บทที่ 5
สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
การวิจัยครั้งเป็นการพัฒนาความสามารถทักษะการฟังภาษาอังกฤษของผู้เรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งมีขั้นตอนและผลของการศึกษา สรุปได้ดังนี้
1. ความมุ่งหมายของการวิจัย
2. สรุปผลการวิจัย
3. อภิปรายผล
4. ข้อเสนอแนะ
ความมุ่งหมายของการวิจัย
1. เพื่อหาประสิทธิภาพของกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการ
ตามแนวดิกโตกลอสของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
2. เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการ
ตามแนวดิกโตกลอสของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
3.เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังใช้
กิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอส
4. เพื่อวิเคราะห์และประเมินความสอดคล้องของประสิทธิภาพการทางานกลุ่มกับประสิทธิภาพ
การเรียนรู้ผ่านกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอสของผู้เรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 4
สรุปผลการวิจัย
ผลการศึกษาค้นคว้าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอส
เพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษของผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปรากฏผลดังนี้
1. การจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอสของผู้เรียน
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพคิดเป็นร้อยละ 67.99/92.13 ซึ่งไม่เป็นไปตาม
เกณฑ์ที่ตั้งไว้
2. ดัชนีประสิทธิผลของการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังโดยใช้กระบวนการตามแนว
ดิกโตกลอสของผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีค่าเท่ากับ 0.72 แสดงว่าผู้เรียนมีความก้าวหน้า
ทางการเรียนคิดเป็นร้อยละ 72.25
3. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
ก่อนและหลังใช้กิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอส อย่างมีนัยสาคัญ
ทางสถิติที่ระดับ 0.05
4. ผลการวิเคราะห์และประเมินความสอดคล้องของประสิทธิภาพการทางานกลุ่มกับ
ประสิทธิภาพการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนว
ดิกโตกลอสของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่ามีความสอดคล้องกัน
อภิปรายผลการวิจัย
จากการศึกษาการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนว
ดิกโตกลอส ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีประเด็นที่นามาอภิปราย ดังนี้
1. การจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอส
ผ่านการเขียนของผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่สร้างขึ้นนั้นมีประสิทธิภาพคิดเป็นร้อยละ
67.99/92.13 หมายความว่า ผู้เรียนทั้งหมดได้คะแนนเฉลี่ยระหว่างเรียนที่ผู้เรียนทุกคนได้จากคะแนน
เข้าชั้นเรียนและใบงานคิดเป็นร้อยละ 67.99 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนของผู้เรียนทุกคนที่ได้จาก
การทาแบบทดสอบทักษะการฟังภาษาอังกฤษหลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 92.13 ซึ่งไม่เป็นไปตามเกณฑ์
ที่ตั้งไว้ ทั้งนี้อาจเนื่องมาจาก ผู้เรียนไม่คุ้นชินกับการฟังสาเนียงเจ้าของภาษา ขาดการฝึกฝน การมี
ทัศนคติเชิงลบต่อการเรียนภาษาอังกฤษและปัจจัยรบกวนภายนอก สอดคล้องกับผลงานวิจัยของไทยากิ
(Tyagi. 2013 : 6-7) ที่ได้กล่าวถึงอุปสรรคการฟังว่า การฟังนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและมีอุปสรรค
ที่ขัดขวางไม่ให้การฟังประสบความสาเร็จอยู่หลายประการ ดังนี้
1.1 อุปสรรคทางวัฒนธรรม (Cultural Barriers) คือ สาเนียงสามารถเป็นอุปสรรค
ในการฟังได้ เพราะการออกเสียงต่างกัน อาจทาให้ความหมายของคาเปลี่ยนไปจากเดิม ปัญหาของ
สาเนียงที่มีความแตกต่างกันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นภายในตัววัฒนธรรม
เองด้วย ตัวอย่างเช่น ในประเทศอินเดียที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งแต่ละภูมิภาคจะมีสาเนียง
ที่แตกต่างกันไป
1.2 การขาดการฝึกฝน (Lack of training) คือ การฟังไม่ใช่ทักษะที่ติดตัวมาแต่เกิด
ผู้คนไม่ได้เกิดมาเป็นผู้ฟังที่ดี จึงต้องมีการพัฒนาการฟังด้วยการปฏิบัติและการฝึกฝน การขาดการฝึกฝน
จึงเป็นอุปสรรคสาคัญที่ส่งผลต่อการพัฒนาทักษะการฟังเป็นอย่างมาก
1.3 อุปสรรคทางทัศนคติ (Attitudinal Barriers) คือ การเชื่อว่าตัวเองนั้นมีความรู้
มากกว่าผู้พูด หรือคิดว่าไม่มีสิ่งแปลกใหม่ให้เรียนรู้จากความคิดของผู้พูด บุคคลที่มีทัศนคติเช่นนี้มักจะ
เป็นผู้ฟังที่ไม่มีคุณภาพ
1.4 อุปสรรคทางกายภาพ (Physical Barriers) คือ อุปสรรคที่เกี่ยวกับสิ่งรบกวน
ภายนอก เช่น เสียงของเครื่องปรับอากาศ เสียงรถยนต์ เสียงพูดคุยของเพื่อนในห้องเรียน อุณหภูมิห้อง
ที่ร้อนหรือหนาวเกินไป ซึ่งสามารถรบกวนกระบวนการฟังได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประสิทธิภาพของกิจกรรมจะไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ แต่ค่าประสิทธิผล
ถือว่าอยู่ในระดับที่เกินครึ่ง
2. ดัชนีประสิทธิผลของการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการ
ตามแนวดิกโตกลอสผ่านการเขียนของผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มผู้วิจัยได้นาผลการทดลอง
ของผู้เรียนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนมาวิเคราะห์หาค่าดัชนี
ประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนว
ดิกโตกลอส ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่าดัชนีประสิทธิผล มีค่าเท่ากับ 0.72 หรือคิดเป็นร้อยละ 72.25
ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนว
ดิกโตกลอสที่มีการวางแผนการจัดการเรียนการสอนอย่างมีระบบ ไม่ว่าจะเป็นด้านการจัดการเรียนรู้
กิจกรรมและสื่อที่แตกต่างไปจากที่ผู้เรียนเคยเรียน ผู้เรียนจึงมีความก้าวหน้าในการเรียนเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งสอดคล้องกับผลงานวิจัยของพริ้นส์ (Prince. 2013 : 486-500) ได้ทาการวิจัยเกี่ยวกับการใช้
กิจกรรมโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอสเพื่อพัฒนาการฟัง การจา และการเขียนของผู้เรียน
ซึ่งวัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้ คือ เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาความเข้าใจของผู้เรียนในการเรียน
ภาษาอังกฤษ และผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าทักษะการฟังของผู้เรียนนั้นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างดี
โดยความสามารถในทักษะการฟังนั้นสะท้อนผลด้วยทักษะการเขียน ซึ่งแสดงผลได้ชัดเจนว่าการจัด
การเรียนรู้การฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กิจกรรมโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอส ช่วยพัฒนาการฟัง
และการเขียนของผู้เรียนให้ดีขึ้น
3. ผลการเปรียบเทียบการทดสอบทักษะการฟังภาษาอังกฤษก่อนและหลังใช้กิจกรรมพัฒนา
ทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอส พบว่าคะแนนการสอบก่อนเรียน
มีค่าเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 71.65 หลังจากการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้
กระบวนการตามแนวดิกโตกลอส พบว่าคะแนนการสอบหลังเรียนของผู้เรียนมีค่าเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ
92.15 เมื่อพิจารณาคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังเรียนแล้วนั้น จะเห็นได้ว่าคะแนนหลังเรียนสูงกว่า
ก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญที่ 0.05 ทั้งนี้เนื่องจากการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้
กระบวนการตามแนวดิกโตกลอสของผู้เรียนมีกระบวนการทากิจกรรมที่เป็นขั้นตอนเพื่อช่วยให้ผู้เรียน
สามารถเข้าใจและบอกความแตกต่างของภาษาที่ผู้เรียนมีกับภาษาเป้าหมายได้ โดยผลวิจัยนั้นเป็นไป
ตามที่ ไจเบอร์เดาราห์ (Jibir-Daura. 2013 : 112-116) ได้ทาการศึกษาเกี่ยวกับการใช้กิจกรรมโดย
ใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอส เป็นแนวทางในการสอนและพัฒนาความเข้าใจในการฟังของผู้เรียน
โดยวัตถุประสงค์ของงานวิจัย คือ เพื่อสารวจว่ากิจกรรมโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอสนั้น
สามารถที่จะทาให้ผู้ฟังบอกความแตกต่างระหว่างความสามารถทางภาษาที่ผู้เรียนมีอยู่และ
ความสามารถของภาษาที่ตั้งเป้าไว้ โดยมีกลุ่มประชากร คือ นักศึกษาจานวน 20 คน จากสาขา
ภาษาศาสตร์ โดยครูจะเปิดเนื้อหาให้ผู้เรียนฟังรอบแรกโดยที่ยังไม่ต้องให้จดอะไรเพื่อให้ผู้เรียนจับ-
ใจความสาคัญของเรื่อง จากนั้นครูเปิดเนื้อหาอีกครั้งเพื่อให้ผู้เรียนเขียนเนื้อหาที่สาคัญ หลังจากนั้นครู
เปิดเนื้อหาอีกครั้งเพื่อให้ผู้เรียนได้ตรวจสอบในสิ่งที่ตัวเองเขียนแต่ยังไม่ให้ปรับแก้และในขั้น
การสร้างใหม่ ครูให้ผู้เรียนปรับแก้เนื้อหา ซึ่งผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ออกมา พบว่าผู้เรียนสามารถบอก
ความแตกต่างระหว่างภาษาที่มีอยู่กับภาษาเป้าหมายได้ โดยเทียบจากเนื้อหาที่ตัวเองเขียนกับเนื้อหา
ต้นฉบับที่ครูเปิดให้ฟัง
4. ผลการวิเคราะห์และประเมินความสอดคล้องของประสิทธิภาพการทางานกลุ่มกับ
ประสิทธิภาพการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนว
ดิกโตกลอสของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่ามีความสอดคล้องกันจานวน 3 แผน คิดเป็นร้อยละ
75 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ กล่าวคือ ถ้าผู้เรียนมีประสิทธิภาพการทางานกลุ่มสูง ประสิทธิภาพ
ในการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอสก็จะ
สูงตามไปด้วย ดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 ของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่าผู้เรียนมี
ประสิทธิภาพในการทางานกลุ่ม คิดเป็นร้อยละ 77.6 และมีประสิทธิภาพการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมพัฒนา
ทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอส คิดเป็นร้อยละ 68.03
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 พบว่า ผู้เรียนมีประสิทธิภาพในการทางานกลุ่มคิดเป็นร้อยละ 73.2
และมีประสิทธิภาพการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนว
ดิกโตกลอส คิดเป็นร้อยละ 65.47 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 พบว่าผู้เรียนมีประสิทธิภาพในการทางาน
กลุ่มคิดเป็นร้อยละ 72 และมีประสิทธิภาพการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ
โดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอส คิดเป็นร้อยละ 73.03 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 พบว่า ผู้เรียน
มีประสิทธิภาพในการทางานกลุ่มคิดเป็นร้อยละ 69.6 และมีประสิทธิภาพการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมพัฒนา
ทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอส คิดเป็นร้อยละ 65.43 และจาก
การสังเกตผู้เรียนในขณะทากิจกรรมกลุ่มพบว่าผู้เรียนมีความสนุกสนาน เกิดการเรียนรู้และแลกเปลี่ยน
ข้อมูลกัน ก่อให้เกิดความหลากหลายและความแตกต่างทางความคิดเห็น ซึ่งสอดคล้องกับฮาร์เมอร์
(Harmer. 2013 : 166) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการทางานกลุ่มไว้ว่า การทางานกลุ่มช่วยให้ผู้เรียน
แต่ละคนได้มีโอกาสพูดคุยและปรึกษากับเพื่อนมากขึ้น ก่อให้เกิดความหลากหลายและความแตกต่าง
ทางความคิดเห็น ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีอิสระในการทางานและแสดงความคิดเห็นในกลุ่มได้อย่างเต็มที่
โดยไม่ต้องมีครูมาบังคับและช่วยให้ผู้เรียนรู้หน้าที่ในการทางานที่เหมาะสมกับตัวเองได้ ดังนั้น
ในการพัฒนาทักษะการฟังผ่านกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนว
ดิกโตกลอสช่วยพัฒนาทักษะการทางานกลุ่มของผู้เรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
ข้อเสนอแนะ
1. ข้อเสนอแนะทั่วไป
1.1 ผู้สอนไม่ควรเลือกเนื้อหาที่มีความยาวมากจนเกินไป เพราะจะทาให้ผู้เรียนจดจา
รายละเอียดสาคัญของเรื่องไม่ได้
1.2 ผู้สอนควรเลือกใช้เสียงที่ผู้พูดออกเสียงชัดเจน
1.3 ผู้สอนควรเลือกใช้กิจกรรมที่หลากหลายเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านกิจกรรม
พัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอสให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
1.4 ระยะเวลาที่ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนต้องใช้เวลาอย่างต่อเนื่องกัน
อย่างเพียงพอในการทากิจกรรม ผู้สอนไม่ควรเร่งรัดคาตอบเพื่อเร่งเวลาปฏิบัติการของผู้เรียน
เพียงแต่คอยกระตุ้นให้ผู้เรียนทากิจกรรมอย่างต่อเนื่อง และควรให้ผู้เรียนได้มีเวลาในการปฏิบัติ
ให้เกิดการคิดอย่างเป็นระบบอย่างเพียงพอ
2. ข้อเสนอแนะในการทาวิจัยครั้งต่อไป
2.1 ควรมีการศึกษาตัวแปรอื่น ๆ เพิ่มนอกเหนือจากการทางานกลุ่ม เช่น แรงจูงใจ
เป็นต้น
2.2 ควรมีการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะด้านอื่น ๆ ร่วมกับทักษะการฟังของผู้เรียนด้วย เช่น
การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของผู้เรียนผ่านกิจกรรมโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอส
เพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ
2.3 ควรมีการศึกษาระยะยาวเพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงในตัวแปรต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อ
การคิดวิเคราะห์ตามช่วงพัฒนาการของผู้เรียน
บรรณานุกรม
กระทรวงศึกษาธิการ. การจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ตามหลักสูตร
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพฯ : กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ,
2546.
กระทรวงศึกษาธิการ. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุม
สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด, 2552.
กระทรวงศึกษาธิการ. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ :
โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด, 2552.
Bennett, J. M. (1991). Four power of communication: Skills for effective learning.
New York: Mcgraw-Hill.
Berman, M. (2003). Advance listening: Listening strategy guide lectures 4-6. DynEd
International, Inc.
Burke, A. (2011). Group work: How to use groups effectively. The Journal of
Effective Teaching, 11(2), 87-95. Retrieved July 1, 2015, from
uncw.edu/cte/et/articles/Vol11_2/Burke.pdf
Burns, A. & Richards. (2012). Pedagogy and practice in second language teaching.
New York: Cambridge University press.
Chen, B. (2013). Group Evaluation. In K. Thompson and B. Chen (Eds.), Teaching
online pedagogical repository. Orlando, FL: University of Central Florida Center
for Distributed Learning. Retrieved July 19, 2015, from
https://topr.online.ucf.edu/ index.php?title=Group_Evaluation&oldid=2672
Corey, S. & Corey, G. (1992). Groups: process and practice. Pacific Grove,
California: Brooks Cole.
Downs, L. J. (2008). Listening skills training. U.S.A: the American Society for
Training and Development. Retrieved June 9, 2015, from
https://books.google.co.th/books?hl=en&lr=&id=e07HJW6UxSoC&oi=fnd&pg=PR
9&dq=Downs+2008+teaching+listening&ots=iM8QlJ0WwS&sig=6IbDj0XCOx4v_32l
rQnBIldTfII&redir_esc=y#v=onepage&q=Downs%202008%20teaching%20listening
&f=false
Flowerdew, J., & Miller, L. (2006). Second language listening: Theory and practice.
U.S.A: Cambridge language education.
Harmer, J. (1998). How to teach English: An introduction to the practice of English
language teaching. England: Longman.
Harmer, J. (2013). The practice of English language teaching. China: Pearson
Education Limited.
Helgesen, M. “Listening” in David Nunan (Editor) Practical English Lauguage
Teaching. (First Edition). Singapore: Mc GrawHill, 2003.
Jacobs, G. & Small, J. (2003). Combining dictogloss and cooperative learning to
promote language learning. The Reading Matrix Journal, 3(1), 1-2.
Retrieved June 9, 2015, from
http://www.readingmatrix.com/articles/jacobs_small/article.pdf
Jaques, D. (2000). Learning in groups: A handbook for improving group work.
London: Kogan Page.
Jibir-Daura, R. (2013). Using dictogloss as an interactive method of teaching
listening comprehension. Advances in Language and Literary Studies, 4(2), 1-5.
DOI: 10.7575/aiac.alls.v.4n.2p.112
Kutnick, P. & Blatchford, P. (2014). Effective group work in primary school classrooms.
New York: Springer Dordrecht Heidelberg. Retrieved July 2, 2015, from
http://link.springer.com/book/10.1007/978-94-007-6991-5
Lock, A. (2013). Teaching speaking and listening: One step at a time, Revised
Edition. London: Bloomsbury publishing plc.
Nation, I. S. P., & Newton, J. (2009). Teaching ESL/EFL speaking and listening.
New York: Routledge Taylor & Francis.
Prince, P. (2013). Listening, remembering, writing: Exploring the dictogloss task.
Language Teaching Research, 17(4), 486-500.
DOI: 10.1177/1362168813494123
Race, P. (2000). 500 tips on group learning. London: Kogan Page.
Saricoban, A. (1999). The teaching of listening. The Internet TESL Journal, 5.
Retrieved June 9, 2015, from http://iteslj.org/Articles/Saricoban-Listening.html
Schwartz, M. (1998). Listening in foreign language, Center for Applied Linguistics, 98 (12),
10-13.
Timothy, F. (2012). Group dynamics and team interventions: Understanding and
improving team performance. England: Wiley-Blackwell.
Tyagi, B. (2013). Listening : An important skill and its various aspects. The Criterion
an International Journal in English, 12, 1-8.
Vandergrift, L. (2004). Listening to learn or learning to listen?, Annual Review of
Applied Linguistics, 24(1), 3 - 25. DOI: 10.1017/S0267190504000017
Vasiljevic, Z. (2010). Dictogloss as an interactive method of teaching listening
comprehension to L2 learners. Language Teaching, 3(1), 41. Retrieved June
10, 2015, from
http://www.ccsenet.org/journal/index.php/elt/article/view/5212/4329
Wilson, M. (2003). Discovery listening- improving perceptual processing. ELT
Journal, 57(4), 337-339. Retrieved June 10, 2015, from
http://203.72.145.166/elt/files/57-4-2.pdf

บทที่ 5

  • 1.
    บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งเป็นการพัฒนาความสามารถทักษะการฟังภาษาอังกฤษของผู้เรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งมีขั้นตอนและผลของการศึกษา สรุปได้ดังนี้ 1. ความมุ่งหมายของการวิจัย 2. สรุปผลการวิจัย 3. อภิปรายผล 4. ข้อเสนอแนะ ความมุ่งหมายของการวิจัย 1. เพื่อหาประสิทธิภาพของกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการ ตามแนวดิกโตกลอสของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2. เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการ ตามแนวดิกโตกลอสของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 3.เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังใช้ กิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอส 4. เพื่อวิเคราะห์และประเมินความสอดคล้องของประสิทธิภาพการทางานกลุ่มกับประสิทธิภาพ การเรียนรู้ผ่านกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอสของผู้เรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 สรุปผลการวิจัย ผลการศึกษาค้นคว้าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอส เพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษของผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปรากฏผลดังนี้ 1. การจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอสของผู้เรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพคิดเป็นร้อยละ 67.99/92.13 ซึ่งไม่เป็นไปตาม เกณฑ์ที่ตั้งไว้ 2. ดัชนีประสิทธิผลของการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังโดยใช้กระบวนการตามแนว ดิกโตกลอสของผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีค่าเท่ากับ 0.72 แสดงว่าผู้เรียนมีความก้าวหน้า ทางการเรียนคิดเป็นร้อยละ 72.25 3. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังใช้กิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอส อย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.05
  • 2.
    4. ผลการวิเคราะห์และประเมินความสอดคล้องของประสิทธิภาพการทางานกลุ่มกับ ประสิทธิภาพการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนว ดิกโตกลอสของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4พบว่ามีความสอดคล้องกัน อภิปรายผลการวิจัย จากการศึกษาการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนว ดิกโตกลอส ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีประเด็นที่นามาอภิปราย ดังนี้ 1. การจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอส ผ่านการเขียนของผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่สร้างขึ้นนั้นมีประสิทธิภาพคิดเป็นร้อยละ 67.99/92.13 หมายความว่า ผู้เรียนทั้งหมดได้คะแนนเฉลี่ยระหว่างเรียนที่ผู้เรียนทุกคนได้จากคะแนน เข้าชั้นเรียนและใบงานคิดเป็นร้อยละ 67.99 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนของผู้เรียนทุกคนที่ได้จาก การทาแบบทดสอบทักษะการฟังภาษาอังกฤษหลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 92.13 ซึ่งไม่เป็นไปตามเกณฑ์ ที่ตั้งไว้ ทั้งนี้อาจเนื่องมาจาก ผู้เรียนไม่คุ้นชินกับการฟังสาเนียงเจ้าของภาษา ขาดการฝึกฝน การมี ทัศนคติเชิงลบต่อการเรียนภาษาอังกฤษและปัจจัยรบกวนภายนอก สอดคล้องกับผลงานวิจัยของไทยากิ (Tyagi. 2013 : 6-7) ที่ได้กล่าวถึงอุปสรรคการฟังว่า การฟังนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและมีอุปสรรค ที่ขัดขวางไม่ให้การฟังประสบความสาเร็จอยู่หลายประการ ดังนี้ 1.1 อุปสรรคทางวัฒนธรรม (Cultural Barriers) คือ สาเนียงสามารถเป็นอุปสรรค ในการฟังได้ เพราะการออกเสียงต่างกัน อาจทาให้ความหมายของคาเปลี่ยนไปจากเดิม ปัญหาของ สาเนียงที่มีความแตกต่างกันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นภายในตัววัฒนธรรม เองด้วย ตัวอย่างเช่น ในประเทศอินเดียที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งแต่ละภูมิภาคจะมีสาเนียง ที่แตกต่างกันไป 1.2 การขาดการฝึกฝน (Lack of training) คือ การฟังไม่ใช่ทักษะที่ติดตัวมาแต่เกิด ผู้คนไม่ได้เกิดมาเป็นผู้ฟังที่ดี จึงต้องมีการพัฒนาการฟังด้วยการปฏิบัติและการฝึกฝน การขาดการฝึกฝน จึงเป็นอุปสรรคสาคัญที่ส่งผลต่อการพัฒนาทักษะการฟังเป็นอย่างมาก 1.3 อุปสรรคทางทัศนคติ (Attitudinal Barriers) คือ การเชื่อว่าตัวเองนั้นมีความรู้ มากกว่าผู้พูด หรือคิดว่าไม่มีสิ่งแปลกใหม่ให้เรียนรู้จากความคิดของผู้พูด บุคคลที่มีทัศนคติเช่นนี้มักจะ เป็นผู้ฟังที่ไม่มีคุณภาพ 1.4 อุปสรรคทางกายภาพ (Physical Barriers) คือ อุปสรรคที่เกี่ยวกับสิ่งรบกวน ภายนอก เช่น เสียงของเครื่องปรับอากาศ เสียงรถยนต์ เสียงพูดคุยของเพื่อนในห้องเรียน อุณหภูมิห้อง ที่ร้อนหรือหนาวเกินไป ซึ่งสามารถรบกวนกระบวนการฟังได้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประสิทธิภาพของกิจกรรมจะไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ แต่ค่าประสิทธิผล ถือว่าอยู่ในระดับที่เกินครึ่ง
  • 3.
    2. ดัชนีประสิทธิผลของการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการ ตามแนวดิกโตกลอสผ่านการเขียนของผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4กลุ่มผู้วิจัยได้นาผลการทดลอง ของผู้เรียนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนมาวิเคราะห์หาค่าดัชนี ประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนว ดิกโตกลอส ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่าดัชนีประสิทธิผล มีค่าเท่ากับ 0.72 หรือคิดเป็นร้อยละ 72.25 ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนว ดิกโตกลอสที่มีการวางแผนการจัดการเรียนการสอนอย่างมีระบบ ไม่ว่าจะเป็นด้านการจัดการเรียนรู้ กิจกรรมและสื่อที่แตกต่างไปจากที่ผู้เรียนเคยเรียน ผู้เรียนจึงมีความก้าวหน้าในการเรียนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับผลงานวิจัยของพริ้นส์ (Prince. 2013 : 486-500) ได้ทาการวิจัยเกี่ยวกับการใช้ กิจกรรมโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอสเพื่อพัฒนาการฟัง การจา และการเขียนของผู้เรียน ซึ่งวัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้ คือ เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาความเข้าใจของผู้เรียนในการเรียน ภาษาอังกฤษ และผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าทักษะการฟังของผู้เรียนนั้นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างดี โดยความสามารถในทักษะการฟังนั้นสะท้อนผลด้วยทักษะการเขียน ซึ่งแสดงผลได้ชัดเจนว่าการจัด การเรียนรู้การฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กิจกรรมโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอส ช่วยพัฒนาการฟัง และการเขียนของผู้เรียนให้ดีขึ้น 3. ผลการเปรียบเทียบการทดสอบทักษะการฟังภาษาอังกฤษก่อนและหลังใช้กิจกรรมพัฒนา ทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอส พบว่าคะแนนการสอบก่อนเรียน มีค่าเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 71.65 หลังจากการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้ กระบวนการตามแนวดิกโตกลอส พบว่าคะแนนการสอบหลังเรียนของผู้เรียนมีค่าเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 92.15 เมื่อพิจารณาคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังเรียนแล้วนั้น จะเห็นได้ว่าคะแนนหลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญที่ 0.05 ทั้งนี้เนื่องจากการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้ กระบวนการตามแนวดิกโตกลอสของผู้เรียนมีกระบวนการทากิจกรรมที่เป็นขั้นตอนเพื่อช่วยให้ผู้เรียน สามารถเข้าใจและบอกความแตกต่างของภาษาที่ผู้เรียนมีกับภาษาเป้าหมายได้ โดยผลวิจัยนั้นเป็นไป ตามที่ ไจเบอร์เดาราห์ (Jibir-Daura. 2013 : 112-116) ได้ทาการศึกษาเกี่ยวกับการใช้กิจกรรมโดย ใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอส เป็นแนวทางในการสอนและพัฒนาความเข้าใจในการฟังของผู้เรียน โดยวัตถุประสงค์ของงานวิจัย คือ เพื่อสารวจว่ากิจกรรมโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอสนั้น สามารถที่จะทาให้ผู้ฟังบอกความแตกต่างระหว่างความสามารถทางภาษาที่ผู้เรียนมีอยู่และ ความสามารถของภาษาที่ตั้งเป้าไว้ โดยมีกลุ่มประชากร คือ นักศึกษาจานวน 20 คน จากสาขา ภาษาศาสตร์ โดยครูจะเปิดเนื้อหาให้ผู้เรียนฟังรอบแรกโดยที่ยังไม่ต้องให้จดอะไรเพื่อให้ผู้เรียนจับ- ใจความสาคัญของเรื่อง จากนั้นครูเปิดเนื้อหาอีกครั้งเพื่อให้ผู้เรียนเขียนเนื้อหาที่สาคัญ หลังจากนั้นครู เปิดเนื้อหาอีกครั้งเพื่อให้ผู้เรียนได้ตรวจสอบในสิ่งที่ตัวเองเขียนแต่ยังไม่ให้ปรับแก้และในขั้น การสร้างใหม่ ครูให้ผู้เรียนปรับแก้เนื้อหา ซึ่งผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ออกมา พบว่าผู้เรียนสามารถบอก ความแตกต่างระหว่างภาษาที่มีอยู่กับภาษาเป้าหมายได้ โดยเทียบจากเนื้อหาที่ตัวเองเขียนกับเนื้อหา ต้นฉบับที่ครูเปิดให้ฟัง 4. ผลการวิเคราะห์และประเมินความสอดคล้องของประสิทธิภาพการทางานกลุ่มกับ ประสิทธิภาพการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนว
  • 4.
    ดิกโตกลอสของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่ามีความสอดคล้องกันจานวน3 แผน คิดเป็นร้อยละ 75 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ กล่าวคือ ถ้าผู้เรียนมีประสิทธิภาพการทางานกลุ่มสูง ประสิทธิภาพ ในการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอสก็จะ สูงตามไปด้วย ดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 ของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่าผู้เรียนมี ประสิทธิภาพในการทางานกลุ่ม คิดเป็นร้อยละ 77.6 และมีประสิทธิภาพการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมพัฒนา ทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอส คิดเป็นร้อยละ 68.03 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 พบว่า ผู้เรียนมีประสิทธิภาพในการทางานกลุ่มคิดเป็นร้อยละ 73.2 และมีประสิทธิภาพการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนว ดิกโตกลอส คิดเป็นร้อยละ 65.47 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 พบว่าผู้เรียนมีประสิทธิภาพในการทางาน กลุ่มคิดเป็นร้อยละ 72 และมีประสิทธิภาพการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ โดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอส คิดเป็นร้อยละ 73.03 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 พบว่า ผู้เรียน มีประสิทธิภาพในการทางานกลุ่มคิดเป็นร้อยละ 69.6 และมีประสิทธิภาพการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมพัฒนา ทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอส คิดเป็นร้อยละ 65.43 และจาก การสังเกตผู้เรียนในขณะทากิจกรรมกลุ่มพบว่าผู้เรียนมีความสนุกสนาน เกิดการเรียนรู้และแลกเปลี่ยน ข้อมูลกัน ก่อให้เกิดความหลากหลายและความแตกต่างทางความคิดเห็น ซึ่งสอดคล้องกับฮาร์เมอร์ (Harmer. 2013 : 166) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการทางานกลุ่มไว้ว่า การทางานกลุ่มช่วยให้ผู้เรียน แต่ละคนได้มีโอกาสพูดคุยและปรึกษากับเพื่อนมากขึ้น ก่อให้เกิดความหลากหลายและความแตกต่าง ทางความคิดเห็น ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีอิสระในการทางานและแสดงความคิดเห็นในกลุ่มได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องมีครูมาบังคับและช่วยให้ผู้เรียนรู้หน้าที่ในการทางานที่เหมาะสมกับตัวเองได้ ดังนั้น ในการพัฒนาทักษะการฟังผ่านกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนว ดิกโตกลอสช่วยพัฒนาทักษะการทางานกลุ่มของผู้เรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะทั่วไป 1.1 ผู้สอนไม่ควรเลือกเนื้อหาที่มีความยาวมากจนเกินไป เพราะจะทาให้ผู้เรียนจดจา รายละเอียดสาคัญของเรื่องไม่ได้ 1.2 ผู้สอนควรเลือกใช้เสียงที่ผู้พูดออกเสียงชัดเจน 1.3 ผู้สอนควรเลือกใช้กิจกรรมที่หลากหลายเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านกิจกรรม พัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอสให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 1.4 ระยะเวลาที่ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนต้องใช้เวลาอย่างต่อเนื่องกัน อย่างเพียงพอในการทากิจกรรม ผู้สอนไม่ควรเร่งรัดคาตอบเพื่อเร่งเวลาปฏิบัติการของผู้เรียน เพียงแต่คอยกระตุ้นให้ผู้เรียนทากิจกรรมอย่างต่อเนื่อง และควรให้ผู้เรียนได้มีเวลาในการปฏิบัติ ให้เกิดการคิดอย่างเป็นระบบอย่างเพียงพอ 2. ข้อเสนอแนะในการทาวิจัยครั้งต่อไป 2.1 ควรมีการศึกษาตัวแปรอื่น ๆ เพิ่มนอกเหนือจากการทางานกลุ่ม เช่น แรงจูงใจ เป็นต้น
  • 5.
    2.2 ควรมีการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะด้านอื่น ๆร่วมกับทักษะการฟังของผู้เรียนด้วย เช่น การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของผู้เรียนผ่านกิจกรรมโดยใช้กระบวนการตามแนวดิกโตกลอส เพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ 2.3 ควรมีการศึกษาระยะยาวเพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงในตัวแปรต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อ การคิดวิเคราะห์ตามช่วงพัฒนาการของผู้เรียน
  • 6.
    บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. การจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศตามหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพฯ : กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2546. กระทรวงศึกษาธิการ. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด, 2552. กระทรวงศึกษาธิการ. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด, 2552. Bennett, J. M. (1991). Four power of communication: Skills for effective learning. New York: Mcgraw-Hill. Berman, M. (2003). Advance listening: Listening strategy guide lectures 4-6. DynEd International, Inc. Burke, A. (2011). Group work: How to use groups effectively. The Journal of Effective Teaching, 11(2), 87-95. Retrieved July 1, 2015, from uncw.edu/cte/et/articles/Vol11_2/Burke.pdf Burns, A. & Richards. (2012). Pedagogy and practice in second language teaching. New York: Cambridge University press. Chen, B. (2013). Group Evaluation. In K. Thompson and B. Chen (Eds.), Teaching online pedagogical repository. Orlando, FL: University of Central Florida Center for Distributed Learning. Retrieved July 19, 2015, from https://topr.online.ucf.edu/ index.php?title=Group_Evaluation&oldid=2672 Corey, S. & Corey, G. (1992). Groups: process and practice. Pacific Grove, California: Brooks Cole. Downs, L. J. (2008). Listening skills training. U.S.A: the American Society for Training and Development. Retrieved June 9, 2015, from https://books.google.co.th/books?hl=en&lr=&id=e07HJW6UxSoC&oi=fnd&pg=PR 9&dq=Downs+2008+teaching+listening&ots=iM8QlJ0WwS&sig=6IbDj0XCOx4v_32l rQnBIldTfII&redir_esc=y#v=onepage&q=Downs%202008%20teaching%20listening &f=false Flowerdew, J., & Miller, L. (2006). Second language listening: Theory and practice. U.S.A: Cambridge language education.
  • 7.
    Harmer, J. (1998).How to teach English: An introduction to the practice of English language teaching. England: Longman. Harmer, J. (2013). The practice of English language teaching. China: Pearson Education Limited. Helgesen, M. “Listening” in David Nunan (Editor) Practical English Lauguage Teaching. (First Edition). Singapore: Mc GrawHill, 2003. Jacobs, G. & Small, J. (2003). Combining dictogloss and cooperative learning to promote language learning. The Reading Matrix Journal, 3(1), 1-2. Retrieved June 9, 2015, from http://www.readingmatrix.com/articles/jacobs_small/article.pdf Jaques, D. (2000). Learning in groups: A handbook for improving group work. London: Kogan Page. Jibir-Daura, R. (2013). Using dictogloss as an interactive method of teaching listening comprehension. Advances in Language and Literary Studies, 4(2), 1-5. DOI: 10.7575/aiac.alls.v.4n.2p.112 Kutnick, P. & Blatchford, P. (2014). Effective group work in primary school classrooms. New York: Springer Dordrecht Heidelberg. Retrieved July 2, 2015, from http://link.springer.com/book/10.1007/978-94-007-6991-5 Lock, A. (2013). Teaching speaking and listening: One step at a time, Revised Edition. London: Bloomsbury publishing plc. Nation, I. S. P., & Newton, J. (2009). Teaching ESL/EFL speaking and listening. New York: Routledge Taylor & Francis. Prince, P. (2013). Listening, remembering, writing: Exploring the dictogloss task. Language Teaching Research, 17(4), 486-500. DOI: 10.1177/1362168813494123 Race, P. (2000). 500 tips on group learning. London: Kogan Page. Saricoban, A. (1999). The teaching of listening. The Internet TESL Journal, 5. Retrieved June 9, 2015, from http://iteslj.org/Articles/Saricoban-Listening.html Schwartz, M. (1998). Listening in foreign language, Center for Applied Linguistics, 98 (12), 10-13. Timothy, F. (2012). Group dynamics and team interventions: Understanding and improving team performance. England: Wiley-Blackwell.
  • 8.
    Tyagi, B. (2013).Listening : An important skill and its various aspects. The Criterion an International Journal in English, 12, 1-8. Vandergrift, L. (2004). Listening to learn or learning to listen?, Annual Review of Applied Linguistics, 24(1), 3 - 25. DOI: 10.1017/S0267190504000017 Vasiljevic, Z. (2010). Dictogloss as an interactive method of teaching listening comprehension to L2 learners. Language Teaching, 3(1), 41. Retrieved June 10, 2015, from http://www.ccsenet.org/journal/index.php/elt/article/view/5212/4329 Wilson, M. (2003). Discovery listening- improving perceptual processing. ELT Journal, 57(4), 337-339. Retrieved June 10, 2015, from http://203.72.145.166/elt/files/57-4-2.pdf