Poverty is defined as a lack of material possessions or money relative to wealth. Extreme poverty occurs when household resources are insufficient for basic needs like food, healthcare, and shelter. Poverty is caused by factors such as overpopulation, lack of jobs, education and resources, as well as family circumstances. It is most prevalent in highly populated urban areas where there are fewer jobs and opportunities which can lead to poverty and violence. Several organizations are working to address poverty through initiatives focused on food security, sustainable development, and philanthropic efforts.
Poverty is defined as a lack of material possessions or money relative to wealth. Extreme poverty occurs when household resources are insufficient for basic needs like food, healthcare, and shelter. Poverty is caused by factors such as overpopulation, lack of jobs, education and resources, as well as family circumstances. It is most prevalent in highly populated urban areas where there are fewer jobs and opportunities which can lead to poverty and violence. Several organizations are working to address poverty through initiatives focused on food security, sustainable development, and philanthropic efforts.
1) The document discusses the historical context surrounding the emergence of Wahhabism in the Arabian Peninsula in the 18th century, and analyzes some of the key figures and events involved in its early development and spread.
2) It then examines debates and criticisms around certain aspects of Wahhabi doctrine from other Islamic scholars and sects, focusing on issues like Sufism, worship of graves and saints, and historical interpretations.
3) The summary concludes by noting ongoing theological and ideological disagreements between Wahhabism and other Islamic movements today regarding the proper practice and understanding of Islam.
This document discusses the political history of Patani from a new perspective. It examines the breakdown of the imagined state through overlapping power structures between Thailand and Patani, as well as physical and symbolic violence. The author analyzes the concepts of otherness and discourse to understand how imagined boundaries between individual and society can lead to conflict. Historical events from the 17th century Dutch-Siamese Treaty of 1636 to the establishment of the modern Thai state in the early 20th century shaped the power dynamics and tensions in Patani.
The document discusses the Islamic definition of bid'ah (innovation in religion) and outlines some general rules for recognizing bid'ah according to classical Islamic scholars. It provides examples of actions that would be considered bid'ah and warns of the dangers of bid'ah, such as dividing the Muslim community and altering the religion. The document also refutes claims made by innovators by explaining hadiths and verses used to justify bid'ah. It discusses reasons for religious innovation and ways to eradicate bid'ah, such as warning against its dangers and adhering strictly to the Quran and hadith.
1) The document discusses the historical context surrounding the emergence of Wahhabism in the Arabian Peninsula in the 18th century, and analyzes some of the key figures and events involved in its early development and spread.
2) It then examines debates and criticisms around certain aspects of Wahhabi doctrine from other Islamic scholars and sects, focusing on issues like Sufism, worship of graves and saints, and historical interpretations.
3) The summary concludes by noting ongoing theological and ideological disagreements between Wahhabism and other Islamic movements today regarding the proper practice and understanding of Islam.
This document discusses the political history of Patani from a new perspective. It examines the breakdown of the imagined state through overlapping power structures between Thailand and Patani, as well as physical and symbolic violence. The author analyzes the concepts of otherness and discourse to understand how imagined boundaries between individual and society can lead to conflict. Historical events from the 17th century Dutch-Siamese Treaty of 1636 to the establishment of the modern Thai state in the early 20th century shaped the power dynamics and tensions in Patani.
The document discusses the Islamic definition of bid'ah (innovation in religion) and outlines some general rules for recognizing bid'ah according to classical Islamic scholars. It provides examples of actions that would be considered bid'ah and warns of the dangers of bid'ah, such as dividing the Muslim community and altering the religion. The document also refutes claims made by innovators by explaining hadiths and verses used to justify bid'ah. It discusses reasons for religious innovation and ways to eradicate bid'ah, such as warning against its dangers and adhering strictly to the Quran and hadith.
1. 73
The 60 Fallacies
60 ประการแห่งการใช้เหตุผลที่ผิดพลาด
1. Irrelevant or Questionable Authority (citing one who is neither an authority or is
biased or is unknown)
ยกหลักฐานอ้างอิงทีไม่เกี่ยวข้อง หรือเป็นหลักฐานที่เป็นที่น่าสงสัย อาจจะเนื่องจาก ผู้ที่
่
ถูกอ้างอิงเพื่อเป็นหลักฐานนั้นไม่ใช่ผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆโดยตรง หรือ ไม่ก็ไม่มีใคร
รู้จักเขา หรือ อาจจะเป็นผู้ที่มีอคติในเรื่องนั้นๆ
2. Appeal to Common Opinion (argues that most people accept or reject it)
เอาคนส่วนมาก หรือ ส่วนใหญ่มาเป็นเหตุผล หรือหลักฐาน เพื่อสนับสนุนจุดยืนของตัว
เอง
3. Genetic Fallacy (evaluating something in earlier context and carrying it over to
present)
ทึกทักว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือ คนหนึ่งคนใด เคยมีสภาพหนึ่งๆมาก่อน ก็จะต้องมีสภาพเช่น
นั้นด้วยจนถึงปัจจุบัน (ทังๆที่ไม่จำาเป็นจะต้องเป็นเช่นนั้นเลย) โดยละเลยที่บางสิ่งทีได้
้ ่
เปลี่ยนแปลงไปที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ เช่น พูดว่า “ ผมจะไม่มีทางเลือกเขาเป็นหัวหน้า
พรรคการเมือง เพราะผมโตมากับเขา เรียนห้องเดียวกัน เขาทำาตัวไม่ได้เรื่องเลย หาเรื่องคน
อื่นไปทั่ว คนอย่างนี้พึ่งพาอะไร หรือ หวังอะไรไม่ได้มาก” จะเห็นได้ว่า คนที่พูดเช่นนี้
ทึกทักเอาเองว่า คนๆหนึ่ง หรือ สิงๆหนึ่งมีสภาพในอดีตอย่ารไร ปัจจุบันก็จะต้องเหมือนเดิม
่
ด้วย ซึงไม่จำาเป็นเลยว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น
่
4. Rationalization (saving face; using false reasons to justify)
อ้างเหตุผลที่ไม่ใช่เหตุผล (แก้ตัว) โดยแต่งเหตุผลขึ้นมาเอง โดยทำาให้ดูสมเหตุสมผล
เพื่อต้องการรักษาหน้าตัวเอง หรือ เพื่อรักษาจุดยืนของตนเองที่ไม่คอยมีนำ้าหนักของตนเอง
่
เอาไว้ ทั้งๆทีในความเป็นจริงแล้ว เหตุผลที่ให้มานั้นในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีความ
่
เกี่ยวข้อง หรือ แทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องอย่างแท้จริงที่จะไปสนับสนุนจุดยืนนั้นๆได้ เพราะ
มันไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง แต่สาเหตุหรือเหตุผลที่แท้จริงนั้นถูกปกปิดเอาไว้ จะเนื่องด้วยเหตุ
ใดก็แล้วแต่ ในการใช้เหตุผลที่ถูกต้องนั้น จุดยืน หรือ ความเชือ จะเกิดขึ้นหรือมีขึ้นภาย
่
หลังจากที่ได้มีการนำาเสนอเหตุผล และหลักฐานแล้ว แต่ในกรณีนี้ (อ้างเหตุผลที่ไม่ใช่
เหตุผล) การนำาเสนอเหตุผล และหลักฐาน จะเกิดขึ้นหรือมีขึ้น ภายหลังจากที่ได้มความเชื่อ
ี
หรือ จุดยืนนั้นๆอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่ต้องการแสวงหาเหตุผลเพื่อมาสนับสนุนจุดยืนตนเองที่
กำาลังเป็นประเด็นอยู่ เพื่อให้ดูมีเหตุมีผลที่จะมีจุดยืนเช่นนั้น
5. Drawing the Wrong Conclusion (it’s not supported by the evidence)
2. 74
ผิดพลาดในข้อสรุปที่ได้มา ทั้งนี้ก็เพราะ หลักฐานหรือ เหตุผลที่ยกมานั้น ไม่ได้ไป
สนับสนุนจุดยืน หรือ ข้อสรุปนั้นๆ
6. Using the Wrong Reasons (they don’t support the conclusion)
ใช้เหตุผลทีผิด ( premise) เพื่อสนับสนุนข้อสรุป หรือ จุดยืนหนึ่ง โดยที่เหตุผลที่นำาเสนอ
่
ไม่สามารถไปสนับสนุนจุดยืนนั้นๆได้
7. Appeal to Pity (sympathy replaces good evidence)
นำาเอาความน่าสงสาร มาเป็นเหตุผลสนับสนุนจุดยืนของตนเอง แทนการใช้เหตุผล หรือ
หลักฐานที่ถูกต้อง ที่จะไปสนับสนุนจุดยืนของตนเองได้
8. Appeal to Force or Threat (persuasion by warning)
ใช้การข่มขู่ ถึงผลร้ายที่จะตามมา ถ้าไม่ทำาตามสิงนั้น มาเป็นเหตุผลให้อีกฝ่ายเชื่อ หรือ
่
ทำาตามจุดยืนของตนเอง
9. Appeal to Tradition (custom/heritage are used as evidence)
ใช้ประเพณี หรือ วัฒนธรรม หรือ มรดกตกทอดไม่ว่าจะในด้าน การกระทำาหรือความ
คิด มาเป็นเหตุผล หรือ หลักฐาน สนับสนุนจุดยืนของตนเอง
10. Appeal to Personal Circumstances or Motives (to self-interest instead of real
issues)
ใช้ผลประโยชน์ หรือ สภาพส่วนตัวมาเป็นเหตุผล เพื่อให้เกิดการยอมรับจุดยืนของ
ตนเอง ทังๆที่ยงมีสิ่งอื่นๆที่สำาคัญกว่าที่จะต้องนำามาวิเคราะห์ และพิจารณา
้ ั
11. Exploitation of Strong Feelings and Attitudes (manipulation of deep-seated
feelings)
ใช้ความอ่อนไหวทางอารมณ์ หรือ ความรู้สึกมาเป็นเหตุผล เพื่อให้เกิดการยอมรับ
จุดยืนของตน
12. Use of Flattery (praise replaces evidence)
เอาการชมเชย หรือ การยกย่อง มาเป็นเหตุผลเพื่อให้ได้มาในสิงที่ตนเองต้องการ ไม่วา
่ ่
จะให้ได้มาซึ่งในด้านความเชื่อทีตนเองต้องการให้ผู้อื่นเชื่อย่างตน หรือ ให้ได้มาซึงวัตถุที่
่ ่
ตนเองต้องการ แทนการใช้เหตุผลที่เกี่ยวข้องกัน
13. Assigning Guilt by Association (argues that those with opposite view are viewed
negatively)
ใช้การที่อีกฝ่ายถูกมองด้วยภาพลบไม่ว่าเรื่องหนึ่งเรื่องใดมาเป็นเหตุผล หรือ หลักฐาน
เพื่อสนับสนุนจุดยืนของตนเอง ทีอาจจะไปขัดแย้งกับอีกฝ่าย
่
3. 75
14. Equivocation (word or phrase with two distinct meanings made to appear
equivalent)
ใช้คำาหรือกลุ่มคำาที่มีความหมายต่างกัน แต่ทำาราวกับว่าทั้งสองคำา หรือ กลุ่มคำา มีความ
หมายเดียวกัน
15. Ambiguity (word or phrase subject to more than one interpretation)
ใช้คำาที่อาจะมีความหายมากกว่าหนึ่ง หรือใช้ถ้อยคำาที่อาจเข้าใจไปได้มากกว่าหนึ่ง
อย่าง โดยไม่กล่าวให้ชัดเจนว่า ตนเองกำาลังเข้าใจอย่างไรกับคำา หรือถ้อยคำานั้นๆ
16. Improper Accent (word or phrase emphasized to alter meaning; lifting partial
quote and using it out of context)
ใช้การเน้นคำาหนึ่งคำาใด หรือ ส่วนหนึ่งส่วนใดของประโยคเป็นพิเศษ เพื่อต้องการจะสื่อ
ให้เกิดความเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง หรือ ยกคำาพูดมาไม่หมด เพื่อต้องการเน้นเฉพาะส่วน
ที่ยก เพื่อให้เกิดความเข้าใจไปตามทีตนเองต้องการ เพราะถ้ายกคำาพูดมาทังหมดก็จะทำาให้
่ ้
ไม่ได้อย่างที่ตนเองต้องการได้
17. Illicit Contrast (listener infers from a claim a related contrasting claim)
ทำาให้เกิดความเข้าใจที่ผดที่ตรงกันข้าม หรือ แย้งกับเจตนา หรือคาดเคลื่อนไปจาก
ิ
เจตนา หรือความตั้งใจที่แท้ของผู้พูด ทังนี้เพื่อที่ความเข้าใจผิดตรงนั้นจะได้มารองรับจุดยืน
้
ของตนเอง
18. Argument by Innuendo (veiled claim, without evidence)
พูดสิ่งหนึ่งสิ่งใดออกมาในลักษณะที่แฝงเอาไว้ด้วยการที่ต้องการแสดงจุดยืน อย่างหนึ่ง
อย่างใด โดยสื่อไปในทางที่ลบ เพื่อต้องการลดความน่าเชื่อถือของอีกฝ่าย แต่ไม่พูดออกมา
ตรงๆ แบบชัดเจน ทั้งนี้เพราะตนเองไม่สามารถนำาเหตุผล หรือหลักฐาน (premise) มาสนับ
สนุนจุดยืนที่ถูกปกปิดเอาไว้ของตนเองได้ จึงเลือกที่จะกล่าวแบบอ้อมๆ พูดว่า “ อิสลาม
อนุญาตให้มีภรรยาได้มากกว่าหนึ่งคน” โดยเน้นตรงคำาพูด “ มากกว่าหนึ่งคน” เพื่อต้องการ
แสดงจุดยืนที่แอบแฝง ว่าอิสลามกดขี่สตรี
19. Misuse of a Vague Expression (assigning a very precise meaning to a word or
term like moral education, which is imprecise in meaning)
ใช้คำาหรือสำานวนที่กำากวมคลุมเคลือไม่ชัดเจน ซึงถ้าไม่สร้างความชัดเจน ให้เกิดขึ้นมา
่
เสียก่อน หรือถ้าไม่นยามให้ชัดเจนเสียก่อน ก็ไม่อาจที่จะถกกันต่อไปได้ หรือไม่อาจทีจะหัก
ิ ่
ล้าง หรือพิสูจน์ว่าจริงหรือเท็จได้ เช่น อ้างว่าคนหนึ่งๆเป็นวะฮะบีย์ หรือ อ้างว่า มุสลิมต้อง
สมานฉันทร์กันไว้ก่อน หรืออ้างว่า เป็นพวกหัวรุนแรง หรือ สุดโต่ง หรือ เสียมารยาท แต่
ไม่นิยามหรือตีกรอบคำานั้นๆให้ชัดเจนเสียก่อน ทั้งนี้เพื่อลดความน่าเชื่อถือของอีกฝ่าย หรือ
เพื่อต้องการรองรับกับจุดยืนของตนเอง
9. 81
กำาหนดคำานิยามของสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นมาเพื่อรองรับจุดยืนของตนเองว่าถูกตั้ง ซีงถ้ามี่
การกำาหนดนิยามเช่นนี้ขึ้นมา ตามความต้องการของตนเองแล้ว ก็จะไม่มีทางที่จะพิสูจน์ได้
ว่าจุดยืนของผู้ที่กำาหนดนิยามนั้นผิดพลาด เพราะฉะนั้นจุดยืนของตนเองถูกต้องหรือเป็น
จริงขึ้นมาได้ก็ด้วยนิยามทีตัวเองตังขึ้นมาก่อน เช่น นาย สมชาย นิยามรักแท้เอาไว้ว่า “ รัก
่ ้
ที่จะไม่มีทางทีจะจบลงด้วยการหย่าร้าง หรือ แยกทางกัน” แต่เมื่อมีใครคนใดคนหนึ่งนำา
่
หลักฐานมาพิสูจน์กับนาย สมชายว่า คนหลายคู่ที่เคยรักกันอย่างมาก แต่สุดท้ายก็หย่ากัน
นายสมชายก็ตอบกลับว่า “ นั่นไม่อาจเป็นรักที่แท้จริงได้ เพราะรักแท้นั้น ไม่มีทางทีจะจบลง่
ด้วยการหย่าร้างได้เป็นอันขาด” หรือพูดว่า “ คริสต์ที่แท้จริงจะไม่มีทางออกจากศาสนา
ตนเองละไปเข้าศาสนาอื่น” แต่เมื่อมีระดับบาทหลวงเข้ารับอิสลาม นาย สมชายก็จะพูดว่า
“ นั่นไม่ใช่คริสต์ที่แท้จริงได้เป็นอันขาด เพราะคริสต์ที่แท้จริงไม่มีทางออกจากศาสนาคริสต์
ได้” จะเห็นได้ว่าการกำาหนดขึ้นมาเช่นนี้ จะไม่มีหลักฐาน หรือข้อพิสูจน์อะไรมาสนับสนุน
เพื่อยืนยันว่านิยามที่กำาหนดขึ้นมานั้นเป็นความจริง แต่ถ้าพูดว่า “ ผูที่จะได้ชื่อว่าเป็นมุสลิม
้
สิ่งหนึ่งที่จะต้องมีคือ เชื่อว่าพระองค์อัลลอฮฺทรงเป็นพระเจ้าที่แท้จริง ” การพูดเช่นนี้ถือว่า
ใช้ได้ เพราะ นิยามของคำาว่ามุสลิมนั้นมีระบุเอาไว้ชัดเจนด้วยตัวบทหลักฐาน ไม่ได้เป็นการ
มานิยามกันเองของใครคนใดคนหนึ่งเพื่อรองรับจุดยืนของตนเอง
26. Fallacy of the Continuum (assumption that a single increment is insignificant)
มองข้ามหรือละเลยความแตกต่างระหว่างจุดสองจุดที่อยู่ตรงกันข้ามกัน หรือมองว่า
เนื่องจากไม่มีเส้นแบ่งระหว่างสองสิ่งทีชัดเจน จึงสรุปเอาว่า เพราะฉะนั้น เส้นแบ่งระหว่างสิ่ง
่
สองสิงจึงไม่เป็นความจริง หรือไม่มีความหมาย
่
27. Fallacy of Composition (what’s true of the parts is true of the whole)
ทึกทักว่าสิ่งใดที่เป็นความจริงในส่วนหนึ่งหนึ่งใด ก็จะต้องเป็นจริงเช่นกันแม้แต่ในภาพ
รวมของสิงนั้น
่
28. Fallacy of Division (what’s true of the whole is true of the parts)
ทึกทักว่าสิ่งใดที่ในภาพรวมเป็นจริงอย่างไร แม้แต่ในส่วนแต่ละส่วนก็จะต้องเป็นอย่าง
นั้นด้วย เช่น มนุษย์เป็นสิ่งที่มีชีวต มนุษย์เรามีส่วนประกอบคือ เซลล์ เพราะฉะนั้นเซลล์จึง
ิ
เป็นสิ่งที่มีชีวตเช่นเดียวกัน .
ิ
29. False Alternatives (assumes too few alternatives and that one of them must be
true: if you’re not for us, you’re against us)
กำาหนดตัวเลือกที่จำากัดให้เลือก ทังๆที่ในความเป็นจริงมีตัวเลือกมากกว่านั้น
้
30. Is-Ought Fallacy (because something is now the case, it should always be so; and
v.v.)
สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นเช่นไร มันก็จะเป็นเช่นนั้นอยู่เสมอไป โดยเอาคนส่วนใหญ่มาอ้าง หรือ
เอาความเป็นสมัยปัจจุบันมาอ้างว่าคนในสมัยปัจจุบันเขาปฎิบัติกันเช่นนี้ หรือ เขาทำากันมา
อย่างนี้นานแล้ว
31. Wishful Thinking (because someone wants something, it will is or will be true)
10. 82
นำาเอาความเชื่อตัวเองเป็นเหตุผลสนับสนุนความเชื่อของตนเอง เช่นพูดว่า เพราะผมเชื่อ
ว่าคุณเป็นคนเลว เพราะฉะนั้นคุณจึงเป็นคนเลว หรือพูดว่า ผมต้องเชื่อว่า อบูบักร อุมัร อุ
สมาน และ ซอฮาบะฮฺอีกหลายๆคนว่าเป็นมุรตัด สิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม เพราะมิเช่นนั้น
แล้วความเชื่อในศาสนาชีอะฮฺของผมก็จะถือว่าหลงผิด
32. Misuse of a General Principle (the rule has no exceptions; conversely, an
exceptional case is used to invalidate the rule)
ในกรณีที่จะต้องใช้กฏข้อยกเว้น แต่กลับนำากฏทั่วไปมาใช้ เช่น การฝ่าไฟแดง การพูด
โกหก หรือ ในกรณีที่จะต้องใช้กฏโดยทั่วไป แต่กลับมาข้อยกเว้นมาใช้ เช่น โดยทั่วไปแล้ว
มอรฟีนเป็นสิ่งที่ไม่อนุญาต แต่ก็อาจจะอนุญาตในบางกรณีเท่านั้น ไม่ใช่เพราะการที่มีคน
หนึ่งสามารถใช้มอรฟีนได้แล้วจะหมายความว่า ทุกคนก็สามารถใช้ได้ด้วย
33. Fallacy of the Mean (the middle ground between two extremes is right)
เอาความเป็นกลาง หรือสภาวะที่เป็นกลาง ระหว่างสุดขั่วทั้งสองมาเป็นเหตุผลสนับสนุน
เช่น ละหมาดมี 5 เวลา ละหมาดแค่ 3 เวลาก็โอเค หรือ ถือ ศิลอดมี 30 วัน ถือแค่ 15 วันก็
โอเค หรือ นาย ก. กำาลังจะซื้อของ โดยนาย ข. เสนอราคาขายไป 300 บาท แต่นาย ก.
บอกว่า ขอลดเหลือ 200 นาย ก. จึงให้เหตุผลว่า ถ้าเช่นนั้น 250 ระหว่างกลางถือว่า
ยุติธรรมที่สุด ซึงในความเป็นจริงแล้ว ราคา 250 คือ ราคาต้นทุน ซึงถ้าขายไปในราคานั้น
่ ่
จะไม่ได้กำาไรอะไรเลย เพราะฉะนั้น การอ้างความเป็นกลางในที่นี้จึงถือว่าไม่ยุติธรรม และ
เป็นเหตุผลที่ผิด หรือ เช่น ชาวปาเลสไตนต้องการให้ยิวหยุดการสร้างบ้านยิวในพื้นที่ของ
ชาวปาเลสไตน แต่ยิวไม่ยอม กระนั้นก็ตาม ยิวกลับยื่นของเสนอว่า “ พบกันคนละครึ่งทาง
โดยให้ชาวปาเลสไตนยอมรับสถานะของรัฐยิว และยิวจะหยุดสร้างบ้าน ในพื้นที่ปาเลสไตน
” จะเห็นได้ว่า ยิวชั่วที่คิดเช่นนี้ ได้สร้างมาตรฐานของความเป็นกลางขึ้นมาเอง และสร้าง
ภาพว่านี่คือความเป็นกลางที่ยติธรรม ซึงในความเป็นจริงแล้วเปล่าเลย หากแต่เป็นการใช้
ุ ่
เหตุผลที่ผิดพลาด เพื่อรองรับความชั่วของตนเอง และเราจะเห็นได้ว่า ตัวของการ
ประนีประนอมเองนั้น ตัวมันเองไม่อาจทีจะบ่งได้วาเป็นสิ่งที่ดีเสมอไป แต่สงที่จะบ่งได้ว่าการ
่ ่ ิ่
ประนีประนอมเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่นั้น คือ เหตุผลที่ยอมรับได้ ไม่ผิดลาดในการใช้เหตุผล ใน
เนื้อหา หรือ รายละเอียด ของเรื่องนั้นๆที่ขัดแย้งกันอยู่
34. Faulty Analogy (because two things are alike in one respect or more, they must be
alike in other respects)
ใช้การเปรียบเทียบที่ผิด โดยคิดว่าสิงสองสิงที่เหมือนกันในด้านหนึ่ง แล้วด้านอื่นจะต้อง
่ ่
เหมือนกันด้วย นำาสองสิ่งมาเปรียบเทียบ ทังๆที่ทั้งสองมีรายละเอียดทีแตกต่างกัน อันจะยัง
้ ่
ผลทำาให้การเปรียบเทียบใช้ไม่ได้
35. Fallacy of Novelty (new is good) เอาความใหม่ หรือ ความทันสมัยมาเป็นเหตุผล
รองรับจุดยืนตนเอง
36. Insufficient Sample (drawing conclusion from too few instances; the “hasty
generalization” or “fallacy of the lonely fact”)
13. 85
39. Contrary-to-Fact Hypothesis (treats a hypothetical claim as a statement of fact to
argue that things would have been different)
อ้างเหตุผลเพื่อสนับสนุนจุดยืนตนเองโดยใช้ ข้อสันนิษฐานที่มีขึ้นที่ตรงกันข้ามกับความ
จริงที่เกิดขึ้นในอดีต หรือ สิงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งๆที่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าต้องเป็นเช่น
่
นั้น เช่นพูดว่า:
1. ผมแพ้การแข่งขันเทนนิส 2. ก็เนื่องมาจากการที่ผมไม่ได้ฝึกซ้อมลูก backhand
อย่างเพียงพอก่อนหน้าที่จะลงแข่ง 3. การฝึก
ลูก backhand จะเป็นตัวชี้ แพ้ ชีชนะ สำาหรับผม 4. เพราะฉะนั้น ถ้าผมได้ฝึกลูก
้
backhand ก่อนลงแข่งให้ดีแล้วล่ะก็ ผม
ต้องชนะการแข่งขัน
สิ่งทีตรงกันข้ามกับความจริงที่เกิดขึ้นคือ ข้อความที่ 3 แต่กระนั้นก็ตาม เขาจะต้อง
่
ให้เหตุผล หรือ หลักฐาน เพื่อที่จะมายืนยันว่า ตัวชีแพ้ ชี้ ชนะ คือ การฝึกลูก backhand
้
ไม่ใช่นำาเอา ข้อความที่ 3 มาเป็นเหตุผลสนับสนุน (premise) เสียเอง หากแต่ว่าข้อความที่
3 เ เอง ถือว่าเป็นจุดยืน ( conclusion) ที่จะต้องมีเหตุผล (premise) มาสนับสนุนตัวมันเอง
เพราะมิเช่นนั้นแล้ว ข้อความที่ 3 อย่างมากก็เป็นได้แค่ ข้อสันนิษฐานเท่านั้น ไม่ใช่ความจริง
/ ส่วนข้อความที่ 1 และ 2 คือ ความจริงที่เกิดขึ้น และข้อความที่ 4 คือ จุดยืน ( conclusion)
โดยที่ในที่นี้ข้อความที่ 3 ถูกทำาให้เป็นเหตุผลสนับสนุน (premise) เสียเอง ทั้งๆทีมันเป็น
่
จุดยืนที่จะต้องถูกพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ โดยจะต้องมี เหตุผล ( premise) เข้ามาสนับสนุน
หรือ เช่นพูดว่า “ ถ้าผมได้อยู่หอนอกมหาวิทยาลัย 1. ผมจะมีเวลาอ่านหนังสือมาก
ขึ้น 2. เกรดของผมก็จะดีขึ้น และ 3. ผมก็จะมีเวลานอนหลับพักผ่อนได้มากขึ้น” จะเห็นได้ว่า
ข้อความแต่ละข้อความเหล่าตัวมันเอง บ่งบอกถึง จุดยืน ไม่ใช่ เหตุผลสนับสนุน (premise)
เพราะฉะนั้น จะต้องมีเหตุผล หรือหลักฐานเข้ามาเพื่อสนับสนุน เพื่อที่จะเชื่อมเพื่อเป็น
เงื่อนไขระหว่าง การอยู่หอนอกมหาวิทยาลัย ให้กับ ขอความที่ 1, 2 และ 3
40. Fallacy of Popular Wisdom (substituted in the place of good evidence for a claim)
สนับสนุนจุดยืนตนเอง โดยนำาเอาคำาพูดของนักปราชญ์ หรือ คำาคติพจน์ หรือ คำาพังเพย
มาแทนที่หลักฐาน หรือ เหตุผลที่เชื่อถือได้ และมีนำ้าหนัก
41. Inference from a Name or Description (claim made by the label is true)
ให้เหตุผลสนับสนุนจุดยืนของตนเองโดยอ้าง สิงที่ถูกสร้างภาพ หรือฉายภาพออกมาว่า
่
เป็นเช่นนั้นเช่นนี้มาเป็นเหตุผล ทังๆที่ในความเป็นจริงแล้วไม่จำาเป็นว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น
้
ตาม สิ่งภายนอกที่ปรากฏออกมาภายนอก กับความเป็นจริงนั้น อาจจะแตกต่างกันก็ได้
เพราะฉะนั้นเมื่อเราพบป้าย หรือโฆษณา หรือข้อความใดๆ ที่อาจจะสื่อให้เราสรุปที่อาจจะไม่
ตรงกับความเป็นจริงแล้ว เช่นนี้เรามีเหตุผลที่จะตังข้อสงสัยได้ เพื่อวิเคราะห์ต่อไปว่า ความ
้
เป็นจริงนั้นสอดคล้องกับสิ่งที่กล่าวเอาไว้ในป้าย โฆษณา หรือ สิงอื่นๆ หรือไม่ เช่น ข้อความ
่
ที่ว่า “ โรงแรมนี้ มีเครื่องอำานวยความสะดวกสบายมากที่สุดในโลก” หรือ “ ประเทศอินเดีย
ปกครองด้วยระบบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องไปสงสัยอีกว่า ยังจะมีระบบชนชั้น
วรรณะอีกหรือไม่” แต่ถ้าข้อความที่ต้องการบอกให้รู้ โดยไม่มีอะไรที่สื่อให้เราได้ข้อสรุปที่
ผิดๆ ก็ไม่มีความจำาเป็นอันใดที่จะต้องไปสงสัย เช่นป้ายเขียนว่า “ ขณะนี้ท่านกำาลังเข้าสู่
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ” หรือ ป้าย “ ร้านนี้มผัก ผลไม้ขาย”
ี
14. 86
42. Fallacy of Impossible Precision (Uses statistics with exactitude impossible to
attain)
สนับสนุนจุดยืนของตนเองด้วยตัวเลขทางคณิตศาสตร์ ซึงในความเป็นจริงแล้ว มันคือ
่
การสุ่มเดาเอาเอง แต่ถูกสร้างภาพให้ดูราวกับว่าเป็นความจริง หรือเป็นเช่นนั้นจริงๆ และมี
ความแน่นอน ซึงการอ้างตัวเลขนี้จะทำาให้ดูน่าเชื่อถือมากกว่าการอ้างที่ไม่มีตัวเลข ซึ่งใน
่
บางกรณีนั้นสามารถกล่าวได้ว่า ไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะได้ตัวเลขเช่นนั้นมาโดย
สอดคล้องกับความเป็นจริง
43. Special Pleading (argument for preferential treatment)
ใช้มาตรฐาน หรือกฏเกณฑ์ หนึ่งๆกับ สิ่งหนึ่ง หรือ คนหนึ่งคนใด แต่กลับไม่ใช้
มาตรฐาน หรือ กฏเกณฑ์เดียวกันนี้ กับอีกสิ่งหนึ่ง หรือคนหนึ่ง โดยอ้างว่าแตกต่างกัน ซึง
่
เขาจะต้องให้เหตุผลที่มีนำ้าหนักมาให้ได้ว่า มันแตกต่างกันอย่างไร
44. Omission of Key Evidence (missing principal proof needed to support conclusion)
ละเลยที่จะกล่าวถึง เหตุผลที่เป็นเงื่อนไขสำาคัญ ในการใช้สนับสนุนข้อสรุป หรือจุดยืน
โดยอ้างเหตุผลย่อยๆที่ไม่ใช่เหตุผลทีแท้จริงที่จะไปสนับสนุนข้อสรุป หรือจุดยืน หรือ การ
่
ให้เหตุผลที่ยังไม่เพียงพอที่จะนำาไปใช้สนับสนุนจุดยืนได้ เช่นกล่าวว่า “ เราชอบหลายๆสิ่ง
เหมือนกัน และเราก็ไปโบสถ์เดียวกัน เราชอบอาหารรสชาดเดียวกัน และผมก็ชอบสัตว์
เลี้ยงของคุณ และผมก็สามารถเก็บเงินที่ได้จากการทำางาน ดังนั้นเราควรที่จะแต่งงานกัน”
จะเห็นได้ว่า เหตุที่เป็นเงื่อนไขสำาคัญ ในการใช้สนับสนุนข้อสรุป หรือจุดยืน นั้นไม่ได้ถูก
กล่าว นั่นก็คือ การที่ทั้งสองมีความรักต่อกัน และพร้อมและพอใจที่จะใช้ชีวตร่วมกัน ได้แต่
ิ
กล่าวถึงเหตุผลย่อยๆ ทีอาจจะไม่ค่อยมีนำ้าหนักเลยก็ว่าได้ที่จะใช้ไปสนับสนุนจุดยืนที่ว่า “
่
เพราะฉะนั้นเราควรที่จะแต่งงานกัน”
45. Confusion of a Necessary with a Sufficient Condition (event will occur because a
necessary condition is present)
สับสนระหว่าง การที่มีเงื่อนไขที่จำาเป็น และการมีเงื่อนไขที่เพียงพอ ที่จะ
ทำาให้สิ่งหนึ่งเกิดขึ้นได้ การที่สิ่งหนึ่งหรือเหตุการณ์หนึ่งจะเกิดขึ้นมาได้นั้น จะ
ต้องมีสิ่งที่เรียกว่าเป็นเงื่อนไขจำาเป็นที่จะทำาให้สิ่งหนึ่งๆเกิดขึ้น ถ้าไม่มีเงื่อนไข
นี้ สิ่งนั้นๆก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้ แต่กระนั้นก็ตามเงื่อนไขนั้นๆก็ยังไม่
ถือว่าเพียงพอที่จะทำาให้สิ่งนั้นๆเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้น เราจะต้องไม่สับสน
ระหว่าง สิ่งที่ถือเป็นเงื่อนไขจำาเป็นที่จะทำาให้สิ่งหนึ่งๆเกิดขึ้น กับ เงื่อนไขที่
เพียงพอที่จะทำาให้สิ่งหนึ่งๆเกิดขึ้นมาได้ ถ้ามีเงื่อนไขที่พอเพียง สิ่งนั้นที่กำาลัง
พูดถึงอยู่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ไม่จำาเป็นว่าถ้ามี เงื่อนไขจำาเป็นแล้ว สิ่งที่
กำาลังพูดถึงอยู่จะเกิดขึ้นมาได้ ยกตัวอย่าง เรื่อง รถจะวิ่งได้ต้องมีนำ้ามัน เป็น
เงื่อนไขจำาเป็น แต่กระนันก็ตองอาศัยเงื่อนไขอื่นๆด้วยเช่นกัน เพื่อรวมกันแล้ว
้
ทำาให้เกิดเงื่อนไขที่พอเพียงที่จะทำาให้รถวิ่งได้ เช่น ล้อรถ เครื่องยนตร์ ... พืช
จะเจริญเติบโตได้ต้องรดนำ้าเป็นเงื่อนไขจำาเป็น แต่นำ้าอย่างเดียวยังไม่เพียง
พอที่จะทำาให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้
15. 87
46. Causal Oversimplification (whereas antecedents to an event work together to
bring it about, this fallacy designates only the most obvious antecedent as cause)
แน่นหรือมุ่งนำาเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นสาเหตุของสิงที่เกิดขึ้น ทังๆที่ในความเป็นจริงแล้ว
่ ้
มีสิ่งอื่นๆที่เป็นสาเหตุร่วมกันด้วย ซึงสาเหตุหนึ่งสาเหตุใดไม่อาจที่จะทำาให้เกิดสิ่งนั้นได้
่
อย่างเป็นเอกเทศ เพราะฉะนั้นจะต้องมี เงื่อนไขที่เพียงพอ ( sufficient conditions) จึงเป็น
สิ่งสำาคัญที่จะทำาให้เกิดสิ่งนั้นขึ้นมาได้
47. Post Hoc Fallacy (assumes that event B is caused by event A, simply because B
follows A in time)
ผิดพลาดในการชี้สาเหตุทแท้จริง ละเลยต่อสาเหตุที่แท้จริงของสิงๆหนึ่งที่เกิดขึ้น และ
ี่ ่
นำาสิ่งหนึ่งที่ไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงมาทึกทักเอาว่าเป็นสาเหตุที่แท้จริง แต่ในความเป็นจริง
แล้วสาเหตุทแท้จริงของสิ่งๆนั้นที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง
ี่
48. Confusion of Cause and Effect (confusion of a thing with what it brings about)
สับสนระหว่างสาเหตุ และ ผลที่เกิดขึ้น เช่น “ พูดว่านาย เอ. ได้คะแนนดีกว่าคนอื่นๆ
เพราะ เขาเป็นคนที่คุณครูรักมากกว่าคนอื่นๆ” แต่ในความเป็นจริงแล้ว ต้องพูดอย่างนี้จึงจะ
ถูก “ ที่นาย เอ. เป็นคนที่คุณครูรักมากกว่าคนอื่นๆ ก็เพราะ เขาได้คะแนนดีกว่าคนอื่นๆ ”
49. Neglect of a Common Cause (fallacious statement fails to recognize that two
related events may not be causally related at all, but rather are effects of a common
cause)
ละเลยต่อสาเหตุร่วม กล่าวคือ สองเหตุการณ์เกิดขึ้น เช่น เหตุการณ์ เอ กับ บี โดยเข้าใจ
ไปว่า ที่เหตุการณ์ เอ เกิดขึ้นได้ก็เพราะมีสาเหตุมาจาก เหตุการณ์ บี แต่ในความเป็นจริง
แล้ว ทั้ง เอ และ บี เกิดขึ้นมาได้เพราะต่างก็มีสาเหตุมาจาก เหตุการณ์ ซี เช่นกล่าวว่า “
เนื่องจากคุณครูที่สอนเด็กประถมศึกษาส่วนใหญ่มีลูกเป็นของตัวเองแล้ว ด้วยเหตุนี้เอง จะ
ต้องเป็นเพราะการสอนที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความต้องการเป็นพ่อ แม่ หรือไม่ก็ เพราะ
ความเป็นพ่อแม่ จะต้องเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความสนใจที่จะสอนเด็กๆประถม ” แต่กระนั้น
ก็ตาม ทังสองไม่ใช่สาเหตุของกันและกัน แต่ทั้งสองมีสาเหตุร่วมกันนั้นก็คือ ความรักในตัว
้
เด็ก เป็นสาเหตุทำาให้หลายๆคนต้องการเป็นพ่อ แม่ อีกทั้งเป็นครูสอนเด็กประถม
50. Domino Fallacy (fallacy assumes, without evidence) that a particular action or
event is just one, usually the first, in a series of steps that will lead inevitably to some
specific consequence)
ทึกทักเอาเองโดยไม่มีหลักฐานยืนยันหรือเหตุผลที่เพียงพอว่า ถ้าเหตุการณ์ เอ เกิดขึ้น
เหตุการณ์ บี ซี ดี และ อื่นๆ จะต้องเกิดขึ้นตามมาด้วย ทั้งๆที่ไม่จำาเป็นที่จะต้องเป็นเช่นนั้น
เลย
51. Gambler’s Fallacy (argues that because a chance event has occurred a certain way in
the past, the probability of its occurrence in the future is altered)