SlideShare a Scribd company logo
1
จิตตสัมภูตชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๒. จิตตสัมภูตชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๔๙๘)
ว่าด้วยจิตตบัณฑิตกับพระเจ้าสัมภูตบัณฑิต
(พระราชาทรงขับเพลงขับว่า)
[๒๔] กรรมทุกอย่างที่นรชนประพฤติดีแล้วมีผล ผลกรรมถึงจะเล็กน้อย
ชื่อว่าเป็นโมฆะหามีไม่ เราเห็นสัตว์ผู้เกิดมามีอานุภาพมาก ซึ่งเกิดแต่ผลบุญ
เพราะกรรมของตน
[๒๕] กรรมทุกอย่างที่นรชนประพฤติดีแล้วมีผล
ผลกรรมถึงจะเล็กน้อยชื่อว่าเป็นโมฆะหามีไม่
แม้ท่านจิตตบัณฑิตมีมโนรถสาเร็จสมปรารถนา เหมือนอย่างเราแลหรือ
(เมื่อพระเจ้าสัมภูตะทรงขับเพลงจบลง
กุมารขับเพลงตอบถวายพระราชาว่า)
[๒๖] กรรมทุกอย่างที่นรชนประพฤติดีแล้วมีผล
ผลกรรมถึงจะเล็กน้อยชื่อว่าเป็นโมฆะหามีไม่ ขอเดชะพระองค์ผู้สมมติเทพ
แม้จิตตบัณฑิตพระองค์ก็โปรดทราบเถิดว่า
ท่านมีมโนรถสาเร็จสมปรารถนาเหมือนพระองค์
(พระเจ้าสัมภูตะทรงสดับแล้ว จึงตรัสว่า)
[๒๗] เจ้าเป็ นจิตตดาบสหรือหนอ หรือว่าเจ้าฟังมาจากคนอื่น
หรือใครได้บอกเรื่องนั้นกับเจ้า คาถาเจ้าขับดีแล้ว เราไม่มีความสงสัย
และเราจะให้บ้านส่วยแก่เจ้า ๑๐๐ หลัง
(ลาดับนั้น กุมารกราบทูลว่า)
[๒๘] ข้าพระองค์มิใช่จิตตฤๅษี และข้าพระองค์มิได้ฟังมาจากคนอื่น
แต่ฤๅษีได้บอกเนื้อความนี้แก่ข้าพระองค์ว่า เจ้าจงไป จงขับคาถาตอบพระราชา
พระราชาทรงพอพระทัย พึงพระราชทานพรแก่เจ้าบ้าง
(พระเจ้าสัมภูตะทรงสดับแล้วจึงรับสั่งให้พวกราชบุรุษเตรียมกระบวนว่า)
[๒๙] พวกพนักงานจงเทียมราชรถที่ตกแต่งสวยงาม
เย็บปักอย่างวิจิตรตระการตา จงผูกสายรัดสัปคับช้าง สวมเครื่องประดับคอ
[๓๐] ชาวพนักงานจงนากลอง ตะโพน และสังข์มา
และจงเทียมราชยานที่เร็ว วันนี้ เราจักไปสู่อาศรมที่เราเห็นฤๅษีนั่งอยู่
(พระเจ้าสัมภูตะเสด็จเข้าไปหาจิตตบัณฑิตดาบส
ทรงดีพระทัยแล้วตรัสว่า)
2
[๓๑] หม่อมฉันเป็ นผู้ได้ลาภดีแล้วหนอ คาถาอันเขาขับดีแล้ว ณ
ท่ามกลางบริษัท
หม่อมฉันนั้นมีปีติและโสมนัสเพราะได้เห็นฤๅษีผู้สมบูรณ์ด้วยสีลวัตร
(ตั้งแต่ได้พบจิตตบัณฑิตดาบส พระเจ้าสัมภูตะทรงโสมนัส
จึงรับสั่งพวกราชบุรุษให้เตรียมสถานที่แล้วตรัสว่า)
[๓๒] ขอพระคุณเจ้าผู้เจริญจงรับอาสนะ น้า
และผ้าเช็ดเท้าของข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าขอถวายของมีค่า (ของที่มีค่า
ในที่นี้หมายถึงสิ่งของที่คู่ควรแก่การต้อนรับแขก) ต้อนรับพระคุณเจ้าผู้เจริญ
ขอพระคุณเจ้าผู้เจริญจงใช้สอยของที่มีค่าของข้าพเจ้าด้วยเถิด
(พระเจ้าสัมภูตะเมื่อจะทรงแบ่งราชสมบัติถวายครึ่งหนึ่ง จึงตรัสว่า)
[๓๓] ขอพระองค์จงสร้างพระตาหนักที่น่ารื่นรมย์สาหรับพระองค์
ขอพระองค์ทรงให้หมู่นารีบาเรอเถิด และจงให้โอกาสเพื่ออนุเคราะห์หม่อมฉัน
แม้เราทั้ง ๒ จะครอบครองความเป็ นใหญ่ร่วมกัน
(จิตตบัณฑิตดาบสกราบทูลว่า)
[๓๔] ขอถวายพระพรมหาบพิตร อาตมาเห็นผลของทุจริต
และวิบากยิ่งใหญ่แห่งธรรมที่ประพฤติดีแล้วจักสารวมตนอย่างเดียว
จึงไม่ปรารถนาบุตร ปศุสัตว์ หรือทรัพย์
[๓๕] ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้เพียง ๑๐ ปีเท่านั้น
ชีวิตนั้นยังไม่ทันถึงเขตกาหนดซูบซีดไปเหมือนต้นอ้อที่ถูกตัด
[๓๖] ในสภาพชีวิตอย่างนั้นจะเพลิดเพลิน จะเล่นสนุกสนาน จะรื่นเริง
จะแสวงหาทรัพย์ไปทาไมกัน ประโยชน์อะไรด้วยบุตรและภรรยาสาหรับอาตมา
อาตมาพ้นแล้วจากเครื่องผูก มหาบพิตร
[๓๗] อาตมานั้นทราบชัดอย่างนี้ว่า มัจจุราชจะไม่เมินเฉยต่ออาตมา
ผู้ถูกมฤตยูครอบงา จะรื่นเริง จะแสวงหาทรัพย์ไปทาไมกัน
[๓๘] ขอเดชะพระองค์ผู้จอมชน ชาติกาเนิดของนรชนไม่สม่าเสมอ
ในหมู่มนุษย์ กาเนิดแห่งคนจัณฑาลนับว่าต่าต้อยที่สุด ในชาติก่อน
พวกเราได้อาศัยอยู่ในครรภ์ของหญิงจัณฑาล เพราะกรรมชั่วช้าของตน
[๓๙] พวกเราได้เกิดเป็นคนจัณฑาลในอวันตีชนบท
ได้เกิดเป็นเนื้ออยู่ที่ฝั่งแม่น้าเนรัญชรา ได้เกิดเป็นนกเขาอยู่ที่ฝั่งแม่น้านัมมทา
แต่วันนี้เราทั้ง ๒ นั้นเป็นพราหมณ์และกษัตริย์
(จิตตบัณฑิตดาบสเมื่อให้พระเจ้าสัมภูตะเกิดอุตสาหะในบุญกุศลทั้งหลาย
จึงกล่าวว่า)
[๔๐] ชีวิตถูกชรานาเข้าไปใกล้มรณะ อายุของเหล่าสัตว์น้อยนัก
ชีวิตที่ถูกชรานาไป ย่อมไม่มีผู้ต้านทาน ขอถวายพระพรพระเจ้าปัญจาละ
3
ขอมหาบพิตรจงทรงทาตามคาของอาตมา
มหาบพิตรอย่าได้ทรงทากรรมซึ่งมีทุกข์เป็ นกาไรเลย
[๔๑] ชีวิตถูกชรานาเข้าไปใกล้มรณะ อายุของเหล่าสัตว์น้อยนัก
ชีวิตที่ถูกชรานาไป ย่อมไม่มีผู้ต้านทาน ขอถวายพระพรพระเจ้าปัญจาละ
ขอมหาบพิตรจงทรงทาตามคาของอาตมา
มหาบพิตรอย่าได้ทรงทากรรมซึ่งมีทุกข์เป็ นผลเลย
[๔๒] ชีวิตถูกชรานาเข้าไปใกล้มรณะ อายุของเหล่าสัตว์น้อยนัก
ชีวิตที่ถูกชรานาไปย่อมไม่มีผู้ต้านทาน ขอถวายพระพรพระเจ้าปัญจาละ
ขอมหาบพิตรจงทรงทาตามคาของอาตมา
มหาบพิตรอย่าได้ทรงทากรรมซึ่งมีธุลีแปดเปื้อนบนพระเศียรเลย
[๔๓] ชีวิตถูกชรานาเข้าไปใกล้มรณะ อายุของเหล่าสัตว์น้อยนัก
ชราย่อมขจัดผิวพรรณของนรชนผู้แก่ชรา ขอถวายพระพรพระเจ้าปัญจาละ
ขอมหาบพิตรจงทรงทาตามคาของอาตมา
มหาบพิตรอย่าได้ทรงทากรรมเพื่อเกิดในนรกเลย
(เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวอย่างนั้น พระราชาทรงยินดีแล้วจึงตรัสว่า)
[๔๔] คาของพระองค์นั้นเป็นคาสัตย์อย่างแท้จริง
คานั้นเป็ นเหมือนดังที่ฤๅษีกล่าว แต่กามของหม่อมฉันมีอยู่มิใช่น้อย
ข้าแต่ท่านผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร กามเหล่านั้นคนเช่นหม่อมฉันละได้ยาก
[๔๕] หม่อมฉันจมอยู่ในเปือกตมคือกาม
ไม่อาจดาเนินตามทางของภิกษุได้ เหมือนช้างเชือกที่จมอยู่ในท่ามกลางเปือกตม
เห็นที่เนินอยู่ก็ไม่อาจจะไปได้
[๔๖] มารดาบิดาพร่าสอนบุตรด้วยหวังว่า เขาจะมีความสุขได้อย่างไร
แม้ฉันใด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้พระองค์ก็ฉันนั้น พร่าสอนหม่อมฉัน
โดยที่หม่อมฉันละโลกนี้ไปแล้วจะพึงเป็นสุขสิ้นกาลนาน
(พระโพธิสัตว์มาตังคบัณฑิตถวายพระพรว่า)
[๔๗] ขอถวายพระพรพระองค์ผู้จอมชน
หากมหาบพิตรไม่ทรงสามารถจะละกามซึ่งเป็ นของมนุษย์เหล่านี้ได้
ขอพระองค์ทรงตั้งพลีกรรมที่เป็ นธรรมเถิด มหาบพิตร อนึ่ง
การกระทาที่ไม่เป็นธรรมขออย่าได้มีในแคว้นของพระองค์เลย
[๔๘] ขอพวกทูตจงเที่ยวไปนิมนต์สมณะและพราหมณ์ทั้งหลาย
ทั่วทิศทั้ง ๔ มหาบพิตร ขอทรงบารุงสมณะและพราหมณ์ เหล่านั้นด้วยข้าว น้า ผ้า
เสนาสนะ และปัจจัย
[๔๙] พระองค์ผู้มีพระหฤทัยเลื่อมใส
ทรงเลี้ยงสมณะและพราหมณ์ทั้งหลายให้อิ่มหนาด้วยข้าวและน้า
4
ทรงถวายและทรงเสวยตามความสามารถ จะไม่ถูกนินทา
ขอทรงเข้าถึงแดนสวรรค์เถิด
[๕๐] มหาบพิตร หากว่าความเมาพึงครอบงาพระองค์
ซึ่งมีหมู่นารีบาเรออยู่ ขอพระองค์ทรงมนสิการคาถานี้
และขอจงตรัสคาถานี้ในท่ามกลางบริษัท
[๕๑] สัตว์ผู้นอนอยู่กลางแจ้ง มีหญิงจัณฑาลผู้เมื่อจะไปป่าให้ดื่มน้านม
แล้วคลุกคลีอยู่กับฝูงสุนัข สัตว์นั้นวันนี้เขาเรียกกันว่า พระราชา
จิตตสัมภูตชาดกที่ ๒ จบ
-------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
จิตตสัมภูตชาดก
ว่าด้วย ผลของกรรม
พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภภิกษุสองรูป
ซึ่งอยู่ร่วมรักกันสนิทเป็ นสัทธิงวิหาริกของท่านพระมหากัสสปะ
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ได้ยินว่า ภิกษุสองรูปนั้นใช้สอยสมณบริขารร่วมกัน
มีความคุ้นเคยสนิทกันอย่างยิ่ง แม้เมื่อเที่ยวบิณฑบาตก็ไปร่วมกัน
ไม่สามารถที่จะพรากจากกันได้.
ภิกษุทั้งหลายนั่งสรรเสริญความคุ้นเคยกันของภิกษุทั้งสองรูปนั้นแหละ
ในธรรมสภา
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้
พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร?
เมื่อภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่ภิกษุสองรูปนี้เป็นผู้คุ้นเคยกันในอัตภาพนี้
ไม่น่าอัศจรรย์เลย
ก็โบราณกบัณฑิตทั้งหลายแม้ถึงจะท่องเที่ยวไประหว่างสามสี่ภพ
ก็ไม่ละทิ้งความสนิทสนมกันฐานมิตรเลยเหมือนกัน.
แล้วทรงนาอดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล พระเจ้าอวันตีมหาราชเสวยราชสมบัติในกรุงอุชเชนี
แคว้นอวันตี ในกาลนั้น ด้านนอกกรุงอุชเชนีมีหมู่บ้านคนจัณฑาลตาบลหนึ่ง.
พระมหาสัตว์เจ้าบังเกิดในหมู่บ้านนั้น ต่อมา คัพภเสยยกสัตว์แม้อื่น
ก็มาเกิดเป็นบุตรแห่งน้าหญิงของพระมหาสัตว์นั้นเหมือนกัน. ในกุมารทั้งสองนั้น
คนหนึ่งซึ่งเป็ นพระโพธิสัตว์
ชื่อจิตตกุมาร คนหนึ่งซึ่งเป็ นบุตรน้าสาวชื่อสัมภูตกุมาร. กุมารแม้ทั้งสองเหล่านั้น
5
ครั้นเจริญวัยแล้ว เรียนศิลปศาสตร์ ชื่อว่า จัณฑาลวังสโธวนะ
วันหนึ่งชักชวนกันว่า
เราทั้งสองจักแสดงศิลปศาสตร์ที่ใกล้ประตูพระนครอุชเชนี
คนหนึ่งแสดงศิลปะที่ประตูด้านทิศเหนือ
อีกคนหนึ่งแสดงศิลปะที่ประตูด้านทิศใต้.
ก็ในพระนครนั้นได้มีนางทิฏฐมังคลิกาสองคน
คนหนึ่งเป็ นธิดาของท่านเศรษฐี อีกคนหนึ่งเป็ นธิดาของท่านปุโรหิตาจารย์
นางทั้งสองได้ให้บริวารชน
ถือเอาของขบเคี้ยวและของบริโภคทั้งระเบียบดอกไม้และของหอมเป็นต้นเป็นอัน
มากไป ด้วยคิดว่า จักเล่นในอุทยาน คนหนึ่งออกทางประตูด้านทิศเหนือ
อีกคนหนึ่งออกทางประตูด้านทิศใต้.
นางทิฏฐมังคลิกากุมารีทั้งสองนั้น
เห็นบุตรของคนจัณฑาลสองพี่น้องแสดงศิลปะอยู่ จึงถามว่าคนเหล่านี้เป็นใครๆ
ได้ฟังว่าเป็ นบุตรของคนจัณฑาล จึงคิดว่า
เราทั้งหลายได้เห็นบุคคลที่ไม่สมควรจะเห็นแล้วหนอ
แล้วเอาน้าหอมล้างตาพากันกลับ. มหาชนที่ไปด้วยพากันโกรธ กล่าวว่า
เฮ้ยไอ้คนจัณฑาลชาติชั่ว เพราะอาศัยเจ้าทั้งสอง
พวกเราจึงไม่ได้ดื่มสุราและกับแกล้มที่ไม่ต้องซื้อหา
แล้วพากันโบยตีพี่น้องแม้ทั้งสองเหล่านั้น ให้ถึงความบอบช้าย่อยยับ.
พี่น้องทั้งสองเหล่านั้นกลับได้สติฟื้นขึ้นมา
จึงลุกขึ้นเดินไปยังสานักของกันแลกัน มาพร้อมกัน ณ สถานที่แห่งหนึ่ง
แล้วบอกเล่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั่นสู่กันฟัง ต่างร้องไห้คร่าครวญ ปรึกษากันว่า
เราทั้งสองจักทาอย่างไรกันดี แล้วพูดกันว่า เพราะอาศัยชาติกาเนิด
ความทุกข์นี้จึงเกิดแก่เราทั้งสอง
พวกเราไม่สามารถจะกระทางานของคนจัณฑาลได้จึงตกลงกันว่า
เราทั้งสองปกปิดชาติกาเนิดแล้ว ปลอมแปลงเพศเป็ นพราหมณ์มาณพ
ไปสู่มืองตักกสิลา เล่าเรียนศิลปวิทยากันเถิด ดังนี้แล้ว
เดินทางไปในพระนครตักกสิลานั้น
เป็นธัมมันเตวาสิกเริ่มเรียนศิลปศาสตร์ในสานักของอาจารย์ทิศาปาโมกข์
เล่าลือกันไปทั่วชมพูทวีปว่า ได้ยินว่า
คนจัณฑาลสองพี่น้องปกปิดชาติกาเนิด หนีไปเรียนศิลปศาสตร์.
ในพี่น้องทั้งสองคนนั้น จิตตบัณฑิตเล่าเรียนศิลปศาสตร์สาเร็จ
แต่สัมภูตกุมารยังเรียนไม่สาเร็จ. อยู่มาวันหนึ่ง พราหมณ์ชาวบ้านผู้หนึ่ง
มาเชิญอาจารย์ทิศาปาโมกข์ว่า ข้าพเจ้าจักกระทาการสวดมนต์ (ในพิธีมงคล).
ในคืนวันนั้นเอง ฝนตกเอ่อล้นซอกมุมเป็นต้นในหนทาง.
6
อาจารย์จึงเรียกจิตตบัณฑิตมาแต่เช้าตรู่ ส่งไปแทนตนโดยสั่งว่า พ่อมหาจาเริญ
เราไม่สามารถจะไปได้ เธอจงไปสวดมงคลกถา พร้อมด้วยมาณพทั้งหลาย
บริโภคอาหารส่วนที่พวกเธอได้รับ แล้วนาอาหารส่วนที่เราได้มาให้ด้วย.
จิตตบัณฑิตรับคาอาจารย์แล้วพามาณพทั้งหลายมาแล้ว.
คนทั้งหลายคดข้าวปายาสตั้งไว้ หมายว่า
กว่ามาณพทั้งหลายจะอาบน้าล้างหน้าเสร็จ ก็จะเย็นพอดี
เมื่อข้าวปายาสยังไม่ทันเย็น มาณพทั้งหลายพากันมานั่งในเรือนแล้ว.
มนุษย์ทั้งหลายจึงให้น้าทักษิโณทก ยกสารับมาตั้งไว้ข้างหน้าของมาณพเหล่านั้น.
สัมภูตมาณพเป็นเหมือนคนมีนิสัยละโมบในอาหารรีบตักก้อนข้าวปาย
าสใส่ปาก ด้วยสาคัญว่าเย็นดีแล้ว ก้อนข้าวปายาสซึ่งร้อนระอุเหมือนเหล็กแดง
ก็ลวกปากของเขา. เขาสะบัดหน้าสั่นไปทั้งร่าง ตั้งสติไม่อยู่
มองดูจิตตบัณฑิตเผลอกล่าวเป็นภาษาจัณฑาลไปอย่างนี้ว่า "ขลุ ขลุ"
ฝ่ายจิตตบัณฑิตก็ตั้งสติไว้ไม่ได้เหมือนกัน ส่งภาษาจัณฑาลตอบไปอย่างนี้ว่า
"นิคคละ นิคคละ"
มาณพทั้งหลายต่างมองหน้าแล้วพูดกันว่า นี้ภาษาอะไรกัน?
จิตตบัณฑิตกล่าวมงคลกถาอนุโมทนาแล้ว.
มาณพทั้งหลายจึงออกไปภายนอกแล้วนั่งวิพากย์วิจารภาษากันอยู่ในที่
นั้นๆ เป็ นพวกๆ พอรู้ว่าเป็ นภาษาจัณฑาลแล้ว จึงด่าว่า
เฮ้ย! ไอ้คนจัณฑาลชาติชั่ว
พวกเจ้าหลอกลวงว่าเป็นพราหมณ์มาตลอดเวลามีประมาณเท่านี้
แล้วช่วยกันโบยตีมาณพทั้งสอง.
ลาดับนั้น สัตบุรุษผู้หนึ่งจึงห้ามว่า ท่านทั้งหลายจงหลีกไป
แล้วกันสองมาณพออกมา แล้วส่งไปโดยพูดว่า
นี้เป็นโทษแห่งชาติกาเนิดของท่านทั้งสอง จงพากันไปบวชเลี้ยงชีพ ณ
ประเทศแห่งใดแห่งหนึ่งเถิด.
มาณพทั้งหลายกลับมาแจ้งเรื่องที่มาณพทั้งสองเป็นจัณฑาลให้อาจารย์ทราบทุกปร
ะการ
แม้มาณพทั้งสองก็เข้าป่า บวชเป็นฤาษี ต่อมาไม่นานนัก
ก็จุติจากอัตภาพนั้นไปบังเกิดในท้องของแม่เนื้อ ใกล้ฝั่งแม่น้าเนรัญชรา
จาเดิมแต่คลอดจากท้องแม่เนื้อแล้ว มฤคโปดกทั้งสองพี่น้องก็เที่ยวไปด้วยกัน
ไม่อาจพรากจากกันได้. วันหนึ่ง นายพรานผู้หนึ่งมาเห็นมฤคโปดกทั้งสอง
คาบเหยื่อกลับมา แล้วยืนเอาหัวต่อหัว เอาเขาต่อเขา
เอาปากต่อปากจรดติดชิดกัน ยืนขนชัน ตั้งอยู่ ณ ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง
จึงพุ่งหอกไปที่สัตว์ทั้งสองให้สิ้นชีวิต ด้วยการประหารทีเดียวเท่านั้น.
ครั้นมฤคโปดกทั้งคู่จุติจากอัตภาพนั้นแล้วไปบังเกิดในกาเนิดนกเขา
7
อยู่ที่ริมฝั่งน้ารัมมทานที.
แม้ในอัตภาพนั้นก็มีนายพรานดักนกผู้หนึ่งมาเห็นลูกนกเขาทั้งสองเหล่านั้นซึ่งเจ
ริญวัยแล้ว ไปเที่ยวคาบเหยื่อ แล้วมายืนเอาหัวซบหัว
เอาจะงอยปากต่อจะงอยปากแนบสนิทชิดเรียงยืนเคียงกัน
จึงเอาข่ายครอบฆ่าให้ตายด้วยการประหารทีเดียวเท่านั้น.
ก็ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว
จิตตบัณฑิตเกิดเป็ นบุตรของปุโรหิตในพระนครโกสัมพี.
สัมภูตบัณฑิตไปเกิดเป็นโอรสของพระเจ้าอุตตรปัญจาลราช.
จาเดิมแต่กาลที่ถึงวันขนานนาม
กุมารเหล่านั้นก็ระลึกชาติหนหลังของตนๆ ได้.
สัมภูตบัณฑิตราชกุมารไม่สามารถระลึกชาติในระหว่างได้
คงระลึกได้เฉพาะชาติที่ ๔ ซึ่งเกิดเป็ นคนจัณฑาลเท่านั้น
ส่วนจิตตบัณฑิตกุมารระลึกได้ตลอด ๔ ชาติโดยลาดับ.
ในเวลาที่มีอายุได้ ๑๖ ปี
จิตตบัณฑิตออกจากเรือนเข้าไปสู่หิมวันตประเทศ บวชเป็นฤาษี
ยังฌานและอภิญญาให้เกิดแล้ว ยับยั้งอยู่ด้วยความสุขอันเกิดแต่ฌาน.
ฝ่ายสัมภูตราชกุมาร เมื่อพระชนกสวรรคตแล้ว
ให้ยกเศวตฉัตรขึ้นเสวยราชสมบัติแทน ได้ตรัสพระคาถา ๒
คาถาด้วยความเบิกบานพระราชหฤทัย
กระทาให้เป็นเพลงขับเฉลิมฉลองมงคลท่ามกลางมหาชน
ในวันเฉลิมฉัตรมงคลนั่นเอง. นางสนมกานัลก็ดี
นักฟ้ อนราทั้งหลายก็ดีได้สดับคาถาเพลงขับนั้นแล้ว คิดว่า
ได้ยินว่านี้เป็ นเพลงขับเฉลิมฉลองเนื่องในวันมงคลของพระราชาของเราทั้งหลาย
จึงพากันขับร้องบทเพลงพระราชนิพนธ์นั้นทั่วกัน
ประชาชนชาวพระนครแม้ทั้งหมดทราบว่า เพลงขับนี้เป็นที่โปรดปราน
พอพระราชหฤทัยของพระราชา ก็พากันขับร้องบทพระราชนิพนธ์นั่นแหละต่อๆ
กันไปโดยลาดับ.
ฝ่ายพระจิตตบัณฑิตดาบสอยู่ในหิมวันตประเทศนั่นแล
ใคร่ครวญพิจารณาดูว่า
สัมภูตบัณฑิตผู้น้องชายของเราได้ครอบครองเศวตฉัตรแล้วหรือว่ายังไม่ได้ครอบ
ครอง ทราบว่าได้ครอบครองแล้ว จึงคิดว่า
บัดนี้เรายังไม่สามารถเพื่อจะไปสั่งสอนพระราชาซึ่งได้เสวยราชสมบัติใหม่
ให้ทรงรู้แจ้งซึ่งธรรมวิเศษได้ก่อน
เราจักเข้าไปหาท้าวเธอในเวลาที่ทรงพระชราภาพ กล่าวธรรมกถา
แล้วชักนาให้บรรพชา ดังนี้แล้วจึงมิได้เสด็จไปตลอดระยะเวลา ๕๐ ปี.
8
ในเวลาที่พระราชาทรงเจริญด้วยพระโอรสและพระธิดาแล้ว
จึงเหาะมาทางอากาศด้วยฤทธานุภาพ ลงที่พระราชอุทยาน
นั่งพักอยู่บนแท่นมงคลศิลาอาสน์ราวกับพระปฏิมาทองคา.
ขณะนั้นมีเด็กคนหนึ่งขับเพลงบทพระราชนิพนธ์ เก็บฟืนอยู่
จิตตบัณฑิตดาบสเรียกเด็กนั้นมา เด็กก็มาไหว้พระดาบสแล้วยืนอยู่.
ทีนั้นพระจิตตบัณฑิตดาบส จึงกล่าวกะเด็กนั้นว่า ตั้งแต่เช้ามา
เจ้าขับเพลงขับบทเดียวนี้เท่านั้น ไม่รู้จักเพลงอย่างอื่นบ้างเลยหรือ?
เด็กตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมรู้บทเพลงแม้อย่างอื่นเป็นอันมาก
แต่บทเพลงทั้งสองบทนี้ เป็นบทที่พระราชาทรงโปรดปราน พอพระราชหฤทัย
เพราะฉะนั้น กระผมจึงขับร้องเฉพาะเพลงบทนี้เท่านั้น.
พระดาบสถามต่อไปว่า ก็มีใครๆ
ขับร้องเพลงขับตอบบทพระราชนิพนธ์บ้างหรือไม่?
เด็กตอบว่า ไม่มีเลยขอรับ.
พระดาบสจึงกล่าวว่า
ก็เจ้าเล่าจักสามารถเพื่อจะขับบทเพลงตอบอยู่หรือ?
เด็กตอบว่า เมื่อกระผมรู้ก็จักสามารถ.
พระดาบสกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น
เมื่อพระราชาทรงขับบทเพลงพระราชนิพนธ์ทั้งสองแล้ว
เจ้าจงจาเอาบทเพลงขับที่สามนี้ไปร้องขับตอบเถิด
แล้วสอนเพลงขับนั้นให้เด็กส่งไป พร้อมกับสั่งว่า เจ้า
ไปขับร้องในสานักของพระราชา
พระราชาทรงเลื่อมใสจักพระราชทานยศยิ่งใหญ่แก่เจ้า.
เด็กนั้นรีบไปยังสานักของมารดาให้ช่วยประดับตกแต่งตนแล้ว
ไปยังประตูพระราชนิเวศน์ สั่งราชบุรุษให้กราบทูลพระราชาว่า ได้ยินว่า
มีเด็กคนหนึ่งจักมาขับร้องบทเพลงตอบกับด้วยพระองค์
ครั้นเมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้วจึงเข้าไปถวายบังคม
อันพระราชาตรัสถามว่า พ่อเด็กน้อย เขาว่าเจ้าจักมาร้องเพลงตอบกับเราหรือ?
ก็กราบทูลว่า ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า เป็นความจริง พระเจ้าข้า
แล้วกราบทูลให้พระราชามีพระราชโองการให้ราชบริษัททั้งหลายมาประชุมกัน
เมื่อราชบริษัทประชุมพร้อมกันแล้ว จึงกราบทูลพระราชาว่า
ขอพระองค์โปรดทรงขับร้องเพลงบทพระนิพนธ์ของพระองค์ก่อนเถิด
ข้าพระพุทธเจ้าจักขับบทเพลงถวายตอบทีหลัง.
พระราชาได้ตรัสพระคาถา ๒ คาถาความว่า
กรรมทุกอย่างที่นรชนสั่งสมไว้แล้ว ย่อมมีผลเสมอไป
ขึ้นชื่อว่ากรรมแม้จะเล็กน้อยที่จะไม่ให้ผลเป็ นไม่มี
9
เราได้เห็นตัวของเราผู้ชื่อว่าสัมภูตะ มีอานุภาพมาก อันบังเกิดขึ้นด้วยผลบุญ
เพราะกรรมของตนเอง
กรรมทุกอย่างที่นรชนสั่งสมไว้แล้ว ย่อมมีผลเสมอไป
ขึ้นชื่อว่ากรรมแม้จะเล็กน้อยที่จะไม่ให้ผลเป็ นไม่มี
มโนรถของเราสาเร็จแล้วแม้ฉันใด มโนรถแม้ของจิตตบัณฑิตพระเชษฐาของเรา
ก็คงสาเร็จแล้วฉันนั้น กระมังหนอ ดังนี้.
เมื่อพระเจ้าสัมภูตะขับเพลงคาถาสองบทจบลง
กุมารเมื่อจะขับเพลงตอบถวาย จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ความว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ กรรมทุกอย่างที่นรชนสั่งสมไว้แล้ว
ย่อมมีผลเสมอไป ขึ้นชื่อว่ากรรมแม้จะเล็กน้อยที่จะไม่ให้ผลเป็ นอันไม่มี
มโนรถของพระองค์สาเร็จแล้วแม้ฉันใด ขอพระองค์โปรดทราบเถิดว่า
มโนรถของจิตตบัณฑิตก็สาเร็จแล้วฉันนั้นเหมือนกัน.
พระราชาทรงสดับคาถานั้นแล้ว จึงตรัสพระคาถาที่ ๔ ความว่า
เจ้าหรือคือจิตตะ เจ้าได้ฟังคานี้มาจากคนอื่น
หรือว่าใครบอกเนื้อความนี้แก่เจ้า คาถานี้เจ้าขับดีแล้ว เราไม่มีความสงสัย
เราจะให้บ้านส่วยร้อยตาบลแก่เจ้า.
ลาดับนั้น กุมารจึงกล่าวคาถาที่ ๕ ความว่า
ข้าพระพุทธเจ้าหาใช่จิตตะไม่ ข้าพระพุทธเจ้าฟังคานี้มาจากคนอื่น
และฤาษีได้บอกเนื้อความนี้แก่ข้าพระพุทธเจ้าแล้วสั่งว่า
เจ้าจงไปขับคาถานี้ตอบถวายพระราชา พระราชาทรงพอพระทัยแล้ว
จะพึงพระราชทานบ้านส่วยให้แก่เจ้าบ้างกระมัง.
พระเจ้าสัมภูตราชทรงสดับถ้อยคานั้นแล้ว ทรงพระดาริว่า
ชะรอยพระดาบสนั้นจักเป็นจิตตบัณฑิตผู้เชษฐภาดาของเรา
เราจักไปพบพระเชษฐภาดาของเรานั้น.
เมื่อจะตรัสใช้ให้ราชบุรุษเตรียมกระบวน จึงตรัสพระคาถาสองคาถา
ความว่า
ราชบุรุษทั้งหลายจงเทียมราชรถของเราจัดแจงให้ดี
ผูกรัดจัดสรรให้งดงามวิจิตร จงผูกรัดสายประคนมงคลหัตถี
นายหัตถาจารย์จงขึ้นประจาคอ
จงนาเอาเภรีตะโพนสังข์มาตระเตรียม
เจ้าหน้าที่ทั้งหลายจงเทียมยานพาหนะโดยเร็ว
วันนี้แลเราจักไปเยี่ยมเยียนพระฤาษีซึ่งนั่งอยู่ ณ อาศรมสถานให้ถึงที่ทีเดียว.
พระเจ้าสัมภูตราช ครั้นดารัสสั่งอย่างนี้แล้ว
เสด็จขึ้นทรงรถพระที่นั่งเสด็จไปโดยพลัน จอดราชรถไว้ที่ประตูพระราชอุทยาน
แล้วเสด็จเข้าไปหาพระดาบสจิตตบัณฑิตนมัสการแล้ว ประทับนั่ง ณ
10
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง มีพระราชหฤทัยชื่นชมโสมนัส ตรัสพระคาถาที่ ๘ ความว่า
ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้ลาภดีแล้วหนอ
คาถาอันข้าพเจ้าขับดีแล้วในท่ามกลางบริษัท
ข้าพเจ้าได้พบพระฤาษีผู้สมบูรณ์ด้วยศีลพรต เป็นผู้มีความชื่นชมยินดี
ปิติโสมนัสยิ่งนัก.
พระคาถานี้มีอรรถาธิบายว่า
คาถาที่ข้าพเจ้าขับกล่อมในท่ามกลางบริษัท ในวันฉัตรมงคลของข้าพเจ้านั้น
เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าได้พบพระฤาษีผู้เข้าถึงศีลและพรตแล้ว
ถึงความปิติโสมนัสหาที่เปรียบมิได้ นับว่าข้าพเจ้าได้ลาภอันดียิ่งทีเดียว.
จาเดิมแต่ได้พบพระจิตตบัณฑิตดาบสแล้ว
พระเจ้าสัมภูตราชทรงชื่นชมโสมนัสยิ่ง
เมื่อจะมีพระราชดารัสตรัสสั่งซึ่งราชกิจมีอาทิว่า
ท่านทั้งหลายจงลาดบัลลังก์เพื่อเชษฐภาดาของเรา.
จึงตรัสคาถาที่ ๙ ความว่า
ขอเชิญท่านผู้เจริญโปรดรับอาสนะ น้า
และรองเท้าของข้าพเจ้าทั้งหมดเถิด
ข้าพเจ้ายินดีต้อนรับท่านผู้เจริญในสิ่งของอันมีราคาคู่ควรแก่การต้อนรับ
ขอท่านผู้เจริญเชิญรับสักการะอันมีค่าของข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเถิด.
ครั้นพระเจ้าสัมภูตบัณฑิตทรงทาการปฏิสันถาร
ด้วยพระดารัสอันอ่อนหวานอย่างนี้แล้ว.
เมื่อจะทรงแบ่งราชสมบัติถวายกึ่งหนึ่ง จึงตรัสพระคาถานอกนี้
ความว่า
ขอเชิญพระเชษฐาทรงสร้างปรางค์ปราสาท
อันเป็นที่อยู่น่ารื่นรมย์สาหรับพระองค์เถิด จงทรงบารุงบาเรอด้วยหมู่นารีทั้งหลาย
โปรดให้โอกาสเพื่ออนุเคราะห์แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
แม้เราทั้งสองก็จะครอบครองอิสริยสมบัตินี้ร่วมกัน.
พระจิตตบัณฑิตดาบสฟังพระดารัสของพระเจ้าสัมภูตราชแล้ว
เมื่อจะแสดงธรรมเทศนาถวาย จึงกล่าวคาถา ๖ คาถา ความว่า
ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์ทรงเห็นผลแห่งสุจริตอย่างเดียว
ส่วนอาตมภาพเห็นผลแห่งสุจริต และทุจริตที่สั่งสมไว้แล้ว
เป็นวิบากใหญ่จึงสารวมตนเท่านั้น มิได้ปรารถนาบุตร ปศุสัตว์หรือทรัพย์
ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ มีกาหนดร้อยปีเป็นอย่างมาก
ไม่เกินกาหนดนั้นไปได้เลย ย่อมจะเหือดแห้งไป เหมือนไม้อ้อที่ถูกตัดแล้ว
มีแต่จะเหี่ยวแห้งไปฉะนั้น
ในช่วงชีวิตอันจะต้องเหือดแห้งไปนั้น จะมัวเพลิดเพลินไปไย
11
จะมัวเล่นคึกคะนองไปทาไม ความยินดีจะเป็นประโยชน์อะไร
ประโยชน์อะไรด้วยการแสวงหาทรัพย์
จะมีประโยชน์อะไรด้วยบุตรและภรรยาสาหรับอาตมา
ดูก่อนมหาบพิตร อาตมาพ้นแล้วจากเครื่องผูก อาตมารู้ชัดอย่างนี้ว่า
มัจจุราชจะไม่รังควานเราเป็ นอันไม่มี เมื่อบุคคลถูกมัจจุราชครอบงาแล้ว
ความยินดีจะเป็ นประโยชน์อะไร จะมีประโยชน์อะไรด้วยการแสวงหาทรัพย์
ดูก่อนมหาบพิตรผู้เป็นจอมนระ ชาติกาเนิดของคนเราไม่สม่าเสมอกัน
กาเนิดแห่งคนจัณฑาลจัดว่าเลวทรามในระหว่างมนุษย์
เมื่อชาติก่อนเราทั้งสองได้อยู่ร่วมกัน ในครรภ์แห่งนางจัณฑาลี
เพราะกรรมอันชั่วช้าของตน
เราทั้งสองได้เกิดเป็นคนจัณฑาล ในกรุงอุชเชนีอวันตีชนบท
ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้เกิดเป็นเนื้อสองตัวพี่น้อง
อยู่ที่ฝั่งแม่น้าเนรัญชรา ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว
ได้เกิดเป็นนกเขาสองตัวพี่น้อง อยู่ฝั่งรัมมทานที ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว
คราวนี้อาตมภาพเกิดเป็นพราหมณ์ มหาบพิตรทรงสมภพเป็นกษัตริย์.
ครั้นพระโพธิสัตว์ประกาศชาติกาเนิดอันลามกต่าต้อยที่ผ่านมาแล้วแก่
พระเจ้าสัมภูตราชนั้นด้วยประการดังกล่าวมานี้ แล้วแสดงว่า
อายุสังขารแม้ในชาตินี้มีเวลาเล็กน้อย
ให้พระเจ้าสัมภูตราชทรงเกิดอุตสาหะในบุญกุศลทั้งหลาย ได้กล่าวคาถา ๔
คาถาติดต่อกันไป ความว่า
ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ถูกชรานาเข้าไปสู่ความตาย
อายุของสัตว์ทั้งหลายเป็นของน้อย เมื่อนรชนถูกชรานาเข้าไปสู่ความตาย
ย่อมไม่มีผู้ต้านทาน ดูก่อนพระเจ้าปัญจาลราช
มหาบพิตรจงทรงทาตามคาของอาตมภาพ
อย่าทรงทากรรมทั้งหลายมีทุกข์เป็นกาไรเลย
ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ถูกชรานาเข้าไปสู่ความตาย
อายุของสัตว์ทั้งหลายเป็นของน้อย เมื่อนรชนถูกชรานาเข้าไปสู่ความตาย
ย่อมไม่มีผู้ต้านทาน ดูก่อนพระเจ้าปัญจาลราช
มหาบพิตรจงทรงทาตามคาของอาตมภาพ อย่าทรงทากรรมทั้งหลาย
อันมีทุกข์เป็นผลเลย
ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ถูกชรานาเข้าไปสู่ความตาย
อายุของสัตว์ทั้งหลายเป็นของน้อย เมื่อนรชนถูกชรานาเข้าไปสู่ความตาย
ย่อมไม่มีผู้ต้านทาน ดูก่อนพระเจ้าปัญจาลราช
มหาบพิตรจงทรงทาตามคาของอาตมภาพ อย่าทรงทากรรมทั้งหลาย
อันมีศีรษะเกลือกกลั้วด้วยกิเลสธุลี
12
ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ถูกชรานาเข้าไปสู่ความตาย
อายุของสัตว์ทั้งหลายเป็นของน้อย ชราย่อมกาจัดวรรณะของนรชนผู้แก่เฒ่า
ดูก่อนพระเจ้าปัญจาลราช มหาบพิตรจงทรงทาตามคาของอาตมภาพ
อย่าทรงทากรรมที่ให้เข้าถึงนรกเลย.
เมื่อพระมหาสัตว์เจ้ากล่าวอยู่อย่างนี้
พระเจ้าสัมภูตราชทรงรู้สึกพระองค์ แล้วตรัสพระคาถา ๓ คาถา ความว่า
ข้าแต่ภิกษุ ถ้อยคาของพระคุณเจ้านี้เป็นคาจริงแท้ทีเดียว
พระฤาษีกล่าวไว้ฉันใด คานี้ก็เป็นฉันนั้น
แต่ว่ากามทั้งหลายของข้าพเจ้ายังมีอยู่มาก
กามเหล่านั้นคนเช่นข้าพเจ้าสละได้ยาก
ช้างจมอยู่ท่ามกลางหล่มแล้ว
ย่อมไม่อาจถอนตนไปสู่ที่ดอนได้ด้วยตนเองฉันใด
ข้าพเจ้าจมอยู่ในหล่มคือกามกิเลส
ก็ยังไม่สามารถปฏิบัติตนตามทางของภิกษุได้ฉันนั้น
ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ อนึ่ง บุตรจะมีความสุขได้ด้วยวิธีใด
มารดาบิดาพร่าสอนบุตรด้วยวิธีนั้นฉันใด ข้าพเจ้าละจากโลกนี้ไปแล้ว
จะพึงเป็ นผู้มีความสุขอื่นนานได้ด้วยวิธีใด ขอพระคุณเจ้าโปรดพร่าสอนข้าพเจ้า
ด้วยวิธีนั้น ฉันนั้นเถิด.
ลาดับนั้น พระมหาสัตว์กล่าวกะพระเจ้าสัมภูตราชนั้นว่า
ดูก่อนมหาบพิตรผู้จอมนรชน
ถ้ามหาบพิตรไม่สามารถละกามของมนุษย์เหล่านี้ได้ไซร้
มหาบพิตรจงทรงเริ่มตั้งพลีกรรมอันชอบธรรมเถิด
แต่การกระทาอันไม่เป็นธรรมขออย่าได้มีในรัฐสีมาของมหาบพิตรเลย
ทูตทั้งหลายจงไปยังทิศทั้ง ๔ นิมนต์สมณะพราหมณ์ทั้งหลายมา
มหาบพิตรจงทรงบารุงสมณะพราหมณ์ทั้งหลายด้วยข้าว น้า ผ้า เสนาสนะ
และคิลานปัจจัย มหาบพิตรจงเป็ นผู้มีกมลจิตอันผ่องใส
ทรงอังคาสสมณพราหมณ์ให้อิ่มหนาสาราญด้วยข้าวน้า
ได้ทรงบริจาคทานตามสติกาลัง และทรงเสวยแล้ว
เป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายไม่ติเตียน จงเสด็จเข้าถึงสวรรคสถานเถิด.
ดูก่อนมหาบพิตร
ก็ถ้าความเมาจะพึงครอบงามหาบพิตรผู้อันหมู่นารีทั้งหลายแวดล้อมอยู่
มหาบพิตรจงทรงมนสิการคาถานี้ไว้ แล้วพึงตรัสคาถานี้ในท่ามกลางบริษัทว่า
เมื่อชาติก่อนเราเป็นคนนอนอยู่กลางแจ้ง
อันมารดาจัณฑาลีเมื่อจะไปป่าให้ดื่มน้านมมาแล้ว
นอนคลุกคลีอยู่กับสุนัขทั้งหลายจนเติบโต มาบัดนี้ คนนั้นใครๆ
13
เขาก็เรียกกันว่าพระราชา.
ดูก่อนมหาราชเจ้า ถ้าหากความมัวเมาจะพึงครอบงาพระองค์
คือถ้าหากความมานะถือตัว ปรารภกามคุณมีรูปเป็นต้น
หรือปรารภความสุขเกิดแต่ราชสมบัติ
จะพึงบังเกิดขึ้นแก่พระองค์ผู้ห้อมล้อมด้วยหมู่สนมนารีทั้งหลายไซร้
ทันทีนั้นพระองค์พึงทรงจินตนาการว่า ในชาติปางก่อนเราเกิดในกาเนิดจัณฑาล
ได้หลับนอนในที่ซึ่งเป็ นอัพโภกาสกลางแจ้งเพราะไม่มีแม้เพียงกระท่อมมุงด้วยห
ญ้ามิดชิด.
ก็แลในกาลนั้น นางจัณฑาลีผู้เป็นมารดาของเรา
เมื่อจะไปสู่ป่าเพื่อหาฟืนและผักเป็นต้น ให้เรานอนกลางแจ้งท่ามกลางหมู่ลูกสุนัข
ให้เราดื่มนมของตนแล้วไป เรานั้นแวดล้อมไปด้วยลูกสุนัข ดื่มนมแห่งแม่สุนัข
พร้อมด้วยลูกสุนัขเหล่านั้น จึงเจริญวัยเติบโต เราเป็นผู้มีเชื้อชาติต่าช้ามาอย่างนี้
แต่วันนี้เกิดเป็นผู้ที่ประชาชนเรียกว่ากษัตริย์.
ดูก่อนมหาราชเจ้า เพราะเหตุนี้แล
เมื่อพระองค์จะทรงสอนตนเองด้วยเนื้อความนี้ พึงตรัสคาถาว่า
ในชาติปางก่อนเราเป็นสัตว์นอนอยู่ในอันโภกาสกลางแจ้ง
เมื่อนางจัณฑาลีผู้มารดาไปสู่ป่า เที่ยวไปทางโน้นบ้างทางนี้บ้าง
เป็นผู้อันแม่สุนัขสงสารให้ดื่มนม คลุกคลีอยู่กับพวกลูกๆ จึงเจริญเติบโตมาได้
แต่วันนี้ เรานั้นอันใครๆ เขาเรียกกันว่าเป็นกษัตริย์ ดังนี้.
พระมหาสัตว์ ครั้นให้โอวาทแก่พระเจ้าสัมภูตราชอย่างนี้แล้ว
จึงกล่าวว่า อาตมภาพถวายโอวาทแก่พระองค์แล้ว
บัดนี้พระองค์จงทรงผนวชเสียเถิด
อย่าทรงเสวยวิบากแห่งกรรมของตนด้วยตนเลย แล้วเหาะขึ้นไปในอากาศ
ยังละอองธุลีพระบาทให้ตกเหนือเศียรเกล้าของพระราชา
แล้วเหาะไปยังหิมวันตประเทศทันที
ฝ่ายพระราชาทอดพระเนตรดูพระดาบสนั้นไปแล้ว
เกิดความสังเวชสลดพระทัย ยกราชสมบัติให้แก่ราชโอรสองค์ใหญ่
ตรัสสั่งให้พลนิกายกลับไปแล้ว บ่ายพระพักตร์เสด็จไปยังหิมวันตประเทศ
(เพียงองค์เดียว) พระมหาสัตว์เจ้าทรงทราบการเสด็จมาของพระราชาแล้ว
แวดล้อมด้วยหมู่ฤาษีเป็นบริวาร มาต้อนรับพระราชา
ให้ทรงผนวชแล้วสอนกสิณบริกรรม.
พระสัมภูตดาบสบาเพ็ญฌานและอภิญญาให้เกิดแล้ว.
พระดาบสทั้งสองแม้เหล่านั้นได้เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้
า ด้วยประการฉะนี้.
14
พระศาสดา ครั้นนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โปราณกบัณฑิต แม้จะท่องเที่ยวไป ๓-๔ ภพ
ก็ยังเป็นผู้มีความคุ้นเคยรักใคร่สนิทสนมมั่นคงอย่างนี้โดยแท้
แล้วทรงประชุมชาดกว่า
สัมภูตดาบสในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระอานนท์
ส่วนจิตตบัณฑิตดาบสได้มาเป็ น เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาจิตตสัมภูตชาดกที่ ๒
-----------------------------------------------------

More Related Content

More from maruay songtanin

ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
maruay songtanin
 
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 

More from maruay songtanin (20)

ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
 
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 

498 จิตตสัมภูตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

  • 1. 1 จิตตสัมภูตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ ๒. จิตตสัมภูตชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๔๙๘) ว่าด้วยจิตตบัณฑิตกับพระเจ้าสัมภูตบัณฑิต (พระราชาทรงขับเพลงขับว่า) [๒๔] กรรมทุกอย่างที่นรชนประพฤติดีแล้วมีผล ผลกรรมถึงจะเล็กน้อย ชื่อว่าเป็นโมฆะหามีไม่ เราเห็นสัตว์ผู้เกิดมามีอานุภาพมาก ซึ่งเกิดแต่ผลบุญ เพราะกรรมของตน [๒๕] กรรมทุกอย่างที่นรชนประพฤติดีแล้วมีผล ผลกรรมถึงจะเล็กน้อยชื่อว่าเป็นโมฆะหามีไม่ แม้ท่านจิตตบัณฑิตมีมโนรถสาเร็จสมปรารถนา เหมือนอย่างเราแลหรือ (เมื่อพระเจ้าสัมภูตะทรงขับเพลงจบลง กุมารขับเพลงตอบถวายพระราชาว่า) [๒๖] กรรมทุกอย่างที่นรชนประพฤติดีแล้วมีผล ผลกรรมถึงจะเล็กน้อยชื่อว่าเป็นโมฆะหามีไม่ ขอเดชะพระองค์ผู้สมมติเทพ แม้จิตตบัณฑิตพระองค์ก็โปรดทราบเถิดว่า ท่านมีมโนรถสาเร็จสมปรารถนาเหมือนพระองค์ (พระเจ้าสัมภูตะทรงสดับแล้ว จึงตรัสว่า) [๒๗] เจ้าเป็ นจิตตดาบสหรือหนอ หรือว่าเจ้าฟังมาจากคนอื่น หรือใครได้บอกเรื่องนั้นกับเจ้า คาถาเจ้าขับดีแล้ว เราไม่มีความสงสัย และเราจะให้บ้านส่วยแก่เจ้า ๑๐๐ หลัง (ลาดับนั้น กุมารกราบทูลว่า) [๒๘] ข้าพระองค์มิใช่จิตตฤๅษี และข้าพระองค์มิได้ฟังมาจากคนอื่น แต่ฤๅษีได้บอกเนื้อความนี้แก่ข้าพระองค์ว่า เจ้าจงไป จงขับคาถาตอบพระราชา พระราชาทรงพอพระทัย พึงพระราชทานพรแก่เจ้าบ้าง (พระเจ้าสัมภูตะทรงสดับแล้วจึงรับสั่งให้พวกราชบุรุษเตรียมกระบวนว่า) [๒๙] พวกพนักงานจงเทียมราชรถที่ตกแต่งสวยงาม เย็บปักอย่างวิจิตรตระการตา จงผูกสายรัดสัปคับช้าง สวมเครื่องประดับคอ [๓๐] ชาวพนักงานจงนากลอง ตะโพน และสังข์มา และจงเทียมราชยานที่เร็ว วันนี้ เราจักไปสู่อาศรมที่เราเห็นฤๅษีนั่งอยู่ (พระเจ้าสัมภูตะเสด็จเข้าไปหาจิตตบัณฑิตดาบส ทรงดีพระทัยแล้วตรัสว่า)
  • 2. 2 [๓๑] หม่อมฉันเป็ นผู้ได้ลาภดีแล้วหนอ คาถาอันเขาขับดีแล้ว ณ ท่ามกลางบริษัท หม่อมฉันนั้นมีปีติและโสมนัสเพราะได้เห็นฤๅษีผู้สมบูรณ์ด้วยสีลวัตร (ตั้งแต่ได้พบจิตตบัณฑิตดาบส พระเจ้าสัมภูตะทรงโสมนัส จึงรับสั่งพวกราชบุรุษให้เตรียมสถานที่แล้วตรัสว่า) [๓๒] ขอพระคุณเจ้าผู้เจริญจงรับอาสนะ น้า และผ้าเช็ดเท้าของข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าขอถวายของมีค่า (ของที่มีค่า ในที่นี้หมายถึงสิ่งของที่คู่ควรแก่การต้อนรับแขก) ต้อนรับพระคุณเจ้าผู้เจริญ ขอพระคุณเจ้าผู้เจริญจงใช้สอยของที่มีค่าของข้าพเจ้าด้วยเถิด (พระเจ้าสัมภูตะเมื่อจะทรงแบ่งราชสมบัติถวายครึ่งหนึ่ง จึงตรัสว่า) [๓๓] ขอพระองค์จงสร้างพระตาหนักที่น่ารื่นรมย์สาหรับพระองค์ ขอพระองค์ทรงให้หมู่นารีบาเรอเถิด และจงให้โอกาสเพื่ออนุเคราะห์หม่อมฉัน แม้เราทั้ง ๒ จะครอบครองความเป็ นใหญ่ร่วมกัน (จิตตบัณฑิตดาบสกราบทูลว่า) [๓๔] ขอถวายพระพรมหาบพิตร อาตมาเห็นผลของทุจริต และวิบากยิ่งใหญ่แห่งธรรมที่ประพฤติดีแล้วจักสารวมตนอย่างเดียว จึงไม่ปรารถนาบุตร ปศุสัตว์ หรือทรัพย์ [๓๕] ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้เพียง ๑๐ ปีเท่านั้น ชีวิตนั้นยังไม่ทันถึงเขตกาหนดซูบซีดไปเหมือนต้นอ้อที่ถูกตัด [๓๖] ในสภาพชีวิตอย่างนั้นจะเพลิดเพลิน จะเล่นสนุกสนาน จะรื่นเริง จะแสวงหาทรัพย์ไปทาไมกัน ประโยชน์อะไรด้วยบุตรและภรรยาสาหรับอาตมา อาตมาพ้นแล้วจากเครื่องผูก มหาบพิตร [๓๗] อาตมานั้นทราบชัดอย่างนี้ว่า มัจจุราชจะไม่เมินเฉยต่ออาตมา ผู้ถูกมฤตยูครอบงา จะรื่นเริง จะแสวงหาทรัพย์ไปทาไมกัน [๓๘] ขอเดชะพระองค์ผู้จอมชน ชาติกาเนิดของนรชนไม่สม่าเสมอ ในหมู่มนุษย์ กาเนิดแห่งคนจัณฑาลนับว่าต่าต้อยที่สุด ในชาติก่อน พวกเราได้อาศัยอยู่ในครรภ์ของหญิงจัณฑาล เพราะกรรมชั่วช้าของตน [๓๙] พวกเราได้เกิดเป็นคนจัณฑาลในอวันตีชนบท ได้เกิดเป็นเนื้ออยู่ที่ฝั่งแม่น้าเนรัญชรา ได้เกิดเป็นนกเขาอยู่ที่ฝั่งแม่น้านัมมทา แต่วันนี้เราทั้ง ๒ นั้นเป็นพราหมณ์และกษัตริย์ (จิตตบัณฑิตดาบสเมื่อให้พระเจ้าสัมภูตะเกิดอุตสาหะในบุญกุศลทั้งหลาย จึงกล่าวว่า) [๔๐] ชีวิตถูกชรานาเข้าไปใกล้มรณะ อายุของเหล่าสัตว์น้อยนัก ชีวิตที่ถูกชรานาไป ย่อมไม่มีผู้ต้านทาน ขอถวายพระพรพระเจ้าปัญจาละ
  • 3. 3 ขอมหาบพิตรจงทรงทาตามคาของอาตมา มหาบพิตรอย่าได้ทรงทากรรมซึ่งมีทุกข์เป็ นกาไรเลย [๔๑] ชีวิตถูกชรานาเข้าไปใกล้มรณะ อายุของเหล่าสัตว์น้อยนัก ชีวิตที่ถูกชรานาไป ย่อมไม่มีผู้ต้านทาน ขอถวายพระพรพระเจ้าปัญจาละ ขอมหาบพิตรจงทรงทาตามคาของอาตมา มหาบพิตรอย่าได้ทรงทากรรมซึ่งมีทุกข์เป็ นผลเลย [๔๒] ชีวิตถูกชรานาเข้าไปใกล้มรณะ อายุของเหล่าสัตว์น้อยนัก ชีวิตที่ถูกชรานาไปย่อมไม่มีผู้ต้านทาน ขอถวายพระพรพระเจ้าปัญจาละ ขอมหาบพิตรจงทรงทาตามคาของอาตมา มหาบพิตรอย่าได้ทรงทากรรมซึ่งมีธุลีแปดเปื้อนบนพระเศียรเลย [๔๓] ชีวิตถูกชรานาเข้าไปใกล้มรณะ อายุของเหล่าสัตว์น้อยนัก ชราย่อมขจัดผิวพรรณของนรชนผู้แก่ชรา ขอถวายพระพรพระเจ้าปัญจาละ ขอมหาบพิตรจงทรงทาตามคาของอาตมา มหาบพิตรอย่าได้ทรงทากรรมเพื่อเกิดในนรกเลย (เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวอย่างนั้น พระราชาทรงยินดีแล้วจึงตรัสว่า) [๔๔] คาของพระองค์นั้นเป็นคาสัตย์อย่างแท้จริง คานั้นเป็ นเหมือนดังที่ฤๅษีกล่าว แต่กามของหม่อมฉันมีอยู่มิใช่น้อย ข้าแต่ท่านผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร กามเหล่านั้นคนเช่นหม่อมฉันละได้ยาก [๔๕] หม่อมฉันจมอยู่ในเปือกตมคือกาม ไม่อาจดาเนินตามทางของภิกษุได้ เหมือนช้างเชือกที่จมอยู่ในท่ามกลางเปือกตม เห็นที่เนินอยู่ก็ไม่อาจจะไปได้ [๔๖] มารดาบิดาพร่าสอนบุตรด้วยหวังว่า เขาจะมีความสุขได้อย่างไร แม้ฉันใด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้พระองค์ก็ฉันนั้น พร่าสอนหม่อมฉัน โดยที่หม่อมฉันละโลกนี้ไปแล้วจะพึงเป็นสุขสิ้นกาลนาน (พระโพธิสัตว์มาตังคบัณฑิตถวายพระพรว่า) [๔๗] ขอถวายพระพรพระองค์ผู้จอมชน หากมหาบพิตรไม่ทรงสามารถจะละกามซึ่งเป็ นของมนุษย์เหล่านี้ได้ ขอพระองค์ทรงตั้งพลีกรรมที่เป็ นธรรมเถิด มหาบพิตร อนึ่ง การกระทาที่ไม่เป็นธรรมขออย่าได้มีในแคว้นของพระองค์เลย [๔๘] ขอพวกทูตจงเที่ยวไปนิมนต์สมณะและพราหมณ์ทั้งหลาย ทั่วทิศทั้ง ๔ มหาบพิตร ขอทรงบารุงสมณะและพราหมณ์ เหล่านั้นด้วยข้าว น้า ผ้า เสนาสนะ และปัจจัย [๔๙] พระองค์ผู้มีพระหฤทัยเลื่อมใส ทรงเลี้ยงสมณะและพราหมณ์ทั้งหลายให้อิ่มหนาด้วยข้าวและน้า
  • 4. 4 ทรงถวายและทรงเสวยตามความสามารถ จะไม่ถูกนินทา ขอทรงเข้าถึงแดนสวรรค์เถิด [๕๐] มหาบพิตร หากว่าความเมาพึงครอบงาพระองค์ ซึ่งมีหมู่นารีบาเรออยู่ ขอพระองค์ทรงมนสิการคาถานี้ และขอจงตรัสคาถานี้ในท่ามกลางบริษัท [๕๑] สัตว์ผู้นอนอยู่กลางแจ้ง มีหญิงจัณฑาลผู้เมื่อจะไปป่าให้ดื่มน้านม แล้วคลุกคลีอยู่กับฝูงสุนัข สัตว์นั้นวันนี้เขาเรียกกันว่า พระราชา จิตตสัมภูตชาดกที่ ๒ จบ ------------------------- คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา จิตตสัมภูตชาดก ว่าด้วย ผลของกรรม พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุสองรูป ซึ่งอยู่ร่วมรักกันสนิทเป็ นสัทธิงวิหาริกของท่านพระมหากัสสปะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้. ได้ยินว่า ภิกษุสองรูปนั้นใช้สอยสมณบริขารร่วมกัน มีความคุ้นเคยสนิทกันอย่างยิ่ง แม้เมื่อเที่ยวบิณฑบาตก็ไปร่วมกัน ไม่สามารถที่จะพรากจากกันได้. ภิกษุทั้งหลายนั่งสรรเสริญความคุ้นเคยกันของภิกษุทั้งสองรูปนั้นแหละ ในธรรมสภา พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร? เมื่อภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่ภิกษุสองรูปนี้เป็นผู้คุ้นเคยกันในอัตภาพนี้ ไม่น่าอัศจรรย์เลย ก็โบราณกบัณฑิตทั้งหลายแม้ถึงจะท่องเที่ยวไประหว่างสามสี่ภพ ก็ไม่ละทิ้งความสนิทสนมกันฐานมิตรเลยเหมือนกัน. แล้วทรงนาอดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้ ในอดีตกาล พระเจ้าอวันตีมหาราชเสวยราชสมบัติในกรุงอุชเชนี แคว้นอวันตี ในกาลนั้น ด้านนอกกรุงอุชเชนีมีหมู่บ้านคนจัณฑาลตาบลหนึ่ง. พระมหาสัตว์เจ้าบังเกิดในหมู่บ้านนั้น ต่อมา คัพภเสยยกสัตว์แม้อื่น ก็มาเกิดเป็นบุตรแห่งน้าหญิงของพระมหาสัตว์นั้นเหมือนกัน. ในกุมารทั้งสองนั้น คนหนึ่งซึ่งเป็ นพระโพธิสัตว์ ชื่อจิตตกุมาร คนหนึ่งซึ่งเป็ นบุตรน้าสาวชื่อสัมภูตกุมาร. กุมารแม้ทั้งสองเหล่านั้น
  • 5. 5 ครั้นเจริญวัยแล้ว เรียนศิลปศาสตร์ ชื่อว่า จัณฑาลวังสโธวนะ วันหนึ่งชักชวนกันว่า เราทั้งสองจักแสดงศิลปศาสตร์ที่ใกล้ประตูพระนครอุชเชนี คนหนึ่งแสดงศิลปะที่ประตูด้านทิศเหนือ อีกคนหนึ่งแสดงศิลปะที่ประตูด้านทิศใต้. ก็ในพระนครนั้นได้มีนางทิฏฐมังคลิกาสองคน คนหนึ่งเป็ นธิดาของท่านเศรษฐี อีกคนหนึ่งเป็ นธิดาของท่านปุโรหิตาจารย์ นางทั้งสองได้ให้บริวารชน ถือเอาของขบเคี้ยวและของบริโภคทั้งระเบียบดอกไม้และของหอมเป็นต้นเป็นอัน มากไป ด้วยคิดว่า จักเล่นในอุทยาน คนหนึ่งออกทางประตูด้านทิศเหนือ อีกคนหนึ่งออกทางประตูด้านทิศใต้. นางทิฏฐมังคลิกากุมารีทั้งสองนั้น เห็นบุตรของคนจัณฑาลสองพี่น้องแสดงศิลปะอยู่ จึงถามว่าคนเหล่านี้เป็นใครๆ ได้ฟังว่าเป็ นบุตรของคนจัณฑาล จึงคิดว่า เราทั้งหลายได้เห็นบุคคลที่ไม่สมควรจะเห็นแล้วหนอ แล้วเอาน้าหอมล้างตาพากันกลับ. มหาชนที่ไปด้วยพากันโกรธ กล่าวว่า เฮ้ยไอ้คนจัณฑาลชาติชั่ว เพราะอาศัยเจ้าทั้งสอง พวกเราจึงไม่ได้ดื่มสุราและกับแกล้มที่ไม่ต้องซื้อหา แล้วพากันโบยตีพี่น้องแม้ทั้งสองเหล่านั้น ให้ถึงความบอบช้าย่อยยับ. พี่น้องทั้งสองเหล่านั้นกลับได้สติฟื้นขึ้นมา จึงลุกขึ้นเดินไปยังสานักของกันแลกัน มาพร้อมกัน ณ สถานที่แห่งหนึ่ง แล้วบอกเล่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั่นสู่กันฟัง ต่างร้องไห้คร่าครวญ ปรึกษากันว่า เราทั้งสองจักทาอย่างไรกันดี แล้วพูดกันว่า เพราะอาศัยชาติกาเนิด ความทุกข์นี้จึงเกิดแก่เราทั้งสอง พวกเราไม่สามารถจะกระทางานของคนจัณฑาลได้จึงตกลงกันว่า เราทั้งสองปกปิดชาติกาเนิดแล้ว ปลอมแปลงเพศเป็ นพราหมณ์มาณพ ไปสู่มืองตักกสิลา เล่าเรียนศิลปวิทยากันเถิด ดังนี้แล้ว เดินทางไปในพระนครตักกสิลานั้น เป็นธัมมันเตวาสิกเริ่มเรียนศิลปศาสตร์ในสานักของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เล่าลือกันไปทั่วชมพูทวีปว่า ได้ยินว่า คนจัณฑาลสองพี่น้องปกปิดชาติกาเนิด หนีไปเรียนศิลปศาสตร์. ในพี่น้องทั้งสองคนนั้น จิตตบัณฑิตเล่าเรียนศิลปศาสตร์สาเร็จ แต่สัมภูตกุมารยังเรียนไม่สาเร็จ. อยู่มาวันหนึ่ง พราหมณ์ชาวบ้านผู้หนึ่ง มาเชิญอาจารย์ทิศาปาโมกข์ว่า ข้าพเจ้าจักกระทาการสวดมนต์ (ในพิธีมงคล). ในคืนวันนั้นเอง ฝนตกเอ่อล้นซอกมุมเป็นต้นในหนทาง.
  • 6. 6 อาจารย์จึงเรียกจิตตบัณฑิตมาแต่เช้าตรู่ ส่งไปแทนตนโดยสั่งว่า พ่อมหาจาเริญ เราไม่สามารถจะไปได้ เธอจงไปสวดมงคลกถา พร้อมด้วยมาณพทั้งหลาย บริโภคอาหารส่วนที่พวกเธอได้รับ แล้วนาอาหารส่วนที่เราได้มาให้ด้วย. จิตตบัณฑิตรับคาอาจารย์แล้วพามาณพทั้งหลายมาแล้ว. คนทั้งหลายคดข้าวปายาสตั้งไว้ หมายว่า กว่ามาณพทั้งหลายจะอาบน้าล้างหน้าเสร็จ ก็จะเย็นพอดี เมื่อข้าวปายาสยังไม่ทันเย็น มาณพทั้งหลายพากันมานั่งในเรือนแล้ว. มนุษย์ทั้งหลายจึงให้น้าทักษิโณทก ยกสารับมาตั้งไว้ข้างหน้าของมาณพเหล่านั้น. สัมภูตมาณพเป็นเหมือนคนมีนิสัยละโมบในอาหารรีบตักก้อนข้าวปาย าสใส่ปาก ด้วยสาคัญว่าเย็นดีแล้ว ก้อนข้าวปายาสซึ่งร้อนระอุเหมือนเหล็กแดง ก็ลวกปากของเขา. เขาสะบัดหน้าสั่นไปทั้งร่าง ตั้งสติไม่อยู่ มองดูจิตตบัณฑิตเผลอกล่าวเป็นภาษาจัณฑาลไปอย่างนี้ว่า "ขลุ ขลุ" ฝ่ายจิตตบัณฑิตก็ตั้งสติไว้ไม่ได้เหมือนกัน ส่งภาษาจัณฑาลตอบไปอย่างนี้ว่า "นิคคละ นิคคละ" มาณพทั้งหลายต่างมองหน้าแล้วพูดกันว่า นี้ภาษาอะไรกัน? จิตตบัณฑิตกล่าวมงคลกถาอนุโมทนาแล้ว. มาณพทั้งหลายจึงออกไปภายนอกแล้วนั่งวิพากย์วิจารภาษากันอยู่ในที่ นั้นๆ เป็ นพวกๆ พอรู้ว่าเป็ นภาษาจัณฑาลแล้ว จึงด่าว่า เฮ้ย! ไอ้คนจัณฑาลชาติชั่ว พวกเจ้าหลอกลวงว่าเป็นพราหมณ์มาตลอดเวลามีประมาณเท่านี้ แล้วช่วยกันโบยตีมาณพทั้งสอง. ลาดับนั้น สัตบุรุษผู้หนึ่งจึงห้ามว่า ท่านทั้งหลายจงหลีกไป แล้วกันสองมาณพออกมา แล้วส่งไปโดยพูดว่า นี้เป็นโทษแห่งชาติกาเนิดของท่านทั้งสอง จงพากันไปบวชเลี้ยงชีพ ณ ประเทศแห่งใดแห่งหนึ่งเถิด. มาณพทั้งหลายกลับมาแจ้งเรื่องที่มาณพทั้งสองเป็นจัณฑาลให้อาจารย์ทราบทุกปร ะการ แม้มาณพทั้งสองก็เข้าป่า บวชเป็นฤาษี ต่อมาไม่นานนัก ก็จุติจากอัตภาพนั้นไปบังเกิดในท้องของแม่เนื้อ ใกล้ฝั่งแม่น้าเนรัญชรา จาเดิมแต่คลอดจากท้องแม่เนื้อแล้ว มฤคโปดกทั้งสองพี่น้องก็เที่ยวไปด้วยกัน ไม่อาจพรากจากกันได้. วันหนึ่ง นายพรานผู้หนึ่งมาเห็นมฤคโปดกทั้งสอง คาบเหยื่อกลับมา แล้วยืนเอาหัวต่อหัว เอาเขาต่อเขา เอาปากต่อปากจรดติดชิดกัน ยืนขนชัน ตั้งอยู่ ณ ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง จึงพุ่งหอกไปที่สัตว์ทั้งสองให้สิ้นชีวิต ด้วยการประหารทีเดียวเท่านั้น. ครั้นมฤคโปดกทั้งคู่จุติจากอัตภาพนั้นแล้วไปบังเกิดในกาเนิดนกเขา
  • 7. 7 อยู่ที่ริมฝั่งน้ารัมมทานที. แม้ในอัตภาพนั้นก็มีนายพรานดักนกผู้หนึ่งมาเห็นลูกนกเขาทั้งสองเหล่านั้นซึ่งเจ ริญวัยแล้ว ไปเที่ยวคาบเหยื่อ แล้วมายืนเอาหัวซบหัว เอาจะงอยปากต่อจะงอยปากแนบสนิทชิดเรียงยืนเคียงกัน จึงเอาข่ายครอบฆ่าให้ตายด้วยการประหารทีเดียวเท่านั้น. ก็ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว จิตตบัณฑิตเกิดเป็ นบุตรของปุโรหิตในพระนครโกสัมพี. สัมภูตบัณฑิตไปเกิดเป็นโอรสของพระเจ้าอุตตรปัญจาลราช. จาเดิมแต่กาลที่ถึงวันขนานนาม กุมารเหล่านั้นก็ระลึกชาติหนหลังของตนๆ ได้. สัมภูตบัณฑิตราชกุมารไม่สามารถระลึกชาติในระหว่างได้ คงระลึกได้เฉพาะชาติที่ ๔ ซึ่งเกิดเป็ นคนจัณฑาลเท่านั้น ส่วนจิตตบัณฑิตกุมารระลึกได้ตลอด ๔ ชาติโดยลาดับ. ในเวลาที่มีอายุได้ ๑๖ ปี จิตตบัณฑิตออกจากเรือนเข้าไปสู่หิมวันตประเทศ บวชเป็นฤาษี ยังฌานและอภิญญาให้เกิดแล้ว ยับยั้งอยู่ด้วยความสุขอันเกิดแต่ฌาน. ฝ่ายสัมภูตราชกุมาร เมื่อพระชนกสวรรคตแล้ว ให้ยกเศวตฉัตรขึ้นเสวยราชสมบัติแทน ได้ตรัสพระคาถา ๒ คาถาด้วยความเบิกบานพระราชหฤทัย กระทาให้เป็นเพลงขับเฉลิมฉลองมงคลท่ามกลางมหาชน ในวันเฉลิมฉัตรมงคลนั่นเอง. นางสนมกานัลก็ดี นักฟ้ อนราทั้งหลายก็ดีได้สดับคาถาเพลงขับนั้นแล้ว คิดว่า ได้ยินว่านี้เป็ นเพลงขับเฉลิมฉลองเนื่องในวันมงคลของพระราชาของเราทั้งหลาย จึงพากันขับร้องบทเพลงพระราชนิพนธ์นั้นทั่วกัน ประชาชนชาวพระนครแม้ทั้งหมดทราบว่า เพลงขับนี้เป็นที่โปรดปราน พอพระราชหฤทัยของพระราชา ก็พากันขับร้องบทพระราชนิพนธ์นั่นแหละต่อๆ กันไปโดยลาดับ. ฝ่ายพระจิตตบัณฑิตดาบสอยู่ในหิมวันตประเทศนั่นแล ใคร่ครวญพิจารณาดูว่า สัมภูตบัณฑิตผู้น้องชายของเราได้ครอบครองเศวตฉัตรแล้วหรือว่ายังไม่ได้ครอบ ครอง ทราบว่าได้ครอบครองแล้ว จึงคิดว่า บัดนี้เรายังไม่สามารถเพื่อจะไปสั่งสอนพระราชาซึ่งได้เสวยราชสมบัติใหม่ ให้ทรงรู้แจ้งซึ่งธรรมวิเศษได้ก่อน เราจักเข้าไปหาท้าวเธอในเวลาที่ทรงพระชราภาพ กล่าวธรรมกถา แล้วชักนาให้บรรพชา ดังนี้แล้วจึงมิได้เสด็จไปตลอดระยะเวลา ๕๐ ปี.
  • 8. 8 ในเวลาที่พระราชาทรงเจริญด้วยพระโอรสและพระธิดาแล้ว จึงเหาะมาทางอากาศด้วยฤทธานุภาพ ลงที่พระราชอุทยาน นั่งพักอยู่บนแท่นมงคลศิลาอาสน์ราวกับพระปฏิมาทองคา. ขณะนั้นมีเด็กคนหนึ่งขับเพลงบทพระราชนิพนธ์ เก็บฟืนอยู่ จิตตบัณฑิตดาบสเรียกเด็กนั้นมา เด็กก็มาไหว้พระดาบสแล้วยืนอยู่. ทีนั้นพระจิตตบัณฑิตดาบส จึงกล่าวกะเด็กนั้นว่า ตั้งแต่เช้ามา เจ้าขับเพลงขับบทเดียวนี้เท่านั้น ไม่รู้จักเพลงอย่างอื่นบ้างเลยหรือ? เด็กตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมรู้บทเพลงแม้อย่างอื่นเป็นอันมาก แต่บทเพลงทั้งสองบทนี้ เป็นบทที่พระราชาทรงโปรดปราน พอพระราชหฤทัย เพราะฉะนั้น กระผมจึงขับร้องเฉพาะเพลงบทนี้เท่านั้น. พระดาบสถามต่อไปว่า ก็มีใครๆ ขับร้องเพลงขับตอบบทพระราชนิพนธ์บ้างหรือไม่? เด็กตอบว่า ไม่มีเลยขอรับ. พระดาบสจึงกล่าวว่า ก็เจ้าเล่าจักสามารถเพื่อจะขับบทเพลงตอบอยู่หรือ? เด็กตอบว่า เมื่อกระผมรู้ก็จักสามารถ. พระดาบสกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น เมื่อพระราชาทรงขับบทเพลงพระราชนิพนธ์ทั้งสองแล้ว เจ้าจงจาเอาบทเพลงขับที่สามนี้ไปร้องขับตอบเถิด แล้วสอนเพลงขับนั้นให้เด็กส่งไป พร้อมกับสั่งว่า เจ้า ไปขับร้องในสานักของพระราชา พระราชาทรงเลื่อมใสจักพระราชทานยศยิ่งใหญ่แก่เจ้า. เด็กนั้นรีบไปยังสานักของมารดาให้ช่วยประดับตกแต่งตนแล้ว ไปยังประตูพระราชนิเวศน์ สั่งราชบุรุษให้กราบทูลพระราชาว่า ได้ยินว่า มีเด็กคนหนึ่งจักมาขับร้องบทเพลงตอบกับด้วยพระองค์ ครั้นเมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้วจึงเข้าไปถวายบังคม อันพระราชาตรัสถามว่า พ่อเด็กน้อย เขาว่าเจ้าจักมาร้องเพลงตอบกับเราหรือ? ก็กราบทูลว่า ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า เป็นความจริง พระเจ้าข้า แล้วกราบทูลให้พระราชามีพระราชโองการให้ราชบริษัททั้งหลายมาประชุมกัน เมื่อราชบริษัทประชุมพร้อมกันแล้ว จึงกราบทูลพระราชาว่า ขอพระองค์โปรดทรงขับร้องเพลงบทพระนิพนธ์ของพระองค์ก่อนเถิด ข้าพระพุทธเจ้าจักขับบทเพลงถวายตอบทีหลัง. พระราชาได้ตรัสพระคาถา ๒ คาถาความว่า กรรมทุกอย่างที่นรชนสั่งสมไว้แล้ว ย่อมมีผลเสมอไป ขึ้นชื่อว่ากรรมแม้จะเล็กน้อยที่จะไม่ให้ผลเป็ นไม่มี
  • 9. 9 เราได้เห็นตัวของเราผู้ชื่อว่าสัมภูตะ มีอานุภาพมาก อันบังเกิดขึ้นด้วยผลบุญ เพราะกรรมของตนเอง กรรมทุกอย่างที่นรชนสั่งสมไว้แล้ว ย่อมมีผลเสมอไป ขึ้นชื่อว่ากรรมแม้จะเล็กน้อยที่จะไม่ให้ผลเป็ นไม่มี มโนรถของเราสาเร็จแล้วแม้ฉันใด มโนรถแม้ของจิตตบัณฑิตพระเชษฐาของเรา ก็คงสาเร็จแล้วฉันนั้น กระมังหนอ ดังนี้. เมื่อพระเจ้าสัมภูตะขับเพลงคาถาสองบทจบลง กุมารเมื่อจะขับเพลงตอบถวาย จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ กรรมทุกอย่างที่นรชนสั่งสมไว้แล้ว ย่อมมีผลเสมอไป ขึ้นชื่อว่ากรรมแม้จะเล็กน้อยที่จะไม่ให้ผลเป็ นอันไม่มี มโนรถของพระองค์สาเร็จแล้วแม้ฉันใด ขอพระองค์โปรดทราบเถิดว่า มโนรถของจิตตบัณฑิตก็สาเร็จแล้วฉันนั้นเหมือนกัน. พระราชาทรงสดับคาถานั้นแล้ว จึงตรัสพระคาถาที่ ๔ ความว่า เจ้าหรือคือจิตตะ เจ้าได้ฟังคานี้มาจากคนอื่น หรือว่าใครบอกเนื้อความนี้แก่เจ้า คาถานี้เจ้าขับดีแล้ว เราไม่มีความสงสัย เราจะให้บ้านส่วยร้อยตาบลแก่เจ้า. ลาดับนั้น กุมารจึงกล่าวคาถาที่ ๕ ความว่า ข้าพระพุทธเจ้าหาใช่จิตตะไม่ ข้าพระพุทธเจ้าฟังคานี้มาจากคนอื่น และฤาษีได้บอกเนื้อความนี้แก่ข้าพระพุทธเจ้าแล้วสั่งว่า เจ้าจงไปขับคาถานี้ตอบถวายพระราชา พระราชาทรงพอพระทัยแล้ว จะพึงพระราชทานบ้านส่วยให้แก่เจ้าบ้างกระมัง. พระเจ้าสัมภูตราชทรงสดับถ้อยคานั้นแล้ว ทรงพระดาริว่า ชะรอยพระดาบสนั้นจักเป็นจิตตบัณฑิตผู้เชษฐภาดาของเรา เราจักไปพบพระเชษฐภาดาของเรานั้น. เมื่อจะตรัสใช้ให้ราชบุรุษเตรียมกระบวน จึงตรัสพระคาถาสองคาถา ความว่า ราชบุรุษทั้งหลายจงเทียมราชรถของเราจัดแจงให้ดี ผูกรัดจัดสรรให้งดงามวิจิตร จงผูกรัดสายประคนมงคลหัตถี นายหัตถาจารย์จงขึ้นประจาคอ จงนาเอาเภรีตะโพนสังข์มาตระเตรียม เจ้าหน้าที่ทั้งหลายจงเทียมยานพาหนะโดยเร็ว วันนี้แลเราจักไปเยี่ยมเยียนพระฤาษีซึ่งนั่งอยู่ ณ อาศรมสถานให้ถึงที่ทีเดียว. พระเจ้าสัมภูตราช ครั้นดารัสสั่งอย่างนี้แล้ว เสด็จขึ้นทรงรถพระที่นั่งเสด็จไปโดยพลัน จอดราชรถไว้ที่ประตูพระราชอุทยาน แล้วเสด็จเข้าไปหาพระดาบสจิตตบัณฑิตนมัสการแล้ว ประทับนั่ง ณ
  • 10. 10 ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง มีพระราชหฤทัยชื่นชมโสมนัส ตรัสพระคาถาที่ ๘ ความว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้ลาภดีแล้วหนอ คาถาอันข้าพเจ้าขับดีแล้วในท่ามกลางบริษัท ข้าพเจ้าได้พบพระฤาษีผู้สมบูรณ์ด้วยศีลพรต เป็นผู้มีความชื่นชมยินดี ปิติโสมนัสยิ่งนัก. พระคาถานี้มีอรรถาธิบายว่า คาถาที่ข้าพเจ้าขับกล่อมในท่ามกลางบริษัท ในวันฉัตรมงคลของข้าพเจ้านั้น เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าได้พบพระฤาษีผู้เข้าถึงศีลและพรตแล้ว ถึงความปิติโสมนัสหาที่เปรียบมิได้ นับว่าข้าพเจ้าได้ลาภอันดียิ่งทีเดียว. จาเดิมแต่ได้พบพระจิตตบัณฑิตดาบสแล้ว พระเจ้าสัมภูตราชทรงชื่นชมโสมนัสยิ่ง เมื่อจะมีพระราชดารัสตรัสสั่งซึ่งราชกิจมีอาทิว่า ท่านทั้งหลายจงลาดบัลลังก์เพื่อเชษฐภาดาของเรา. จึงตรัสคาถาที่ ๙ ความว่า ขอเชิญท่านผู้เจริญโปรดรับอาสนะ น้า และรองเท้าของข้าพเจ้าทั้งหมดเถิด ข้าพเจ้ายินดีต้อนรับท่านผู้เจริญในสิ่งของอันมีราคาคู่ควรแก่การต้อนรับ ขอท่านผู้เจริญเชิญรับสักการะอันมีค่าของข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเถิด. ครั้นพระเจ้าสัมภูตบัณฑิตทรงทาการปฏิสันถาร ด้วยพระดารัสอันอ่อนหวานอย่างนี้แล้ว. เมื่อจะทรงแบ่งราชสมบัติถวายกึ่งหนึ่ง จึงตรัสพระคาถานอกนี้ ความว่า ขอเชิญพระเชษฐาทรงสร้างปรางค์ปราสาท อันเป็นที่อยู่น่ารื่นรมย์สาหรับพระองค์เถิด จงทรงบารุงบาเรอด้วยหมู่นารีทั้งหลาย โปรดให้โอกาสเพื่ออนุเคราะห์แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด แม้เราทั้งสองก็จะครอบครองอิสริยสมบัตินี้ร่วมกัน. พระจิตตบัณฑิตดาบสฟังพระดารัสของพระเจ้าสัมภูตราชแล้ว เมื่อจะแสดงธรรมเทศนาถวาย จึงกล่าวคาถา ๖ คาถา ความว่า ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์ทรงเห็นผลแห่งสุจริตอย่างเดียว ส่วนอาตมภาพเห็นผลแห่งสุจริต และทุจริตที่สั่งสมไว้แล้ว เป็นวิบากใหญ่จึงสารวมตนเท่านั้น มิได้ปรารถนาบุตร ปศุสัตว์หรือทรัพย์ ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ มีกาหนดร้อยปีเป็นอย่างมาก ไม่เกินกาหนดนั้นไปได้เลย ย่อมจะเหือดแห้งไป เหมือนไม้อ้อที่ถูกตัดแล้ว มีแต่จะเหี่ยวแห้งไปฉะนั้น ในช่วงชีวิตอันจะต้องเหือดแห้งไปนั้น จะมัวเพลิดเพลินไปไย
  • 11. 11 จะมัวเล่นคึกคะนองไปทาไม ความยินดีจะเป็นประโยชน์อะไร ประโยชน์อะไรด้วยการแสวงหาทรัพย์ จะมีประโยชน์อะไรด้วยบุตรและภรรยาสาหรับอาตมา ดูก่อนมหาบพิตร อาตมาพ้นแล้วจากเครื่องผูก อาตมารู้ชัดอย่างนี้ว่า มัจจุราชจะไม่รังควานเราเป็ นอันไม่มี เมื่อบุคคลถูกมัจจุราชครอบงาแล้ว ความยินดีจะเป็ นประโยชน์อะไร จะมีประโยชน์อะไรด้วยการแสวงหาทรัพย์ ดูก่อนมหาบพิตรผู้เป็นจอมนระ ชาติกาเนิดของคนเราไม่สม่าเสมอกัน กาเนิดแห่งคนจัณฑาลจัดว่าเลวทรามในระหว่างมนุษย์ เมื่อชาติก่อนเราทั้งสองได้อยู่ร่วมกัน ในครรภ์แห่งนางจัณฑาลี เพราะกรรมอันชั่วช้าของตน เราทั้งสองได้เกิดเป็นคนจัณฑาล ในกรุงอุชเชนีอวันตีชนบท ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้เกิดเป็นเนื้อสองตัวพี่น้อง อยู่ที่ฝั่งแม่น้าเนรัญชรา ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้เกิดเป็นนกเขาสองตัวพี่น้อง อยู่ฝั่งรัมมทานที ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว คราวนี้อาตมภาพเกิดเป็นพราหมณ์ มหาบพิตรทรงสมภพเป็นกษัตริย์. ครั้นพระโพธิสัตว์ประกาศชาติกาเนิดอันลามกต่าต้อยที่ผ่านมาแล้วแก่ พระเจ้าสัมภูตราชนั้นด้วยประการดังกล่าวมานี้ แล้วแสดงว่า อายุสังขารแม้ในชาตินี้มีเวลาเล็กน้อย ให้พระเจ้าสัมภูตราชทรงเกิดอุตสาหะในบุญกุศลทั้งหลาย ได้กล่าวคาถา ๔ คาถาติดต่อกันไป ความว่า ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ถูกชรานาเข้าไปสู่ความตาย อายุของสัตว์ทั้งหลายเป็นของน้อย เมื่อนรชนถูกชรานาเข้าไปสู่ความตาย ย่อมไม่มีผู้ต้านทาน ดูก่อนพระเจ้าปัญจาลราช มหาบพิตรจงทรงทาตามคาของอาตมภาพ อย่าทรงทากรรมทั้งหลายมีทุกข์เป็นกาไรเลย ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ถูกชรานาเข้าไปสู่ความตาย อายุของสัตว์ทั้งหลายเป็นของน้อย เมื่อนรชนถูกชรานาเข้าไปสู่ความตาย ย่อมไม่มีผู้ต้านทาน ดูก่อนพระเจ้าปัญจาลราช มหาบพิตรจงทรงทาตามคาของอาตมภาพ อย่าทรงทากรรมทั้งหลาย อันมีทุกข์เป็นผลเลย ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ถูกชรานาเข้าไปสู่ความตาย อายุของสัตว์ทั้งหลายเป็นของน้อย เมื่อนรชนถูกชรานาเข้าไปสู่ความตาย ย่อมไม่มีผู้ต้านทาน ดูก่อนพระเจ้าปัญจาลราช มหาบพิตรจงทรงทาตามคาของอาตมภาพ อย่าทรงทากรรมทั้งหลาย อันมีศีรษะเกลือกกลั้วด้วยกิเลสธุลี
  • 12. 12 ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ถูกชรานาเข้าไปสู่ความตาย อายุของสัตว์ทั้งหลายเป็นของน้อย ชราย่อมกาจัดวรรณะของนรชนผู้แก่เฒ่า ดูก่อนพระเจ้าปัญจาลราช มหาบพิตรจงทรงทาตามคาของอาตมภาพ อย่าทรงทากรรมที่ให้เข้าถึงนรกเลย. เมื่อพระมหาสัตว์เจ้ากล่าวอยู่อย่างนี้ พระเจ้าสัมภูตราชทรงรู้สึกพระองค์ แล้วตรัสพระคาถา ๓ คาถา ความว่า ข้าแต่ภิกษุ ถ้อยคาของพระคุณเจ้านี้เป็นคาจริงแท้ทีเดียว พระฤาษีกล่าวไว้ฉันใด คานี้ก็เป็นฉันนั้น แต่ว่ากามทั้งหลายของข้าพเจ้ายังมีอยู่มาก กามเหล่านั้นคนเช่นข้าพเจ้าสละได้ยาก ช้างจมอยู่ท่ามกลางหล่มแล้ว ย่อมไม่อาจถอนตนไปสู่ที่ดอนได้ด้วยตนเองฉันใด ข้าพเจ้าจมอยู่ในหล่มคือกามกิเลส ก็ยังไม่สามารถปฏิบัติตนตามทางของภิกษุได้ฉันนั้น ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ อนึ่ง บุตรจะมีความสุขได้ด้วยวิธีใด มารดาบิดาพร่าสอนบุตรด้วยวิธีนั้นฉันใด ข้าพเจ้าละจากโลกนี้ไปแล้ว จะพึงเป็ นผู้มีความสุขอื่นนานได้ด้วยวิธีใด ขอพระคุณเจ้าโปรดพร่าสอนข้าพเจ้า ด้วยวิธีนั้น ฉันนั้นเถิด. ลาดับนั้น พระมหาสัตว์กล่าวกะพระเจ้าสัมภูตราชนั้นว่า ดูก่อนมหาบพิตรผู้จอมนรชน ถ้ามหาบพิตรไม่สามารถละกามของมนุษย์เหล่านี้ได้ไซร้ มหาบพิตรจงทรงเริ่มตั้งพลีกรรมอันชอบธรรมเถิด แต่การกระทาอันไม่เป็นธรรมขออย่าได้มีในรัฐสีมาของมหาบพิตรเลย ทูตทั้งหลายจงไปยังทิศทั้ง ๔ นิมนต์สมณะพราหมณ์ทั้งหลายมา มหาบพิตรจงทรงบารุงสมณะพราหมณ์ทั้งหลายด้วยข้าว น้า ผ้า เสนาสนะ และคิลานปัจจัย มหาบพิตรจงเป็ นผู้มีกมลจิตอันผ่องใส ทรงอังคาสสมณพราหมณ์ให้อิ่มหนาสาราญด้วยข้าวน้า ได้ทรงบริจาคทานตามสติกาลัง และทรงเสวยแล้ว เป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายไม่ติเตียน จงเสด็จเข้าถึงสวรรคสถานเถิด. ดูก่อนมหาบพิตร ก็ถ้าความเมาจะพึงครอบงามหาบพิตรผู้อันหมู่นารีทั้งหลายแวดล้อมอยู่ มหาบพิตรจงทรงมนสิการคาถานี้ไว้ แล้วพึงตรัสคาถานี้ในท่ามกลางบริษัทว่า เมื่อชาติก่อนเราเป็นคนนอนอยู่กลางแจ้ง อันมารดาจัณฑาลีเมื่อจะไปป่าให้ดื่มน้านมมาแล้ว นอนคลุกคลีอยู่กับสุนัขทั้งหลายจนเติบโต มาบัดนี้ คนนั้นใครๆ
  • 13. 13 เขาก็เรียกกันว่าพระราชา. ดูก่อนมหาราชเจ้า ถ้าหากความมัวเมาจะพึงครอบงาพระองค์ คือถ้าหากความมานะถือตัว ปรารภกามคุณมีรูปเป็นต้น หรือปรารภความสุขเกิดแต่ราชสมบัติ จะพึงบังเกิดขึ้นแก่พระองค์ผู้ห้อมล้อมด้วยหมู่สนมนารีทั้งหลายไซร้ ทันทีนั้นพระองค์พึงทรงจินตนาการว่า ในชาติปางก่อนเราเกิดในกาเนิดจัณฑาล ได้หลับนอนในที่ซึ่งเป็ นอัพโภกาสกลางแจ้งเพราะไม่มีแม้เพียงกระท่อมมุงด้วยห ญ้ามิดชิด. ก็แลในกาลนั้น นางจัณฑาลีผู้เป็นมารดาของเรา เมื่อจะไปสู่ป่าเพื่อหาฟืนและผักเป็นต้น ให้เรานอนกลางแจ้งท่ามกลางหมู่ลูกสุนัข ให้เราดื่มนมของตนแล้วไป เรานั้นแวดล้อมไปด้วยลูกสุนัข ดื่มนมแห่งแม่สุนัข พร้อมด้วยลูกสุนัขเหล่านั้น จึงเจริญวัยเติบโต เราเป็นผู้มีเชื้อชาติต่าช้ามาอย่างนี้ แต่วันนี้เกิดเป็นผู้ที่ประชาชนเรียกว่ากษัตริย์. ดูก่อนมหาราชเจ้า เพราะเหตุนี้แล เมื่อพระองค์จะทรงสอนตนเองด้วยเนื้อความนี้ พึงตรัสคาถาว่า ในชาติปางก่อนเราเป็นสัตว์นอนอยู่ในอันโภกาสกลางแจ้ง เมื่อนางจัณฑาลีผู้มารดาไปสู่ป่า เที่ยวไปทางโน้นบ้างทางนี้บ้าง เป็นผู้อันแม่สุนัขสงสารให้ดื่มนม คลุกคลีอยู่กับพวกลูกๆ จึงเจริญเติบโตมาได้ แต่วันนี้ เรานั้นอันใครๆ เขาเรียกกันว่าเป็นกษัตริย์ ดังนี้. พระมหาสัตว์ ครั้นให้โอวาทแก่พระเจ้าสัมภูตราชอย่างนี้แล้ว จึงกล่าวว่า อาตมภาพถวายโอวาทแก่พระองค์แล้ว บัดนี้พระองค์จงทรงผนวชเสียเถิด อย่าทรงเสวยวิบากแห่งกรรมของตนด้วยตนเลย แล้วเหาะขึ้นไปในอากาศ ยังละอองธุลีพระบาทให้ตกเหนือเศียรเกล้าของพระราชา แล้วเหาะไปยังหิมวันตประเทศทันที ฝ่ายพระราชาทอดพระเนตรดูพระดาบสนั้นไปแล้ว เกิดความสังเวชสลดพระทัย ยกราชสมบัติให้แก่ราชโอรสองค์ใหญ่ ตรัสสั่งให้พลนิกายกลับไปแล้ว บ่ายพระพักตร์เสด็จไปยังหิมวันตประเทศ (เพียงองค์เดียว) พระมหาสัตว์เจ้าทรงทราบการเสด็จมาของพระราชาแล้ว แวดล้อมด้วยหมู่ฤาษีเป็นบริวาร มาต้อนรับพระราชา ให้ทรงผนวชแล้วสอนกสิณบริกรรม. พระสัมภูตดาบสบาเพ็ญฌานและอภิญญาให้เกิดแล้ว. พระดาบสทั้งสองแม้เหล่านั้นได้เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้ า ด้วยประการฉะนี้.
  • 14. 14 พระศาสดา ครั้นนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โปราณกบัณฑิต แม้จะท่องเที่ยวไป ๓-๔ ภพ ก็ยังเป็นผู้มีความคุ้นเคยรักใคร่สนิทสนมมั่นคงอย่างนี้โดยแท้ แล้วทรงประชุมชาดกว่า สัมภูตดาบสในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระอานนท์ ส่วนจิตตบัณฑิตดาบสได้มาเป็ น เราตถาคต ฉะนี้แล. จบอรรถกถาจิตตสัมภูตชาดกที่ ๒ -----------------------------------------------------