬รออฺ)” แต่ อิบนุ ลุฮยอะห์ เขียนผิดเป็ นอักษร “َ (มีม)” ความหมายจึงเปลียนไป ั ่ การตัซฮีฟในลักษณะดังกล่าวมักเกิดขึนบ่อย ในการรายงานฮะดีษยุคหลังทีนยมคัดลอกต่อๆกันมา แต่กสามารถ ้ ่ ิ ็ ตรวจสอบได้งายโดยวิธกลับไปดูตวบทเดิม สาหรับวิธทวไปของนักปราชญ์ทางวิชาฮะดีษ มุฮดดิซน ในการตรวจสอบนัน จะ ่ ี ั ี ั่ ั ี ้ ใช้วธนาสายรายงานต่างๆของฮะดีษมาเปรียบเทียบ เช่นเดียวกับวิธการหาอิลละห์ และจะต้องใช้ความรูเกียวกับภาษา และ ิี ี ้ ่ การใช้ภาษาอีกด้วย สาหรับตัวอย่างข้างต้นนัน พบว่า สายรายงานต่าง ๆทีรายงานมา ทังของท่านอิมามอะห์หมัด ท่านอิมามบุคอรีย์ ้ ่ ้ และท่านอิมามมุสลิม นัน รายงานจากคนเดียวกันคือ บิสรฺ อิบนฺ สะอีด จากซัยดฺ อิบนุ ซาบิต ดังนี้ ้ ๊ *(อะห์หมัด : อัลมุสนัด เล่ม 5 หน้ า 187 และอัลบุคอรีย ์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 6113) ‫اى رسْل هللا صلى هللا عليَ ّسلن احتجر فى الوسجذحجرح‬ และบางรายงานมีตวบทดังนี้ ั *(อะห์หมัด : อัลมุสนัด เล่ม 5 หน้ า 182 ,อัลบุคอรีย ์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 731 และมุสลิ ม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษ หมายเลข 781) ‫اى الٌجى هللا صلى هللا عليَ ّسلن اتخذحجرحفى الوسجذهي حصير‬ ความว่า : ท่ านนบีได้ทาห้องในมัสยิ ด จากเสื่อ
  • 9. 9 5. การแทรกในตัวบท (‫)االدراج فى الوتي‬ หมายถึง การทีผรายงานได้นาส่วนทีไม่ใช่ฮะดีษมาแทรกในฮะดีษ โดยไม่ได้แยกออกจากกันอย่างชัดเจน ทาให้ ่ ู้ ่ เข้าใจว่าสานวนทังหมดเป็ นฮะดีษ ้ *(ดู อัลฮากิ ม : มะอฺริฟัต อูลูมิลฮะดีษ” 39-41 และ 135-140 อิ บนุสศอลาห์ : อัลมูกอดดีมะห์ หน้ า 208 และอัสสุยฎีย ์ : ็ ู อัตตัดรีบ เล่ม 1 หน้ า 268-274) การแทรกในตัวบทฮะดีษนันมีสาเหตุมาจากหลายประการ เช่น : ้ ้ ่ี ้ ั ก. การ อธิบายศัพท์ กล่าวคือ ผูรายงานต้องการอธิบายศัพท์ทปรากฏในตัวบทฮะดีษ แต่ผูฟงบางคนเข้าใจว่าเป็ นฮะดีษและ เล่าต่อยังผูอ่นในฐานะเป็ นฮะดีษ ้ื ตัวอย่าง : ฮะดีษของท่านหญิงอาอีชะห์ในเรื่องการเริมต้นของวะหฺยู โดยท่านหญิงอาอิชะห์เล่าว่า : ่ ‫وهىاٌرعثذاٌٍُاًٌ دواخ اٌعذداٌحذَث وواْ صًٍ هللا عٍُه وسٍُ َخٍىتغاسحشاءفُرحٕث‬ คา ว่า “‫ ”وهىاٌرعثذ‬มิใช่เป็ นคาพูดของท่านหญิงอาอิชะห์ แต่เป็ นคาพูดของอัซซุฮฺรย์ (ผูรายงานฮะดีษคนหนึ่ง) ทีนามา ี ้ ่ แทรกเพืออธิบายความหมายคาว่า “‫”فُرحٕث‬ ่ *(ดูอลบุคอรีย ์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 3) ั ข. การกล่าวถึงข้อบัญญัตศาสนาทีเกียวข้องกับฮะดีษแล้วรายงานฮะดีษโดยไม่ได้แยกออกจากกัน ิ ่ ่ ตัวอย่าง : ฮะดีษของอบูฮรอยเราะห์รายงานจากท่านนบีว่า : ุ ‫أسثغىااٌىضىءوًَ ٌأل عماب ِٓ إٌاس‬ ความว่า : ท่ านทังหลายจงอาบน้าละหมาดให้สมบูรณ์ ความวิ บติจากไฟนรกได้ประสบกับส้นเท้า (ที่ล้างไม่ทวถึง) ้ ั ั่ *(อัล คอฏีบ ได้รายงานจากอบีกอฎอนและชะมามะห์ จากชุอฺบะห์ จากมุฮมหมัด อับนุ ซียาด จากอบูฮุรอยเราะห์ ั ดูอสศูยูฎีย ์ : อัตตัดรีบ เล่ม 1 หน้ า 271) ั คาว่า “‫ ”أسثغىااٌىضىء‬มิใช่เป็ นคาพูดของท่านนบี แต่เป็ นคาพูดของท่านอบูฮุรอยเราะห์ทตองการบอกถึง ่ี ้ ข้อบัญญัตของฮะดีษ เพราะในรายงานของท่านอิมามบุคอรียทรายงานจากอาดัม (َ‫ )آد‬จากชัวอฺบะห์ (‫ )ضعثح‬จากมุฮม ิ ์ ่ี ั หมัด อิบนุ ซยาด (‫ )ِحّذ تٓ صَاد‬จากอบูฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่า : ิ ‫أسجغْاالْضْء فبى أثب القبسن صلى هللا عليَ ّسلن قبل : ّيل لأل عقبة هي‬ ‫الٌبر‬
  • 10. 10 ความว่า : ท่ านอบูฮุรอยเราะห์ กล่าวว่า : ท่านทังหลายจงอาบน้าละหมาดให้สมบูรณ์ เพราะท่ านอบุล กอเซ็ม ้ (หมายถึงท่ านนบี ) ได้กล่าวว่า : ความวิ บติจากไฟนรกจะประสบกับส้นเท้ า (ที่ ลางไม่ทวถึง) ั ้ ั่ *(อัลบุคอรีย ์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 165) ค. การรายงานฮะดีษแล้วกล่าวถึงข้อบัญญัต ิ หรือข้อวินิจฉัยของฮะดีษหลังจากนัน โดยไม่ได้แยกออกจากกัน ้ ตัวอย่าง : ฮะดีษทีรายงานจากอับดุลเลาะห์ อิบนุ มัสอูด ว่า ท่านนบีได้จบมือเขา และได้สอนเขาอ่านตะชะห์ฮด ในตอนท้ายของฮะดีษมี ่ ๊ ั ุ ข้อความว่า : ‫اداقلت ُذافقذقضيت صالتك اى شئت أى تقْم فقن ّاى شئت اى تقعذفبقعذ‬ มีความหมายว่า : เมื่อท่ านอ่านเสร็จก็เท่ ากับท่ านได้ละหมาดเสร็จ หากท่ านจะยืนก็จงยืน และหากท่ านจะนังก็จงนัง ่ ่ ท่าน อิมามนะวะวีย์ (สินชีวตในปี ฮ.ศ.676) ได้กล่าวว่า : นักปราชญ์วชาฮะดีษ (มุฮดดิซน) ระดับฮุฟฟ๊าซ เห็นตรงกัน ้ ิ ิ ั ี ว่า ข้อความดังกล่าวมิใช่เป็ นคาพูดของท่านนบี แต่เป็ นคาของอับดุลเลาะห์ อิบนุ มัสอู๊ด ทีแทรกเข้ามา เพราะมีสายรายงาน ่ อื่นๆทีระบุไว้ชดเจนเช่นนัน ่ ั ้ ขันตอนที่ สอง : การพิ จารณาอิ ลละห์ และรูปแบบต่างๆของอิ ลละห์ ้ ความหมายของอิลละห์ในตัวบท อิลละห์ในตัวบทคือ สาเหตุทซ่อนเร้นอยู่ในตัวบทของฮะดีษและทาให้บกพร่อง ่ี ต่อสถานภาพซอฮีฮฺของฮะ ดีษ อิลละห์ในตัวบทมีรูปแบบหมายรูปแบบ เช่น : 1. ตัวบทขัดกับอัลกุรอาน 2. ตัวบทขัดกับฮะดีษซอฮีฮฺ ทีได้รบการปฏิบต ิ ่ ั ั 3. ตัวบทขัดกับประวัตศาสตร์ทชดเจน ิ ่ี ั ั 4. ตัวบทขัดกับสติปญญาทีบริสทธิ ์ ่ ุ 5. ตัวบทขัดกับความรูสก้ ึ 6. ตัวบทมีความหมายในแง่ของการตอบแทนผลบุญ และการลงโทษเกินความจริง 7. ตัวบทมีความหมายทีออนไม่สมกับการเป็ นฮะดีษ ่่ รูปแบบของอิลละห์ทงหมดนี้ นักปราชญ์ทางวิชาฮะดีษ (มุฮดดิซน) ได้ใช้เป็ นบรรทัดฐานในการพิจารณาฮะดีษ ั้ ั ี โดยทัวไป กล่าวคือ ฮะดีษใดก็ตามที่ พบตัวบทมี “อิ ลละห์” ถึงแม้ว่าสายสืบจะซอฮีฮฺ แต่ฮะดีษนันจะถูกวิ จารณ์ และจะ ่ ้ ไม่ได้รบการยอมรับ ั อย่างไรก็ตาม พบว่าในหมูนักปราชญ์ (มุฮดดิซน) นัน มีท่านอิมามอิบนุ ลเญาว์ซย์ (สินชีวตใน ฮ.ศ. 597) เจ้าของ ่ ั ี ้ ี ้ ิ หนังสือชื่อ อัลเมาว์ฎอ๊าต (‫ )اٌّىضىعاخ‬ได้ใช้บรรทัดฐานนี้เฉพาะในกรณีฮะดีษมีสายสืบฎออีฟ หรือ เมาว์ฎอฺเท่านัน ส่วน ู ู๊ ้ ฮะดีษทีมสายสืบซอฮีฮฺ ท่านไม่กล้าหาญทีจะใช้บรรทัดฐานดังกล่าว ซึงต่างกับท่านอิมาม อิบนุ ลกอยยิม (สินชีวตในปี ฮ.ศ. ่ ี ่ ่ ้ ิ 751) ทีกล้าใช้บรรทัดฐานนี้กบฮะดีษหลายบททีมสายสืบซอฮีฮฺ ในหนังสือของท่านทีมชอว่า “อัลมะนารุลมุนีฟฟิสซอฮีฮฺวฎฎอ ่ ั ่ ี ่ ี ่ื ั
  • 11. 11 อีฟ” (‫)إٌّاسإٌُّف فً اٌصحُح واٌضعُف‬ และต่อไปนี้คอรายละเอียดทีเกียวกับรูปแบบต่างๆของอิลละห์ และตัวอย่าง ื ่ ่ 1. การขัดแย้งกับอัลกุรอาน การทีตวบทขัดแย้งกับอัลกุรอานถือเป็ นอิลละห์เพียงพอในการไม่ยอมรับฮะดีษ เพราะโดยหลักการแล้ว อัลกุรอาน ่ ั กับอัลฮะดีษจะไม่ขดแย้งกัน มีซอฮาบะห์หลายท่านทีใช้หลักเกณฑ์น้ในการไม่ยอมรับฮะดีษ เช่น ท่านหญิงอาอีชะห์ ั ่ ี ไม่ ยอมรับฮะดีษดังต่อไปนี้ ‫" اْ اٌُّد َعزب تثىاء أهٍه عٍُه‬คนตายจะถูกทรมานเพราะครอบครัวของเขาร้องไห้ " *(อัลบุคอรีย์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 1286-1288 และมุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 79,80) และฮะดีษ ‫وٌذ اٌضٔا ضشاٌثالثح‬ "คนที่ เป็ นลูกซิ นา (นอกสมรส) เป็ นคนที่ ชวที่ สดในสามคน" ั่ ุ *(อัลฮากิม : อัลมุสตัดร็อก เล่ม 4 หน้า 100) เพราะฮะดีษนี้ขดกับอัลกุรอานที่ อัลเลาะห์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ตรัสว่า ั ‫وال ذَضِ ُ واصِس ُ وِص ُ أخشي‬ َ ْ ‫س َ َج ْ س‬ َ َ "และไม่มีผแบกภาระใดที่จะแบกภาระของผู้อื่นได้" (หมายถึงแบกความผิดหรือโทษ) (อัลอิสรออฺ : 15) ู้ และได้ปฏิเสธฮะดีษทีรายงานว่า ท่านนบี ได้พดกับคนตายในสงครามบัดรฺ ่ ู *(อัลบุคอรีย์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 3976 และหมายเลข 3978-3981 และอันนะซาอีย์ : อัสสุนัน เล่ม 4 หน้า 110 ) เพราะฮะดีษดังกล่าวขัดแย้งกับอัลกุรอานทีอลเลาะห์ตาอาลา ได้ตรัสว่า ่ั ْ َ ْ ‫ْ ِع‬ ًَ‫إَِّٔ ُ ال ذسّ ُ اٌّىذ‬ ‫ه‬ َ “แท้ จริง เจ้า (มุฮมหมัด) จะไม่ทาให้คนตายได้ยิน” (อันนัมลฺ : 80) ั และท่านอุมรอิบนุ ลค๊อฏฏอบ ได้ปฏิเสธฮะดีษของท่านฟาฏิมะห์ บินตฺ ก็อยซฺ ทีรายงานว่า : ั ่ “ท่ านนบีไม่ได้ตดสิ นให้ค่าเลี้ยงดูและที่ อยู่อาศัยแก่นาง เมื่อนางถูกหย่าจากสามีครังสุดท้าย” ั ้ *(มุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 46)
  • 12. 12 โดยท่านอุมรกล่าวว่า : เราจะไม่ทิ้งอัลกุรอาน และอัซซุนนะห์ เพียงเพราะคาพูดของหญิงคนหนึ่ งซึ่งเราไม่รู้ ั ว่าเธอมีความจาหรือหลงลืม อัลกุรอานทีท่านอุมรพูดถึง คือพระดารัสของอัลเลาะหฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทีว่า : ่ ั ่ ُ ُِّ ُ‫ال ذخشِجىهَُّٓ ُِْٓ تُىذِهَُّٓ وال ََخشجَُٓ إِال أَُْْ ََأذَُُِٓ تِفاحط ُ ِث‬ ‫َ ِ َ ح َ ِٕح‬ َ ْ ْ ْ َ ِ ِ ْ “พวกเจ้าอย่าได้ขบไล่พวกนางออกไปจากบ้านของพวกนาง และพวกนางจะต้องไม่ออกไป นอกจากเมื่อพวก ั นางได้นามาซึ่งความชัวอันชัดแจ้ง” (อัฏฏอล๊าก : 1) ่ นักปราชญ์ทางวิชาฮะดีษ (มุฮดดิซน) กลุมหนึ่งได้ใช้หลักเกณฑ์ดงกล่าวนี้ตดสินฮะดีษหลายบทว่าเป็ นฮะดีษฎออีฟ ั ี ่ ั ั ทังๆทีสายสืบของฮะดีษนันซอฮีฮฺ ในทีน้ขอยกตัวอย่างเพียงตัวอย่างเดียว คือ ้ ่ ้ ่ ี ฮะดีษของท่านอบูฮรอยเราะห์ รายงานว่า : ท่านนบี ุ ได้จบมือข้าพเจ้าและกล่าวว่า : ั อัลเลาะห์ทรงสร้างดินในวันเสาร์ สร้างภูเขาในวันอาทิตย์ สร้างต้นไม้ในวันจันทร์ สร้างสิงทีน่ารังเกียจในวันอังคาร ่ ่ สร้างแสงสว่างในวันพุธ สร้างสิงสาราสัตว์ให้กระจัดกระจายในผืนแผ่นดินในวันพฤหัสบดี และสร้าง อาดัม อะลัยฮิสลาม ตอน หลังเวลาอัศรฺ (สายัณห์) ของวันศุกร์ *(มุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 2789) นัยของฮะดีษบทนี้ชชดว่า อัลเลาะห์ ซุบฮานะฮุวะตะอาลา ทรงสร้างสรรค์พสิงทังหลายในเจ็ดวัน นัยดังกล่าวขัดแย้ง ้ี ั ่ ้ กับพระดารัสแห่งอัลเลาะห์ ตะอาลาทีว่า : ่ ُِ ‫اٌٍَّ ُ اٌَّزٌ خٍَكَُ اٌسّاوا ُ واألسضَُ فٍِ سر ُ أََ ُ ث ُ اسرىي عًٍَ اٌعش‬ ‫ْ َ ْش‬ َ َ َ ْ ُ َ‫ِ َّح َّا‬ َّ ِ ْ َ ‫َّ َ َ خ‬ ِ َ ِ ‫ه‬ “อัลเลาะห์ผทรงสร้างบรรดาชันฟ้ าและแผ่นดิ นภายในหกวัน แล้วทรงสถิ ตอยู่บนบัลลังก์” (อัลอะอฺรอฟ : 54) ู้ ้ ด้วยเหตุน้นักปราชญ์ทางวิชาฮะดีษหลายคน จึงวิจารณ์และปฏิเสธฮะดีษดังกล่าว เช่น ท่านอิมามบุคอรีย์ (สินชีวตใน ี ้ ิ ปี ฮ.ศ.256) *(ดู อัลบุคอรีย์ : อัตตารีคลกะบีร หน้า 412 อัลบุคอรียวจารณ์ว่าเป็ นคาพูดของท่านกะอ์บฺ อัลอะฮฺบาร และดู อิบนุ ุ้ ๊ ์ิ ลกอยยิม : อัลมานารุลมุนีฟ หน้า 84) และท่านอิบนุ กะซีร (สินชีวตในปี ฮ.ศ. 774) *(ดู อิบนุ กะซีร : ตัฟซีรกุรอานนิลอะซีม เล่ม 2 หน้า 220) ้ ิ 2.ขัดแย้งกับฮะดีษซอฮีฮฺ ที่ ได้รบการปฏิ บติ ั ั ท่านหญิงอาอิชะห์ ได้ปฏิเสธฮะดีษหลายบทเนื่องจากไปขัดแย้งกับฮะดีษทีซอฮีฮฺและได้รบการปฏิบต ิ เช่น ่ ั ั ปฏิเสธฮะดีษทีรายงานว่า : ผู้หญิ ง ลา และสุนข เมื่อเดิ นผ่านผู้ละหมาดจะทาให้เสียละหมาด ่ ั เพราะท่านหญิงอาอีชะห์เองเคยนอนขวางหน้าท่านนบี ขณะท่าน นบี กาลังละหมาด *(อัลบุคอรีย์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 514 และมุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 269)
  • 13. 13 และปฏิเสธฮะดีษทีบอกว่า “‫“ ”اٌّاءِٓ اٌّاء‬น้ านันจากน้ า” หมายถึงต้องอาบน้ าเมือมีการหลังน้ าอสุจ ิ ่ ้ ่ ่ *(อัซซัรกะซีย์ : อัลอิยาบะห์ หน้า 145) เพราะขัดกับฮะดีษอีกบทหนึ่งทีบอกว่า ่ ً‫اراجاوصاٌخراْ فمذ وجة اٌغس‬ “เมื่อองคชาติ ของชายล่วงลาของหญิงก็จาเป็ นต้องอาบน้า” หมายถึงไม่จาเป็ นต้องมีการหลัง่ ้ *(มุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 349) การใช้หลักเกณฑ์ดงกล่าวในการปฏิเสธฮะดีษ เป็ นสิงทีงายสาหรับซอฮาบะห์อย่างท่านหญิงอาอีชะห์ หรือคนอืนๆ ที่ ั ่ ่่ ่ ั ั ่ ่ ั เคยได้ยนได้ฟงฮะดีษโดยตรงจากท่านนบีมาแล้ว แล้วมาได้ฟงในสิงทีขดแย้งกันจากซอฮาบะห์ แต่สาหรับนักปราชญ์ (มูฮด ิ ั ดิซน) แล้วเป็ นสิงทีไม่งายเลย ด้วยเหตุน้เราจึงได้เห็นทัศนะต่างๆทีขดแย้งกันในการใช้เงือนไขดังกล่าว เพือปฏิเสธหรือ ี ่ ่ ่ ี ่ ั ่ ่ ยอมรับฮะดีษ ดังตัวอย่างสองตัวอย่างต่อไปนี้คอ ื ตัวอย่างทีหนึง : ฮะดีษของท่านอิบนุ อับบาส รายงานว่า ท่ านนบีได้ตดสิ นคดีด้วยการสาบานและพยานหนึ่ ง ่ ่ ั คน *(ฮะ ดีษหมายเลข 1712 ฮะดีษบทนี้อตติรมีซยได้รายงานจากอบีฮุรอยเราะห์ สะอีด อิบนุ อุบาดะห์ และญาบิร ฮะดีษหมายเลข ั ี์ ๊ 1343 และ 1344 อัตติรมิซย์ วิจารณ์ว่า เป็ นฮะดีษฮะซัน ฆอรีบ) ี ท่านอิมามมาลิก (สินชีวตในปี ฮ.ศ.ที่ 179) ท่านอิมามชาฟิอย์ (สินชีวตในปี ฮ.ศ.ที่ 204) และท่านอิมามอะห์หมัด ้ ิ ี ้ ิ (สินชีวตในปี ฮ.ศ. 241) ได้ยดถือฮะดีษบทนี้ แต่อบูฮะนีฟะห์ (สินชีวตในปี ฮ.ศ.150) ได้ปฏิเสธ เนื่องจากไปขัดกับฮะดีษของ ้ ิ ึ ้ ิ ท่านอัลอัชอัต อิบนุ ก็อยซฺ (ٓ‫ )لُس األضعد ت‬ทีรายงานว่า ท่านนบี ได้ตดสินกรณีพพาทเรืองบ่อน้ า โดยกล่าวว่า : ่ ั ิ ่ พยานสองคน (สาหรับโจทก์) หรือ (ให้จาเลย) สาบาน *(อัล บุคอรีย์ : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 2516 และมุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 220 อีกรายงานหนึ่งของมุสลิมมี สานวนเพิม ความว่า “ไม่อนุ ญาตแก่เจ้านอกเหนือจากนัน” ดูฮะดีษหมายเลข 223) ่ ้ ตัวอย่างทีสอง : ฮะดีษของท่านรอฟิอฺ อิบนุ คอดีจ (‫ )سافع تٓ خذَج‬ได้เล่าว่า : ฉันได้ยินท่ านนบี กล่าวถึง ่ รายได้ที่เลวที่ สด และหนึ่ งในนันคือ รายได้ของผู้มีอาชีพกรอกเลือด (َ‫)وسة اٌحجا‬ ุ ้ *(มุสลิม : อัซซอฮีฮฺ ฮะดีษหมายเลข 1568) อีกรายงานหนึ่ง ท่านนบี กล่าวว่า “รายได้ของผู้มีอาชีพกรอกเลือดเป็ นสิ่ งที่ เลว” (‫)ووسة اٌحجاَ خثُث‬