More Related Content
Similar to L3การพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง da
Similar to L3การพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง da (20)
L3การพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง da
- 1. บทที่ 3 การพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม
และการเมือง
ถึงแม้วาส่วนใหญ่จะเป็นที่ยอมรับว่าองค์ประกอบที่
่
สำาคัญประการหนึ่งของการบริหารการพัฒนาคือ การมุ่งเน้นถึงการ
พัฒนาทางเศรษฐกิจ ให้มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
(Economic Growth) เป็นหลักใหญ่
หน่วยงานบริหารใหม่ ๆ ซึ่งมักจะเรียกว่าเป็นหน่วยงาน
หรือกรมซึ่งมีมีหน้าทีทำางานเพื่อสร้างชาติ(Nation-Building
่
Departments) จะถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อทำาหน้าที่พัฒนา
อุตสาหกรรมของประเทศ ดำาเนินงานบริหารหน่วยงานทาง
เศรษฐกิจใหม่ ๆของรัฐ ยกระดับผลผลิตทางการเกษตร พัฒนา
ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ ปรับปรุงขอบข่ายงานขนส่งและ
การสื่อสารคมนาคม ปฏิรประบบการศึกษาและทำาหน้าที่อื่น ๆ
ู
เพื่อให้บรรลุถึงซึ่งวัตถุประสงค์ของการพัฒนาที่กำาหนดไว้ ซึ่ง
ต่างกับประเทศที่พัฒนาแล้วที่เห็นว่าเศรษฐกิจนั้นเป็นเพียงปัจจัย
หนึ่งที่จะต้องบริหารเพื่อให้เกิดการพัฒนา1
ดร.ยูยีน แสตลลีย์ (Dr.Eugene Staley) ได้กล่าวไว้
ว่ากระบวนการพัฒนาที่ดีนั้นไม่ควรจะยำ้าหนักเฉพาะด้านเศรษฐกิจ
แต่ควรให้ได้ผลดีทงทางด้านการเมืองและสังคมด้วย เขาชี้ให้
ั้
เห็นว่ามีหลายประเทศที่ได้รับความสำาเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจ
แต่เป็นความสำาเร็จในวงแคบ คือ เป็นเพียงการเพิ่มความสามารถ
ในการผลิตของประเทศให้สูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกันประชาชน
ส่วนใหญ่ไม่ได้รบผลผลประโยชน์จากการพัฒนาเศรษฐกิจ โดย
ั
ยังคงมีระดับการครองชีพตำ่ากว่าอยู่เช่นเดิม และในขณะเดียวกัน
กระบวนการพัฒนาดังกล่าวก็ไม่ได้เป็นการส่งเสริมอุดมการณ์
ประชาธิปไตยแต่ประการใด ประชาชนยังอยู่ใต้ระบอบเผด็จการ
ต่อไป
การพัฒนาสังคม (Social Devalopment)
1
กมล อดุลพันธ์ ในบทที่ ٤ การพัฒนาทางเศรษฐกิจ และสังคม มหาวิทยาลัยรามคำาแหง
PS 328.
- 2. 2
ความหมาย คำาว่า “สังคม” อาจพิจารณาความหมาย
ได้เป็น 2 นัย
- นัยหนึ่งเป็นรูปธรรม สังคมหมายถึงคนจำานวนหนึ่งที่
อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีความรู้สึกผูกพันว่าเป็นเหล่าเดียวกัน ดำารง
่
ชีวิตร่วมกันตามกฎเกณฑ์ระเบียบวิธีที่ส่วนรวมกำาหนดไว้เพื่อให้
กลุ่มนั้นอยู่ต่อเนื่อง มิให้แตกทำาลาย ในความหมายนี้เรามองเห็น
สังคมนี้ย่อมมีแบบอย่างวิธีการดำารงชีวิตที่เป็นลักษณะร่วมกันของ
กลุ่มที่ซึ่งเราเรียกว่าวัฒนธรรม และมีจำานวนคนเพิ่มขึ้นหรือลดลง
ตามอัตราการเกิด การตาย อันเป็นปกติวิสัยของสิ่งมีชีวิต
- อีกนัยหนึ่งเป็นนามธรรม สังคมหมายถึงระบบความ
สัมพันธ์ของบุคคลที่อยู่รวมกันเป็นกลุมหรือพวกเดียวกัน ระบบ
่
ความสัมพันธ์เกิดมีขึ้นเพราะการที่คนซึ่งอยู่ด้วยกันต้องมีการ
ประพฤติปฏิบัติต่อกัน และการประพฤติปฏิบัติต่อกันนี้ย่อมอยู่ใน
กรอบกำาหนดที่ยอมรับร่วมกันอยู่ว่า ผูที่จะมีการกระทำาต่อกันนั้น
้
ฝ่ายใดจะมีสิทธิและหน้าทีให้ทำาอย่างไรได้มากน้อยเพียงใด หาก
่
กระทำาเกินขอบเขตของกรอบกำาหนดที่ส่วนรวมวางไว้นี้ ก็จะเกิด
ปัญหาขัดแย้งจากการล่วงละเมิดสิทธิและหน้าทีที่มีต่อหัน และ
่
ถ้าหากไม่สามารถปรับการจัดแย้งนีให้ราบรื่นไปได้ ความสัมพันธ์
้
ทีมีต่อกันก็อาจสิ้นสุดได้
การพัฒนาสังคม
หรือ การทำาให้สังคมเปลียนแปลงไปในทางที่พึง
่
ปรารถนานั้น หากสังคมจะพัฒนา ความปรารถนาของคนทั้งสังคม
คือความปรารถนาทีสำาคัญที่สุด แต่ตามปกติแล้วความปรารถนา
่
ของคนตรงกันได้ยาก และความปรารถนาของบุคคลบางคนหรือ
บางกลุ่มหากมีอำานาจหรือความสามารถที่จะทำาให้ความปรารถนา
นั้นสัมฤทธิ์ผลได้ คือความปรารถนาที่มีความสำาคัญที่สุดถึงแม้ว่า
ผู้อื่นจะปรารถนาเป็นอย่างอื่นก็ตาม
การพัฒนาสังคมเป็นการทำาให้ความขัดแย้งที่อาจมีอยู่
ในระบบความสัมพันธ์ของบุคคลในสังคมลดน้อยลงจนหมดไท
หรือเป็นการทำาให้ระบบความสัมพันธ์นั้นราบรื่นมีความกลมกลืนกัน
มากกว่าที่เป็นอยู่เดิม
- 3. 3
ก่อนที่ประเทศจะมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงทางด้าน
วัตถุให้ก้าวหน้าได้อย่างแท้จริงนั้น จะต้องมีการพัฒนาทางสังคม
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจิตใจและแบบแผนพฤติกรรมตลอดจน
ความสัมพันธ์ของมนุษย์ในสังคมนั้นเสียก่อน ปัญหาทางด้าน
สังคมในประเทศด้อยพัฒนาที่เป็นอุปสรรคขัดขวางทางเศรษฐกิจ
มีหลายประการ เช่น ขนบธรรมเนียมประเพณีและสถาบันทีล้า ่
สมัย ระดับการศึกษาของประชาชนที่ยังตำ่าอยู่ การขาดความรู้
ความชำานาญทางเทคนิคเกี่ยวกับอุตสาหกรรม ระบบการยึดถือ
ครอบครองที่ดินทีล้าสมัย ตลอดจนชีวิตทางเศรษฐกิจที่ผูกพัน
่
อย่างแน่นแฟ้นกับระบบครอบครัวเผ่าพันธุ์วงศ์ตระกูล หรือกลุ่ม
และชุมชนของตนมากเกินไป เป็นต้น
ลักษณะสังคมที่พัฒนาแล้ว
ในสังคมที่พฒนาเต็มทีแล้ว จะเห็นคนมีคุณค่าเหมือน
ั ่
กันเท่ากัน คือ มีฐานะเป็นมนุษย์เหมือนกัน ไม่มีความรังเกียจใน
เรื่องชาติ ชั้น วรรณะ กล่าวคือ เป็นไปตามคติว่า “เหนือชาติอื่น
ใดคือมนุษยชาติ” แต่ในด้านของแต่ละคนแล้ว ทุกคนจะมี
เสรีภาพมาก กล่าวคือ จะไม่ถูกคนหรือสังคมอื่นกีดกัน มีอิสระที่
จะเลือกงาน ทีอยู่ คู่ครอง ศาสนา เพื่อน พรรคการเมือง ฯลฯ
่
ที่ตนนิยมชมชอบ จะเห็นว่าในสังคมที่พฒนาแล้ว คนจะไม่ยุ่ง
ั
เกี่ยวในเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น ๆ เมื่อพบปะกันตามท้องถนนก็ไม่มี
การโอภาปราศรัย ภาวะนี้เป็นสิ่งจำาเป็นที่จะรักษาอิสรภาพของ
แต่ละคนในชุมชนหนาแน่นไว้ แต่ถ้ามีเหตุร้ายภยันตราย
สาธารณะเกิดขึ้น เช่น นำ้าท่วม ไฟไหม้ คนเหล่านั้นก็จะหันหน้า
เข้าหากัน ร่วมมือกันช่วยกันปัดเป่าภัยดังกล่าว เพราะถือว่า
เป็นการช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ลักษณะสังคมที่ยังไม่พัฒนา (Lack Of Devalopment)
และสังคมกึ่งพัฒนาในรูปพัฒนาเทียมแฝง
(Pseudomorphic Devalopment)
- สังคมที่ยงไม่พัฒนาจะมีลักษณะสังคมที่ตัดตอนกัน
ั
คือ ถือว่าคนในหมู่พวกของตนเป็นพวกเดียวกัน ต่างพวกเป็นศัตรู
นอกจากนั้นมีการแบ่งคนออกตามชาติ ชั้น วรรณะของบุคคลขึ้น
ทำาให้เกิดความแตกแยกเป็นหมู่เหล่า เมื่อสังคมมีลักษณะตัดตอน
กัน แต่ละคนจึงถูกจำากัดขอบเขตการติดต่อซึ่งกันและกัน จึงต้อง
- 4. 4
มีการกำาหนดวิธีปฏิบัติต่อกันอย่างเพื่อนฝูง อย่างคนแก่กับเด็ก
ชายกับหญิง ข้ากับเจ้า เป็นต้น
- สังคมกึ่งพัฒนาในรูปพัฒนาเทียมแฝงซึ่งได้รับ
อิทธิพลของการพัฒนาจากสังคมอื่นมาใช้ในด้านสังคม โดยส่วน
รวมอาจจะมีหลักการยอมรับนับถือความสามารถของบุคคลเป็น
กุญแจของความสำาเร็จที่จะเคลื่อนไหวเลื่อนฐานะในสังคมได้ แต่
ความเป็นจริงแล้วเป็นไปได้ยาก เช่น สถาบันการศึกษา ไม่
เพียงพอที่จะเปิดโอกาสให้แก่ทุกคน และแม้ตจะได้รบการศึกษา
ั
มาดีแล้วหรือเป็นผู้มีความสามารถดี ก็จะไม่ได้รบเข้าทำางานใน
ั
ตำาแหน่งสำาคัญ ๆ หากไม่ใช่พรรคพวกของตนในชั้นผู้นำา ฉะนัน ้
ตามความเป็นจริงแล้วการเคลื่อนไหวทางสังคมยังเป็นคำาขวัญอยู่
ลักษณะการพัฒนาทางสังคม
1. วัตถุประสงค์ของการพัฒนาสังคมของ
องค์การสหประชาชาติ คือการนำามาซึ่งการดำารงชีวิตที่ดีขึ้น
สำาหรับประชาชนทุกคน เพราะเป้าหมายสุดท้ายของการพัฒนาก็
คือประชาชน แต่ประชาชนไม่ควรจะเป็นเพียงผู้รับผลของการ
พัฒนาแต่ฝ่ายเดียว ประชาชนเองจะต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนา
สังคมด้วย การพัฒนาอย่างสมบูรณ์จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าปราศจาก
การเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน ดังนั้น การให้การศึกษาเพื่อ
การพัฒนาจึงต้องมุ่งไปที่การช่วยให้ประชาชนได้เข้าใจเหตุและ
ผลของปัญหาที่เกิดแก่ตัวเขาเอง ปลุกให้รู้สึกว่าเขาเป็นมนุษย์คน
หนึ่งซึ่งมีสิทธิและเสรีภาพ มีอำานาจในการเรียกร้องความยุติธรรม
จากสังคมได้ ซึงรากฐานของความยุติธรรมทางสังคมอันเป็นเป้า
่
หมายสุดท้ายอันหนึ่งของการพัฒนาทางสังคม คือสิทธิมนุษยชน
อันได้แก่ สิทธิในด้านชีวิต ทรัพย์สิน ความมั่นคงและความ
ปลอดภัยอิสระและการสื่อสารงาน การเลือกงานอย่างมีเสรี
2. การศึกษาจะมีส่วนช่วยในการพัฒนาสังคม
อย่างมาก โดยช่วยให้มาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชนสูงขึ้น
มีความเป็นอยู่และมีวฒนธรรมอันสูง การศึกษาช่วยปรุงแต่ง
ั
รักษา แก้ไข และถ่ายทอดวัฒนธรรมอันดีงามจากชั่วคนหนึ่งไป
ยังอีกชั่วคนหนึ่ง
- 5. 5
3. ในการพัฒนาสังคม จะมีปัญหาสังคมใน
เมืองและสังคมชนบทซึ่งรัฐจะต้องแก้ไขให้มีสภาพที่ดีกว่าเดิม
ปัญหาสังคมในเมืองมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกว่า
ชนบท เนื่องจากความหนาแน่นของประชากรและการผังเมืองที่
ไม่ถูกต้อง ก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ได้แก่ปัญหาการจราจร ปัญหา
การคมนาคม ปัญหาที่อยู่อาศัย ปัญหาอาชีพ ปัญหาการครอง
ชีพ ปัญหาการศึกษา ปัญหาอาญากรรม
ส่วนปัญหาสังคมในชนบทนั้น ทีสำาคัญอันเป็น
่
อุปสรรคต่อความเจริญของประเทศและจำาเป็นต้องแก้ไขโดยรีบ
ด่วนมีอยู่ 5 ประการ คือ ปัญหาทางด้านการเมืองและการ
ปกครอง ปัญหาด้านการศึกษา ปัญหาด้านอนามัย ปัญหาด้าน
เศรษฐกิจ และปัญหาในด้านอื่น ๆ เกี่ยวกับสังคม ซึ่งจะต้องนำา
เอาพัฒนาชุมชนมาใช้แก้ปัญหาในชนบทดังกล่าว โดยมีจุดมุ่งไป
สู่ตัวประชาชนเพื่อพัฒนาตัวบุคคลโดยวิธีส่งเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล
ไปสู่ชนบท และเข้าร่วมสัมพันธ์คลุกคลีใกล้ชิดกับประชระชาชน
โดยต้องการที่จะสร้างทัศนะหรือแนวนำาทางที่ถูกต้องให้ประชาชน
ยึดถือเป็นหลักปฏิบัติในการปรับปรุงวิถีชีวิตของตนเองและของ
ชุมชนให้ก้าวหน้า วัตถุประสงค์ของการพัฒนาชุมชนต้องการจะ
ให้ประชาชนรู้จักใช้ความคิดริเริ่มเอง หากไม่มีความคิดริเริ่มก็ต้อง
ใช้วิธีการยั่วยุ เร่งเร้า ส่งเสริมให้เกิดความคิด หรือยอมรับเอา
แนวความใหม่ ๆ ที่สมควรจะต้องเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับวิธีการดำารง
ชีวิตและการประกอบอาชีพแบบเดิม
การพัฒนาทางการเมือง
ความหมาย เฮาเวิด ริกกินส์ (Howard Wriggins)
ได้ให้ความหมายของการพัฒนาทางการเมืองเอาไว้ว่า เป็นความ
เจริญก้าวหน้าของสถาบันและวิธีดำาเนินการทางการเมือง ซึ่งช่วย
ให้ระบบการเมืองได้จัดการกับบรรดาปัญหาพื้นฐานทาการเมืองได้
อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในระยะสั้น ในขณะเดียวกันก็ปฏิบัติ
อย่างมีความรับผิดชอบมากขึ้นต่อความต้องการของประชาชนใน
ระยะเวลายาวนานข้างหน้า
ลักษณะทางการเมืองที่พัฒนาแล้ว
การเมืองที่พัฒนาแล้ว ฝ่ายมีอำานาจทางการเมืองซึ่ง
ไม่วาจะได้อำานาจมาโดยความยินยอมพร้อมใจของประชาชนหรือ
่
- 6. 6
ไม่ก็ตาม จะต้องมีความรับผิดชอบ (Responsibal) และสนอง
ตอบ (Responsive) ต่อความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
ไม่ใช่มีไว้แต่กฎหมายระเบียบแบบแผนว่าจะสนองตอบ แต่โดย
แท้ที่จริงแล้วไม่ได้ทำาหรือทำาไม่ได้ ในด้านของประชาชนแต่ละ
คนนั้นก็จะมีฐานะพลเมือง คือ เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใน
กระบวนการทางการเมืองของประเทศ ซึ่งผู้ปกครองประเทศจะ
ต้องเหลียวแลและรับผิดชอบต่อ ไม่ใช่ฐานะเป็นไพร่ฟ้า
ข้าแผ่นดิน (Subject)
ลักษณะการเมืองที่ยังไม่พัฒนา (Lack Of Devalopment)
และสังคมกึ่งพัฒนาในรูปพัฒนาเทียมแฝง
(Pseudomorphic Devalopment)
การเมืองที่ยังไม่พัฒนาไม่มีสถาบันการปกครองที่รับ
ผิดชอบต่อประชาชนแต่จะมีในรูปของสถาบันอันศักดิ์สิทธิ์ โดย
อาจใช้ศาสนามาเป็นเครื่องคำ้าจุนราชบัลลังก์ คือ กษัตริย์เป็น
สมมติเทวราช ทางด้านประชาชนก็มีลักษณะเป็นไพร่ฟ้า
ข้าแผ่นดินที่ทำาตามคำาสั่งกษัตริย์ ไม่ใช้ทำาตามเพราะถือว่าเป็น
กฎหมายแต่ทำาเพราะเคารพนับถือ
ลักษณะการพัฒนาทางการเมือง
ในการพัฒนาทางการเมือง มีลักษณะที่นำามาพิจารณา
ได้ดังนี้
1. ความสนใจของประชาชนและการเข้าร่วมใน
กระบวนการทางการเมือง (Political Socialization and
recruitment) ในประเทศกำาลังพัฒนานั้น ประชาชนไม่ค่อย
เข้าใจถึงคุณค่าของการเข้าร่วมในกระบวนการทางการเมืองของ
ประเทศ จึงไม่ค่อยสนใจและไม่ค่อยเข้าร่วม ซึ่งถ้าประชาชนเจ้า
ใจถึงคุณค่าก็ย่อมอยากจะเข้ามามีส่วนร่วม เช่น อาจจะสนใจลง
คะแนนเสียงถ้ารูว่าผูที่ตนเลือกเข้าไปจะใช้อำานาจแทนและรักษา
้ ้
ประโยชน์แทน ไม่ให้ถูกรบกวนหรือทำาลายโดยฝ่ายผู้ใช้บงคับ ั
กฎหมาย
แต่ความสนใจมีน้อยถ้าชนชั้นปกครองเห็นแก่ตัวและ
สกัดกั้นไม่ให้ประชาชนส่วนใหญ่เข้าร่วมในกระบวนการทางการ
เมือง เช่น งดเลือกตั้งหรือห้ามตั้งพรรคการเมือง ทังนีทัศนคติ
้ ้
ดั้งเดิมของประชาชนเองก็มีส่วนเป็นอุปสรรค แต่ทงนี้คนรุ่นใหม่ที่
ั้
- 7. 7
ได้รับการศึกษาซึ่งเป็นกลุ่มปัญญาชน (Intellectual) และถือว่า
ตนควรมีสิทธิ์เข้าร่วมในการเมืองของประเทศ เพิ่มจำานวนมากขึ้น
ด้วยเหตุผลของการศึกษา ทำาให้มีการเรียกร้องและขยายตัวใน
การของให้สทธิ์ทางการเมืองมากขึ้น
ิ
2. กลุ่มผลประโยชน์ (Interest Group) ในทางการ
เมือง และในประเทศกำาลังพัฒนา ไม่มีกลุ่มผลประโยชน์เข้มแข็ง
พอที่จะบีบให้ชนชั้นปกครองยอมรับและรักษาผลประโยชน์ของ
ตนเอง เพราะไม่ได้รวมตัวเป็นสมาคมใหญ่มจำานวนมากพอที่จะ
ี
สามารถทำาให้เสียงเรียกร้องมีนำ้าหนักพอที่ฝ่ายปกครองจะต้องฟัง
การที่ประเทศไม่มีกลุ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจใหญ่
มากพอที่จะสนใจเข้าร่วมในกระบวนการทางการเมืองของประเทศ
มีผลทำาให้กลุมบุคคล ทีมีผลประโยชน์ร่วมกันเพราะอยู่ในสถาบัน
่ ่
เดียวกัน เช่น คณะทหารและข้าราชการ (Army and
Bureaucracy) หรือกลุ่มอิทธิพลทางศาสนา เข้ามามีบทบาทคุม
อำานาจทางการเมืองได้ง่าย ทหารเข้ามาคุมอำานาจโดยอ้างว่าเพื่อ
รักษาความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงของประเทศซึ่งนานไป
อาจกลายเป็นการรักษาประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
3. การรวมกลุ่มผลประโยชน์ (Interest
Aggregation) หรือพรรคการเมือง ในประเทศกำาลังพัฒนา ไม่มี
พรรคการเมืองซึ่งเป็นที่รวมของกลุ่มผลประโยชน์ที่ต้องการหา
ทางร่วมรักษาและส่งเสริมผลประโยชน์ของพวกตน และต่าง
แข่งขันกันเพื่อแสวงหาอำานาจทางการเมืองมักมีสมาชิกจำากัด
และพรรคการเมืองถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือของชนชั้นนำาของ
พรรค เพื่อเป็นบันไดไปสู่อำานาจทางการเมือง คนสำาคัญ ๆ ที่
เปลียนแปลงระบบเก่ามาเป็นระบบใหม่มักจะมาแยกกันตั้ง
่
พรรคการเมืองเพื่อแข่งขันกันเข้ามามีอำานาจทางการเมือง ไม่ได้
นำาเอาประโยชน์ของสมาชิกของพรรคที่เป็นประชาชนมากำาหนด
เป็นแนวนโยบายของพรรค
เมื่อมีพรรคการเมืองมากจนไม่มีพรรคมีอิทธิพลพอที่จะ
ชนะเลือกตั้งได้เด็ดขาดก็ทำาให้ไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง
รัฐบาลต้องเป็นรัฐบาลผสมมีการเปลียนรัฐบาลบ่อย ๆ ด้วยสาเหตุ
่
จากนักการเมืองในพรรคต่าง ๆ ทำาให้ประเทศขาดความสามัคคี
และความมันคง เปิดโอกาสให้คณะทหารอ้างความจำาเป็นเข้ามา
่
จัดระบบทางการเมือง
- 8. 8
4. การใช้อำานาจในการปกครองประเทศ (The
Authoritative Functions) ประเทศกำาลังพัฒนาลอกแบบการจัด
สถาบันปกครองประเทศมาจากยุโรปและอเมริกา โดยแยกอำานาจ
ปกครองออกเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ แต่
สถาบันเหล่านั้นไม่ได้ทำาหน้าที่กำาหนด เช่น รัฐสภาไม่ใคร่ทราบ
ถึงหน้าที่ของตนเองและยอมเป็นเครื่องมือของฝ่ายบริหาร ฝ่าย
บริหารมีความโน้มเอียงที่จะเข้าควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการ
นอกจากนี้ยังมีความโน้มเอียงที่จะรวมอำานาจไว้ที่ส่วนกลาง
แทนที่จะกระจายอำานาจไปสู่ภูมิภาค และให้ประชาชนในท้องถิ่น
มีการปกครองตนเอง ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการใช้
อำานาจปกครอง ซึ่งแนวทางที่จะพัฒนาควรจะยึดแบบประเทศ
ประชาธิปไตยที่พัฒนาแล้ว ซึ่งถือเอาการปกครองตนเองของ
ท้องถิ่นเป็นการวางรากฐานของระบอบประชาธิปไตยเพราะ
ประชาชนมีส่วนได้ส่วนเสียเป็นอันดับแรกและโดยตรงต่อความ
เจริญของท้องถิ่นตน
การพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Economic
Development)
ความหมาย ในประเทศที่ประชาชนมีมาตรฐานการ
ครองชีพ (Standard of Living) ตำ่า การพัฒนาเศรษฐกิจหมาย
ถึง การพัฒนาสถานภาพ (Status)ของประเทศ โดยทั่วไปแล้ว
หมายถึงการทำาให้มีมาตรฐานการครองชีพสูงขึ้นดีขึ้นกว่าเดิม
และยังหมายถึงการเพิ่มผลผลิตโดยใช้วิธีที่ดีกว่าเดิมในการผลิต
และกระจายสินค้าและบริการ แต่ทั้งนี้การพัฒนาเศรษฐกิจ
เป็นการพัฒนาเพียงด้านเดียวของสังคมโดยส่วนรวมทั้งหมด อัน
ประกอบได้แก่ การเมือง สังคม วัฒนธรรมและอื่น ๆ
ลักษณะทางเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว
ในสังคมทีมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจแล้ว ประชาชน
่
ทัวไปในสังคมนั้น ๆ สามารถวินิจฉัยปัญหาทางเศรษฐกิจไปตาม
่
หลักเหตุผลทางเศรษฐกิจอย่างเดียว โดยไม่ต้องกังวลถึงปัจจัย
ทางการเมือง ศาสนา มิตรภาพ ฯลฯ และในส่วนของแต่ละ
บุคคลนั้นทุกคนก็มีนำ้าใจ (Spirit) เป็นผู้ประกอบการ ทังนี้คือทำา
้
อะไรก็พิจารณาว่าตนจะได้กำาไรขาดทุนเพียงใด ตัวอย่างที่เห็น
- 9. 9
ได้ชัดจากสังคมแบบนี้คือ ราคาสินค้าในตลาดก็เป็นไปตามหลัก
อุปสงค์อุปทาน2 แท้ ไม่ใช่แพงเพราะต้องเสียเบี้ยบ้ายรายทางให้
ผู้มีอำานาจ การกำาหนดราคาสินคาเป็นไปตามกฎเกณฑ์ทาง
เศรษฐกิจแท้ ส่วนทางด้านบุคคลนั้นเมื่อก้าวเท้าไปซื้อของหรือ
บริการใด ๆ ทีไหน ๆ ก็คิดว่า ตนจะต้องซื้อตามราคาที่กำาหนดไว้
่
จะหวังว่าผู้ขายจะลดราคาให้เพราะเป็นเพื่อนกับลูกสาวหาได้ไม่
ลักษณะทางเศรษฐกิจที่ยังไม่พัฒนา (Lack Of
Devalopment) และสังคมกึ่งพัฒนาในรูปพัฒนาเทียมแฝง
(Pseudomorphic Devalopment)
1. เศรษฐกิจที่ยังไม่พัฒนา ไม่มีตลาดนั้น บุคคล
ส่วนใหญ่แลกเปลี่ยนสิ่งของซึ่งกันและกัน ต่างตอบแทนกัน เช่น
วันนี้ช่วยเขาทำานา พรุงนี้เขาช่วยเรา แต่ละคนมีความรู้สึกผู้พัก
่
ต่อกัน มีการแบ่งสู่กันกิน
٢. เศรษฐกิจกึ่งพัฒนาในรูปพัฒนาเทียมแฝง จะมี
สภาพอยู่กึ่งกลางระหว่างการถือหลักเหตุผลและหลักปฏิบัติ
ตอบแทน คือโดยส่วนรวมประชาชนจะคิดจากแง่เศรษฐศาสตร์แม้
ๆ อย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องคำานึงถึงองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น
แทนที่จะแสวงหาความรำ่ารวยด้วยวิธีลงทุนทำาการค้าตามแบบ
สังคมที่พัฒนาแล้ว กลับเป็นว่าถ้าทำาการค้าขาย อาจถูกอิทธิพล
มือ ฉะนั้น ถ้าหวังรวยอาจใช้เงินไปซื้อเสียงหาตำาแหน่งทางการ
เมืองเสียก่อนเมื่อมีตำาแหน่งแล้วจึงกอบโกยภายหลังจะรวยเร็วกว่า
สภาพตลาดที่แท้จริงจึงยังไม่เกิดขึ้น
٣. ลักษณะปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศด้อย
พัฒนาโดยทัวไป ได้แก่
่
٣.١. ทรัพยากรหรือปัจจัยการผลิต มักจะถูกมอง
ว่าขาดแคลนอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง เช่นมีทุนน้อย
ความรู้ทางเทคโนโลยีลาหลัง ขาดผู้ประกอบการ หรือ
้
ทรัพยากรธรรมชาติไม่อำานวยและมักจะมีนโยบายจัดหาเพิ่มเติม
ปัจจัยการผลิตที่ขาด เช่น เพิ่มการออกและการลงทุน
2
อุปสงค์ (demand) หมายถึงปริมาณสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการซื้อ อุปทาน (supply) หมาย
ถึงปริมาณสินค้าที่มีการเสนอขายแก่ผู้บริโภคที่เวลาหนึ่ง
- 10. 10
แต่ความจริงแล้วยังมีทรัพยากรหรือปัจจัยการผลิตที่
อาจนำาไปใช้ในการพัฒนาได้อีกเป็นจำานวนมาก แต่งยังถูกใช้ไม่
เต็มที่หรือถูกใช้ไปในทางไม่เกิดผลประโยชน์แก่เศรษฐกิจแท้จริง
٣.٢. ไม่ได้ใช้การออก (Save) ให้เกิด
ประโยชน์เต็มที่ เช่น ออกเก็บไว้เฉย ๆ (Hoarding) และยัง
สามารถเพิ่มการออมได้อีกมาก เช่น การจัดงานพิธีรีตองอย่าง
หรูหราสิ้นเปลืองและการใช้จ่ายเงินเพื่อโอ้อวดหรือการบริหารโภค
เอาอย่าง (Conspicious Consumption) ซึ่งการใช้จ่ายเงินเพื่อ
โอ้อวดหรือการบริโภค (Consumption) เหล่านี้สามารถลดลงได้
อีกมาก
٣.٣. ความเทคนิคซึ่งเป็นปัจจัยการผลิตที่สำาคัญ
ซึ่งยังขาดอยู่ ประเทศด้อยพัฒนาหรือกำาลังพัฒนาสามารถและนำา
เอาความรู้ทางเทคนิคที่ผ่านการทดลองและใช้ในประเทศพัฒนา
แล้วมาใช้ประโยชน์ได้
แนวทางการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
ปัญหาของการพัฒนาเศรษฐกิจอยู่ทว่าทำาอย่างไรจึง
ี่
จะนำาเอาปัจจัยการผลิตหรือทรัพยากรที่มีอยู่แต่ยังกระจัดกระจาย
ยังไม่ถูกใช้ หรือใช้ผิด ๆ มาประกอบกันและใช้ให้เป็นประโยชน์
อย่างเต็มที่ สิ่งที่ขาดคือการตัดสินใจนำาทรัพยากรที่มีอยู่แล้วมา
ใช้ในการพัฒนา ดังนั้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศก็คือ
١. ต้องหาสิ่งที่จะช่วยผลักดัน (Pressures) และ
ชักนำา (Indument) ให้มีการระดมทรัพยากร และปัจจัยการผลิตที่
มีอยู่แล้วมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่การพัฒนามากที่สุด
٢. ต้องมีความสามารถในการตัดสินใจที่จะพัฒนา จะ
ต้องสร้างบรรยากาศทางจิตใจให้เหมาะสม คือต้องเข้าใจว่าผล
ประโยชน์ส่วนตัวอาจสอดคล้องกับผลประโยชนส่วนรวมได้
เมื่อเป็นดังนี้การตัดสินใจพัฒนา คือความสามารถที่จะ
รวบรวมทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้พัฒนาประเทศอย่างจริงจัง และ
เต็มที่จะค่อยเกิดขึ้นเอง มิฉะนั้นจะมีการคิดหนักไปทางด้านใด
ด้านหนึ่งเพียง ٢ อย่าง คือ
٢.١ การเปลียนแปลงแบบคำานึงถึงส่วนรวม (Group-
่
focused image of change) คือ เห็นว่าฐานะเศรษฐกิจของคนจะ
- 11. 11
ดีขึ้นก็โดยทำาให้ผู้อื่นเสียเปรียบ ดังนั้น จึงเห็นว่าการ
เปลียนแปลงทางเศรษฐกิจไม่พึงปรารถนา เว้นแต่สมาชิกใน
่
สังคมจะได้ประโยชน์ทวกัน ั่
٢.٢ การเปลียนแปลงแบบคำานึงถึงส่วนตัว (Ego-
่
focused image of change) เห็นว่าจะให้สมาชิกของสังคม
ก้าวหน้าไปพร้อมๆ กันนั้นสุดวิสัย ดังนั้นจึงนึกถึงแต่ตนเอง แยก
ตัวเองจากส่วนรวมและมุ่งประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง
เมื่อมีการพัฒนาทังสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ
้
ไปพร้อม ๆกะน กล่าวคือในทางสังคมจะมีความเสมอภาคเท่า
เทียมกันจริง เปิดโอกาสให้คนได้เลื่อนฐานะในสังคมด้วยการ
ศึกษา ด้วยการประกอบอาชีพสุจริต การรับบุคคลเข้าทำางานเป็น
ไปตามระบบคุณวุฒิ (Merit System) อย่างแท้จริง มิใช่เอามาแต่
เพียงรูปแบบ ให้การศึกษาระดับพื้นฐานและระดับที่สูงขึ้นไปอย่าง
ทัวถึง ซึ่งจะช่วยให้สังคมประกอบด้วยคนที่มทัศนคติที่ถูกต้อง
่ ี
นอกจากนี้ยังมีความเข้าใจถึงสิทธิทางการเมืองและใช้อย่างมี
ประสิทธิภาพ พร้อมทั้งสงวนรักษาสิทธิ์ทางการเมืองดังกล่าวไว้มิ
ให้ถูกทำาลายไป ในทางเศรษฐกิจเมื่อมีการศึกษาก็จะช่วยให้การ
ประกอบอาชีพได้ผลตอบแทนสูงเป็นเงาตามตัว เมื่อเศรษฐกิจ
แต่ละบุคคลดีเศรษฐกิจโดยส่วนรวมของประเทศก็จะดีตามไปด้วย
เอกสารอ้างอิง
- 12. 12
กวี รักษ์ชน และคณะ.(٢٥٣٩). การบริหารการพัฒนา (PS
328). พิมพ์ครั้งที่ ٩.กรุงเทพฯ:สำานักพิมพ์มหาวิทยาลัย
รามคำาแหง.
สื่อออนไลน์เข้าถึงได้จาก
http://th.wikipedia.org/wiki/ (٢٥ กรกฎาคม ٢٥٥١)