Aaa2. พันธุศาสตร์
พันธุศาสตร์ (genetics - มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกคําว่า
"genno" ซึงแปลว่า "การให้กาเนิด") คือ สาขาแขนงหนึงของ
ํ
วิทยาศาสตร์ ซึงว่าด้วยการศึกษาหน่วยพันธุกรรม หรือ ยีน, กรรมพันธุ์
(heredity), และวิวฒนาการในสิงมีชวตต่าง ๆ
ั ีิ
3. พันธุศาสตร์
คําว่า "พันธุศาสตร์ " นี1 เริมแรกคิดขึนมาเพือประยุกต์ใช้กบศาสตร์ ใหม่ทว่า
1 ั ี
ด้วยการศึกษา ชาติพนธุ์และวิวฒนาการของสิงมีชวต โดยนักวิทยาศาสตร์ ชาว
ั ั ีิ
อังกฤษ ชือ วิลเลียม เบทสัน โดยปรากฏอยู่ในเอกสารของเขาทีส่งไปให้อดัม
เซดจ์วค ซึงมีการลงบันทึก วันที 18 เมษายน พ.ศ. 2448
ิ
มนุษย์เริมรับความรู้เกียวกับพันธุศาสตร์ ตงแต่สมัยก่อนประวัตศาสตร์ ซึงว่า
ั1 ิ
ด้วยการเพาะพันธุ์และการดําเนินการสืบพันธุ์ให้แก่พชและสัตว์ การวิจยทางพันธุ
ื ั
ศาสตร์ ปจจุบนนิยมใช้เครืองมือวิทยาศาสตร์ สมัยใหม่ ศึกษาเพือให้ทราบระบบ
ั ั
ภายในของยีน เช่น การวิเคราะห์การตอบสนองทางพันธุกรรม ซึงอยู่ภายใน
สิงมีชวต ข้อมูลทางพันธุกรรมส่วนใหญ่มกถูกบรรจุไว้ในโครโมโซม ซึงแสดงให้
ีิ ั
เห็นถึงโครงสร้างทางเคมีของ ดีเอ็นเอ
4. พันธุศาสตร์
รหัสทางพันธุกรรมสามารถจําแนกได้จากยีน ซึงถือเป็ นข้อมูลทีสําคัญยิงในการ
ประกอบลักษณะทางเคมีของโปรตีน ถึงแม้ว่าโปรตีนจะมีบทบาทสําคัญอย่างยิง
แต่ในหลายกรณี โปรตีนนันไม่อาจกําหนดสารประกอบทางพันธุกรรมได้ทงหมด
1 ั1
ทว่ากลับอยู่ในฟี โนไทป์ตว สุดท้ายของสิงมีชวตนันๆ วลีศพท์ทางพันธุศาสตร์
ั ีิ 1 ั
คําว่า "เพือระบุรหัส" มักใช้กบยีนทีสามารถสร้างโปรตีนเองได้, โดยจะถูก
ั
เรียกว่า "รหัสถ่ายพันธุ์ของโปรตีน"
6. พันธุศาสตร์
ลักษณะทางพันธุกรรมของสิ!งมีชีวิตแบ่งออกเป็ น 2 ประเภท คือ
1.1 ลักษณะทางพันธุกรรมที!มความแปรผันต่อเนื!อง
ี
(CONTINUOUS VARIATION) เป็ นลักษณะทางพันธุกรรมทีมี
ความลดหลันกันทีละน้อย สามารถนํามาเรียงลําดับกันได้ เช่น ความสูง นํ1าหนัก สีผว เป็ น
ิ
ต้น
1.2 ลักษณะทางพันธุกรรมที!มความแปรผันไม่ต่อเนื!อง
ี
(DISCONTINUOUS VARIATION) เป็ นลักษณะทีแบ่งเป็ นกลุม ่
ได้อย่างชัดเจน เช่นหมู่เลือดของคน ลักษณะผิวเผือก ลักยิม ติงหู การห่อลินเป็ นต้น
1 1
ข้อสังเกต
โดยทัวไป ลักษณะทีมีความแปรผันแบบต่อเนือง เช่น สีผว นันสิงแวดล้อมจะมีอทธิพล
ิ 1 ิ
ต่อการแสดงลักษณะในสัดส่วนทีมากกว่าลักษณะทีมีความแปรผันแบบไม่ต่อเนือง เช่น หมู่
เลือด
7. พันธุศาสตร์
การค้นพบความรู้ทางพันธุศาสตร์
พันธุศาสตร์ (GENETICS) เป็ นสาขาหนึงของชีววิทยา
ศึกษาเกียวกับพฤติกรรมของยีน ซึงเป้ นหน่วยควบคุมลักษณะทางพันธุกรรม
และแบบแผนการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม
เกรเกอร์ เมนเดล (GREGOR MENDEL,ค.ศ. 1822
– 1884) บาทหลวงชาวออสเตรีย ได้ทาการทดลองในถัวลันเตา
ํ
(Pisum sativum) ได้ความรู้ทางพันธุศาสตร์ มากมาย ทําให้เข้า
ได้รบการยกย่องเป็ นบิดาแห่งพันธุศาสตร์
ั
8. เกรเกอร์ โจฮันน์ เมนเดล
Gregor Mendel
เกิด วันที 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1822 ทีเมืองโมราเวีย
(Moravia) ประเทศสาธารณรัฐเชค (Republic of
Czech)
เสียชีวต วันที 6 มกราคม ค.ศ. 1884 ทีเมืองเบิร์น
ิ
(Brunn) ประเทศสาธารณรัฐเชค (Republic of
Czech)
9. เมนเดล
โยฮั นน์ เกรกอร์ เมนเดล เกิดในปี ค.ศ.1822 เป็ นบาทหลวงชาว
ออสเตรีย และในขณะเดียวกันเขาก็เป็ นอาจารย์ สอนหนังสือให้แก่
นักเรียน สอนนักเรียน ถึงเรื!องพันธุ์กรรมด้วย เมนเดลมีความสนใจ
ศึกษาด้านวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะ ด้านพันธุศาสตร์ เขาได้ใช้
สถานที!ภายในบริเวณวัดเพือทําการทดลองสิ!งต่างๆ ที!เขาสนใจ เมน
!
เดลเริ!มต้นทดลองเป็ นครั=งแรกในปี ค.ศ.1856 เรื!องที!เขาทําการ
ทดลองคือ การรวบรวมต้นถั!วหลายๆพันธุ์นามาผสมกันหลายๆ
ํ
วิธี
10. เมนเดล
เขาใช้เวลาทดลองต่อเนื!องถึง 7 ปี จนได้ข้อมูลมากเพียงพอ ในปี ค.ศ.1865 เมน
เดล จึงได้ รายงานผลการทดลอง ซึ! งเกี!ยวข้องกับการผสมพันธุ์ ต้นถั!ว ให้แก่ท!ี
ประชุม Natural History Society ในกรุงบรุนน์ ( Brunn )
ผลงานของเขาได้รับการตีพมพ์เผยแพร่ออกไปทั!วทวีปยุโรปและ อเมริกาในปี ต่อมา
ิ
คือปี ค.ศ.1866
ผลงานของเขาถูกปล่อยไว้นานถึง 34 ปี จนกระทั!งปี ค.ศ.1900 ได้มีนัก ชีววิทยา
3 ท่าน คือ ฮูโก เดฟรีส์ ชาวฮอลันดา คาร์ล คอเรนส์ ชาวเยอรมันและ เอริช ฟอน
แชร์มาค ชาวออสเตรเลีย ได้ทดลองผสมพันธุ์พชชนิดอื! นๆ และได้ผลการทดลอง
ื
ตรงกับที!เมนเดลเคยรายงานไว้ ทําให้เมนเดลเป็ นที!ร้จัก ในวงการพันธุศาสตร์นับแต่
ู
นั=นเป็ นต้นมา และ เมนเดลยั งได้รับการยกย่ องว่า เป็ นบิดาแห่งวิชาพันธุศาสตร์อีก
ด้วย เมนเดลเสียชีวิตลงในปี ค.ศ.1884 ถึงแม้เป็ นความจริง เขาจะไม่ได้รับการ
ยอมรับนับถือในฐานะนักวิทยาศาสตร์มากนัก แต่ประชาชนทั!วไปก็นับถือเขาและมี
ความศรัทธาในฐานะนักบวชเป็ นอย่ างมาก
11. การทดลองของเมนเดล
ั G ั1
1. เมนเดล ผสมต้นถัวลันเตาจนได้พนธุ์บริสุทธิทง พ่อพันธุ์ แม่พนธุ์ั
2. เมนเดล นําต้นถัวพันธุ์สูงเป็ นพ่อพันธุ์ หรือแม่พนธุ์ มาผสมกับต้นถัวพันธุ์
ั
เตี1ยซึงเป็ นแม่พนธุ์หรือพ่อพันธุ์ เป็ นการผสมข้ามต้นต่างลักษณะ
ั
3. เมนเดล นําต้นถัวรุ่นทีสอง (F2) มาผสมพันธุ์กนเอง ั
12. สรุ ปผลการทดลองของเมนเดล
1. ลักษณะทางพันธุกรรมทีควบคุมความสูงของต้นถัวมีลกษณะเด่น คือ ลักษณะลํา
ั
ต้นสูงกับลักษณะด้อย คือ ลักษณะลําต้นเตี1ย ลักษณะทางพันธุกรรมของพ่อจะอยู่ใน
ละอองเกสรตัวผู ้ ของแม่จะอยู่ในรังไข่ ลักษณะพันธุกรรมจึงถ่ายทอดถึงลูกหลานได้
2. ลักษณะเด่นจะข่มลักษณะด้อยในรุ่นลูก (F1) จึงพบรุ่นลูกมีลกษณะเด่นหมด
ั
ทังนีภายในข้อจํากัดพ่อและแม่ ต้องเป็ นพันธุ์เด่นแท้และด้อยแท้
1 1
3. ในชัวรุ่นหลาน (F2) โดยปล่อยให้รุ่นลูก (F1) ผสมพันธุ์กนเองจะได้ลกษณะ
ั ั
เด่นต่อลักษณะด้อยในอัตราส่วน 3 : 1
13. กฎแห่ งการถ่ ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของ
เมนเดล
กฎข้อที 1 กฎแห่งการแยกตัว ( law of segregation) กล่าว
ว่า สิงทีควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมของสิงมีชวตทีสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศมี
ีิ
อยู่เป็ นคู่ ๆ แต่ละคู่แยกจากกันในระหว่าง การสร้างเซลล์พชสืบพันธุ์ ทําให้เซลล์
ื
สืบพันธ์ แต่ละเซลล์มหน่วยควบคุมลักษณะนีเ1 พียงหนึงหน่วยและจะ กลับเข้าคู่อก
ี ี
เมือเซลล์สบพันธ์ ผสมกัน
ื
สิงทีควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมซึงเป็ นหน่วยทีคงตัวนัน เมนเดล เรียกว่า
1
แฟกเตอร์ (factor) ในปัจจุบนเรียกกันว่า ยีน (gene)
ั
กฎข้อที 2 กฎแห่งการรวมกลุมอย่างอิสระ กล่าวว่า ในเซลล์สบพันธุ์จะมีการ
่ ื
รวมกลุมของหน่วยพันธุกรรมของลักษณะต่าง ๆ การรวมกลุมเหล่านีเ1 ป็ นไป
่ ่
อย่างอิสระ จึงทําให้เราสามารถทํานายผลทีเกิดขึนในรุ่นลูก และรุ่นหลานได้
1
14. ลักษณะเด่ น/ด้ อย
ลักษณะเด่น หมายถึง ลักษณะทีมีโอกาสแสดงออกได้มากกว่า
ลักษณะด้อย หมายถึง ลักษณะทีจะแสดงออกได้ ก็ต่อเมือมีการเข้าคู่แบบโฮ
โมโลกัสของยีนด้อยเท่านัน
1
15. เมนเดล ได้พบถึงข้อขัดแย้งกับ
blending theory ทีเด่นชัดก็คอ ื
ถ้าผสมถัวทีมีดอกสีมวง กับถัวทีมีดอกสีขาว
่
ต้นถัวทีเกิดมา จากเมล็ดกลับให้ดอกสีมวง
่
ทังหมด (ไม่ใช่ตรงกลาง ระหว่างสีขาวกับสี
1
ม่วง)
แล้วถ้าปล่อยให้ต้นถัว ทีได้มาจากการผสมพันธุ์
ครังแรกผสมพันธุ์กบตัวเอง จะได้ดอกสีม่วง
1 ั
สามต่อดอกสีขาวหนึง (3:1)
18. พันธุศาสตร์ ตามหลักของเมนเดล
(Mendelian Genetics)
Mendelian
จากการทีเมนเดลใช้หลักสถิตใิ นการวิเคราะห์ผลการทดลอง เขาได้กฏการ
ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม 2 ข้อ ทีสอดคล้องกับผลการทดลองของเขา
คือ กฏการแยก (law of segregation) และกฏการรวมกลุมกัน ่
อย่างอิสระ (law of independent assortment)
ซึงกฏทัง 2 ข้อนีใ1 ช้อธิบายพฤติกรรมของสิงทีควบคุมการแสดงออกของ
1
ลักษณะต่างๆ เช่น ลักษณะความสูงของลําต้น ลักษณะสีดอก และลักษณะรูปร่ าง
เมล็ดถัวลันเตาตามการทดลองของเขา ซึงขณะนันเขาเรียกสิงทีควบคุมการ
1
แสดงออกของลักษณะต่างๆว่า “แฟกเตอร์ ” (factor) ทีเขาเชือว่ามีอยู่เป็ น
คู่ๆ ว่าจะต้องมีการแยกจากกัน แบ่งเป็ น 2 ชุด เท่าๆ กัน ในระหว่างการสร้าง
เซลล์สบพันธุ์ ซึงปัจจุบนเรียกว่า ยีน
ื ั
19. 1. กฏการแยก (law of segregation)
law
เมือพิจารณาการถ่ายทอดลักษณะของถัวลันเตาทีละลักษณะ เช่น ลักษณะสีของ
เมล็ด เมนเดลให้สญลักษณ์ Y แทนลักษณะเมล็ดสีเหลือง และ y แทนลักษณะ
ั
เมล็ดสีเขียว
20. จากรูป F1 สร้างเซลล์สบพันธุ์ได้ 2 แบบ คือ Y หรือ y โดยมีโอกาส
ื
อย่างละ ½ ดังนันโอกาสทีเซลล์สบพันธุ์แต่ละแบบจะมารวมกันเพือเกิดเป็ นลูกรุ่น
1 ื
F2 คือ 1/4 YY, 1/2 Yy, และ1/4 yy คิดเป็ นอัตราส่วนจีโน
ไทป์ 1:2:1 หรือ อัตราส่วน ฟี โนไทป์สเี หลืองต่อสีเขียว 3:1
เช่นเดียวกันกับการพิจารณาการผสมถัวลันเตาลักษณะเมล็ดกลมและเมล็ดขรุขระ
ก็ให้สดส่วนลักษณะเด่นและลักษณะด้อย 3:1 เช่นกัน
ั
ลักษณะเมล็ดขรุขระไม่มเี อนไซม์ทจะเปลียนนํ1าตาลเป็ นแป้ ง จึงต้องดูดนํ1าเข้าเมล็ด
ี
มาก พอเมล็ดแก่ แห้ง จึงมีลกษณะขรุขระ
ั
21. 2. กฏการรวมกลุ่มกันอย่ างอิสระ (law of
law
independent assortment)
เมือพิจารณาการถ่ายทอดลักษณะ
ของถัวลันเตาทีละลักษณะ 2
ลักษณะขึนไป เช่น ลักษณะสีของ
1
เมล็ด และลักษณะรูปร่ างของเมล็ด
เมนเดลให้สญลักษณ์ของลักษณะ
ั
รูปร่ างเมล็ดกลม R และ ลักษณะ
รูปร่ างเมล็ดขรุขระ r
22. จากรูป F1 สร้างเซลล์สบพันธุ์ได้ 4 แบบ เป็ นการรวมกลุมกันอย่างอิสระ คือ
ื ่
YR, Yr, yR หรือ ry โดยมีโอกาสอย่างละ 1/4 ดังนัน โอกาสทีเซลล์
1
สืบพันธุ์แต่ละแบบจะมารวมกันเพือเกิดเป็ น ลูกรุ่น F2 คือ
9/16 Y_R_,
3/16 yyR_,
3/16 Y_rr และ
1/16 rryy
อัตราส่วนฟี โนไทป์ เมล็ดกลมสีเหลือง : เมล็ดกลมสีเขียว :
เมล็ดขรุขระสีเหลือง : เมล็ดขรุขระสีเขียว เท่ากับ 9:3:3:1
24. ศัพท์ ทางพันธุศาสตร์
จีโนไทป์ (Genotype) หมายถึงชนิดของยีนทีมาจับคู่กน โดยปกติ
ั
ลักษณะของสิงมีชวตหนึงลักษณะจะถูกควบคุมโดยยีนอย่างน้อย 1 คู่
ีิ
เนืองจากเป็ นยีนทีมาจากพ่อแม่อย่างละครึง นันเอง
ฟี โนไทป์ (Phenotype) หมายถึงลักษณะทีเกิดจากการแสดงออก
ของยีน สามารถมองเห็นหรือตรวจสอบได้ เช่น สีผว สีผม สีตา ความ
ิ
สูง ความเตี1ย ลักษณะความถนัด และกลุมเลือด เป็ นต้น
่
25. ศัพท์ ทางพันธุศาสตร์
โฮโมไซกัส (Homozygous) หมายถึงการจับคู่ของยีนทีมีสภาพ
เหมือนกัน เช่น ยีนเด่นจับคู่กบยีนเด่น หรือยีนด้อยจับคู่กบยีนด้อย
ั ั
เฮเทอโรไซกัส (Heterozygous) หมายถึงการจับคู่ของยีนต่าง
สภาพ ได้แก่ ยีนสภาพเด่นจับคู่กบยีนสภาพด้อย ซึงเรียกว่า เป็ นลักษณะ
ั
พันธุ์ทาง
26. ศัพท์ ทางพันธุศาสตร์
ลักษณะเด่น (Dominance) หมายถึงลักษณะเด่นของยีนซึางเป็ น
ลักษณะข่ม โดยมีสมบัตขมยีนด้อยได้ ถ้าสภาพยีนเด่นนันเป็ นปกติ
ิ่ 1
ลักษณะด้อย (Recessive) หมายถึงลักษณะด้อยของยีน โดยปกติ
จะถูกข่มโดยยีนเด่น
27. ศัพท์ ทางพันธุศาสตร์
ลักษณะเด่นร่ วมกัน (Co-dominance) เมือยีนเด่นของลักษณะต่างกัน
มาจับกัน แล้วส่งผลให้เกิดการแสดงออกของทังสองลักษณะ เรียกลักษณะเด่นที
1
แสดงออกมาทังสองนีว่า เด่นเท่ากัน เช่น ยีนนําลักษณะแอนติเจนเอ เมือมาจับคู่
1 1
กับยีนนําลักษณะแอนติเจนบี จะปรากฏเป็ นกลุมเลือดแบบเอบีขน ซึงลักษระดังลกล่าว
่ 1ึ
นีเ1 กิดจากยีนหลายคู่ควบคุมลักษณะเดียวกัน
ลักษณะเด่นไม่สมนบูรณ์ (Incomplete dominance) บางครัง 1
ยีนเด่นบางชนิดมีสภาพอ่อนแอ ไม่สามารถข่มยีนด้อยลงได้ทงหมด จึงทําให้เกิดผล
ั1
ของการทําปฏิกรยาร่ วมกันของยีน ได้ลกษณะทีไม่เหมือนพ่อหรือแม่ออกมา ลักษณะ
ิิ ั
ดังกล่าวอาจเป็ นลักษณะกลางระหว่างลักษณะของพ่อแม่กไ็ ด้ ตัวอย่างทีพบ ได้แก่ สี
แดงในดอกลินมังกร ซึงพบว่าเป็ นลักษณะเด่นแบบไม่สมบูรณ์ ข่มลักษณะสีขาวซึงเป็ น
1
ลักษณะด้อยลงไม่ได้ทงหมด จึงทําให้เกิดดอกสีชมพู ขน เป็ นต้น
ั1 1ึ
28. ศัพท์ ทางพันธุศาสตร์
โฮโมไซกัส โดมิแนนซ์ (Homozygous dominance)
หมายถึงสภาพยีนเด่นมาจับคู่กน จะได้ฟีโนไทป์ของลักษณะเด่น ลักษณะนีเ1 รียก
ั
จัดเป็ นพันธุ์แท้ลกษณะเด่น
ั
เฮเทอโรไซกัส โดมิแนนซ์ (Heterozygous dominance)
หมายถึงยีนสภาพเด่นจับคู่กบยีนสภาพด้อย ลักษณะนีจดเป็ นลักษณะพันธุ์ทาง
ั 1ั
นันเอง
โฮโมไซกัส รีเซสซีพ (Homozygous recessive)
หมายถึงยีนสภาพด้อยจับคู่กน ั ฟี โนไทป์เป็ นลักษณะด้อย ลักษณะนี1
จัดเป็ นพันธุ์แท้ลกษณะด้อยลักษณะ
ั
29. ความสัมพันธ์ ระหว่ างยีนและการถ่ ายทอด
ลักษณะทางพันธุกรรม
ลักษณะต่างๆ ของสิงมีชวตทีปรากฏออกมาให้เห็น ซึงเรียกกันว่า ฟี โนไทป์นน
ีิ ั1
บางอย่างเป็ นผลจากการทํางานร่ วมกันระหว่างยีนกับสิงแวดล้อม
"สิงแวดล้อม" หมายถึงสิงแวดล้อมทังภายนอก เช่น อุ ณหภูม ิ แสง เสียง
1
อาหาร การออกกําลังกาย ยา และสภาพภายในของสิงมีชวต เช่น ระดับ
ีิ
ฮอร์ โมน เพศ อายุ เป็ นต้น
สิงแวดล้อมจะมีบทบาทในการควบคุมฟี โนไทป์ของยีนแตกต่างกันในแต่ละลักษณะ
เช่น กลุมเลือดและสีตา
่
สิงแวดล้อมก็ไม่สามารถจะทําให้สงมีชวตเปลียนแปลงเกินขอบเขตพันธุกรรมทีมี
ิ ีิ
อยู่ได้ และยีนก็ไม่สามารถจะแสดงลักษณะออกมาได้ถาอยู่ในสภาพสิงแวดล้อมที
้
ขาดสารอาหารทีจําเป็ นและปัจจัยอืนๆ
30. ความสัมพันธ์ ระหว่ างยีนและการถ่ ายทอด
ลักษณะทางพันธุกรรม
ตัวอย่างทีแสดงให้เห็นอิทธิพลของสิงแวดล้อมทีมีต่อการแสดงออกของยีน เช่น
ลักษณะศรีษะล้าน ซึงเป็ นลักษณะเด่นในเพศชาย และลักษณะด้อยในเพศหญิง แต่
เนืองจากฮอร์ โมนเพศชายเกียวข้องกับการแสดงออกของยีน ศีรษะล้านจึงพบใน
เพสชายมากกว่าเพศหญิง
31. พันธุวศวกรรม
ิ
คือการนํารหัสพันธุกรรมของสิงมีชวตชนิดหนึง ไปใส่ให้กบ สิงมีชวตอีก
ีิ ั ีิ
ชนิดหนึง เพือให้แสดงลักษณะทางพันธุกรรมทีต้องการออกมา กระทําได้โดย
การตัดยีนจากเซลล์ของสิงมีชวตชนิดหนึงไปต่อกับ สิงมีชวตชนิดหนึง
ีิ ีิ
เรียกว่า รีคมบิแนนต์ (Recombinant DNA)
ิ
32. ขันตอนของพันธุวิศวกรรม
1. แยกยีน โดยการใช้เอนไซม์ทมีคุณสมบัตใิ นการตัดโมเลกุลของ DNA
ี
ตรงเฉพาะตําแหน่ง
2. นําชินส่วนยีนทีได้มาจากการตัดต่อด้วยเอนไซม์มาใส่ในยีนของสิงมีชวตอีกชนิด
1 ีิ
หนึง ส่วนใหญ่ใช้แมคทีเรีย เนืองจากเป็ นสิงมีชวตทีเพิมจํานวนได้รวดเร็ว
ีิ
และมี DNA เป็ น รูปวงแหวนทีเรียกว่า พลาสมิด (Plasmid)
ซึงสามารถเพิมจํานวนได้อย่างอิสระ
3. นํายีนทีตัดต่อแล้วไปใส่ในสิงมีชวตทีต้องการให้แสดงลักษณะทางพันธุ กรรมที
ีิ
ต้องการออกมา
33. ประโยชน์ ของพันธุวศวกรรม
ิ
1. ด้านอุ ตสาหกรรม พันธุวศวกรรมมีบทบาทสําคัญในการพัฒนา
ิ
ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เช่น การผลิตกรดอะมิโน เอนไซม์ วิตามิน
2. ด้านเกษตรกรรม ทําให้ผลิตต้นพืชทีมีความสามารถในการต้านยาปราบ
ศัตรูพช ทนทานต่อสภาพแวดล้อมทีแปรปรวน สามารถตรึงก๊าซไนโตรเจน
ื
จากบรรยากาศ หรือพืชทีมีผลผลิตสูงและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง
3. ด้านการแพทย์ เช่น การผลิตยาปฏิชวนะและวิตามินต่างๆ โดยการปรับปรุง
ี
ยีนของราหรือแบคทีเรีย โดยการตัดต่อยีนจากสิงมีชวตหนึงเข้ากับยีนของ
ีิ
สิงมีชวตอีกชนิดหนึง เพือให้ได้ยนทีมีสมบัตตามต้องการ นอกจากนีทาง
ีิ ี ิ 1
การแพทย์ได้นาเทคนิคทางพันธุวศวกรรมมาช่วยวินจฉัยโรคพันธุกรรมตังแต่
ํ ิ ิ 1
ก่อนคลอด หรือก่อนมีอาการ และนําไปใช้ผลิตฮอร์ โมน โปรตีน และวัคซีน
ต่างๆ เพือประโยชน์ในการรักษาและป้ องกัน